8806
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. 8806
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / Re: มูลนิธิแพทย์ชนบท จัดการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชน พร้อมมีพิธีมอบรางวัล« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:26:12 »8807
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / มูลนิธิแพทย์ชนบท จัดการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชน พร้อมมีพิธีมอบรางวัล« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:15:37 »
มูลนิธิแพทย์ชนบท จัดการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชนประจำปี 2554 หัวข้อ “ความเป็นธรรมทางสุขภาพ ความหวังของมนุษยชาติ” พร้อมมีพิธีมอบรางวัล “แพทย์ชนบทดีเด่น กองทุนนายแพทย์กนกศักดิ์ พูลเกสร ประจำปี 2553-2554” ให้แก่แพทย์ชนบทผู้มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานอุทิศตัวเพื่อชุมชนอย่างทุ่มเทและต่อเนื่อง โดยมี ร.ต.อ.ดร. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบโล่รางวัล ในวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2554 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องอารียา ชั้น 5 โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท ศูนย์การค้า เซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี
ThaiPR.net 13 กันยายน 2554 8808
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / “ยกระดับภูมิคุ้มกัน ยกระดับคุณภาพชีวิต” ทางเลือกใหม่แบบธรรมชาติเพื่อสุขภาพ« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:13:41 »
ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจทำให้มีการสะสมของมลพิษทั้งในอาหารและเครื่องดื่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่เร่งรีบเคร่งเครียด และอายุที่มากขึ้นส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีอยู่ตามธรรมชาติลดลง ส่งผลให้มีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น เช่น โรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ และอาจร้ายแรงไปจนถึงโรคมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นการดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง และรับประทานทานผักให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันการรับประทานพืชผักรวมไปถึงการรับประทานมังสวิรัติหรือทานเจ ก็เริ่มกลายมาเป็นกระแสที่มีผู้นิยมบริโภคกันมากขึ้นและถือเป็นหนึ่งในการดูแลตนเองโดยวิถีแบบธรรมชาติเช่นกัน
หลายครั้งหลายหนที่เรารับประทานอาหารโดยมี “เห็ด” เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบในอาหารที่รับประทาน โดยทราบเพียงว่า “เห็ด” เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนจากธรรมชาติ ซึ่งจัดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เห็ดมีกรดอะมิโนกลูตามิคเป็นองค์ประกอบ โดยกรดอะมิโนตัวนี้ จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ไวกว่าปกติ และทำให้มีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “เห็ด” นั้นยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและนิยมบริโภคกันมายาวนานนับพันปี และมีเห็ดอยู่ในธรรมชาติมากกว่า 140,000 สายพันธุ์ แต่ก็มีเห็ดเพียงไม่กี่สายพันธุ์ ที่สามารถรับประทานได้และให้สารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมีผลในการป้องกันรวมไปถึงรักษาโรคตามตำราการแพทย์โบราณ ซึ่งเห็ดเหล่านี้ได้ถูกขนานนามว่าเป็น “เห็ดทางการแพทย์ (Medicinal Mushrooms)” นั่นเอง “เห็ดทางการแพทย์” (Medicinal Mushrooms) หมายถึง เห็ดที่มีคุณสมบัตินำมาใช้ในทางการแพทย์หรือมีคุณสมบัติพิเศษอื่นนอกเหนือไปจากการนำมาใช้เป็นอาหาร แต่สามารถนำมารับประทานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้เห็ดทางการแพทย์มีความแตกต่างจากเห็ดธรรมดาที่สามารถหารับประทานกันง่ายดายตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งนี้เพราะเห็ดทางการแพทย์ (Medicinal Mushrooms) หาได้ค่อนข้างยาก อีกทั้งบางชนิดยังมีราคาสูงมากถึงกิโลละแสนบาท ตัวอย่างของเห็ดทางการแพทย์ (Medicinal Mushrooms) ได้แก่ - เห็ดไมตาเกะ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ King of Mushroom (ราชาแห่งเห็ด) เป็นเห็ดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง มีการศึกษาถึงประโยชน์ในการป้องกันและการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคเอดส์ เบาหวาน โรคอ้วน และระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงอีกด้วย - เห็ดยามาบูชิตาเกะ (Yamabushitake Mushroom: ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Hericium erinaceus) เห็ดชนิดนี้หาได้ยาก ดังนั้นในบางท้องที่ของญี่ปุ่นจึงขนานนามเห็ดชนิดนี้ว่า “Mountain Hidden Mushroom” มีการศึกษาถึงประโยชน์ในด้านการรักษาโรคมะเร็ง รวมไปถึงการรักษาโรคกระเพาะและระบบลำไส้ - เห็ดแครง ( Split gill Mushroom : ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Schizophyllum commune ) จัดเป็นเห็ดทางการแพทย์อีกชนิดหนึ่งที่ในปัจจุบันมีการสกัดเอาสารสำคัญในกลุ่ม เบต้ากลูแคนจากเห็ดชนิดนี้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ - เห็ดชิตาเกะ (Shiitake: ชื่อวิทยาศาสตร์ Lentinus edodes) ถือเป็นเห็ดทางการแพทย์อีกหนึ่งชนิดที่มีประวัติการใช้เป็นเห็ดทางการแพทย์มานานเป็นพันปี - เห็ดหลินจือ (Reishi Mushroom: ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Garnoderma lucidum) มีการศึกษาถึงประโยชน์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สารโพลีแซคคาไรด์ ในเห็ดหลินจือ ยังเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ มีความสามารถในการขจัดอนุมูลอิสระ และมีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด อีกด้วย - ถั่งเฉ้า (Cordyceps : ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis) จัดเป็นเห็ดทางการแพทย์อีกชนิดหนึ่งที่หาได้ยากยิ่งเนื่องจากสรรพคุณทางการแพทย์ที่ได้ถูกบรรจุอยู่ในตำราการแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์จีนสมัยโบราณ แม้กระทั่งปัจจุบันราคาของสมุนไพรชนิดนี้ก็ยังมีราคาสูงอยู่ถึงหลักแสนบาทต่อกิโล - เห็ดฮิเมะมัตสึทาเกะ (Himematsutake : ชื่อวิทยาศาสตร์ Agaricus Blazei) เห็ดทางการแพทย์อีกชนิดหนึ่งที่พบในประเทศญี่ปุ่น - เห็ดหางไก่งวง(Turkey Tail Mushroom: ชื่อวิทยาศาสตร์ Tramates versicolor ) ถือเป็นอีกหนึ่งเห็ดทางการแพทย์ที่มีประวัติในการนำมาใช้เป็นสมุนไพรในการรักษาโรค เห็ดทางการแพทย์(Medicinal Mushrooms) นั้นสามารถให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและปลอดภัย เช่น เบต้ากลูแคน,โพลีแซ็คคาไรด์, ไกลโคโปรตีน, เลคติน และเทอร์ปีนอยด์ ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในการเป็น สารต้านจุลชีพ, สารต้านเชื้อรา, ปรับสมดุลความดันโลหิต, ลดระดับคลอเลสเตอรอลในกระแสเลือด และที่สำคัญคือ การยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย “ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย” นับเป็นกลไกการปรับตัวตามธรรมชาติซึ่งมีส่วนช่วยร่างกายในการป้องกันเชื้อโรคต่างๆที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย โดยทั่วไประบบภูมิคุ้มกันมีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนและเกี่ยวเนื่องกับสารเคมีหลายชนิดในร่างกายรวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำหน้าที่หลักในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบในเห็ดทางการแพทย์เหล่านี้ได้มีการยืนยันด้วยรายงานการศึกษาทางวิชาการที่ตีพิมพ์หลายร้อยฉบับรวมทั้งวารสารเห็ดทางการแพทย์นานาชาติ (International Journal of Medicinal Mushroom) ว่ามีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวเพื่อปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ได้ประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับการต่อต้านเชื้อโรคและเซลล์มะเร็ง เปรียบเทียบได้กับการ “ยกระดับภูมิคุ้มกัน” ให้กับร่างกาย ซึ่งเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็เหมือนกับเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันร่างกายที่แข็งแรงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเช่น โรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ และโรคเรื้อรังต่างๆได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและร่างกายแข็งแรงตลอดจนมีสุขภาพที่ดีอย่างยืนยาว เราค วรหาโอกาสในการบริโภคเห็ดทางการแพทย์เหล่านี้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง แต่การรับประทานเห็ดทางการแพทย์ให้ได้ผลดีนั้น ไม่ใช่เพียงการนำเห็ดทางการแพทย์หลายๆอย่างมาประกอบอาหารอย่างเช่นการทำอาหารโดยทั่วไป แต่ต้องนำเห็ดทางการแพทย์มาผ่านกระบวนการสกัดเพื่อให้คงคุณค่าของเห็ดทางการแพทย์อย่างสมบูรณ์ หาข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดทางการแพทย์(Medicinal Mushroom)เพิ่มเติมได้ที่ www.เห็ดทางการแพทย์.net , www.mushroom.msu.ac.th , www.isms.biz หรือ www.dmsc.moph.go.th/webroot/secretary/Homepage/news46/July/8.html ThaiPR.net 13 กันยายน 2554 8809
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / นอนน้อยทำให้แก่มาก ตัดทอนอายุให้ส้ันลงไปได้ มากถึง 7 ปี« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:10:54 »
ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากได้นอนวันละไม่ถึง 6–8 ชม. จะทำให้อายุแก่ลงได้มากถึง 7 ปี
วารสารวิชาการ “การนอน” ของสหรัฐฯ กล่าวว่า การอดนอนและง่วงเหงาหาวนอน เป็นภัยกับการทำงานทำการ การทันเวลา ก่อให้เกิดการผิดพลาดในงานที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนขาดสมาธิ ทั้งยังกระทบกระเทือนการงานทางสังคมต่างๆ กินไปถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจ และพลอยทำให้มีอายุสั้นด้วย นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยลอนดอน ได้ศึกษาพบว่า “โทษของการอดนอน ยังโยงไปถึงการเสื่อมสติปัญญาในวัยกลางคน” ผลการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ได้นอนหลับเต็มอิ่มคืนละ 7 ชม. จะทำคะแนนได้สูงสุดในการทดสอบทางสติปัญญา ตามด้วยเพื่อนที่ได้นอนนานคืนละ 6 ชม. ในขณะที่พวกผู้ชาย ผู้ที่ได้นอนนานคืนละ 6-7 หรือ 8 ชม. จะทำคะแนนได้มากพอกัน นอกจากผู้ที่นอนไม่ถึง 6 ชม.เท่านั้น คณะนักวิจัยสรุปว่า การได้นอนหลับสนิท อย่างเพียงพอ เป็นพื้นฐานของความสุขและการทำงานทำการของคนเรา. ไทยรัฐออนไลน์ 13 กย 2554 8810
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หัวผักกาดแดงแรงฤทธิ์สู้กับมะเร็งรับมือกับเนื้อร้ายของตับอ่อนได้« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:09:15 »
หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เอ็กซ์เปรสส์” ของอังกฤษ รายงานว่า ทีมนักวิจัยระหว่างประเทศพบส่อว่า วิตามินเอในผักอย่างหัวผักกาดแดงและบร็อกโคลิี่ มีฤทธิ์สามารถต่อสู้ต้านทานกับโรคมะเร็งตับอ่อน
หัวหน้าสถาบันต่อต้านมะเร็งที่กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทีมศึกษาร่วมกับสถาบันแห่งอื่น มาเป็นเวลา 4 ปี พบว่า หากเซลล์ปกติที่อยู่รอบเซลล์ที่เป็นมะเร็งมีวิตามินเออยู่ในตัวระดับสูงจะสามารถขัดขวางไม่ให้มะเร็งเติบโตได้ “เชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้ คงช่วยให้นำไปสู่การยกกู้อัตรารอดของมะเร็งชนิดนี้ให้สูงขึ้นได้ และมีวิธีรักษาใหม่ๆให้กับผู้ป่วย” หัวหน้าทีมกล่าว. ไทยรัฐออนไลน์ 13 กย 2554 8811
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สธ.เพิ่มหน่วยสอบสวนโรคครบทุกตำบลใน5ปี« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:06:56 »
สธ.ตั้งเป้าพัฒนาทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว ให้ครบทุกตำบลภายใน 5 ปี หวังลดการเจ็บป่วย-เสียชีวิตของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ...
