แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 554
31
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เมืองชัยนาท ต้องระดมกำลังออกตระเวนตามหาผู้ป่วยอาการจิตเวช ที่หลบหนีออกจากโรงพยาบาลกลางดึกที่ผ่านมา ผ่านไปเกือบ 30 นาที จนในที่สุดก็พบผู้ป่วยรายดังกล่าว ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปี สวมเสื้อผ้าตามลักษณะที่ญาติแจ้ง กำลังเดินอยู่ริมถนน ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 1.5 กิโลเมตร จึงเรียกให้หยุดพูดคุยก่อน

เบื้องต้นไม่ว่าตำรวจจะถามอะไร ก็ดูเหมือนจะไม่ได้คำตอบ เพราะชายดังกล่าวพูดจาไม่ตรงคำถามของตำรวจ โดยชายดังกล่าวพูดลักษณะเหมือนพูดคนเดียว จับใจความได้บ้างว่า อยากกลับบ้าน เพราะวันนี้เป็นวันลอยกระทง ตนเองจะกลับไปลอยกระทง จะไม่กลับไปที่โรงพยาบาลอีกเด็ดขาด เพราะถ้ากลับไปโรงพยาบาลจะไม่ได้ลอยกระทง ตำรวจจึงออกอุบายเกลี้ยกล่อมว่า ถ้าอยากไปลอยกระทง เดี๋ยวจะพาไป โดยจะเอารถกระบะไปส่ง เพราะถ้าเดินไปกว่าจะถึงบ้านน่าจะเหนื่อย ขึ้นรถไปดีกว่า เดี๋ยวตำรวจจะไปลอยกระทงเป็นเพื่อนด้วย

เมื่อรถกระบะตำรวจสายตรวจมาถึง ชายดังกล่าวก็ไม่มีท่าทีขัดขืนใดๆ เดินขึ้นรถสายตรวจอย่างว่าง่าย เพราะเชื่อว่าตำรวจจะพาไปลอยกระทง จนนำตัวมาส่งถึงมือแพทย์ที่โรงพยาบาลในที่สุด

โดยญาติของชายดังกล่าวเล่าว่า น้องน่าสงสาร เพราะเพิ่งมาช่วยมีอาการทางจิตประสาท ช่วงเรียน ม.4 หรือประมาณ 6 ปีที่แล้ว โดยสาเหตุไม่แน่ชัดว่าเกิดจากความเครียดเรื่องการเรียน หรือสาเหตุอื่นใด โดยวันนี้ได้พาน้องมารอพบแพทย์ แต่น้องได้วิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาลเสียก่อน จึงต้องโทรแจ้งตำรวจให้ช่วยตามตัวดังกล่าว

15 พย 2567
มติชน

32
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าล่าสุดนิตยสาร Travel + Leisure นิตยสารท่องเที่ยวทรงอิทธิพลของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก ได้ยกให้ประเทศไทยเป็น "จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวแห่งปี 2568" หรือ Destination of the Year 2025

ประกาศศักดา Soft Power เสน่ห์ไทย ส่งเมืองไทยขึ้นแท่นครองใจคนทั่วโลก กับตำแหน่งล่าสุดต้อนรับปีใหม่  Destination of the Year 2025 โดยการจัดอันดับโดยนิตยสารท่องเที่ยวทรงอิทธิพล Travel + Leisure

Travel + Leisure ได้ประมวลผลจากการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และประกาศมอบรางวัลทรงเกียรติให้กับประเทศไทยให้ครองตำแหน่ง Destination of the Year 2025 โดยยกให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าไปเยือนสำหรับปี 2568
 
โดย นิตยสาร Travel + Leisure ให้เหตุผลว่า เนื่องจากประเทศไทยมีความครบเครื่องในเรื่องของการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวมีความงามของธรรมชาติ อย่างอ่าวพังงา การอนุรักษ์ช้างไทยที่น่าชื่นชม ขณะที่เมืองหลวงอย่าง กรุงเทพ ฯ ก็เป็นเมืองหลวงที่มีเสน่ห์ ทั้งในแง่วัฒนธรรม อาหารการกินที่เลื่องชื่อ รวมถึงการเปิดกว้างสำหรับชุมชน LGBTQ

ผู้ว่าททท.กล่าวต่อว่า ตำแหน่ง Destination of the Year เป็นตำแหน่งที่หมายปอง และเป็นที่ยอมรับของวงการท่องเที่ยวโลก ที่นิตยสารท่องเที่ยวทรงอิทธิพลอย่าง Travel + Leisure มอบให้กับประเทศต่างๆ

เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่มีการจัดอันดับ ทำให้ประเทศที่ได้รับตำแหน่งกลายเป็นดาวเด่น ที่เชื้อเชิญให้นักเดินทางทั่วโลกเข้าไปสัมผัส นี่จึงเป็นสัญญาณที่ดีของการท่องเที่ยวไทย ในปี 2568 ที่จะตอบรับกับเป้าหมายการทำงานของ ททท.

รวมถึงนโยบายการขับเคลื่อนของรัฐบาล ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายรายได้ 3.4 ล้านล้าน และการยกระดับประเทศไทยสู่ปี Amazing Thailand Grand tourism and Sports Year 2025

Travel + Leisure นิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ประกาศให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายท่องเที่ยวแห่งปี 2568 (2025 Destination of the Year) ด้วยเสน่ห์ที่โดดเด่นทั้งวัฒนธรรม อาหาร และการผสานความเป็นไทยเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ทำให้เมืองไทยกลายเป็นจุดหมายที่พลาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวในปีหน้า

ทั้งนี้ นับเป็นปีที่ 10 แล้วที่ทางนิตยสารได้จัดอันดับจุดหมายท่องเที่ยวแห่งปี โดยก่อนหน้านี้เคยมอบตำแหน่งดังกล่าวให้กับประเทศต่าง ๆ เช่น คอสตาริกา อิตาลี และญี่ปุ่น

"ฌัคกี กิฟฟอร์ด" บรรณาธิการใหญ่ของ Travel + Leisure ระบุว่าเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ประกาศให้ประเทศไทยเป็น "จุดหมายท่องเที่ยวแห่งปี 2568” ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการตะลุยชิมอาหารรสเลิศในกรุงเทพฯ นอนชิลริมหาดบนเกาะสวย ๆ กว่า 1,430 เกาะ หรือสัมผัสการบริการสุดประทับใจในโรงแรมหรูระดับโลก เมืองไทยมีอะไรดี ๆ รอให้นักท่องเที่ยวทุกสไตล์ได้มาสัมผัส

Travel + Leisure ยังระบุว่า แต่ละภาคของไทยมีเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหล ทั้งงานศิลปะสร้างแรงบันดาลใจ ธรรมชาติสวยงาม และการผจญภัยน่าค้นหา รวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็มีความโดดเด่นในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรม โดยมีตั้งแต่ร้านอาหารชั้นเลิศ ไปจนถึงชุมชน LGBTQ+ ที่คึกคักมีชีวิตชีวา

นอกจากความมีสีสันของกรุงเทพฯ แล้ว เกาะต่าง ๆ ของไทยอย่างเช่นเกาะสมุยที่เป็นโลเคชันถ่ายทำซีรีส์ดัง The White Lotus ของ HBO ก็พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรีสอร์ตหรูและบรรยากาศเงียบสงบ ขณะที่อ่าวพังงาก็โดดเด่นด้วยวิวเขาหินปูนสุดอลังการ

ส่วนภาคอีสานก็เต็มไปด้วยงานศิลปะที่สร้างแรงบันดาลใจให้วงการครีเอทีฟทั่วประเทศ นอกจากนี้ เมืองไทยยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยเฉพาะการดูแลช้างที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมได้ตามศูนย์อนุรักษ์ช้างทั่วประเทศ

Thansettakij
13 พย 2567

33
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสอบสวนโรคอุจจาระร่วง 2 โรงเรียน จ.ระยอง เกิดจากไวรัสโนโรที่มากับ “น้ำ-น้ำแข็ง” สั่งหยุดจำหน่ายน้ำแข็งที่ไม่ได้มาตรฐาน
กรณีพบนักเรียนและครูจาก 2 โรงเรียนอ.แกลง จ.ระยอง ป่วยอุจจาระร่วงกว่า 1,436 คนในงาน ในสัปดาห์กีฬาสีตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา 

วันนี้ (11 พ.ย.2567) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 กล่าวถึงผลการสอบสวนโรคอุจจาระร่วงระบาดในนักเรียน 2 โรงเรียน อ.แกลง จ.ระยองว่า ได้รับรายงานจาก นพ.สุรวิทย์ ศักดานุภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง พบผู้ป่วยจากทั้ง 2 โรงเรียนรวมทั้งหมด 1,436 คน เป็นนักเรียน 1,418 คนจากทั้งหมด 4,559 คน คิดเป็นอัตราป่วย ร้อยละ 31.1 ครูและบุคลากร 18 คน จากทั้งหมด 183 คน คิดเป็นอัตราป่วย ร้อยละ 9.8

สาเหตุเกิดจากติดเชื้อไวรัสโนโร ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคทางเดินอาหาร โดยรับรายงานผู้ป่วย 1 คน จากโรง เรียนประถมศึกษา ซึ่งไปตรวจที่ รพ.เอกชน เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมาพบเชื้อ Norovirus genogroups II จากชุดตรวจเร็ว

