แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 588 589 [590] 591 592 ... 650
8836
ม.มหิดล เตรียมเปิดตัว “หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท” เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย อันมีคุณค่า ทั้งยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในหมู่ชาวมหิดล คนรุ่นใหม่ และบุคคลทั่วไป เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 1 ก.ย.นี้
       
       รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี รองอธิการบดีฝ่ายระบบกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล (ม.มหิดล) กล่าวว่า “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” มีการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนงานด้านจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นศูนย์กลางการประสานข้อมูลระหว่างเครือข่ายและสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัย อันมีคุณค่า ทั้งยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในหมู่ชาวมหิดล คนรุ่นใหม่ และบุคคลทั่วไป โดยสถานที่หลักในการดำเนินกิจกรรม คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จฯ เปิดอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2554 นี้
       
       “วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง “หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล” อันเนื่องมาจากประวัติอันยาวนานกว่า 120 ปี ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลเต็มเปี่ยมไปด้วยเกียรติประวัติและความทรงจำอันทรงคุณค่า ซึ่งปรากฏในรูปของเอกสาร ภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ และสิ่งของจากการปฏิบัติงาน ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว มหาวิทยาลัยมหิดล จึงจัดตั้ง “หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหิดล” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมด็จพระบรมราชชนก และเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติพัฒนาการของมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นแหล่งอ้างอิงและศึกษาค้นคว้าด้านแผนที่ แผนผังอาคาร และพัฒนาการด้านกายภาพของมหาวิทยาลัย”
       
       สำหรับแนวคิดหลักในการออกแบบ ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดล และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท มีแนวคิดหลักในการออกแบบร่วมกัน คือ “ฟ้า - รุ้ง - ดิน - ธาตุ” เพื่อสื่อความหมายของห้องต่างๆ และสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราว
       
       หอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 7 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่ 1ปัญญาของแผ่นดิน นำเสนอการเป็นต้นแบบปัญญาของแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชชนก โดยสะท้อนจากพระราชดำรัสของพระองค์ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อมนุษยชาติ
       
       พื้นที่ 2 เจ้าฟ้าของแผ่นดิน แสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระบรมราชชนกโดยสังเขป ตั้งแต่ประสูติจนถึงสิ้นพระชนม์ รวมทั้งแสดงบริบททางสังคมไทยและสังคมโลกในช่วงพ.ศ. 2435-2472ทั้งการรับความเจริญจากตะวันตก ยุคล่าอาณานิคม และแนวคิดมนุษยนิยม ซึ่งส่งผลต่อ “ตัวตน” ของพระองค์
       
       พื้นที่ 3 เจ้าฟ้านักเดินทางแสดงการเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศของสมเด็จพระบรมราชชนก ทำให้ทอดพระเนตรเห็นสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของผู้คน และทรงถ่ายทอดพระประสบการณ์ของพระองค์ผ่านงานศิลปะ รวมทั้งพระราโชวาทที่พระราชทานแก่นักเรียนไทย
       
       พื้นที่ 4 ประทีปแห่งปัญญาแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการศึกษาที่ทรงมุ่งมั่นในการสร้างคน ทรงสนับสนุนด้านการเรียนการสอนและพระราชทานทุนการศึกษา
       
       พื้นที่ 5 รักษ์คนไข้ด้วยความรักแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งการรักษาคนไข้แบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทรงมุ่งเน้นการรักษาด้านจิตใจควบคู่ไปกับร่างกาย อีกทั้งการที่มิได้ถือพระองค์ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชน
       
       พื้นที่ 6 กันภัยมหิดลแสดงผลจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนกที่ทรงสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคมไทยในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา และวิทยาการต่างๆ
       
       พื้นที่ 7 หยั่งรากในแผ่นดินแสดงการสืบสานงานที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงริเริ่มไว้
       
       ส่วน หอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล แบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 3พื้นที่
       พื้นที่ 1“มหิดลวันนี้” แสดงภาพปัจจุบันของมหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศทั้งการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการ รวมทั้งคุณภาพชีวิตของนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรทุกส่วนงาน
       
       พื้นที่ 2 เมื่อแรกสถาปนาในชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” แสดงประวัติความเป็นมาและพัฒนาการในยุคแรกของมหาวิทยาลัย นับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ การขยายขอบเขตการเรียนการสอน ชีวิตนักศึกษาและการเรียนการสอนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งจุดตั้งต้นของมหาวิทยาลัย ที่สืบเนื่องมาจากการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช
       
       พื้นที่ 3 “มหิดล” มุ่งสู่ความเป็นเลิศแสดงพัฒนาการของมหาวิทยาลัยที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ตั้งแต่การขอพระราชทานนาม “มหิดล” เป็นชื่อมหาวิทยาลัย การจัดหาที่ดินและสร้างวิทยาเขตศาลายา และบทบาททางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 และ6 ต.ค. 2519 รวมถึงการพัฒนาด้านวิชาการซึ่งมุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” พร้อมทั้งแสดงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน และวิสัยทัศน์ในอนาคตของมหาวิทยาลัย
       
       ปิดท้ายที่ ห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทแบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น 5พื้นที่
       พื้นที่ 1 พัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งแสดงภาพรวมของการขยายตัวทางกายภาพที่ไม่หยุดนิ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตต่างๆ พื้นที่ 2 สองวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตบางกอกน้อย และวิทยาเขตพญาไท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
       
       พื้นที่ 3 “วิทยาเขตศาลายา” ศูนย์รวมประชาคมมหิดล แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตศาลายา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสถาบันและเป็นศูนย์รวมของชาวมหิดลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
       
       พื้นที่ 4 มุ่งขยายการศึกษาสู่ภูมิภาคแสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของวิทยาเขตในส่วนภูมิภาค 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรี วิทยาเขตนครสวรรค์ และวิทยาเขตอำนาจเจริญ
       
       พื้นที่ 5 ความสัมพันธ์ของวิทยาเขตต่างๆ กับสภาพแวดล้อมและชุมชนโดยรอบแสดงความสัมพันธ์ทางกายภาพระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลกับชุมชนโดยรอบ ทั้งการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านกายภาพที่มีต่อพื้นที่โดยรอบของวิทยาเขตต่างๆ
       
       สำหรับแนวคิด เรื่อง “ฟ้า” สื่อถึง “เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช” หอเกียรติยศและประวัติมหาวิทยาลัยมหิดลว่า ใช้แนวคิดเรื่อง “รุ้ง” ซึ่งมี 7 สีสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรในมหาวิทยาลัย “รุ้ง 7 สีประกอบด้วยที่ประกอบด้วย 7 ตัวอักษร ( M-A-H-I-D-O-L) และ “ดิน” สื่อถึงเกียรติประวัติของสถาบันที่สั่งสมมาและเป็นแหล่งกำเนิดพืชพันธุ์ซึ่งก็คือคนรุ่นใหม่ และห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บทใช้แนวคิดเรื่อง “ธาตุ” สื่อถึงองค์ประกอบหลักที่จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็คือหลักฐานของความเป็นมาในการเกิดขึ้นทางกายเตรียมพบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1ก.ย.นี้ ได้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2554

8837
 เอเอฟพี/เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - สื่อทางการจีนรายงาน (26 ส.ค.) ว่า เกิดเหตุผู้ป่วยเสียชีวิตคาห้องผ่าตัด เนื่องจากแพทย์และนางพยาบาลได้วิ่งออกจากห้อง เพื่อหนีเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้
       
