แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 585 586 [587] 588 589 ... 648
8791
เอเอฟพี - สารฆ่าเชื้อในเครื่องทำความชื้นอาจเป็นสาเหตุการตายอย่างปริศนาของสตรีมีครรภ์ 4 รายในเกาหลีใต้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข เผยวันนี้(1)
       
       ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคเกาหลีใต้ (เคซีดีซี) เริ่มตรวจหาที่มาของเชื้อโรคปอด ซึ่งมีผู้ป่วยแล้วถึง 28 รายโดยไม่ทราบสาเหตุตั้งแต่ปี 2004 โดยปีนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่เป็นหญิงมีครรภ์
       
       ล่าสุดพบหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตจากเชื้อโรคชนิดนี้แล้ว 4 ราย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
       
       เคซีดีซีระบุว่า จากการตรวจสอบพบสารอันตรายในวัตถุฆ่าเชื้อซึ่งผู้ป่วยทุกรายใช้ในเครื่องทำความชื้น โดยสารดังกล่าวได้เข้าไปทำลายเซลล์ในปอด
       
       ผลการตรวจพบว่า ผู้ที่ใส่สารฆ่าเชื้อลงไปในเครื่องทำความชื้นมีโอกาสที่ปอดจะถูกทำลายมากกว่าคนปกติถึง 47.3 เปอร์เซ็นต์ เคซีดีซี เผย
       
       “ในทางคลินิกแล้ว อัตราความเสี่ยง 47.3 เปอร์เซ็นต์ นับว่าสูงมากทีเดียว” ยูน เซือง-กี เจ้าหน้าที่อาวุโสจาก เคซีดีซี ระบุ
       
       เคซีดีซีปฏิเสธที่จะเผยชื่อสารอันตรายชนิดนี้ ซึ่งทางศูนย์บอกว่าเป็นส่วนผสมของสินค้าอุปโภคอีกหลายชนิด เช่น แชมพู และเครื่องสำอาง ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า การสัมผัสสารดังกล่าวทางผิวหนังจะเป็นอันตรายด้วยหรือไม่
       
       “เราต้องทดสอบอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด แต่เบื้องต้นได้ออกคำเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการใช้สารฆ่าเชื้อในเครื่องทำความชื้น และขอร้องให้บริษัทต่างๆหยุดขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้แล้ว” เคซีดีซีแถลง
       
       ผู้ผลิตสารฆ่าเชื้อรายใหญ่จำนวนหนึ่งยอมระงับการขายชั่วคราว จนกว่าเคซีดีซีจะประกาศผลการตรวจขั้นสุดท้าย ซึ่งน่าจะทราบผลภายใน 3 เดือนข้างหน้า ยูนกล่าว
       
       ชาวเกาหลีใต้เกือบทุกครัวเรือนมักใช้เครื่องทำความชื้นในฤดูหนาว ซึ่งมีอากาศแห้งและเย็นจัด
       
       เคซีดีซีอธิบายว่า หญิงตั้งครรภ์มักใช้เวลาอยู่กับบ้านมากกว่าคนกลุ่มอื่น จึงมีโอกาสสัมผัสสารพิษจากเครื่องทำความชื้นได้มาก นอกจากนี้ ผู้หญิงยังหายใจเอาอากาศเข้าปอดเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์หลังจากคลอดบุตร ซึ่งหมายความว่าพวกเธอจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กันยายน 2554

8792
(ต่อ)

 มะเร็งครองแชมป์ตายอันดับ 1
       
       ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า มะเร็งยังคงเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้ป่วยเป็นอันดับ 1 โดยอัตราผู้ป่วย 100,000 ราย เฉลี่ย 60% เสียชีวิต และในปี 2553 มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นมะเร็งในประเทศไทยประมาณ 118,601 ราย เป็นเพศชายประมาณ 53,087 ราย, เพศหญิงประมาณ 65,514 ราย, อายุน้อยกว่า 65 ปีประมาณ 80,000 ราย, อายุมากกว่า 65 ปีประมาณ 38,000 ราย สำหรับผู้ที่เสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งประมาณ 74,297 รายต่อปี เพศชายประมาณ 37,476 คน, เพศหญิงประมาณ 36,821 คน, อายุน้อยกว่า 65 ปีประมาณ 40,000 ราย, อายุมากกว่า 65 ปีประมาณ 34,000 ราย และมีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 คนในแต่ละปี ทั้งนี้ผู้ที่อายุมากจะมีโอกาสเป็นมากกว่า
       
       ส่วนใหญ่ผู้ป่วยคนไทยเพศหญิงจะเป็นมะเร็งเต้านมเป็นอันดับ 1 อัตราเฉลี่ยของผู้ป่วยใหม่ประมาณ 35% เสียชีวิต หรือ 12 คนต่อวัน และมะเร็งปากมดลูกในผู้ป่วยใหม่ประมาณ 52% เสียชีวิต หรือ 15 คนต่อวัน ขณะที่เพศชายส่วนใหญ่เป็นมะเร็งตับ เฉลี่ยของผู้ป่วยใหม่ประมาณ 86% เสียชีวิต หรือ 55 คนต่อวัน, มะเร็งปอด เฉลี่ยผู้ป่วยใหม่ประมาณ 79% เสียชีวิต หรือ 33 คนต่อวัน, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก เฉลี่ยผู้ป่วยใหม่ประมาณ 49% เสียชีวิต หรือ 14 คนต่อวัน, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
       
       หวั่นมะเร็ง
       ‘ลำไส้ใหญ่-มะเร็งเต้านม’ พุ่ง
       
       ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวต่อว่า มะเร็งที่น่าจับตามองว่ามีแนวโน้มอัตราเฉลี่ยสูงขึ้นทั่วโลกก็คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ในปี 2553 มีผู้ป่วยใหม่ในประเทศไทยประมาณ 10,500 คน เฉลี่ยเสียชีวิตประมาณ 5,970 คน และในปี 2558 คาดว่าจะมีผู้ป่วยมะเร็งใหม่ที่เป็นบริเวณลำไส้ใหญ่ และทวารหนักสูงถึง 12,171 คน รวมถึงอัตราผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่นับวันจะสูงขึ้น เนื่องจากมะเร็งทั้ง 2 ชนิด มักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และมักพบในเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ เพราะเกิดจากปัจจัยที่มีส่วนเร่งให้เกิดมะเร็งดังนี้ 1.อาหาร 2.ออกกำลังกาย 3.ความเครียด 4. ความอ้วน ทั้งนี้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติเล็งเห็นถึงความสำคัญ และกำลังทำการวิจัยโปรแกรมระดับชาติ เพื่อตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวาร ให้แก่ประชาชนต่อไป
       