นอกจากนี้จากการเก็บตัวอย่างอุจจาระของผู้ป่วย 4 คน เมื่อวันที่ 7 พ.ย.นี้ พบเชื้อก่อโรค 3 ชนิด ได้แก่ เชื้อ Norovirus GI/GII, Enteropathogenic E.coli (EPEC) ในตัวอย่างของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา 1 คน และเชื้อ Enteroaggretive E.coli (EAEC) ในตัวอย่างของผู้ปรุง และเตรียมอาหารโรงเรียนประถมศึกษา 1 คน และอยู่ระหว่างรอผลตรวจอาเจียน 1 ตัวอย่าง ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา รวมถึงน้ำดื่ม น้ำใช้ และน้ำแข็ง จำนวน 6 ตัวอย่าง และอาหาร 2 ตัวอย่าง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

พบการปนเปื้อนน้ำ-น้ำแข็ง
ส่วนการตรวจสอบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย จากการเก็บตัวอย่างด้วยชุดทดสอบ SI-2 ในภาชนะทำครัว มือผู้ปรุงและเตรียมอาหาร ทั้ง 2 โรง เรียน 13 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อนในตัวอย่างจากโรงเรียนมัธยมศึกษา 4 ตัวอย่าง ได้แก่ เขียงและมีด หัวก๊อกน้ำกด มือผู้ปรุงและเตรียมอาหาร ขณะที่การเก็บตัวอย่างน้ำด้วยชุดตรวจ อ.11 จากตู้กดน้ำดื่ม 6 ตัวอย่างในโรงเรียนประถมศึกษา พบการปนเปื้อน 3 ตัวอย่าง

นพ.โสภณ กล่าวว่า ผลการสอบสวนโรคชี้ให้เห็นว่า “น้ำและน้ำแข็ง” ที่บริโภคในโรงเรียนในสัปดาห์กีฬาสีเป็นปัจจัยเสี่ยงของการป่วย เนื่องจากผลการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่า ระบบประปาที่ใช้เป็นระบบประปาผิวดิน ตรวจคลอรีนอิสระคงเหลือได้ 0.09 ppm ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐาน

อ่านข่าว 37 พื้นที่ กทม. PM2.5 ระดับสีส้ม ฝุ่นสูงสุดเขตหนองแขม

นพ.โสภณ กล่าวว่า ขณะที่ผลการตรวจโรงน้ำแข็ง ซึ่งมีใบอนุญาตถูกต้อง พบว่า ใช้น้ำดิบจากระบบประปาเทศบาลตำบลเมืองแกลง มีบ่อพักน้ำให้ตกตะกอน แล้วนำน้ำใสมาเติมคลอรีนแบบอัตโนมัติก่อนผ่านระบบกรอง แล้วส่งเข้าระบบผลิตน้ำแข็ง ส่วนโรงโม่น้ำแข็ง จะนำน้ำแข็งซองมาโม่ ที่บ้านเพื่อจำหน่าย

ทั้งนี้ ตรวจพบจุดเสี่ยงไม่ได้มาตรฐานคือ ถังใส่น้ำแข็งซองมีการแช่วัสดุอื่นในถังด้วย รถที่ขนน้ำแข็งใช้ผ้าพลาสติกปูพื้นกระบะเพื่อวางน้ำแข็ง และจะโม่เมื่อมีผู้มาซื้อโดยบรรจุใส่กระสอบอาหารสัตว์ที่ล้างแล้วนำกลับมาใช้ใหม่

ส่วนมาตรการควบคุมโรคที่ดำเนินการเพิ่มภายหลังการสอบสวนโรค คือ เติมคลอรีนในถังพักน้ำดื่ม น้ำใช้ ทั้ง 2 โรงเรียน ประสานเทศบาลตำบลเมืองแกลงในการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบของโรงเรียน

สั่งยุติการจำหน่ายน้ำแข็ง จากโรงโม่น้ำแข็ง และให้ทำการปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในส่วนของสถานที่
แนะนำสุขวิทยาส่วนบุคคลของคนงานโรงงานผลิตน้ำแข็ง และร้านค้ารายย่อยที่นำน้ำแข็งโม่ส่งให้กับโรงเรียน แนะนำโรงเรียนห้ามนำน้ำแข็งโม่มาใช้บริโภค และประสานโรงเรียนทุกแห่งเฝ้าระวังและเพิ่มความเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคที่เกิดจากอาหารและน้ำปนเปื้อน

11 พ.ย. 67
ไทพีบีเอส

34
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีพบการระบาดของโรคไอกรน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่าสหรัฐอเมริกาพบการระบาดเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ว่า โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis และสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ดังนั้นหากพื้นใดที่มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากก็จะไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาในพื้นที่ที่การครอบคลุมวัคซีนต่ำ เช่น พื้นที่ที่มีเด็กต่างด้าว พื้นที่ติดขอบชายแดน บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่พบการระบาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการระบาดในเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย

“แต่ครั้งนี้มีการพบเพิ่มขึ้นคือในวัยรุ่น ที่ได้รับวัคซีนป้องกันแล้วแต่ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้สามารถรับเชื้อได้ และมีอาการในระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ ลำคอ แต่อาการจะไม่มาก อย่างกรณีที่พบผู้ป่วยมากขึ้นในตอนนี้ อาจเกิดจากช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่คนไปรับวัคซีนโควิด-19 กันมาก แต่ได้รับวัคซีนพื้นฐานลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก ทำให้โรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน กลับมาพบมากขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19” นพ.โสภณกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้ประกาศปิดเรียนถึง 15 วัน มีความน่ากังวลหรือไม่ นพ.โสภณกล่าวว่า อันนี้เป็นคนละกรณีกับการระบาดในพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย แต่กรณีนี้พบว่าเป็นการติดเชื้อในเด็กโต ที่ได้รับวัคซีนแล้ว เมื่อรับเชื้อมาก็จะมีอาการน้อย เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ แต่เมื่อไปตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ถึงจะพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียก่อโรคไอกรน ทั้งนี้ การป่วยโรคไอกรนในเด็กที่ได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว มีโอกาสเสียชีวิตต่ำมาก เพียงแต่ยังติดเชื้อ ตรวจเจอเชื้อได้ โดยที่อาการป่วยน้อย

ถามต่อว่าสถานการณ์ระบาดในตอนนี้ ประชาชนจะต้องกังวลหรือไม่ นพ.โสภณกล่าวว่า ไม่ต้องกังวลมาก เพราะโรคไอกรนสามารถป้องกันได้เหมือนโรคติดต่อทางเดินหายใจ คือ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ไม่ใช้ของร่วมกัน ถ้ามีอาการป่วยให้รีบแยกตัวออกจากบุคคลอื่น

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมตามที่เป็นข่าวนั้น ไม่ได้น่าห่วงมาก แต่ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหากพบว่าบุตรหลานมีอาการไม่สบายก็ขอให้พาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุการป่วยที่ชัดเจน” นพ.โสภณกล่าว

13 พฤศจิกายน 2567
มติชน

35
สื่อต่างประเทศรายงานว่า นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศออกกฎห้ามสูบบุหรี่ริมถนนโดยสมบูรณ์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2025 เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงรูปลักษณ์ของเมือง

ฮิเดยูกิ โยโกยามะ นายกเทศมนตรีโอซากา กล่าวว่า กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ตามท้องถนนทั่วเมืองในปีหน้า ขณะนี้เมืองโอซากามีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่บนถนนในบางพื้นที่เท่านั้น เช่น อุเมดะ และ มิโดสุจิ ซึ่งผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกปรับ 1,000 เยน

นครโอซาก้ากำลังเตรียมการสำหรับงาน Osaka-Kansai World Expo 2025 ดังนั้นจึงมีการออกกฎหมายขยายการห้ามสูบบุหรี่ริมถนนให้ครอบคลุมทั่วทั้งเมืองโอซากา ซึ่งกำลังดำเนินการสร้างพื้นที่สูบบุหรี่มากกว่า 140 แห่ง ทั่วเมืองโอซากา เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น

เรากำหนดวันที่บังคับใช้ของกฎระเบียบต่อต้านการสูบบุหรี่อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ม.ค. 2025 โดยคำนึงถึงความตระหนักรู้ของสาธารณชนและการดำเนินงานที่ราบรื่น นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนบุคลากรเจ้าหน้าที่สายตรวจเป็น 100 นายภายในวันที่บังคับใคับใช้

มติชนออนไลน์
13 พย 2567

36
เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้กองทัพสัมพันธมิตร (14 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ไทย ก็อยู่ในฝ่ายผู้แพ้เช่นกัน และเกือบต้องเป็น “รัฐในอารักขา” ของ อังกฤษ

ไทยเกือบเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ?
หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน ผู้บัญชาการทหารสัมพันธมิตรในเอเชียอาคเนย์ ส่งกองพลอินเดียที่ 7 จำนวน 17,000 คน มาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทยและบีบให้ไทยเซ็น “ข้อตกลงสมบูรณ์” แบบเร่งด่วน เพราะตราบใดที่ไทยยังไม่เซ็น สถานะสงครามกับไทยและอังกฤษกับเครือจักรภพก็ยังอยู่

