แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 537
46
เครือ รพ. พญาไท-เปาโล ขึ้นแท่นผู้นำด้านสุขภาพ ล่าสุดคว้ารางวัล The Best Medical Healthcare Brand ในหมวดธุรกิจการแพทย์ในประเทศไทย จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในหลากหลายสาขาอาชีพ เพื่อให้การตัดสินรางวัลในครั้งนี้มีข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องแม่นยำ มีความน่าเชื่อถือ ทันต่อความเคลื่อนไหว ครอบคลุมรอบด้านทุกความแตกต่างหลากหลาย โดยมี คุณอนันต์ ลือประดิษฐ์ บรรณาธิการอำนวยการ และผู้ร่วมก่อตั้ง The People เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบรางวัล ในงาน The People Awards 2024 โดยทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลฯ นำโดย คุณศุภกร พะวันนา ผู้อำนวยการสายการตลาดเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล พร้อมด้วย คุณวนิดา เศรษฐเศวต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารการตลาดองค์กร เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เข้ารับรางวัลดังกล่าว

ซึ่งเกณฑ์การตัดสินได้คัดเลือกองค์กรที่มีความโดดเด่นด้านต่างๆ 5 รางวัล จากองค์กรที่เข้าเกณฑ์จำนวน 100 Finalists โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาเน้นเรื่อง “คน” ที่ไม่หยุดพัฒนา สอดคล้องกับการให้ความสำคัญเรื่อง “People Branding” ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือให้คนไปดูแลคน ซึ่งงานนี้จัดโดย The People ซึ่งเป็นสื่อในเครือ Nation Group ประกอบด้วย กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก, สปริงนิวส์ ,The Nation, ฐานเศรษฐกิจ และ The People

รางวัลนี้นับเป็นอีกความสำเร็จร่วมกันของพนักงานทุกระดับที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นพัฒนา ‘คน’ ที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กร ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการสร้างนวัตกรรมที่ดูแล ‘คน’ ดังคำที่ว่า “นวัตกรรมที่ดีที่สุด คือ คนที่ไม่หยุดพัฒนา” ภายใต้แคมเปญ Fight for Better หรือ ‘ดีที่สุดไม่มี มีแต่ดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น” คำพูดติดปากของคนในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล องค์กรที่อาศัยแรงขับเคลื่อนจากความดีและความเก่งของทุกคน สู่เป้าหมายสร้างคนเพื่อให้ดูแลคน

28 มี.ค. 2567 ผู้จัดการออนไลน์

47
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้นำองค์กรหลายท่านอย่างลงลึกเกี่ยวกับการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม หรือ DEI อันเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ สำหรับประเด็นเรื่องความหลากหลายที่มีการพูดถึงมากที่สุดใจตอนนี้คือเรื่อง Generation

ทำไมเด็กสมัยนี้ต้องขอสัมภาษณ์หลังเลิกงาน? ทำไมบริษัทต้องให้เข้าไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศ? ทำไมทำงานแค่ 3 ปีอยากเป็น CEO? ทำไมยังโปรโมทไม่ได้ถ้าพี่ยังไม่ได้โปรโมท? คำถามมากมายที่ตอบยังไงก็ไม่ถูกใจคนที่เติบโตมาจากสมัย ประสบการณ์และทัศนคติต่อการทำงานที่แตกต่าง

เพราะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราเห็นคนต่างเจน มากถึง 5 เจนอยู่ร่วมกันในองค์กร การบริหารคนต่างเจนจึงถือเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ Baby Boomers ไปจนถึง Generation Z ความหลากหลายที่เปลี่ยนแปลงไปนี้นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของความเป็นผู้นำ ความสามารถในการจัดการและบูรณาการจุดแข็งของคนรุ่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำที่ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่กลมกลืน มีประสิทธิผล และผลักดันนวัตกรรม 

4 คุณลักษณะสำคัญของผู้นำที่ผนึกพลังคนหลากหลาย Generation มีดังนี้

1. เลิกคิดจะไปเปลี่ยนแปลงคนต่างเจน 

จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำที่จะผนึกพลังคนหลากหลายเจนที่มีประสิทธิภาพ คือเลิกคิดจะไปเปลี่ยนแปลงคนต่างเจน แต่ต้องการทำความเข้าใจคุณลักษณะเฉพาะ ค่านิยม ทัศนคติ และความชอบในการทำงานของแต่ละรุ่น ตัวอย่างเช่น Baby Boomers เป็นที่ให้ความสำคัญต่อจรรยาบรรณในการทำงานและความภักดีต่อนายจ้าง ในขณะที่ Generation X ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และ Generation Z เจนใหม่ล่าสุดที่เข้าสู่ตลาดแรงงานที่ให้คุณค่าต่อความหมาย คุณค่าแท้จริงของการทำงาน เทคโนโลยี และความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นการตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ผู้นำสามารถปรับแนวทางของตนและนโยบายองค์กรได้ ทำให้มั่นใจว่าสมาชิกในทีมแต่ละคนรู้สึกมีคุณค่า เข้าใจ และมีแรงบันดาลใจ

