แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: [1] 2 3 ... 621
1


อย่าให้  Quick Win  กลายเป็น  Long Loss

ในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด บางอย่างถึงกับขาดแคลน ค่านิยมที่มุ่งแสวงหา Quick Win  อาจกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับระบบในระยะยาวได้

หาก Quick Win ไม่สอดคล้องกับ คุณค่า/เป้าหมายหลัก (Core Values) ของงาน/องค์กร 
หากไม่สร้างความยั่งยิน (Sustainable Development)
หากไม่เป็นไปตามหลักลำดับความสำคัญ (Prioritizing)

ทรัพยากรที่มีจำกัดจะถูกละลายไป งานที่ควรส่งเสริม กิจกรรมที่ควรทำต่อเนื่อง ปัญหาที่ควรแก้ไข  ก็จะไปอยู่ใต้พรม .....  ไปอยู่ที่หางหมู



ระวัง....ชัยชนะที่ฉาบฉวย จะนำมาสู่ความพ่ายแพ้ที่ยาวนาน



สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปฯ
๒๓ กันยายน ๒๕๖๖

2
หมอมึน! กรมบัญชีกลางออกกฎใหม่ ให้ ขรก.แสดงตัวตนรับยา ชี้สวนทางนโยบายรัฐบาล

ความคืบหน้ากรณีกรมบัญชีกลางออกระเบียบใหม่ในการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ของผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่ต้องมีการยืนยันตัวตนที่โรงพยาบาล หรือผ่านทางแอพพลิเคชั่น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น

เมื่อวันที่ 19 กันยายน นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยว่า มีข้อห่วงใยการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพราะขณะนี้ รัฐบาลใหม่มีนโยบายสนับสนุนการนำดิจิทัลมาใช้ในระบบสาธารณสุข โดยส่งเสริมการรักษาแบบเทเลเมดิซีน (Telemedicine) ให้มากยิ่งขึ้น

“แต่ปรากฏว่า แนวทางการจัดส่งยาถึงบ้านของผู้ป่วยกลุ่มสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กลับมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ต้องมีการยืนยันตัวตนตามระเบียบใหม่ จากเดิมเวลาจะส่งยาถึงบ้านนั้น แพทย์จะประสานงานกับคนไข้ว่า ยาต่อเนื่องแบบไหนที่ต้องใช้และจำเป็นต้องจัดส่งเพิ่มตามเวลาที่กำหนดที่มีการวินิจฉัยโรค ซึ่งเราก็จะใช้รหัสเลขประจำตัวบัตรประชาชน 13 หลัก มาคีย์ (บันทึก) เข้าสู่ระบบ และทำการเรียกเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง แต่ระเบียบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ระบุว่า การจะจัดส่งยาทางไปรษณีย์ต้องให้ผู้ป่วยรายนั้น นำบัตรประชาชนไปสแกนรูดบัตรที่โรงพยาบาลต้นทางทุกครั้งที่จะจัดส่งยา ซึ่งหมายความว่า ไม่ได้รับยาที่บ้าน เพราะผู้ป่วยต้องไปที่โรงพยาบาลเอง กลายเป็นว่าได้แค่ตรวจวินิจฉัยผ่านทางเทเลเมดิซีน แต่คนไข้ก็ต้องเดินทางไปรับยาเองอยู่ดี ขณะที่การยืนยันผ่านแอพพ์ก็อาจไม่เหมาะกับข้าราชการที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุด้วย” นพ.สมศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้แปลกมาก ที่แต่ละหน่วยงานมีเป้าหมายกันคนละอย่าง หากมีเป้าหมายที่ต้องการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการรักษา การใช้เทเลเมดิซีน ย่อมมีประโยชน์ เมื่อวินิจฉัยผ่านเทเลเมดิซีนแล้ว ก็ต้องส่งยาทางไปรษณีย์ หรือส่งยาไปที่ร้านยาใกล้บ้านผู้ป่วยได้ ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยไปรูดบัตรประชาชนถึงโรงพยาบาลอีก

“หากกลัวการเบิกจ่ายที่ผิด ก็ต้องเข้มงวดกับโรงพยาบาลว่า ให้มีระบบที่ยืนยันได้ว่าเป็นข้อมูลเบิกยาให้คนไข้จริง การออกระเบียบแบบนี้ ส่งผลต่อประชาชนแน่นอน” นพ.สมศักดิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีแบบนี้สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการใช้ดิจิทัลเฮลท์อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือไม่ นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า ใช่ และว่ากำลังติดตามกับทางกรมบัญชีกลางว่าจะมีแนวทางการแก้ปัญหาการยืนยันตัวตนตามระเบียบนี้อย่างไร


มติชน
19 กันยายน 2566

3
น.1 สั่ง ผบก.จร. เด้งรองสว.กร่าง ขับฟอร์จูนเนอร์ขวางที่จอดรถฉุกเฉินรพ.ภูมิพล ด่ากราดญาติผู้ป่วย เจอลงดาบซ้ำตั้งกรรมตรวจสอบ ประพฤติตนไม่เหมาะสม

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 19 ก.ย.2566 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. ตรวจสอบกรณีปรากฎคลิปวีดีโอภาพชายแต่งกายครึ่งท่อนคล้ายตำรวจ

อ้างตนเป็นนายตำรวจก่อเหตุทะเลาะมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่รพ.ภูมิพล โดยขับรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน 3 กอ 2521 กทม.ไปจอดรถกีดขวางบริเวณจุดรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน แล้วใช้กิริยาวาจาที่ไม่เหมาะสมจนเป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์

จากการตรวจสอบพบว่า บุคคลที่ปรากฏในคลิปวิดีโอดังกล่าวคือ ร.ต.ท.สายชล วงษ์เพ็ง ตำแหน่ง รองสารวัตร (จราจร) งานสายตรวจ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร) เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2566 เวลากลางคืน บริเวณโรงพยาบาลภูมิพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม

ล่าสุด พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. ลงนามคำสั่ง บก.จร.ที่ 398/2566 ลงวันที่ 19 ก.ย.2566 เรื่องข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจจราจร (ศปก.จร) อาศัยอำนาจตามความในม.68 และ ม.179 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และระเบียบ ตร.ว่าด้วยการให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายใน ตร. พ.ศ.2563 ข้อ 6 และ ข้อ 8 (3) จึงให้ข้าราชการตำรวจ ร.ต.ท.สายชล ปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจจราจร (ศปก.จร) โดยขาดจากต้นสังกัดเดิม คำสั่งใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ให้ถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้แทนทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ มีรายงานระบุด้วยว่า พ.ต.อ.จามร ทองพรรณ ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (ผกก.1 บก.จร.) ได้ลงนามคำสั่ง กก.1 (สายตรวจ) บก.จร.ที่ 206/2566 เรื่อง ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจโต้เถียงกับผู้อื่น เหตุเกิดที่ โรงพยาบาลภูมิพล ถนนพหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ร.ต.ท.สายชล ลักษณะเป็น การใช้กริยาวาจา หรือประพฤติตนในลักษณะไม่สมควร โดยทราบเหตุวันนี้

จึงดำเนินการมอบหมายให้ พ.ต.ท.สุรพล จันทร์สมศักดิ์ รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (รองผกก.1 บก.จร.) เป็นประธาน พ.ต.ท.ฉัตรชัย กรรณโสต สารวัตรงานสายตรวจ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (สว.งานสายตรวจ 2 บก.จร.) เป็นรองประธานร.ต.อ.ชูชาติ พาทอง รองสารวัตร งานสายตรวจ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (รองสว.สายตรวจ 2 บก.จร.) เป็นกรรมการ และเลขานุการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อไป


19 ก.ย.2566
ข่าวสด

4
หมอสมิทธิ์ เผยเคสอุทาหรณ์ "หมอกระเป๋า" รับฉีดขยายเต้านมให้ลูกค้า ต่อมาเสียชีวิต ชันสูตรพบเป็น "ภาวะซิลิโคนอุดตัน" พร้อมเตือนทุกคนให้ระวัง

วันที่ 19 กันยายน 2566 มีรายงานว่า ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจ Smith Fa Srisont เพื่อเตือนภัยสังคม

โดยระบุว่า มีเรื่องเตือนภัยที่อยากแจ้งให้ทราบครับ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยได้รับการฉีดขยายเต้านม จากหมอกระเป๋า (น่าจะเป็นหมอปลอม เพราะเช็กแล้วไม่เจอชื่อในระบบแพทยสภา) โดยผู้ฉีดให้อ้างว่าเป็นคอลลาเจน หลังฉีดมีอาการเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ไหว ต้องแอดมิตรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเสียชีวิต

ผลการผ่าชันสูตร พบว่า เป็นภาวะซิลิโคนอุดตัน ในเส้นเลือดที่ปอดและสมอง ดังนั้น คือผู้ป่วยรายนี้ ถูกฉีดซิลิโคนเข้าเต้านม และเป็นการฉีดผิดวิธีจนเข้าสู่เส้นเลือด ผมจึงอยากเตือนภัยและแนะนำคนที่จะไปฉีด หรือเคยไปฉีดขยายเต้านม กับหมอกระเป๋าแบบนี้ ให้ระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย

นอกจากนี้ยังอยากเรียกร้องให้ญาติของผู้เสียชีวิต ที่เค้าอยากฟ้องร้อง คนฉีดผิดวิธีแบบนี้ แต่ไม่มีเงินจ้างทนาย หรือติดตามคดี เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนฉีด (พอได้ข้อมูลบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจน) หรือทำการฉีดที่ไหน ต้องการให้มีคนช่วยสืบเพิ่มเติม เรื่องแบบนี้เคยเกิดเมื่อห้าปีก่อนแล้ว จึงอยากมาเตือนภัยครับ เพราะก็จะวนกลับมาใหม่ได้อีกแบบนี้.