ทำให้อังกฤษยังไม่เปิดสถานทูตในไทย ยังไม่ยอมคืนทองและเงินปอนด์ (มูลค่าขณะนั้นประมาณ 265 ล้านบาท) ที่อังกฤษอายัดไว้ที่ลอนดอน, ไทยต้องเลี้ยงดูเสียค่าใช้จ่ายทั้งทหารกองพลที่ 7 และเชลยศึก (ทหารญี่ปุ่นราว 1.2 แสนคน) จนกว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะปลดอาวุธและส่งทหารญี่ปุ่นกลับไปหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ปีเศษ ที่ไทยต้องดูแลทั้งทหารสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่น และเชลยที่ญี่ปุ่นจับไว้

มีการเจรจาระหว่างไทย-อังกฤษ หลายครั้งกว่าจะตกลงกันได้

ด้วยอังกฤษเรียกร้องและปรับโทษไทยค่อนข้างรุนแรง เช่น ในร่างสัญญาครั้งหนึ่ง อังกฤษจะให้ยุบองค์กรทางทหาร ทางการเมือง ที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อสัมพันธมิตร จะเข้าปกครอง จะควบคุมเรือสินค้าไทย การฝึกทหาร ฯลฯ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วนั่นเท่ากับไทยหมดเอกราชอธิปไตยทันที

หรือในการเจรจาอีกครั้งหนึ่งที่กำหนดว่า ไทยต้องให้ข้าวสาร 1.5 ล้านตัน แก่อังกฤษ (มูลค่าขณะนั้น 2,500 ล้านบาท โดยจำนวนดังกล่าว เท่ากับปริมาณข้าวที่ไทยผลิต 1 ปี) ไทยต้องจ่ายความเสียหายของฝ่ายอังกฤษในระหว่างสงคราม ต้องเลี้ยงเชลยศึกและทหารสัมพันธมิตรในไทย

จนไทยต้องล็อบบี้ให้สหรัฐช่วย การลงนามจึงเกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 ที่สิงคโปร์ ผู้แทนไทยกับอังกฤษก็ลงนาม ข้อตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อเลิกสถานะสงครามระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย ซึ่งมีทั้งหมด 24 ข้อ ซึ่งมีสาระสรุปได้ดังนี้

-ยกเลิกสถานะสงครามระหว่างไทยกับอังกฤษ
-ไทยคืนทรัพย์สินของอังกฤษหรือจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สิน สิทธิ ผลประโยชน์สัมปทานต่างๆ ในไทย ที่เสียหายในระหว่างสงคราม รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ที่ค้าง และเงินบำนาญของข้าราชการอังกฤษที่ค้าง
-ไทยจะไม่ขุดคลองตัดแหลมทอง (คอคอดกระ) ถ้าอังกฤษไม่ยินยอม
-ห้ามไทยส่งออกข้าว ดีบุก ยาง และไม้สัก จนถึง 1 กันยายน 2490
-ไทยจะมอบข้าวสาร 1.5 ล้านตัน แก่อังกฤษ โดยไม่คิดมูลค่า (ราคาข้าวขณะนั้นตันละ 28 ปอนด์ ปอนด์ละ 60 บาท หรือประมาณ 2,520 ล้านบาท)
-ไทยจะร่วมกับอังกฤษ อินเดีย เกี่ยวกับการร่วมบำรุงรักษาที่ฝังศพเชลยฝ่ายสัมพันธมิตร
-อังกฤษและอินเดียจะสนับสนุนไทยให้เป็นสมาชิกสหประชาชาติ
-ทรัพย์สินของญี่ปุ่นและของศัตรูอื่น (หมายถึงเยอรมนี) ยกให้ฝ่ายสัมพันธมิตร
-ไทยร่วมมือจับกุมอาชญากรสงครามให้ฝ่ายสัมพันธมิตร
-กองทหารสัมพันธมิตรได้รับความคุ้มครองทางการศาล
-ให้ความสะดวกทุกอย่างแก่ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในไทยโดยไม่คิดมูลค่า (ทั้งค่าอาหาร ที่พัก การเดินทาง การขนส่ง)
-ไทยจะถอนเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่อยู่ในดินแดนอังกฤษที่ไทยยึดครอง (หมายถึง 4 รัฐมลายู  (รัฐกลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี, ปะลิส) เชียงตุง และเมืองพาน) และคืนทรัพย์สินที่ฝ่ายไทยเอาไปจากดินแดนเหล่านี้
-อังกฤษจะเลิกอายัดทรัพย์สินของไทยที่อยู่ในอังกฤษระหว่างสงคราม
-ไทยจะปฏิบัติตามกฎบัตร มติของสหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม
-ไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมในข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยดีบุกหรือยาง

แม้ ไทย กับ อังกฤษ จะเลิกสถานะสงครามต่อกันแล้ว แต่ปัญหาบางข้อยังไม่ยุติ

เพราะยังมีหลายประเด็นที่ต้องเจรจากันต่อ เช่น ค่าเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกิจการของอังกฤษในไทยระหว่างสงคราม เช่น เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดถูกเหมืองแร่ โรงเลื่อย คลังน้ำมัน และบริษัทอังกฤษ เดิมฝ่ายไทยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำ หากสุดท้ายก็ตกลงมอบเงิน 5.2 ล้านปอนด์ (มูลค่าขณะนั้นราว 313 ล้านบาท) ให้อังกฤษไปตกลงกับภาคเอกชนอังกฤษเอง เรื่องจึงยุติ

ส่วนเหตุที่อังกฤษยกเลิกสถานะสงครามกับไทยและไม่ยึดไทยเป็น รัฐในอารักขา นั้นพอสรุปได้ดังนี้

1. การรีบประกาศสันติภาพของไทย (ประกาศในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 หลังสงครามยุติเพียง 2 วัน) ประกาศโดย ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่ 8 เพื่อให้ชาวไทยและชาวโลกทราบว่า ไทยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย เพราะฝืนเจตจำนงของชาวไทยและผิดรัฐธรรมนูญ (ด้วยมีผู้ลงนามแทนพระเจ้าแผ่นดิน คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียง 2 คน แต่ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ได้ลงนาม)

พร้อมจะคืนดินแดนที่ไทยครอบครองให้อังกฤษ (ได้แก่ รัฐกลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี, ปะลิส, เชียงตุง และเมืองพาน) ไทยจะยกเลิกกฎหมายใดๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐ อังกฤษ และเครือจักรภพโดยเร็ว ยอมชดใช้ค่าเสียหายโดยชอบธรรม และจะปฏิบัติตามข้อตกลงของสหประชาชาติ

2. ผู้แทนลับของไทย ที่ไปล็อบบี้กับสหรัฐ (พฤษภาคม 2488 – 31 มกราคม 2489) ซึ่งอังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส เกรงใจสหรัฐ เพราะระหว่างสงครามสหรัฐได้ช่วยเหลือประเทศทั้งสองเป็นอันมาก เช่น ให้อังกฤษเช่า-ยืมเรือพิฆาต 50 ลำ ไปสู้กับฝ่ายเยอรมนี เมื่อสหรัฐประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เยอรมนี อิตาลี ยังช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรให้รถถัง เครื่องบิน เรือรบ ฯลฯ เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อสหรัฐทักท้วงเรื่องข้อตกลงสมบูรณ์แบบ อังกฤษก็ยอมผ่อนปรนท่าที

3. ไทยทำคุณไถ่โทษต่ออังกฤษ เช่น รีบคืนดินแดน 6 แห่งให้ โดยที่อังกฤษไม่ได้เรียกร้อง, ยอมบริจาคข้าวสาร 240, 000 ตัน (มูลค่าขณะนั้น 480 ล้านบาท) ให้สหประชาชาติโดยผ่านอังกฤษ ไปช่วยอาณานิคมที่กำลังอดอยากเดือดร้อนมาก อันเนื่องมาจากสงคราม ฯลฯ

4. ผลงานของเสรีไทย 80,000 คน ที่ช่วยส่งข้อมูลทางการทหารของญี่ปุ่นไปให้สัมพันธมิตร และเตรียมพร้อมจะลุกฮือโจมตีญี่ปุ่น

5. การช่วยเหลือของคนไทยต่อเชลยศึกและกรรมกรที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ เชลยศึกมีทั้งเชลยที่ญี่ปุ่นจับมาจากสิงคโปร์ ชวา ฯลฯ ที่ทุกข์ทรมานมากจากงานและโรคภัย แต่ขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค หากมีบันทึกคำให้การของเชลยศึกในศาลอาชญากรสงคราม ปรากฏเรื่องความเมตตาของคนไทยที่ช่วยเหลือเชลยศึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอังกฤษ ออสเตรเลีย ดัตช์ นิวซีแลนด์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สัมพันธมิตรซาบซึ้ง ไม่อยากลงโทษไทยอย่างที่อังกฤษต้องการ


หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ศ. สุวิทย์ ธีรศาศวัต. “สงครามมหาเอเชียบูรพา ไทยรอดจากการยึดครองของญี่ปุ่น แต่เกือบเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2565.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 ธันวาคม 2566
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม

37
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) ครั้งที่ 3/2567 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเสนอให้ผลักดันนโยบาย 1 จังหวัด 1 โรงพยาบาลเลิกบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อเป็นต้นแบบในการเป็นจุดจัดการลดจำนวนนักสูบ พร้อมเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ จัดโครงการ Gen Z ไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กไทยไม่สูบบุหรี่ทุกประเภท

