แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: [1] 2 3 ... 647
1
ถอดบทเรียน “ชุมชนน้ำล้อม”
แก้โจทย์ปัญหาเรื่องบ้าน ๆ

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่สาธารณะตามที่กล่าวมาข้างต้น สสส. ยังลงไปสนับสนุนการขับเคลื่อนระดับพื้นที่ หนุนให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ตามแนวคิด UD ในพื้นที่ “บ้าน” ผ่านกำลังสำคัญอย่าง เครือข่ายศูนย์การออกแบบเพื่อทุกคน หรือ Universal Design Center ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ Universal Design แก่ผู้ที่สนใจ จัดอบรมช่างชุมชนให้มีความรู้ในประเด็น UD สามารถไปดำเนินการปรับสภาพแวดล้อมในส่วนบ้านพักและสถานที่สาธารณะ รวมทั้งสนับสนุนมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล เพื่อพัฒนาทูตอารยสถาปัตย์กว่า 300 คน มีทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ สามารถเป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลและร่วมขับเคลื่อนประเด็นการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวคิด UD ในพื้นที่ต่าง ๆ

ตลอดจนให้คำปรึกษาในการปรับสภาพบ้านอย่างเหมาะสม รวมทั้งใน “ชุมชนน้ำล้อม” ที่เราลงพื้นที่ในครั้งนี้

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ ประธานเครือข่าย UDC ภาคเหนือ กล่าวว่า UDC ม.แม่โจ้ ภายใต้ สสส. เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการพัฒนาเมืองน่าน เติมเต็มการออกแบบกายภาพ ซึ่งจะเน้นการพัฒนาร่วมกับเครือข่าย UDC ภาคเหนืออีก 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยพะเยา นอกจากนี้ยังมีเจ้าของพื้นที่อย่างโรงพยาบาลน่าน เทศบาลเมืองน่าน ชมรมผู้สูงอายุและภาคเอกชนร่วมด้วย

โดยอันดับแรกในการดำเนิน UDC จะเข้าไปประเมินและวิเคราะห์ โดยเน้นไปที่ ห้องน้ำและห้องนอน เป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็น 2 พื้นที่ที่ผู้สูงวัยใช้ชีวิตสูงที่สุดในรอบวัน

“น่านมีสัดส่วนของผู้สูงอายุค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นบ้านจึงถือได้ว่าเป็นหัวใจหลัก ซึ่งโครงสร้างบ้านของน่านค่อนข้างแตกต่างจากจังหวัดอื่นคือ เป็นบ้านพื้นถิ่นเกือบทุกหลัง มีอายุการสร้างไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีลักษณะเป็นไม้ ยกใต้ถุนสูง 50 เมตร คนรอดเข้าไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าไปทำพื้นที่ใต้บ้านหรือบนบ้าน มันมีผลต่อโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว ฉะนั้น การที่จะยกบ้านหรือดีดบ้านให้สูงขึ้นหรือการที่จะทำโครงสร้างใหม่มาพิงกับบ้านเดิม ต้องใช้วิชาชีพเฉพาะทางของฝ่ายกองช่อง ซึ่งสาธารณสุขของเมืองน่านก็เข้ามาช่วยในส่วนนี้เพื่อประเมินว่า โครงสร้างไหนทำได้หรือไม่ได้”

“ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ห้องน้ำแสงส่วางไม่เพียงพอและเป็นพื้นคอนกรีต ไม่ได้ปูกระเบื้อง ซึ่งเมื่อประกอบกับแสงแดดที่เข้าไม่ถึงก็ส่งผลทำให้เกิดเชื้อรา เกิดตะไคร่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้สูงวัยลื่นล้มหกล้มได้ โดยอันดับแรกก็ต้องเพิ่มแสงสว่าง ทำให้เขามองเห็นเยอะขึ้น พอเขามองเห็นเยอะขึ้น ก็ตามมาด้วยการอุปกรณ์ราวจับ ซึ่งต้องติดตั้งตามพฤติกรรมของเขาด้วย บางคนใช้วีลแชร์ บางคนนั่ง บางคนคลาน เราก็ต้องติดตั้งราวจับให้ได้ระดับเขา ปรับปรุงให้รับกับสภาพแวดล้อมในบ้านแต่ละหลังมากที่สุด”

“ปรับปรุง” แต่ไม่เปลี่ยนแปลง
แก้ไขความเคยชินไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา UDC มีปรับปรุงสภาพแวดล้อมบ้านไปกว่า 785 หลังในเทศบาลเมืองน่านเป็นหลัก โดยปัจจัยหลักของการทำงานภายใต้พื้นฐานการพัฒนาคือ “ปรับปรุงให้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยให้น้อย” โดยผศ.ดร.วุฒิกานต์ ให้เหตุผลว่า ถ้าเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเขา เขาจะอยู่ไม่สนุก ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของคนคือบ้าน สถานที่ที่เขาอยู่อาศัยแล้วจะมีความสุขมากที่สุด

“UDC จะเข้าไปประเมินในขั้นแรกว่า พื้นที่ทำกิจกรรมของแต่ละคนเป็นอย่างไร ลักษณะพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ตื่นเช้ายันเย็นเขาทำอะไรบ้างในบ้านหลังนั้น คือเราต้องศึกษาเรียนรู้เจ้าของบ้านจริง ๆ ก่อนพอรู้ว่า เขาเป็นยังไง เสร็จปุ๊บ ค่อยย้อนกลับมาดูว่า เราควรจะปรับปรุงอะไรแบบไหนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเขาน้อยที่สุด วิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ต่างกัน ภูมิภาคแต่ละภูมิภาคมีวิถีชีวิตต่างกัน ซึ่งอย่างที่นพ.พงศ์เทพบอก เราตัดเสื้อเชิ้ตชุดเดียวกันไม่ได้ เราต้องคล้อยไปตามพื้นที่นั้น ๆ อันนี้คือประเด็นหลักที่ผมมองเห็นมานานแล้วและคิดว่า ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปเรื่อย ๆ”

“ผมยกตัวอย่างบันไดนะ ระยะความสูงถ้าจะปรับให้เหมือน UD เลย มันทำไม่ได้ หลาย ๆ หลังเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงเช่นเดียวกับ จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา เชียงราย ซึ่งบันไดเป็นสิ่งแรกที่คุณยาย คุณตาในบ้านเขาบอกผมเลยว่า อาจารย์ปรับได้ทุกอย่างในบ้านยกเว้นบันได ถ้าอาจารย์ปรับเพื่อให้ยายไม่ล้ม อาจารย์ปรับบันไดวันนี้ พรุ่งนี้ยายล้มเลย เพราะว่าความเคยชินกับพฤติกรรมที่เขาใช้มาตั้งแต่เด็กจนแก่ เขาเคยชินกับพฤติกรรมแบบนี้ ถึงแม้ว่า เราจะมองว่ามันสูงไป แต่เราก็ต้องคล้อยตามพฤติกรรมของเขาด้วย”

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ กล่าวว่า ปัจจุบัน จังหวัดน่าน มีการปรับภูมิทัศน์ ได้แก่ 1.ที่ชุมชนบ้านน้ำล้อม ต.ในเวียง อ.เมือง มีการจัดสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุกลุ่มยากไร้และอยู่เพียงลำพัง โดยปรับปรุงห้องน้ำ บันได พื้นบ้าน จัดระเบียบของใช้ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก 2.ศาสนสถาน มีการปรับปรุงพื้นที่ และอาคารสาธารณะ เช่น แก้ไขพื้นผิวทาง เพิ่มราวจับ 3.ตลาดชุมชนบ้านพระเนตร มีการปรับห้องน้ำสาธารณะ เพิ่มราวจับ 4.เตรียมสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงวัย แบบไปเช้า-เย็นกลับ (DAYCARE) ที่โรงพยาบาลน่าน มีเนื้อที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยออกแบบให้เป็นสถานบริบาลให้ผู้สูงอายุมาตรวจเช็คร่างกาย ทำกายภาพบำบัด รับยา และจัดร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัย เพื่อให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำนอกบ้าน ไม่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ช่วยลดความกังวลของบุตรหลาน

ทั้งนี้ สำหรับเส้นทางที่จะนำ “น่านโมเดล” ก้าวไปสู่ความเป็น “น่านที่ยั่งยืน” ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ในฐานะคนทำงานคลุกคลีกับจังหวัดนี้มาพอสมควร มองว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะคงอยู่คู่กับน่านคือองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหัวใจของ UDC อย่างไรก็ดี แผนอนาคตอันใกล้นี้คงมีการเตรียมขยายพื้นที่ไปอีก 15 อำเภอในจังหวัดน่าน

ตัวอย่างท้องถิ่นเข้มแข็ง
พัฒนาไปด้วยกัน ไปได้ไกล

นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน
นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน

ส่วนอีกหนึ่งความร่วมมือที่ขาดไม่ได้จากภาคท้องถิ่น นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน เล่าว่า เทศบาลเมืองน่านได้ปรับปรุงสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ด้วยการเพิ่มทางลาดในทุก ๆ อาคารรวมทั้งในจุดจอดรถ นอกจากนั้นยังมีวีลแชร์ รถราง รถสามล้อไฟฟ้า และรถ 1669 ไว้รอบริการประชาชน ปัจุบันเทสบาลเมืองน่านมีการปรับปรุง อาคารจามจุรี อาคารพญานาคของศูนย์ท่องเที่ยวเมืองน่าน และอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน และยังบูรณาการทำงานกับหลายฝ่ายในการสำรวจชุมชนเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามความต้องการของประชาชน ทั้งนี้เทศบาลเมืองน่านได้ส่งทีมประเมินบ้านของผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นประจำ และมีทีมอนุกรรมการลงพื้นที่สำรวจเยี่ยมบ้านทุกวันพุธ เพื่อนำข้อเสนอต่าง ๆ ของประชาชนนำไปวางแผนการพัฒนาให้เหมาะสม

นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ โรงพยาบาลน่าน จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย สมาคมสถาปัตย์ภาคเหนือ และวิทยาลัยชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาแนวทางการทำงาน UD ในจังหวัดน่าน ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

“การดูแลประชาชนถือเป็นภารกิจของเทศบาลอยู่แล้วที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน ซึ่งในวันนี้รู้สึกยินดีที่ สสส. ลงพื้นที่และให้ความรู้กับทีมงานของกองช่างและชุมชน เพื่อจะได้ป้องกันการหกล้มในบ้านพักอาศัย ทั้งนี้ บทบาทเทศบาลในการพัฒนาเมืองน่าน เราถือว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติมากกว่า โดยร่วมกับหลายภาคีเครือข่าย ทั้งนี้ ส่วนสิ่งที่กังวลมากที่สุดคือวิธีแนวทางปฏิบัติ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีบางส่วนที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้แบบ 100% แต่ถึงอย่างนั้นเราในนามของท้องถิ่น เราก็จะดูแลพี่น้องประชาชนให้อยู่อย่างมีความสุข ครอบคลุมทุกมิติ โดยเริ่มจาการปรับปรุงพื้นที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน” นายณกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

11 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์


2
เดลินิวส์

ฝากขังหมอศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ พลาดทำ ‘พริตตี้สาว’ เป็นเจ้าหญิงนิทรา

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สุทธิสาร คุมตัวหมอศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พร้อมคัดค้านการประกันตัว หลังพลาดทำ 'พริตตี้สาว' เป็นเจ้าหญิงนิทรา

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา “กัน จอมพลัง” พาพี่ชายของพริตตี้สาว เข้าติดตามคดี ที่ สน.สุทธิสาร หลังจากน้องสาวเข้าทำศัลยกรรมที่คลินิกแห่งหนึ่ง ก่อนเกิดความผิดพลาดจนน้องสาวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา สูญเงินรักษาตัวหลายล้านบาท แต่ทางคลินิกไม่มีการดูแล ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ควบคุม “นายแพทย์” ศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือที่ 130/2567 ลงวันที่ 8 มี.ค. 67 ข้อหา “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเป็นอันตรายสาหัส” ภายหลังจับกุมได้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาส่งให้พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร เมื่อคืนวันที่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พร้อมคัดค้านการประกันตัว

ทั้งนี้ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย นายอภิภู หิรัณยณิช อายุ 31 ปี พี่ชาย น.ส.ชาญาฎา หิรัณยณิช หรือน้องนิ้ง พร้อมทนายความ มาดูหน้าผู้ต้องหา ขณะออกจากห้องขังเดินมาที่รถควบคุมผู้ต้องหา

ต่อมาได้มีการโต้เถียงกันระหว่าง นายอภิภู พี่ชายของผู้เสียหาย กับ นายนคร สะอาด ทนายความของผู้ต้องหา ซึ่งนายนคร ยืนยันว่า ที่ผ่านมาทางคลินิกได้มีการเยียวยาชดใช้ไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท และมีเงินจากทางกรมบังคับคดี ก็มีการยึดทรัพย์สินไปมูลค่าเกินคำพิพากษา และมีกระบวนการขายทอดตลาด และมีเงินเข้ามาในระบบ ซึ่งทางผู้เสียหายมีสิทธิไปยื่นร้องขอได้ ส่วนด้านคดีความนั้น ก็จะต้องต่อสู้กันต่อไป และยืนยันว่าที่ผ่านมา ลูกความของตนรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมาโดยตลอด

ขณะที่ นายอภิภู ก็โต้แย้งว่า เรื่องนี้ควรมีวิธีที่รับผิดชอบน้องสาวตนที่ดีกว่านี้ เพราะมีการสู้คดีมาอย่างยาวนาน ทางแพทยสภาก็ได้ตัดสินแล้วว่าคลินิกมีความผิด เรื่องการบังคับคดีหรือการยึดทรัพย์เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่การเยียวยาที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น เพราะครอบครัวผู้เสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แล้วรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมที่จะต้องไปรับค่าเสียหายเองจากกรมบังคับคดี เพราะตนรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเหนื่อยในการที่จะมาตามเรื่อง พร้อมกับฝากเป็นอุทาหรณ์ในการศัลยกรรม ให้เลือกสถานที่และเช็กข้อมูลแพทย์ให้ละเอียด พร้อมกับฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดูแลในเรื่องการศัลยกรรม วันนี้ได้นำคำสั่งแพทยสภามายื่นตามที่แพทยสภาได้มีการวินิจฉัยแล้วว่า หมอเป็นผู้กระทำความผิดจริง และมีความผิดพลาดในการทำศัลยกรรมให้คนไข้

ทั้งนี้ กัน จอมพลัง ก็ได้เสนอว่า หลังจากนี้จะให้ทั้งสองฝ่ายมาพูดคุย เพื่อหาข้อยุติของเรื่องนี้ โดยจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าหน่วยงานของแพทยสภา ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องต่อสู้กันไป แต่เรื่องการเยียวยานั้น ยังอยากให้ฝั่งหมอและคลินิกแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้

https://www.dailynews.co.th/news/3253382/

3
"แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง" คำขวัญประจำจังหวัดที่บ่งบอกความเป็น เมืองเก่าที่ยังมีชีวิต ได้เป็นอย่างดี เรากำลังพูดถึงเมือง “น่าน” หมุดหมายเล็ก ๆ ในภาคเหนือที่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่าย มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งทางด้านวัฒนธรรมประเพณี แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตคนท้องถิ่น

และอีกหนึ่งความน่าสนใจของ จังหวัดน่าน ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงคือ “การพัฒนาที่เข้มแข็งแต่ยังคงซึ่งเสน่ห์ของเมืองน่านไว้”

น่าน…น่าอยู่ ปลดล็อกเมืองเก่าที่มีชีวิต
สร้างเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล
“เรามั่นใจความเป็นน่านของเรา อธิบายความเป็นน่าน เสมือนน่านเป็นหนึ่งเดียว เรามีครบทุกมิติ มิติวิถีชีวิตความเป็นเมืองที่ปกครองตนเอง วิถีชีวิตของความเป็นคนน่าน วิถีชีวิตการเป็นอยู่ผสมผสานอารยธรรม วิถีชีวิตของประเพณีวัฒนธรรม ทุกมิติตรงนี้มันเอื้อต่อการที่เราจะเป็น 1 ใน 10 ต้นแบบเมืองสุขภาพดี (Healthy & Wellness City) ผมเชื่อว่า เราพร้อมแล้ว ซึ่งคนในประเทศก็กำลังให้ความสนใจว่า น่านกำลังจะเป็นดาวเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นแรงขับเคลื่อนจากภายนอกเองก็จะเป็นพลังสำคัญเช่นกัน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวบนเวทีเปิดงาน “เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน” ในฐานะประธานเปิดงานและฐานะเจ้าบ้าน

"เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล" จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อขับเคลื่อน “น่านโมเดล” สู่ 1 ใน 10 เมืองต้นแบบสุขภาพ โดยจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่สาธารณะให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งสภาพแวดล้อม อารยสถาปัตย์ สิ่งอำนวยความสะดวก เอื้อต่อกลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงอายุและคนพิการ ให้สามารถออกจากบ้านมาใช้ชีวิต ทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชนได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ภายใต้แนวคิดการออกแบบ Universal Design (UD) หรือการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อขับเคลื่อนสู่ภาพใหญ่อย่างการเป็น เมืองมรดกโลก ในเร็ว ๆ นี้

โดยครั้งนี้เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญของหลากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมพลังกับ มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เทศบาลเมืองน่าน(ทม.น่าน) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และภาคีเครือข่าย

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ตลอดจนส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมของผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกายและรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องใด ๆ ทุกคนต้องมีสิทธิ์ ทุกคนต้องเข้าถึงการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล โดยจังหวัดน่านจะถือเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยภายใต้นโยบายเมืองสุขภาพดี (Blue Zone) ของกระทรวงสาธารณสุข

จากข้อมูล ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 20 % ของประชากรไทย และมีคนพิการมากกว่า 2.1 ล้านคน คิดเป็น 3% ของประชากรไทย ในขณะที่จังหวัดน่าน มีจำนวนประชากรเพียง 476,727 คน เฉพาะเทศบาลเมืองน่าน มีประชากรเพียง 18,788 คน แบ่งเป็นผู้สูงอายุกว่า 5,769 หรือคิดเป็นร้อยละ 30.71 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก

“เราใช้คำว่า อารยสถาปัตย์ หรือการออกแบบที่เป็นมิตรกับทุกคน เพื่อทำให้ทุกคนเข้าถึงการให้บริการได้ทุกที่ ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ท่องเที่ยว สถานที่ให้บริการในภาครัฐ บริการสุขภาพ วัดวาอาราม สนามบิน ซึ่งสถานที่เหล่านี้จำเป็นต้องถูกออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้าถึงในการใช้บริการ นี่จะเป็นแผนทั้งระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาวที่ร่วมกันวางไว้”