       ส่วนวิธีการรักษาโรคมะเร็งนั้น ในเอกสารข้อมูลจากสถาบันมะเร็ง ระบุไว้ว่า ในการรักษามะเร็งแต่ละชนิดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ประกอบ อาทิ บริเวณหรืออวัยวะที่เป็นเนื้อร้าย, ระยะที่เป็น, สภาพร่างกาย, อายุ ฯลฯ ซึ่งในประเทศไทยมีด้วยกันหลายวิธี และบางกรณีจำเป็นต้องรักษาร่วมกันหลายวิธี จึงจะได้ผลดีที่สุด อาทิ ผสมผสานของศัลยกรรม คือการรักษาเฉพาะที่ โดยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็ง หรือเนื้อร้ายออก รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง, รังสีรักษา เป็นวิธีการรักษาเฉพาะที่ โดยการฉายแสงไปยังบริเวณเซลล์มะเร็งโดยตรง, เคมีบำบัด เป็นการรักษาทั้งตัว เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั้งที่ต้นตอของโรค และที่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นของร่างกาย โดยการรับประทานยา ฉีดยาทางหลอดเลือดดำหรือแดง เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ บอกอีกว่า การรักษามะเร็งของไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ 1.รักษาด้วยการผ่าตัด จะรักษาตรงจุด โดยคำนึงถึงอวัยวะรอบข้าง และพยายามให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด มีผลต่อร่างกายส่วนอื่นน้อยลง เช่น มะเร็งเต้านม บางรายอาจไม่ต้องตัดเต้านม ฯลฯ 2.ยาเคมี จะใช้เฉพาะจุด มุ่งที่เป้าหมายมากขึ้น ทำให้เข้าถึงมะเร็งได้ตรงจุด และฟื้นตัวเร็วขึ้น 3.การฉายแสง จะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยแบบ 4 มิติ ในเฉพาะที่ เพื่อให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น และมีโรคแทรกซ้อนน้อยลงด้วย
       
       สนช.การันตี “Heart Genetics”
       สุดยอดนักพยากรณ์โรคร้ายด้วยยีน!
       
       สนช.มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมให้ “Heart Genetics” หลังได้รับทุนสนับสนุนให้เป็นผู้วิจัย DNA ตรวจหายีนโรคไม่ติดต่อทั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนและโรคมะเร็งได้สำเร็จ ระบุผลงานวิจัยนี้ถือเป็นนวัตกรรมระดับสูงและมีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
       
       สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2546 ให้เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีระบบบริหารงานที่เป็นอิสระจากระบบราชการ โดยภารกิจหลัก คือ การยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ และบทบาทการส่งเสริมสุขภาพโดยเน้นป้องกันโรคที่ป้องกันได้โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรม
       
       ล่าสุดได้เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนนักวิจัยไทยให้ทำการวิจัยยีนของโรคทางพันธุกรรมจนประสบผลสำเร็จ และสามารถนำมาใช้ได้จริงกับประชาชนคนไทยจนผู้วิจัยได้รับรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมของศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ
       
       ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บอกกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่ายีนเป็นพันธุกรรมที่เล็กที่สุดและขณะนี้นักวิจัยชาวไทยสามารถทำการวิจัยหาโรคทางพันธุกรรมได้แล้ว ซึ่งถือว่าการค้นพบนี้จะสร้างคุณูปการกับคนไทยทั้งประเทศ ที่สำคัญนวัตกรรมนี้ถือเป็นนวัตกรรมขั้นสูงมีคนไทยน้อยมากที่จะทำแล้วประสบผลสำเร็จ ดังนั้นเมื่อโครงการนี้ผ่านการทดสอบจนมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานได้จริง สำนักงานฯ จึงมอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมซึ่งบริษัท “Heart Genetics” นี้เป็น 1 ใน 10 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือก โดยรางวัลนี้เป็นการคัดเลือกธุรกิจน่าสนใจจากการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้จนเกิดผลสำเร็จว่าสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตของมนุษย์
       
       สำหรับการวิจัยของบริษัทดังกล่าวได้ค้นพบยีนที่สามารถนำไปวิเคราะห์ถึงโรคพันธุกรรม ซึ่งคนที่สนใจสามารถไปตรวจหาความน่าจะเป็นของโรคได้ โดยโรคที่ค้นพบแล้วคือ โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน
       
       “การตรวจหายีนที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นโรคอะไรนั้น ถือเป็นการค้นหาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และเป็นการตรวจสุขภาพแบบใหม่ เมื่อคนไปตรวจรู้ว่าตัวเองจะมีแนวโน้มเป็นโรคอะไรก็จะสามารถหาทางป้องกันโรคนั้นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ได้ เรียกว่าเป็นการป้องกันโรคก่อนที่จะมีการรักษา ยิ่งโรคมะเร็งหากเราสามารถรู้ก่อนว่าเรามีแนวโน้มจะเป็น เราก็สามารถที่จะดูแลและป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้”
       
       ผอ.สนช.อธิบายอีกว่า ปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่สามารถช่วยให้เรารักษาสุขภาพเพื่อป้องกันโรคได้จริง และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไทยค้นพบนี้ถือเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง และ สนช.จะยังให้ทุนสนับสนุนต่อไปกับบริษัท Heart Genetics เพราะนวัตกรรมเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากเราวิจัยได้แต่หยุดนิ่งเราจะไม่ทันประเทศอื่นๆ ซึ่งเขามีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต สนช.เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ไทยจะค้นพบสิ่งต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น
       