นายสมศักดิ์กล่าวว่า จากนโยบายของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เกี่ยวกับการยกระดับระบบสาธารณสุขให้ดียิ่งกว่าเดิม โดยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาภายใต้แนวคิด “1 จังหวัด 1 โรงพยาบาล ช่วยคนไทยเลิกบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าแบบครบวงจร” และการส่งเสริมการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม ด้วยการขับเคลื่อน “การสร้างแกนนำเด็กและเยาวชน Gen Z ไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” เพื่อให้การควบคุมการบริโภคยาสูบ ทั้งการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ และการช่วยให้นักสูบสามารถเข้าถึงระบบเลิกบุหรี่จนสามารถเลิกได้สำเร็จ ซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.มอบกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนการขยายโอกาสการเพิ่มระบบบริการเลิกบุหรี่ โดยสนับสนุนการใช้ยาเลิกบุหรี่ และให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยชักชวน สร้างกำลังใจ และกำกับติดตามให้นักสูบสามารถเลิกสูบได้สำเร็จ 2.สร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายแกนนำเด็กและเยาวชนไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ทั้งในสถานศึกษาและผ่านกลไกสมัชชาเด็กและเยาวชนทุกจังหวัด เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงองค์ความรู้ สื่อเผยแพร่เกี่ยวกับโทษพิษภัยบุหรี่ และกลยุทธ์ของธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบ เกิดการรู้เท่าทันและไม่หลงเชื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ

ขณะที่ นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้เตรียมความพร้อม ทั้งเรื่องการช่วยเลิกบุหรี่ โดยมียาเลิกบุหรี่ Cytisine ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ รองรับการเบิกจ่ายในโรงพยาบาลตามสิทธิการรักษาทุกประเภท และการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ โดยประสานงาน และบูรณาการกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ดำเนินงานให้เด็กและเยาวชนไทยมีความรู้และภูมิคุ้มกันตนเอง พร้อมบอกต่อและชักชวนให้เพื่อนไม่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีสุขภาพที่ดี
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมได้มีการมอบรางวัลอาเซียนปลอดบุหรี่ (ASEAN Smoke-free Award) ให้กับเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ซึ่งเป็นรางวัลเชิดชูองค์กรที่มีผลงานและกลไกการบริหารระดับพื้นที่ที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินงานสถานที่สาธารณะปลอดบุหรี่ จนสามารถเป็นต้นแบบให้กับกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ โดยในปี พ.ศ.2566 เทศบาลเมืองแสนสุข ได้รับรางวัลอาเซียนปลอดบุหรี่ระดับเหรียญทองแดง จากผลงานเด่นด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบที่สำคัญ คือ การขับเคลื่อนให้ชายหาดบางแสนเป็นชายหาดปลอดบุหรี่

11 พฤศจิกายน 2567
มติชน

38
ผบ.ตร. กำชับผู้ใต้บังคับบัญชา เร่งคลี่คลายคดีสำคัญ ที่ ปชช.สนใจ ย้ำ รวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม หวังกอบกู้ภาพลักษณ์องค์กร หาก ตร.ผิด จัดการเด็ดขาด แจง รพ.ตร. ไม่ต้องขอความเห็นตน ปมเวชระเบียน “ทักษิณ” ชั้น 14 หลัง ป.ป.ช. ร้องขอ ชี้ สิทธิขาดอยู่ที่ คกก. ไม่แทรกแซงการทำงาน

วันนี้ (10 พ.ย.) แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เมื่อช่วง ต.ค.ที่ผ่านมา โดย ผบ.ตร.กำชับตำรวจทุกนาย ว่า ต้องให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเป็นธรรมและรักษากฎหมาย ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องเร่งรัดและตั้งใจทำงานในคดีต่างๆ ที่สังคมให้ความสนใจในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว เช่น คดีป๋าเบียร์และแม่ตั๊ก กรณีฉ้อโกงประชาชนในการหลอกขายทองคำ คดี ดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่มีการฉ้อโกงประชาชน คดี นางศิรินัดดา หักพาล ถูกแจ้งความว่าลักทรัพย์และบุกรุกคอนโดมิเนียมของ น.ส.ธณัฎฐา ยอดเยี่ยม (หนิง) และนายตำรวจยศ พ.ต.อ. ซึ่งต่อมา นางศิรินัดดา แจ้งความกลับว่า นางธนัฏฐา และสามี แจ้งความเท็จ รวมถึงคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด คดีตำรวจ 6 นาย ร่วมกันอุ้มและรีดทรัพย์ชาวจีน คดีบ่อนและพนันออนไลน์ คดีทุนจีนสีเทา คดีหลอกลวงประชาชนทางสังคมออนไลน์ การจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวนมาก และคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เนื่องจาก ผบ.ตร.ให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ทุกคดีที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจให้สังคมเชื่อมั่นอีกครั้ง หากตำรวจรายใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ผบ.ตร.เน้นว่าต้องดำเนินคดีถึงที่สุดอย่างเด็ดขาดทุกราย



แหล่งข่าว เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำเรื่องขอเวชระเบียนการรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่รับโทษ จากโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น14 ไปถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับนั้น ทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกสื่อมวลชนไปแล้วว่า ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วว่ามีหน่วยงานหรือองค์กรอิสระติดต่อขอข้อมูลการรักษาตัวของนายทักษิณ จากโรงพยาบาลตำรวจ แต่ในส่วนของการบริหารราชการ ถึงแม้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะเป็นผู้บังคับบัญชา แต่อำนาจสิทธิขาดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจ ที่จะต้องพิจารณาคำร้องขอว่าสามารถให้ได้หรือไม่ อย่างไร เพราะ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ประเด็นนี้โรงพยาบาลตำรวจไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจาก ผบ.ตร. ส่วนเรื่องดังกล่าวจะมีนัยอะไรหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่กำชับให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

นอกจากนั้น แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า ตอนนี้ฝ่ายการเมือง นักเคลื่อนไหวทางสังคม พยายามกดดัน ผบ.ตร.ว่า ต้องสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจส่งข้อมูลของนายทักษิณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อ หาก ผบ.ตร.ไม่กระทำ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 นั้น หากพิจารณาสิ่งที่ ผบ.ตร.กล่าวกับสื่อมวลชนในเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขอชี้แจงว่า กรณีของนายทักษิณนั้น ผบ.ตร. จะไม่แทรกแซงการทำงาน การพิจารณาและการตัดสินใจของหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ที่ต้องพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ แต่ขอให้ไล่เรียงไทม์ไลน์กรณีนี้ด้วยว่า นายทักษิณ กลับประเทศและไปรายงานตัวต่อศาลและเข้าเรือนจำในวันที่ 22 ส.ค. 66 และรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยช่วงนั้นผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. โดยช่วงนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้รับการแบ่งงานจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ให้กำกับดูแลหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ศปปง.ตร.), ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มอบให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม

“หากพิจารณาไทม์ไลน์อย่างเป็นธรรม จะพบว่า การรับผิดชอบหน้าที่ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ในช่วงที่เป็น รอง ผบ.ตร. กับกรณีนายทักษิณ ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น จะพบว่าในช่วงนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจเลย แต่กระแสกดดันจากหลายฝ่ายในตอนนี้พยายามโยงว่า ผบ.ตร. อาจไม่ร่วมมือในการให้ข้อมูลของนายทักษิณ และอาจมีความผิดไปด้วยนั้น ต้องพิจารณาข้อกฎหมายและเคารพการพิจารณาของคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจในกรณีนี้ด้วย หากบางฝ่ายระบุว่า ผบ.ตร. มีอำนาจสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ได้นั้น ควรพิจารณาอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่มอบให้ ผบ.ตร.รับผิดชอบด้วยว่ากระทำหรือไม่กระทำอะไรได้บ้าง ยืนยันว่า แม้วันนี้ ผบ.ตร.มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่ ผบ.ตร.ก็ต้องเคารพกฎหมายเหมือนประชาชนทุกคน ดังนั้น ผบ.ตร.จะกระทำในสิ่งนอกเหนือกฎหมายให้อำนาจหน้าที่ไม่ได้” แหล่งข่าวระบุ

10 พ.ย. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

39
แม้อังกฤษและฝรั่งเศสจะเป็นคู่แข่งกันในการล่าอาณานิคม แต่ในเกมแข่งขันอำนาจยุคจักรวรรดินิยมย่อมไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งสองชาติมหาอำนาจจึงตกลงร่วมกันให้สยามเป็นรัฐกันชน

อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นศัตรูกันมาอย่างยาวนานหลายยุคสมัย แต่พลันที่ทั้งสองชาติจับมือร่วมกัน การสานผลประโยชน์หลังจากนั้นก็ตามมา โดยหลังจากฝรั่งเศสตัดสินใจร่วมรบอยู่ข้างเดียวกับอังกฤษในสงครามไครเมีย (Crimean War, 1853-1856) จนได้รับชัยชนะเหนือรัสเซีย รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (Second Opium War, 1856-1860) ที่จีน ทำให้ทั้งสองชาติกลายเป็นสองมหาอำนาจที่แข่งขันกันในเชิงในอันที่จะประกาศศักดาของตนเอง ไม่ต้องการปะทะกันซึ่งหน้า และปราศจากการขัดขวางของอีกฝ่าย

อังกฤษและฝรั่งเศสจึงต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันนอกทวีปยุโรป

หลังเกิดวิกฤตการณ์ “ร.ศ. 112” เมื่อปี 1893 สั่นคลอนเสถียรอำนาจเหนือดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การดำเนินนโยบายอันแข็งกร้าวของฝรั่งเศสอยู่ในสายตาของอังกฤษโดยตลอด เนื่องจากพื้นที่ใหม่ของลาวตอนเหนือที่ฝรั่งเศสเพิ่งได้ไปนั้นทำให้มีพรมแดนประชิดกับพม่าตอนเหนือในครอบครองของอังกฤษ ซึ่งนี่อาจนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดกระทบกระทั่งกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส

ทั้งสองชาติจึงหันไปตกลงกันอย่างลับ ๆ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันอันจะเป็นเกราะป้องกันความบาดหมางที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต บนบริเวณพื้นที่ โดยต่างไม่เห็นความจำเป็นจะต้องแจ้งให้สยามรับรู้ อังกฤษเป็นฝ่ายเสนอต่อฝรั่งเศสที่จะปล่อยให้สยามเป็นรัฐกันชน

นำไปสู่การทำปฏิญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ปี 1896 (Anglo-French Declaration 1896)

ข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์มีใจความดังต่อไปนี้

หนังสือปฏิญญาฤๅหนังสือสัญญา

ในระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส

ได้ทำไว้ที่กรุงลอนดอน ณ วันที่ 15 มกราคม

รัตนโกสินทรศก 114

ด้วยผู้มีชื่อในท้ายหนังสือนี้ คือ มาร์ควิส ออฟ ลอลสบุรี เสนาบดีว่าการต่างประเทศของสมเด็จพระนางเจ้าราชินีอังกฤษฝ่ายหนึ่ง กับบารอนเดอคัวร์เซล เอกอรรคราชทูตของรีปับลิกฝรั่งเศส ณ สำนักกรุงลอนดอนอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้รับอำนาจจากคอเวอนเมนต์ทั้งสองฝ่ายโดยถูกต้องแล้ว จึงได้ลงชื่อไว้ในคำปฏิญญาดังมีอยู่ต่อไปนี้

ข้อ (1) คอเวอนเมนต์ของสมเด็จพระนางเจ้าราชินีอังกฤษกับคอเวอนเมนต์รีปับลิกฝรั่งเศสสัญญาต่อกันไว้ว่าเมื่อยังไม่ได้ยินยอมพร้อมกันแล้ว ถึงแม้จะมีการอย่างใด ๆ ก็ดีฤๅเหตุใดก็ดี ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวจะไม่ยกกำลังประกอบด้วยเครื่องสาตราวุธ ล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนทั้งหลายเหล่านี้ คือพื้นดินที่น้ำไหลจากแม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง กับลำน้ำลำคลองทั้งหลาย ที่ติดต่อกับแม่น้ำทั้งปวงนี้ กับทั้งที่ฝั่งทะเลตั้งแต่เมืองกำเนิดนพคุณจนถึงเมืองแกลงแลที่ดินซึ่งน้ำไหลตกลำน้ำบางตพาน กับลำน้ำพะแสซึ่งเมืองทั้งสองนี้ตั้งอยู่แล้วทั้งที่ดินที่น้ำไหลตกลำน้ำลำคลองอื่น ๆ ซึ่งไหลลงในทุ่งฤๅอ่าวตามชายฝั่งทะเลที่กล่าวมานี้ด้วย กับอีกทั้งที่ดินซึ่งตั้งอยู่ข้างเหนือที่น้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยาแลตั้งอยู่ในระหว่างพรมแดนฝ่ายอังกฤษกับฝ่ายไทยลำแม่น้ำโขงกับที่ดินฟากตะวันออกซึ่งน้ำไหลตกลำน้ำแม่อิงนั้นด้วย

อีกประการหนึ่งสัญญากันไว้ว่า จะไม่คิดหาอำนาจแลหาผลประโยชน์วิเศษภายในเขตรที่ดินนี้ซึ่งจะเปนอันไม่ได้รับเสมอเหมือนกันฤๅ ซึ่งจะเปนการที่ไม่ให้ฝ่ายอังกฤษและฝ่ายฝรั่งเศสกับคนชาวเมืองของสองประเทศ แลคนที่พึ่งพาอาไศรยในสองประเทศนั้นได้รับผลเท่ากันด้วย แต่ข้อสัญญานี้จะไม่ตีความไปตัดทอนลดหย่อนข้อวิเศษทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ตามความในหนังสือสัญญาฝรั่งเศสกับกรุงสยาม ลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 อันว่าด้วยการในแถบพื้นที่ 25 กิโลเมตร ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง แลว่าด้วยการเดินเรือในลำแม่น้ำนั้นด้วย

ข้อ (2) ความที่กล่าวไว้ในข้อก่อนนี้ จะไม่เปนที่ขัดขวางต่อการที่ประเทศทั้งสองจะยินยอมกันต่อไปอันเปนการที่ประเทศทั้งสองคิดเห็นว่าจำเปนจะต้องรักษาความเปนอิสรภาพของกรุงสยามไว้ด้วย แต่ว่าประเทศทั้งสองนี้สัญญากันไว้ว่าจะไม่แยกกันไปทำสัญญาที่ยอมให้ประเทศอื่นอีกประเทศหนึ่งไปทำการ ที่ประเทศทั้งสองนี้ต้องงดเว้นเองตามหนังสือสัญญานี้ด้วย

ข้อ (3) ตั้งแต่ปากลำแม่น้ำฮวก ซึ่งเปนเขตรแดนไทยกับอังกฤษนั้น ขึ้นไปทางเหนือจนถึงพรมแดนของกรุงจีนนั้น ทางน้ำของแม่น้ำโขงจะต้องเปนพรมแดนเมืองขึ้นของอังกฤษแลฝรั่งเศส ฤๅเปนเขตที่อังกฤษแลฝรั่งเศสมีอำนาจต่อกัน ณ ที่นั้น แลเมืองสิงห์นั้นอังกฤษยกให้แก่ฝรั่งเศสแล้ว

ข้อ (4) ว่าผลประโยชน์ในทางการค้าขาย ในเมืองยูนนานฤๅโฮนั้นก็ดี แลในเมืองเสฉวนก็ดีบรรดาที่ได้มาตามสัญญาอังกฤษกับจีน ลงวันที่ 1 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 112 ก็ดี ตามสัญญาฝรั่งเศสกับจีนลงวันที่ 20 มิถุนายน รัตนโกสินทรศก 114 ก็ดี จะต้องเปนที่ให้ได้แก่สองประเทศที่ทำหนังสือสัญญานี้เหมือนกันเสมอกัน

ข้อ (5) ว่าสองประเทศที่ทำสัญญากันอยู่นี้ยอมตกลงกันว่าจะแต่งกองทัพข้าหลวงออกไปพร้อมกันเพื่อประโยชน์ที่จะได้ปักปันเขตแดนในแม่น้ำไนซ์เยอร์แลหัวเมืองขึ้นของประเทศในทวีปอาฟริกานั้น

ข้อ (6) ว่าสองประเทศได้ยินยอมตกลงกันว่าจะลงมือทำสัญญาใหม่สำหรับการค้าขายในเมืองตูนิสนั้น

(เซ็นต์) สอลสเบอรี่

(เซ็นต์) เดอ คัวร์เซล

ลงวันที่ 15 มกราคม 1896

แต่ภายหลังปฏิญญาฉบับนี้แล้ว ทั้งอังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังแอบเจรจาลับหลังกับรัฐบาลสยาม โดยต่างฝ่ายต่างพยายามตอดเล็กตอดน้อยเพื่อให้ได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในเขตอิทธิพลของตนต่อไป เช่น

ปี 1903 สยามได้เสียดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวา นครจำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพรให้แก่ฝรั่งเศส
ปี 1907 สยามก็เสียมณฑลบูรพา ได้แก่ เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณให้แก่ฝรั่งเศส
ปี 1909 สยามยอมยกไทรบุรี ปะลิส กลันตัน และตรังกานูให้อังกฤษ

และเมื่ออาณาจักรอินโดจีนของฝรั่งเศสและอาณานิคมมลายูของอังกฤษสมบูรณ์ครบถ้วนสมปรารถนาแล้ว อังกฤษและฝรั่งเศสก็เลิกตอแยกับสยาม และปฏิญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศสฉบับนี้ก็สลายตัวไปโดยปริยายและมิได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อถกเถียงอีกเลยหลังจากสิ้นรัชกาลที่ 5 อังกฤษกับฝรั่งเศสต้องหันไปพะว้าพะวังกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ในทวีปยุโรป

อ้างอิง :
ไกรฤกษ์ นานา. (มกราคม, 2560). ทำไมคนไทยถูกปิดบัง เบื้องหลังทฤษฎีสมคบคิด ตั้งสยามเป็นรัฐกันชน?. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 38 : ฉบับที่ 3.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 ธันวาคม 2564
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม

40
รวบแล้ว หนุ่มไรเดอร์ ชี้หน้าด่ากราด ผู้ช่วยพยาบาลสาว ในห้องฉุกเฉิน ไหว้สวยขอโทษ ยอมรับผิด รับปากว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก จ่ายค่าเสียหาย 2 หมื่น

กรณีผู้ช่วยพยาบาลสาว ถูกหนุ่มไรเดอร์หัวร้อนชี้หน้าด่าต่อว่า ภายในห้องฉุกเฉิน แล้วยังขู่อาฆาตหมายจะทำร้าย ด่าด้วยคำหยาบคาย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงค่ำวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ภายในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งย่านถนนสุขสวัสดิ์ โดยทางผู้ช่วยพยาบาลสาว เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับหนุ่มไรเดอร์คนนี้ให้ถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 9 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี หนุ่มไรเดอร์ ชี้หน้าตะโกนด่า ผู้ช่วยพยาบาลสาวในโรงพยาบาลเอกชน ย่านสุขสวัสดิ์ ฝ่ายสืบสวน สน.ราษฏร์บูรณะ โดยการนำของ พ.ต.ท.ธนพรหม ธนอาภากร รอง ผกก.สส.สน.ราษฎร์บูรณะ