       สำนักข่าวซินหวา รายงานว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 ส.ค.) แพทย์โรงพยาบาลในเขตเป่าซาน นครเซี่ยงไฮ้ ได้ฉีดยาสลบให้ผู้ป่วยชาวเซี่ยงไฮ้ แซ่จู วัย 49 ปี ซึ่งประสบอุบัติเหตุรถยนต์ เพื่อทำการผ่าตัดขา แต่เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ข้างๆ ห้องผ่าตัด บรรดาแพทย์และนางพยาบาลจึงวิ่งหนีออกไป ทิ้งให้คนไข้นอนไร้สติอยู่คนเดียว
       
       โฆษกโรงพยาบาลดังกล่าว เผยว่า “ก่อนเข้ารับการผ่าตัด คนไข้ชาวเซี่ยงไฮ้ดังกล่าวอยู่ในสภาพร่อแร่ เนื่องจากเสียเลือดไปเยอะ และก่อนเกิดไฟไหม้ 2 ชั่วโมง เขาได้รับการถ่ายเลือดและมีอาการคงที่ขึ้นแล้ว สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตยังอยู่ระหว่างการสืบสวน”
       
       พร้อมกล่าวว่า “คนไข้ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในบางช่วงเวลา แต่แพทย์และนางพยาบาลไม่ได้หนีเพื่อเอาตัวรอด เราเข้าใจว่า พนักงานของโรงพยาบาลได้พยายามไปดับไฟ และมีการเรียกร้องความช่วยเหลือกัน”
       
       ญาติของผู้ป่วยซึ่งรออยู่นอกห้องผ่าตัด เห็นวิสัญญีแพทย์ แพทย์ และพยาบาล รวมทั้งสิ้น 6 คน วิ่งหนีออกมาและทิ้งผู้ป่วยไว้บนเตียงผ่าตัดคนเดียว
       
       สำนักข่าวซินหวา อ้างคำกล่าวของผู้เห็นเหตุการณ์ว่า “เราเห็นควันโขมงออกมาจากหน้าต่างห้องผ่าตัด จากนั้นบรรดาแพทย์และนางพยาบาล ได้รีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเราถามถึงผู้ป่วย พวกเขาก็บอกว่ายังอยู่ข้างในห้อง”
       
       ญาติคนหนึ่งของผู้ป่วยเคราะห์ร้ายดังกล่าว ได้เผยว่า “ต่อมาผมเห็นร่างของนายจู นอนอยู่บนพื้นห้องผ่าตัด แต่ไม่เห็นรอยไหม้ใดๆ”
       
       ชายแซ่จิน เผยว่า “เพลิงไหม้ไม่ได้ลามไปยังห้องผ่าตัดของผู้ป่วย เห็นได้ชัดว่า เขาสำลักควันจนเสียชีวิต”
       
       ฟัง หยง ประธานโรงพยาบาลดังกล่าวได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวซินหวา ว่า “เรายอมรับว่า แพทย์และพยาบาลของเราตัดสินใจผิดพลาด และไม่มีความเป็นมืออาชีพในการช่วยเหลือปฐมพยาบาลในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องรับผิดชอบที่ปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิต”
       
       ฟัง กล่าวเสริมว่า “แม้ผู้ป่วยแซ่จูจะใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ แต่แพทย์กลับไม่คิดว่าควันไฟอาจทำให้ผู้ป่วยหายใจไม่ออกได้”
       
       ฟัง และโฆษกโรงพยาบาล เผยว่า “เหตุเพลิงไหม้อาจเกิดจากเครื่องโอโซนฆ่าเชื้อโรคข้างห้องผ่าตัดไหม้”
       
       บรรดานางพยาบาลได้พยายามดับไฟ แต่เปลวเพลิงลุกไหม้และลามอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ควันหนาทึบก็ได้ปกคลุมห้องผ่าตัดดังกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2554

8838
ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องการการรักษา และการบริการที่สะดวกรวดเร็วควบคู่กันไป  แต่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถแบกภาระค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาและการบริการในโรงพยาบาลรัฐได้  โดยเฉพาะ รพ.ศิริราช ที่นับวันสัดส่วนงบประมาณที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับจากภาครัฐ การบริจาค และรายได้จาก รพ.ศิริราช ไม่เพียงพอที่จะแบกรับภารกิจต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ คณะแพทยศาสตร์ฯ จึงมีแนวคิดที่จะเปิด รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อให้การรักษาและการบริการที่ควบคู่กันไป โดย ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ฯ เผยว่า ในปัจจุบัน รพ.ศิริราชต้องดูแลผู้ป่วยปีละ 2.8 ล้านราย เป็นผู้ป่วยใน 80,000 ราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยินดีจ่ายเพิ่มแต่ไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากศิริราช
   
“คณะแพทยศาสตร์ฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ขึ้น โดยจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐแห่งแรกที่มีรูปแบบการบริหารและบริการที่มีประสิทธิภาพแบบเอกชน โดยมีจุดต่างที่การยึดหลักคืนรายได้จากการดำเนินงานกลับสู่คณะแพทยศาสตร์ฯ อย่างต่อเนื่อง จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนา 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริการผู้ป่วยโดยรวม,
การศึกษาของแพทย์, การวิจัย และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งการพัฒนาทั้ง  4 ด้านจะนำมาซึ่งประโยชน์และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยรวมตามปรัชญาความเป็นโรงพยาบาลเพื่อแผ่นดิน และพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ระดับสากลดังนั้นผู้ป่วยที่ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเข้ารับบริการในรพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์นอกจากเป็น “ผู้รับ” คือได้รับบริการที่เป็นเลิศตามมาตรฐานทางการแพทย์แล้ว ยังมีโอกาสเป็น “ผู้ให้” ด้วย”
     
ศ.คลินิกนพ.ธีรวัฒน์ กล่าวเน้นว่า มาตรฐานการรักษาพยาบาลของ รพ.ศิริราช ปิยมหาการุณย์ คือมาตรฐานเดียวกับรพ.ศิริราช ทั้งด้านบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยทั้งสองโรงพยาบาลมีการคัดกรองบุคลากรทางการแพทย์ด้วยมาตรฐานเดียวกันคือ ดี เก่ง และมีความสุขในการทำงาน ด้านเครื่องมือทางการแพทย์มีความก้าวหน้าและทันสมัยในระดับมาตรฐานโลกเหมือนกัน และยังสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างสองโรงพยาบาลได้ด้วย ส่วนรูปแบบการบริหารและบริการที่มีอิสระ คล่องตัว จะทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วเช่นเดียวกับโรงพยาบาลเอกชน ในอัตราค่าบริการที่สมเหตุสมผล และยังมั่นใจได้ในความเป็นเลิศทางการแพทย์มาตรฐานเดียวกับ รพ.ศิริราช มีกำหนดเปิดบริการต้นปี 2555.

เดลินิวส์ 24 สิงหาคม 2554

8839
เว็บไซต์ไทยอีนิวส์ได้เผยแพร่ หนังสือขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการอำนวยการของหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทย ที่มี นพ.วิชัย โชควิวัฒน ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม อาจารย์ประจำสำนักวิชาศิลปศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปดังต่อไปนี้

ผมรู้สึกกังวลใจมากและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อบทบาททางการเมืองที่ไม่เป็นกลางของ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ในกรณีการสอบสวนหนังสือพิมพ์ในเครือมติชนอย่างน่าสงสัยว่าจะมีอคติ ไม่เป็นธรรมและน่าสงสัยว่าอาจจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มคณะที่ต้องการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม

ดังนั้นเนื่องจาก นพ.วิชัย เป็นกรรมการของสถาบันพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทยที่บังเอิญผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอยู่ด้วย ผมจึงคิดว่า ตัวเองควรแสดงออกทางการเมืองของตนต่อบทบาทดังกล่าวของ นพ.วิชัย รวมถึงคนอื่นๆ ที่ผมไม่ใคร่ขอเอ่ยนามถึง ด้วยการขอลาออกจากการเป็นกรรมการที่ตัวเองเป็นอยู่ เพื่อคัดค้านต่อการกระทำดังกล่าวตามอัตภาพที่ผมสามารถทำได้ และเพื่อลดความรู้สึกอับอายตัวเองที่ต้องทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ ที่คิดว่าตนเองมีคุณธรรมวิเศษสูงส่งกว่าผู้อื่นๆ สามารถใช้ตนเองตัดสินผู้อื่นได้ตลอดเวลา เพราะคิดว่าผู้ที่เป็นแพทย์คือเทวดาที่ล่วงรู้ทุกเรื่องและอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป

ทั้งๆ ที่ความอัปยศคดโกงและความไร้มนุษยธรรมต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในวงการแพทย์อยู่ตลอดเวลา ดังที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาอยู่เนืองๆ ซึ่งแม้ว่าจะอ้างว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ส่วนมากก็มักเกี่ยวข้องกับบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ที่มักอวดตนว่าเป็นเทวดาผู้มีคุณธรรมวิเศษทั้งนั้น

ผมคิดว่า หากมีการตรวจสอบเรื่องแบบนี้ นพ.วิชัย ควรจะหันมาตรวจสอบเรื่องการใช้เงินของหน่วยงานบางแห่ง ที่นำเอาเงินภาษีของประชาชนมาแจกจ่ายให้แก่เครือข่ายของตน ปีๆ หนึ่งหลายพันล้าน

ทั้งนี้ ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม จบการศึกษาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2540 เป็นนักวิชาการคนที่ 2 ของไทย ที่ผลงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Asian Studies ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำของโลกทางด้านเอเชียศึกษา ของสมาคมสมาคมเอเชียศึกษา ประเทศสหรัฐอเมริกา วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ ระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) เรื่อง "The Pursuit of Java : Thai Panji Stories, Melayu Lingua Franca and the Question of Translation" ได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม ดร.วัง กังวู (Wang Gungwu Medal and Prize) สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

มติชนออนไลน์ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

8840
เอเอฟพี - นายแพทย์ชาวสหรัฐฯ รายหนึ่งรอดตัวจากคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายของคนไข้เพศชาย ซึ่งถูกเขาตัดส่วนปลายอวัยวะเพศโดยพละการ ระหว่างเข้ารับการผ่าตัดขลิบเฉพาะหนังหุ้มปลายองคชาต คณะลูกขุนศาลเคนทักกีตัดสินวานนี้ (24)
       
       ฟิลลิป ซีตัน สิงห์รถบรรทุกวัย 64 ปี เข้าพบแพทย์ เพื่อขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ หวังรักษาอาการอักเสบบริเวณดังกล่าว เมื่อปี 2007 ทว่า เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด เขากลับพบว่าส่วนปลายองคชาตของเขากลับถูกตัดออก สถานีข่าวช่องดับเบิลยูแอลเควาย ในเมืองหลุยส์วิลล์ รายงาน
       
       ซีตันได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก นายแพทย์จอห์น แพตเตอร์สัน มูลค่า 16 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 480 ล้านบาท) โดยยืนยันว่า เขาไม่ยินยอมให้ตัดส่วนสำคัญดังกล่าวทิ้ง และแพทย์ควรให้โอกาสเขาได้หาทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่การตัดออก
       
       ด้าน นพ.แพตเตอร์สัน โต้แย้งว่าเขาได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ และคำยินยอมที่ซีตันลงชื่อก่อนการผ่าตัดก็เพียงพอที่เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจ พร้อมทั้งระบุว่า ระหว่างทำการผ่าตัดขลิบหนังหุ้มปลายองคชาตของซีตัน เขาพบมะเร็งที่อันตรายถึงชีวิต
       
       ทั้งนี้ คณะลูกขุน 10 จาก 12 ราย มีความเห็นว่า ถึงอย่างไร ซีตันก็ต้องยินยอมให้แพทย์ทำการผ่าตัด คณะลูกขุนจึงมีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า นายแพทย์แพตเตอร์สันได้ทำการผ่าตัดด้วยเหตุผลอันสมควร
       
       “เราเข้าใจถึงสถานการณ์อันเลวร้าย เราเห็นใจ (ซีตัน) แต่ขณะเดียวกัน ที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้ เป็นเพราะชายคนนี้ได้ทำสิ่งที่สมควรทำ เพราะชายคนนี้ได้ผ่าตัดช่วยเขา” ลีเดีย แทปป์ หัวหน้าคณะลูกขุน ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์คูเรียร์-เจอร์นัล
       
       ส่วน ทนายความของฟิลลิป ซีตัน ปรามาสว่า คำตัดสินเช่นนี้จะเป็นคดีตัวอย่างที่อันตรายต่อกรณีอื่นๆ ในอนาคต และยืนยันว่าจะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
       
       “หากคุณดูเอกสารคำยินยอม คุณก็จะสามารถตัดขาคนไข้ได้ถูกข้าง” เควิน จอร์จ ทนายของซีตัน แถลงต่อผู้สื่อข่าว “หากคำตัดสินเป็นเช่นนี้ จะมีคดีใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีกแน่ หากคุณเข้าผ่าตัด ผมก็ไม่ต้องสนใจว่าคุณเป็นอะไร หรือยินยอมอะไรมา แต่คุณอาจตื่นขึ้นมาพบว่าบางอย่างเปลี่ยนไป แม้ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินก็ตาม”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554

8841
 สวธ.เล็งตีทะเบียน “หมอพื้นบ้าน” ขึ้นมรดกทางวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ รักษาเอกลักษณ์ไทย  และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
       
       นายอภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  (สวธ.)  กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เข้าร่วมการประชุม มหกรรมหมอพื้นบ้านนานาชาติ  จัดโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ สมาพันธ์แพทย์แผนไทยล้านนา เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพของเอเชีย ในส่วนของ สวธ.เห็นควรที่จะมีการศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์พื้นบ้าน หรือการแพทย์แผนไทยควบคู่ไปด้วย  เพื่อที่จะเตรียมตัวผลักดันสู่การขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้  เนื่องเพราะปัจจุบันนี้การแพทย์พื้นบ้านไทยกำลังเป็นที่นิยมในระดับนานาชาติ ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญและต้องการเข้ามาศึกษาในประเทศไทย
       
       ทั้งนี้  หลักสูตรการแพทย์พื้นบ้านมีหลากหลายสาขา จึงต้องหาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและจะต้องมีความแตกต่างจากประเทศต่างๆ ด้วย ทั้งในส่วน ท่านวด กาบำบัดรักษา สมุนไพรที่นำมาใช้ ตลอดจนการเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจสปาไทย ซึ่งมีการเปิดให้บริการบำบัดโดยแพทย์พื้นบ้านด้วย
       
       นายอภินันท์ กล่าวว่า  เมื่อได้ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์พื้นบ้านของไทยแล้ว จะนำไปบรรจุในแผนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนนโยบายของรัฐบาล ในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสังคม ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม จะต้องร่วมมือกันสร้างเอกลักษณ์ รวมทั้งร่วมกันผลักดันให้การแพทย์พื้นบ้านของไทยได้รับการจดทะเบียน  เพราะภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยทางการแพทย์นั้น ไม่เหมือนใครในโลก เฉกเช่นเดียวกันกับอาหารไทย เป็นเสน่ห์ประจำชาติ   แต่ยังมีข้อที่ต้องมัดระวัง คือ จะต้องหากฎเกณฑ์และมาตรฐานการของแพทย์พื้นบ้านของไทยให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการลักลอบหรือนำไปใช้ที่บิดเบือนไปจากของจริง อาจทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสื่อมเสียได้


ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554

8842
หึ่ง!! เด็กอุ้มผาง มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน 60%  แต่ยังไม่พบสาเหตุชัด   แพทย์เตรียมศึกษารายละเอียดที่แน่ชัด
       
       
       