“สิ่งที่เราคาดหวังคือ เมื่อเราทำตรงนี้มันเหมือนการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้ ทุกคนที่มาน่านก็จะเห็นว่า น่านเป็นต้นแบบ ซึ่งเรามีจุดแข็งเรื่องนี้อยู่แล้วโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้มีข้อจำกัดทางการเข้าถึง ถ้าเราปรับช่องทางตรงนี้ให้ดีขึ้น เป็นที่ได้รับการยอมรับโดยเฉพาะในมิติสากล นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะไทยหรือสากลเขาก็มา ก็จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่ง”

อย่างไรก็ดี ในฐานะเจ้าบ้าน นพ.ชลน่าน ย้ำด้วยความมั่นใจว่า “เราจะทำให้น่านเป็นต้นแบบของเมืองอารยสถาปัตย์และเมืองสุขภาพดี (Healthy & Wellness City)”

ทั้งนี้ กิจกรรมเปิดเมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน ยังถือเป็นโครงการที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) และระบบโลจิสติก เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์ และการบริการด้านสุขภาพการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย มีเป้าหมาย 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2.ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) 3.การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) ของจังหวัดน่าน 4.ส่งเสริมสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมของคนพิการรองรับสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว

นพ.ชลน่าน เสริมว่า นอกเหนือจาก Healthy & Wellness City ต่อไปอาจมีการสนับสนุนให้เกิด Product Hub ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพจากคนในพื้นที่ Service Hub บริการการรักษาพยาบาลให้กับนักท่องเที่ยว และ ศูนย์แพทศาสตร์ศึกษา สำหรับด้านการแพทย์ที่จะลงสู่ชุมชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)

สสส. หนุนสร้างพื้นที่สุขภาวะ ที่เอื้อต่อกลุ่มเปราะบาง
พบผู้สูงอายุหกล้มในบ้านเกือบ 9 แสนคนต่อปี

สำหรับภาพรวมความสำเร็จของการขับเคลื่อนเมืองอารยสถาปัตย์ฯ มากน้อยแค่ไหนนั้น นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า ภาพรวมของจังหวัดน่านตอนนี้ประมาณ 60-70% บางสถานที่มีข้อจำกัด บางพื้นไม่สามารถเจาะได้ บางพื้นเป็นปัญหาเรื่องโบราณสถาน ซึ่งอาจจะมีความลำบากในการทำทางลาดอะไรต่าง ๆ เข้าไป รวมถึงบางพื้นที่ก็อาจจะเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว 100% นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ทั้งนี้ การที่จะพัฒนาทุกพื้นที่ให้เข้าถึงหมดอาจใช้งบประมาณจำนวนมาก ดังนั้น ในส่วนของท้องถิ่นจำเป็นต้องเลือกว่า พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ และดำเนินการก่อนเพื่อทำให้เกิดการเข้าถึงที่มากขึ้น ตลอดจนสามารถพัฒนาสู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลได้ในลำดับต่อไป

แต่จะทำอย่างไรให้ทุกพื้นที่ ทุกภาคให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล นั่นก็ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ สสส. และภาคีเครือข่ายกำลังร่วมกันมองหาทางออก

นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมเปิดเมืองอารยสถาปัตย์ฯ เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดย สสส. มีบทบาทในการจุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเป้าหมายหลัก สสส. สนับสนุนให้ผู้สูงอายุและคนพิการได้ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างมีอิสระ สนับสนุนองค์ความรู้เรื่องการออกแบบเพื่อทุกคน ปรับปรุง พัฒนา อาคาร สถานที่ ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการและคนทั้งมวล ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมต่าง ๆ โดยอาศัยภาคประชาสังคม ภาครัฐ ภาคประชาชน รวมทั้งภาควิชาการอย่างเครือข่ายสถาบันการศึกษาเข้าช่วย

จากข้อมูลพบว่า ปี 2564 มีผู้สูงอายุ 853,390 คน ระบุว่า เคยหกล้มในบริเวณบ้าพักมากที่สุด ผู้สูงอายุ 216,078 คน ที่เคยหกล้มภายในตัวบ้าน หกล้มในห้องน้ำมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องนอน ระเบียงบ้าน และบันได ตามลำดับ

ขณะที่ข้อมูลคนพิการ ปี 2566 มีคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการทั่วประเทศ 2.18 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ทั้งผู้สูงอายุและคนพิการ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางในการดำเนินชีวิต จากความเสื่อมถอยของร่างกายตามวัยของผู้สูงอายุ และข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ และการเข้าถึงสถานที่สาธารณะ

“น่านมีอีกหลายพื้นที่ที่จำเป็นต้องพัฒนาเพื่อสามารถทำให้ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้พิการสามารถเข้าถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการท่องเที่ยวในอนาคตเพราะว่า พอเราก้าวสู่สังคมสูงวัย แน่นอนว่า การติดบ้าน ติดเตียงก็จะตามมาในที่สุดก็จะส่งผลให้สุขภาพเสื่อมถอยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าสามารถส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุขก็จะลดเรื่องภาวะซึมเศร้า ลดความรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่เขาสามารถที่จะรวมกลุ่มกันและไปในสถานที่ไหนก็ได้อย่างมีอิสระ ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่สังคมไทยพยายามผลักดันนั่นก็คือสังคมเอื้ออาทรที่จะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นพ.พงศ์เทพ เสริม

ดังนั้น สสส. คาดหวังว่า จังหวัดน่านในฐานะประตูบานแรก จะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนเรื่องภูมิสถาปัตย์ อารยสถาปัตย์ ตลอดจนสามารถเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ ได้เรียนรู้ จนกระทั่งครอบคลุมทั้งประเทศได้ อย่างไรก็ดี สสส. มองไปถึงการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็น Standard โลก หมายความว่า คนทั้งโลกเดินทางมาก็รู้สึกว่า ได้รับความสะดวกสบาย อำนวยความสะดวกเพื่อทุกกลุ่ม และสามารถไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศไทยว่า มีการออกแบบเพื่อคนทั้งมวลที่เป็นมาตรฐานสากลได้

ทั้งนี้ เมืองอารยสถาปัตย์ฯ จะถูกขยายพื้นที่ต้นแบบไปอีกอย่างน้อย 10 จังหวัด ในประเทศไทย

มาเตอะ! วัดภูมินทร์ และ วัดสวนตาล
พลิกภาพจำเมืองเก่า ใคร ๆ ก็เที่ยวได้

จังหวัดน่านถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมาย อาทิ วัดพระธาตุเขาน้อย วัดภูมินทร์ ปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก วัดสวนตาล วัดพระธาตุเขาน้อย วัดช้างล้อม วัดช้างค้ำ วัดพระธาตุแช่แห้ง ที่ปี ๆ หนึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 1,570,213 คน โดยเป็นข้อมูลในปี 2566 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,554,216 คนและชาวต่างชาติ 15,997 คน สร้างรายได้ให้จังหวัดมากถึง 4,415 ล้านบาท

นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล
นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล

จุดมุ่งหมายแรกที่ทำคือ “วัดภูมินทร์” และ “วัดสวนตาล” นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ให้เหตุผลว่า วัดภูมินทร์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล เพราะเป็นสถานที่สำคัญที่อยู่คู่เมืองมามากกว่า 400 ปี นำแนวคิดอารยสถาปัตย์ ปรับบริเวณจุดทางลาดให้ถูกต้องหรือแพลตฟอร์มลิฟต์สำหรับขึ้นวิหาร ชมจิตรกรรมปู่ม่านย่าม่าน ปรับปรุงทางลาดบริเวณฟุตบาทรอบวัดและทำทางลาดจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ ให้ผู้ที่ใช้วีลแชร์เข้าถึงได้ สะดวก ปลอดภัย ได้มาตรฐาน

ตามหลักอารยสถาปัตย์ 7 ประการ คือ 1.ความเสมอภาค ทุกคนใช้งานได้ ไม่เลือกปฏิบัติ 2.ความยืดหยุ่น ใช้งานได้กับผู้ที่ถนัดซ้ายและขวา หรือปรับสูงต่ำได้ตามความสูงของผู้ใช้ 3.เรียบง่ายและเข้าใจได้ดี เช่น มีภาพ คำอธิบาย สัญลักษณ์สากล สำหรับทุกกลุ่มไม่ว่าจะมีความรู้ระดับไหน อ่านหนังสือออกหรือไม่ 4.เข้าใจง่าย มีข้อมูลคำอธิบายหรือรูปภาพประกอบการใช้ 5.ปลอดภัยขณะใช้งานทนทาน 6.ทุ่นแรง สะดวก 7.มีขนาด-สถานที่ที่เหมาะสม ออกแบบคิดเผื่อสำหรับคนร่างกายใหญ่โต คนที่เคลื่อนไหวร่างกายยาก