ไทยรัฐ
19 กันยายน 2566

5
จัดอันดับโรงพยาบาลรัฐบาล ชั้นนำในกรุงเทพฯ ที่มีระบบการจัดการตามมาตรฐานสากล และสามารถรองรับคนไข้ได้เป็นจำนวนมากมาย

โรงพยาบาลในประเทศไทยทั้งภาครัฐ และเอกชน เป็นสถานที่สำคัญที่คอยให้บริการประชาชน ดูแลผู้เจ็บไข้ได้ป่วยที่มีในทุกๆ วัน ประกอบกับที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคผู้สูงวัย ทำให้ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น จนปัจจุบันมีโรงพยาบาลเกิดขึ้นใหม่อยู่มากมาย โรงพยาบาลต่างๆ ในประเทศไทยนั้นมีชื่อเสียงรอบด้าน ทั้งด้านบุคลากร เครื่องมือที่ศักยภาพ และได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

ลิฟต์ขึ้นบันไดเป็นเทรนด์ในปี 2564 - ดูตัวเลือกวันนี้
ลิฟต์ขึ้นบันไดเป็นเทรนด์ในปี 2564 - ดูตัวเลือกวันนี้
Ad
ลิฟท์บันได
ส่วนของรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย ได้เห็นถึงความสำคัญถึงเรื่องนี้ จึงเกิดการพัฒนา ‘นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค’ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต นำมาต่อยอดอีกครั้ง โดยมี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ เป็นหัวเรือหลัก รับหน้าที่สานต่อนโยบายที่น่าจับตามองนี้

ไทยรัฐออนไลน์ เห็นความสำคัญที่สอดคล้องกัน จึงได้รวบรวมตัวเลขผู้ป่วยนอกจาก ‘โรงพยาบาลรัฐบาล’ ที่ติดอันดับ 1 - 30 มาจัดลำดับใหม่ โดยเรียบเรียงจากเนื้อหาการจัดลำดับของ The World's Best Hospitals 2022 ของ Newsweek นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ทำการจัดอันดับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2565 ทั้งหมด 27 ประเทศ

การจัดอันดับนี้ได้พิจารณาจากมาตรฐานการครองชีพ, อายุขัย, จำนวน รพ., ความพร้อมของข้อมูล และขนาดประชากร อีกทั้งยังมีคะแนนจากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ กว่า 80,000 คนทั่วโลก, ผลสำรวจประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้ป่วยในการรักษา, ตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการแพทย์เป็นต้น

อันดับตัวเลขผู้ป่วยนอก ของ “โรงพยาบาลรัฐบาล” ในกรุงเทพ 
อันดับที่ 1 : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
โรงพยาบาลชื่อดังระดับแนวหน้าของเมืองไทย ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ได้รวบรวมบุคลากรทางการแพทย์ และรวมบุคลากรในฝ่ายต่างๆ ถึง 7,955 กว่าคน และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย และมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งทางโรงพยาบาลยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกๆ ปี จนมีขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถรองรับผู้ป่วยได้มาก

มีเตียงรองรับผู้ป่วยรวมทั้งสิ้นกว่า 2,226 เตียง และมีผู้ป่วยนอกที่มารับบริการ จำนวน 2,610,031 คน (จากข้อมูลในปี 2564)

อันดับที่ 2 : โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์
โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ เป็นโรงพยาบาลในเครือ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ หรือแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์เก่งๆ และเชี่ยวชาญไว้อยู่มากมาย เป็นศูนย์รวมแพทย์ และบุคลากรที่ทรงคุณภาพในสายอาชีพนี้อย่างตรงจุด และมีชื่อเสียงมากๆในกรุงเทพฯ อีกหนึ่งโรงพยาบาลที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในไทย และต่างประเทศ

มีเตียงรองรับผู้ป่วยรวมทั้งสิ้นกว่า 1,200 เตียง และมีผู้ป่วยนอกที่มารับบริการ จำนวน 1,990,000 คน (ปี 2564) และ 2,240,000 คน (ปี 2565)

อันดับที่ 3 : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
หนึ่งในโรงพยาบาลเก่าแก่ของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นโรงพยาบาลแรกๆ ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพที่ทันสมัยมาอย่างตอนเนื่องในทุกรุ่น ทุกสมัย นอกจากนี้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังเป็นศูนย์รวมของบุคลากรทางแพทย์ฝีมือดี ที่ประชาชนในกรุงเทพฯ ไว้วางใจ

มีเตียงรองรับผู้ป่วยรวมทั้งสิ้นกว่า 1,500 เตียง และมีผู้ป่วยนอกที่มารับบริการ จำนวน 1,931,129 คน (ข้อมูลในปี 2564)

อันดับที่ 4 : โรงพยาบาลราชวิถี
โรงพยาบาลราชวิถี เป็นโรงพยาบาลเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ชื่อเดิม คือ โรงพยาบาลหญิง โดยโรงพยาบาลราชวิถี เป็นโรงพยาบาลที่เป็นที่นิยม มีชื่อเสียงในเรื่องของการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจและปอด ซึ่งเคยผ่าตัดได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และทวีปเอเชีย นอกจากนี้ โรงพยาบาลราชวิถียังเป็นโรงพยาบาลศูนย์วิชาการที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ของกรมการแพทย์อีกด้วย

เตียงรองรับผู้ป่วยรวมทั้งสิ้นกว่า 1,200 เตียง และมีผู้ป่วยนอกที่มารับบริการ จำนวน 955,403 คน (จากข้อมูลในปี 2564)

ข้อมูล : newsweek, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และ โรงพยาบาลราชวิถี

16 ก.ย. 2566
ไทยรัฐ

6
ทุกคน ใครหลงๆ ลืมๆ บ้าง รีบเช็กตัวเองด่วน และรีบป้องกันเลยนะ ถ้าไม่อยากแก่ไปแล้วสมองเสื่อมจนจำหน้าหวานใจไม่ได้ ซึ่งวิธีป้องกันนั้นง่ายนิดเดียว ยาแก้ไอที่เรารู้จักกันดีก็สมารถช่วยลดสมองเสื่อมได้นะ และยิ่งรู้ตัวเร็ว ก็ยิ่งป้องกันและรักษาได้ดีเลยล่ะ

วันนี้ (18 ก.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ระบุว่า

พิชิตสมองเสื่อมด้วยยาแก้ไอ เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโกหก เกิดขึ้นแล้วและถือว่าเป็นข่าวดีในปี 2566 โดยต้องรู้เร็วตั้งแต่ยังไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จะสามารถป้องกัน ชะลอ และรักษาให้ย้อนกลับมาเป็นปกติหรือเกือบปกติได้

ซึ่งสมองเสื่อมเกิดจากโปรตีนพิษบิดเกลียว (misfolded protein) ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ อย่าง โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และสมองเสื่อม วิธีการที่จะป้องกันไม่ให้อาการของสมองเสื่อมโผล่ขึ้น แม้ว่าจะมีโปรตีนพิษเหล่านี้อยู่ในสมองแล้วก็ตามนั้น เราสามารถตรวจจากเลือดได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำไขสันหลัง หรือไปทำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กเอ็มอาร์ไอร่วมกับการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพ็ทสแกน

และอีกวิธีหนึ่งคือ การควบคุมอาหาร กินมังสวิรัติ งดแป้ง งดเนื้อสัตว์บก หันมากินปลาและถั่ว ออกกำลังกาย การตากแดด และกิจกรรมทำให้สมองขยันตลอด ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแต่เล่นเกม แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่มีการโต้ตอบใช้ความคิด มีการวางแผน เช่น เล่นไพ่กินเงิน หรือเต้นรำกับคู่เต้น ร้องเพลงใหม่ให้ไม่คร่อมจังหวะและเสียงไม่หลง