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานสัมมนาเครือข่าย “อำเภอควบคุมโรคเข้มแข็งแบบ ยั่งยืน” จัดโดยกรมควบคุมโรค ว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเตรียมความพร้อมพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรค ระบบการเตือนภัย การจัดการที่มีประสิทธิผลทันการณ์ เมื่อเกิดภัยพิบัติโรคระบาดและภัยทางสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง ยังมีผลต่อเศรษฐกิจความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศด้วย เนื่องจากโรคระบาดและภัยทางสุขภาพนั้น มีผลกระทบรวดเร็วทั้งจากเทคโนโลยีการสื่อสาร และการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว จึงต้องพัฒนาความพร้อมด้านนี้ ทั้งในระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล เป็นเครือข่ายการทำงานอย่างบูรณาการ ลดการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข มีทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว หรือเอสอาร์อาร์ที (SRRT) ระดับอำเภอทั่วประเทศจำนวน 1,030 ทีม ทั้งนี้ ในปี 2554 มีนโยบายขยายลงสู่ระดับตำบล โดยนำร่องในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจำนวน 2,000 ทีม ยุทธศาสตร์การทำงานจะเน้นหนักเรื่อง 3 เร็วคือ “รู้เร็ว แจ้งเร็ว และควบคุมโรคเร็ว” ทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยเอสอาร์อาร์ทีระดับอำเภอ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลการดำเนินงาน ตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะให้มีครบทุกตำบล มั่นใจว่า จะทำให้ระบบการควบคุมป้องกันโรคติดต่อ และภัยสุขภาพอื่นของประเทศไทยในอนาคต จะมีความเข้มแข็ง ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาให้มีอำเภอควบคุมโรคเข้มแข็งแบบยั่งยืน ให้สามารถสกัด จำกัด ขอบเขตของโรค และภัยสุขภาพห รือผลกระทบของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1.มีองค์กรและโครงสร้างที่เข้มแข็ง มีคณะกรรมการควบคุมโรคระดับอำเภอ โดยความร่วมมือของภาครัฐ ท้องถิ่นและประชาชน 2. มีทีมเอสอาร์อาร์ทีอย่างน้อยตำบลละ 1 ทีม และมีระบบข้อมูลเพื่อการเฝ้าระวังโรค สวบสวนโรคและภัยสุขภาพ 3.มีแผนงานควบคุมโรคของอำเภอ ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ 4.มีการระดมทรัพยากร ตั้งกองทุนในท้องถิ่นสนับสนุนงานควบคุมโรค และ 5.มีความสำเร็จในการควบคุมโรค ที่เป็นปัญหาระดับประเทศและโรคในพื้นที่ ไทยรัฐออนไลน์ 13 กย 2554 8812
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / “หมอวิชัย” ฉะ สพศท.เอาของเก่ามาเล่า หวังให้หลุดเก้าอี้บอร์ด สปสช.« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:04:09 »
“หมอวิชัย” โต้กลับ สพศท.จงใจปลดพ้นเก้าอี้ บอร์ด สปสช.แต่นำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แจงพ้นมลทินแล้ว ย้ำชัดทุกตำแหน่งที่ได้มาโปร่งใส ยันทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
จากกรณีที่ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาล โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) และเครือข่ายภาคประชาชนบางกลุ่มได้ยื่นหนังสือต่อนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อขอให้คัดชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ออกจากการเป็นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปช.) โดยให้เหตุผลว่า นพ.วิชัย มีพฤติกรรมเสื่อมเสียตามมาตรา 16(6) ซึ่งว่าด้วยเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน คือ นพ.วิชัย เป็นประธานอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สปสช.ซึ่งมีอำนาจในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ จากองค์การเภสัชกรรม ซึ่ง นพ.วิชัย ดำรงตำแหน่งประธานโปร่งใสนั้น ล่าสุด วันนี้ (13 ก.ย.) นพ.วิชัย กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการหยิบประเด็นเก่ามาเล่าใหม่ ซึ่งหลายๆ ประเด็นตนได้ถูกสอบสวนและลงโทษ และว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว ถือเป็นการล้างมลทินแล้ว ดังนั้น ก็ไม่ได้มีความเสื่อมเสียใด เช่น กรณีเรื่องการเบิกค่าน้ำมันรถของรัฐบาลผิด เป็นต้น ส่วนเรื่องการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในส่วนของ บอร์ด สปสช.โดยการดึงพรรคพวกและตั้งคนในกลุ่มเพื่อเข้าไปบริหารนั้น เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง และตนก็เป็นแค่ผู้สมัคร ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจากภาคประชาชนเท่านั้น ไม่ได้เข้าบนเส้นสายของใคร ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีผู้คัดค้านการดำรงตำแหน่งกรรมการ สปสช.ควบคู่กับประธานกรรมการ อภ.เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะ อภ.เป็นเหมือนผู้ขายยาและเวชภัณฑ์ และ สปสช.เป็นเหมือนผู้ซื้อผลิตภัณฑ์จะอธิบายอย่างไร นพ.วิชัยตอบว่า ในการบริหารตำแหน่งประธานกรรมการ อภ.นั้น ตนจะหมดวาระลงในวันที่ 2 ก.พ.2555 นี้ ส่วนใครจะมาดำรงตำแหน่งใหม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า รมว.สธ.เสนอชื่อ จึงไม่ต้องกังวลว่าตนจะดำรงตำแหน่งอยู่นาน สำหรับความกังวลที่ว่า ตนดำรงตำแหน่งควบทั้งผู้ซื้อและผู้ขายนั้น ขอชี้แจงว่า ไม่มีอะไรที่ต้องมาจับผิด เนื่องจากหน่วยงานทั้งสองเป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องบริการประชาชนโดยยึดประโยชน์สูงสุดอยู่แล้ว นั่นคือ ให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน และ อภ.ในฐานะรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องดำเนินการเพื่อให้อยู่ได้โดยไม่ขาดทุนและจะดีมากหากได้กำไร ซึ่งในการนั่งดำรงตำแหน่งของตนในฐานะประธานคณะกรรมการ อภ.เป็นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูลและนโยบายให้หน่วยงานเท่านั้น ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างก็แล้วแต่กรรมการจะลงความเห็น ซึ่งที่ผ่านมา อภ.ก็เพิ่มยอดขายจาก 5 พันล้าน เป็นหมื่นล้าน โดยในส่วนของการขายยานั้น หากเป็นหน่วยงานของรัฐที่สั่งซื้อก็จะต้องลดราคาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับการดำรงตำแหน่งในบอร์ด สปสช.ที่กลุ่มผู้ต่อต้านมองว่าเผาผลาญงบประมาณไปโดยไม่เหมาะสมนั้น จากหลักฐานะการบริการยาต้านไวรัสเอดส์ ที่สามารถประหยัดงบได้ถึง 1 ล้านบาท และดำเนินการฉีดวัคซีนเด็กภายใต้นโยบายที่เหมาะสมก็สามารถประหยัดงบประมาณได้ราว 200 ล้านบาท จึงขอยืนยันว่าการทำหน้าที่ทั้งสองตำแหน่งโดยความบริสุทธิ์ใจ ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กันยายน 2554 8813
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / 'เอ็นจีโอ'ปิ๋วหลุดบอร์ด'สปสช.'ทั้งยวง« เมื่อ: 13 กันยายน 2011, 21:01:37 »
