แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 534
16
ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2024 กฎหมายใหม่ของเยอรมนีเกี่ยวกับการครอบครองกัญชาส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้ประชากรที่มีอายุ 18 ขึ้นไป สามารถสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงได้รับอนุญาตให้พกพากัญชาแห้งได้ไม่เกิน 25 กรัม และปลูกต้นกัญชาที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น

กฎหมายใหม่นี้เกิดขึ้นหลังการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น

รัฐบาลกล่าวว่า การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชาจะช่วยในการต่อสู้กับตลาดมืด และลดการแพร่กระจายของกัญชาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปนเปื้อน กฎหมายใหม่จึงเป็นการปกป้องคนหนุ่มสาว

แต่แน่นอนว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเยาวชนเช่นกัน โดย คัตยา ไซเดล นักบำบัดที่ Tannenhof Berlin-Brandenburg ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงเบอร์ลิน กล่าวว่า “จากมุมมองของเรา กฎหมายนี้ถือเป็นหายนะ”

เธอเสริมว่า “การเข้าถึงผลิตภัณฑ์จะง่ายขึ้น ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปและทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว คาดว่าจะเห็นการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น อย่างน้อยในช่วงแรก”

ทั้งนี้ การใช้กัญชาโดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจะยังคงผิดกฎหมายต่อไป

กฎหมายใหม่ยังมีมาตรการป้องกันบางประการเพื่อปกป้องเยาวชน รวมถึงการห้ามสูบกัญชาภายในรัศมี 100 เมตรจากโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น หรือศูนย์กีฬา

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี คาร์ล เลาเทอร์บาค ให้สัญญาว่า จะรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและส่งเสริมโครงการป้องกัน

อย่างไรก็ตาม แคมเปญสื่อที่วางแผนไว้ไม่ทำให้นักวิจารณ์เชื่อถือเท่าไรนัก บอริส น็อบลิช โฆษกของ Tannenhof Berlin-Brandenburg กล่าวว่า “มันไม่สอดคล้องกับพวกเขา มันจะไม่มีวันได้ผล สิ่งที่ได้ผลคือคนที่เข้าไปคุยกับพวกเขาระหว่างดื่มกาแฟ โดยไม่มีครูอยู่ที่นั่น”
ด้านศูนย์สุขศึกษาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงกับกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พวกเขาจะ “รับความรับผิดชอบโดยขยายข้อเสนอการป้องกัน”

ขณะเดียวกัน รัฐบาวาเรียทางตอนใต้กำลังทดสอบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์สำหรับครูเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยเรื่องกัญชาในห้องเรียน

ตามสถิติอย่างเป็นทางการในปี 2021 ประมาณ 8.8% ของผู้ใหญ่ในเยอรมนีที่มีอายุ 18-64 ปีกล่าวว่าพวกเขาใช้กัญชาอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี สถิติดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 10%

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 เม.ย. 2567

17
วันโกหกโลก หรือ วันเมษาฯ หน้าโง่ ที่ผู้คนจะออกมาเล่นมุกตลก หรือเห็นแคมเปญการตลาดแปลก ๆในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี แล้ววันนี้ที่มาเป็นอย่างไร

ประวัติศาสตร์ 1 เมษา วันโกหกโลก
วันโกหกโลก เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1582 เมื่อชาติฝรั่งเศสเปลี่ยนจากปฏิทินจูเลียนเป็น ‘ปฏิทินเกรกอเรียน’ ซึ่งจะเปลี่ยนปีใหม่จาก วันที่ 1 เมษายน เลื่อนไปเป็น วันที่ 1 มกราคม ดังเช่นในทุกวันนี้

ทำให้เหล่าผู้คนที่เฉลิมฉลองในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน กลายเป็นเรื่องราวตลกขำขันและถูกเรียกว่า พวกหน้าโง่ ที่ตามไม่ทันข่าวสารบ้านเมือง

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าวันโกหกโลกยังเชื่อมโยงกับวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติหลอกผู้คน ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนคาดเดาไม่ได้

ตัวอย่าง เหตุการณ์หลอกโลกลวงที่สุดในโลก
การเก็บเกี่ยวเส้นสปาเกตตีจากต้น
ในปีค.ศ. 1957 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าเกษตรกรชาวสวิสกำลังประสบปัญหากับการปลูกสปาเกตตี และได้ฉายภาพผู้คนกำลังเก็บเส้นสปาเกตตีจากต้นไม้ จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในประเทศอังกฤษ

การปล้นทองคำ​ครั้งใหญ่ในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ Berliner Tageblatt ประกาศว่าหัวขโมยได้ขุดอุโมงค์ใต้กระทรวงการคลังสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขโมยเงินและทองคำของอเมริกาได้มากกว่า 268 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9750 ล้านบาท)

ก่อนที่ผู้คนจะตระหนักว่านี่เป็นการแกล้งกันในวันเอพริลฟูลส์โดย Louis Viereck นักข่าวชาวนิวยอร์กของ Berliner Tageblattซึ่งตีพิมพ์บทความเรื่องตลกโดยใช้ชื่อปลอม

Virgin Airlines ผู้สร้างตำนาน UFO
ในปี 1989 ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Virgin Group สร้างจานบิน UFO และมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา โดยวางแผนที่จะลงจอดที่ไฮด์ปาร์คในวันที่ 1 เมษายน เพื่อแกล้งกัน อย่างไรก็ตาม กระแสลมที่เปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขาต้องลงจอดเร็วขึ้นเล็กน้อยในเซอร์เรย์

กระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย
และสุดท้ายกับเรื่องตลกสุดขำขัน ที่เรียกเสียงฮา ในปี 2015 ซึ่งทางบริษัท Cottonelle ได้ออกทวีตข้อความว่า กำลังเปิดตัวกระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย

Beartai
1 เมษายน 2567

18
กระแสดราม่าเล็กๆ จากประโยคหนึ่งของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจหนุ่มผู้ก่อตั้ง Bitkup Capital Group Holdings ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆ ที่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่อง Work Life Balance และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากกรณีนี้ยังมีกระแสเรื่องยูทูบเบอร์ช่องดังรายหนึ่งใช้แรงงานนักศึกษาฝึกงานแบบโต้รุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน ทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าการสร้างสมดุลในชีวิตกับการทำงานที่ดีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ

Work Life Balance คืออะไร
Work Life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็น

ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน
สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่มีคุณภาพมากขึ้น
Work Life Balance ที่ดีก็ประสบความสำเร็จได้
ผลสำรวจจาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า

40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง

...