นอกจากนี้ ยังสามารถควบคู่ได้กับยาพื้นๆ อย่าง ยาแก้ไอ หรือยาละลายเสมหะได้อีกด้วย ซึ่งยาดังกล่าว ชื่อ Ambroxol มีการใช้มาตั้งแต่ปี 2513 โดยที่มีการประกาศความสำเร็จในการใช้กับโรคสมอง จากการศึกษาตั้งแต่หลอดทดลอง สัตว์ทดลองและการวิจัยในมนุษย์ ตั้งแต่ในระยะที่หนึ่ง และที่สองและขณะนี้เริ่มการศึกษาในมนุษย์เป็นระยะที่สาม โดยคณะทำงานจาก Queen Square สถาบันทางประสาทวิทยา University College of London นำโดยศาสตราจารย์ Schapira

ทั้งนี้ การศึกษาทางคลินิก ในระยะที่สองได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร สมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA) ตั้งแต่ปี 2563 ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน โดยระบุว่า ยาแก้ไอดังกล่าวสามารถที่จะซึมผ่านเข้าสมองและเพิ่มปริมาณการทำงานของโปรตีนที่ชื่อว่า GCase (glu cocerebrosidase) ในสมองได้ ซึ่งช่วยให้เซลล์มีการกำจัดขยะโปรตีนทั้งหลายออก และในกรณีของโรคพาร์กินสันก็คือกำจัดโปรตีน alpha synuclein ออก

แม้ว่าขนาดของยาที่ใช้จะมีปริมาณสูงมากกว่าที่ใช้ในการละลายเสมหะตามปกติ แต่จากการศึกษาทางคลินิกในระยะที่หนึ่งและระยะที่สอง พบว่ามีความปลอดภัย โดยที่ผลข้างเคียงอาจมีบ้าง คืออาการกวนกระเพาะ คลื่นไส้ อาจจะมีพะอืดพะอม แต่ก็น้อย และหายไปเอง ส่วนขนาดยามีการปรับระดับเพิ่มขึ้นทุกห้าวัน หลังจากที่ครบ 10 วันแล้วก็จะเป็นขนาดปริมาณคงที่ไปตลอด

การศึกษาในระยะที่สามนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 60 จนถึง 25 เม.ย. 61 จากผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 330 ราย มีและไม่มียีนเฉพาะ ในศูนย์ทางคลินิก 12 แห่งในสหราชอาณาจักร โดยการใช้ยาหลอกด้วยเป็นเวลาสองปี พบว่าตัวยา Ambroxol สามารถผ่านผนังกั้นระหว่างเส้นเลือดกับสมองได้ และทำให้สามารถออกฤทธิ์ในสมอง 

นอกจากนั้น ยาดังกล่าวจะไปจับกับ เอ็นไซม์ เบตา glucocerebrosidase และทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระดับและการทำงานของโปรตีน รวมถึงระดับของ alpha synuclein โดยที่ระดับในน้ำไขสันหลังสูงขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีการทำงานเพิ่มขึ้นในเซลล์สมองและผลักโปรตีนพิษออกจากสมองเข้าสู่น้ำไขสันหลัง

กลไกการจัดการของยา Ambroxol ต่อโปรตีนพิษ ยาจะไปเพิ่มการทำงานของ GCase ในเซลล์ และกระตุ้น lysosomal exocytosis ช่วยแก้ความผิดปกติของ posttran slational folding ในคนที่มียีนผิดปกติ และทำให้ระบบกู้ภัยคลี่เกลียวของโปรตีนพิษ และการกำจัดขยะโปรตีนพิษเหล่านี้ ออกไปทิ้งได้หมดจด

จะเห็นได้ว่าการแก้โรคสมองเสื่อมไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลยค่ะทุกคน ยาแก้ไอที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ นี้ ก็สามารถช่วยได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมหมั่นบริหารสมอง กินอาหารที่มีประโยชน์ร่วมด้วยนะคะ 

ข้อมูลจาก: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha

แพทตี้ อีจัน
18 ก.ย.66

7
"แม่ใจสลาย! ลูกตายขณะรอผ่าคลอด ไร้วี่แวว รพ. รับผิด" -
เรื่องราวนี้มาจากลูกเพจอีจันท่านหนึ่ง โดยเล่าว่าหลานชายของตนนั้น เสียชีวิตในท้องแม่ หลังแม่ทำคลอดช้า โดยตนคือผู้เป็นป้า และน้องชายผู้เป็นพ่อ ของเด็กที่เสียชีวิต รวมถึงแม่ของเด็ก ต่างก็ติดใจกับสาเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้

โดยนางจันทร์เพ็ญ ผู้เป็นป้าของเด็กที่เสียชีวิต ได้ร้องเรียนเข้ามาทางเพจอีจัน โดยเล่าว่า น้องสะใภ้ของตนได้เข้าฝากครรภ์กับทาง รพ.แห่งหนึ่ง ใน จ.ราชบุรี แต่ทว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 66 น้องสะใภ้ คือนางพิมพา ผู้เป็นแม่ของเด็กที่เสียชีวิต ได้ทำการเข้ารับการผ่าคลอด กับทาง รพ.ดังกล่าว เมื่อเวลา 15.00 น. นางพิมพา ก็เข้ารับการตรวจครรภ์ตามปกติกับคุณหมอ ของ รพ.แห่งนี้

ทว่าหลังจากการตรวจเสร็จ คุณหมอก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ทางด้านนางพิมพา ก็รู้สึกเอะใจว่า เด็กดิ้นน้อยลง ไม่ค่อยตอบสนอง ฝั่งคุณหมอก็ทำการตรวจหัวใจของเด็กซ้ำอีกครั้ง ก็พบว่ายังเต้นปกติ จึงให้นางพิมพาแอดมิทนอน รพ.เพื่อรอเข้ารับการผ่าคลอด ในวันพรุ่งนี้ก็คือ 11 ก.ย. 66 ซึ่งคุณหมอก็สั่งให้นางพิมพา งดน้ำงดอาหาร เพื่อรอเข้ารับการผ่าคลอด

ซึ่งกำหนดการผ่าคลอด คือเวลาบ่ายโมง 13.00 น. ในช่วงเช้าคุณหมอก็ยังมีการมาตรวจหัวใจ ของเด็กตามปกติแต่ฝั่งของนางพิมพา ผู้เป็นแม่ได้แจ้งกับหมอว่า เหมือนเด็กจะหัวใจเต้นช้าลง แต่คุณหมอก็ยืนยันว่า จะมีการผ่าคลอดในช่วงบ่ายโมง

ต่อมาในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 11 ก.ย. 66 ก็มี นศ.แพทย์ เข้ามาทำการตรวจชีพจรเด็ก แต่ก็ไม่พบว่ามีการเต้นของชีพจร จึงเรียกคุณหมอ เข้ามาตรวจการเต้นของหัวใจของเด็กอีกครั้ง ผลปรากฏว่าเด็กนั้น หยุดหายใจไปแล้ว ฝั่งของหมอก็ได้โทรหาคุณพ่อให้รับทราบถึงเรื่องราวนี้ โดยระบุว่า จะทำการผ่าคลอดให้ฟรีไม่คิดเงิน แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวอยากจะได้ยิน ซึ่งทางฝั่งญาติเองก็ติดใจเพราะว่า เด็กก็ครบ 32 ทุกอย่าง เพราะที่ผ่านมา ตัวแม่เองก็ไม่เคยขาดนัด การตรวจครรภ์ของคุณหมอ

ซึ่ง ณ ตอนนี้ศพของน้องถูกส่งไปตรวจที่นิติเวช รพ.แห่งหนึ่ง ใน จ.โคราช เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ของการเสียชีวิตในครั้งนี้ และทางญาติเองหลังจากเกิดเรื่อง ก็มีการไปพบหมอผู้ทำคลอด โดยญาติเล่าว่า ขณะที่เข้าไปพบหมอก็มีอาการตกใจ กลัว พยายามจะบ่ายเบี่ยงเรื่องสาเหตุ การเสียชีวิตของน้อง โดยเบื้องต้น รพ.เจ้าของเคส ระบุในใบสาเหตุการตายว่า..... แต่ทว่า ผลการตรวจทางนิติเวช ของ รพ.ใน จ.โคราช ปรากฏว่า เด็กสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่พบร่องรอยของรกพันคอแต่อย่างใด

ทั้งนี้คงต้องรอให้เอกสารการยืนยัน ผลชันสูตรทางนิติเวช ออกมาอย่างชัดเจน เพื่อที่จะยืนยันว่าสาเหตุการตายของเด็กนั้น มาจากสาเหตุใดกันแน่ ฝั่งของแม่และพ่อของน้องเองก็ยอมรับว่า เสียใจมาก เพราะที่ผ่านมา ฝากครรภ์พิเศษกับคุณหมอมาตลอด เข้ารับการตรวจทุกครั้งไม่เคยขาด หมอพูดเองว่า อีก 1 ชม.ก็จะได้เจอหน้าลูกแล้ว ไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งตนและครอบครัวก็ซื้อของใช้ของสำหรับเด็ก มาเตรียมพร้อมต้อนรับดวงใจดวงน้อยๆ ที่กำลังจะลืมตาดูโลก แต่ก็ต้องมาด่วนจากเสียก่อน