       วันนี้ (25 ส.ค.)  พญ.นัยนา ณีศะนันท์ กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก)  กล่าวในกิจกรรม Building healthy kids ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ปลอดสารพิษ สร้างคุณภาพชีวิตและอนาคตเด็กไทย ผ่านโครงการรณรงค์ป้องกันภัย อาหารปนเปื้อนสารตะกั่ว ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือ  ระหว่าง สถาบัน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า สารตะกั่วปนเปื้อนในร่างกาย อาจมาจากการปนเปื้อนมากับอาหาร น้ำดื่ม รวมทั้งจากสายรกในครรภ์มารดา โดยเด็กที่ได้รับสารตะกั่วจะถูกทำลายระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย ยิ่งเด็กอายุน้อยก็จะมีการทำลายมากขึ้น
       
       พญ.นัยนา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา พบว่า เด็กที่มีสารตะกั่วในเลือดจะมีไอคิวต่ำ โดยพบว่าหากมีสารตะกั่วเพิ่มขึ้นทุก 10 ไมโครกรัม/เดซิลิตร จะทำให้ไอคิวลดลง 1-3 จุด ล่าสุด ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจที่ ต.แม่จันทร์ ต.อุ้มผาง อ.อุ้มผาง จ.ตาก เมื่อต้นปี 2554 โดยทำการสำรวจเด็กวัย 1-2 ปี จำนวน 151 คน พบผู้ที่มีสารตะกั่วในเลือดเกินมาตรฐาน คือ 10 ไมโครกรัม/เดซิลิตร มากถึงร้อยละ 60 แต่ปัญหา คือ ยังไม่ทราบที่มาของสารตะกั่วที่ตรวจพบ แม้จะมีการลงพื้นที่ไปยังบ้านของเด็กจำนวน 57 ราย แต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจน พบเพียง สารตะกั่วอยู่ในน้ำที่เด็กดื่ม เพียงเล็กน้อย ไม่สามารถใช้เชิงสถิติได้ ดังนั้นในปี 2555 จะมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค (คร.) โดยจะมีการหารือถึงแนวทางในการดูแลสุขภาพของเด็กในพื้นที่ดังกล่าว และหาสาเหตุว่าน้ำที่ปนเปื้อนสารตะกั่วมาจากแหล่งใด เพื่อหาทางป้องกัน และจะมีการจัดทำแนวทางป้องกันเพื่อเป็นต้นแบบในระดับพื้นที่ต่อไป
       
       ทั้งนี้ สำหรับแนวทางในการป้องกันการรับสารตะกั่วทำได้ง่ายๆโดยรับประทานให้ครบ 5 หมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงก็พอแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554

8843
สธ.-สสส.ร่วมมือเครือข่ายเดินหน้า ผลักดันกฏหมายการควบคุมยาสูบโลก-พร้อมเดินหน้า   ปรับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ปลอดบุหรี่ หลังพบคนไทยเสียชีวิตจากพิษบุหรี่ กว่า 4.8 หมื่นราย
       
       วันนี้ (25 ส.ค.) โดย นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในการเปิดประชุมวิชาการที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม.ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือ ของ   ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการยาสูบ  มหาวิทยาลัยมหิดล (ศจย.)  สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  ร่วมกับ  สธ.และ   เครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน  จัดให้มีการประชุม  “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ”  ครั้งที่ 10 ขึ้น  ซึ่งประเด็นหลักของการประชุมครั้งนี้ เน้นถึง “กฎหมายการควบคุมยาสูบโลก (FCTC)  เพื่อสังคมไทยไร้ควันบุหรี่”
       
       โดยนายวิทยา  กล่าวว่า   ในการเปิดประชุมวิชาการฯ กล่าวถึงผลสำรวจการบริโภคยาสูบของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2552 พบว่าประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ 10.90 ล้านคน หรือ ร้อยละ 20.70  อัตราการสูบบุหรี่ของเพศชายเท่ากับร้อยละ 40.47 เพศหญิงเท่ากับร้อยละ 2  โดย จำนวนผู้สูบบุหรี่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 10.86 ล้านคน (ร้อยละ 21.22) เป็น 10.90 ล้านคน (ร้อยละ 20.70) ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึงปี พ.ศ.  สธ.มีแนวทางการควบคุมการบริโภคยาสูบในปี 2554 ไว้ 5 ด้าน 1. ปรับปรุงกฎหมายยาสูบ2 ฉบับให้ทันสมัย 2.เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย 3.ให้ความรู้เรื่องกฎหมายและเฝ้าระวังการทำความผิด 4.ผลักดันให้เกิดบริการเลิกบุหรี่ในสถานบริการสุขภาพทุกระดับ และ5.พัฒนาชุมชนปลอดเหล้าปลอดบุหรี่ให้ครอบคลุมพื้นที่ทุกภาค
       
       
       ในขณะที่ ศ.นพ.  ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากการศึกษาของคณะทำงานภาระโรคและการบาดเจ็บที่เกิดจาก พฤติกรรมสุขภาพและปัจจัยเสี่ยง  สธ. ว่า  มีคนไทย 48,244 คนเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในปี พ.ศ. 2552  เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในปี พ.ศ.2547  ที่เท่ากับ 41,183  คน  โดยในจำนวนนี้เป็นเพศชาย 40,995  คนและเพศหญิง 7,249 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่นี้  29.45%หรือ 14,204  คนเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี  เมื่อเทียบสัดส่วนผู้ที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่กับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดซึ่งเท่ากับ 415,900 คนของปี พ.ศ.2552  จะเท่ากับ 1: 8.6 หรือในทุก 8.6  คนไทยที่เสียชีวิต  หนึ่งคนจะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่  โดยหากคิดแยกตามเพศ เพศชายสัดส่วนจะเท่ากับ 1 : 5.7  และเพศหญิงเท่ากับ 1 : 2.4  และหากรวมจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่จากการวิเคราะห์ครั้งแรกที่พบว่ามีจำนวน 41,000  คนในปี พ.ศ. 2536  จนถึงการศึกษาล่าสุดปี พ.ศ. 2552  เป็นระยะเวลา 16 ปี  จะมีคนไทยที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่กว่า 640,000  คน  ทั้งนี้จำนวนคนไทยเสียชีวิตยังไม่นับรวมผู้ที่เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง  ซึ่งยังไม่มีข้อมูลการวิจัยสำหรับประเทศไทย
       
       
       ด้าน นพ.หทัย  ชิตานนท์   ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย  กล่าวว่าองค์การอนามัยโลกได้จัดการประชุมร่างกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ หรือ กฏหมายการควบคุมยาสูบโลก (FCTC) ขึ้นมา โดยดำเนินการตั้งแต่ตุลาคม 2543 จนสำเร็จเมื่อกุมภาพันธ์ 2546  ซึ่งความสัมฤทธิผลของกรอบอนุสัญญาฯ นี้เป็นคุณูปการต่อการควบคุมยาสูบโลก  ซึ่งอาจสรุปได้ ดังนี้  1) มาตรา 11 คำเตือนเรื่องสุขภาพบนหีบห่อ โดย 19 ประเทศ ซึ่งประชากรรวม 1 พันล้านคน มีกฎหมายระดับสูงสุดที่กำหนดให้มีคำเตือนบนซองบุหรี่  2) มาตรา 12 การให้ความรู้, การติดต่อสื่อสาร, การฝึกอบรม  โดย 23 ประเทศซึ่งมีประชากรรวม 1.9 พันล้านคนมีการรณรงค์อันเข้มแข็งทางสื่อมวลชน 3) มาตรา 8 การปกป้องประชาชนให้พ้นภัยจากพิษควันบุหรี่  โดย ระหว่างปี 2551 ถึง 2553 ได้มี 16 ประเทศใหม่ที่ได้ออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เป็นผลให้มี 31 ประเทศที่มีกฎหมายนี้แล้วประชาชนมากกว่า 739 ล้านคนหรือ 11% ของประชากรโลกได้รับการปกป้องให้พ้นจากภัยนี้  และ4) มาตรา 13 การห้ามโฆษณา, การส่งเสริมและการอุปถัมภ์  โดยประชาชน 425 ล้านคนใน 19 ประเทศซึ่งประกอบเป็น 6% ของประชากรโลกได้รับการปกป้องจากกลยุทธ์การตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบ
       