ขณะเดียวกันผลสำรวจก็เผยว่า “เงินเดือนที่สูงขึ้น” เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ไม่สามารถรั้งพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ เพราะเงินเดือนคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน แต่การมี Work Life Balance ที่ดี เป็นเหตุผลอันดับ 2 ที่ทำให้รักษาพนักงานเก่าไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเลือกที่จะอยู่ต่อกับบริษัทเดิม อันดับ 1 คือการมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี Work Life Balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า 44% ของคนที่ยังต้องการอยู่ที่เดิม จะมีข้อเสนอว่าพวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัท และยังต้องการเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานใหม่อีกด้วย

ส่วนความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนกลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของการตัดสินใจเลือกอยู่กับองค์กรเดิม ดังนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่มีความสามารถ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่องสุขภาวะที่ดีของพนักงานควบคู่ไปด้วย

Work Life Balance สร้างได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานก็สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้

ตั้งเป้าหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรตั้งเป้าหมายและจัดรายการลำดับการทำงานในแต่ละวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตนเองเมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจของตนเองในแต่ละวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานเพื่อช่วยให้จดจ่อกับงานและผลิตงานที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
ใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น การแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ภายในจิตใจ จึงไม่ควรละเลยคนรอบตัวที่ควรให้ความสำคัญ
ใส่ใจกับตนเองมากขึ้น ควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต

การมี Work Life Balance ที่ดี แบ่งเวลาให้กับการทำงาน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ก็ช่วยให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำว่า Work Life Balance ของหลายคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจโฟกัสที่ความสำเร็จในการทำงานด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางไว้ หรือบางคนอาจเน้นที่ตัวเงินเดือนหรือรายได้เป็นหลักมากกว่าการแบ่งเวลาไปสร้างสมดุลในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด และการที่คนอื่นๆ จะเลือก Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าคนรอบข้างต้องคิดและทำแบบตนเองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องของสังคมเสมอไป

...


ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร

25 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

19
ระทึกทั้งโรงพยาบาล ชายส่งยิ้มหวานให้พยาบาล บุกห้องพักหมอสาว ลวนลาม แม่ เผยเป็นแบบนี้จนออกไปไหนไม่ได้ แฉ เคยบุกโรงเรียนลวนลามครู

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มี.ค.2567 ร.ต.อ.สายชล แสงทอง รองสารวัตร(ป้องกันและปราบปราม) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา รับแจ้งเหตุชายพยายามบุกเข้าไปภายในห้องพักแพทย์ ของตึกผู้ป่วยอายุรกรรม ชั้น 7 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ

ที่เกิดเหตุพบชายดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงพยาบาลทำการควบคุมตัวเอาไว้แล้ว ชื่อ นายสมชาย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งจากการสอบถามพยาบาลบนตึกให้การว่า

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้นายสมชายมีพฤติกรรมส่งสายตายิ้มหวานกับพยาบาลสาวรายหนึ่ง และได้พยายามเดินตามพยาบาลสาว ขณะที่พยาบาลสาวกำลังเดินไปซื้อข้าวที่ร้านค้าสหกรณ์ของโรงพยาบาล

แต่ด้วยพฤติกรรมที่ผิดสังเกต พยาบาลสาวจึงได้สอบถามว่าเดินตามทำไม แต่นายสมชายอ้างว่าจะไปห้องน้ำ แต่ก็ยังคงเดินตามพยาบาลสาวอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพยาบาลสาวเห็นท่าไม่ดี จึงได้ด่าออกไป 1 คำ ก่อนที่นายสมชายจะตัดสินใจเดินแยกทางออกไป

เมื่อพยาบาลสาวไปทำธุระเสร็จแล้ว พอเดินกลับขึ้นมาบนตึก ก็ได้ยินเสียงของคุณหมอกรีดร้องเสียงดัง เพราะนายสมชายบุกเข้าไปภายในห้องคุณหมอบนตึกผู้ป่วย ซึ่งกำลังพยายามที่จะลวนลามคุณหมอสาว

แต่โชคดีที่ภายในห้องมีคุณหมอผู้ชายอยู่ด้วย จึงได้ตาม รปภ.ของโรงพยาบาล และช่วยกันควบคุมตัวนายสมชายเอาไว้ได้ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและนำลงมาจากอาคารผู้ป่วย

นางสุคนธ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายสมชายได้เดินเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ พร้อมบอกว่า ตนเดินตามหาลูกตั้งนาน หลังจากเมื่อเวลา 05.00 น. ตนเดินทางมาจาก ต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อพาลูกชายมาหาหมอจิตเวช ตามที่หมอนัด

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ช่วงที่ตนกำลังติดต่อทำเอกสารอยู่นั้น ไม่รู้ว่าลูกชายเดินหายไปไหน พยายามเดินตามหาแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งมาพบว่าลูกชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเอาไว้ เพราะมีพฤติกรรมพยายามจะลวนลามพยาบาลและคุณหมอ

นางสุคนธ์ ให้การว่า ความจริงแล้วตนไม่อยากพานายสมชายมา เพราะรู้ว่าเป็นคนอย่างไร แต่ก็ปล่อยไว้ที่บ้านไม่ได้ เนื่องจากนายสมชายมักแอบเดินไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับที่บ้าน และพยายามจะไปลวนลามคุณครูที่นั่น จนทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ของโรงเรียน ถ้าเข้ามาก็จะถูกด่าและไล่ออกไป