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แล้วหลังจากเกิดเรื่อง ทาง ผอ.รพ.แห่งนี้มีการมาพูดคุยหรือรับผิดชอบใดๆบ้าง ฝั่งคุณพ่อบอกว่า ไม่มีการรับผิดชอบใดๆ มีเพียงกระเช้าผลไม้หนึ่งกระเช้าเท่านั้น และหลังจากเกิดเหตุ แม่ของเด็กรักษาตัวที่ รพ.ต้นเรื่องมานานเกือบสิบวัน ผอ.ของ รพ. ก็ยังไม่เคยเข้ามาคุย หรือรับผิดชอบอย่างจริงจังเลยสักวันเดียว รวมถึงตัวของหมอเจ้าของเคสด้วย นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนวันนี้ก็ยังไม่มีการเข้ามาขอโทษหรือรับผิดชอบแต่อย่างใด ทางครอบครัวเองก็อยากได้รับความยุติธรรม เพราะเป็นฝั่งเสียหาย จนตอนนี้ยังไม่ได้รับการชดใช้ใดๆเลย อยากวอนสื่อให้ช่วยเรื่องนี้ ไม่อยากให้มันเงียบหายไป และขอวิงวอนให้ทนายท่านใดก็ตาม ที่อยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็ยินดี เพราะครอบครัวของตนนั้น ต้องการความเป็นธรรม

อย่างไรก็ตามอีจันเชื่อว่า ความยุติธรรมมีอยู่จริง หลังจากนี้ก็ต้องรอทาง รพ.ออกมาชี้แจง และแสดงความรับผิดชอบต่อไปและทนายท่านใดที่สนใจจะช่วยเหลือครอบครัวนี้ ก็สามารถติดต่อเข้ามาที่เพจอีจันได้นะครับ


จัมโบ้ อีจัน
18กย2566

8
แม่เล่าอุทาหรณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ลูกสาววัย13 ปวดขาหลังสอบวิชาพละที่โรงเรียน พาหาหมอสุดท้ายเสียชีวิต หมอสรุปสาเหตุใบมรณบัตรติดเชื้อในกระแสเลือด

วันที่ 18 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณแม่ท่านหนึ่ง โพสต์ลงกลุ่มคนมีลูก พร้อมระบุว่า ขอความคิดเห็นจากแม่ ๆ ในกลุ่มหน่อยค่ะ ลูกสาวจากไป อายุ 13 ปี เป็นเด็กดีมากน้องเสียชีวิต วันที่ 24 มิ.ย. 2566 ที่ออกมาพูดมาขอความคิดเห็นเพราะอยากจะให้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณแม่สังเกตอาการ ส่วนแม่คิดว่าน้องแค่ปวดขาธรรมดากล้ามเนื้ออักเสบเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิ.ย. 66 น้องไปเรียนปกติคาบเรียนสุดท้ายเรียนวิชาพละครูให้สอบตีลังกาม้วนหน้า ม้วนหลังหลายรอบ จนน้องผ่าน วันที่ 23 มิ.ย. 66 น้องไม่ไปโรงเรียนบอกแม่ปวดต้นคอปวดขาปวดเนื้อปวดตัว แม่ถามไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้ลูกบอกสอบที่โรงเรียนตีลังกาหลายรอบจนผ่าน แม่บอกคงกล้ามเนื้ออักเสบเอายาพาราให้ลูกกินแล้วให้นอนพักผ่อน ตกตอนเย็นแม่ถามว่ามีไข้ไหมปวดหัวไหม น้องบอกปกติไม่เป็นอะไร พอ 5ทุ่มน้องบอกปวดขา ปวดแต่ปลายเท้าปวดนิ้วกลางกับนิ้วนางแต่เขาก็ไม่มีไข้เดินได้ปกติ

แม่บอกพรุ่งนี้ไม่หายเดี๋ยวพาไปเอกซเรย์ดูกระดูกคงร้าวพอตี5 ลูกบอกปวดขาอยู่ไปบอกหมอนวดเส้นมานวดให้ เผื่อเส้นพลิกยายก็ไปเรียกให้ ผ่านไป 07.30 ลูกเดินเข้ามาในห้องมาบอกแม่ยังไม่หายปวด แม่ก็พาไปหาหมอรพ.ใกล้บ้านนั่งรอหมออยู่ ก็มีจ้ำเลือดขึ้นนิ้วโป้งเท้าข้างซ้ายบวมเล็บเริ่มช้ำคือเร็วมาก ปวดหนักขึ้นหมอให้น้ำเกลือ ยาฆ่าเชื้อส่งตัวน้องไปต่อ รพ.ในจังหวัดไปอยู่ในห้องฉุกเฉินประมาณ 2 ชม.

เสร็จแล้วส่งต่อไปห้องผู้ป่วยรวม เราคิดว่าลูกดีแล้วหมอถึงให้ออกจากห้องฉุกเฉินไปนอนรอห้องรวม สักพักมีพยาบาลมาวัดความดันลูกคุยกับแม่ตลอดลูกจะบอกหิวน้ำตลอด แต่หมอยังงดดื่มน้ำอยู่ วัดความดันผ่านพยาบาลบอกให้รอคุณหมอ รอ ๆ คุณหมอติดเคสเตียงข้าง ๆ อยู่เรียกตลอดจนหมอมาบอกจะให้ยาแก้ปวดลูก สักพักมีพยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดก่อนฉีดแม่ก็ถามพยาบาลว่ายาอะไร พยาบาลบอกยาแก้ปวดเราก็ให้ฉีด พอฉีดยายังไม่ถอดเข็มเลยลูกเราช็อกแล้วหมดสติเลยหมอปั๊มหัวใจแต่ไม่ฟื้นกลับมาเลย หมอสรุปในใบมรณบัตรน้องติดเชื้อในกระแสเลือด

18 ก.ย. 66
ข่าวสด

9
ปลัด สธ.เผย ‘หมอชลน่าน’ ตั้งเป้า รพ.ทุกแห่งต้องเป็นของประชาชน บัตรใบเดียวรักษาทุกที่

เมื่อวันที่ 12 กันยายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงนโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล ที่มีการแถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. ประกาศยกระดับจากนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ให้เป็น 30 บาทพลัสว่า ทั้งนี้ จะต้องไม่ละเลยภาระงานของบุคลากรด้วย โดยหนึ่งในนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ สธ. คือการใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้าโรงพยาบาลได้ทุกแห่ง เป็นหน้าที่ของ สธ.และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ต้องบูรณาการร่วมกัน เพื่อแปลงเป็นภาคปฏิบัติให้เห็นโดยเร็ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการ สธ.มอบหมาย

“20 ปี หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเปลี่ยนไปเยอะ จากเดิมชนบทเข้าไม่ถึงบริการ แต่วันนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเพราะเรามีทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ จุดที่เข้าไม่ถึงบริการน้อยมาก แต่ตอนนี้ปัญหาคือ คนที่เข้าไม่ถึงบริการกลับเป็นคนในเมืองใหญ่ หรือคนที่อยู่อีกจังหวัดแล้วไปทำงานต่างจังหวัด เช่น พัทยา เชียงใหม่ โคราช (นครราชสีมา) ฯลฯ ฉะนั้น 30 บาทที่สามารถดูแลรักษาทุกที่ จะตอบโจทย์ได้ แต่ก็จะมีประเด็นข้อด้อยที่ฝ่ายปฏิบัติต้องเอาสองอย่างนี้มาทำให้เกิดความสอดคล้องกัน” นพ.โอภาสกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงการใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาล จะมีขั้นตอนเป็นอย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า ข้อมูลของประชาชนจะเชื่อมโยงกัน เจ็บป่วยที่ไหน ก็จะมีข้อมูลสุขภาพ แล้วนำบัตรประชาชนไปแสดงตัว รักษาได้ทุกที่ทั่วไทย แต่จะมี 2 เรื่องตามมา คือ 1.ระบบจัดการ และ 2.ระบบจ่ายเงิน ที่เป็นหัวใจสำคัญ จึงต้องให้ สปสช.และหน่วยงานอื่นๆ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หารือร่วมกัน เพราะถ้าพูดถึงการบริการทางการแพทย์ สธ.จะครอบคลุมร้อยละ 70 ที่เหลือยังมี โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม และมีโรงพยาบาลเอกชนอยู่

“รัฐมนตรีว่าการ สธ. นพ.ชลน่าน ให้นโยบายว่า ต่อไปโรงพยาบาลทุกแห่งของประเทศ ต้องเป็นโรงพยาบาลของประชาชน ซึ่งหมายรวมถึงโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน เป็นโจทย์ที่ท้าทาย ที่เราต้องดำเนินการต่อ ส่วนเรื่องการจ่ายเงินมีการพูดคุยกับเลขาธิการ สปสช.แล้ว เหลือแต่ลงรายละเอียดต่อไป” นพ.โอภาสกล่าว