       ดร.ศิริวรรณ  พิทยรังสฤษฏ์  ผู้อำนวยการ ศจย    หลังจากได้ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนซึ่งมีผลให้ลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละศูนย์แล้ว อัตราการสูบบุหรี่ปัจจุบันในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นเช่น  กลุ่มอายุ 19-24 ปีเพิ่มจากร้อยละ 19.66 ในปี พ.ศ. 2549 เป็นร้อยละ 22.19 ในปี พ.ศ. 2552 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 140,000 คน ดังนั้นกฎหมายเรื่องนี้ไทยต้องมีความเข้มงวดขึ้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554

8844
รมว.สธ.ยัน ร่วมจ่าย 30 บาท ไม่กระทบต่อประชาชน แต่เก็บเพื่อศักดิ์ศรี   พร้อมกับบริการที่ดีขึ้น เล็งของบกลาง 1,700 ล้านบาท  สะสางหนี้ใน รพ.
       
       วันนี้ (25 ส.ค.)นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงนโยบายการเรียกเงินค่าบริการ 30 บาท ในการใช้สิทธิบัตรทอง หลังจากมีการยกเลิกการร่วมจ่ายมาเป็นเวลา 2 ปี ว่า  สำหรับนโยบายดังกล่าวนั้น หลังจากที่มีการแถลงนโยบายที่สภาแลล้ว  ในวันที่ 30 ส.ค.นี้  จะเป็นการแถลงต่อในส่วนของกระทรวง  โดยยืนยันว่า จะยังต้องเก็บแบบร่วมจ่ายอีกครั้ง เพื่อศักดิ์ศรีของประชาชน ซึ่งมั่นใจว่า ไม่กระทบต่อประชาชนแน่นอน และที่สำคัญบริการก็จะดีกว่าด้วย
       
       ต่อข้อถามว่า   เงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปแก้ปัญหาสภาพคล่องได้หรือไม่  นายวิทยา กล่าวว่า เรื่องการแก้ปัญหาสภาพคล่องเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่จะพิจารณาเงินค้างท่อในระบบหลักประกันสุขภาพ นำมาใช้เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจของบุคลากรด้วย โดยการแก้ปัญหาหนี้สิน ได้มีการหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้ว โดยจะมีการเสนอของบประมาณกลาง 1,700 ล้านบาท เพื่อมาแก้ปัญหาหนี้ในระบบ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554


8845
เกิดอุบัติเหตุรถขนส่งอาจารย์ใหญ่และชิ้นเนื้อ รพ.ศิริราช พลิกคว่ำบนทางด่วนบูรพาวิถี พื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้ศพกระจายเกลื่อนท้องถนน...

รถบรรทุก 6 ล้อ ห้องเย็นหมายเลขทะเบียน 82-8966 ชลบุรี  พลิกคว่ำบนทางด่วนบูรพาวิถี บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 47 อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากยางล้อหลังด้านซ้ายระเบิด ส่วนศพอาจารย์ใหญ่จำนวน 23 ศพ และชิ้นเนื้อประมาณ 200 กิโลกรัม ที่นำมาจาก รพ.ศิริราช เพื่อไปฝังที่สุสาน จ.ชลบุรี กระจัดกระจายเกลื่อนผิวจราจร ส่งผลให้การจราจรติดขัด เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ได้เข้าเก็บศพและชิ้นเนื้อเพื่อเปิดผิวการจราจรตามปกติแล้ว

ไทยรัฐออนไลน์ 25 สค 2554

8846
‘หมอ วิชัย โชควิวัฒน’ ปธ.อนุกรรมการสอบอีเมล์สินบน ยอมรับเคยส่งจดหมายพท.งัดข้อหาป้ายสี’ปู’ส่วนตัวถึง ‘มาร์ค’ สมัยเป็นนายกฯ เพื่อหนุน ‘หมอชูชัย’ เป็นปลัดสธ.จริง แต่อ้างว่าเป็นเพราะรู้จักกัน โดยมาร์คเคยบอกว่าถ้ามีอะไรแนะนำก็บอกได้ จึงส่งจดหมายดังกล่าวไปให้ข้อเสนอแนะ ส่วนกรณีสอบเพิ่มนอกประเด็นลับหลังโดยไม่เรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไปชี้แจง ก็อ้างว่า เพราะเชื่อว่าบุคคลที่จะไปให้การย่อมต้องปกป้องตัวเอง นอกจากนั้น ยังรับด้วยว่า หลังแถลงผลสอบเสร็จช่วงเช้า พอตกบ่ายวันเดียวกันก็รีบไปให้การกกต. เกี่ยวกับคดีอีเมล์ยุบพรรคเพื่อไทยทันที ด้านอดีตบิ๊ก ‘ไทยรักไทย’ ชี้ พออ่านจดหมายที่หมอวิชัยเคยส่งถึงนายอภิสิทธิ์จบก็เข้าใจเรื่องต่างๆ ทันที ฉะนั้นทุกวันนี้ควรทำตัวให้ชัดเจนไม่ต้องปิดบังอำพรางใส่หน้ากากเข้าหากัน อีกต่อไป
 
จากกรณีผู้บริหารหนังสือพิมพ์เครือมติชน-ข่าวสด ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณี”คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการ  ส่งอีเมล์ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพ สื่อมวลชน” แต่งตั้งโดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีน.พ.วิชัยโชควิวัฒน เป็นประธานอนุกรรมการ สรุปผลสอบสวนเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2554 ว่า ไม่พบหลักฐานถึงบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในอีเมล์ดังกล่าวรับสินบน แต่คณะอนุกรรมการกลับแถลงกล่าวหาน.ส.พ.ข่าวสดและมติชนในทางเสียหายในประเด็น  ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯ มีคำสั่งให้สอบ อ้างว่าเอนเอียงไปทางพรรคเพื่อไทยนอกจากนี้ ยังเปิดเผยนามปากกาของผู้เกี่ยวข้อง ถือเป็นการละเมิดจรรยาบรรณสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ดังนั้นผลการสอบที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ดังนั้นผลการสอบที่เกิดขึ้นจึงผิดหลักทั้งด้านกฎหมาย ความมีเหตุผล และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
 
ขณะเดียวกัน ทันทีที่แถลงเสร็จสิ้น ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ก็รับลูกดำเนินการยื่นร้องกกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทย ขณะที่น.พ.วิชัยเดินทางเข้าให้ข้อมูลกกต. แบบเงียบๆทันทีคล้อยหลังการแถลงข่าว ทั้งที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ยังไม่รับรองผลสอบและพบจดหมายส่วนตัวที่น.พ.วิชัยเคยเขียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำประชาธิปัตย์สมัยเป็นนายกฯ ฝากฝังให้แต่งตั้งน.พ.ชูชัยศุภวงศ์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพราะทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์มา  ยาวนาน ล่าสุด พบว่าน.พ.ชูชัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเพิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีสรุปผลสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ ปราบปรามคนเสื้อแดง 91 ศพ โดยปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายผิดแทบทุกกรณี ตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น
 
ความ คืบหน้า เมื่อวันที่ 20 ส.ค.น.พ.วิชัย โชควิวัฒน ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบอีเมล์นักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่  ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ให้สัมภาษณ์”ข่าวสด” ถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่คณะอนุกรรมการสอบเพิ่มในประเด็นนอกเหนือจากคำ  สั่งของสภาการหนังสือพิมพ์ฯและเหตุใดจึงไม่เชิญสื่อที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง  ก่อนสรุปผล
 