สามารถติดตาม นายวรพันธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี อาชีพไรเดอร์ ก่อนที่จะนำส่ง ต่อพนักงานสอบสวน สน.ราษฏร์บูรณะ เพื่อทำการปรับ ในข้อหา ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ และดูหมื่นผู้อื่นซึ่งหน้า เปรียบเทียบปรับ จำนวน 1,000 บาท

นายวรพันธ์ กล่าวว่า ตนเห็นข่าวทางทีวี ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวมาสอบสวนที่ สน.ทางตำรวจ เปรียบเทียบปรับตนเองไป 1,000 บาท และทางน้องผู้เสียหาย เรียกร้องค่าเสียหาย 20,000 บาท ตนเองก็มอบให้ไปต่อหน้าพนักงานสอบสวน ตนก็ไม่ได้วิ่งไรเดอร์ประจำ แต่มีงานประจำทำอยู่แล้ว อาชีพไรเดอร์เป็นอาชีพเสริม หลังจากนี้ตนรับปากว่าจะไม่ทำกริยาแบบนี้อีก ตนยอมรับผิดและขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ด้านผู้เสียหาย น.ส.นวพร อายุ 26 ปี หรือปิ่น กล่าวว่า ทางคู่กรณีเมื่อเจอหน้าตนเอง ก็พูดจาดีและกล่าวขอโทษ เหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ ทางตนเรียกค่าเสียหายไป 20,000 บาท แต่คู่กรณีต่อรองเหลือ 15,000 บาท ตนเองไม่ยอม จนคู่กรณียอมชดใช้ ให้ตามข้อเรียกร้อง ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ตนนี้ตนไม่กลัวคู่กรณีแล้ว เพราะตำรวจได้ข้อมูลของคู่กรณีไว้แล้ว ถ้าทำอีกโทษจะหนัก

9 พ.ย.67
ข่าวสด

41
จากกรณี ศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภาและผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องจากแพทยสภาที่คัดค้านการจ่ายยา 16 กลุ่มอาการโดยไม่มีการตรวจโดยแพทย์ เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชน

Bem-vindo ao nosso World!
JB WORLD ENTRETENIMENTOS
Bem-vindo ao nosso World!
Ad
ล่าสุดวันที่ 9 พฤศจิกายน ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และอายุรแพทย์ระบบประสาท โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นการรับการรักษาที่ร้านยาคุณภาพ กับ 16 กลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โดยระบุว่า “มองอีกมุมหนึ่ง… เจตนาของโครงการนี้เพื่ออำนวยความสะดวกของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และลดความแออัดในโรงพยาบาล (รพ.) โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2565 จนถึงปัจจุบัน มีการประเมินว่ามีผลดี ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตามเจตนา

กลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยนี้ ถ้าได้รับการประเมินและได้รับการรักษาเบื้องต้น ถ้าอาการตอบสนองดีก็จบ แต่ถ้าอาการไม่ดีผู้ป่วยก็สามารถเข้ารับการรักษาต่อที่ รพ.ได้ ซึ่งเภสัชจะมีการติดตามผลการรักษาและให้คำแนะนำ ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ซึ่งแต่เดิมเมื่อผู้ป่วยมีอาการแบบนี้ก็จะมาซื้อยาที่ร้านขายยาเภสัชประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย

ร้านยาก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ได้ต้องผ่านการอบรม ประเมินและทดสอบความรู้ ซึ่งดีกว่าเดิมก่อนมีโครงการนี้ เภสัชสามารถจ่ายยาได้เลย ยาที่จ่ายให้ผู้ป่วยก็เป็นยาทั่วไป ซึ่งผู้ป่วยก็ซื้อมาใช้อยู่แล้ว ถ้าแพทย์ต้องการเพิ่มคุณภาพของเภสัชกร เพื่อป้องกันและลดความผิดพลาดลงให้เหลือเป็นศูนย์ก็ต้องช่วยกันสร้างความรู้อย่างเหมาะสมให้เภสัชกรในโครงการ

ผมทำงานร่วมกับเภสัชกรมานานกว่า 25 ปี พบว่าเภสัชกรสามารถช่วยในการวินิจฉัยปัญหาสุขภาพเบื้องต้นได้ และมีความสามารถในการใช้ยาได้เป็นอย่างดี ผมเชื่อมั่นว่าถ้าแพทย์ร่วมมือกับเภสัชกรในโครงการนี้จะช่วยทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดี รวดเร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่าย ประหยัดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และลดความแออัดลงได้ตามเจตนาของโครงการ”

9 พย 2567
มติชน

42
เด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญ ที่วันหนึ่งจะเติบโตไปเป็นบุคลากรคุณภาพของประเทศชาติในภายภาคหน้าต่อไปได้ แต่มีข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในคณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บ ได้ให้ข้อมูลว่าในปี พ.ศ. 2566 มีเด็กไทยเกิดใหม่เพียง 5.18 แสนคน และมีแนวโน้มเด็กเกิดใหม่แต่ละปีจะลดน้อยลงไปอีก ซึ่งด้วยการเกิดที่น้อยลงกลับถูกซ้ำเติมด้วยอุบัติเหตุทางถนนที่คร่าชีวิตเด็กและหนุ่มสาวไปปีละหลักหมื่นคน หมายความว่าในเด็กเกิดใหม่ 100 คน จะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยประมาณ 2-3 คน

จากข้อมูลโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อาจนำมาซึ่งผลกระทบในการพัฒนาประเทศหลาย ๆ ด้าน เพราะไม่เพียงแต่การเกิดที่ลดน้อยลง แต่จำนวนประชากรกลับลดลงไปอีกจากปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ทั้งนี้สถิติจากองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บ ยังพบอีกว่า ร้อยละ 20 เปอร์เซ็นของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน คือเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2566 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 17,498 คน เฉพาะเยาวชนอายุ 15-24 ปี พบเกิดอุบัติเหตุทางถนน 181,922 คน เสียชีวิต 3,004 คน ดังนั้นการทำให้เด็กและเยาวชนรวมถึงคนหนุ่มสาวไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องช่วยกัน

ด้วยเหตุนี้เองสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด แผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน จึงได้เปิดตัวโครงการ “เสริมพลังเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย” (YOURS Empowerment through CYCT) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยทางถนน ในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อที่จะช่วยลดความสูญเสียในเด็กและเยาวชนที่จะเกิดในอนาคต โดยนำร่องแล้ว 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม สระแก้ว ศรีสะเกษ หนองคาย น่าน ตาก และนครศรีธรรมราช

เปิดตัว โครงการ “เสริมพลังเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย”
สร้างเวทีดึงพลังเด็ก-เยาวชน เข้ามามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน

นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ ผู้จัดการแผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน ได้เผยถึงที่มาและความสำคัญของโครงการ “เสริมพลังเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย” ว่า การดำเนินโครงการฯ ครั้งนี้มุ่งเน้นให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดนโยบายและแนวทางปฏิบัติงานที่เอื้อให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการสร้างความปลอดภัยทางถนน ผ่านเครือข่ายสภาเด็กและเยาวชน ตลอดจนผลักดันให้เรื่องความปลอดภัยทางถนนเป็น 1 ในประเด็นสำคัญของเยาวชนที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการสร้างเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในการแก้ไขปัญหา
“ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่เกิดโครงการเด็กและเสริมพลังเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยขึ้นมา เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย เรามีการสูญเสียทางด้านชีวิตปีละเกือบ 20,000 คน สูญเสียทางด้านเศรษฐกิจปีละราวกว่า 5 แสนล้านบาท ทำให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง”

“โดยโครงการฯ มีเป้าการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ คือ มุ่งเน้นให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งในระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดข้อสั่งการและแนวปฏิบัติ เพื่อเอื้อให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในด้านความปลอดภัยทางท้องถนน รวมถึงพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างเสียงสะท้อนแนวทางการแก้ไขปัญหา”

“เด็กและเยาวชนไทยถือเป็นกลุ่มที่เป็นกำลังสำคัญมากในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ ที่ผ่านมาทุกภาคฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้เห็นความสำคัญในการดึงเด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ-จราจรในภาพรวม ดังนั้นจึงมีมติให้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการด้านความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชนทุกจังหวัด ตรงนี้จะเป็นเวทีที่จะทำให้เด็กและเยาวชน สามารถเข้ามาผลักดัน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนได้” นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ กล่าว

พบเด็ก-เยาวชน เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุทางถนน ส่งผลต่อการมีสุขภาวะที่ดีของคนไทย
สสส.จับมือภาคีเครือข่าย ร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยทางถนน

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการ สสส. ได้กล่าวถึงบทบาทของสสส.และการสนับสนุนโครงการเสริมพลังเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ว่า สสส. มีความตั้งใจทำงานร่วมกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด จากความเชื่อมั่นว่าสภาเด็กและเยาวชนจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับเรื่องปัญหาความไม่ปลอดภัยบนท้องถนนที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ซึ่ง สสส. ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด และมองว่าความปลอดภัยทางถนนเป็นอุปสรรคต่อการมีสุขภาวะที่ดีของคนไทย