เมื่อถามต่อไปว่า นโยบายยกระดับ 30 บาท จะเป็นการเพิ่มภาระงานของบุคลากรหรือไม่ ปลัด สธ.กล่าวว่า บางอย่างอาจเพิ่ม บางอย่างอาจลด เช่น ลดการบันทึกข้อมูลในกระดาษมาเป็นดิจิทัล แต่อาจเพิ่มงานหัตถการจำเป็น เช่น การดูแลรักษาระดับสูง การฟอกไต เป็นต้น แต่ก็จะมีเรื่องค่าตอบแทนให้สอดคล้องกัน

มติชน
12กย2566

10
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่ 2 ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมนั้น

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สาธารณสุข) ลุกขึ้นชี้แจงนโยบายทางด้านสาธารณสุขโดยตอบข้อซักถามสมาชิกรัฐสภาประเด็นต่าง ๆ ในเชิงของนโยบายรัฐบาลว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวงนำคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้นไปแปลงเป็นนโยบายในเชิงปฏิบัติโดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขนั้นจะได้แถลงนโยบายกระทรวงในวันที่ 22 ก.ย.นี้

สำหรับนโยบายของรัฐบาลบางเรื่องที่ได้ประกาศเป็น Quick Win นั้นได้ดำเนินการนำร่องไปบ้างแล้วโดยดำเนินการภายใต้กรอบ 5 ด้านซึ่งประกอบด้วย แผนยุทธศาสตร์ชาติ ความต้องการของประชาชน นโยบายของพรรคการเมือง เป้าหมายในอนาคตและผลลัพธ์สุขภาพ ที่ต้องสอดรับกันก่อนกำหนดออกมาเป็นนโยบายสาธาณสุขปี 2567 พร้อมยกระดับกระทรวงสาธารณสุขใหม่ จากกระทรวงที่ใช้เงินเป็นกระทรวงที่จะสร้างเม็ดเงินและหาเงินให้กับประเทศด้วยการให้บริการในเชิงสุขภาพ

พร้อมกันนี้เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่เป็นเอกภาพนั้นจะเสนอให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง นั่นก็คือ "คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ" ซึ่งมีนายกฯเป็นประธาน ที่แยกออกมาจาก "คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ"

นอกจากนี้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประเทศไทยประกาศเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ เมดดิคอลฮับ ซึ่งสร้างความกังวลว่า จะทำให้ประชาชนคนไทยได้รับการบริการไม่ดีหรือเข้าไม่ถึงการให้บริการสาธารณสุขได้หรือไม่ นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนในการเข้าถึงการให้บริการ โดยได้นำร่องนโยบายใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ไปแล้ว จึงขอให้มั่นใจว่า แม้กระทรวงจะหารายได้เข้าประเทศก็จะไม่กระทบกับการให้บริการกับประชาชนคนไทย

สำหรับภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่มากเกินไปนั้น นายแพทย์ชลน่าน กล่าวยอมรับว่า บางแห่งมีปัญหารวมถึงเรื่องการถ่ายโอนโรงพยาบาลสุขภาพตำบล (รพ.สต.)ให้กับท้องถิ่นซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการให้บริการของโรงพยาบาลขนาดใหญ่นั้น ในเชิงของนโยบายเห็นพ้องกันว่า จะมีการคุยกับ กพ.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลบุคลากรของกระทรวงซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมี "คณะกรรมการบริหารงานบุคคลสาธารณสุข" หรือ กสธ.ที่ดูแลงานส่วนนี้จะเข้ามาบริหารงานเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้หรือไม่

นอกจากนี้ยืนยันว่า พร้อมเดินหน้านโยบาย 50 เขต 50 โรงพยาบาล เนื่องจากที่ผ่านมานั้นจากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้นพบปัญหาการเสียชีวิตจำนวนมากใน กทม.เนื่องจากขาดแคลนสถานพยาบาลและไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากรในพื้นที่ อย่างไรก็ดี จะดูความจำเป็นในพื้นที่เป็นหลัก

สำหรับปัญหาเด็กแรกเกิดซึ่งทำให้เกิดปัญหาโครงสร้างปัญหาประชากรของไทยบิดเบี้ยว โดยมีเด็กเกิดใหม่น้อยกว่า 50,000-60,000 คนจะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็น "วาระแห่งชาติ" ต่อไป

Thansettakij
12 กย 2566

11


วันที่ 6 กันยายน 2566 ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เปิดเผยที่ห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 โดยกล่าวว่า “ส่วนที่ห่วงคือเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายตอนนี้ เพราะเป็นฤดูกาลโยกย้ายพอดี ทราบกันดีว่าเรื่องพวกนี้มักมีเกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่ช่วงนี้ รัฐบาลไหนก็ตามที ผมอยากจะเน้นย้ำข้าราชการเป็นภาคส่วนซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนประเทศ เขาทำงานมาตลอดชีวิต อยากได้ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน การปูนบำเหน็จก็ขออยากให้เป็นธรรมด้วยผลงาน ไม่ใช่จากการซื้อขายตำแหน่ง”

นายก ย้ำ แต่งตั้งโยกย้ายต้องเป็นธรรม ขอเวลาพิสูจน์ตัวบริหารราชการ(6 กย 2566)
...

....การแต่งตั้งโยกย้าย นอกจากจะต้องเป็นธรรมต่อข้าราชการ(ผู้เป็น candidate)แล้ว ต้องคำนึงถึงบุคลากร และประชาชน ด้วย...

การแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวงสาธารณสุข เราขอให้ยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเที่ยงตรง... ผู้มีอำนาจต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการแต่งตั้งโยกย้ายด้วย

ธรรมาภิบาล ( Good Governance)
1. หลักคุณธรรม
2. หลักนิติธรรม
3. หลักความโปร่งใส
4. หลักความมีส่วนร่วม
5. หลักความรับผิดชอบ
6. หลักความคุ้มค่า


"ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องเป็นคนดี มีความสามารถ มีความรับผิดชอบสูง....
....อย่าปล่อยให้สร้างความเสียหาย อย่าปล่อยให้บุคลากรและประชาชนรับกรรม โดยที่ผู้ลงนามแต่งตั้งโยกย้ายไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ
"


สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปฯ
12 กันยายน 2566


การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขไม่ควรเป็นข่าวเช่นนี้
http://www.thaihospital.org/board2/index.php?topic=30756.0

12
'เศรษฐา ทวีสิน' เผยรัฐบาลชุดนี้ปัญหาคอร์รัปชันจะลดลง ความโปร่งใส-เป็นธรรมเพิ่มมากขึ้น ด้าน ACT  เสนอข้อเรียกร้อง 5 ประการถึงรัฐบาลใหม่ กำหนดปราบคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ-องค์กรอิสระทำงานอย่างเป็นกลางไม่ถูกครอบงำ-เร่งออกกฎหมายต้านทุจริตที่ค้างคา-ทุกหน่วยงานเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบที่สามารถเขื่อมโยงกับ ACT Ai-แก้ระเบียบราชการที่ไม่เปิดเผยข้อมูลการทุจริต

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2566 ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2566 WHAT THE FACT? ค้นหาความจริง-ใจในการต่อต้านคอร์รัปชัน ภายในงานมีเวทีนำเสนอข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลใหม่และปาฐกถาพิเศษจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปราบปรามการทุจริตและเพื่อความโปร่งใสของรัฐบาลเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล เป็นนโยบายที่หน่วยงานรัฐต่อปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เป็นอันดับที่ 101 ของโลก ในด้านของดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย และ เวียดนาม ซึ่งประเทศไทยต้องพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับ 3 ประเทศข้างต้นทั้งในด้านการรับรู้การทุจริตและด้านอื่น ๆ

การคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายกับภาครัฐ นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อกำจัดการทุจริตทางรัฐบาลของประชาชนชุดนี้ มีนโยบายในการใช้หลักนิติธรรม และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานเพื่อให้ตรวจสอบกระบวนการทำงานของภาครัฐได้ เป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจะช่วยประชาชนได้ทั้งในด้านการตรวจสอบความโปร่งใสและการให้บริการของภาครัฐที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ออกกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ของประชาชน และประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นช่วยกำหนดทิศทางอนาคตของตนและประเทศ มีแผนปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ เปลี่ยนรัฐอุปสรรคเป็นรัฐสนับสนุน ป้องกันเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับสินบนจากประชาชน

“นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย การลงโทษเฉียบขาดและครอบคลุม เจ้าหน้าที่รัฐต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน และเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อแสดงความโปร่งใสและให้ประชาชนตรวจสอบได้ การมีกฎหมายเข้มแข็งและการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้จะส่งเสริมความแข็งแกร่งในสังคมและกำจัดคอร์รัปชันให้หมดจากประเทศไทย” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นอกจากหลักนิติธรรมแล้วจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบ เช่น นโยบายระบบจ่ายเงินภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด เปิดให้ขอใบอนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้โปร่งใส ให้ตรวจสอบข้อมูลได้ เปลี่ยนประเทศให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล เป็นต้น การซื้อขายตำแหน่งต้องหมดไป การโยกย้ายไม่เป็นธรรม ต้องให้เกียรติกับข้าราชการทุกตำแหน่ง เป็นภารกิจที่จะทำในรัฐบาลนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้าราชการได้รับความเป็นธรรม ได้รับการสนับสนุนเมื่อมีผลงานที่ดี เรื่องเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ต่อไป