2. ก้าวข้ามทัศนคติการมองคนแต่ละเจนแบบเหมารวม 

แนวทางความเป็นผู้นำที่ผนึกพลังคนต่างเจนให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมของพนักงานแต่ละคน โดยไม่คำนึงถึงอายุ ก้าวข้ามทัศนคติแบบเหมารวม เช่น คำว่า “เด็กสมัยนี้” “คนสมัยพี่” และส่งเสริมการไม่แบ่งแยกและความเท่าเทียมโดยตระหนักถึงจุดแข็งและศักยภาพส่วนบุคคลของสมาชิกในทีม ส่งเสริมความเสมอภาค ไม่ว่าการโอกาสในพัฒนา การยอมรับ หรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผู้นำที่สามารถลดอคติที่เกี่ยวข้องกับอายุจะสามารถสร้างทีมที่เหนียวแน่นมากขึ้น

3. ใช้รูปแบบการสื่อสารที่หลากหลายอันเป็นเครื่องมือสำคัญเชื่อมโยงคนต่างเจน

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นรากฐานที่สำคัญของการเป็นผู้นำทุกยุคสมัย และยิ่งทวีความสำคัญในการบริหารคนต่างเจนเพราะการสื่อสารช่วยปิดช่องว่างและเข้าถึงคนต่างเจน ผู้นำต้องรู้จักใช้รูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย ตั้งแต่รายงานที่เป็นทางการ อีเมล ไปจนถึงการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีทางโซเชียลแพลตฟอร์มที่พนักงานอายุรุ่นใหม่ชื่นชอบ นอกจากนี้ การส่งเสริมโครงการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (one-on-one) เพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ระหว่างคนต่างเจนยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำระหว่างรุ่นและส่งเสริมความเคารพและการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

4. เต็มใจทดลองรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น

การจัดการทำงานให้มีความยืดหยุ่นเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับผู้นำที่จะดึงดูดคนต่างเจน ผู้นำต้องเข้าใจว่าสิ่งที่จูงใจคนแต่ละเจนไม่เหมือนกัน การทำงานแบบมีลำดับชั้นที่ชัดเจนอาจจะดึงดูดคน Baby Boomer หรือ Generation X ในขณะที่การจัดให้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้อิสระ เปิดโอกาสให้ร่วมระดมสมองคิด ทำงานร่วมกันอาจจะจูงใจ Generation Y และ Generation Z มากกว่า ผู้นำที่สามารถปรับตัวโดยการเต็มใจที่จะทดลองใช้นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น และเปิดรับข้อเสนอแนะ จะสามารถสร้างสถานที่ทำงานที่ครอบคลุมคนหลากหลายเจนมากขึ้น

โดยสรุป ความเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความหลากหลายด้าน Generation ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้นำที่สามารถปลดล็อกมุมมองและประสบการณ์ ขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานร่วมกันจึงจะสามารถสร้างความสำเร็จในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น

Bangkokbiznews
ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วงวงศ์ญาติ
2 เมย 2567

48
จากกรณีสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็น 2 พื้นที่ที่มีจุดความร้อนติดอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat-8 ของวันที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 10.48 น. แสดงพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ของ อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งพบพื้นที่ความเสียหายทั้งสิ้น 251,037 ไร่

และในพื้นที่ของ อ.แม่แจ่ม อ.จอมทอง อ.ฮอด อ.อมก๋อย อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ที่มีความเสียหายทั้งสิ้น 203,573 ไร่ รวมพื้นที่ความเสียหายทั้งหมด 454,610 ไร่

สำหรับสาเหตุการเกิดไฟป่ายังคงมาจากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ รวมถึงการเผาพื้นที่เกษตรก่อนเตรียมการเพาะปลูก และการเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น

ข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าตรวจสอบในพื้นที่จริงร่วมกับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟู ป้องกัน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน.

1 เมษายน 2567
มติชน

49
ตำรวจไล่ล่า 2 หนุ่มโหด บุกร้านจำหน่ายสุราฟันเจ้าของร้านแขนขาด แฟนสาวช็อกคว้าแขนพาวิ่งหนียังไม่หยุดถือมีดวิ่งไล่ โชคดีชาวบ้านมาช่วยเลยทิ้งรถวิ่งหนีไป ปมแค้นเตือนห้ามสูบบุหรี่

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 1 เม.ย.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทชายถูกมีดฟันแขนขาด บริเวณหน้าร้านจำหน่ายสุรา ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมฝ่ายสืบสวน และหน่วยกู้ภัยสว่างประทีป ศรีราชา

ที่เกิดเหตุพบคราบเลือดกระจายอยู่เต็มพื้นเป็นทางยาว และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าโซนิค สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน พลิกตะแคงข้างอยู่ ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายสุรา อายุ 39 ปี ถูกมีดฟันแขนซ้ายขาด ชาวบ้านช่วยกันนำตัวส่งรพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ไปก่อนหน้านี้แล้ว

สอบสวนแฟนสาว ระบุ ตอนนั้นตนนั่งอยู่ในร้าน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดหน้าร้านแล้วลงมาเอามีดฟันแขนแฟนขาดตกใจมาก หยิบแขนของแฟนวิ่งหนีไปโรงพยาบาลพร้อมกับแฟน ซึ่งคนร้ายก็ยังวิ่งตามมาโชคดีมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเหลือและพาแฟนไปส่งรพ.