“ที่ผ่านมาหลายท่าน หลายครอบครัวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ ผู้พักฟื้นสุขภาพ ผู้พิการนั่งวิลแชร์ หรือใช้เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจจะไม่ค่อยกล้ามาเพราะด้วยภาพลักษณ์ของน่าน ด้วยความเป็นเมืองคลาสสิค เมืองเก่าโบราณ เกรงว่า มาแล้วก็จะต้องอุ้ม ต้องแบก ต้องหาม แต่ว่าปัจจุบันนี้น่านที่ผมมา ต้องบอกเลยว่า มันสะดวกขึ้นมากซึ่งผมเองก็นั่งวิลแชร์มาเหมือนกัน จังหวัดเขาพัฒนาทุกวันโดยเฉพาะเรื่องอารยสถาปัตย์ เพื่อจะตอบโจทย์และรองรับการท่องเพื่อคนทั้งมวล นี่เป็นเป้าหมายหลักที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน”

นอกจากนั้น การเปิดเมืองฯ ในครั้งนี้ ยังถือเป็นการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคประชาชน ตัวแทนจากโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และชุมชนท่องเที่ยวร่วมด้วย

“เราก็มีภารกิจไปอีกหลายจังหวัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปทั่วประเทศ ทุกเมืองท่องเที่ยว ทุกอำเภอ ทุกตำบลถ้าเป็นไปได้ แต่เฉพาะเร่งด่วน 2-3 ปีนี้ เราวางเป้าไว้ประมาณ 10 กว่าจังหวัด นอกจากน่านก็จะมีอุดรธานี เพราะอีก 3 ปี อุดรธานีมีโจทย์สำคัญคือการจัดงานอีเวนท์ระดับโลกอย่างพืชสวนโลก ดังนั้น จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นสากลนั่นคืออารยสถาปัตย์ อย่างทางลาด ห้องสุขา ที่จอดรถ รถติดลิฟต์ และสายการบินก็ต้องพร้อม แน่นอนว่า ทุกจังหวัดจะได้รับประโยชน์พื้นฐานนั่นคือโอกาสทางธุรกิจ สังคมและการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น” นายกฤษณะ กล่าวถึงความตั้งใจต่อไป


11 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

4
“พล.ต.ต.วิชัย” ยื่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้อง นพ.ชลน่าน ออกกฎหมายยาบ้า 5 เม็ด ชี้ขัด รธน.ยึดตรรกะคนล้นคุก ผลักภาระให้สังคม ท้าลงพื้นที่ถามความเห็นประชาชนด้วยกัน เชื่อร้อยคนไม่มีใครเห็นด้วย มอง คนเสพเป็นคนป่วยเป็นคำสวยหรู แท้จริงคือสันดาน

วันที่ 8 มีนาคม 2567 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายใหม่ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าการครอบครองยาเสพติดต่ำกว่ากำหนด เช่น ยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ดหรือยาไอซ์ไม่เกิน 100 mg เป็นการครอบครองเพื่อเสพ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ป่วย โดยมี พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้รับหนังสือ

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ตนมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เห็นว่ากฎกระทรวงนี้เป็นผลร้ายต่อประชาชนมากกว่าผลดี เพราะเป็นการเปิดช่องให้เกิดผู้ค้ารายย่อยจำนวนมากขึ้น จำนวนคนเสพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดวางหลักไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ครอบครองยาเสพติดจะต้องได้รับโทษ ส่วนคนเสพก็เข้าสู่กระบวนการบำบัด แต่ทว่ากฎกระทรวงนี้เปิดช่องให้ผู้ครอบครองยาเสพติด 5 เม็ดเป็นผู้เสพ ต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัด ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด

นอกจากนี้ กฎกระทรวงดังกล่าวจะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตเรียกรับเงินจากผู้กระทำความผิด ครอบครองยาเสพติด ให้สามารถปรับข้อหาสถานหนักให้กลายเป็นสถานเบาได้ เมื่อกฎหมายเปิดช่องเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากขึ้น ผู้ติดยาเพิ่มมากขึ้น ยาเสพติดถูกนำเข้ามามากขึ้น และส่งผลให้อาชญากรรมเกิดมากขึ้น

ดังนั้น ตนจึงถือว่ากฎกระทรวงดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกทั้งขัดต่อกฎหมายอื่นๆ ได้แก่ ประมวลกฎหมายยาเสพติด วันนี้ตนจึงมายื่นหนังสือให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนพิจารณาส่งศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

พล.ต.ต.วิชัย ระบุต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายตำรวจ การลดอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดที่ถูกต้อง คือต้องลดจำนวนผู้เสพลง ไม่ใช่เพิ่มจำนวนยาที่ทำให้ถูกกฎหมาย กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ประชาชน เพราะถึงขนาดทำให้เฮโรอีน ซึ่งถือเป็นยาเสพติดร้ายแรงและไม่สามารถบำบัดได้ ต้องมาพิจารณาว่า หากครอบครองไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้เสพนั้น ตนมองว่า ยาเสพติดต่อให้เข้าสู่ร่างกายก็ถือว่าเป็นผู้เสพแล้ว จะมากำหนดจำนวนทำไม อีกทั้งผลงานวิจัยที่บอกว่า หากเสพเกิน 5 เม็ดขึ้นไป จะทำให้ผู้เสพเกิดอาการคุ้มคลั่งนั้น ตนมองว่านี่เป็นเรื่องในเชิงวิชาการ แต่ในความเป็นจริงนั้น มันไม่มีใครที่เสพเกินห้าเม็ดทีเดียว มีแต่เสพวันละเม็ดสะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดอาการคุ้มคลั่ง จะมาพูดจาสวยหรูว่า มียาเสพติดเม็ดเดียวถือว่าจำหน่าย มันไม่ใช่ มียาเสพติดแค่เสี้ยวเดียวก็ถือว่าจำหน่ายได้ ต้องไปดูกฎหมายให้ชัดว่า แค่การแจกจ่ายก็ถือว่าเป็นการจำหน่าย

ส่วนที่ว่ามีกฎกระทรวงฉบับนี้เพื่อลดปริมาณคนล้นคุกนั้น ตนมองว่ายิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะกลายเป็นการปล่อยให้คนเสพยาหลุดออกมาใช้ชีวิตในสังคม ก็ทำให้อาชญากรรมพุ่งขึ้น ตอนนี้แต่ละสถานีตำรวจต้องควบคุมคนคุมคลั่ง 4-5 รายต่อวัน และสิ่งที่น่าสงสัยก็คือ ถ้ามีนโยบายนำผู้เสพไปบำบัด แล้วทางรัฐบาลมีข้อมูลตัวเลขไหมว่าสามารถบำบัดผู้เสพยาเสพติดไปแล้วเท่าไร และศูนย์บำบัดยาเสพติดอยู่ที่ไหน ดังนั้นตนยืนยันว่า จะต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ด้านเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา โดยถือว่าประเด็นหลักของเรื่องนี้คือ การขอให้ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ซึ่งการยกเลิกกฎกระทรวงนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีคือ หากผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วพบว่า กฎกระทรวงดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อกฎหมายอื่นๆ ก็จะส่งเรื่องให้ศาลปกครองดำเนินการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว อีกวิธีการหนึ่งคือ หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน ก็จะเป็นอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่สามารถวินิจฉัยยกเลิกกฎหมายได้

โดยหลังจากนี้ ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในที่นี้ก็คือกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงภายใน 30 วัน หากข้อมูลเพียงพอต่อการวินิจฉัย ผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถวินิจฉัยได้ทันที แต่ถ้าหากข้อมูลยังไม่เพียงพอ อาจจะมีการขอความเห็นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ป.ป.ส. ในประเด็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐหรือในความเห็นอื่นๆ เพิ่มเติมมาประกอบการวินิจฉัยต่อไป

หลังจากที่หนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสร็จ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้กล่าวท้าทายไปยัง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎนี้ ให้ส่งตัวแทนของกระทรวง ร่วมลงพื้นที่ชุมชนไปพร้อมกับตัวแทนของตน เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับนโยบายยาบ้า 5 เม็ด ว่าประชาชนคิดเห็นเป็นเช่นไร โดยให้สื่อมวลชนไปร่วมทำข่าวและเป็นผู้เลือกสถานที่สำรวจ เพื่อที่จะได้ยืนยันว่า ไม่มีฝ่ายใดเตรียมการไว้ก่อน

ส่วนที่ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดถึงไม่มีการเข้าไปพูดคุยกับ นพ.ชลน่าน ที่กระทรวงสาธารณสุข พล.ต.ต.วิชัย ตอบว่า ตนไม่ได้มีอำนาจอะไร ขอเป็นประชาชนคนหนึ่งที่จะทำหน้าที่กระบอกเสียงในการดำเนินการเรื่องนี้ ขณะนี้เองตนก็กำลังหาช่องทางที่จะปรึกษา กกต. ในการถอดถอน นพ.ชลน่าน จากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมทั้งระบุถึงท่าทีของ นพ.ชลน่าน ว่าไม่ได้มีการรับฟังอะไรจากตน เพราะเชื่อในงานวิจัยนักวิชาการกับตรรกะที่มองว่าคนล้นคุก จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้กฎหมายฉบับนี้

พล.ต.ต.วิชัย ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การที่กระทรวงสาธารณสุขใช้คำนิยามว่า “ผู้ป่วยคือผู้เสพ” นั้นเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่ความจริงคือมีคนเสพที่ติดเป็นสันดาน ติดเข้าเส้นเลือดแล้ว