เลือก 7 ผู้ทรงคุณวุฒินั่งบอร์ด สปสช. สายเอ็นจีโอร่วงระนาว คาดส่งผลต่อแนวทางบริหารงาน ด้าน "สมาพันธ์แพทย์ฯ" จี้ "วิทยา" ปลดหมอวิชัย ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน นั่งเป็นกรรมการหลายบอร์ด
ที่สำนักงานหลักประกันสุข ภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายวิท ยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ใน ฐานะประธานบอร์ดคณะกรรม การ (สปสช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในวันนี้มีวาระการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน โดยมีผู้ได้รับการคัดเลือกคือ 1.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ด้านประกันสุขภาพ 2.นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงศ์ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข 3.นพ.พินิจ หิรัญ โชติ ด้านการแพทย์ทางเลือก 4. นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ด้านการแพทย์แผนไทย 5.นาวาอากาศเอก (พิ เศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ด้านสังคม 6.นายเสงี่ยม บุญ จันทร์ ด้านกฎหมาย และ 7.วรนุช หงสประภาส ด้านการเงิน การคลัง ทั้งนี้จะให้ฝ่ายกฎหมาย ตรวจสอบคุณสมบัติ จากนั้นจะนำเสนอต่อ ครม.ต่อไป แต่คงไม่ทันในสัปดาห์นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมได้มีการเสนอรายชื่อผู้เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งบอร์ด สปสช. ในส่วนตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิประมาณ 20 รายชื่อ เพื่อให้ที่ประชุมลงคะแนน โดยมีรายชื่อกลุ่มแพทย์ และเภสัช นักวิชาการสายเอ็นจีโอ อาทิ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ภญ.สำลี ใจดี และ ดร.จิราภรณ์ ลิ้มปนานนท์ ไม่ได้รับการคัดเลือก นส.บุญยืน ศิริธรรม บอร์ด สปสช. ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร กล่าวว่า จะติดตามการทำงานของบอร์ด ผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่ของ สปสช. ซึ่งเชื่อว่าคงเปลี่ยนแปลงไปตามหน้าตาบอร์ดที่ออกมา เพราะขนาดคนที่มีผลงานวิชาการระดับองค์การอนามัยโลกยังไม่ได้รับการคัดเลือก เพราะฉะนั้นคิดว่าจากนี้เราคงต้องทำงานหนัก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อน หน้าประชุมบอร์ด สปสช. พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไปแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายประชาชน 15 องค์กรผู้เสียหาย/เสียโอกาสรักษา/รับบริการสาธารณสุขที่คุณภาพจากรัฐ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ รมว.สธ. เพื่อ ขอให้คัดเลือกกรรมการ สปสช. ในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน อย่างโปร่งใส และขอให้ปลด นพ.วิชัย โชควัฒน ออกจากตำแหน่งกรรมการ สปสช. ที่คัดเลือกจากกลุ่มตัวแทนผู้สูงอายุ เนื่องจากเห็นว่ามีความไม่เหมาะสม รวมถึงให้ตรวจสอบกรรมการ สปสช.ที่เป็นตัวแทนจากกลุ่มเอ็นจีโอทั้งหมด พญ.ประชุมพรกล่าวว่า อยากให้ รมว.สธ.ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เป็นบอร์ด สปสช. สัด ส่วนเอ็นจีโอที่เป็นการเลือกพวกพ้องกันเอง ไม่ได้เปิดโอกาสให้เอ็น จีโอ 9 ด้าน ที่ปฏิบัติงานจริงและมีผลงานเป็นที่ยอมรับได้เข้าถึงกระบวนการคัดเลือก ถือว่าไม่โปร่งใส โดยเฉพาะ นพ.วิชัย เป็นผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน โดยเป็นประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรมด้วย และในบอร์ด สปสช.ชุดก่อน คือ นพ.วิชัย เป็นประธานคณะอนุกรรมประสานยุทธศาสตร์ ที่มีอำนาจในการตัด สินใจจัดซื้อที่เอื้อประโยชน์ต่อกันได้ จึงไม่แน่ใจว่าที่พยายามเข้ามาเป็นบอร์ดชุดนี้เพราะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่. ไทยโพสต์ 13 กันยายน 2554 8814
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / พิชิตมะเร็ง ด้วยการเอาชนะความกลัว« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:35:35 »
เมื่อพูดถึงมะเร็ง กระแสหลักในปัจจุบันมองมะเร็งว่าเป็น "ตัวร้าย" และ "ศัตรู" และปีศาจที่น่ารังเกียจนี้ต้องถูกกำจัดออกไป และนี่คือจุดมุ่งหมายที่การแพทย์แผนตะวันตกทำ แต่การที่มองมะเร็งเป็นศัตรูนี่เอง ทำให้มะเร็งน่ากลัว และความกลัวนี่เองทำให้ผู้เผชิญกับโรคมะเร็งปิดกั้นหนทางรอดของตัวเอง
ดร.ไมค์ ซุน แพทย์ผู้ให้คำปรึกษาการรักษามะเร็งด้วยแพทย์แผนจีนในหลายสถาบัน ทั้งในจีน ไต้หวัน ฮ่องกง กล่าวว่า "มีคนมากมายเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เป็นการเสียชีวิตเนื่องจากความกลัว เขาคิดว่าการเชื่อมั่นในผู้เชี่ยวชาญก็คือแพทย์ และโรงพยาบาลก็เพียงพอแล้ว ตัวผู้ป่วยเองไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใด อย่างนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด โรคมะเร็งเป็นเรื่องของตัวผู้ป่วยเอง ต้องปล่อยวางความกลัวจึงจะรู้ว่าจะจัดการกับโรคมะเร็งอย่างไร" ดร.ไมค์ ซุน กล่าวอีกว่า "...ให้ท่านลองถามตัวเองว่า เมื่อพูดถึงมะเร็ง ความคิดเกี่ยวกับมะเร็งของเราคืออะไร เพราะความคิดของเรานั้นส่งผลต่อการรักษา หากเราเปรียบมะเร็งเป็นเพื่อน เชื่อว่าทุกคนคงอยากจะอยู่กันอย่างสงบสุข จากประสบการณ์รักษาผู้ป่วยมะเร็ง ผมพบว่าผู้ป่วยจำนวนมากหากมองมะเร็งแบบนี้ เขาจะรู้สึกว่ามะเร็งนั้นไม่น่ากลัว มะเร็งเป็นเพียงโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งเท่านั้น เซลล์มะเร็งนั้นแต่เดิมก็อยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว อาศัยมา 8-10 ปี เราอย่าไปเกลียดมะเร็ง เราต้องรักมัน เราต้องขอบคุณมะเร็งที่มันยอมเป็นถังให้เราทิ้งขยะมา 8 ปี 10 ปี เมื่อผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงความคิด เป็นอย่างนี้ ภูมิคุ้มกันก็เริ่มเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตเริ่มปกติ จิตใจเริ่มสงบ ระบบประสาทเริ่มทำงาน ซึ่งระบบประสาทนั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้ง T-cell lymphocyte และ NK cell เมื่อทั้งหมดกลับมาทำงาน เซลล์มะเร็งก็จะถูกควบคุม แม้อาจควบคุมได้ไม่ดี แต่อาการป่วยเริ่มคงที่ เนื้องอกเริ่มฝ่อเล็กลง ผ่านไป 3 เดือน 6 เดือน หรือ 3 ปี เซลล์มะเร็งเริ่มเปลี่ยนแปลงตายไป ร่างกายก็ยิ่งสงบ แม้ว่าเป็นมะเร็งแต่ร่างกายยังปกติ นี่เป็นมุมมองเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งอย่างหนึ่ง เป็นแนวคิดของแพทย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ" เกี่ยวกับแนวโน้มในการรักษามะเร็งในอนาคตนั้น ตามความเห็นของ ดร.ไมค์ ซุน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลมะเร็งเจิ้นกั๋ว กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า "...