“ผมเชื่อมั่นภายใต้รัฐบาลนี้ปัญหาคอร์รัปชันจะลดลง ความโปร่งใสและเป็นธรรมจะเพิ่มมากขึ้น และตามมาด้วยความน่าเชื่อถือ การยอมรับจากประชาชนและนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบที่ดีต่อเศราฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทุกคน” นายเศรษฐา กล่าว

@ ข้อเสนอจาก ACT ถึงรัฐบาลใหม่

นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากตัวชี้วัด หรือการสำรวจต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศ และสากล คงไม่สามารถบอกได้ว่า สถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยนั้น มันดีขึ้นจนเป็นที่จับต้องได้ แต่ยังคงน่ากังวลอยู่ สิ่งที่จะนำเสนอต่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย คือการที่เสนอให้ภาครัฐมีความจริงจัง มีนโยบายที่ชัดเจน มีมาตรการ กระบวนการที่บริหารจัดการ การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกับภาคประชาชน โดยให้มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมกัน

นายวิเชียร กล่าวอีกว่า การทุจริตคอร์รัปชัน นับเป็นวิกฤตขนาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน สร้างความเสียหายทางด้านสังคม เศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่องยาวนาน

"ดังนั้น ต้องยกระดับในการแก้ไขปัญหาทุจริต คำนิยามของ คอร์รัปชัน ในสากล ไม่ได้หมายความเรื่องของการให้สินบน รับสินบน การปฏิบัตินำผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองเท่านั้น มันครอบคลุมถึงการเอื้อประโยชน์ ให้กับเครือข่ายพวกพ้อง การสมรู้ การละเลย การไม่เอาโทษ-ไม่ดำเนินการ การใช้อิทธิพลเพื่อการรีดไถ การแต่งตั้งโยกย้าย การใช้ระบบอุปถัมภ์ การเอื้อประโยชน์การนโยบาย เพื่อให้การประโยชน์กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเบียดเบียนจากประชาชน" นายวิเชียร ระบุ

นายวิเชียร กล่าวว่า ถึงแม้ว่า จะยังไม่สามารถจับต้องผลสำเร็จของการต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ 12 ปีที่ผ่านมา เห็นโอกาส และมีความหวัง และทีสำคัญคือการตื่นตัวของภาคประชาชน องค์กรต่าง ๆ ในการร่วมกันเป็นผู้ที่ไม่ยอมรับ และมีส่วนร่วมที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ สิ่งเหล่านี้เป็นพลังที่สำคัญที่จะต้องขับเคลื่อนกันต่อไป

นายวิเชียร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสัมฤทธิ์จากการที่มีกลไกของการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครภาคประชาชนในการเข้าไปร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ใน ’โครงการข้อตกลงคุณธรรม’ มีอาสาสมัครกว่า 200 กว่าคนเข้าไปมีส่วนร่วมตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีกระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างที่รองรับกระบวนการทำงานนี้ ส่งผลให้มีการประหยัดงบประมาณไปกว่า แสนล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะพัฒนาให้มีความเข้มแข็งขึ้นไป อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การเปิดเผยข้อมูลโปร่งใส ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะเป็นการติดอาวุธให้กับประชาชนในการที่จะเป็นผู้ร่วมกันเฝ้าระวัง ช่วยกันตรวจสอบ-แจ้งเหตุ ในการป้องกันทุจริต นั้นคือ ACT Ai Demonstration

นายวิเชียร กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นโอกาสสำคัญที่มีนายกฯ ท่านใหม่ องค์ประกอบสำคัญที่ยังไม่เคยได้มาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐ ของผู้นำในการมุ่งมั่น มีนโยบายชัดเจน มีแนวปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาทุจริต

นายวิเชียร กล่าวทิ้งท้ายว่า ร้องขอให้ทุกคน เราต้องมีความมุ่งมั่น มีความหวัง ความเชื่อ ว่าเราจะเอาชนะปัญหาทุจริตได้ เราจะไม่ทิ้งภาระให้ลูกหลานเราต่อไป

สำหรับ ข้อเรียกร้องที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันถึงรัฐบาลใหม่ มีดังนี้

1. กำหนดให้การปราบปรามคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนทุกภาคส่วน โดยมีนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธาน พร้อมมี War Room เพื่อการทำงานอย่างทันเหตุการณ์

2. สนับสนุนให้ ป.ป.ช. สตง. และ ป.ป.ท. ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง มีอิสระ ไม่อยู่ในการครอบงำ มีศักดิ์ศรีของการปฎิบัติหน้าที่

3. เร่งรัดการออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่ค้างคาอยู่ เช่น กฎหมายข้อมูลในการครอบครองของรัฐ กฎหมายปกป้องผู้เปิดโปงคอร์รัปชัน หรือกฎหมายป้องกันการการเกิดประโยชน์ทับซ้อน เป็นต้น

4. ทุกหน่วยงานพร้อมเปิดเผยข้อมูลนับจาก TOR ไปจนถึงสัญญาต่าง ๆ ในรูปแบบที่สามารถเขื่อมโยงกับ ACT Ai ตามมาตรฐานสากลได้อย่างโปร่งใสและถูกต้อง

5. แก้ไขกฎระเบียบราชการต่าง ๆ  ที่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลปัญหาคอร์รัปชัน และเมื่อพบกรณีทุจริตคอร์รัปชัน ให้ติดตามแก้ไขลงโทษในทันที อย่าประวิงเวลาจนประชาชนลืม

6 กันยายน 2566
https://www.isranews.org/article/isranews-news/121681-isranewss-106.html

13
“...การซื้อขายตำแหน่งการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมต้องหมดไป ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ปัญหาคอร์รัปชันจะลดลง มีความโปร่งใส เป็นธรรมเพิ่มขึ้น สร้างความยอมรับนับถือจากทั่วโลก ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน...”


หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566  องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่แถลงการณ์เรื่อง หยุดการวิ่งเต้น-โยกย้าย การโกงเอาตำแหน่ง โดยเรียกร้องให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้โปรดแสดงบทบาทอย่างจริงจังทันทีตามที่ได้กล่าวเป็นคำมั่นกับสาธารณชนไว้ ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 6 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

**************

แถลงการณ์ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

เรื่อง หยุดการวิ่งเต้น-โยกย้าย การโกงเอาตำแหน่ง

จากเหตุการณ์นายตำรวจถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บในบ้านของผู้มีอิทธิพลที่จังหวัดนครปฐม โดยปรากฏในเวลาต่อมาว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าหาผู้มีอิทธิพลเพื่อผลประโยชน์และโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ การแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ส่วย และธุรกิจสีเทา ที่ล้วนเป็นพฤติกรรมคอร์รัปชันซ้ำซากในสังคมไทย

คดีนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของระบบราชการที่ล้มเหลวเต็มไปด้วยการทุจริตคดโกง อันสืบเนื่องมาจากการบริหารจัดการที่ขาดธรรมาภิบาล ไม่รู้จักผิดชอบชั่ว ปล่อยให้ข้าราชการที่ไม่ดีไร้เกียรติก้มหัวเข้าหายอมเป็นเครื่องมือให้กับผู้มีอิทธิพล ในขณะที่ข้าราชการน้ำดีมักจะถูกกลั่นแกล้งกดหัวจนถึงขั้นเอาชีวิต ดั่งที่เพิ่งปรากฏเป็นข่าวที่สะเทือนขวัญของคนไทยในขณะนี้

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เห็นว่า เพื่อปกป้องและคืนความเป็นธรรมให้ข้าราชการน้ำดีไม่โกงกินได้มีที่ยืน และเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ จำต้องกำจัดอภิสิทธิ์ชนและเครือข่ายอุปถัมภ์ของนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล และนายทุนสีเทา โดยเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีที่กล่าวในงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน 6 กันยายน 2566 ที่ผ่านมาว่า

“การซื้อขายตำแหน่งการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมต้องหมดไป ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ปัญหาคอร์รัปชันจะลดลง มีความโปร่งใส เป็นธรรมเพิ่มขึ้น สร้างความยอมรับนับถือจากทั่วโลก ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน”

จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้โปรดแสดงบทบาทอย่างจริงจังทันทีตามที่ได้กล่าวเป็นคำมั่นกับสาธารณชนไว้ เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการผู้มุ่งมั่นรับใช้แผ่นดินตลอดจนสังคมไทยที่เอือมระอา ต่อระบบราชการที่เต็มไปด้วยการโกงกิน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ พร้อมจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้การวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งหมดไปจากระบบราชการไทยในช่วงการทำงานของรัฐบาลชุดนี้