       สำหรับการตรวจหายีนตามโครงการดังกล่าวแม้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง เช่น ชุดตรวจหามะเร็งจะมีราคาค่าตรวจอยู่ประมาณ 4-7 หมื่นบาท ชุดตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เบาหวาน และโรคอ้วนอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นบาท แต่เมื่อเข้าไปรับการตรวจแล้วพบว่าเรามีแนวโน้มอย่างไรและเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคนั้นๆ ได้ก็ถือว่าคุ้มมาก ปัจจุบันโรงพยาบาลหลายๆ แห่งก็ให้ความสนใจกับการค้นพบครั้งนี้ และหลายๆ โรงพยาบาลก็ไปใช้บริการของบริษัทดังกล่าวแล้ว
       
       “ความจริงสำนักงานของเราให้ทุนสนับสนุนการวิจัยหลายโครงการ เช่นล่าสุดเราได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลคิดค้นและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ได้ 2 ชนิด คือ พัฒนาเครื่องมือผ่าตัดช่องท้องผ่านสะดือโดยใช้กล้องขนาดเล็ก โดยผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดจะไม่มีบาดแผลจากการผ่าตัดให้เห็นเลย”
       
       นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนาบลูทูเล่ ซึ่งเป็นผ้ากอซแบบใหม่ที่พัฒนาจากข้าวเพื่อทดแทนการใช้ผ้ากอซแบบเดิมซึ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรัง ผู้ป่วยขาขาดที่ต้องใช้ขาเทียมแล้วเกิดแผลกดทับ ซึ่งเมื่อเปิดผ้ากอซออกจะไม่มีผลต่อแผลที่เป็นอยู่เหมือนผ้าก๊อซแบบเดิม ช่วยลดอาการติดเชื้อของผู้ป่วยได้
       
       ถอดรหัสดีเอ็นเอชายวัย 48 ปี
       พบเซลล์มะเร็งปรากฏในร่างกาย
       
       กรณีตัวอย่างการตรวจสุขภาพระดับยีน ในโปรแกรม “ZERO PLUS Cocktail” เพศชายรายหนึ่ง อายุ 48 ปี ซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างอ้วนและเคยได้รับการตรวจพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่จากการวิเคราะห์ถอดรหัสดีเอ็นเอกลับพบ “การกลายพันธุ์ และยีนบนโครโมโซมทั้ง 2 ข้าง มีความบกพร่อง” ซึ่งมีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกาย
       
       ขณะเดียวกัน ในขั้นตอนการตรวจและซักประวัติครอบครัวมีบิดาอายุ 77 ปี เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มารดาเสียชีวิตแล้วตอนอายุ 66 ปี สาเหตุการเสียชีวิตเป็นโรคเบาหวานชนิดคนที่มีอายุ ส่วนประวัติการป่วยเป็นโรคความดันสูง, โรคหลอดเลือดสมองอุดตันจนทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์-อัมพาต เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
       
       ประวัติของพี่น้อง มีพี่สาวและน้องสาว 2 คน ปัจจุบันมีสุขภาพดี, น้องชายคนที่ 3 เป็นโรคความดันสูง, น้องชายคนที่ 5 เป็นโรคความดันสูง, น้องชายคนที่ 6 เป็นความดันสูง, ผู้รับการตรวจมีลูกสาวเป็นแฝด และลูกชาย 1 คน (มีพรสวรรค์ทางด้านภาษา 6 ภาษา)
       
       ผลสรุปจากการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการจะเลือกยีน หรือบริเวณที่จะวิเคราะห์จากประวัติสุขภาพส่วนตัว, ประวัติครอบครัว รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม, โภชนาการ และวิธีการดำเนินชีวิต โดยเริ่มต้นจากการค้นหาตำแหน่งพันธุกรรมกลายพันธุ์แบบ somatic mutation (s) บนบริเวณ D-loop ของ mitochondrial DNA ก่อน แล้วจึงค้นหาถอดรหัสยีน หรือดีเอ็นเอ บริเวณอื่นที่เกี่ยวข้อง
       
       พบการกลายพันธุ์แบบ somatic
       
       ผลสรุปการวิเคราะห์ของผู้รับการตรวจรายนี้ ได้ข้อมูลว่า
       
       1.การวิเคราะห์ถอดรหัสดีเอ็นเอที่สกัดจากพลาสม่าบนบริเวณ D-loop ของ mitochondrial DNA (mtDNA) พบ enilmregmsihpromylop 5 ตำแหน่ง พบการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations 11 ตำแหน่ง
       
       2.การวิเคราะห์โดยถอดรหัสยีน TP53 เพื่อค้นหา germline polymorphism ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งที่หลายอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อ และเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยในคนไทย คือ R72P สำหรับผู้รับการตรวจรายนี้พบว่าพันธุกรรมตำแหน่งนี้เป็น R72P heterozygous genotype
       
       3.การตรวจค้นถอดรหัสดีเอ็นเอบนบริเวณ hotspots ของการกลายพันธุ์แบบ somatic mutation บนยีน TP53 ในพลาสม่าดีเอ็นเอ ได้พบการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations 13 ตำแหน่งบนบริเวณเนื้อยีน และนอกจากนี้ยังพบการกลายพันธุ์ที่มีลักษณะแบบ somatic mutation อีก 2 ตำแหน่งบริเวณนอกเนื้อยีน
       
       4.การวิเคราะห์ยีนที่ทำหน้าที่ขับสารพิษ (detoxifying genes) 2 ยีน คือ GSTM1, GSTT1 และ GSTP1 (โดยใช้ดีเอ็นเอที่สกัดจากเม็ดเลือดขาว) สำหรับกรณีนี้พบว่า ยีน GSTM1 บนโครโมโซมทั้ง 2 ข้าง มีความบกพร่อง ทำให้ยีนนี้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ยีน GSTT1 มี genotype เป็นปรกติ ส่วนยีน GSTP1 มีความบกพร่องบนโครโมโซม 1 ข้าง และมี genotype เป็น I105V การกลายพันธุ์แบบ somatic mutations ที่พบในพลาสม่าดีเอ็นเอ เป็นเบาะแสที่แสดงให้เห็นว่า ขณะนี้มีเซลล์บางส่วนที่เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่เริ่มมีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกาย
       
       ที่สำคัญในการวิเคราะห์ได้มีหมายเหตุ : ขณะนั้นสามารถพบเซลล์ผิดปรกติได้ประมาณ 1-10 เซลล์ ในเซลล์ทั้งหมดจานวน 100,000 เซลล์
       