นางสุคนธ์ ให้การต่อว่า พอตนนำนายสมชายออกไปขายของตามตลาดนัดด้วย เพื่อหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ตลาดก็ไม่ให้ตนเอานายสมชายมาขายของ เนื่องจากนายสมชายจะมีพฤติกรรมในลักษณะแบบนี้กับร้านค้าด้วยกัน และชาวบ้านที่เดินมาจับจ่ายซื้อสินค้าภายในตลาด ทำให้ไม่สามารถออกไปขายของได้ เพราะต้องคอยเฝ้านายสมชายอยู่ที่บ้าน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำการควบคุมตัวนายสมชายไว้บนท้ายรถตำรวจ นายสมชายได้มองหน้าพยาบาล และพูดไม่หยุดว่า อยากได้พยาบาลคนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ฝากเตือนผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องที่มีผู้ป่วยทางจิตเวช ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเป็นอันตรายกับผู้อื่นได้ หากขาดการควบคุมดูแล และเอาใจใส่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พยาบาลและคุณหมอ ได้เดินทางไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนการดำเนินคดีนั้นคงต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ ว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากผู้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นผู้ป่วย


https://www.khaosod.co.th
27 มี.ค.2567

20
เมื่อปี 2509 คณะสำรวจโบราณคดีกรมศิลปากร มหาวิทยาลัยฮาวาย ทำการขุดค้นที่โนนนกทา ต. บ้านโคก อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบที่นี้ แสดงว่า พื้นที่เมืองไทย “ทำนาปลูกข้าว” มาแล้วประมาณ 5,500 กว่าปี ก่อนการปลูกข้าวที่จีนหรืออินเดียราว 1,000 ปี ทั้งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ข้าวเริ่มปลูกในเอเชียอาคเนย์ในสมัยหินใหม่ ก่อนแพร่ขึ้นไปสู่อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี

หนึ่งในหลักฐานโบราณคดีสำคัญที่สุด ได้แก่ “รอยแกลบข้าว” ซึ่งติดอยู่ที่เศษเครื่องปั้นดินเผาใต้หลุมศพ หาอายุโดยตรวจคาร์บอน 14 ได้อย่างน้อยที่ 3,500 ปีก่อน ค.ศ. แกลบของเมล็ดข้าวดังกล่าวเป็นข้าวที่คนปลูก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa ข้าวพวกนี้แยกออกเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ คือ

1. อินดิคา (Indica) เป็นข้าวขึ้นในแถบร้อน ต้นมักจะสูง ฟางอ่อน เมล็ดมักยาว เป็นข้าวที่ปลูกกันในไทย ประเทศใกล้เคียง และทั่วไปในแถบร้อน

2. จาปอนนิคา (Japonica) ปลูกกันในญี่ปุ่น เกาหลี บางส่วนของไต้หวัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน และทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เมล็ดป้อม ต้นเตี้ย ฟางแข็ง เมื่อหุงต้มเมล็ดจะไม่ร่วน มักจะติดกันค่อนข้างแข็ง

พ.ศ. 2510 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tottor และกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เริ่มต้นศึกษาวิจัยแกลบข้าวจากแผ่นอิฐโบราณในไทย 108 แห่ง จาก 39 จังหวัดทั่วทุกภาคของไทย ใช้เวลา 3 ปี (พ.ศ. 2510-2512)

การวิจัยแบ่งได้เป็น 4 ระยะคือ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 และระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 ส่วนข้าวที่พบในแผ่นอิฐจากประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ข้าวเมล็ดป้อม, ข้าวเมล็ดใหญ่ และข้าวเมล็ดเรียว ผลการวิจัยปรากฏว่า

1. ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 มีข้าวเมล็ดป้อมมาก รองลงมาได้แก่ข้าวเมล็ดใหญ่ ข้าวเมล็ดเรียวพบบ้างโดยพบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่พบข้าวเมล็ดเรียวในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

2. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ก็ยังพบข้าวเมล็ดป้อมอยู่เช่นสมัยก่อน ข้อที่น่าสังเกตคือ ข้าวเมล็ดเรียวกลับทวีจำนวนมากขึ้น พบอยู่ทั่วประเทศ ส่วนเมล็ดข้าวใหญ่กลับมีจำนวนลดน้อยลง

3. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ข้าวเมล็ดป้อมพบกระจายทั่วไป ส่วนข้าวเมล็ดเรียวกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดใหญ่กลับมีจำนวนลดลง

4. ระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นต้นมา ข้าวเมล็ดเรียวพบมากที่สุด มีผู้นิยมปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันอย่างมากในที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กลับไปปลูกกันเฉพาะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สรุปได้ว่า “ข้าวเมล็ดป้อม” ปลูกกันอยู่ทั่วไปกว่า 1,000 ปี ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 ข้าวพันธุ์นี้คล้ายพันธุ์จาปอนนิคา หลังพุทธศตวรรษที่ 23 คงพบปลูกมากอยู่ที่ภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หายไปจากภาคกลาง ข้าวเมล็ดป้อมนี้น่าจะได้แก่ “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่ลุ่ม (the glutinous–lowland variety)

ส่วน “ข้าวเมล็ดใหญ่” พบอยู่ทั่วไป เมื่อพุทธศตวรรษที่ 20 มีจำนวนลดน้อยลง โดยเฉพาะในภาคกลางเกือบสูญพันธุ์ จากแผนที่แสดงชั้นสูง (contour map) ของไทยพบว่า ข้าวเมล็ดใหญ่งอกงามอยู่ตามภูเขาหรือที่ราบสูง ที่ภาคเหนือปลูกข้าวเหนียวที่งอกงามได้ในที่สูงมาก ข้าวเมล็ดใหญ่นี้ก็น่าจะเป็น “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่สูง

“ข้าวเมล็ดเรียว” นั้น เมื่อก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 อยู่ในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปรากฏว่ามีผู้ปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันในทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลางปลูกมากกว่าที่อื่น ในภาคกลางข้าวเมล็ดเรียวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าวเมล็ดเรียวนี้ได้แก่ “ข้าวเจ้า”

ส่วนการ “ทำนาปลูกข้าว” ในประเทศไทย มีมาแล้วกว่า 5,000 ปี

สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่
สมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) ที่ภาคใต้มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและข้าวเจ้า
สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16-19) ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กับข้าวเจ้า ภาคกลางนิยมปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก และปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยเชียงแสน (พุทธศตวรรษที่ 17-25) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดยาวกับข้าวเจ้า ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าข้าวเหนียว
สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) ตอนต้น ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อม ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น

ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมบ้าง ข้าวเหนียวเมล็ดยาวเกือบสูญพันธ์ุ แต่ข้าวเจ้านิยมปลูกมากขึ้นหลายเท่า


เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม
27 มีค 2567

21


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ เป็นปีที่ 132 ในวันที่ 1 เมษายน 2567 สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 132 ปี ความว่า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระอนุศาสน์สั่งสอนไว้ว่า “อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตฺถํ คณฺหาติ ปณฺฑิโต.” แปลความว่า “บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์.” ดังนี้ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในฐานะครู อาจารย์ ผู้บริหาร และผู้จัดการศึกษาของชาติ จำเป็นต้องรู้จักฝึกฝนอบรมตนให้ถึงพร้อมด้วยปัญญาสอดส่องหลักแหลม ในอันที่จะรู้จำแนกแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เป็นบัณฑิต ผู้สามารถปฏิบัติบริหารภารกิจด้านการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุโดยตรงต่อความรุ่งเรืองของชาติได้อย่างฉลาดรอบคอบ ไม่เผลอนำสิ่งไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนามนุษย์ เข้ามาเพิ่มพะรุงพะรังในการศึกษาของชาติ หากแต่ต้องเป็นผู้รู้รอบรู้ชัดที่จะจัดแจงแก้ไขปัญหาและอุปสรรค พร้อมสร้างเสริมสิ่งดีมีสาระมาสู่กระบวนการจัดการศึกษาของชาติ ยังให้การศึกษาเป็นกระบวนการแห่งความสุข เป็นสิ่งสวยงามสำหรับชีวิตผู้เรียน อันจักเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนปรารถนาที่จะศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจนตลอดชีวิต

กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่สร้างสรรค์สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานถึง 132 ปี เป็นที่น่าอนุโมทนา ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงพึงอบรมตนให้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาอย่างบัณฑิต เพื่อให้บังเกิดสัมฤทธิผลต่ออนาคตของสังคมส่วนรวมได้อย่างยั่งยืน สมตามนัยแห่งพระพุทธานุศาสนี

ขออำนวยพรให้กระทรวงศึกษาธิการ เจริญวัฒนาสถาพร สามารถสรรค์สร้างคุณูปการให้แก่สังคมไทย สืบไปตลอดกาลนาน


(สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

22
สืบเนื่องจาก ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ขับรถชน หมอกระต่าย ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 25 มี.ค. ศาลแพ่งนัดอ่านคำพิพากษาคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ พ 846/2565 ที่ นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก จำเลย 1-2 โดยโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีละเมิด ใจความโดยสรุปว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ แพทย์หญิงว0ราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ผู้ตาย หรือ หมอกระต่าย  จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการตำรวจสังกัดจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.)

โดย เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 1 ได้ขี่จักรยานยนต์ออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลด้วยความเร็วประมาณ 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในระยะไม่ถึง 30 เมตร ก่อนถึงทางม้าลาย โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง พุ่งชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุประมาณ 30-60 นาที

จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแล กำกับการปฏิบัติงาน และธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายในการปฏิบัติงาน ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการฝึกอบรมขับรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลยไม่จัดทำมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย อันเป็นผลโดยตรงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน 539,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 537,505 บาท และค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงินจำนวน 72,266,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 72,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

ล่าสุด ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้… (2) ดูแล ควบคุม และกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไปที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของจำเลยที่ 1 ในภาพรวม โดยมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยของข้าราชการ

การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ใช้รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ไม่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ไม่เสียภาษีประจำปี ไม่ติดกระจกมองข้างและขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยและพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ได้ความจาก พ.ต.ท.มนตรี ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ว่า ภายหลังเกิดเหตุ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ต้นสังกัดจำเลยที่ 2 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัย และได้พิจารณาลงโทษกักขัง 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ที่ 10/2565 และพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมว่า ขับรถจักรยานยนต์ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ขับรถไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย) นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในทาง นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่จัดให้มีประกันความเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาใช้ในทาง ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน (ไม่มีกระจกมองข้าง) ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และขับรถจักรยานยนต์ในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ศาลมีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1049/2565 ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ที่ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจร และปฎิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติ และวินัยข้าราชการตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 2 เคยเข้าร่วมอบรมประชุมกวดขันระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติและระเบียบข้าราชการตำรวจที่หน่วยงานต้นสังกัดจัดขึ้นตามคำสั่งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจโดยลำพังในการจัดระเบียบจราจร ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการจัดการระบบจราจร โดยมีกระบวนการและขั้นตอนดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงคมนาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดังนั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรมีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งและนโยบายเป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีนี้เกิดจากที่จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดขี่รถจักรยานยนต์ชนผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่อาจให้สัตยาบันเข้ารับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง

ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดั่งที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง เหตุคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 โดยลำพัง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นการเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 บัญญัติให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดใช้ค่าปลงศพรวมถึงค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นด้วย ในกรณีทำให้เขาถึงตาย ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว

ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อพิจารณาตารางสรุปยอดค่าใช้จ่าย รายละเอียดค่าใช้จ่าย บิลเงินสด หลักฐานการชำระเงิน และภาพถ่ายงานศพซึ่งมีแขกร่วมงานจำนวนมาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และผู้บริหารระดับประเทศ ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาทนั้นเหมาะสมแล้ว กำหนดให้ตามขอ ส่วนค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย เงินบริจาคมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ค่าไอแพด กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้าของผู้ตาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามคำขอโจทก์ทั้งสอง จึงไม่กำหนดให้ ส่วนค่าเรือลอยอังคาร โจทก์ทั้งสองไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรือของตำรวจน้ำไม่คิดค่าใช้จ่าย จึงไม่กำหนดให้

สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้าย การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จะต้องพิจารณาตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตายและระยะเวลาในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะตามกฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตาย อายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา อนุสาขาโรคจอตาและวุ้นตา และอนุสาขาโรคภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่เวรนอกเวลาจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาท ตามเอกสารหมาย จ.58 หรือ ล.73 และเอกสารหมาย จ.59 หรือ ล.74 ได้ความจาก พ.ต.ท.กมินทร์ สว่างจิตต์ ตำแหน่งสารวัตรฝ่ายธุรการกำลังพล กองบังคับการอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจว่า