ผมทำงานเป็นแพทย์ด้านการรักษามะเร็งโดยแพทย์แผนจีนในหลายประเทศ คิดว่าสำหรับการรักษามะเร็งในอนาคต ความหวังหนึ่งอยู่ที่ ยาสมุนไพรจีน เพราะปัจจุบันแพทย์แผนจีนสามารถผลิตยาจากสมุนไพรจีนที่เจาะจงต่อการรักษาโรคมะเร็ง โดยผ่านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และในคน เป็นยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งเท่านั้น ไม่ทำลายเซลล์ปกติ เพราะเรายึดดังหลักการแพทย์แผนจีนที่กล่าวไว้ว่า ขจัดของเสีย รักษาสิ่งดีไว้ ที่สำคัญมีความปลอดภัย และสามารถใช้ร่วมกับการรักษาแผนตะวันตก ส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยไม่ต่อต้านกัน" ดร.ไมค์ ซุน ยังแสดงความเป็นห่วงว่า ด้วยแนวโน้มในปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งมักมองหาแพทย์ทางเลือกในการรักษามากยิ่งขึ้น แต่ปรากฏว่าหลายคนตัดสินใจใช้ตามคำบอกเล่าต่อๆ กันมา เมื่อได้ยินว่าวิธีใดที่จะช่วยเยียวยาโรคได้ ก็รีบหามาใช้โดยไม่ได้ดูว่าเหมาะกับร่างกายตนเองหรือไม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคลากรทางการรักษามะเร็งทั้งหลายต้องเผชิญปัญหาอยู่ ในส่วนตนเองอยากฝากข้อคิดว่า เมื่อผู้ป่วยมะเร็งตัดสินใจในการรักษา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องพิจารณาหลักการ 3 SEE คือ S มาจาก Safety คือ ความปลอดภัย : ยาได้ผ่านการทดสอบความเป็นพิษแล้วรายงานผลว่าปลอดภัย ปราศจากความเป็นพิษ ส่งผลต่อเป้าหมายของยา คือเซลล์มะเร็งเท่านั้น ไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ E มาจาก Eficacy คือ ประสิทธิภาพ : ไม่เพียงแต่มีประสบการณ์ของผู้ใช้เท่านั้น แต่ต้องผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ดีที่สุด คือ ผ่านการทดลองทางคลินิกในคน เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ E มาจาก Economy คือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องคุ้มค่า เหมาะสม ปัจจุบัน ดร.ไมค์ ซุน ทำงานเป็นแพทย์ด้านมะเร็งในหลายสถาบัน อาทิ โรงพยาบาลมะเร็ง เจิ้นกั๋ว กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, โรงพยาบาลว่านฮว๋า กรุงไทเป ไต้หวัน, ศูนย์วิจัยเพื่อต่อต้านโรคมะเร็ง ฮ่องกง, สมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนรักษามะเร็ง ไต้หวัน, แพทย์ที่ปรึกษา สมาคมการแพทย์บูรณาการและการแพทย์ทางเลือก แห่งฮ่องกง และแพทย์ที่แพทย์ทางเลือก แห่งฮ่องกง และแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งสากล ไต้หวัน ทั้งนี้ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง ประเทศไทย ได้เรียนเชิญ ดร.ไมค์ ซุน มาบรรยายเรื่อง ยาสมุนไพรจีนกับการรักษาโรคมะเร็ง โดยจัดขึ้นที่ห้องออดิทอเรียม อาคารชินวัตร 3 (ชั้น 9) ถ.วิภาวดี-รังสิต ผู้สนใจสามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง โทรศัพท์ 0-2664-0078-9 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.siamca.com เข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น บ้านเมือง 12 กันยายน 2554 8815
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ดูหนังตลกดีต่อหัวใจ« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:33:53 »
นักวิจัยพบว่า การดูหนังที่ทำให้เราหัวเราะดีต่อสุขภาพหัวใจของเรา ในทางกลับกันการดูหนังสยองขวัญหรือหนังสงครามจะเพิ่มความเครียดให้แก่เราแทน
ในการวิจัย อาสาสมัครชมหนังตลกต่อเนื่องกัน เช่นเรื่อง "There Something About Mary" แสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ แล้วในวันถัดมาชมหนังสงคราม "Saving Private Ryan" ดร.ไมเคิล มิลเลอร์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แมริแลนด์ ประเทศสหรัฐ กล่าวว่า เมื่ออาสาสมัครชมหนังที่มีเนื้อหาเครียด หลอดเลือดจะมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ โดยจะทำการบีบตัวทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากมากขึ้น แต่ในทางกลับกันหากชมหนังตลก หลอดเลือดจะคลายตัวแทน เขากล่าวว่า ข้อค้นพบนี้ยืนยันงานศึกษาวิจัยที่เคยมีมาก่อนว่า หากเราอยู่ในภาวะเครียดและกดดัน หลอดเลือดของเราจะบีบตัว โดยรวมแล้วจากการเก็บข้อมูล 300 ครั้งพบว่า ความแตกต่างระหว่างหลอดเลือดในยามที่เราหัวเราะกับยามที่เราเครียด มีขนาดแตกต่างกันถึง 30-50% ดร.มิลเลอร์แนะนำว่า "ข้อสรุปง่ายๆ ก็คือ การหัวเราะดีต่อหัวใจของเรา ระดับความเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เราพบหลังการหัวเราะ อยู่ในระดับเดียวกับการออกกำลังกายแอโรบิกเลยทีเดียว". ไทยโพสต์ 12 กันยายน 2554 8816
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ประธาน สพศท.ยื่นหนังสือ “วิทยา” เรียกร้อง ปลด “หมอวิชัย” พ้นเก้าอี้ สปสช.« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:32:05 »
ประธาน สพศท.-เครือข่ายภาคประชาชน บุกยื่นหนังสือร้อง “วิทยา” ปลด “หมอวิชัย” พ้นตำแหน่งกรรมการ สปสช.เจ้าตัวลั่นพร้อมตั้งกรรมการสอบ
วันนี้ (12 ก.ย.) เวลา 13.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาล โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) ได้ยื่นหนังสือต่อ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อขอให้คัดชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ออกจากการเป็นคณะกรรมการในสัดส่วนตัวแทนจากผู้สูงอายุ ตลอดจนผู้แทนองค์กรเอกชนที่มาจากเครือข่ายภาคประชาชน ขณะที่เครือข่ายต่างๆ เช่น สมาคมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม องค์กรแรงงานรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ชมรมเกษตรกรรักษ์สิ่งแวดล้อม เครือข่ายป้องกันประชาชนด้านสาธารณสุข ชมรมผู้สูงอายุชนบท ฯลฯ ได้รวมตัวกัน เพื่อยื่นหนังสือประท้วงต่อ นายวิทยา ในฐานะประธานคณะกรรมการ สปสช.เพื่อให้พิจารณาคัดชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ออกจากการเช่นกัน โดย พญ.ประชุมพร ประธาน สพศท.กล่าวว่า จะมีการยื่นหนังสือเพื่อขอให้คณะกรรมการปลด นพ.วิชัย โชควิวัฒน จากคณะกรรมการบอร์ด สปสช.ซึ่งในวาระนี้ นพ.วิชัย เป็นตัวแทนในสัดส่วนภาคองค์กรเอกชน (NGO) ในสัดส่วนผู้สูงอายุ เนื่องจากมีพฤติกรรมเสื่อมเสียตาม มาตรา 16(6) ซึ่งว่าด้วยเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน คือ นพ.วิชัย เป็นประธานอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สปสช. ซึ่งมีอำนาจในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ จากองค์การเภสัชกรรม ซึ่ง นพ.วิชัย ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอยู่เช่นกัน อีกทั้ง นพ.วิชัย ยังเคยถูกมติจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีมติว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2553 และทำให้เกิดมาตรฐานในสิทธิการรักษา ทำให้ผู้ป่วยรับสารพิษ ไม่อยู่ในกรอบนโยบาย สปสช.ในขณะเป็นกรรมการ สปสช.ในตำแหน่งคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ พญ.ประชุมพร กล่าวด้วยว่า ทั้ง สพศท.และเครือข่ายฯ อยากให้ นายวิทยา พิจารณาคัดชื่อ นพ.