       การกลายพันธุ์ somatic mutations พบเฉพาะในเซลล์ผู้ป่วยหรือเริ่มป่วยไม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลาน
       
       ส่วนสมาชิกของครอบครัวที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน และมี lifestyle แบบเดียวกันอาจเกิดการกลายพันธุ์แบบ somatic mutations ในลักษณะเดียวกันได้
       
       การกลายพันธุ์แบบ somatic mutations เหล่านี้ อาจสามารถกำจัดได้โดยการปรับเปลี่ยนโภชนาการ, วิถีชีวิต (lifestyle) และสิ่งแวดล้อม การกำจัด somatic mutations ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่ปรึกษา ที่เข้าใจเรื่องการตรวจสุขภาพระดับยีน และสามารถใช้ข้อมูลระดับดีเอ็นเอในการดูแลสุขภาพ
       
       ในกรณีที่การแก้ไขทำได้สำเร็จ ไม่ควรจะตรวจพบการกลายพันธุ์ somatic mutations อีก ในการตรวจพลาสม่าดีเอ็นเอครั้งต่อไป
       
       ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพ
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อ Heart Genetics ได้ทำการตรวจและแปรผลตามหลักวิชาการอย่างแม่นยำแล้ว ยังได้มีข้อแนะนำให้กับผู้ตรวจสุขภาพ โดยในกรณีนี้ระบุไว้ว่า ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่เข้าใจการดูแลสุขภาพระดับยีนร่วมด้วย (การกลายพันธุ์ somatic mutations จะพบเฉพาะในเซลล์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติของเซลล์มะเร็ง หรือพบเฉพาะในเซลล์ที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้ว)
       
       ทั้งนี้ มีตัวอย่างบางส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะ/คำแนะนำสำหรับการลดโอกาสป่วยด้วยโรคมะเร็งจากการกลายพันธุ์บน mitochondrial DNA: คือ
       
       1.การออกกำลังกายสม่ำเสมออาจช่วยทำให้ดีเอ็นเอที่กลายพันธุ์ (somatic mutations) บนไมโตคอนเดรียลลดลง แต่การศึกษาวิจัยในส่วนนี้ยังเพิ่งเริ่มและยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก
       
       2.ไมโตคอนเดรียล มีหน้าที่สร้างพลังงาน (ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เรียกว่า ATP) โดยการเผาผลาญสารอาหารด้วยออกซิเจน (เป็นการหายใจระดับเซลล์) การทำหน้าที่นี้จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ คือ reactive oxygen species (ROS) ซึ่งสามารถทำให้ดีเอ็นเอของไมโตคอนเดรียลเกิดการเสียหายกลายพันธุ์ (แบบ somatic mutations)
       
       การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้กระบวนการหายใจระดับเซลล์สร้าง ROS เพิ่มขึ้น และจะยิ่งมีผลทำให้เกิดการกลายพันธุ์บนไมโตคอนเดรียลเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีหลักฐานจากงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารที่เป็น antioxidants สามารถช่วยแก้ไขการกลายพันธุ์ (somatic) ให้กลับมาเป็นปรกติ
       
       โดยมีหมายเหตุ สรุปท้ายว่า : คำแนะนำข้างต้นเป็นคำแนะนำที่ท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แม้ว่าขณะนี้จะมี somatic mutations จำนวนน้อย หรือยังไม่มี somatic mutations เลยก็ตาม

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    1 กันยายน 2554

8793
ประเทศไทยกำลังมีแลปมหัศจรรย์ที่จะช่วยเรารอดพ้นจากการเจ็บป่วยใน 10 โรคร้ายได้
       • เพียงแค่เจาะเลือดก็สามารถถอดรหัสยีน-DNA ที่สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังจะป่วยด้วยโรคร้ายอะไรในอนาคต!
       • โดยเฉพาะโรคมะเร็งตัวการคร่าชีวิตในปัจจุบัน
       • ส่วนผู้สูงวัยที่ไม่ต้องการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
       • รวมถึง พ่อ-แม่ มือใหม่หากต้องการรู้ว่าลูกคุณจะเป็นเด็กอัจฉริยะหรือออทิสติก ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป…..
      
       ปัญหาสุขภาพของสังคมไทยยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความพยายามยกระดับระบบสาธารณสุขของไทยมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม บรรดาโรคภัยต่างๆ ที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นอันดับต้นของไทย จากข้อมูลพบว่าในช่วงปี 2548-2552 โรคมะเร็งเป็นสาเหตุในการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วย การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปอดอักเสบ ไตอักเสบ ฆ่าตัวตายและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมไทย
      
       แม้ว่าเทคโนโลยีการรักษา และเครื่องมือ ตลอดจนการศึกษาด้านสาธารณสุขของไทยจะพัฒนาขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกแล้วก็ตาม ดังที่มุ่งหวังว่าไทยจะเป็นฮับด้านสุขภาพ แต่เหนืออื่นใดก็ต้องยอมรับว่า การรักษาสุขภาพที่ดีถือว่าเป็นการป้องกัน จะเป็นการแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้ดีที่สุด หรือ “กันไว้ดีกว่าแก้” ซึ่งหลายครั้งก็พบว่า คนใกล้ตัวเสียชีวิตจากโรคร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่ทันรู้ตัว
      
       จากปัญหาข้างต้น จึงมีความพยายามของนักวิชาการชาวไทยที่พยายามคิดค้นและสืบลึกลงไปถึงต้นเหตุและพัฒนาวิธีการตรวจค้นและป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งห้องปฏิบัติการ ฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด ได้ค้นพบตรวจการระดับยีนแห่งแรกของไทย ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพก่อนที่จะสายเกินเยียวยา เพื่อเตรียมการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องที่สุด

รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร
      

ห้องปฏิบัติการบริษัทฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด
       “ไฮเทค-ข้อมูล”
       เจาะต้นตอพบโรคร้าย
      
       นวัตกรรมดังที่กล่าวมาเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ อย่างการตรวจเลือดเหมือนที่พบเห็นกันทั่วไป แต่มีการลงลึกไปในระดับเม็ดเลือด เซลล์ หรือโฟกัสไปยังยีน ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญของมนุษย์ในการทำหน้าที่และออกคำสั่งให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงาน ตลอดจนการคัดกรองเชื้อโรค
      