น.พ.วิชัย ตอบว่า เพราะการตรวจสอบจากบุคคล บุคคลนั้นจะต้องให้การเข้าข้างจากบุคคล บุคคลนั้นจะต้องให้การเข้าข้างตัวเอง เราจึงไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมดโดยต้องอาศัยวิจารณญาณ และสิ่งที่จะสามารถโต้แย้งได้คือหลักฐาน นั่นคือรายละเอียดในหนังสือพิมพ์นั่นเอง แต่ที่ทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดบอกว่าเป็นการสอบนอกประเด็นนั้น ตนคิดว่าทัศนะอาจจะไม่เหมือนกัน นี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องดู หากไม่ดูจะไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้ ซึ่งไม่ใช่เราไม่ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล เพราะถ้าไม่มารอบแรก ก็ขอรอบสอง เราให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่เอามาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบโดยดูจากหลักฐานที่ปรากฏ จะไม่เอาคำให้การมาตัดสิน เพราะไม่มีทางที่ใครจะมาสารภาพว่าเป็นคนรับเงินรับทอง
 
ผู้สื่อ ข่าวถามว่า นายสุนทร จันทร์รังสีรองประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ระบุว่าสภาการหนังสือพิมพ์ฯยังไม่รับรองข้อสรุปผลสอบคณะอนุกรรมการ น.พ.วิชัย ตอบว่าเรื่องของการตัดสินกับสมาชิกนั้นเป็นเรื่องที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯจะ ต้องพิจารณาต่อไปเพราะสิ่งที่คณะอนุกรรมการเสนอ มีข้อเสนอต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯทั้งหมด 5 ข้อ ส่วนเรื่องนี้จะมีการพิจารณาและดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง  เป็นความหมายที่นายสุนทรหมายถึงอย่างนี้มากกว่า แต่สำหรับตัวรายงานไม่มีให้สอบเพิ่มในวันนั้น และมีมติให้แถลงและให้เปิดเผยรายงานทั้งฉบับ
 
เมื่อถามต่อว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ทั้งที่ตัวเองมีสายสัมพันธ์อันดีกับพรรคประชาธิปัตย์ เห็นได้จากการเขียนจดหมายถึงนายอภิสิทธิ์ขอความช่วยเหลือเรื่องการโยกย้าย น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ เป็นปลัดสาธารณสุข จะอธิบายอย่างไร น.พ.วิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องผิดประเด็น และนำมาเกี่ยวโยงกัน ตนเห็นว่าไม่สมควร เพราะตนชี้แจงได้ทุกอย่าง แต่ไม่อยากพูด ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการขอความช่วยเหลือแต่เป็นการเสนอแนะเฉยๆ เพราะตนรู้จักกับนายอภิสิทธิ์ เคยประชุมร่วมกัน และท่านบอกกับตนว่ามีอะไรแนะนำก็ยินดีตั้งแต่แรกเมื่อตนมีประเด็นจะแนะนำก็ แนะนำไปทั้งด้วยวาจาด้วยคำพูด ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่มีความพยายามจะดึงจะขุดคุ้ยขึ้นมา มีการเอามาตีแผ่โจมตีตนตั้งแต่ตอนตรวจสอบเรื่องโครงการไทยเข้มแข็งแล้วแต่คน  ที่ถูกผลกระทบคือพรรคประชาธิปัตย์
 
ต่อข้อถามว่า เมื่อผลสอบออกมาดูเหมือนรีบนำส่งกกต. น.พ.วิชัย ชี้แจงว่า ส่วนของกกต. ข้อเท็จจริงคือทางกกต. ทราบว่ามีคณะอนุกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมีตนเป็นประธานและติดต่อให้ไปให้ถ้อยคำแต่ตนไม่สามารถไปให้ถ้อยคำได้ จนกว่าจะได้เสนอรายงานต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ตนได้รายงานต่อสภาการหนังสือพิมพ์ฯในวันที่ 17 ส.ค.ช่วงเช้าทางกกต. ได้ส่งหนังสือเชิญตนไปที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯเพื่อให้ตนไปให้ถ้อยคำ ตนก็ได้นำเรื่องที่กกต. แจ้งมาให้คณะอนุกรรมการทุกท่านทราบ และแจ้งว่าจะไปให้การในวันที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯได้รับรายงานแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามระบบ ตนก็รีบไปให้ถ้อยคำกับกกต. ช่วงบ่าย ในวันที่ 17 ส.ค.
 
เมื่อถามว่า หลังผลการสอบของคณะอนุกรรมการออกมา ดูเหมือนสอดรับกับพรรคประชาธิปัตย์ที่รับลูกรีบยื่นหนังสือต่อกกต. เพิ่มเติมในเรื่องนี้ กลายเป็นสื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่ น.พ.วิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน เพราะตนได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จากสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถือว่าเป็นเกียรติ และตนเคารพในอุดมการณ์ของนักหนังสือพิมพ์ และทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาที่สุด โดยไม่คำนึงว่าจะไปกระทบใครหรือไม่กระทบใครเพราะถ้าหากเป็นห่วงกับฝ่ายใด ย่อมจะทำให้เกิดความเอนเอียง ส่วนใครจะนำตนมาใช้อย่างไรนั้นไม่ถือว่าอยู่ในวิสัยที่จะควบคุมได้ และยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น และทำทุกอย่างตามหน้าที่ และสามัญสำนึกว่าสิ่งที่พึงกระทำนั้นเป็นอย่างไร
 
ผู้สื่อข่าว รายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นายสุนทร จันทร์รังสีรองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเปิดเผยว่า รายงานผลสอบสวนอีเมล์นักการเมืองฯ ของอนุกรรมการที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ยังไม่ใช่ข้อพิมพ์ฯตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ยังไม่ใช่ข้อสรุป เพราะตามขั้นตอนผู้ถูกกล่าวหาสามารถยื่นอุทธรณ์คัดค้านผลสอบสวนได้อีก และว่า ตนยังไม่ทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนำผลสอบสวนของอนุกรรมการไปยื่นกับกกต. เพื่อขอยุบพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้สภาการหนังสือพิมพ์ฯไม่ได้เป็นเครื่องมือของการเมือง โดยส่วนตัวเชื่อว่ากกต. คงไม่ต้องรอผลการสอบสวนของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ เพราะกกต.ก็มีฝ่ายสืบสวนที่มีเจ้าหน้าที่มากกว่า ดังนั้นกกต.จึงน่าจะมีแนวทางของการสอบสวนเรื่องนี้อยู่แล้วประกอบกับเรื่อง ดังกล่าวแตกต่างและถือเป็นคนละส่วนกัน กกต.จึงไม่ควรถือผลการสอบสวนของสภาการหนังสือพิมพ์ฯไปประกอบการพิจารณา
 
นาย วิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงทีมกฎหมายของพรรคยื่นร้องกกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีคดีอีเมล์ว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับกฎหมายเลือกตั้ง การที่สื่อแถลงข่าวตามปกติก็ว่าไป แต่กรณีนี้เข้าข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งคือเป็นการให้ประชาชนเข้าใจ ผิดในคะแนนเสียง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเลือกตั้งที่สำคัญประเด็นสำคัญคือการได้เปรียบเสียเปรียบ ในการโฆษณาหาเสียง แต่สื่อให้เห็นชัดเจนคือพรรคประชาธิปัตย์ถูกกระทำมาโดยตลอดแต่ว่าไม่มีคนยืน  ยันข้อเท็จจริงให้ แต่ครั้งนี้น.พ.วิชัยเป็นประธานอนุกรรมการ และคณะสรุปข้อเท็จจริงที่เป็นจริง สะท้อนปัญหาในสังคมออกมา เห็นได้ชัดเจนว่ามีการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือก ตั้ง ซึ่งทางประชาธิปัตย์ยื่นข้อมูลไปก่อนแล้ว เมื่อวานที่ไปเพียงเสริมข้อมูลเดิม
 