8 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

5
อดีตนายก ทต.ห้วยกระเจา โวย รพ.เอกชนชื่อดัง จ.สุพรรณบุรี ลูกชายแน่นหน้าอกกลางดึก รีบนำตัวไปรักษา ได้แต่กินยากรดไหลย้อน ปั๊มหัวใจนับชั่วโมงเพื่อรอหมอ สุดท้ายลูกชายตายคามือ เผยสุดเสียใจมารู้ทีหลังว่า รพ.ไม่มีหมอ

วันที่ 8 มี.ค. 67 นายสิริพงศ์ สืบเนียม หรือนายกพันธ์ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/1 หมู่ 6 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี อดีตนายกเทศมนตรีตำบลห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเช้ามืดของวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายศาสตรา สืบเนียม หรือฮาร์ท อายุ 42 ปี ลูกชายของตนกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ที่บ้าน อยู่ๆ ก็เกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก จากนั้นภรรยาของลูกชายจึงรีบนำตัวส่งไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยตนได้เดินทางไปดูอาการของลูกชายด้วยตนเอง

เมื่อลูกชายไปถึงโรงพยาบาลสภาพร่างกายยังคงแข็งแรง สามารถเดินขึ้นเปลเองได้ แต่ระหว่างที่นอนรอหมออยู่บนเปล อาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกได้รุนแรงขึ้นถึงต้องดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ยังไม่มีหมอมาดูอาการ มีเพียงพยาบาลเท่านั้นที่คอยดูและและนำยาแก้กรดไหลย้อนให้ลูกชายกิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดลง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่ตลอดเวลานานนับชั่วโมงจนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. ลูกชายของตนได้เสียชีวิตลง

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ก่อนที่ลูกชายจะเสียชีวิตลงนั้น ตนได้พยายามพูดคุยกับทางโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น เพื่อขอให้นำรถของโรงพยาบาลส่งตัวลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามจันทร์ ซึ่งตนได้โทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลสนามจันทร์แล้ว แต่ทางโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ได้แต่บอกว่าให้รอทำเอกสารส่งตัวก่อน ซึ่งขณะนั้นได้พูดคุยกับลูกสะใภ้และลูกชายคนโตว่าจะเอารถส่วนตัวนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาลสนามจันทร์ด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวว่าลูกชายจะเป็นอะไรระหว่างเดินทาง หากได้รถโรงพยาบาลไปส่งก็น่าจะปลอดภัยกว่าเพราะมีทั้งพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อมกว่าที่ตนจะเอารถไปส่งลูกชายเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลูกชายเสียชีวิตลง ครั้งแรกตนไม่ได้คิดอะไรมาก โดยแพทย์ได้เขียนในใบมรณะระบุว่า สาเหตุที่ลูกชายเสียชีวิต เป็นเพราะเกิดจาก “กล้ามเนื้อหัวใจตาย” จึงนำศพลูกชายไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ซึ่งก็มีครอบครัวรวมทั้งญาติและผู้ที่รู้จักมักคุ้นไปมาร่วมแสดงความเสียใจจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมาได้มีเพื่อนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เดินทางมาร่วมงานศพของลูกชาย มีการพูดคุยสอบถามถึงสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งตนก็เล่าให้ฟัง เมื่อเพื่อนคนนั้นฟังว่าตนนำลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว เพื่อนถึงกับตกใจพร้อมกับเล่าว่าโรงพยาบาลที่นำลูกชายไปรักษานั้นเป็นโรงพยาบาลที่แทบจะไม่มีหมอ หรือมีก็น้อยมาก คนในพื้นที่ต่างก็รู้ดี หากไม่จำเป็นก็ไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลนี้แต่จะไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นแทน เพราะมีหมอที่พร้อมกว่า

หลังจากทราบข้อมูลดังกล่าวจากเพื่อน ตนกับครอบครัวต่างรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะหากทางโรงพยาบาลเล่าความจริงให้ทราบตั้งแต่แรกลูกชายก็คงจะไม่เสียชีวิตลงเช่นนี้ สิ่งที่ทางครอบครัวติดใจ คือทำไมโรงพยาบาลจึงไม่ยอมบอกให้เราทราบความจริงว่าโรงพยาบาลไม่มีหมอในการรักษา เท่านั้นเอง หลังจากนี้จะปรึกษากับครอบครัวและญาติ รวมทั้งจะร้องเรียนไปยังนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี เขต 4 พรรคเพื่อไทย เพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับโรงพยาบาลแห่งนี้

8 มี.ค.2567
ไทยรัฐ

6
อย. เผย สหรัฐฯ ไฟเขียว อนุมัติให้ "โยเกิร์ต" โฆษณาอ้างสรรพคุณลดความเสี่ยงเกิดเบาหวานชนิด 2 ได้ หลังพบหลักฐานวิชาการรองรับ

วันที่ 8 มี.ค.2567 ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงจากกรณีองค์การอาหารและยาสหรัฐ หรือ USFDA อนุญาตให้โฆษณาว่า โยเกิร์ต อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ว่า USFDA ได้ทบทวนหลักฐานทางวิชาการและงานวิจัยต่าง ๆ

พบว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างจำกัดว่าการรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จึงไม่คัดค้านการทำการตลาด และอนุญาตการแสดงข้อความที่ชัดเจนให้ผู้บริโภคทราบ

อย. เผย สหรัฐฯ ไฟเขียว อนุมัติให้ "โยเกิร์ต" โฆษณาอ้างสรรพคุณลดความเสี่ยงเกิดเบาหวานชนิด 2 ได้

คือ "การกินโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อย 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดย USFDA มีข้อสรุปบนหลักฐานการสนับสนุนที่มีอยู่อย่างจำกัด" หรือ "การกินโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อย 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่อย่างจำกัด"

"บุคคลทั่วไปสามารถรับประทานโยเกิร์ตได้ตามข้อแนะนำ แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ขอให้ใช้ยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากต้องการจะรับประทานโยเกิร์ต แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ไม่เติมผลไม้หรือน้ำตาล" ภก.เลิศชาย กล่าว

รองเลขาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพได้ โดยอนุญาตการกล่าวอ้างหน้าที่สารอาหาร 28 รายการ การกล่าวอ้างหน้าที่อื่น 6 รายการ

และการกล่าวอ้างการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค 2 รายการ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข(ฉบับที่ 447) พ.ศ. 2566 เรื่อง การกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหารบนฉลาก เช่น วิตามินเค มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด เบต้า-กลูแคน จากข้าวโอ๊ต มีส่วนช่วยในการลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล อาหารที่มีโซเดียมต่ำอาจช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลได้จาก QR code

"กรณีผู้ประกอบการต้องการกล่าวอ้างทางสุขภาพนอกเหนือจากที่มีประกาศกำหนดไว้ สามารถยื่นประเมินประสิทธิผลและความเหมาะสมของการกล่าวอ้างทางโภชนาการและสุขภาพกับศูนย์ประเมินด้านโภชนาการและการกล่าวอ้างทางสุขภาพของผลิตภัณฑ์อาหารแห่งประเทศไทย มูลนิธิพัฒนาโภชนาการได้ เพื่อเป็นข้อมูลประสิทธิผลสำหรับ อย. พิจารณาอนุญาตต่อไป" ภก.เลิศชาย กล่าว

8 มี.ค.2567
ข่าวสด

7
อากาศเชียงใหมแย่ติดอันดับ 1 โลก ดอยสุเทพถูกบดบังไปด้วยหมอกควัน จนมองไม่เห็น

ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5)จ.เชียงใหม่รายงานจุดความร้อน(Hotspot)จากดาวเทียมGISTDA ประจำวันที่ 8 มีนาคม 2567 รอบเช้าจังหวัดเชียงใหม่ พบจุดความร้อนจำนวน 176 จุดในพื้นที่

อ.เชียงดาว 31 จุด
อ.แม่แตง 21 จุด
อ.แม่แจ่ม 21 จุด
อ.ฮอด 21 จุด
อ.อมก๋อย 13 จุด
อ.แม่วาง 11 จุด
อ.สะเมิง 11 จุด
อ.ดอยหล่อ 10 จุด
อ.ดอยสะเก็ด 8 จุด
อ.สันกำแพง 8 จุด
อ.แม่ริม 7 จุด
อ.จอมทอง 4 จุด
อ.ไชยปราการ 3 จุด
อ.พร้าว 3 จุด
อ.แม่ออน 2 จุด
อ.เวียงแหง 1 จุด
อ.กัลยาณิวัฒนา 1 จุด

จากปัญหาหมอกควันไฟป่าส่งผลทำให้สภาพอากาศในตัวเมืองเชียงใหม่ยังขมุกขมัวไปด้วยฝุ่น PM2.5 ประชาชนเริ่มแสบตา แสบจมูก ต้องสวมหน้ากากป้องกันในการขับขี่สัญจรบนท้องถนน

ขณะที่ ApplicationAirvisual ซึ่งตรวจวัดคุณภาพอากาศตามหัวเมืองท่องเที่ยวทั่วโลก พบว่าเวลาก่อนเที่ยงของเช้าวันที่ 8 มีนาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่ขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่อากาศแย่อันดับ 1 ของโลก ตรวจวัดคุณภาพอากาศ USaqi ได้ 194  ส่วน Applicationair4thai วัดคุณภาพอากาศที่สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ตำบลศรีภูมิ กลางตัวเมืองเชียงใหม่ได้ 109.9aqi