       การตรวจหาสาเหตุโรคร้ายในระดับยีนถูกพัฒนาไปอย่างสูงซึ่งสามารถตรวจจากเลือด และชิ้นเนื้อเพื่อสกัดลงไปในชั้นดีเอ็นเอ เพื่อตรวจสอบการเกิดโรค รวมถึงการใช้ยาและวิธีการที่ตรงกับ สาเหตุการเกิดโรค เนื่องจากยีนจะเป็นตัวกำหนดหน้าที่และการทำงานของเซลล์ภายในร่างกาย ซึ่งการตรวจในระดับยีนจะทำให้ทราบว่ายีนยังสามารถทำงานได้ปกติหรือไม่ หรือมีปัญหาที่จะก่อให้เกิดโรคในอนาคตหรือไม่ รวมถึงคำนวณระยะเวลาที่จะเกิดโรคได้ ซึ่งนำไปสู่ขั้นตอนในการตรวจให้คำแนะนำและการปรึกษาก่อนทำการรักษา (PreCounselling) เพื่อส่งต่อข้อมูลให้แพทย์ทำการวินิจฉัยแนะนำการป้องกันในกรณีที่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรค หรือเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะกับชนิดและสาเหตุของโรคเพื่อทำการรักษาต่อไป
      
       การตรวจวิเคราะห์ยีนจึงเหนือกว่าการตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไป เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในเรื่องการถอดรหัสดีเอ็นเอเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ที่สำคัญคือมีการรวบรวมข้อมูลดีเอ็นเอไว้กว่า 28,000 ราย หรือมี “DNA Bank” มากที่สุดในประเทศ โดยเป็นการศึกษาวิจัยและค้นพบโดย รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อดีตนักวิจัยด้านความหลากหลายและการกลายพันธุ์ของยีน (ทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล) และอื่นๆ ปัจจุบัน ซีอีโอ บริษัท ฮาร์ท เจเนติกส์ จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐใน 2 หน่วยงาน คือ 1.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (NIA) และ 2.ศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (TCELS) จุดสำคัญก็คือ การเจาะเลือดโดยอ้างอิงและตรวจในระดับยีน ซึ่งการตรวจในรูปแบบเฉพาะรายบุคคลนี้จะช่วยให้การตรวจรักษามีความถูกต้องและเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษาได้ดีที่สุด

       เจาะเลือดรู้ลึกถึงโรคร้าย
      
       รศ.ดร.คล้ายอัปสร บอกว่า การตรวจเลือดเพื่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิเคราะห์สาเหตุการเกิดโรคต่างๆ มีขั้นตอนดังนี้ คือ เมื่อเจาะเลือดทำการปั่นเลือด แยกเลือดระหว่างพลาสม่าและเม็ดเลือดขาวออกมา โดยเม็ดเลือดขาวจะนำไปตรวจหายีนที่กลายพันธุ์และนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ
      
       ขณะที่พลาสมาจะถูกนำไปสกัดดีเอ็นเอเพื่อหาจุดที่เกิดเซลล์มะเร็งในยีนทั้งจากครอบครัวที่มีประวัติการป่วยและที่ไม่มีการป่วย เพราะฉะนั้นความแม่นยำส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับครอบครัว การประพฤติปฏิบัติตัว สิ่งแวดล้อมในการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล และเมื่อนำผลการตรวจไปพิจารณาประกอบกับประวัติครอบครัวก็จะสามารถจำกัดวงและจุดที่จะเกิดโรคได้ รวมถึงการมีฐานข้อมูลในการศึกษาจากต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การให้คำแนะนำเพื่อป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง
      
       วิธีการตรวจเลือดนี้จะทำการตรวจในระดับที่ลึกลงไปเพื่อตรวจในระดับพลาสมาของยีน ที่จะช่วยให้ได้รู้ถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้ของการเกิดโรค ซึ่งทราบกันดีว่าดีเอ็นเอเป็นยีนพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งสามารถกลายพันธุ์ได้ใน 2 ลักษณะคือ 1.Germline Mutation ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางสายเลือดของบุคคลในครอบครัวซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ อันได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งสมอง และมะเร็งเม็ดเลือด
      
       2.Somatic Mutation เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองภายหลัง และจะถูกกระตุ้นให้เกิดโรคหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีหรือสัมผัสสารก่อมะเร็งไม่รู้ตัว เช่น อยู่ใกล้ผู้สูบบุหรี่ สัมผัสสารก่อมะเร็ง โลหะหนัก หรือเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งโอกาสที่จะเป็นมะเร็งในชนิดที่ใกล้เคียงกับกลุ่มแรกเพียงแต่อาจเกิดโรคในช่วงอายุที่มากขึ้น โดยผู้ที่ประวัติครอบครัวไม่พบผู้ป่วยในโรคร้ายมาก่อนก็จะค่อนข้างมั่นใจในสุขภาพ โดยลืมไปว่าโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายมีอยู่เช่นกัน และเมื่อตรวจพบก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นการเกิดมะเร็ง ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเกิดโรคและรับมือได้เร็วที่สุด
      
       สแกนมะเร็งตัวร้าย
      
       เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงด้านสุขภาพ โรคร้ายที่สร้างความสูญเสียแก่คนไทยเป็นอันดับ 1 ก็คือ โรคมะเร็ง ที่มีอัตราการเสียชีวิตแซงหน้าโรคร้ายอื่นๆ อย่างรวดเร็ว หรือกล่าวได้ว่าในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมาจะมีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยถึงชั่วโมงละ 6 คน ดังนั้น จึงกลับมาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของโรคมะเร็งอย่างเข้มข้นมาก รวมถึงศึกษาวิจัยเพื่อความแม่นยำและเน้นถึงแนวทางในการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค
      
       จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 มีจำนวนผู้ป่วยเนื้องอกและมะเร็งและเสียชีวิตรวมกันกว่า 58,076 ราย ขณะที่ในปี 2553 ตัวเลขผู้ป่วยใหม่สูงถึงประมาณ 118,601 ราย หรือมีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 คนในแต่ละปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปริมาณผู้ป่วยโรคมะเร็งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจากข้อมูลการวิจัยพบว่า พันธุกรรมเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการอยู่ที่สิ่งแวดล้อมไม่ดีจะนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งที่รวดเร็ว การค้นหาต้นตอก่อนการเกิดโรค ซึ่งสามารถทำได้ใน 2 ขั้นตอน คือ 1.การตรวจชิ้นเนื้อและนำมาสกัดดีเอ็นเอ ปัญหาบางส่วนมาจากการที่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจได้ ก็สามารถสกัดดีเอ็นเอจากเลือดได้ และ 2.การตรวจจากเลือดโดยตรง ซึ่งจะนำไปพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีการเทียบเคียงของผู้ป่วยโรคมะเร็งจนสามารถประเมินความเป็นไปได้ของการเจ็บป่วย
      
       ทว่า จุดสำคัญที่สุดในการตรวจหาโรคมะเร็งโดยทั่วไปที่มักตรวจพบในระยะที่ 1-4 ซึ่งหมายความว่าผู้เข้ารับการตรวจตกอยู่ในสถานะผู้ป่วยแล้วไม่ว่าจะอยู่ในขั้นที่ 1-4 ก็ตาม ซึ่งจะเป็นอันตรายเนื่องจากอัตราการขยายตัวของเซลล์เนื้อร้ายจะลุกลามแบ่งตัวขึ้นแบบทวีคูณหากมีการแตกตัวของเซลล์มะเร็งในขั้นที่ 2-4 และนำไปสู่การสูญเสียชีวิตในที่สุด
      
       “เซลล์เพียงเซลล์เดียวหลุดมาเพียง 1 เซลล์ในกระแสเลือด ในช่วงก่อนที่จะพบว่าเป็นมะเร็งตรวจเจอค่อนข้างยากแต่ก็สามารถตรวจได้อย่างแม่นยำ ทำให้เตรียมตัวรักษาได้ และที่สำคัญคือผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็งก็สามารถตรวจได้ เพราะมีโอกาสเป็นเช่นกัน”
      
       รวมถึงระยะเวลาของการบ่มเพาะและการเติบโตและแสดงอาการของโรคมะเร็งใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลว่า ผู้ที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีจึงไม่พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่การตรวจวิเคราะห์ในพลาสมาดีเอ็นเอเพื่อค้นหาเซลล์มะเร็งก่อนการป่วยระยะที่ 1 (ระยะที่ 0) หรือเรียกว่า ZeroPlus นี้ บุคคลทั่วไปไม่สามารถที่จะสังเกต หรือตรวจพบอาการใดๆ ได้เลย
      
       ขณะที่การตรวจในระยะที่ 0 หรือก่อนเข้าสู่การป่วย ซึ่งตรวจในขั้นตอนปรกติค่อนข้างยากเนื่องจากจะมีเซลล์มะเร็งปรากฏในกระแสเลือดเพียง 1ใน 1,000,000 เซลล์ รวมถึงดีเอ็นเอในพลาสม่าจะย่อยสลายตัวเร็ว จึงค่อนข้างยากในการตรวจสอบ แต่การตรวจเจอในขั้นนี้จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดโรคด้วยการรักษาสุขภาพ รับประทานอาหารชีวจิต ซึ่งหากเข้าสู่ในขั้นที่ 1 ที่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้ง่าย เนื่องจากมีจำนวนเซลล์มะเร็งไหลเวียนในกระแสเลือดถึง 1,000 ล้านเซลล์ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่ต้องใช้การรักษาแล้ว ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
      
       ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการดังกล่าวสามารถตรวจเซลล์มะเร็งในระดับ 0 ก่อนขั้นที่ 1 (Zero plus) ได้เพียงแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเป็น 1 ใน 4 แห่งที่สามารถตรวจได้ในโลก โดยมีในสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง เยอรมนี 1 แห่ง และไทย 1 แห่งเท่านั้น

       วางแผนชีวิต
       “สร้างอัจฉริยะ - ป้องกันโรคร้าย”
      
       นอกเหนือจากการตรวจมะเร็งแล้ว ยังสามารถตรวจโรคอื่นๆ รวมถึงการตรวจยีนเพื่อค้นหาความเป็นอัจฉริยะของลูกก็สามารถตรวจพบได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฝึกฝนและพัฒนาอย่างถูกวิธีโดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กที่ความเป็นอัจฉริยะที่สามารถตรวจหา “พรสวรรค์” และครอบครัวสามารถฝึกฝน “พรแสวง” ให้พัฒนาไปพร้อมๆ กันเพื่อสร้างเด็กอัจฉริยะให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งในช่วงเด็กแรกเกิดสามารถตรวจได้ทันทีจากการเจาะเลือด ซึ่งในช่วงวัย 3-5 ขวบเป็นช่วงของการบ่มเพาะความสามารถของเด็กให้พัฒนาอย่างถูกทางและเหมาะสมที่สุด
      
       “เด็กแรกเกิดสามารถตรวจค้นแววความเป็นอัจฉริยะได้ทั้งในทางวิชาการ หรือด้านกีฬา ซึ่งเมื่อทราบว่ามียีนเด่นเรื่องใด พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถจะปรับหรือสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาให้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาปรากฏขึ้นมาได้ ซึ่งหากช้าไปหรือพัฒนาไม่ถูกทางพรสวรรค์ที่ติดตัวมาก็จะหายไปเนื่องจากไม่ถูกพัฒนาอย่างถูกวิธี” รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าว
      
       รวมถึงปัญหาของเด็กออทิสติก หรือสมาธิสั้น ก็สามารถตรวจพบจากการตรวจยีนเช่นกัน เมื่อผู้ปกครองทราบตั้งแต่ต้นจะสามารถเตรียมการรับมือและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูแลได้อย่างถูกต้องต่อไป แต่สำหรับผู้ป่วยหรือบุคคลทั่วไป ก็สามารถตรวจค้นหาโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม และวางแผนในชีวิตและการรักษาโรคไว้ล่วงหน้า ก่อนที่โรคร้ายจะลุกลามเกินแก้ไข
      