“สสส. เราได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอุบัติเหตุทางถนน เพราะเราอยากให้คนไทยมีอายุยืนยาว ซึ่งจากข้อมูลพบว่า คนไทยมีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 170,000 คน และช่วงอายุ 5-14 ปี, 15-29 ปี และ 30-44 ปี มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง”

“จากสถานการณ์ตรงนี้ สสส. จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย และสภาเด็กและเยาวชนทั้ง 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม สระแก้ว ศรีสะเกษ หนองคาย น่าน ตาก และนครศรีธรรมราช ร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยทางถนน โดยเข้าไปมีส่วนร่วมทำงานทั้งระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ ในการสะท้อนข้อมูลปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของเด็กและเยาวชน โดยร่วมคิดวางแผน สื่อสารความเสี่ยง แก้ไขสภาพแวดล้อมเสี่ยง และเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อลดความสูญเสียในเด็กและเยาวชน”

ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน
สร้างเกราะป้องกันให้เด็กมี Safety Mindset

ด้านนายนิกร จำนง ประธานคณะที่ปรึกษาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงพม. รวมถึงแนวทางในการส่งเสริมความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กและเยาวชนว่าเป็นหนึ่งในภารกิจของกระทรวงพม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน คือการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสภาเด็ก และเยาวชนทุกระดับในทุกจังหวัด ตั้งแต่สภาเด็กและเยาวชนตำบล/เทศบาล สภาเด็กและเยาวชนอำเภอ สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด สภาเด็กและเยาวชนเขต(กรุงเทพมหานคร) สภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร และสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย
“ภารกิจของทางกระทรวงพม. คือเรามีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับในทุกจังหวัด เพราะเด็กและเยาวชนเป็นหัวใจหลักที่เราให้ความสำคัญ โดยสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ มีสมาชิกอยู่กว่า 8,778 แห่ง มีสมาชิกมากกว่า 1 แสนคน”

“ส่วนในประเด็นเรื่องความปลอดภัยทางถนน พม. จะส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เด็กได้รับทราบความปลอดภัยของตัวเขาเอง ทั้งนี้ผมมีกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) หรือกองทุนเลขสวยที่สนับสนุนเด็กและเยาวชนในโครงการฯ นี้ด้วย”

“โดยเราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากภาคีหลายภาคส่วน ทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด แผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน ที่จะมาช่วยสร้างพลังให้เด็กสามารถที่จะประเมินความเสี่ยง เราได้หนุนเสริมบทบาทของเด็กและเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน สะท้อนถึงปัญหาที่พบและร่วมแก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงต้องการพลังจากทุกภาคส่วนมาร่วมกัน”

นายนิกร จำนง ยังได้กล่าวถึงมุมมองการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เด็กและเยาวชนอีกว่า“ผมมองว่าการสนับสนุนสภาพแวดล้อ มที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก คือ การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้กับเด็ก โดยปลูกฝังมาจากภายในตัวเขา ให้เด็กมี Safety Mindset หรือ กรอบคิดด้านความปลอดภัย เราต้องช่วยกันสร้างให้เด็กและเยาวชนได้มีความรู้และสามารถดูแลตัวเอง ดูแลคนในครอบครัว ดูแลเพื่อน ๆ ในโรงเรียน
รวมไปถึงดูแลชุมชน ดูแลจังหวัด และดูแลประเทศที่เขาอยู่ได้”

เสียงสะท้อนมุมมองจากเด็กและเยาวชน
ผลสำรวจพบว่า เด็ก-เยาวชน มองอุบัติเหตุเป็นเรื่องใกล้ตัว
กว่า 90% อยากมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการป้องกัน-ลดอุบัติเหตุทางถนน

นายสุธี ชุดชา รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยได้เผยข้อมูลจากการสำรวจมุมมองของเด็กและเยาวชน พบว่าเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าอุบัติเหตุทางถนนเป็นเรื่องใกล้ตัว โดย 88% มองว่าอุบัติเหตุทางถนนเกิดจากความประมาท นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจเรื่องการการเคยพบเห็นอุบัติเหตุขณะเดินทางหรือไม่ ซึ่งกว่า 80% เคยพบเห็น และมีคนในครอบครัวหรือเพื่อนเคยเกิดอุบัติเหตุถึง 85% รวมถึงตัวเองเคยเกิดอุบัติเหตุกว่า 59% ทั้งนี้กว่า 93% ระบุว่า อยากมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการป้องกัน-ลดอุบัติเหตุทางถนน

“จากผลสำรวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มองว่าอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก ซึ่งตัวผมเองก็มองว่าเรื่องความปลอดภัยทางถนนเป็นเรื่องใกล้ตัวมากเช่นกัน เพราะอุบัติเหตุไม่สามารถบอกช่วงเวลาหรือบอกความเสียหายได้เลย และนอกจากจะใกล้ตัวแล้ว ยังทำให้เราสูญเสียมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่กับตัวเองแต่อาจสูญเสียไปถึงคนที่เรารักได้”

“สำหรับการขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ผมมองว่าสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนเพียงลำพัง แต่เรายังมีสภาเด็กและเยาวชนรวม 8,778 แห่ง โดยสภาเด็กและเยาวชนจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนา แก้ไขปัญหาร่วมกำหนดนโยบายด้านเด็กและเยาวชน รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ประเด็นอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เราพยายามให้น้อง ๆ ช่วยกันขับเคลื่อนและเข้ามามีส่วนร่วม”

“เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” เชื่อมั่นศักยภาพคนรุ่นใหม่ จะสร้างเสียงสะท้อนแนวทางการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน จากระดับพื้นที่ไปสู่ระดับจังหวัด ระดับชาติ และระดับนานาชาติต่อไปได้

“เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” เป็นสโลแกนที่นำมาใช้ในการดำเนินงาน โดยนายสุธี กล่าวว่า การเปิดโอกาสให้เด็กคิดสร้างสรรค์แนวทางที่อยากทำ ให้เด็กได้เป็นแกนนำที่จะขับเคลื่อนในสิ่งที่คิด ทำในสิ่งที่ต้องการ โดยผู้ใหญ่มีหน้าที่ให้การสนับสนุน ให้ไอเดียหรือมุมมองแนวคิดของเด็ก ๆ ได้เกิดขึ้นจริง ที่ผ่านมาก็ได้ภาคีเครือข่ายจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามาส่งเสริมสนับสนุน

เมื่อถามถึงความคาดหวังและผลลัพธ์ที่อยากให้เกิดขึ้น รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า ในนามสภาเด็กและเยาวชน ตนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและพลังของเครือข่ายสภาเด็กฯ ว่าจะสามารถร่วมพัฒนาเครื่องมือและกลไกใหม่ ๆ ในการส่งเสริมความปลอดภัยให้กลุ่มเด็กและเยาวชนได้

“หลังจากนี้ก็จะมีจัดกิจกรรม จัดเวิร์คช้อปในพื้นที่ ให้น้อง ๆ ได้ตกผลึกว่าเขาอยากรณรงค์เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนในรูปแบบไหนอาจจะเป็นสื่อคลิปสั้น หรือการรณรงค์แคมเปญ เราก็จะพัฒนาโมเดล เหมือนเป็นสารตั้งต้นหนึ่งที่จะทำให้เด็กและเยาวชนได้เป็นแกนนำและใช้บทบาทแกนนำในการทำงานในพื้นที่ เพื่อต่อยอดโครงการต่อไป ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ใน 8 จังหวัดนำร่อง โดยจะขับเคลื่อน วัดผล ยกระดับและขยายผลให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงไปยังเวทีนานาชาติต่อไป”

สสส. หวังว่าโครงการฯ จะช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจ
รวมถึงสร้างแกนนำคนรุ่นใหม่ เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน

สสส. หนึ่งในหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนโครงการฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมา สสส. มีขอบเขตการดำเนินงานเรื่องการลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทางถนนมาโดยตลอด โดยการทำงานได้แก่ 1. ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนและเพิ่มพฤติกรรมความปลอดภัย 2. สร้างสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ยกตัวอย่างเช่น ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ป้องกันกลุ่มเสี่ยง อาทิ เด็กและเยาวชน ลดพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกนิรภัย ขับรถเร็ว ค้นหาแนวทางกลยุทธ์การทำงาน/ นวัตกรรม เทคโนโลยี และดิจิทัลที่ส่งผลต่อการลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นต้น

สสส. และภาคีเครือข่ายมีความมุ่งหวังอยากให้เกิด ..