" สาเหตุน่าจะเป็นเรื่องจากเย็นวานนี้ เกิดรถชนกันใกล้หน้าร้านแล้วคนที่ฟันแขนแฟนมายืนสูบบุหรี่ดูเหตุการณ์อยู่หน้าร้าน ทำให้กลิ่นควันเข้าไปในร้าน แฟนเลยเดินออกไปเตือนจนกระทั่งวันนี้มาเกิดเหตุ "

ขณะที่พลเมืองดี เล่านาทีระทึก ขับรถผ่านตรงที่เกิดเหตุได้ยินเสียงคนร้องตะโกนให้ช่วยเหลือจึงวนรถกลับไปดูก็พบว่ามีผู้ชายแขนขาด 1 คนพร้อมผู้หญิงกำลังพากันเดินไปโรงพยาบาล จึงรีบวิ่งตามคนร้ายไปจนกระทั่งไปบอกให้คนร้ายยอมมอบตัวซะ แต่คนร้ายไม่หยุดวิ่งหนีต่อ ซึ่งคนร้ายยังบอกว่าคนเจ็บจะไปยิงเขาก่อนช่วงเย็นวานนี้

เบื้องต้นหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังออกค้นหาคนร้าย คาดว่ายังคงหลบหนีไปได้ไม่ไกลเนื่องจากทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ พร้อมเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดหารูปพรรณคนร้ายติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป

1 เม.ย.2567
ข่าวสด

50
การปรับ “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566

สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ บรรจุใหม่รอบนี้ เป็นผลมาจากที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท และผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับ ปวช. จะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 11,000 บาท ภายในระยะเวลา 2 ปี

การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการนั้นเป็นไปตามความเหมาะสม คำนึงถึงสถานการณ์โลกและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต รวมทั้งเพื่อรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพและศักยภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบราชการไทยต่อไป

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

............................................................................................

สำหรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ แรกบรรจุทุกคุณวุฒิ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 แยกเป็นกลุ่มวุฒิการศึกษา ดังนี้

วุฒิการศึกษา ปวช.
อัตราเดิม : 8,400-10,340 บาท
อัตราใหม่ : 10,340-11,380 บาท

วุฒิการศึกษา ปวส.
อัตราเดิม : 11,500-12,650 บาท
อัตราใหม่ : 12,650-13,920 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี
อัตราเดิม : 15,000-16,500 บาท
อัตราใหม่ : 16,500-18,150 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาโท
อัตราเดิม : 17,500-19,250 บาท
อัตราใหม่ : 19,250-21,180 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก
อัตราเดิม : 21,000-23,100 บาท
อัตราใหม่ : 23,100-25,410 บาท



1 เมษายน 2567

51
เรียกได้ว่าเป็นข่าวเศร้าของวงการมวยไทย หลังสูญเสียนักมวยดาวรุ่งเจ้าของฉายา "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ที่หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของนักมวยดาวรุ่งคนนี้กันมาบ้างแล้ว ท่ามกลางแฟนมวยที่เข้ามาไวอาลัยต่อการสูญเสียในครั้งนี้จำนวนมาก โดยเพจเฟซบุ๊ก มิสเตอร์ป๋อง ได้แจ้งข่าวร้ายดังกล่าวว่า

"ณรงค์ชัย..จากไปอย่างสงบ !! "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ นักชกอำเภอจักราช นครราชสีมา เคยชกสังกัดเกียรติเพชร และกลุ่มพลังใหม่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ก่อนหน้านั้น เจ้าตัวเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่มอเตอร์ไชค์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567  นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่หลายวัน แพทย์พยายามยื้อชีวิตไว้เต็มที่แต่ไม่สำเร็จ จนมาเสียชีวิตในวันอาทิตย์ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องบิว ณรงค์ชัย ด้วยครับ ผมเองก็ได้บรรยายน้องชกตั้งแต่ดาวรุ่งจนเป็นดาวดัง ขึ้นชกคู่เอกมาหลายครั้ง!! #ขอให้น้องสู่ภพภูมิที่ดีครับ R.I.P."  โดยแฟนมวยต่างเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างต่อเนื่อง

 สำหรับ "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ เคยโลดแล่นบนสังเวียนมาหลายไฟต์และถูกจับตาว่ากำลังจะเป็นนักชกอนาคตไกล ก่อนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต

Thainewsonline
1 เมย 2567

52
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง  4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังได้รับทราบเรื่องนี้ ได้ติดต่อไปยัง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น

พญ.อัมพร ชี้แจงว่า เรื่องการลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการบริหารภายใน แต่ยังไม่ได้เห็นเอกสารลาออกฉบับจริง ได้รับการแจ้งผ่านการบอกเล่า

เมื่อถามว่า มีการระบุเหตุผลในหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเหมือนกันว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ?