       นอกจากนี้ ตรวจหาโรคภัยที่เมื่อล่วงเข้าสู่วัยชราที่มักพบเจอกันบ่อย อันได้แก่ โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ซึ่งโรคเหล่านี้จะสร้างปัญหาในช่วงวัยชราและเมื่อค้นพบแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีการตรวจในระดับยีนสามารถตรวจค้นโรคได้กว่า 10 โรค ดังนี้
      
       1.มะเร็งทุกชนิด 2.โรคหลอดเลือดหัวใจ-สมอง อุดตันจากคอเลสเตอรอล 3.โรคหัวใจอุดตันกะทันหัน 4.โรคเบาหวาน (เบาหวานเมื่ออายุเยอะและตรวจไม่พบในช่วงแรก) 5.โรคอ้วนจากพันธุกรรม 6.โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ 7.โรคตับแข็ง 8.โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ 9.สมาธิสั้น ออทิสติก และ 10.ความเป็นอัจฉริยะ
      
       ขณะเดียวกัน แล็บของฮาร์ท เจเนติกส์ ยังสามารถตรวจสุขภาพระดับยีนเพื่อหาโรคอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมโลกได้อีก ด้วยการกำหนดรหัสจำเพาะเพื่อตรวจหาแต่ละโรคได้ด้วย
      
       เปรียบเทียบตรวจ
       “ดีเอ็นเอ-เลือด”
      
       แต่เมื่อถามว่าการตรวจโรคในระดับของยีนและการเจาะเลือดทั่วไปตามที่พบเห็นในโรงพยาบาลทั่วไป มีความแตกต่างกันอย่างไร แม้ว่าเบื้องต้นจะมีการเจาะเลือดที่เหมือนกันโดยเก็บตัวอย่างได้ใน 2 ทาง คือ เจาะเลือดทั่วไปหรือการใช้เซลล์เยื่อกระพุ้งแก้ม แต่การตรวจค้นในระดับยีนซึ่งลึกลงไปและเฉพาะเจาะจงกว่าการตรวจเลือดทั่วไป
      
       จุดที่แตกต่างกันก็คือ การตรวจเลือดโดยทั่วไปสามารถบอกได้เพียงว่าเป็นโรคใด จำนวนกี่โรค รวมถึงสามารถตรวจได้เพียงในรายการที่กำหนดไว้ และที่สำคัญคือ การตรวจภายหลังที่มีการป่วยหรือเกิดการติดเชื้อหรือขยายตัวของโรคแล้ว
      
       แต่การตรวจเลือดในระดับดีเอ็นเอ นอกจากจะสามารถรู้ว่าป่วยเป็นโรคใดแล้ว ยังสามารถรู้ถึงโอกาสที่จะเจ็บป่วยได้ก่อนที่จะแสดงอาการ รวมถึงยังประเมินระยะเวลาในการเกิดโรค ไปจนถึงสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงระบุจุดที่จะเกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเทียบเคียงกับประวัติของครอบครัวและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลการวิจัยเพื่อความแม่นยำในการพิจารณาเป็นข้อมูลให้กับแพทย์เพื่อเลือกวิธีการในการรักษาต่อไป
      
       อย่างไรก็ตาม ในโรงพยาบาลทั่วไปบางแห่งก็พบว่ามีการตรวจเลือดในระดับดีเอ็นเอเช่นกัน หากแต่มีในกลุ่มโรคที่มีปริมาณผู้ป่วยมาก และใช้เวลานานเนื่องจากในแต่ละกรณีต้องส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งใช้เวลาในการตรวจราวๆ 1 ปี แต่ข้อดีของฮาร์ท เจเนติกส์ คือ การตรวจภายในประเทศไทยได้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาวิเคราะห์และมีความสะดวกในการเข้ารับการตรวจและรักษา รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในด้านการถอดรหัสดีเอ็นเอ ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ที่หากวัดจากปริมาณทั้งหมดทั่วโลกจะมีเพียง 100 แห่งทั่วโลก
      
       ตรวจยีน ตรงยา-รักษาง่าย
      
       การพัฒนาวิธีการตรวจค้นหาสาเหตุหรือการรักษาที่ตรงจุดของของโรคโดยตรง ซึ่งไม่รู้เพียงแค่ป่วยเป็นโรคอะไร แต่สามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของผู้ป่วยจะรับหรือปฏิเสธสารเคมีประเภทใดบ้าง จึงเหมือนเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและเลือกวิธีการรักษาโรคที่เหมาะสมได้ง่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายจากโรคได้ดียิ่งขึ้น หรือการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีต่างๆ อาทิ การฉายรังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง การใช้เคมีบำบัด “การทำคีโม” ตลอดจนการบำบัดด้วยฮอร์โมน ซึ่งการรักษาในบางวิธีอาจส่งผลร้ายต่อการรักษาแทน ตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ค้นพบว่ายีนในร่างกายไม่อาจถูกรังสีได้ ซึ่งหากทำการรักษาอาจจะทำให้เป็นการกระตุ้นให้มะเร็งแตกตัวได้เร็วขึ้น แทนที่จะหยุดยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
      
       ดังนั้น วิธีการตรวจในระดับยีนจึงมีความพิเศษกว่าการตรวจทั่วไป โดยจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวินิจฉัยของแพทย์ว่ารักษามาถูกทางหรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการหายจากโรค ลดความเจ็บปวดจากขั้นตอนการรักษา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค หรือมีข้อควรระวังเช่นไรทั้งการรับประทานอาหาร การอยู่ใกล้วัตถุที่เพิ่มความเสี่ยงของโรค รวมถึงการตรวจภายหลังการรักษาโรคว่าโรคร้ายหายจริงหรือไม่หรือยังมีเชื้อโรคร้ายอยู่ หรือสรุปง่ายๆว่า “เลือกยา ตรงยีน” นั่นเอง
      
       “บางครั้งผู้ป่วยต้องการที่จะทราบถึงกระบวนการรักษาของแพทย์ที่จะได้ผลหรือไม่ ซึ่งต่อมาก็พบว่าการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่มีสาเหตุจากการใช้ยาไม่ถูกประเภท การใช้ยาหรือวิธีการรักษา ซึ่งการใช้ยาในบางกลุ่มไม่ถูกกับโรค เมื่อใช้ไป ซึ่งมะเร็งลำไส้ที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ไม่ตอบสนองต่อตัวยาจึงทำให้ยาที่ให้ไปไม่เกิดผลในการรักษา และเซลล์มะเร็งก็กระจายต่อไปได้” รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร กล่าว
      