หากผู้ตายได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในฐานะผู้มีคุณวุฒิ พบ.วว. สาขาจักษุวิทยา และอนุสาขาจักษุวิทยาภูมิคุ้มกันและการอักเสบ จะได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ (สบ.1) ชั้นยศว่าที่ร้อยตำรวจตรี และจะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้น ผู้ตายทำงานนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท ถึง 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้น ก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งสอดรับกับคำเบิกความของนายแพทย์อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้านจอประสาทตาว่า

หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียง ทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000 ถึง 500,000 บาท หรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้จะมีรายได้จากเงินเดือน แต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพต้องไปพบแพทย์และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง มีภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต่อเดือนจำนวนค่อนข้างสูง เห็นสมควรกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 คนละ 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงิน 331,230 บาท 13,500,000 บาท และ 13,500,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันทำละเมิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โดยศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 331,230 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 ม.ค. 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Thainewsonline
26  มี.ค. 2567

23
ต้องผ่าตัดสมอง ออฟฟี่ แม็กซิม เผยสาเหตุ-อาการล่าสุด สมองยังบวม ยังอยู่ที่ ICU งานที่รับไว้ ไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha เปิดภาพล่าสุด ออฟฟี่ แม็กซิม หรือ อรพรรณ ด่านศิริพัฒนกุล ซึ่งก่อนหน้านี้ แตงโม ลูกสาวออฟฟี่ เผยพาไปส่งโรงพยาบาล หลังหลับไป 2 วัน

โดยเผยภาพล่าสุด เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha ขณะสวมกอด ออฟฟี่ นอนบนเตียงคนไข้ พร้อมแคปชั่น

“พระคุ้มครองนะครับออฟฟี่ อยู่ในการดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิดแล้ว พี่ขอให้หนูปลอดภัย พักผ่อนเยอะๆนะคะเดี๋ยวก็หายแล้ว Orapan Dansiriwattanakun”

โดยก่อนหน้านั้นได้อัพเดตอาการ ออฟฟี่ ด้วยว่า “อัพเดดอาการของออฟฟี่นะครับ วันที่ 24 มีนาคม 2567 หลังจากเข้ารับการตรวจบริเวณสมองตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567

เนื่องจากมีอาการปวดหัวมาในรอบหลายๆวันก่อนหน้านี้ คุณหมอทำการตรวจ MRI พบว่าบริเวณสมองซีกซ้ายมีเลือดออก

มีเส้นเลือดโป่งพอง หมอจึงสันนิษฐานว่าบริเวณนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้เลือดไหลออกมา จึงต้องทำการยิงสีเพื่อตรวจหาสาเหตุ
วันที่ 21 มีนาคม 2567 ออฟฟี่ได้เข้ารับการการฉีดสีเข้าไปในสมอง พบว่ามีเส้นเลือดในสมองโป่งพองเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกบริเวณสมองซีกซ้าย

จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองโดยเร่งด่วน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาการของออฟฟี่มีการตอบสนองลืมตาดูได้บ้าง

แต่ด้วยสภาวะร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ มีอาการสมองบวม จึงไม่สามารถสื่อสารได้ หลังจากนั้นตรวจพบว่ามีเส้นเลือดตีบบริเวณสมองซีกขวา

ทำให้สมองซีกขวาไม่ทำงาน ร่างกายซีกขวาไม่ตอบสนองหลังการผ่าตัด จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดรอบที่ 2 เพื่อขยายหลอดเลือด

วันที่ 22 มีนาคม 2567 ออฟฟี่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อขยายเส้นเลือด เพื่อเข้าไปเลี้ยงบริเวณสมองซีกขวา ปรากฏว่าผลจากการผ่าตัดออกมาค่อนข้างดี แพทย์ทำการรักษาได้เป็นอย่างดี

แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอาการสมองบวม ออฟฟี่มีการตอบสนองจ้องมองได้และน้ำตาไหล มือด้านซ้ายพยายามสื่อสารกับเรา มือและเท้าด้านขวามีการกระดิกเริ่มขยับได้บ้าง

พยาบาลที่ดูแลบอกว่าดีขึ้นมากกว่าเมื่อวาน เริ่มรู้สึกตัวยกหัวขึ้นหมอนได้และถามว่าเจ็บมั้ยก็พยักหน้าและก็มีการมองตามและสื่ออารมณ์ได้แต่ยังพูดกับเราไม่ได้เพราะใช้เครื่องช่วยหายใจ

วันที่ 23 มีนาคม 2567 อาการของออฟฟี่ตอนนี้ยังทรงตัวอยู่ ในห้อง ICU ยังคงให้ยาลดอาการสมองบวม ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

วันที่ 24 มีนาคม 2567 อาการล่าสุดของออฟฟี่ร่างกายฝั่งขวามีการตอบสนองสามารถยกมือขวาได้มากขึ้น แต่ยังมีอาการสมองบวม แพทย์จึงให้ยาลดบวมอย่างต่อเนื่อง ยังคงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ส่วนเรื่องงานที่ออฟฟี่รับไว้ ออฟฟี่ขอรบกวนขอความเห็นใจจากพี่ๆทุกคนด้วยนะคะ ออฟฟี่ไม่ได้หนีหายไปไหน หรือไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

ออฟฟี่ยืนยันว่าป่วยจริง ได้รับการรักษาอยู่ที่ ICU จริง หากออฟฟี่อาการดีขึ้น แล้วจะรีบกลับมาทำงานที่รับไว้โดยเร่งด่วน

หากมีเรื่องด่วนที่เกี่ยวกับงานที่ออฟฟี่รับไว้ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 080-955-5456 ส่วนเรื่องอาการของออฟฟี่ ทางเราจะพยายามอัพเดทให้เรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ” ท่ามกลางคนบันเทิงและเพื่อนๆ แฟนๆ เข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก


26 มีนาคม 2567
ข่าวสด

24
ด่วน !! ผัวเก่าง้อเมียหมอไม่สำเร็จ ลั่นไกตัวเองดับที่ชั้น 2 โรงพยาบาลดังย่านโชคชัย 4 พบเพิ่งหย่ากันได้ 1 สัปดาห์