ซึ่งสภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ประชาชนมองจากตัวเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพ ปรากฏว่าดอยสุเทพถูกบดบังไปด้วยหมอกควัน เหมือนกับไม่มีดอยสุเทพแล้ว

Amarin TV News
8 มีนาคม 2567

8
ออสเตรเลียเตรียมเสนอกฎหมาย ที่เปิดทางให้ลูกจ้างมีสิทธิ์ในการปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์หรือตอบข้อความจากนายจ้างนอกเวลาการทำงาน โดยที่ไม่มีความผิดได้ อีกทั้งยังจะมีโทษปรับกับนายจ้างหากฝ่าฝืนกฎดังกล่าวอีกด้วย

ร่างกฎหมายในชื่อว่า "right to disconnect" หรือสิทธิในการตัดขาดการทำงานนอกเวลา เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการทำงาน ที่รัฐบาลกลางออสเตรเลียได้เสนอขึ้นมา เพื่อหวังปกป้องสิทธิของแรงงาน และช่วยฟื้นฟูสมดุลการทำงานกับการใช้ชีวิตของลูกจ้างออสเตรเลีย

โทนี เบิร์ค รัฐมนตรีแรงงานออสเตรเลีย ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ประกาศการสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ และบทบัญญัติดังกล่าวจะหยุดยั้งพนักงานจากการทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการติดต่อนอกเวลาทำงานที่ไม่สมเหตุสมผล

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโธนี อัลบาเนซี กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพุธด้วยว่า “สิ่งที่เราจะสื่อง่ายๆ ก็คือ คนที่ไม่ได้รับเงินค่าแรงตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรถูกลงโทษหากพวกเขาไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์และพร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง”

ร่างกฎหมายดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาออสเตรเลียปลายสัปดาห์นี้

กฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ มีผลบังคับใช้ในฝรั่งเศส สเปน และหลายประเทศในสหภาพยุโรป เปิดทางให้ลูกจ้างสามารถตัดขาดการติดต่อสื่อสารกับนายจ้างและที่ทำงานได้หลังหมดเวลาการทำงานแล้ว

อย่างไรก็ตาม นักการเมือง กลุ่มนายจ้าง และผู้นำในภาคธุรกิจ ได้เตือนว่าร่างกฎหมาย "right to disconnect" นี้รุกล้ำเกินขอบเขต และอาจบั่นทอนการผลักดันการทำงานอย่างยืดหยุ่น รวมทั้งกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันขององค์กรได้

ขณะที่อดัม แบนท์ หัวหน้าพรรคกรีนส์ ของออสเตรเลีย ที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า “ชาวออสเตรเลียทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล่วงเวลาเฉลี่ย 6 สัปดาห์ต่อปี” นั่นเท่ากับค่าแรงที่นายจ้างไม่ได้จ่ายให้ลูกจ้างคิดเป็นเงินมากกว่า 92,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (2.1 ล้านล้านบาท) ที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศ และย้ำว่า “เวลานั้นเป็นของคุณ ไม่ใช่ของนายจ้างคุณ”

8 ก.พ. 67
https://www.sanook.com/news/9215490/

9
นักศึกษาแพทย์จบชีวิตด้วยมีดผ่าตัด ในห้องน้ำ รพ. บันทึกสุดท้ายสลด ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องทำงานจนเช้าแล้ว 

กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงบนสังคมออนไลน์ของจีน หลังมีการแชร์ภาพจดหมายที่ถูกเขียนด้วยลายมือฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นของนักศึกษาแพทย์ปี 3 ที่ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง เพราะทนกับการทำงานหนักต่อไปไม่ไหว

ตามรายงานเผยว่า หญิงสาวอายุ 25 ปี เป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหูหนาน และได้ฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลประชาชน ในมณฑลหูหนาน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เธอได้ขังตัวเองในห้องน้ำของโรงพยาบาล ก่อนที่จะเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจ โดยศพมีบาดแผลรอยกรีดและพบมีดผ่าตัดอยู่ข้าง ๆ

ครอบครัวของเธอได้รับโทรศัพท์จากทางอาจารย์เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แจ้งว่าลูกสาวของพวกเขาเสียชีวิตในห้องน้ำ และทางตำรวจยืนยันว่าไม่ใช่เหตุฆาตกรรม ทางครอบครัวจึงรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อขอคำอธิบายและสอบถามสาเหตุ แต่ถูกเพิกเฉย ทั้งยังให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาจัดการด้วยความรุนแรง ญาติคนหนึ่งหัวกระแทกพื้น อีกคนได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ

จนกระทั่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ มีรายงานการพบจดหมายซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยนักศึกษาแพทย์ที่เสียชีวิต เขียนข้อความระบายความเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทรมาน ใจความว่า

"ฉันทนไม่ไหวแล้ว" "เห็นได้ชัดว่าเป็นวันหยุด แต่ฉันทำงานล่วงเวลาทุกวัน" "ฉันทำงานล่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน" "ฉันทำงานเหมือนเป็นวัว เป็นม้า" "ยังมีงานที่ยังทำไมเสร็จฉันเลยยังกลับไม่ได้" "อัตราการเต้นของหัวใจฉันอยู่ที่ 150+ แล้ว แต่ฉันยังอยู่ที่นี่" "เครื่องจักรยังต้องการการบำรุงรักษาเป็นประจำ"

"ขอโทษพ่อแม่ ฉันจะตอบแทนพระคุณในชาติหน้า ฉันจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้วในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องตื่นตอน 6.30 น. ทำงานจนถึงเช้า ลาก่อนเวชระเบียนที่ไม่มีที่สิ้นสุด"

ข้อความสุดท้ายของนักศึกษาแพทย์รายนี้ สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้คนบนสังคมออนไลน์ หลายคนที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างรู้สึกเศร้าและสลดใจ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ถึงหลักสูตรการเรียนแพทย์และการบริหารจัดการบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศ ที่ผลักให้หญิงสาวอนาคตไกลคนนี้ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า


6 มี.ค. 67
https://www.sanook.com/news/9270902/?utm_source=linetoday&utm_medium=organic&utm_campaign=linetoday-direct

10
ชลน่าน เปิด “ทริปฮีลใจหมอ” รับอาสาสมัครแพทย์ไปอยู่ “เกาะหลีเป๊ะ” นาน 2 สัปดาห์ ไม่นับเป็นวันลา แถมพาครอบครัวไปด้วยได้ ฟรีที่พัก-อาหาร แถมมีค่าตอบแทน

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูง สธ. ครั้งที่ 3/2567 ว่า วันนี้ได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย สธ.ไตรมาส 2 (Mid-Year Success 2024) โดย 1 ในนโยบายของ สธ. คือ ท่องเที่ยวปลอดภัยนั้น ในวันที่ 9-10 มี.ค.นี้ ตนพร้อมผู้บริหาร สธ.จะลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ติดตามการพัฒนาศักยภาพของสถานบริการปฐมภูมิ ระบบส่งต่อรักษา การรับอาสาสมัครแพทย์ (Volunteer Doctor) เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา เนื่องจากเกาะหลีเป๊ะ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกหนึ่งแห่งของประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค

“อาสาสมัครแพทย์ Volunteer Doctor คือ พื้นที่ห่างไกลพื้นที่เฉพาะเราขาดแคลนแพทย์ที่จะเข้าไปดูแลประจำ ปลัด สธ.จึงเสนอโครงการนี้ขึ้นมาและแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ให้แพทย์ที่ประสงค์อาสาเข้าไปพื้นที่เฉพาะ เช่น เกาะหลีเป๊ะ พักผ่อนและทำงานให้เป็น Vacation และ Work ไปด้วย 1-2 สัปดาห์ มีแพทย์สนใจเยอะมากและลงทะเบียนเพื่อไปอยู่ตรงนั้นตามที่สะดวก แล้วหมุนเวียนกันมา เพื่อลดการขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่เฉพาะ ดูแลพี่น้องประชาชนได้ ก็จะลงพื้นที่ไปติดตามดู ตรงนี้ถือเป็น Workation ไปทำงานด้วย เที่ยวพักผ่อนด้วย ให้สิทธิพาครอบครัวไปพักผ่อนด้วย เป็นการส่งเสริมให้ไปทำงานพื้นที่ตรงนั้นและได้พักผ่อน ซึ่งแพทย์ชอบมาก” นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า พื้นที่เหล่านี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรที่พร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยว เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สนใจมาก เป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวตามนโยบาย อย่างเกาะหลีเป๊ะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ให้ความสำคัญ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่เงินไม่เข้าสู่ระบบเลย เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจะหาได้ง่ายที่สุด จึงพยายามสู้เรื่องนี้ สธ.ก็ส่งเสริมนโยบายนี้เป็นการท่องเที่ยวปลอดภัยขับเคลื่อนผ่าน 4 มาตรการหลัก คือ
1.ยกระดับเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ
2.ยกระดับระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน/ระบบสาธารณสุขฉุกเฉิน
3.ยกระดับเรื่องที่พักและอาหารปลอดภัย และ
4.ยกระดับสถานพยาบาลในพื้นที่ท่องเที่ยว โดยนำร่องใน 31 จังหวัด ครอบคลุม 12 เขตสุขภาพ