“ขณะนี้ทางกกต. ดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยให้นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขากกต.ดำเนินการ และนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์กับคณะทำงานฝ่ายกฎหมายไปยื่นเรื่องไว้นาน แล้ว และเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมาตนไปยื่นเสริมอีกครั้ง เรื่องนี้กกต.เดินหน้าเต็มที่ ผิดว่าไปตามผิด ตนมั่นใจว่ากกต.จะเต็มที่ ผิดว่าไปตามผิด ตนมั่นใจว่ากกต.จะดำเนินการต่อไป” นายวิรัตน์ ระบุ
 
วัน เดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @phumtham ว่า”อ่านจดหมายน.พ.วิชัย โชควิวัฒน ที่เคยเขียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะเป็นนายกฯ ลงวันที่ 1 กันยายน 2552 เพื่อเสนอให้น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ เป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข เหตุผลที่เสนอให้แต่งตั้งน.พ.ชูชัยที่ปรึกษาระดับ 11 สำนักงานสิทธิมนุษยชนฯเป็นปลัดกระทรวง คือเป็นผู้มีความรู้และที่สำคัญเป็นผู้ที่ทำงานรับใช้ประชาธิปัตย์มานาน อ่านจบแล้ว ทำให้เข้าใจและรู้จักหมอวิชัยและหมอชูชัยมากขึ้นจริงๆ มิน่าเรื่องราวหลายเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทั้ง 2 ท่านทำเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ดีครับ ทุกวันนี้ใครทำอะไรๆ จะได้มีความชัดเจน ไม่ต้องปิดบังอำพราง ไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันครับ”

ข่าวสด 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

8847
อีกครั้งกับช่วงเวลาของการรื้อปัญหาด้านระบบสาธารณสุข (สธ.) ขึ้นมาปัดฝุ่น เพื่อสะท้อนให้รัฐบาลใหม่รับทราบ เพื่อเตรียมหาทางแก้ต่อไป
 
     สำหรับ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) แล้ว ไม่มีคำว่าล้มเลิก เพราะหัวใจสำคัญของ สพศท.คือการทวงความยุติธรรมให้กับบุคลากรสาธารณสุข และการเร่งเร้าให้รัฐบาลพาระบบสาธารณสุขก้าวพ้นปัญหาการเงินการคลัง
   
  ประธาน สพศท.เชื่อว่า ปัญหาการเงินในระบบสาธารณสุขส่วนหนึ่ง มาจากการกระจายเงินในระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งมุ่งแต่การช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลฟรีแบบไม่แยกแยะ ดังนั้นการกลับมาเรียกเก็บอย่างน้อย 30 บาทอาจจะทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นในระบบราว 2 พันล้านบาท ซึ่งกล้าท้าเลยว่า อย่างน้อยก็นำมาเป็นเงินหมุนเวียนในการซื้อยา เวชภัณฑ์ได้บ้าง
   
  “การรักษาฟรี ส่งผลให้ปริมาณผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปีโรงพยาบาลต้องจ้างลูกจ้างชั่วคราวโดยเฉ พาะลูกจ้างวิชาชีพ และมีค่าตอบแทนนอกเวลาราชการมากขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายโดยเงินบำรุงสูงในด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นทุกปี โดยขยายตัวในอัตราร้อยละ 61.24 เป็นเงินบำรุงที่เพิ่มขึ้น 11,968 ล้านบาท ในขณะที่เงินเดือนภาครัฐหดตัวลงร้อยละ 6.94 เป็นเงินภาครัฐที่ลดลง 2,764 ล้านบาท เมื่อกองทุนจัดสรรไม่เพียงพอ โรงพยาบาลหลายแห่งจึง ประสบปัญหาเรื่องการจ่ายค่าตอบแทน มีแนวโน้มมากขึ้นในโดยเฉพาะในโรงพยาบาลประสบปัญหาการเงินรุนแรงจำนวน 304 แห่ง จากทั้งหมด 831 แห่ง”ประธาน สพศท.อธิบาย

ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่อง รัฐจึงควรเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ใช้บริการและบุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้ให้บริการในแต่ละพื้นที่ ได้มีส่วนในการร่วมกันคิดโปรแกรมการรักษาพยาบาล ที่จำเป็นของพื้นที่ที่จะใช้กับสิทธิรักษาฟรี และการป้องกันโรคในท้องถิ่นเพื่อเสนอให้กับรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แทนที่จะให้ส่วนกลางกำหนดเป็นแบบเหมารวมเหมือนกันหมดทั้งประเทศ เพราะแต่ละพื้นที่อาจมีความจำเป็นในการรักษา หรือป้องกันโรคที่แตกต่างกัน อีกทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้เงินงบประมาณคงเหลือกระจุกอยู่ที่หน่วยงานใดหน่ วยงาน หนึ่ง แต่จะเป็นการกระจายงบประมาณถึงประชาชนในพื้นที่ที่แท้จริง
   
  อีกปัญหาที่ พญ.ประชุมพร และกลุ่มแพทย์หลายคน เชื่อ คือ ปัญหาสุขภาพของคนไทยจะดีได้ จำเป็นต้องมีบุคลากรที่บริการสุขภาพซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้ โดยบุคลากรดังกล่าว ต้องมีภาพชีวิตและความมั่นคงทางอาชีพ จึงจะสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เปิดปัญหาแพทย์สมองไหลไปสู่สถานบริการสังกัดเอกชน จนสถานบริการภาครัฐขาดแคลน ดังนั้น การเร่งแยกข้าราชการ สธ.ออกจาก สำนักงานข้าราชการพลเรือน จึงจำเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้ และที่สำคัญต้องจัดสรรค่าตอบแทนอย่างเหมาะสมด้วย เพราะขณะนี้บุคลากรฝีมือดีหลายหมื่นคน ต้องปฏิบัติงานที่หนักและรับเงินเดือนที่ต่ำในฐานะ พนักงานของรัฐ โดยปัญหาบรรจุตำแหน่งจะต้องแก้ไปพร้อมๆ กับค่าตอบแทน ที่ต้องเป็นธรรมและเกี่ยวเนื่องกับภาระที่แบกรับ
   
  ในตอนท้าย ประธาน สพศท.ย้ำว่า การที่เสถียรภาพของระบบสุขภาพไทยจะอยู่ได้ต้องเดินหน้าไปด้วยกัน 3 ส่วน คือ
1.ด้านประชาชนผู้รับบริการขยายใหญ่ขึ้นด้วยการเข้าถึงบริการพร้อมมีความพึงพอใจอย่างมาก

2.ด้านกองทุน ผู้จัดการงบสุขภาพประสบความสำเร็จด้านประสิทธิภาพการควบคุมค่าใช้จ่ายพร้อมขยายสิทธิประโยชน์ได้หลากหลาย และ

3.ด้านโรงพยาบาล ผู้ให้บริการภาครัฐ ประสบปัญหาวิกฤตการเงินและกำลังคน ต้องรองรับการขยายตัวประชาชน และกองทุนด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2554

8848
“วิทยา” หนุนวิจัยสมุนไพรหมามุ่ย ผลักดันเป็นยารักษาโรคพาร์กินสัน และภาวะมีบุตรยาก ขึ้นทะเบียนยาถูกต้อง หวังโกอินเตอร์ ต่อยอดทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยาไทย
       
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนุนกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ศึกษาวิจัยสรรพคุณสมุนไพรหมามุ่ย เป็นยาสมัยใหม่ รักษาโรคพาร์กินสัน และภาวะมีบุตรยาก ผลักดันสมุนไพรไทยพื้นบ้านขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมยาไทย มุ่งสู่เศรษฐกิจโลก
       