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีออนไลน์ได้รับการเปิดเผยจาก ร้อยเวร สน.โชคชัย เปิดเผยว่าเกิดเหตุยิงกัน ภายใน ชั้น 2 โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุยิงตัวเองตาย ผู้ก่อเหตุเป็นสามี อายุ 46 ปี เดินทางมาหาอดีตภรรยา ซึ่งเป็นหมอ อายุ 36 ปี ใน รพ.ดังกล่าว

โดยก่อนก่อเหตุ ฝ่ายสามีได้ยื่นซองเอกสาร ให้อดีตภรรยา แล้วบอกว่า "พี่รออยู่ในห้องนี้นะ" ก่อนจะได้ยินเสียงปืนลั่นไกใส่ตัวเองเสียชีวิต

จากการตรวจสอบทราบว่าทั้งคู่เพิ่งหย่ากันได้เพียง 1 สัปดาห์ คาดว่าคงมาง้อขอคืนดี แต่เกิดเครียดจบชีวิตตัวเองเสียก่อน

ขณะนี้คุณหมอ อดีตภรรยาของผู้ก่อเหตุ อยู่ในอาการเศร้าเสียใจไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล

25 มี.ค. 67
www.amarintv.com

25
กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 Best City จากการจัดอันดับของนิตยสาร DestinAsian สุวรรณภูมิคว้าอันดับ 2 สนามบินที่ดีที่สุด เชื่อมั่นในการพัฒนาของนายกฯ ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดอันดับต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง DestinAsian ประกาศให้กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด (Best Cities 2024) ในประเภทเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว (Destination) ในเอเชียแปซิฟิก

ตามมาด้วยกรุงโตเกียว สิงคโปร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ฮ่องกง กรุงโซล นครซิดนีย์ นครเซี่ยงไฮ้ ไทเป และนครโฮจิมินห์ (https://destinasian.com/readers-choice-awards/2024-winners/best-cities)

การจัดอันดับครั้งนี้ เป็นผลมาจากการคัดเลือกของผู้อ่าน ของนิตยสาร DestinAsian ซึ่งได้ประกาศพร้อมจัดอันดับหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งจุดหมายปลายทางประเภทเมือง เกาะ โรงแรมและรีสอร์ต สายการบิน สนามบิน และการเดินเรือ ที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นประจำทุกปี ซึ่งในประเภทเกาะที่ดีที่สุด เกาะของไทยก็ได้รับความนิยมในอันดับ 3 คือ ภูเก็ต ตามมาด้วย เกาะสมุย ในอันดับที่ 4 รองจากที่ 1 เกาะบาหลี และที่ 2 เกาะมัลดีฟส์

นอกจากนี้ ในประเภทสนามบิน สนามบินสุวรรณภูมิ ได้อันดับที่ 2 สนามบินที่ดีที่สุด รองจากสนามบินชางงีของสิงคโปร์ ที่ได้อันดับที่ 1 ส่วน อันดับ 3 คือ สนามบินนานาชาติฮ่องกง ทางด้านการจัดอันดับประเภทสายการบินที่ดีที่สุด การบินไทย ได้อันดับที่ 3 รองจาก สิงคโปร์ แอร์ไลน์ และเอมิเรตส์ ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนประเภทสายการบิน Low-cost ที่ดีที่สุด สายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส ได้อันดับที่ 2 รองจาก แอร์เอเชีย

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกอุตสาหกรรมสำคัญของไทย นอกจากดำเนินมาตรการสำคัญ ทั้งมาตรการวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ แก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคการท่องเที่ยว รวมถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ของนักท่องเที่ยวแล้ว

“นายกฯ กำหนดให้การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอยู่ในวิสัยทัศน์ 8 ด้าน อาทิ ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็น 1 ในภูมิภาค จึงเชื่อมั่นได้เลยว่าในการบริหารของรัฐบาล จะทำให้ไทยติดอยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวจนได้รับการจัดอันดับด้านอื่นๆ ดีอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว

25 มีค 2567
ข่าวสด

26
ช็อก! วงการ ‘ชีวะภาพ ชีวะธรรม’ มือปราบเบอร์ 1 ป่าไม้ ลาออกจากราชการ เผยป่าไม้ไทยหายไปวันละ 1 พันไร่ หรือ 200 สนามฟุตบอล

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อดีตหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า เดือนพฤษภาคมนี้ ตนตั้งใจจะลาออกจากราชการ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุแล้ว แต่ยังมีความตั้งใจ มีจิตวิญญาณที่รักและหวงแหนในผืนป่าอยู่ คิดว่ายังมีประตูบานอื่นๆ ที่ให้ตนสามารถเข้าไปทำงานทางด้านนี้มากกว่านี้ คิดว่าประตูอีกบานที่จะทำให้ตนสามารถทำงานได้คือ การลงสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ จ.สิงห์บุรี

“ผมเป็นคนที่นี่ เป็นคนบางระจัน คนบางระจันเป็นคนกล้าหาญ ซึ่งนอกจากการใช้ความรู้ความสามารถแล้ว การทำงานด้านนี้ทุกวันนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญด้วย เพื่อต่อสู้กับขบวนการและกลุ่มทุนที่ไม่หวังดี และคิดจะฮุบสมบัติชาติ” นายชีวะภาพกล่าว

เมื่อถามว่าที่ลาออกนั้น เป็นเพราะผิดหวังกับระบบราชการ โดยเฉพาะของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า คิดว่าศักยภาพหลังจากนี้ของตนยังสามารถทำงานทางด้านการดูแลปกป้องทรัพยากรป่าไม้ได้อยู่และจะได้มากกว่านี้หากไปอยู่ตรงนั้น