ขณะนี้มีโรงแรมประเภท 4 ผ่านมาตรฐาน Green Health Hotel ร้อยละ 17.24 แหล่งท่องเที่ยวผ่านมาตรฐาน Green Health Attraction 2 แห่ง อาหารริมบาทวิถีผ่านมาตรฐาน SAN Plus (Street Food Good Health) ระดับดีขึ้นไป 30 แห่ง สถานที่จำน่ายอาหารผ่านมาตรฐาน SAN (Clean Food Good Taste) 25,350 แห่ง และทุกอำเภอมีร้านเมนูชูสุขภาพ โดยวันที่ 24 มี.ค.2567 จะมีการจัดกิจกรรม Safety Phuket Island Sandbox ขึ้นที่ จ.ภูเก็ต

เมื่อถามว่าโครงการ Volunteer Doctor ที่เกาะหลีเป๊ะ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อไร และจะขยายพื้นที่อื่นด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทำมาภายใต้ความสอดคล้องเหมาะสมของพื้นที่ ที่พื้นที่คิดแก้ปัญหากันเอง ซึ่ง สธ.ได้เห็นก็น่าจะส่งเสริมในภาวะขาดแคลนแพทย์ที่จำเป็นเฉพาะพื้นที่ ใช้ความโดดเด่นสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องการได้พักผ่อน การเปลี่ยนสถานที่ของแพทย์ลงไปทำงานก็เลยเกิดโครงการนี้ขึ้นมา ส่วนพื้นที่ที่จะขยายจะมีตรงไหนบ้างก็กำลังดูพื้นที่ เช่น แม่ฮ่องสอน ตาก เป็นต้น

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า เราดำเนินงานอย่างเป็นทางการในระบบตั้งแต่มีนโยบาย ซึ่งก่อนหน้านี้จะเดิมต่างคนต่างทำ เราก็จัดระบบให้เข้ารูปเข้ารอย มีการนำร่องที่เกาะหลีเป๊ะ โดยมีระบบให้ลงทะเบียนเพื่อไปทำงานและพักผ่อน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากในพื้นที่และบุคลากรด้านการท่องเที่ยวด้วย เท่าที่ดำเนินการมาได้รับความสนใจอย่างมาก ขนาดยังไม่ค่อยเปิดแพทย์ก็มาสมัครกันมาก มีการลงทะเบียนแบบสมัครใจหมุนเวียนกันไปดูแลยาวตลอดทั้งปี นอกจากนี้ จะมีการขยายโครงการนี้ไปยังพื้นที่เฉพาะต่างๆ ด้วย เช่น แม่ฮ่องสอน หรือ อ.อุ้มผาง จ.ตาก

ถามว่าจะมีการเพิ่มค่าตอบแทนต่างๆ เป็นพิเศษด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ค่าตอบแทนพิเศษจะเป็นไปตามลักษณะงานที่ทำอยู่แล้ว และให้สิทธิได้พักผ่อน มีงานที่จะต้องดูแล
นพ.โอภาสกล่าวว่า คนที่มาสมัครไม่ได้สนใจเรื่องค่าตอบแทนอะไรมาก แต่เขาได้มาท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งเรามีที่พักฟรี อาหารฟรี พาครอบครัวมาได้ และไม่นับว่าเป็นวันลา อย่างแพทย์เอกชนก็มีมาสมัคร

ถามถึงที่ผ่านมามีข่าวทั้งทำร้ายนักท่องเที่ยวและต่างชาติทำร้ายคนไทย จะบูรณาการเรื่องพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยอย่างไร นพ.ชลน่านกล่าวว่า ต้องอาศัยบูรณาการทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความปลอดภัยด้านมิติร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนงานใดที่เกี่ยวข้องก็ต้องให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ของเราทำมิติสุขภาพ ทุกอย่างต้องผสมผสานกัน ไม่ทำเป็นส่วนๆ โดยสถานที่ที่จะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยด้านสุขภาพ ก็ต้องยกระดับ 4 ด้าน เรามีระบบประเมินวัดทั้งหมดถึงจะประกาศ ส่วนด้านอาชญากรรมจะเป็นมิติความเกี่ยวข้องของหน่วยงานอื่น

www.matichon.co.th
6 มีนาคม 2567

11
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกากำหนดจ่ายเงินเดือนข้าราชการ-ลูกจ้างประจำ 2 รอบ (เลือกตามความสมัครใจ) เริ่ม ม.ค. 2567

19 ธ.ค. 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ.2566 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 14 ธ.ค. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2518 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2566”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “เงินเดือน” ในมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549 และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน

“เงินเดือน” หมายความว่า เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดอัตราการจ่ายเป็นรายเดือน โดยจากงบประมาณรายจ่ายบุคลากรที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน”

มาตรา 4 ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นวรรคสองและวรรคสามของมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกา การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535

“ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน เดือนละสองครั้ง ให้กรมบัญชีกลางกำหนดวันจ่ายให้สอดคล้องกับการจ่ายเงินเดือนดังกล้าว ให้ข้าราชการมีสิทธิเลือกรับเงินเดือนตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางกำหนด”

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

อนึ่งก่อนหน้านี้ Thai PBS https://www.thaipbs.or.th/news/content/333482 รายงานว่า น.ส.ทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับวิธีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจำ จากเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ

กรมบัญชีกลางได้แต่งตั้งคณะทำงานปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล หักรายจ่ายและข้อมูลหักหนี้ของส่วนราชการ เพื่อหารือในส่วนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหน่วยงาน การส่งข้อมูลหักรายจ่ายและข้อมูลหักหนี้ให้กับส่วนราชการ

และการปรับระยะเวลาการปฏิบัติงานของส่วนราชการ โดยกรมบัญชีกลางได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับกระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานของส่วนราชการ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของส่วนราชการ และได้รับผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนกระบวนงานน้อยที่สุด

ซึ่งการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำเป็น 2 รอบต่อเดือน เป็นทางเลือกตามความสมัครใจสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ หากมีความประสงค์จะรับเงิน 2 รอบจะต้องกรอกแบบแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ ตามแบบฟอร์มที่กรมบัญชีกลางกำหนด ยื่นต่อส่วนราชการของตนเองภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ คือ ข้าราชการให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ธ.ค.2566

และลูกจ้างประจำให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ก.พ. 2567 สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มโครงการ กรมบัญชีกลางจึงกำหนดให้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ (รับ 1 รอบเช่นเดิม) ไม่ต้องยื่นแบบแสดงความประสงค์แต่อย่างใด

ในส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการด้านการจัดทำข้อมูลเบิกจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ยังคงมีขั้นตอนการปฏิบัติงานเหมือนเดิม คือ การบันทึกข้อมูลเงินเดือน ข้อมูลรายจ่าย ข้อมูลหนี้ในระบบ e-Payroll รวมถึงการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเบิกจ่ายเงินเป็น 1 ครั้งต่อเดือนเช่นเดิม

เพียงแต่ในการปฏิบัติงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการ จะต้องปฏิบัติงานให้เร็วขึ้นตามปฏิทินการปฏิบัติงานที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ในแต่ละเดือน ส่วนการคำนวณเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีข้าราชการและลูกจ้างประจำในแต่ละรอบ กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยระบบจะนำเงินเดือน รวมเงินอื่นที่จ่ายในลักษณะเดียวกับเงินเดือน (ถ้ามี) หักยอดข้อมูลรายจ่ายตามที่กฎหมายกำหนดให้หัก (ภาษี/เงินสะสม กบข./เงินสะสม กสจ./หนี้ กยศ. ฯลฯ) และยอดข้อมูลหนี้ตามที่มีหนังสือยินยอมให้หักเงิน (หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์/หนี้สถาบันการเงิน ฯลฯ) จะได้เท่ากับ ยอดเงินสุทธิ

จากนั้นระบบจะแบ่งครึ่งยอดเงินสุทธิเป็น 2 ยอดเท่ากัน เพื่อโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำในรอบแรกและรอบสองตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้น การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กองคลังของส่วนราชการจึงยังปฏิบัติงานเหมือนเดิม แต่ต้องปฏิบัติงานให้เร็วขึ้น และส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางเร็วขึ้น

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่รับเงินเดือนและค่าจ้างประจำผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-Payroll) เท่านั้น และข้อมูล ณ เดือน ต.ค.2566 ปัจจุบันมีข้าราชการและลูกจ้างประจำในระบบ e-Payroll 1,335,818 คน เป็นข้าราชการ 1,291,212 คน และลูกจ้างประจำ 44,608 คน (ไม่รวมข้าราชการและลูกจ้างประจำของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ศาล องค์กรอัยการ องค์การมหาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)

กำหนดเริ่มจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ตั้งแต่เดือน ม.ค.2567 และจ่ายค่าจ้างลูกจ้างประจำ 2 รอบ ตั้งแต่เดือน มี.ค.2567 เป็นต้นไป วันจ่ายเงินรอบแรกกำหนดโอนเงินวันที่ 16 ของทุกเดือน หากวันที่ 16 ตรงกับวันหยุดราชการจะเลื่อนเป็นวันทำการก่อนวันที่ 16

สำหรับวันจ่ายเงินรอบสองกำหนดโอนเงินในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน 3 วันทำการ (กำหนดวันเดิม) ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะจัดฝึกอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการงานด้านบุคลากร และงานด้านกองคลังในรูปแบบ Onsite และ Online ช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค.2566 และจะมีคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน

โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ เป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่รับเงินเดือนและค่าจ้างประจำผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-Payroll) เท่านั้น ไม่รวมการจ่ายเบี้ยหวัดบำนาญของผู้รับบำนาญ

ดังนั้น ขอเตือนภัยผู้รับบำนาญอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมบัญชีกลางหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทรหาและแจ้งเรื่องการจ่ายเงินเดือนหรือบำนาญ 2 รอบ แล้วให้ดำเนินการต่างๆ เช่น สอบถามความคิดเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่ แล้วให้กด 9 เป็นต้น อย่ากดและอย่าดำเนินการใดๆ เพราะกรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายส่งข้อความหรือโทรศัพท์หาผู้รับบำนาญเพื่อให้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจ่ายบำนาญ 2 รอบ

ประชาไท  2023-12-19

12
สป.สธ. ร่อนหนังสือถึง ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด แจง ‘แนวทางเลื่อนเงินเดือน ขรก. – ค่าจ้างลูกจ้างประจำ – ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ 1 เม.ย. 2567’ ในส่วน ขรก. ครอบคลุมถึงกรณีไปช่วยราชการใน อบจ. ที่รับถ่ายโอน รพ.สต.