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

11 กันยายน 2566


https://www.isranews.org/article/isranews-article/121807-inves09999.html

14
แม่ระบายความอึดอัด หลังพา ลูก 2 ขวบ ไป รพ.รัฐ แต่ถูกจนท.ของ รพ. พูดจาไม่ดี สองแม่ลูกต้องรอนาน 7 ชม.สุดท้ายไม่ได้รักษาต้องพาลูกกลับบ้าน

วันที่ 11 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “TungTungWatcharaporn” ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาวประมาณ 4 นาที ระบายความอัดอั้นตันใจ หลังจากที่พาลูกน้อยเดินทางไปขอใช้บริการรักษาอาการป่วยของลูกที่โรงพยาบาลของภาครัฐแห่งหนึ่ง ในอ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น ซึ่งเธออ้างว่านอกจากลูกที่มีอาการป่วยเป็นไข้จะไม่ได้รับการตรวจรักษาจากทางโรงพยาบาลหลังจากต้องรอเป็นเวลานาน 7 ชม. แล้วเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลยังแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและพูดจาไม่ดีอีกด้วย

โดยโพสต์ดังกล่าวยังระบุข้อความด้วยว่า “ขออนุญาตนะคะไม่ได้ต้องการหรือติดใจอะไรเลยนอกจากอยากให้ปรับปรุงการบริการคนไข้ เพราะมันไม่ใช่แค่ครั้งแรก แต่เป็นทุกครั้งที่ไป บางคำพูด บางประโยคในคลิป อาจจะไม่เป๊ะ แต่จำได้ว่าคำพูดจะเป็นประมานนี้ วันนี้แทบจะทุกคนที่ไปห้องฉุกเฉิน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คือเว้าบ่แซ่บแท้ ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยหมอพยาบาลมาเห็นปรับปรุงด้วยนะคะ”

โดยหลังจากคลิปนี้ถูกเผยแพร่ออกไปได้มีผู้คนเข้ามาแชร์และแสดงความคิดเห็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ต่างเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รวมทั้งบอกเล่าเหตุการณ์ที่แต่ละคนเคยพบมาเช่น “เข้าใจเลยค่ะ เคยเจอนานมาแล้วกับลูกสาวไม่สบายไล่เราไปตรวจแบบปกติทั้ง ๆ ที่ลูกเราไม่สบายไข้ขึ้นสูง เราเลยต้องไปตรวจรอคิวปกติจนได้ตรวจกับคุณหมอ คุณหมอตกใจว่าทำไมไม่พาไปฉุกเฉิน เด็กจะชักแล้ว จนได้นอนโรงพยาบาล เราบอกพาไปแล้วที่ห้องฉุกเฉินให้มาตรวจปกติ แล้วแต่วัน แล้วแต่โอกาส ไม่ได้เจอแบบแย่ ๆ ทุกครั้ง บางครั้งก็ประทับใจเจ้าหน้าที่เอาใจใส่ดูแลดีเราคิดว่าเป็นที่บุคคลมากกว่าค่ะ”

 ล่าสุดผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับเจ้าของคลิป คือ น.ส.วัชรพร น้อยธง พักอาศัยอยู่ที่ จ.ขอนแก่น เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าก่อนที่ตนจะตัดสินใจถ่ายคลิปวิดีโอโพสต์ระบายความอึดอั้นตันใจลงในเฟซบุ๊ก เนื่องจากในช่วงเช้าเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมาตนเองได้พา“น้องเติมเต็ม” ลูกชายวัย 2 ขวบ ที่มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดเดินทางไปใช้บริการที่โรงพยาบาลของภาครัฐแห่งหนึ่งในริมถนนมิตรภาพใน อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่แผนกห้องฉุกเฉินก็ได้ทำการวัดไข้และซักประวัติซึ่งจากการวัดไข้พบว่าลูกชายไข้สูงถึง 39 องศาเซลเซียส จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้บอกให้ตนเองพาลูกไปอาบน้ำล้างตัว ตนเองก็ปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ หลังจากอาบน้ำให้ลูกเสร็จเจ้าหน้าที่ก็บอกให้นั่งรอ เพื่อเข้าตรวจจนกระทั้งเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเที่ยงก็ยังไม่มีการเรียกชื่อลูกตนเองเข้าตรวจ

ขณะเดียวกันกลับพบว่ามีผู้มาใช้บริการที่มาทีหลังตนเองได้เข้าตรวจก่อน ทั้งที่ไม่ได้มีอาการหนักแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่ารอนานแล้วตนเองจึงเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่บริเวณเคาท์เตอร์ห้องฉุกเฉินแล้วสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าชื่อลูกของตนเองตกหล่นหรือเปล่า ช่วยตรวจสอบให้หน่อยทำไมคนไข้ที่มาทีหลังได้เข้าตรวจก่อน แต่เจ้าหน้าที่กลับทำสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ป้าย ที่บอกรายละเอียดขั้นตอนการรอแล้วบอกว่า “อ่านป้ายนะคะ เราเรียกเข้าตรวจตามลำดับความฉุกเฉิน”ทำให้ตอนนั้นตนเองเริ่มรู้สึกไม่ดีกับการแสดงออกของเจ้าหน้าที่ จึงตัดสินใจเดินกลับมานั่งรอที่เดิมจนกระทั้งถึงเวลา 12.30 น. ก็มีเสียงประชาสัมพันธ์แจ้งว่าหมอจะพักเที่ยงให้คนไข้มาใหม่ในเวลา13.30 น. ตนเองจึงขับรถจักรยานยนต์พาลูกกลับมาทานข้าวที่บ้าน โดยที่ช่วงเช้าไปนั่งรอไม่ได้เข้าตรวจเลย

น.ส.วัชรพร เล่าต่อว่าจากนั้นเวลาประมาณ 13.40 น. ตนเองก็ได้ขับรถจักรยานยนต์พาลูกกลับไปที่โรงพยาบาลดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นก็คิดเผื่อใจไว้บ้างแล้วว่าลำดับเข้าตรวจของลูกอาจจะถูกข้ามไปแล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงลูก และต้องการรักษาลูกเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ตนเองจึงเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่าลำดับคิวเข้าตรวจของลูกชายข้ามไปหรือยัง ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนี้ก็มองตนเองด้วยหางตาพร้อมกับพูดในทำนองกระแทกแดกดันว่า เดี๋ยวไปเช็คให้นะคะ แล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินตนเองก็ยืนรอกว่า 10 นาที แต่เจ้าหน้าที่ที่ตนเองสอบถามก็ไม่เดินออกมาจนกระทั้งเจ้าหน้าที่ที่ตนเองสอบถามในช่วงเช้าเดินออกมา ตนเองจึงสอบถามกับเจ้าหน้าที่คนนี้ว่าช่วยตรวจสอบให้อีกครั้งได้ไหมว่าชื่อลูกของตนเองถูกเรียกไปหรือยังซึ่งเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ตอบโดยใช้น้ำเสียงไม่พอใจว่าชื่อถูกเรียกไปแล้วเรียกไปตั้งนานแล้วเรียกไปตั้งแต่ 11.00 น.แล้วเมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นทำให้ตนเองเริ่มมีอารมณ์โมโห จึงตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าจะเรียกตั้งแต่11.00น.ได้อย่างไร เพราะตนเองนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินจนถึง 12.30 น. ก็ไม่ได้มีการเรียกชื่อลูกเข้าตรวจแม้แต่ครั้งเดียวพร้อมกับถามเจ้าที่ต่อว่าสรุปแล้ววันนี้ลูกชายจะได้เข้าตรวจหรือไม่

ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่าได้ตรวจให้รอก่อนโดยในระหว่างที่ตนเองกับเจ้าหน้าที่หน้าห้องฉุกเฉินพูดคุยกันคนไข้และญาติ ๆ ที่มารอเข้าใช้บริการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงพูดจาไม่ดีเลยจากนั้นตนเองก็นั่งรอคิวไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งเวลาล่วงเข้า 15.00น. ก็ยังไม่มีการเรียกชื่อลูกหรือมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งอะไรกับตนเองเลยและตอนนั้นก็มีบุคคลคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามตนเองว่ามารอตั้งแต่กี่โมง ตนเองก็ตอบไปว่ามารอตั้งแต่ 10.00 น. จนถึงตอนนี้รวมกว่า 7 ชม. ก็ยังไม่ได้เข้าตรวจบุคคลคนดังกล่าวจึงบอกให้ตนเองเขียนจดหมายร้องเรียนหลังเขียนเสร็จตนเองก็นำจดหมายใส่กล่องในโรงพยาบาลแล้วพาลูกชายขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านด้วยความอัดอั้นตันใจ และรู้สึกไม่พอใจถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่จึงได้อัดคลิประบายความในใจในครั้งนี้