นายชีวะภาพกล่าวว่า จากสถานการณ์ป่าไม้ล่าสุด ที่วิเคราะห์โดยการแปลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2566 พบว่า ป่าไม้ลดลง 3 แสนไร่เศษๆ ภายในเวลา 1 ปี เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการบุกรุกป่าสมบูรณ์โดยเฉพาะไม่หยุด และจะน่าตกใจกว่านั้น หากได้เฉลี่ยออกมาแล้วพบว่า ในจำนวน 3 แสนกว่าไร่ที่หายไปในเวลา 1 ปีนั้น ป่าบ้านเราหายไป ตกเดือนละ 30,000 ไร่ หรือถ้าคิดเป็นวันก็ตกวันละ 1 พันไร่ หรือประมาณ 200 สนามฟุตบอล อันนี้เป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบโดยเครื่องของคนทำงานมืออาชีพอย่างคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยข้อมูลนี้แสดงให้เห็นทิศทางข้างหน้าว่าจะมีการบุกรุกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามว่า สาเหตุหลักของการที่ป่าหายไปมากเช่นนี้เป็นเพราะอะไร นายชีวะภาพกล่าวว่า มีทั้งนายทุนและชาวบ้านที่เข้าไปทำลายป่า อีกส่วนหนึ่ง การเอาที่ที่ดินไปทำ ส.ป.ก.และ คทช. ซึ่งโครงการนี้ โดยหลักการแล้วถือว่าดี ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีที่ดินทำมาหากินโดนไปเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่า แต่พวกนี้ก็ยังมีช่องว่าง ที่ทำให้เจตนารมณ์ของโครงการเปลี่ยนไป จึงต้องมาทบทวนว่าจะต้องทำอย่างไร จัดการกับพวกที่พยายามใช้ช่องว่างฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไร

เมื่อถามว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติเคยทำให้ป่าไม้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2560-2561 คนป่าไม้เฮกันมาก เพราะพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นมาถึง 3 แสนไร่ สมัยนั้น มีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ และส่งต่อให้นายชลธิศ สุรัสวดี เป็นอธิบดีต่อ ขณะนั้นมีคำสั่ง คสช.เป็นแผนแม่บทแห่งชาติเรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่าด้วย

“เราทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้เรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่า เพราะครั้งหนึ่งเราทำได้แล้ว ตอนนั้นจังหวัดที่พื้นที่ป่าเพิ่มมากที่สุดคือ เพชรบูรณ์ รองลงมาคือ ชัยภูมิ และหลังจากนั้น ป่าก็ลดลงมาอีก แต่เป็นปีละหลักหมื่น แล้วก็มาช็อกหนัก เมื่อปีเดียวลดลง 3 แสนไร่ ตอนนี้แหละ เวลานี้ ป่าไม้เหลือประมาณ 101 ล้านไร่แล้ว” นายชีวะภาพกล่าว

23 มีนาคม 2567
มติชน

27
วันที่ 22 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางจันทร์เพ็ญ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ว่า อยากเป็นสื่อกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขระบบการทำงาน หลังแม่เสียชีวิตจากการผ่าตัดมะเร็งลำไส้

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นางบุญหนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี แม่ของตน มีอาการปวดท้อง จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอ.หนองหงส์ หมอบอกน่าจะเกิดจากยกของหนักทำให้ท้องเสีย จ่ายยาแก้ปวดและเกลือแร่ให้มากิน

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มี.ค. แม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จึงพาไปพบหมอที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในอ.ลำปลายมาศ เพราะมีความพร้อมมากกว่าโรงพยาบาลที่อ.หนองหงส์

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวอีกว่า หมอโรงพยาบาลลำปลายมาศ วิเคราะห์ว่าเป็น “ลำไส้อุดตัน” จะต้องมีการผ่าตัด จากนั้นหมอมาแจ้งอีกครั้งว่ามีเนื้องอกในลำไส้ จึงยอมให้ผ่าตัดเพื่อทำการรักษา หมอใช้เวลาในการผ่าตัดกว่า 5 ชั่วโมง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า หมอแจ้งอีกว่าได้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกไป 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากผ่าตัดหมอพาแม่เข้าห้อง ICU ทันที วันที่ 18 มี.ค. หมอที่โรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า แม่เป็นมะเร็ง จะไปส่องกล้องด้วยกันไหม ส่วนตัวคิดว่าจะให้ไปส่องกล้องเพื่ออะไรเพราะแม่ผ่าตัดแล้ว

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวด้วยว่า จนกระทั่งมาทราบจาก รพ.สต.ในพื้นที่ว่า ตรวจพบเชื้อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ของแม่ตั้งแต่ปี 2565 ทางญาติตกใจว่าทำไมหมอไม่เคยแจ้งให้ญาติทราบ อีกมุมหนึ่งมองว่าทำไมโรงพยาบาลที่อ.ลำปลายมาศ ทำไมกล้าผ่าตัดเคสใหญ่ขนาดนี้ สุดท้ายแม่ต้องเสียชีวิตลง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้มีตัวแทนโรงพยาบาลออกมาคุยว่าไม่อยากจะให้ไปร้องเรียนหรือฟ้องร้อง เพราะจะทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทำไมไม่คิดถึงสภาพจิตใจของญาติ

จึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบว่าความผิดพลาดดังกล่าวตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงแม่เสียชีวิตเกิดจากอะไร เป็นการวิเคราะห์โรคผิด หรือขั้นตอนการดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือเครื่องมือแพทย์ไม่เพียงพอ หรือให้แม่เป็นแค่หนูลองยาในการรักษา

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด

28
ครอบครัวคาใจ จู่ๆ ลูกชายเสียชีวิตกะทันหัน สืบไปสืบมาช็อก ผู้ตายบริจาคเลือดถึง 16 ครั้งใน 8 เดือน แถมได้เงินจากศูนย์บริจาคเลือด

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อหนุ่มวัย 19 ปี เสียชีวิตแบบไร้สาเหตุ ทางครอบครัวรู้สึกติดใจ คุณพ่อจึงได้ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร

ในขณะที่กำลังเก็บข้าวของภายในห้องลูกชายนั้น ก็ได้พบเอกสารบริจาคเลือดที่ระบุว่า ลูกชายของเขา ได้บริจาคเลือดถึง 16 ครั้ง ภายในระยะเวลา 8 เดือน โดยที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือระยะห่างในการบริจาคเลือดบางรอบห่างกันแค่ 12 วันเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วการบริจาคเลือดไม่ควรเกินปีละ 4 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามศูนย์บริจาคโลหิตต้นทางผ่านโทรศัพท์ พบว่า ลูกชายมักจะไปบริจาคเลือดอยู่บ่อยครั้ง โดยทางศูนย์บริจาคโลหิต จะจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกชาย เป็นจำนวนเงินระหว่าง 260-300 หยวนหรือราว 1,300-1,500