พญ.อัมพร กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องถามเจ้าตัวเอง"



29 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/127436-isra-priest-hospital.html

53
วันนี้ (1 เมษายน 2567) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ปรับระบบให้หน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) 902 แห่ง ใช้ระบบ Financial Data Hub (FDH) เป็นช่องทางในการเบิกจ่ายค่าบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป หลังประเมินผลการเบิกจ่ายโครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ใน 4 จังหวัดนำร่อง พบว่าได้ผลดี สะดวกกับโรงพยาบาล และเดินหน้าสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบเพื่อช่วยให้การเบิกจ่ายรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมมาตรฐานรักษาควาปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งเตรียมขยายสู่สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสังคมต่อไป

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดและโฆษก สธ. เปิดเผยว่า สธ.ได้พัฒนาระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน กระทรวงสาธารณสุข (Financial Data Hub : FDH) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลด้านการรักษาพยาบาลและการเงิน สนับสนุนการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนนโยบายด้านสาธารณสุขได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง มีการส่งข้อมูลบริการมายัง FDH ครบทุกแห่ง และเมื่อเริ่มนำร่อง 30 บาทรักษาทุกที่ฯ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการเบิกจ่ายการค่าบริการของหน่วยบริการ 49 แห่ง ใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส พบว่า สามารถส่งข้อมูลได้ครบทุกแห่ง สปสช. รับข้อมูลไปพิจารณาและโอนจ่ายให้หน่วยบริการได้สำเร็จ รวมทั้งมีการขยายไปยังหน่วยบริการอื่นที่พร้อมส่งข้อมูลเพื่อขอรับค่าใช้จ่ายผ่านระบบ FDH ด้วย

นพ.สุรโชค กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จดังกล่าว สธ. และ สปสช. จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือการดำเนินการพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกค่าบริการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกจ่ายบนระบบคลังข้อมูลสุขภาพของทั้ง 2 หน่วยงาน รองรับการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัด สธ.ผ่าน FDH ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง ส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผ่านระบบ FDH เพียงช่องทางเดียว เป็นการเปลี่ยนวิธีส่งข้อมูลจากการบันทึกในระบบเป็นการส่งข้อมูลด้วย “เทคโนโลยีดิจิทัล” แทน โดยระบบ FDH จะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการและ สปสช. ด้วย API และทำหน้าที่เสมือนเป็นไปรษณีย์ รับและส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

“เรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) จะมีการให้สิทธิและตรวจสอบสิทธิก่อนเข้าใช้งานระบบ FDH สิทธิการแก้ไขข้อมูล มีการเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคลจากระบบสารสนเทศโรงพยาบาลก่อนส่งเข้าระบบ FDH ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ISO/IEC 27001 และ ISO 27799 โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ทำการเจาะระบบหาช่องโหว่ เพื่อนำไปสู่การรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน” นพ.สุรโชค กล่าว

โฆษก สธ. กล่าวอีกว่า สป.สธ.ยังได้พัฒนาบุคลากรของหน่วยบริการให้สามารถส่งข้อมูลและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง ครบถ้วน ผ่านการประชุมชี้แจงและอบรมผู้ใช้งาน โดยร่วมกับ สปสช. ผู้พัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาล และบุคลากรจาก 4 จังหวัดนำร่อง ถ่ายทอดประสบการณ์ ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จในการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงสนับสนุนผู้บริหารแต่ละระดับ ในการควบคุม กำกับ ติดตาม การปฏิบัติงานของบุคลากร โดยในระยะต่อไป สธ.จะดำเนินการให้ระบบ FDH สามารถทำงานร่วมกับระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลางที่ดูแลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบสารสนเทศของกองทุนประกันสังคม และสิทธิการรักษาพยาบาลอื่นๆ ต่อไป

https://www.matichon.co.th
1 เมษายน 2567

54
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยว จุลมงกุฎ พระเกี้ยวยอด หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “พระเกี้ยว” เป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ

พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 5 เป็นตรางา ลักษณะกลมรี ขนาดกว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร รูปพระเกี้ยวมีรัศมี ประดิษฐานบนพานรอง 2 ชั้น ปากพานชั้นล่างมีรูปดอกกุหลาบ เคียงด้วยฉัตรตั้ง 2 ข้าง ที่ริมขอบทั้ง 2 ข้าง มีพานรอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง

โดยเหตุที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเกี้ยวขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อให้รัชกาลที่ 5 (ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ) ใช้ทรงในพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อ พ.ศ. 2408 จึงได้เรียกกันว่า “จุลมงกุฎ” มาแต่ครั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง รัชกาลที่ 5 จึงทรงถือเอาพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎนี้มาเป็นสัญลักษณ์หรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ต่อมา

พระราชลัญจกรนี้ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสาร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่ารัชกาลที่ 5 ทรงประทับพระราชลัญจกรพระเกี้ยวครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2410 กล่าวคือ

เมื่อ พ.ศ. 2410 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ส่งมองซิเอแบลกัวต์เป็นราชทูตพิเศษเข้ามาแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญากับสยาม ต่อมาวันหนึ่ง รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ทอดพระเนตรเรือรบฝรั่งเศสตามคำกราบบังคมทูลเชิญของราชทูต

จากนั้น “ราชทูตฝรั่งเศสจัดการรับเสด็จอย่างเต็มยศใหญ่ ชักธงบริวารและให้ทหารขึ้นยืนประจำเสาเรือรบ แล้วยิงปืนสลุตตามพระเกียรติยศรัชทายาททุกประการ อาศัยเหตุที่ราชทูตฝรั่งเศสแสดงความเคารพโดยพิเศษนี้ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึงรัชกาลที่ 5) ลงพระนามและประทับพระลัญจกร ในหนังสือสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนสัญญา กับกรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปราบปรปักษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัย…”
ดังนั้น รัชกาลที่ 5 ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ จึงน่าจะทรงใช้ตรา “พระเกี้ยว” ประจำพระองค์ ทรง “ลงพระนามและประทับพระลัญจกร” ในหนังสือสำคัญดังกล่าว เช่นเดียวกับเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของสยาม ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ข้างต้น

อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า “ดูเหมือนตราพระลัญจกรรูปพระจุลมงกุฎ (เกี้ยวยอด) จะคิดขึ้นในคราวนี้ แต่ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ”

อ้างอิง :
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2555). พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
ส. พลายน้อย. (2527). ความรู้เรื่องตราต่าง ๆ เล่ม 1 พระราชลัญจกร. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บำรุงสาส์น

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ตุลาคม 2564
https://www.silpa-mag.com


55
ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2024 กฎหมายใหม่ของเยอรมนีเกี่ยวกับการครอบครองกัญชาส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้ประชากรที่มีอายุ 18 ขึ้นไป สามารถสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงได้รับอนุญาตให้พกพากัญชาแห้งได้ไม่เกิน 25 กรัม และปลูกต้นกัญชาที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น

กฎหมายใหม่นี้เกิดขึ้นหลังการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น

รัฐบาลกล่าวว่า การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชาจะช่วยในการต่อสู้กับตลาดมืด และลดการแพร่กระจายของกัญชาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปนเปื้อน กฎหมายใหม่จึงเป็นการปกป้องคนหนุ่มสาว

แต่แน่นอนว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเยาวชนเช่นกัน โดย คัตยา ไซเดล นักบำบัดที่ Tannenhof Berlin-Brandenburg ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงเบอร์ลิน กล่าวว่า “จากมุมมองของเรา กฎหมายนี้ถือเป็นหายนะ”

เธอเสริมว่า “การเข้าถึงผลิตภัณฑ์จะง่ายขึ้น ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปและทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว คาดว่าจะเห็นการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น อย่างน้อยในช่วงแรก”

ทั้งนี้ การใช้กัญชาโดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจะยังคงผิดกฎหมายต่อไป

กฎหมายใหม่ยังมีมาตรการป้องกันบางประการเพื่อปกป้องเยาวชน รวมถึงการห้ามสูบกัญชาภายในรัศมี 100 เมตรจากโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น หรือศูนย์กีฬา

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี คาร์ล เลาเทอร์บาค ให้สัญญาว่า จะรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและส่งเสริมโครงการป้องกัน

อย่างไรก็ตาม แคมเปญสื่อที่วางแผนไว้ไม่ทำให้นักวิจารณ์เชื่อถือเท่าไรนัก บอริส น็อบลิช โฆษกของ Tannenhof Berlin-Brandenburg กล่าวว่า “มันไม่สอดคล้องกับพวกเขา มันจะไม่มีวันได้ผล สิ่งที่ได้ผลคือคนที่เข้าไปคุยกับพวกเขาระหว่างดื่มกาแฟ โดยไม่มีครูอยู่ที่นั่น”
ด้านศูนย์สุขศึกษาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงกับกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พวกเขาจะ “รับความรับผิดชอบโดยขยายข้อเสนอการป้องกัน”

ขณะเดียวกัน รัฐบาวาเรียทางตอนใต้กำลังทดสอบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์สำหรับครูเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยเรื่องกัญชาในห้องเรียน

ตามสถิติอย่างเป็นทางการในปี 2021 ประมาณ 8.8% ของผู้ใหญ่ในเยอรมนีที่มีอายุ 18-64 ปีกล่าวว่าพวกเขาใช้กัญชาอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี สถิติดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 10%

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 เม.ย. 2567

56
วันโกหกโลก หรือ วันเมษาฯ หน้าโง่ ที่ผู้คนจะออกมาเล่นมุกตลก หรือเห็นแคมเปญการตลาดแปลก ๆในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี แล้ววันนี้ที่มาเป็นอย่างไร

ประวัติศาสตร์ 1 เมษา วันโกหกโลก
วันโกหกโลก เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1582 เมื่อชาติฝรั่งเศสเปลี่ยนจากปฏิทินจูเลียนเป็น ‘ปฏิทินเกรกอเรียน’ ซึ่งจะเปลี่ยนปีใหม่จาก วันที่ 1 เมษายน เลื่อนไปเป็น วันที่ 1 มกราคม ดังเช่นในทุกวันนี้

ทำให้เหล่าผู้คนที่เฉลิมฉลองในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน กลายเป็นเรื่องราวตลกขำขันและถูกเรียกว่า พวกหน้าโง่ ที่ตามไม่ทันข่าวสารบ้านเมือง

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าวันโกหกโลกยังเชื่อมโยงกับวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติหลอกผู้คน ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนคาดเดาไม่ได้

ตัวอย่าง เหตุการณ์หลอกโลกลวงที่สุดในโลก
การเก็บเกี่ยวเส้นสปาเกตตีจากต้น
ในปีค.ศ. 1957 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าเกษตรกรชาวสวิสกำลังประสบปัญหากับการปลูกสปาเกตตี และได้ฉายภาพผู้คนกำลังเก็บเส้นสปาเกตตีจากต้นไม้ จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในประเทศอังกฤษ

การปล้นทองคำ​ครั้งใหญ่ในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ Berliner Tageblatt ประกาศว่าหัวขโมยได้ขุดอุโมงค์ใต้กระทรวงการคลังสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขโมยเงินและทองคำของอเมริกาได้มากกว่า 268 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9750 ล้านบาท)