วิชัย ออกจากคณะกรรมการ ซึ่งปรากฏชัดว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน ในการเป็นคณะกรรมการที่ทับซ้อนกัน อยู่ทั้งในส่วนผู้ซื้อคือ สปสช.และผู้ขาย คือ องค์การเภสัชกรรม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ก็ระบุไว้ชัดเจน ว่า บุคคลจะต้องอยู่ใน 2 วาระ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อจากคณะกรรมการในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ มาอยู่ในสัดส่วน NGO ซึ่งในขณะที่ นพ.วิชัย ก็เป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการในส่วน NGO กันเอง นอกจากปลด นพ.วิชัย ออกจากคณะกรรมการ อยากให้ นายวิทยา ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความโปร่งใสของที่มากลุ่มที่ 4 คือ NGO และกลุ่ม 6 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจาก พบว่า มีการคัดเลือกโดยให้ผู้ที่เคยอยู่ในคณะกรรมการแล้วมาดำรงตำแหน่งใหม่ โดยสลับกลุ่ม เช่น นางบุญยืน ศิริธรรม เคยเป็นกรรมการในฐานะองค์กรเอกชนด้านสตรี แต่ภายหลังพบว่า มีการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านการเกษตร ทำให้เกิดความสับสน ประธาน สพศท.กล่าวด้วยว่า ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ ยังมีประเด็นเร่งด่วนที่อยากให้ นายวิทยา ในฐานะประธานบอร์ด สปสช.เร่งแก้ปัญหา คือ เรื่องการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงใน 585 แห่ง จาก 821 แห่ง และยังพบว่ามีการค้างชำระกับโรงพยาบาลแพทย์ 9 แห่งในปี 2553 จำนวน 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการตรวจสอบโดยคณะอนุกรรมาธิการในคณะกรรมการธิการสาธารณสุขวุฒิสภาในปีงบ 2553 พบว่า ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง สปสช.มีเงินค้างท่อ ปี 2551 จำนวน 11,570 ล้านบาท ปี 2552 จำนวน 12,323 ล้านบาท และ ปี 2553 จำนวน 15,703 ล้านบาท โดยเงินค้างท่อดังกล่าว ปี 2554 จ่ายไป 7,754 ล้านบาท รวมแล้วมีเงินค้างท่อคงเหลือ 34,821 ล้านบาท โดย สปสช.อ้างว่า มีหนี้สินรอจ่ายทุกปี น.ส.ศรีวรินทร์ บุญทับ ประธานสมาคมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการที่กลุ่มตัวแทนภาคเอกชน รวมทั้ง นพ.วิชัย เป็นคณะกรรมการอยู่ ไม่มีการแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขในฐานะคณะกรรมการ นอกจากเข้ามานั่งในตำแหน่ง เพื่อล้างผลาญงบประมาณของรัฐเท่านั้น อีกทั้งยังมีกระแสข่าวออกมาว่า ไม่มีความโปร่งใสในการคัดเลือกคณะกรรมการ จึงอยากให้รัฐมนตรีพิจารณาตามคำเรียกร้องที่เครือข่ายได้ยื่น ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับกรณีการร้องเรียนดังกล่าว ตนเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งจะนำเรื่องที่มีการร้องเรียนทั้งหมดภายในกระทรวง รวมถึงเรื่องนี้ ซึ่งมีนายธวัชชัย สุทธิบงกช เลขานุการรัฐมนตรี สธ.เป็นประธานกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ พร้อมทั้งจะแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองทางกฎหมาย ซึ่งมี นายสุพจน์ ฤชุพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน โดยมอบให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.รับไปดำเนินการต่อแล้ว และตนจะลงนามแต่งตั้งภายหลังจากการแต่งตั้งคณะเลขานุการและที่ปรึกษาในวันที่ 13 ก.ย.เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนการร้องเรียนนั้นจะมีการตรวจสอบรายละเอียดตามที่มีการร้องเรียนมาโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วที่สุด รมว.สธ.สำหรับสัดส่วนของคณะกรรมการที่แต่งตั้งคณะกรรมการที่มีการลงคะแนนเลือกนั้น ประกอบด้วย ด้านการประกันสุขภาพ คือ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ด้านการแพทย์แผนไทย นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ด้านการแพทย์ทางเลือก นพ.พินิจ หิรัญโชติ ด้านการเงินการคลัง นางวรนุช หงสประภาส ด้านกฎหมาย นายเสงี่ยม บุญจันทร์ และ ด้านสังคม นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ทั้งนี้ จะมีการส่งรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดให้กลุ่มงานด้านกฎหมายของกระทรวงตรวจสอบความถูกต้อง คุณสมบัติต่างๆ อีกครั้งก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า อนึ่ง สำหรับสัดส่วนของคณะกรรมการบริหารหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) มีทั้งหมด 30 คน ประกอบด้วย 1.รัฐมนตรี สธ. 2.ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัด สธ. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ 3.ผู้แทนเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นอย่างละ 1 คน 4.ตัวแทนสภาวิชาชีพ 5 คน ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 5.ตัวแทนกลุ่มเอ็นจีโอ โดยการคัดเลือกกันเองในแต่ละกลุ่มให้เหลือกลุ่มละ 1 คน จากนั้นคัดเลือกให้เหลือ 5 คน และ 6.ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ซึ่งเป็นกรรมการที่ต้องแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554 8817
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / “ขอนแก่นโมเดล” ผ่าวิกฤตต้อกระจกติดเชื้อ« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:25:27 »
“ขอนแก่นโมเดล” ที่หนึ่ง รางวัลวิชาการ สธ.ยอดเยี่ยมปี'53 หลังเจอวิกฤตผ่าต้อกระจกติดเชื้อ ปี’ 52 คนไข้ไม่ฟ้อง เหตุ รพ.รับผิดชอบ ทั้งค่าตอบแทน-รักษาฟรีตลอดชีวิต ด้านรางวัลดีเด่นเรื่อง “ไข้หวัดใหญ่ 2009” เผย เฝ้าระวัง 7 วันไม่พอ ต้องเพิ่มเป็น 14 วัน เหตุบางรายมีเชื้อติดค้างในคอ
นายวิทยา บุรณสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2554 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2554 โดยมีการมอบรางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยมประจำปี 2553 ทั้งหมด 5 รางวัล รางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยม 1 รางวัล ได้แก่ เรื่อง “ผ่าวิกฤติตาติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก รพ.ขอนแก่น” รางวัลวิชาการดีเด่น 3 รางวัล ได้แก่ 1.เรื่องปริมาณไวรัสและระยะเวลาในการขับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอ เอช1เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 2.เรื่องการพัฒนาการผลิตกุ้งจ่อม อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ 3.เรื่องการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยขึ้น-ลงรถเข็นคนพิการ นางพิมพ์วรา อัครเธียรสิน หัวหน้าพัฒนาคุณภาพและบริหารความเสี่ยงรพ.ขอนแก่น ผลงาน ผ่าวิกฤติตาติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก รพ.ขอนแก่น กล่าวว่า จากวิกฤตเมื่อปี 2552 ที่คนไข้ของ รพ.ติดเชื้อหลังผ่าตัดต่อกระจกที่ รพ.ขอนแก่น จำนวน 11 ราย ทางรพ.