นอกจากนั้น คุณพ่อยังพบผลการตรวจสุขภาพ ที่ออกโดยโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ตรวจไว้เมื่อ 10 วันก่อนที่ลูกชายของเขาจะเสียชีวิต พบว่า ลูกชายมีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง รวมถึงมีภาวะไขกระดูกบกพร่องอีกด้วย

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้คุณพ่อมั่นใจว่า ทางศูนย์บริจาคเลือดนั้น ประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบสุขภาพของลูกชายให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะให้ลูกบริจาคโลหิตทุกครั้ง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

ขณะเดียวกัน ทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ออกมาชี้แจงว่า ผู้ตายมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่สามารถบริจาคเลือดได้ และทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐและถูกต้องทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกอย่าง หากทางผู้ปกครองติดใจสาเหตุการเสียชีวิต สามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องทางเราได้

ทั้งนี้ จากการสอบถามในประเด็นที่ว่า ทำไมทางศูนย์บริจาคเลือดถึงอนุญาตผู้เสียชีวิต บริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลเสียต่อสุขภาพและนำมาซึ่งการเสียชีวิต แต่ทางศูนย์บริจาคเลือดได้แต่อมพะนำ ไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าว คณะกรรมการด้านสาธารณสุขของเขตหั่นฟู่ เมืองฮั่นโจว ประเทศจีน ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนคดีอย่างละเอียด และกำลังจะมีบทสรุปอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด

29
เกียว​โด​นิวส์​ (8​ มี.ค.)​ -​ สำนักพิมพ์ Shueisha​​ ประกาศ​วันนี้ว่า​ อากิระ โทริยามะ ผู้สร้างตำนานซีรีส์มังงะ "ดราก้อนบอล" และ​ "ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่" ​ เสียชีวิตแล้วจากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองเฉียบพลัน​ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในวัย 68 ปี​

คำแถลงบนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์​ Shueisha​ ประกาศว่า "อากิระ โทริยามะ​ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม จากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง"

"เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขายังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการสร้างสรรค์ และกระตือรือร้นกับอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ทิ้งมังงะ และผลงานศิลปะไว้มากมายให้โลกนี้ ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลกตลอดเวลา 45 ปี

โลกแห่งการสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของ อากิระ ยังคงอยู่ในใจของทุกคน​"

สำหรับพิธีศพจะจัดขึ้นในครอบครัวและพี่น้องไม่กี่คน ตามความปรารถนาของเขา โดยจะงดรับดอกไม้หรือสิ่งแสดงความอาลัยอื่นๆ รวมทั้งการคำนับ ทั้งยังขอให้งดสัมภาษณ์ครอบครัว

อย่างไรก็ตาม​ ในเพจสำนักพิมพ์​ได้มีผู้คนจำนวนมากไปร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเขา

อากิระ โทริยามะ คือหนึ่งในตำนานนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น เริ่มมีชื่อเสียงจากมังงะ เรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ในปี พ.ศ.2521 ก่อนจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่เรื่อง ดราก้อนบอล ซึ่งครองใจแฟนมังงะตลอดทศวรรษ​แห่งซีรีส์​นี้​ (พ.ศ.2527 ถึง 2538)

8 มี.ค. 2567 ผู้จัดการออนไลน์

30
โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนเริ่มหยุดให้บริการทำคลอดในปีนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนภาวะ “ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์” (obstetric winter) เนื่องจากคนจีนรุ่นใหม่ๆ นิยมมีบุตรกันน้อยลง ส่งผลให้อุปสงค์การทำคลอดในโรงพยาบาลต่างๆ ลดลงตามไปด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรงพยาบาลในหลายมณฑลของจีนเริ่มประกาศปิดแผนกสูติศาสตร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล The Fifth People's Hospital ในเมืองก้านโจว มณฑลเจียงซี ซึ่งประกาศผ่านบัญชี WeChat ว่าจะหยุดให้บริการด้านสูติศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. ขณะที่โรงพยาบาลแพทย์แผนโบราณเมืองเจียงซาน มณฑลเจ้อเจียง ก็โพสต์ WeChat ว่าจะปิดแผนกสูติศาสตร์เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.

การปิดแผนกทำคลอดในโรงพยาบาลหลายแห่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการโน้มน้าวให้ประชาชนหันมามีบุตรเพิ่มขึ้น ในขณะที่จีนกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเรื่อยๆ

อัตราการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับจำนวนคนเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ประชากรจีนลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปี 2023 และภาครัฐเกรงว่าแนวโน้มเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) พบว่า โรงพยาบาลแม่และเด็กในประเทศลดลงจาก 807 แห่งในปี 2020 เหลือเพียง 793 แห่งในปี 2021

สื่อจีนหลายสำนัก รวมถึงหนังสือพิมพ์ Daily Economic News รายงานว่า จำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงทำให้การเปิดแผนกสูติศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ “ไม่คุ้มค่า” สำหรับสถานพยาบาลหลายแห่งในจีน

“ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์กำลังจะมาถึงอย่างเงียบๆ” Daily Economic News รายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15)

ผู้หญิงจีนจำนวนมากเลือกที่จะไม่มีบุตรเพราะกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู และบ้างก็ไม่อยากแต่งงาน เพราะกลัวจะถูกบังคับให้ต้องลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกตามค่านิยมดั้งเดิมของคนจีน

รัฐบาลจีนพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อจูงใจคู่รักหนุ่มสาวให้มีบุตรกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มวันลาคลอด มอบสิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษีสำหรับคนมีบุตร รวมถึงอุดหนุนที่พักอาศัยด้วย

อย่างไรก็ตาม สถาบันคลังสมองชั้นนำแห่งหนึ่งในจีนระบุเมื่อเดือน ก.พ. ว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบ GDP ต่อหัวประชากร และผู้หญิงต้องสูญเสียต้นทุนเวลาและโอกาสไปมากในการที่จะให้กำเนิดบุตร

เว็บไซต์ข่าวการเงิน Yicai รายงานว่า การมาถึงของ “ปีมังกร” ซึ่งถือเป็นปีมงคลที่สุดตามความเชื่อของชาวจีนทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่กระนั้นนักประชากรศาสตร์ก็เชื่อว่ากระแส “เด็กปีมังกร” คงจะบูมแค่ในระยะสั้นๆ

ที่มา : รอยเตอร์

19 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์


หน้า: 1 [2] 3 4 ... 534