ก่อนที่ผู้คนจะตระหนักว่านี่เป็นการแกล้งกันในวันเอพริลฟูลส์โดย Louis Viereck นักข่าวชาวนิวยอร์กของ Berliner Tageblattซึ่งตีพิมพ์บทความเรื่องตลกโดยใช้ชื่อปลอม

Virgin Airlines ผู้สร้างตำนาน UFO
ในปี 1989 ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Virgin Group สร้างจานบิน UFO และมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา โดยวางแผนที่จะลงจอดที่ไฮด์ปาร์คในวันที่ 1 เมษายน เพื่อแกล้งกัน อย่างไรก็ตาม กระแสลมที่เปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขาต้องลงจอดเร็วขึ้นเล็กน้อยในเซอร์เรย์

กระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย
และสุดท้ายกับเรื่องตลกสุดขำขัน ที่เรียกเสียงฮา ในปี 2015 ซึ่งทางบริษัท Cottonelle ได้ออกทวีตข้อความว่า กำลังเปิดตัวกระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย

Beartai
1 เมษายน 2567

57
กระแสดราม่าเล็กๆ จากประโยคหนึ่งของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจหนุ่มผู้ก่อตั้ง Bitkup Capital Group Holdings ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆ ที่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่อง Work Life Balance และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากกรณีนี้ยังมีกระแสเรื่องยูทูบเบอร์ช่องดังรายหนึ่งใช้แรงงานนักศึกษาฝึกงานแบบโต้รุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน ทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าการสร้างสมดุลในชีวิตกับการทำงานที่ดีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ

Work Life Balance คืออะไร
Work Life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็น

ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน
สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่มีคุณภาพมากขึ้น
Work Life Balance ที่ดีก็ประสบความสำเร็จได้
ผลสำรวจจาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า

40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง

...

ขณะเดียวกันผลสำรวจก็เผยว่า “เงินเดือนที่สูงขึ้น” เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ไม่สามารถรั้งพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ เพราะเงินเดือนคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน แต่การมี Work Life Balance ที่ดี เป็นเหตุผลอันดับ 2 ที่ทำให้รักษาพนักงานเก่าไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเลือกที่จะอยู่ต่อกับบริษัทเดิม อันดับ 1 คือการมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี Work Life Balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า 44% ของคนที่ยังต้องการอยู่ที่เดิม จะมีข้อเสนอว่าพวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัท และยังต้องการเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานใหม่อีกด้วย

ส่วนความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนกลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของการตัดสินใจเลือกอยู่กับองค์กรเดิม ดังนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่มีความสามารถ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่องสุขภาวะที่ดีของพนักงานควบคู่ไปด้วย

Work Life Balance สร้างได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานก็สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้

ตั้งเป้าหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรตั้งเป้าหมายและจัดรายการลำดับการทำงานในแต่ละวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตนเองเมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจของตนเองในแต่ละวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานเพื่อช่วยให้จดจ่อกับงานและผลิตงานที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
ใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น การแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ภายในจิตใจ จึงไม่ควรละเลยคนรอบตัวที่ควรให้ความสำคัญ
ใส่ใจกับตนเองมากขึ้น ควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต

การมี Work Life Balance ที่ดี แบ่งเวลาให้กับการทำงาน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ก็ช่วยให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำว่า Work Life Balance ของหลายคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจโฟกัสที่ความสำเร็จในการทำงานด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางไว้ หรือบางคนอาจเน้นที่ตัวเงินเดือนหรือรายได้เป็นหลักมากกว่าการแบ่งเวลาไปสร้างสมดุลในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด และการที่คนอื่นๆ จะเลือก Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าคนรอบข้างต้องคิดและทำแบบตนเองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องของสังคมเสมอไป

...


ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร

25 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

58
ระทึกทั้งโรงพยาบาล ชายส่งยิ้มหวานให้พยาบาล บุกห้องพักหมอสาว ลวนลาม แม่ เผยเป็นแบบนี้จนออกไปไหนไม่ได้ แฉ เคยบุกโรงเรียนลวนลามครู

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มี.ค.2567 ร.ต.อ.สายชล แสงทอง รองสารวัตร(ป้องกันและปราบปราม) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา รับแจ้งเหตุชายพยายามบุกเข้าไปภายในห้องพักแพทย์ ของตึกผู้ป่วยอายุรกรรม ชั้น 7 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ

ที่เกิดเหตุพบชายดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงพยาบาลทำการควบคุมตัวเอาไว้แล้ว ชื่อ นายสมชาย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งจากการสอบถามพยาบาลบนตึกให้การว่า

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้นายสมชายมีพฤติกรรมส่งสายตายิ้มหวานกับพยาบาลสาวรายหนึ่ง และได้พยายามเดินตามพยาบาลสาว ขณะที่พยาบาลสาวกำลังเดินไปซื้อข้าวที่ร้านค้าสหกรณ์ของโรงพยาบาล

แต่ด้วยพฤติกรรมที่ผิดสังเกต พยาบาลสาวจึงได้สอบถามว่าเดินตามทำไม แต่นายสมชายอ้างว่าจะไปห้องน้ำ แต่ก็ยังคงเดินตามพยาบาลสาวอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพยาบาลสาวเห็นท่าไม่ดี จึงได้ด่าออกไป 1 คำ ก่อนที่นายสมชายจะตัดสินใจเดินแยกทางออกไป