1. เครือข่ายเด็กและเยาวชนต้นแบบที่จะเป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนงานด้านประเด็นความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ เกิดการพูดหรือสะท้อนประเด็นความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่และทำให้สังคมให้ความสำคัญและตระหนักมากขึ้น
2. เด็กและเยาวชนที่สามารถเป็นนักสร้างสรรค์นโยบายสาธารณะ (Policy Maker) ในประเด็นความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ที่สามารถผลักดันให้เกิดข้อสั่งการเพื่อแก้ไขสภาพแวดล้อมเสี่ยงหน้าโรงเรียนหรือชุมชน
3. เด็กและเยาวชนสามารถเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประเด็นความปลอดภัยทางถนนได้อย่างต่อเนื่องให้กับประเทศในรุ่นต่อไป



“โดย Step ต่อไป สสส. จะให้การสนับสนุนขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนด้านเด็กและเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขับเคลื่อนการสวมหมวกนิรภัยจากส่วนกลางสู่หน่วยงานท้องถิ่น เพิ่มทักษะความรู้ด้านการวิเคราะห์และสวบสวนการเกิดอุบัติเหตุ ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนน-วินัยจราจร รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายหมวกนิรภัย มีการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน มีการปลูกฝังการสร้างวินัยให้เด็กเล็ก และความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนส่งผ่านไปยังผู้ใหญ่ผู้ปกครอง เพราะมองว่าถ้าเด็กถูกปลูกฝังจิตใต้สำนึกที่ดี เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกันและสามารถปกป้องตนเองได้ ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจคือการสวมหมวกนิรภัยในเด็กและเยาวชนมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นจาก 7% เป็น 16% แสดงถึงว่ากระบวนการทำงานของหลาย ๆ เครือข่าย เริ่มมีเสียงตอบรับที่ดี”

“นอกจากนี้ สสส. ยังพัฒนาศักยภาพเยาวชน Gen Z ในสถานศึกษาให้มีความรู้และตระหนักถึงปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ทำหน้าที่เป็นเยาวชนต้นแบบ พัฒนาความร่วมมือจังหวัดต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างแกนนำในบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น”

“สสส. คาดหวังว่าโครงการเสริมพลังเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย จะทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าใจถึงปัญหาการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ โดยเฉพาะจะมีส่วนสำคัญในการสร้างการรณรงค์ สื่อสารตรงกับช่วงวัยของเขา และสามารถทำให้ในจังหวัดวิเคราะห์ข้อมูลได้ว่าปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่ที่พฤติกรรม นิสัย หรือสภาพแวดล้อม เด็กจะส่งเสียงสะท้อนออกมาได้ว่าในตำบล ในอำเภอ หรือในจังหวัดที่เขาอยู่นั้นได้ดูแลเรื่องความปลอดภัยทางถนนให้กับเขาอย่างไรบ้าง สำคัญที่สุด เด็กและเยาวชนต้องปลอดภัยทุกครั้งที่เดินทาง” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย

5 พ.ย. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

43
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) พิษณุโลก และกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (กก.4 บก.ปคบ.) เข้าตรวจสอบสถานที่จำหน่ายอาหาร ณ ร้านเปรียว คอสเมติกส์ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ตรา คอร์เซ่) เลขสารบบอาหาร 13-1-13465-5-0052 วันที่ผลิต 13/01/2023 วันสิ้นอายุ 12/01/2025 ผลิตครั้งที่ 001013 ผู้ผลิต บริษัท ออล ไมโครเทค (ประเทศไทย) จำกัด 55/37 หมู่ที่ 3 ต.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12150 ผู้จัดจำหน่าย บริษัท วีไอพี เฮิร์บ (ประเทศไทย) จำกัด น้ำหนักสุทธิ 12.7 กรัม 15 Capsule

ผลการตรวจวิเคราะห์พบยาแผนปัจจุบัน ไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งมีรายงานถึงผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ซึ่งเป็นอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรืออนามัยของประชาชน

จึงขอประกาศให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว ทั้งนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ อีเมล : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ

8 พฤศจิกายน 2567
มติชน

44
กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตรายหนึ่งมีอาการเส้นเลือดในสมองและเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.เชียงราย แต่ถูกเรียกเก็บเงินค่ารักษา ทั้งที่อาการเป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้สิทธิรับบริการ ตามนโยบาย "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่" (UCEP) สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชม. หรือจนกว่าจะพ้นวิกฤติ

ความคืบหน้าล่าสุด นายธนชัย ฟูเฟื่อง ประธานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า หลังจากที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิฯ ได้ดำเนินการเจรจาระหว่างโรงพยาบาลและญาติผู้ป่วยเมื่อต้นเดือน ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวยินยอมคืนเงินที่เรียกเก็บไปแล้วให้แก่ญาติผู้ป่วย

สำหรับผู้ป่วยรายดังกล่าวมีอาชีพไรเดอร์ มีสิทธิประกันสังคม โดยในช่วงเดือน ก.พ. 2567 ทางผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง สลึมสลือ น้ำลายฟูมปาก เพื่อนไรเดอร์จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง โดยในขั้นตอนการดำเนินการ ทางโรงพยาบาลได้ให้ญาติเซ็นยินยอมไม่ใช้สิทธิ UCEP

"ทางญาติก็เซ็นไปเพราะเวลานั้นทุกคนตกใจและต้องการให้รีบรักษา หลังจากรักษาได้ 1-2 วัน ญาติก็จะย้ายออกไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมของผู้ป่วยแต่ทางโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินประมาณ 2.5 แสนบาท และไม่ยอมให้ย้ายออกจนกว่าจะชำระเงินก่อน ทางญาติก็ประสานมา

ผมจึงแนะนำให้ญาติชำระเท่าที่มีแล้วส่วนที่เหลือเซ็นรับสภาพหนี้ไปก่อน เพื่อให้สามารถนำตัวผู้ป่วยออกได้ หลังจากนั้นก็ให้มาทำเรื่องร้องเรียนที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองเพราะโดยอาการแล้วผู้ป่วยเข้าข่าย UCEP ซึ่งโรงพยาบาลไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงิน" ประธานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง จ.เชียงราย กล่าว

นายธนชัย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ญาติผู้ป่วยเข้ามายื่นเรื่องร้องเรียนกับทางศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง จ.เชียงรายแล้ว ตนได้ดำเนินการตามขั้นตอน คือ รับเรื่อง รวบรวมข้อมูล พร้อมทำหนังสือแจ้งไปโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวว่าผู้ป่วยมีสิทธิ UCEP และทางโรงพยาบาลไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้

หลังจากนั้น 2-3 วัน โรงพยาบาลทำหนังสือชี้แจงกลับมาว่าเป็นความประสงค์ของผู้ป่วยเองที่ไม่ใช้สิทธิ UCEP แต่ตนก็ยืนยันว่าไม่ว่าผู้ป่วยจะยินยอมหรือไม่ โรงพยาบาลต้องส่งเคลมค่าใช้จ่ายตามระบบมาที่ สปสช.

ขณะเดียวกันได้ส่งเรื่องไปที่ สปสช. ส่วนกลางตามขั้นตอนโดย สปสช. ส่วนกลางส่งเรื่องต่อมาที่ สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ และทาง สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ได้ประสานกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) ซึ่งทาง สพฉ. ก็ทำหนังสือถึงโรงพยาบาลว่าเคสดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ใช้สิทธิ UCEP เช่นกัน

สำหรับการดำเนินการเรื่องนี้กินเวลาหลายเดือน จนเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2567 ได้มีการนัดไกล่เกลี่ยระหว่างญาติผู้ป่วย ตัวแทนโรงพยาบาลและตนในฐานะตัวแทนศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองซึ่งหลังการเจรจาประมาณ 1 ชม. ทางโรงพยาบาลก็รับปากว่าจะคืนเงินให้ แต่ขอเคลมค่าใช้จ่ายกับ สปสช. ก่อน จากนั้นเมื่อโรงพยาบาลได้รับเงินจาก สปสช. แล้ว ถึงจะคืนเงินส่วนที่เรียกเก็บจากผู้ป่วยให้

ล่าสุดในวันนี้ทราบว่า ทางโรงพยาบาลได้คืนเงินผู้ป่วยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาล ซึ่งหน้างานในการใช้สิทธิอาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้ แต่หลังการประสานงานทางโรงพยาบาลก็เข้าใจ โดยหลังจากนี้เชื่อว่ากรณีนี้จะเป็นกรณีตัวอย่างในการให้บริการ UCEP ต่อไป

Thansettakij
8 พย 2567

45
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2567) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คนที่ 2 เปิดการประชุมวิชาการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช (รพส.) ครั้งที่ 26 ประจำปี 2567 ภายใต้หัวข้อ “Healing Environment สิ่งแวดล้อมดี อยู่ดี มีสุข” พร้อมรับมอบชุดยาสามัญประจำบ้าน และตู้ยาสามัญประจำบ้าน และมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน โดยมี พญ.บุญศิริ จันศิริมงคล สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 8 นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ กรรมการและเลขธิการมูลนิธิฯ คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

พญ.บุญศิริ กล่าวว่า รพส.ทั้ง 21 แห่งทั่วประเทศ ถือกำเนิดจากแรงศรัทธาและความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดารได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รพส.ทุกแห่ง ได้มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านภูมิสถาปัตย์ให้สง่างามสมพระเกียรติ พัฒนาคุณภาพบริการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับประเทศ มุ่งสู่การเป็นโรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุขของประชาชน ชุมชน และบุคลากร สำหรับการประชุมวิชาการพัฒนา รพส. เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกปี เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานระหว่างบุคลากร ผู้อำนวยการ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชส่วนกลาง มูลนิธิสาขาก่อให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาและนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่

“สำหรับการจัดประชุมวิชาการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ผู้บริหารโรงพยาบาล และบุคลากรจาก รพส.ทั่วประเทศ รวมประมาณ 500 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2567 ณ รพส.ด่านซ้าย จ.เลย” พญ.บุญศิริ กล่าว

8 พฤศจิกายน 2567
มติชน

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 554