ผู้เขียน หัวข้อ: Work Life Balance คืออะไร งานกับชีวิตสมดุลแล้วประสบความสำเร็จได้ไหม  (อ่าน 54 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
กระแสดราม่าเล็กๆ จากประโยคหนึ่งของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจหนุ่มผู้ก่อตั้ง Bitkup Capital Group Holdings ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆ ที่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่อง Work Life Balance และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากกรณีนี้ยังมีกระแสเรื่องยูทูบเบอร์ช่องดังรายหนึ่งใช้แรงงานนักศึกษาฝึกงานแบบโต้รุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน ทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าการสร้างสมดุลในชีวิตกับการทำงานที่ดีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ

Work Life Balance คืออะไร
Work Life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็น

ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน
สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่มีคุณภาพมากขึ้น
Work Life Balance ที่ดีก็ประสบความสำเร็จได้
ผลสำรวจจาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า

40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง

...

ขณะเดียวกันผลสำรวจก็เผยว่า “เงินเดือนที่สูงขึ้น” เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ไม่สามารถรั้งพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ เพราะเงินเดือนคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน แต่การมี Work Life Balance ที่ดี เป็นเหตุผลอันดับ 2 ที่ทำให้รักษาพนักงานเก่าไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเลือกที่จะอยู่ต่อกับบริษัทเดิม อันดับ 1 คือการมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี Work Life Balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า 44% ของคนที่ยังต้องการอยู่ที่เดิม จะมีข้อเสนอว่าพวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัท และยังต้องการเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานใหม่อีกด้วย

ส่วนความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนกลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของการตัดสินใจเลือกอยู่กับองค์กรเดิม ดังนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่มีความสามารถ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่องสุขภาวะที่ดีของพนักงานควบคู่ไปด้วย

Work Life Balance สร้างได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานก็สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้

ตั้งเป้าหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรตั้งเป้าหมายและจัดรายการลำดับการทำงานในแต่ละวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตนเองเมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจของตนเองในแต่ละวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานเพื่อช่วยให้จดจ่อกับงานและผลิตงานที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
ใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น การแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ภายในจิตใจ จึงไม่ควรละเลยคนรอบตัวที่ควรให้ความสำคัญ
ใส่ใจกับตนเองมากขึ้น ควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต

การมี Work Life Balance ที่ดี แบ่งเวลาให้กับการทำงาน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ก็ช่วยให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำว่า Work Life Balance ของหลายคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจโฟกัสที่ความสำเร็จในการทำงานด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางไว้ หรือบางคนอาจเน้นที่ตัวเงินเดือนหรือรายได้เป็นหลักมากกว่าการแบ่งเวลาไปสร้างสมดุลในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด และการที่คนอื่นๆ จะเลือก Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าคนรอบข้างต้องคิดและทำแบบตนเองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องของสังคมเสมอไป

...


ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร

25 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
อยากสำเร็จ “ต้องถวายชีวิตให้งาน” แนวคิดที่เด็กยุคใหม่อาจ “ส่ายหัวให้” อะไรทำให้ค่านิยมเรื่อง“การทำงาน” และ “ความสำเร็จ” เปลี่ยนไป ถกหนักประเด็น“Work-Life Balance” บางคนทำไม่ได้ เพราะชีวิตยังต้องกินต้องใช้

เมื่อโลกเปลี่ยน ค่านิยมก็เปลี่ยน

“อยากประสบความสำเร็จต้องทุ่มเทชีวิตให้กับงาน” คือคำพูดจาก “ไลฟ์โค้ช” หรือ “ผู้บริหารใหญ่” ที่หลายคนคงเคยได้ยิน แต่บางคนก็อาจส่ายหัวกับแนวคิดนี้ แล้วให้ความสำคัญเรื่อง “Work-Life Balance” มากกว่า

เราก็จะเห็นภาพชีวิตการทำงาน 2 แบบหลักๆ ที่สวนทางกันอย่างมาก คนประเภทหนึ่ง พยายามให้งานและชีวิตส่วนตัวสมดุลกันกับคนอีกประเภทหนึ่ง ทุ่มเททำงานแบบถวายหัว หอบงานกลับมาทำด้วย แม้จะเป็นวันหยุดหรือเวลาส่วนตัว

ชวนหาคำตอบกับ “โน้ต” ศรัณย์ คุ้งบรรพต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสรรหาและว่าจ้างบุคลากร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ช่วยวิเคราะห์ว่า งาน ชีวิต ความสำเร็จของคนในยุคนี้ มีมุมมองที่เปลี่ยนไปแค่ไหน?