เมื่อพยาบาลสาวไปทำธุระเสร็จแล้ว พอเดินกลับขึ้นมาบนตึก ก็ได้ยินเสียงของคุณหมอกรีดร้องเสียงดัง เพราะนายสมชายบุกเข้าไปภายในห้องคุณหมอบนตึกผู้ป่วย ซึ่งกำลังพยายามที่จะลวนลามคุณหมอสาว

แต่โชคดีที่ภายในห้องมีคุณหมอผู้ชายอยู่ด้วย จึงได้ตาม รปภ.ของโรงพยาบาล และช่วยกันควบคุมตัวนายสมชายเอาไว้ได้ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและนำลงมาจากอาคารผู้ป่วย

นางสุคนธ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายสมชายได้เดินเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ พร้อมบอกว่า ตนเดินตามหาลูกตั้งนาน หลังจากเมื่อเวลา 05.00 น. ตนเดินทางมาจาก ต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อพาลูกชายมาหาหมอจิตเวช ตามที่หมอนัด

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ช่วงที่ตนกำลังติดต่อทำเอกสารอยู่นั้น ไม่รู้ว่าลูกชายเดินหายไปไหน พยายามเดินตามหาแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งมาพบว่าลูกชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเอาไว้ เพราะมีพฤติกรรมพยายามจะลวนลามพยาบาลและคุณหมอ

นางสุคนธ์ ให้การว่า ความจริงแล้วตนไม่อยากพานายสมชายมา เพราะรู้ว่าเป็นคนอย่างไร แต่ก็ปล่อยไว้ที่บ้านไม่ได้ เนื่องจากนายสมชายมักแอบเดินไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับที่บ้าน และพยายามจะไปลวนลามคุณครูที่นั่น จนทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ของโรงเรียน ถ้าเข้ามาก็จะถูกด่าและไล่ออกไป

นางสุคนธ์ ให้การต่อว่า พอตนนำนายสมชายออกไปขายของตามตลาดนัดด้วย เพื่อหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ตลาดก็ไม่ให้ตนเอานายสมชายมาขายของ เนื่องจากนายสมชายจะมีพฤติกรรมในลักษณะแบบนี้กับร้านค้าด้วยกัน และชาวบ้านที่เดินมาจับจ่ายซื้อสินค้าภายในตลาด ทำให้ไม่สามารถออกไปขายของได้ เพราะต้องคอยเฝ้านายสมชายอยู่ที่บ้าน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำการควบคุมตัวนายสมชายไว้บนท้ายรถตำรวจ นายสมชายได้มองหน้าพยาบาล และพูดไม่หยุดว่า อยากได้พยาบาลคนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ฝากเตือนผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องที่มีผู้ป่วยทางจิตเวช ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเป็นอันตรายกับผู้อื่นได้ หากขาดการควบคุมดูแล และเอาใจใส่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พยาบาลและคุณหมอ ได้เดินทางไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนการดำเนินคดีนั้นคงต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ ว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากผู้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นผู้ป่วย


https://www.khaosod.co.th
27 มี.ค.2567

59
เมื่อปี 2509 คณะสำรวจโบราณคดีกรมศิลปากร มหาวิทยาลัยฮาวาย ทำการขุดค้นที่โนนนกทา ต. บ้านโคก อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบที่นี้ แสดงว่า พื้นที่เมืองไทย “ทำนาปลูกข้าว” มาแล้วประมาณ 5,500 กว่าปี ก่อนการปลูกข้าวที่จีนหรืออินเดียราว 1,000 ปี ทั้งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ข้าวเริ่มปลูกในเอเชียอาคเนย์ในสมัยหินใหม่ ก่อนแพร่ขึ้นไปสู่อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี

หนึ่งในหลักฐานโบราณคดีสำคัญที่สุด ได้แก่ “รอยแกลบข้าว” ซึ่งติดอยู่ที่เศษเครื่องปั้นดินเผาใต้หลุมศพ หาอายุโดยตรวจคาร์บอน 14 ได้อย่างน้อยที่ 3,500 ปีก่อน ค.ศ. แกลบของเมล็ดข้าวดังกล่าวเป็นข้าวที่คนปลูก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa ข้าวพวกนี้แยกออกเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ คือ

1. อินดิคา (Indica) เป็นข้าวขึ้นในแถบร้อน ต้นมักจะสูง ฟางอ่อน เมล็ดมักยาว เป็นข้าวที่ปลูกกันในไทย ประเทศใกล้เคียง และทั่วไปในแถบร้อน

2. จาปอนนิคา (Japonica) ปลูกกันในญี่ปุ่น เกาหลี บางส่วนของไต้หวัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน และทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เมล็ดป้อม ต้นเตี้ย ฟางแข็ง เมื่อหุงต้มเมล็ดจะไม่ร่วน มักจะติดกันค่อนข้างแข็ง

พ.ศ. 2510 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tottor และกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เริ่มต้นศึกษาวิจัยแกลบข้าวจากแผ่นอิฐโบราณในไทย 108 แห่ง จาก 39 จังหวัดทั่วทุกภาคของไทย ใช้เวลา 3 ปี (พ.ศ. 2510-2512)

การวิจัยแบ่งได้เป็น 4 ระยะคือ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 และระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 ส่วนข้าวที่พบในแผ่นอิฐจากประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ข้าวเมล็ดป้อม, ข้าวเมล็ดใหญ่ และข้าวเมล็ดเรียว ผลการวิจัยปรากฏว่า

1. ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 มีข้าวเมล็ดป้อมมาก รองลงมาได้แก่ข้าวเมล็ดใหญ่ ข้าวเมล็ดเรียวพบบ้างโดยพบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่พบข้าวเมล็ดเรียวในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

2. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ก็ยังพบข้าวเมล็ดป้อมอยู่เช่นสมัยก่อน ข้อที่น่าสังเกตคือ ข้าวเมล็ดเรียวกลับทวีจำนวนมากขึ้น พบอยู่ทั่วประเทศ ส่วนเมล็ดข้าวใหญ่กลับมีจำนวนลดน้อยลง

3. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ข้าวเมล็ดป้อมพบกระจายทั่วไป ส่วนข้าวเมล็ดเรียวกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดใหญ่กลับมีจำนวนลดลง

4. ระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นต้นมา ข้าวเมล็ดเรียวพบมากที่สุด มีผู้นิยมปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันอย่างมากในที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กลับไปปลูกกันเฉพาะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สรุปได้ว่า “ข้าวเมล็ดป้อม” ปลูกกันอยู่ทั่วไปกว่า 1,000 ปี ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 ข้าวพันธุ์นี้คล้ายพันธุ์จาปอนนิคา หลังพุทธศตวรรษที่ 23 คงพบปลูกมากอยู่ที่ภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หายไปจากภาคกลาง ข้าวเมล็ดป้อมนี้น่าจะได้แก่ “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่ลุ่ม (the glutinous–lowland variety)

ส่วน “ข้าวเมล็ดใหญ่” พบอยู่ทั่วไป เมื่อพุทธศตวรรษที่ 20 มีจำนวนลดน้อยลง โดยเฉพาะในภาคกลางเกือบสูญพันธุ์ จากแผนที่แสดงชั้นสูง (contour map) ของไทยพบว่า ข้าวเมล็ดใหญ่งอกงามอยู่ตามภูเขาหรือที่ราบสูง ที่ภาคเหนือปลูกข้าวเหนียวที่งอกงามได้ในที่สูงมาก ข้าวเมล็ดใหญ่นี้ก็น่าจะเป็น “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่สูง

“ข้าวเมล็ดเรียว” นั้น เมื่อก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 อยู่ในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปรากฏว่ามีผู้ปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันในทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลางปลูกมากกว่าที่อื่น ในภาคกลางข้าวเมล็ดเรียวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าวเมล็ดเรียวนี้ได้แก่ “ข้าวเจ้า”

ส่วนการ “ทำนาปลูกข้าว” ในประเทศไทย มีมาแล้วกว่า 5,000 ปี

สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่
สมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) ที่ภาคใต้มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและข้าวเจ้า
สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16-19) ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กับข้าวเจ้า ภาคกลางนิยมปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก และปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยเชียงแสน (พุทธศตวรรษที่ 17-25) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดยาวกับข้าวเจ้า ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าข้าวเหนียว
สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) ตอนต้น ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อม ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น

ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมบ้าง ข้าวเหนียวเมล็ดยาวเกือบสูญพันธ์ุ แต่ข้าวเจ้านิยมปลูกมากขึ้นหลายเท่า


เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม
27 มีค 2567

60


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ เป็นปีที่ 132 ในวันที่ 1 เมษายน 2567 สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 132 ปี ความว่า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระอนุศาสน์สั่งสอนไว้ว่า “อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตฺถํ คณฺหาติ ปณฺฑิโต.” แปลความว่า “บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์.” ดังนี้ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในฐานะครู อาจารย์ ผู้บริหาร และผู้จัดการศึกษาของชาติ จำเป็นต้องรู้จักฝึกฝนอบรมตนให้ถึงพร้อมด้วยปัญญาสอดส่องหลักแหลม ในอันที่จะรู้จำแนกแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เป็นบัณฑิต ผู้สามารถปฏิบัติบริหารภารกิจด้านการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุโดยตรงต่อความรุ่งเรืองของชาติได้อย่างฉลาดรอบคอบ ไม่เผลอนำสิ่งไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนามนุษย์ เข้ามาเพิ่มพะรุงพะรังในการศึกษาของชาติ หากแต่ต้องเป็นผู้รู้รอบรู้ชัดที่จะจัดแจงแก้ไขปัญหาและอุปสรรค พร้อมสร้างเสริมสิ่งดีมีสาระมาสู่กระบวนการจัดการศึกษาของชาติ ยังให้การศึกษาเป็นกระบวนการแห่งความสุข เป็นสิ่งสวยงามสำหรับชีวิตผู้เรียน อันจักเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนปรารถนาที่จะศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจนตลอดชีวิต

กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่สร้างสรรค์สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานถึง 132 ปี เป็นที่น่าอนุโมทนา ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงพึงอบรมตนให้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาอย่างบัณฑิต เพื่อให้บังเกิดสัมฤทธิผลต่ออนาคตของสังคมส่วนรวมได้อย่างยั่งยืน สมตามนัยแห่งพระพุทธานุศาสนี

ขออำนวยพรให้กระทรวงศึกษาธิการ เจริญวัฒนาสถาพร สามารถสรรค์สร้างคุณูปการให้แก่สังคมไทย สืบไปตลอดกาลนาน


(สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 537