น.ส.วัชรพร กล่าวว่าเรื่องนี้ตนเองอยากวอนไปถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้บริหารของโรงพยาบาลแห่งนี้และทุก ๆ แห่งได้ช่วยปรับปรุงระบบการให้บริการหากเป็นไปได้ขอให้แยกกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินเป็น 2 กลุ่ม คือ เด็กและผู้ใหญ่รวมทั้งการดูแลเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะการดูแลพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตนเองเข้าใจดีว่าแพทย์พยาบาลต่างก็ทำงานเหนื่อยแต่ก็อยากให้บริการคนไข้ดีกว่านี้อาจไม่ต้องถึงขั้นคลานเข่าเข้ามาดูแลหรือให้บริการแบบ VIP แต่ขอเพียงแค่แนะนำคนไข้ด้วยความสุภาพก็พอเพราะผู้ป่วยบางคนเป็นผู้สูงวัยอ่านเขียนหนังสือไม่ออกก็มีและที่สำคัญไม่มีใครอยากมาที่โรงพยาบาลหากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ


Amarin TV News
11 กันยายน 2566

15
วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการ สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ประธานอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายสภาผู้บริโภค เข้าพบรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน เพื่อการหารือแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการสุขภาพ

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ระบุว่าตลอด 2 ปีที่สภาผู้บริโภคได้เปิดดำเนินงานมา พบว่ามีเรื่องร้องเรียนด้านบริการสุขภาพจำนวน 2,564 เรื่อง โดยปัญหาที่พบมากที่สุดคือเรื่องการใช้สิทธิบัตรทอง 1,171 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 45.67 ของเรื่องร้องเรียนด้านบริการสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีถูกเรียกเก็บเงินยานอกบัญชี และเรียกเก็บค่าบริการนอกเวลา อันดับสอง เป็นเรื่องชำระเงินเอง/เบิกประกันของตนเอง จำนวน 956 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 37.29 อันดับสาม คือเรื่องสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน/สิทธิฉุกเฉินรักษาโควิด19 จำนวน 245 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 9.56

สำหรับประเด็นที่ต้องการหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นเรื่อง การถูกเรียกเก็บเงินเกิน หรือถูกเรียกเก็บเงินจากสถานพยาบาลโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บทุกกรณี รวมกรณีการใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือสิทธิยูเซป (UCEP) โดยสภาผู้บริโภคเสนอให้รวมผู้ป่วยสีเหลืองไปในสิทธินี้ด้วย ซึ่งตามสิทธิในปัจจุบัน ผู้ที่ได้รับสิทธิต้องเป็นคนไข้ระดับสีแดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงระดับความฉุกเฉินของผู้ป่วยสีเหลืองนั้นมีโอกาสเปลี่ยนเป็นสีแดงในระยะเวลาอันสั้น ทั้งนี้ การเพิ่มผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สีเหลืองเข้าไปในสิทธิยูเซปจะทำให้ผู้ป่วยได้รับโอกาสในการดูแลมากขึ้น นอกจากนี้ในกรณีการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต สารีมีความเห็นว่าโรงพยาบาลรัฐควรได้รับงบประมาณโดยใช้เกณฑ์ระบบการเบิกจ่ายใช้การจ่ายตามรายการที่กำหนด (fee schedule) เหมือนโรงพยาบาลเอกชน

“สำหรับเรื่องการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บ จะมีคณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำหน้าที่ออกหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ ซึ่งก็มีข้อสรุปแล้วว่าห้ามเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่ได้ให้การคุ้มครองดูแลประชาชนผู้มีสิทธิให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุข เพื่อไม่ให้มีปัญหาค่าใช้จ่ายที่เป็นอุปสรรค ในทุกรายการที่ให้บริการสามารถเรียกเก็บจาก สปสช. เพื่อเบิกจ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้โดยที่ไม่ต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย ในส่วนของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ หากเป็นกรณีที่ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาและแพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายโดยที่ผู้ป่วยไม่ได้ร้องขอยาดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ สถานพยาบาลก็สามารถมาเบิกจาก สปสช. ได้เช่นกัน” สารีกล่าว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับประเด็นการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลในผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง รวมถึงสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตนั้น ต้องนำหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วมกำหนดไว้ ไปประกาศให้ชัดเจนในระบบของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาการถูกเรียกเก็บเงินเกิน หรือการถูกเรียกเก็บเงินโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บ

“ปกติการสั่งจ่ายยาโดยทั่วไปโรงพยาบาลจะเลือกใช้บัญชียาหลักก่อน ถ้าต้องจ่ายยานอกบัญชีแพทย์ผู้สั่งต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบ แต่กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้สติมีความจำเป็นต้องใช้ยานอกค่ารักษาในส่วนนี้อาจต้องมาดูว่าต้องใช้งบประมาณจากหน่วยงานไหน ส่วนประเด็นการเพิ่มผู้ป่วยสีเหลืองเข้าไปกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตเป็นการเพิ่มเคสให้แผนกฉุกเฉิน อาจต้องมีการวางระบบเพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยสีเหลืองอย่างทั่วถึง” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

ด้าน กรองกาญจน์ พุ่มวิเศษ ผู้อำนวยการสำนักบริการจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินกลาง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ชี้แจงว่า ขณะนี้มีเกณฑ์ประเมินการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต และกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินแต่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ซึ่งอาจต้องดูเป็นรายกรณีเพิ่มเติม ทั้งนี้ สพฉ. จะรับข้อเสนอเพื่อทบทวนการช่วยเหลือประชาชน แต่หากอยู่นอกเหนืออำนาจอาจต้องมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

นอกจากประเด็นเรื่องการถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บ และเรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตแล้ว ยังมีการหารือในประเด็นอื่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมด้านการบริการสุขภาพของประชาชนไม่ว่าจะเป็น กองทุนคืนสิทธิและกองทุนผู้ประกันตนต่างด้าว ปัญหาบุคลากรการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย รวมถึงประเด็นการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล และสถานีอนามัย ให้ไปอยู่ส่วน องค์การบริหารส่วนจังหวัด

โดยเรื่องกองทุนคืนสิทธิและกองทุนผู้ประกันตนต่างด้าวนั้น สภาผู้บริโภคได้เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเรื่องความสะดวก ในประเด็นการเคลื่อนย้ายสิทธิของผู้ป่วย และเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ต้องพัฒนาให้ทัดเทียมกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่าปัจจุบันผู้ป่วยสามารถย้ายสิทธิได้ด้วยตนเองได้แล้ว ส่วนกรณีกองทุนผู้ประกันตนคนต่างด้าว มีการช่วยเหลือเบื้องต้น แต่การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ก็จะมีผลกระทบต่อเรื่องความมั่นคงของประเทศและงบประมาณไม่เพียงพอ

สำหรับปัญหาบุคลากรการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย และการรอคิวที่นาน สภาผู้บริโภคได้เสนอให้มีการจัดระบบคิวใหม่ทั้งหมด เพื่อลดการเสียเวลาที่โรงพยาบาล ทางกระทรวงสาธารณสุขมีการเก็บสถิติเวลาที่ใช้ในแต่ละส่วนงาน เพื่อนำไปปรับปรุงขั้นตอนทำงานให้ดีขึ้นและเห็นด้วยกับการจัดระบบคิวใหม่ แต่อาจต้องมีการวางแผนและพัฒนาระบบ ทั้งยังเสนอสร้างกลไกการช่วยแพทย์จบใหม่ให้พร้อมในการทำงาน เพื่อลดภาระงานแพทย์ที่นอกเหนือจากการรักษาผู้ป่วย

ส่วนประเด็นเรื่องการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล และสถานีอนามัย ให้ไปอยู่ส่วน องค์การบริหารส่วนจังหวัด ประเด็นนี้ยังพบปัญหาบางโรงพยาบาลไม่พร้อมรองรับ ส่วนโรงพยาบาลที่ต้องถ่ายโอนทำให้มีอัตรากำลังไม่เพียงพอ และเรื่องค่าบริการที่ยังไม่ชัดเจนว่าควรเรียกเก็บจากหน่วยงานไหน ในประเด็นนี้อาจต้องมีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้สภาผู้บริโภคยังคงเดินหน้าเรื่องสิทธิการรักษาให้ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้สิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่ สำหรับกรณีผู้บริโภคที่ถูกเรียกเก็บเงินโดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บนั้น ทุกหน่วยงานที่ร่วมหารือได้พยายามหาทางแก้ไข ทั้งขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกบริการที่จำเป็น รวมถึงการเลือกใช้ยาต่าง ๆ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดผู้บริโภคจะต้องเข้าถึงระบบบริการสุขภาพอย่างดีที่สุด และต้องไม่มีการถูกเรียกเก็บเงินจากสิทธิของตนเอง

27 กรกฎาคม 2566
https://www.tcc.or.th/26072566_tccnews_health-sevices/

หน้า: [1] 2 3 ... 621