จึงได้เข้าเยียวยาคนไข้เหล่านี้ โดยในจำนวนนี้สูญเสียการมองเห็นถาวร 7 ราย สายตาเลือนลาง 3 ราย และช่วยให้มองเห็นได้ทัน 1 ราย ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษากระบวนการเยียวยา นางพิมพ์วรา กล่าวอีกว่า กระบวนการเยียวยานั้น ประกอบด้วย ทีมงาน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ทีมรักษา ซึ่งนายแพทย์ท่านเดิมที่รักษาจะทำการเยียวยารักษาคนไข้พร้อมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 2.ทีมสอบสวน จะมีหน้าที่สอบสวนหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุและทำการป้องกันการติดเชื้อ พร้อมปรับปรุงการผ่าตัดและการใช้อุปกรณ์ 3.ทีมเจรจา มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยระหว่างคนไข้-ญาติ และผู้บริหารของ รพ.โดยทางผู้บริหารและผู้อำนวยการได้ขอโทษต่อเหตุการที่เกิดขึ้น 4.ทีมประสาน ทำหน้าที่จัดการประสานงานต่างๆ ระหว่างคนไข้ โรงพยาบาล รวมไปถึงสื่อมวลชน “ทาง รพ.ได้ทำการขอโทษด้วยความจริงใจ พร้อมทั้งรับผิดชอบทั้งด้านค่าใช้จ่าย การออกบัตรวีไอพีที่สามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกโรคตลอดชีวิตให้กับผู้เสียหาย ซึ่งผลของการทำงานเป็นที่น่าพอใจเพราะไม่มีผู้เสียหายรายไหนฟ้องร้อง รพ.จนปัจจุบันมีหลาย รพ.ขอเข้าศึกษา จนมีการเรียกกระบวนการเยียวยานี้ ว่า ขอนแก่นโมเดล” ด้านนพ.วิชัย ขัตติยวิทยากุล สนง.สาธารณสุข จ.นครราชสีมา ผลงานเรื่องปริมาณไวรัสและระยะเวลาในการขับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า ปกติผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อทานยาแล้ว ไข้จะลงภายใน 24 ชม.โดยจะเฝ้าระวังใน 7 วัน แล้วให้คนไข้กลับบ้าน แต่จากการศึกษาพบว่า มีคนไข้บางรายยังมีเชื้อค้างอยู่ในลำคอ ซึ่งจะต้องเพิ่มระยะเวลาในการเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นเป็น 14 วัน ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554 8818
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / คลังทุ่ม2.5หมื่นล้าน/ปี ขึ้นเงินเดือนขรก.1เม.ย.55 ลุยกองทุนหมู่บ้าน7หมื่นล.« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:53:18 »
คลังดีเดย์ 1 เม.ย.55 ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบใช้งบ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี “วิรุฬ” เผยปรับทุกวุฒิการศึกษาให้เท่าเทียมกันทุกคน ส่วนรากหญ้าไม่น้อยหน้า “ธีระชัย” สั่งออมสิน - ธ.ก.ส.อัดฉีดอีก 7 หมื่นล้านบาทเข้ากองทุนหมู่บ้านพร้อมประสานงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนต่อไป
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยืนยันจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในสัปดาห์หน้าเพื่อปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย และทหารกองประจำการ โดยในระยะสั้นจะจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พ.ช.ค.) ก่อน โดยจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 สำหรับการปรับโครงสร้างฐานเงินเดือนทั้งระบบมอบหมายให้กรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาดำเนินการต่อไป โดยในวันที่ 1เมษายน 2555 จะสามารถดำเนินการครอบคลุมได้ทั้งระบบ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) โดยมีข้อสรุปว่าการปรับขึ้นเงินเดือนจะมีประโยชน์ต่อข้าราชการมากกว่าการเพิ่มค่าครองชีพแต่ปัญหาในการดำเนินการในแนวทางปรับขึ้นเงินเดือนนั้นจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) เงินเดือนข้าราชการพลเรือน ซึ่งต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ดังนั้นจึงอาจจะล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ได้ แนวทางที่จะหาทางออกได้ดีที่สุดที่ทั้งกรมบัญชีกลางและก.พ,เห็นตรงกัน คือ การดำเนินการสองแนวทางควบคู่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป กรมบัญชีกลางจะจัดสรรเงินเพิ่มค่าครองชีพให้แก่ ข้าราชการวุฒิปริญญาตรี ให้มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท และข้าราชการวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีให้มีรายได้ 9,000 บาทต่อเดือนไปก่อน ซึ่งจะใช้งบประมาณในปีงบประมาณรายจ่าย 2555 ประมาณ 24,533 ล้านบาทตามเดิม ขณะเดียวกัน สำนักงานก.พ. ก็จะทำเรื่องเสนอรัฐบาลแก้ไขกฎหมายปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ โดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งคาดว่าอาจจะใช้เวลาพอสมควร โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ซึ่งเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ การจ่ายเงินค่าครองชีพก็จะทยอยลดลง และกลับมาเป็นการจ่ายเงินเดือนแทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้าราชการจะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ตามที่ ก.พ.ได้นำเสนอในที่ประชุมเรื่องการปรับฐานเงินเดือนนั้น จะไม่ใช่การปรับเงินเดือนขึ้นในคราวเดียวเป็น 15,000 บาท แต่จะเป็นการทยอยปรับฐานเงินเดือนจาก 9,140 บาท เป็น 12,000 บาทในปี 2555 และ 13,000 บาทในปี 2556 และ 14,000 บาท ในปี 2557 และ 15,000 บาทในปี 2558 ซึ่งในระหว่างที่การปรับฐานเงินเดือนยังทำให้รายได้ของข้าราชการไม่ถึง 15,000 บาทนั้นจะใช้การจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพร่วมไปก่อนเพื่อให้มีรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งในแง่งบประมาณ ถือว่าใช้เงินที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแง่ของภาพรวมของระบบจะมีความยุติธรรมต่อผู้ที่เข้ามาก่อน และจะมีการทยอยปรับเงินเดือนของวุฒิปริญญาโท และเอกตามไปด้วย นายวิรุฬกล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ 1. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปที่มีอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง เดือนละ 15,000 บาท ให้รับ พ.ช.ค. เพิ่มอีก เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับ 15,000 บาท 2. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ที่มีอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง เดือนละ 9,000 บาท ให้รับ พ.ช.ค. เพิ่มอีก เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับ 9,000 บาท 3. ทหารกองประจำการซึ่ง เดิม เงินเดือนในระดับ พ.1 รวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม และ พ.ช.ค. อัตราขั้นต่ำเดือนละ 8,610 บาท ให้เพิ่มเป็น 9,000 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป จากนโยบายดังกล่าวมีบุคลากรภาครัฐได้ประโยชน์เป็นจำนวนทั้งสิ้น 649,323 คน คิดเป็นเงินงบประมาณปี 2555 จำนวน 18,396 ล้านบาท และใช้เงินต่อปีเป็นเงิน 24,533 ล้านบาท ***รากหญ้าไม่น้อยหน้าอัดฉีด 7 หมื่นล. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินกองทุนหมู่บ้านเพิ่มแห่งละ 1 ล้านบาท ทั้ง 7 หมื่นหมู่บ้าน รวมเป็นเงิน 7 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเบื้องต้นให้ใช้เงินทุนของธนาคารจ่ายไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีงบประมาณ แต่ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กองทุนหมู่บ้านนั้น ให้ทั้ง 2 ธนาคารจัดทำกระบวนการจ่ายเงิน โดยให้กองทุนหมู่บ้านต้องมีระบบการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือชุมชนในหมู่บ้านตามหลักการพี่ช่วยน้อง รัฐบาลที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการหนี้นอกระบบไว้แล้ว โดยได้เปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบถึง 1.1 ล้านราย รวมเป็นมูลหนี้ 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้มีประชาชนถอนตัวยออกไปบ้าง 4.6 แสนราย ส่วนที่เหลือเข้าร่วมโครงการ 5.8 แสนราย รวมมูลหนี้ 6.7 หมื่นล้านาท ซึ่งธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเข้าไปแก้ไขและปล่อยสินเชื่อแล้วรวมเป็นเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงเห็นว่าการให้เงิน 1 ล้านบาทแก่กองทุนหมู่บ้านไปดำเนินโครงการดังกล่าวต่อนั้น น่าจะเพียงพอ “โดยหลักการแล้ว จะใช้ลักษณะของพี่ช่วยน้อง เพื่อให้คนในชุมชนนั้นชักจูงประชาชนที่เป็นหนี้ให้เข้ามาสู่การเป็นหนี้ในระบบ มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งนี้จะให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งดังกล่าวจัดตั้งเคาน์เตอร์รับเรื่องเฉพาะหนี้นอกระบบขึ้นมา โดยประสานงานต่อไปยังสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน (สพช.) หรือสำนักปากท้อง ของกระทรวงการคลังให้พิจารณาอนุมัติ” นายธีระชัยกล่าว. ASTVผู้จัดการรายวัน 9 กันยายน 2554 8819
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ผุดไอเดียเจ๋งแก้ปัญหามูลฝอยอันตรายเปิดจุดรับขยะแลกยาสามัญประจำบ้าน« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:47:00 »
แพทย์หญิงมาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครจัด “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” โดยสำนักการแพทย์ ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม และบริษัทสยามฟาร์มาซูติคอล จำกัด จัดกิจกรรมรณรงค์คัดแยกขยะอันตรายมุ่งเน้นให้ประชาชนทั่วไป ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร มีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะอันตรายจากมูลฝอยทั่วไปซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บขยะอันตรายเป็นไปอย่างถูกต้องและนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในการจัดเก็บขยะในกรุงเทพมหานครจะแยกเป็น 3 ประเภท คือ 1.ขยะทั่วไป สำนักสิ่งแวดล้อมจัดการด้วยวิธีฝังกลบ รีไชเคิล หรือเปลี่ยนเป็นพลังงาน 2.ขยะติดเชื้อ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด จัดการโดยวิธีเผาด้วยเตาเผาแรงดันสูง และ 3.ขยะอันตราย หรือ มูลฝอยอันตราย (Hazardous waste) ซึ่งจากรายงานการจัดเก็บปัจจุบันพบว่าจัดเก็บได้เพียง 0.60 ตัน/วัน ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณมูลฝอยอันตรายที่คาดการณ์เฉลี่ย 24 ตัน/วัน เนื่องจากประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจและแรงจูงใจในการคัดแยก โดยมูลฝอยอันตราย อาทิ แบตเตอร์รี่ ถ่านไฟฉาย ไส้ปากกา กระดาษคาร์บอน กระป๋องสารเคมีกำจัดแมลงหรือยุง กระป๋องสเปรย์ กระป๋องสีทาบ้าน ขวดยาหมดอายุ หลอดไฟ หมึกพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทจะมีสารพิษที่ทำลายสุขภาพ เช่น สารหนู(ก่อมะเร็ง), แคดเมียม(พิษต่อระบบหายใจ), ตะกั่ว(พิษต่อระบบย่อยอาหารและระบบหายใจ ระยะยาวมีผลต่อสมองและระบบประสาท), ปรอท(พิษต่อระบบประสาททำให้พิการ) และแมงกานีส(ประสาทหลอนสมองอักเสบ) จึงจำเป็นต้องกำจัดอย่างถูกวิธี จึงเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น สำหรับกิจกรรมนอกจากรณรงค์ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในวิธีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีแล้วจะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมกันการคัดขยะอันตรายจากมูลฝอยทั่วไปโดยให้นำขยะอันตรายไปแลกยาสามัญประจำบ้านได้ที่โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลตากสิน, โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ, โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์, โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร, โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลสิรินธร ซึ่งอาจประสานเพิ่มจุดรับแลกที่วชิรพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทุกพื้นที่ โดยกทม.จะเปิดรับแลกมูลฝอยอันตราย ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน — 31 ธันวาคม 2554 โดยตั้งจุดรับแลกเฉพาะมีถังขยะสำหรับบรรจุขยะอันตรายที่ประชาชนนำไปแลกเพื่อขนย้ายไปทำลายอย่างถูกวิธีต่อไป แนวหน้า 9 กันยายน 2554 8820
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / น้ำท่วม รพ.อินทร์บุรีใช้รถอีแต๋นรับส่งคนไข้« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:42:31 »
ที่โรงพยาบาลอินทร์บุรีจังหวัดสิงห์บุรีน้ำเจ้าพระยาไหลเอ่อท่วมทางเข้า ออกของรพ.อินทร์บุรีมีระดับสูง 1 เมตร เจ้าหน้าที่จึงเร่งการสร้างสะพานเหล็กยาวประมาณ 700 เมตรจากรพ.ถึงถนนสายสิงห์บุรี ชัยนาทเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล พร้อมตั้งศูนย์บริการชั่วคราวให้กับประชาชนและนำรถอีนแต๋นรับส่ง และแจ้งเตือนประชาชน ผู้เข้ารับรับการรักษาติดตามสถานการณ์อย่างใก้ลชิดในระยะ2- 3 วันนี้
รพ.อินทร์บุรีจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ช่วยน้ำท่วม พญ.วนิดา สาดตระกูลวัฒนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เปิดเผยว่า ภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สำหรับโรงพยาบาลอินทร์บุรีแล้ว ประสบปัญหาบริเวณรอบนอกของโรงพยาบาล เท่านั้น เนื่องจากที่ตั้งของโรงพยาบาลอินทร์บุรีมีสันเขื่อนล้อมรอบ จึงไม่ทำให้ไม่มีน้ำเข้าท่วมขังบริเวณภายในโรงพยาบาล ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงให้ความสำคัญต่อการที่จะดูแลประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม จึงได้จัดทีมแพทย์เคลื่อน ออกหน่วยบริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนที่จะได้รับบริการทางการแพทย์ ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ สำหรับผู้ป่วยเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิด หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองเองได้และผู้สูงอายุในช่วงที่น้ำท่วมขังอาจต้องเป็นภาระให้กับบุคคลในครอบครัวมากขึ้น ก็ได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยบางส่วนไว้สำหรับรองรับ เนชั่นทันข่าว 9 กย. 2554 |