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามในหนังสือเรื่อง “แนวทางเลื่อนเงินเดือนข้าราชการ การเลื่อนขั้นค่าจ้างลูกจ้างประจำ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ ณ วันที่ 1 เม.ย. 2567” ลงวันที่ 30 ม.ค. 2567 ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ที่กำหนดไว้

สำหรับแนวทางดังกล่าวมีดังนี้ 1. ข้าราชการ โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ให้หน่วยงานดำเนินการตามแนวทางการประเมินผลปฏิบัติราชการ การบริหารเงินเพื่อเลื่อนเงินเดือนของผู้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ (ซี9) และระดับทรงคุณวุฒิ (ซี10 - 11) โดยจัดส่งเอกสารต่างๆ ให้สำนักงานเขตสุขภาพดำเนินการต่อไปภายในวันที่ 16 ก.พ. 2567

กลุ่มที่สอง ให้หน่วยงานดำเนินการตามแนวทางประเมินผลการปฏิบัติราชการ การบริหารเงินและการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญพิเศษ (ซี8) ลงไป และประเภททั่วไป ระดับอาวุโสลงไปในราชการบริหารส่วนภูมิภาค สังกัด สป.สธ. จัดทำคำสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามคำสั่งดังกล่าว

ตลอดจนบันทึกเลขที่คำสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการลงในระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการบุคลากรสาธารณสุข (HROPS) และระบบจ่ายตรงเงินเดือนของกรมบัญชีกลางให้เสร็จสิ้น ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 เพื่อให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนของวันที่ 1 เม.ย. 2567 ภายในเดือน เม.ย. 2567 พร้อมทั้งจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ สป.สธ. ดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ในกลุ่มที่สองนี้ให้รวมทั้งข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงและข้าราชการผู้ได้รับการอนุมัติให้ไปช่วยราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจตามมติคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ด้วย

2. ลูกจ้างประจำ ให้หน่วยงานดำเนินการตามหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นค่าจ้างฯ (ลูกจ้างประจำ) และให้บันทึกอนุมัติคำสั่งการเลื่อนเงินเดือนในระบบ HROPS ให้เสร็จ และส่งเอกสารต่างๆ ให้กับ สป.สธ. ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567

3. พนักงานราชการ ให้หน่วยงานดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ บันทึกคะแนนผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน วันลา วันมาสายในระบบ HROPS ให้เสร็จ รวมถึงจัดส่งเอกสารต่างๆ ให้กับ สป.สธ. ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 โดยการประเมินผลดังกล่าว รอบ เม.ย. 2567 และ รอบ ต.ค. 2567 ขอให้หน่วยงานพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากผลการประเมินทั้ง 2 รอบ จะถูกนำไปพิจารณาจต่อสัญญาจ้างตามกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการรอบที่ 5

The Coverage • Movement • 2 กุมภาพันธ์ 2567

13
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.พ. ร.ต.ท.มารุต นิตย์จินต์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกู้ภัยสมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จันทบุรี ว่า มีอุบัติเหตุรถเก๋งเฉี่ยวชนคนเดินเท้าริมถนนได้รับบาดเจ็บ ส่วนรถเก๋งพุ่งตกร่องน้ำข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสติดภายใน เหตุเกิดริมถนนสุขุมวิท ขาเข้าเมือง พื้นที่หมู่ 14 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง หลังรับแจ้งได้ประสานทีมแพทย์ฉุกเฉิน รถอุปกรณ์ตัดถ่างและกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ร่วมเดินทางตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบรถพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่เสียหลักตกอยู่ในร่อง ขณะกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งให้การช่วยเหลือนำร่างผู้บาดเจ็บ เบื้องต้นเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ขึ้นมาจากร่องน้ำข้างทาง ในสภาพขาด้านขวาผิดรูปมีอาการทางกระดูก ก่อนรีบทำการปฐมพยาบาลและนำตัวส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้าฯ ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบรถเก๋ง ฟอร์ดสีดำ ทะเบียน กต 852 จันทบุรี อยู่ในสภาพเสียหลักพุ่งชนหมุนฟาดกับเสาป้ายและโคนเสาไฟฟ้าแรงสูง พุ่งตกลงไปในร่องน้ำข้างทาง พังยับเสียหาย โดยภายในรถพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย ถูกแรงอัดติดอยู่บนที่นั่งคนขับ ทราบชื่อ น.ส.เพ็ญพิชชา บุญรักษา อายุ 33 ปี เป็นพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ แผนกกุมารเวชกรรม รพ.พระปกเกล้าจันทบุรี กู้ภัยฯ ใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาชันสูตร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที

จากการสอบสวน นายบี ไหมทอง อายุ 36 ปี ชาว จ.สระแก้ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ตนพร้อมกับชายผู้บาดเจ็บ กำลังช่วยกันยืนโบกรถให้สัญญาณจราจรว่ามีรถพ่วง 22 ล้อบรรทุกท่อซีเมนต์ ที่เสียหลักตกลงไปในร่อง ต่อมาได้มีรถเก๋งสีดำ ที่ขับมาทางตรงเสียหลักพุ่งเฉี่ยวชนลุงที่ยืนโบกรถอยู่ท้ายพ่วง ก่อนเสียหลักพุ่งชนเสาป้ายตกลงไปในร่องน้ำจนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า น.ส.เพ็ญพิชชา เพิ่งจะลาคลอดลูกไปได้เพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สาเหตุยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจอีกครั้ง

29 กุมภาพันธ์ 2567
dailynews

14
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ร.ต.อ.อินทร์ศร พรมหอม รองสารวัตรสอบสวน สภ.บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์​ ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำมีผู้บาดเจ็บติดภายในรถ จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ชีพเทศบาลตำบลร่อนทองลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุบนถนนเพชรเกษม ฝั่งขาขึ้น กทม. หลัก กม.380 พื้นที่ หมู่ 3 ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบรถยนต์โตโยต้ายาริสสีดำ ทะเบียน 3ขก 8904 กรุงเทพมหานคร พลิกคว่ำล้อชี้ฟ้าอยู่ไหล่ทางซ้ายของถนน มีผู้บาดเจ็บภายในรถ ทราบชื่อต่อมาคือ นายปราโมทย์ คำตื้อ อายุ 24 ปี อยู่บริเวณเบาะที่นั่งคนขับ สภาพไม่รูัสึกตัว เจ้าหน้ากู้ชีพจึงรีบนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลบางสะพาน

เบื้องต้นทราบว่า นายปราโมทย์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ รพ.บางสะพาน ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงสาย นายปราโมทย์เพิ่งลงเวรและกำลังจะเดินทางไปรับเวรต่อที่ รพ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีระยะทางห่างกันประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งห่างจากโรงพยาบาลบางสะพานมาได้ประมาณ 20 กม. เป็นช่วงทางตรงยาว คาดว่านายปราโมทย์น่าจะเกิดอาการหลับใน จึงทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำลงข้างทาง พนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากการหลับใน

และล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. นายปราโมทย์ ยังไม่รู้สึกตัว แพทย์จึงได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ประจวบคีรีขันธ์


3 มีนาคม 2567
dailynews

15
ปลัดสธ.แจงปม นพ.สสจ.กักขัง ลวนลาม สาวใช้ พบเป็นข้าราชการ สธ.เกษียณไปแล้ว ยินดีให้ข้อมูล หากเกี่ยวข้องกับ สธ. ต้องตรวจสอบดำเนินการทางวินัย

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.อุดรธานี เข้าให้ความช่วยเหลือสาวแม่บ้าน ชาวลาววัย 18 ปี ที่ถูกกักขังและลวนลามโดยผู้เป็นนายจ้าง เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งระบุว่านายจ้างคนดังกล่าวเป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแห่งหนึ่ง ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านายแพทย์สาธารณสุขรายดังกล่าวนั้น เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจริง แต่เกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงเป็น "อดีตข้าราชการ" และปัจจุบันไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ ในกระทรวงสาธารณสุข

ตร.อุดรฯ บุกช่วยสาวลาว วัย 18 ถูกลวนลาม-กักขัง ช็อกเป็นบ้านแพทย์ สธ.
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทางกระทรวงฯ ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ตนยืนยันว่าหากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นจริงและมีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข ก็จะต้องตรวจสอบเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป

4 มี.ค.67
ข่าวสด

หน้า: [1] 2 3 ... 647