       วันนี้ (24 ส.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำกาแฟสมุนไพรหมามุ่ย ประมาณ 200 แก้ว บริการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และเจ้าหน้าที่ประจำรัฐสภา ระหว่างแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เพื่อสนับสนุนการใช้สมุนไพรไทย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง
       
       นายวิทยา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรไทย เป็นทางเลือกให้ประชาชนในการรักษาพยาบาล ขณะนี้มีสมุนไพรถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วเกือบ 100 รายการ มูลค่าการใช้ในสถานบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปีละกว่า 300 ล้านบาท และมีนโยบายพัฒนายาสมุนไพรไทยที่มีนับหมื่นชนิด เพื่อนำมาใช้เป็นยารักษาโรค หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บำรุงร่างกาย ซึ่งล่าสุด มีข้อมูลวิจัยจากประเทศอินเดีย พบว่า หมามุ่ยซึ่งเป็นพืชเถา พบมากในประเทศไทย มีสารที่สามารถใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ที่เป็นโรคที่มีความเสื่อมของระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทั่วโลกพบผู้ป่วยประมาณร้อยละ 1 หรือ 60 ล้านคน ส่วนคนไทยพบประมาณ 5-6 ล้านคน พบมากในผู้สูงอายุ
       
       นอกจากนี้ ยังมีผลกระตุ้นการสร้างน้ำอสุจิ ใช้รักษาภาวะมีบุตรยาก จากปัญหาความผิดปกติของการผลิตน้ำอสุจิในผู้ชาย ซึ่งขณะนี้มีครอบครัวไทยจำนวนมากที่ประสบปัญหามีบุตรยาก ที่พบได้ประมาณร้อยละ 15 ของครอบครัวไทย และต้องพึ่งการแพทย์สมัยใหม่ที่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้น จะให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์และทางคลินิก เพื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อาจทำเป็น 2 รูปแบบ คือ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มั่นใจว่า พืชหมามุ่ยนี้จะเป็นข่าวดีของคนทั่วโลก ที่มีปัญหา 2 เรื่องนี้ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดเศรษฐกิจยาไทยเชิงอุตสาหกรรม จะเร่งศึกษาให้เร็วที่สุด
       
       ที่ผ่านมา ตำราโบราณ มีหมอพื้นบ้านไทยใช้เมล็ดหมามุ่ย ใช้รักษาภาวะมีบุตรยากใน 2 ลักษณะ คือ นำมาคั่ว บดคล้ายๆ ชาชง กินวันละ 5 กรัม หรือประมาณ 25 เมล็ด วันละ 1 ครั้งติดต่อกันนาน 3 เดือน และนึ่งเมล็ดหมามุ่ย 5 เมล็ด พร้อมกับข้าวเหนียว กินวันละ 3 ครั้ง เห็นผลภายใน 7 วัน
       
       ทั้งนี้ ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติปีนี้ ซึ่งจัดที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2554 ขอเชิญผู้ที่สนใจสมุนไพรไทยเข้าชม เลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ยาไทย รวมทั้งสมุนไพรหมามุ่ยบริการผู้เข้าชมงานด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2554

8849
สปสช.แจงรัฐบาลยุบสภา ส่งผลให้กระจายงบรายหัว ปี 55 ล่าช้า ระบุ ยังต้องรอ พ.ร.บ.งบประมาณแล้วเสร็จ คาด ก.พ.ปีหน้า “หมอประชุมพร” แนะจ่ายงบพิเศษแก้ขาดสภาพคล่อง
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กล่าวถึงความคืบหน้าการใช้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวประจำปี 2555 ซึ่งตั้งงบประมาณไว้หัวละ 2,895.60 บาทต่อประชากรทั้งหมด 48.3 ล้านคน หรือราว 140,000 ล้านบาท มากกว่าปีงบประมาณ 2554 ถึง 13,000 ล้านบาท แต่เกิดปัญหายุบสภา จนทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลต่อการจัดสรรงบให้โรงพยาบาลต่างๆ ว่า เดิมทีในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2554 แต่เกิดยุบสภาก่อน ดังนั้น เมื่อมีรัฐบาลใหม่จำเป็นต้องรอให้เป็นไปตามขั้นตอน คือ ออกเป็นพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 คาดว่า ต้องรอถึงเดือน ก.พ.2555 ซึ่งล่าสุดสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบฯให้แต่ละหน่วยงานในช่วงกลางเดือน ต.ค.นี้ ซึ่ง สปสช.จะได้ในอัตราเหมาจ่ายรายหัวเท่าปี 2554 ก่อน คือ 2,546.69 บาทต่อประชากร จนกว่า พ.ร.บ.งบประมาณฯจะแล้วเสร็จ จึงจะให้ส่วนต่างที่สปสช.ตั้งงบประมาณของปี 2555 ไว้

 “ไม่อยากให้โรงพยาบาลกังวล ช่วงแรกจะมีเงินก้อนนี้คิดเป็นประมาณ 127,000 ล้าน บาทมาใช้ก่อนอย่างแน่นอน ที่สำคัญงบประมาณปี 2554 ยังมีงบฯด้านการประเมินภาระงาน การบริการผู้ป่วยต่างๆ ซึ่ง สปสช.จะจัดสรรให้อีก 5 พันล้านบาท กระจายให้โรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งน่าจะช่วยแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องได้ส่วนหนึ่ง” นพ.วินัย กล่าว
       
       ด้านพญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.)กล่าวว่า หาก สปสช.จะจ่ายเงินเพื่อพยุงโรงพยาบาล (รพ.) ขาดสภาพคล่องควรจ่ายเป็นงบพิเศษมาเลยจะดีกว่า แทนที่จะทำได้แค่จ่ายเงินรายหัวแบบล่วงหน้า 6 เดือน เหมือนที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ซี่งกว่าที่จะถึงเวลารับงบประมาณใหม่ รพ.ต้องบริหารตัวเองตามยถากรรม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2554

8850
รมว.สาธารณสุข เดินหน้าโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ย้ำ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หนุนให้ประชาชนร่วมจ่ายค่าบริการ หวังเพิ่มคุณภาพการบริการ-สร้างขวัญกำลังใจบุคลากร คืนศักดิ์ศรีให้ผู้ป่วย พร้อมทั้งเตรียมนำระบบสารสนเทศมาจัดระบบคนไข้ล้นโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่
       
       วันนี้ (23 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่จะมีการเก็บเงินค่าธรรมเนียมประชาชนที่มาใช้บริการว่า การจ่ายเพิ่มอีกหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องการคืนศักดิ์ศรีให้ผู้รับบริการ ได้รับบริการที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการเมื่อเกิดการเจ็บป่วยและไปพบแพทย์ถือเป็นหลักประกันด้านสุขภาพที่รัฐบาลมีให้กับประชาชน ส่วนกรณีที่จะต้องจ่ายเพิ่มเท่าใดนั้น ในส่วนรายละเอียดมีอยู่แล้ว เพราะเคยทำมาแล้ว นอกจากนี้ เงินค่าธรรมเนียมที่เก็บจากผู้รับบริการ อาจนำไปดูแลผู้ให้บริการ เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจบุคลากร

       “ต้องยอมรับว่า บางอย่างถ้าฟรีทุกเรื่อง มันก็ไม่มีความหมาย หลังจากนโยบายผ่านสภาแล้ว จะต้องไปทำแผนปฏิบัติอีกครั้ง ว่า วิธีดำเนินการอย่างไร ” นายวิทยา กล่าว
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งมีผู้ป่วยเรื้อรังมาก เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง มีนโยบายจะนำระบบสารสนเทศมาช่วยจัดระบบ ช่วยคัดแยกผู้ป่วย ไม่ให้เกิดปัญหาล้นโรงพยาบาล ทำให้บุคลากรต้องแบกภาระทำงานหนัก


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 สิงหาคม 2554

หน้า: 1 ... 588 589 [590] 591 592 ... 650