“ค่านิยมของคนแต่ละ Gen ไม่เหมือนกัน”กูรูด้านทรัพยากรบุคคลอย่าง “โน้ต” อธิบายว่า ในคนกลุ่ม “GenX” และ “Baby Boomers” เขาจะเชื่อในเรื่อง “การทำงานหนักจะพาเราไปสู่ความสำเร็จ”

เรื่องนี้เกี่ยว “บริบท” และ “ค่านิยม” ในยุคนั้นของกลุ่มคน Baby Boomers และ GenX ที่ให้คุณค่ากับการทำงานหนักและการเติบโต

“เราจะได้ยินในยุคก่อนๆว่าการมีความภักดีต่อองค์กร เติบโตไปพร้อมกับองค์กร ทุ่มเทให้องค์กร เป็น สิ่งที่อยู่ใน Gen ของคนที่มีอายุเยอะ ตอนนี้เราแทบไม่ได้ยินแล้วนะ”

ถ้าถามว่า ทำไมคนยุคหลังๆ ตั้งแต่ GenY ขึ้นมา ถึงไม่มองอย่างนั้น เพราะ GenY เขาเห็นพ่อ-แม่ ที่เป็น GenX ว่า ทุ่มเทกับงาน ทำงานหนัก แต่ชีวิตกลับไม่มีความสุขเลย“พวกเขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น”

และอีกอย่าง“โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไป” ชีวิตมีหลายมิติที่มากกว่างาน ทั้งเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเยอะมาก ทำเหล่า GenY, GenZ หรือคนที่เด็กลงมาว่านั้น “เขารู้สึกว่า ชีวิตมันวุ่นวายมากๆ อยู่แล้ว”

ยุคที่เปลี่ยนไป มุมมองที่ว่า “ชีวิต = งาน”มันน้อยลงเรื่อยๆ คนเริ่มประเมิน “คุณค่าของงาน”และ “คุณค่าของการใช้ชีวิต”ไปพร้อมกัน และนิยามของคำว่า “ความสำเร็จ” แต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน

คนที่สำเร็จ ชีวิตไม่มีบาลานซ์?

“ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง “บิทคับ” แพลตแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ได้บอกในบทสัมภาษณ์ของ กรุงเทพธุรกิจ ว่า…
“ผมยังไม่เคยเห็นใครที่ประสบความสำเร็จเกินค่าเฉลี่ย แล้วบอกว่าWork-Life Balanceดีสักคน”

เขายกตัวอย่าง บุคคลดังๆ มากมาย ทั้ง “คริสเตียโน โรนัลโด”และ “อีลอน มัสก์”ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับงานที่ตัวเองทำ พร้อมแนบเหตุผลไว้ว่า แนวคิดเรื่องการทำงานนั้น “ขึ้นอยู่ว่าคุณอยู่ในช่วงไหนของชีวิต”

“ช่วงชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราต้องใช้กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง ทั้งหมดอยู่ที่เป้าหมาย และนิยามความสำเร็จของเราว่าคืออะไร”

“อยากประความสำเร็จ” หรือ “บาลานซ์ชีวิต” ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องเลือกสักทาง แต่ในความเห็นของ “โน้ต” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสรรหาและว่าจ้างบุคลากร บอกไว้ว่า..

“ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่คนพยายามจะสร้าง เพื่อให้คนที่จะได้ยินต้องเลือกไปในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น”

หากบอกว่า “ต้องทำงานหนัก ถึงจะประสบความสำเร็จ”แต่ถ้าทำงานหนักแล้ว “ป่วย-ซึมเศร้า-ไร้ความสุข” อย่างนี้จะเรียกว่า “ประสบการสำเร็จ”ได้หรือเปล่า? อาจต้องมาหานิยามของคำคำนี้

“บางคนจะบอก ผมมีครอบครัวที่มีความสุข มีเงินใช้ ดูแลตัวเองได้ ผมโอเคแล้ว แต่บางเขาอาจจะบอกว่า ไม่ ผมต้องเป็นผู้บริหารระดับสูง ต้องเป็น CEO เท่านั้น ซึ่งมันไม่เหมือนกัน”

ดังนั้น จะเลือก “Work-Life Balance” หรือ “มอบชีวิตให้กับงาน” มันก็อยู่ที่เราตั้งธงเป้าหมายในชีวิตไว้ตรงไหน เพราะคนเรามีความหลากหลาย รวมถึง “ความฝันของแต่ละคนด้วย ทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จในแบบตัวเอง”

แรงผลักสำคัญ“ต้องกินต้องใช้”

ในอีกมุมหนึ่ง หลายคนอาจ “ไม่ได้อยากทำงานหนัก แต่ชีวิตมันต้องกินต้องใช้” แปลว่าภาระและโครงสร้างของสังคม ทำให้บางคนไม่สามารถ Work-Life Balance ได้หรือเปล่า?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูด้านทรัพยากรบุคคลรายเดิมบอกว่า บางคนงานกับชีวิตของเขา มันผสมกันเป็นเนื้อเดียว และเขาก็ชอบมัน แต่บางคนก็มีเหตุผลมาจาก “ความจำเป็น”

“มันไม่มีทางเลือก ก็ต้องทำงานหนัก เรายังอยากได้ เรายังอยากเงยหน้าอ้าปากขึ้นมา เราอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ต้องทำงานหนัก”

เรื่องการเลือกว่า จะใช้ชีวิตการทำงานแบบ “Work-Life Balance” หรือ “ควรจะทุ่มเทกับมัน” เพื่อสิ่งต้องการ อาจไม่ใช่แค่เพียงสะท้อนวิธีการใช้ชีวิต แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึง “โครงสร้างทางสังคมที่ไม่เท่ากัน”

หมายความว่าถ้าคนเราไม่ต้องนั่งต่อสู้เรื่องปาก-ท้อง หรือไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยายาล ประกันอุบัติเหตุ หรือต้องมากลัวว่า ตอนแก่จะมีเงินพอที่จะดูแลตัวเองไหม

“เราก็ไม่ต้องกังวล เราจะมีเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่นได้ ทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้”

แต่หลายคนไม่มีอะไรมารองรับชีวิต ถ้าวันหนึ่งล้มขึ้นมา มันจะเป็นการล้มแบบหน้าฟาดพื้น ไม่มีฟูกมารองรับ แถมคนเหล่านี้ยังต้องพยายามต่อสู้ เพื่อให้ชีวิตได้ความสุขเพิ่มขึ้น เพื่อให้เงยหน้าอ้าปากได้เพิ่มอีก

ในสังคมที่ดูแลคนของตัวเองได้อย่างเช่น หลายๆ ประเทศในยุโรป หรือแถบสแกนดิเนเวียนที่พื้นฐานเรื่อง สวัสดิการสังคมดีมากนั้น

“คนมีหน้าที่แค่ทำงาน แล้วใช้ชีวิต สร้างคุณค่าให้สังคม เสียภาษี แต่ไม่ต้องกังวลว่า ตอนแก่ฉันจะไม่มีใครมาดูแล”

แต่ในบ้านเรา ถ้าไม่อยากกังวลว่า อนาคตจะมีเงินใช้ไหม เกิดอุบัติเหตุจะมีเงินพอจ่ายค่ารักษาไหม หรืออยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ เราต้องดิ้นรนทำงานหนักขึ้นเพื่ออะไรเหล่านี้ ฉะนั้น คำถามที่สำคัญคงไม่ใช่ว่าจะบาลานซ์ชีวิตยังไง

แต่โน้ตบอกว่า “ทำยังไงให้ทุกๆ คนมีตัวช่วย มีฟูกอันนั้นที่ทำให้เขายืนได้สูงพอๆ กัน และเวลาล้ม เขาก็รู้สึกปลอดภัย”

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live

1 เม.ย. 2567 ผู้จัดการออนไลน์