       หวั่นข้อมูลดีเอ็นเอไทยไหล
      
       อย่างไรก็ตาม การตรวจโรคในระดับยีนกำลังเป็นทิศทางที่วงการแพทย์ของโลกพยายามที่จะยกระดับขึ้นไป ซึ่งส่วนหนึ่งจะช่วยในการรักษา ขณะที่ส่วนหนึ่งก็คือ ฐานข้อมูลยีนของประเทศต่างๆ จะถูกพัฒนาและปรับปรุงในการออกแบบยาและอาหารเสริมให้เหมาะสมตามแต่ละภูมิภาค โดยปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างกว้างขวางในสัตว์เศรษฐกิจและพืชเศรษฐกิจไปแล้ว
      
       ดังนั้น การค้นคว้าวิจัยยีนเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดและผลิตอาหารและยาให้ตรงกับกลุ่มผู้ใช้ให้เหมาะสมมากขึ้น จะถือว่าเป็นการยกระดับการรักษาโรคครั้งสำคัญ แต่ยังมีจุดที่น่าเป็นห่วงก็คือ การค้นคว้าวิจัยและการเก็บข้อมูลในต่างประเทศมีความพร้อมและมีนักวิจัยเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีกลุ่มธุรกิจที่พร้อมลงทุนมากกว่า ซึ่งหากข้อมูลยีนของคนไทยไปอยู่ในมือต่างชาติ อาจทำให้เกิดการผลิตสินค้าต่างๆ มาขายในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้ราคาสูง หรือมองในแง่ร้ายในประเด็นด้านความมั่นคง ก็อาจนำไปสู่การผลิตอาวุธชีวภาพ ที่เกิดผลเฉพาะกลุ่มได้ด้วย
      
       ด้วยเหตุนี้ การวิจัยในระดับยีนจึงเป็นก้าวแห่งการค้นคว้าที่สำคัญของวงการวิทยาการทางการแพทย์ไทย เบื้องต้นจะสามารถช่วยในการป้องกันการเกิดโรคและอาจลดอัตราการเสียชีวิตของคนไทยได้...
      
       มะเร็งครองแชมป์คร่าชีวิต
       พบคนกรุงเสี่ยงมะเร็ง ‘ลำไส้ใหญ่-เต้านม’ สูง
      
       มะเร็งครองแชมป์โรคที่คร่าชีวิตอันดับ 1 เฉลี่ยกว่า 60% ตาย! เผยอัตรายอดผู้เป็นมะเร็งเพศชายตายมาก ด้านผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติหวั่น มะเร็ง ‘ลำไส้ใหญ่-มะเร็งเต้านม’ ยอดพุ่ง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ หลังพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เข้ากลุ่มเสี่ยงสูง
      
       มะเร็งเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี แม้การแพทย์จะทันสมัยมากขึ้น แต่ผู้เป็นมะเร็งยังมีเพิ่มมากขึ้นในทุกปี อาจเนื่องจากวิถีชีวิตของคนที่ก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
      
       ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งเปิดเผยว่า มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด สาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งมี 2 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้ 1.ปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น อาหาร, อากาศ, ยารักษาโรค, แสงแดด, เชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ 2.ปัจจัยภายในร่างกายที่ผิดปรกติ อาทิ พันธุกรรม, ระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

....มีต่อ      


8794
แพทย์​เปิดผลศึกษาชาย​ไทยอายุระหว่าง  40-70 ปีมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทาง​เพศสูง​ถึง 42% ขณะนี้​ได้พัฒนาสมุน​ไพรที่หา​ได้​ในประ​เทศ ​ทำ​เป็นยา​เสริมสมรรถภาพสำ​เร็จ

กรุง​เทพฯ * ตะลึง ชาย​ไทย 42% นก​เขา​ไม่ขัน พบอายุ 35 ปีขึ้น​ไป​ก็มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทาง​เพศ ​แพทย์​ไทย​เผยผลงานวิจัยกลุ่มยาสมุน​ไพรจีนหลายชนิดช่วยอวัยวะ​เพศ​แข็งตัวปึ๋งปั๋ง คิดค้นสูตร​เฉพาะ​เพิ่มสมรรถภาพทาง​เพศทด​แทนนำ​เข้ายา​ไวอะกร้าจากต่างประ​เทศ หลังทดลองกับ​ผู้ป่วย​แล้ว​เห็นผล ​ไร้อา​การข้าง​เคียง

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นพ.สรรชัย วิ​โรจน์​แสงทอง ศัลย​แพทย์ระบบปัสสาวะ ​และ​ผู้อำนวย​การศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซี​ไออาร์ดี ศูนย์วิจัย​และพัฒนาองค์​ความรู้ด้าน​การ​แพทย์​และสมุน​ไพรตะวันออก ​เปิด​เผยว่า จาก​การศึกษาพบว่า ชาย​ไทยอายุระหว่าง 40-70 ปี พบภาวะหย่อนสมรรถภาพทาง​เพศ (ED) ​หรือนก​เขา​ไม่ขัน 42% ​ซึ่ง​เป็น​ผู้ที่มีอา​การ​เล็กน้อยจน​ถึงรุน​แรง วิธี​การรักษา​ในปัจจุบันมี​การ​ใช้ยาสัง​เคราะห์​ใน​การบำบัด ​ซึ่งต้องนำ​เข้าจากต่างประ​เทศ​และมีราคา​แพง รวม​ทั้งมีอา​การข้าง​เคียงที่​ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น​จึง​ได้นำ​เอาภูมิปัญญาด้านศาสตร์สมุน​ไพรมาพัฒนาต่อยอด ​เพื่อ​ให้​ได้คุณสมบัติของสมุน​ไพรที่​เชื่อถือ​และปลอดภัย ​โดยร่วมมือกับนักวิจัยจากคณะ​แพทยศาสตร์ ​และคณะ​เภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำ​เนิน​การศึกษาวิจัยกลุ่มยาสมุน​ไพรหลายชนิดที่ช่วย​เพิ่มสมรรถภาพทาง​เพศ ช่วย​ให้อวัยวะ​เพศ​แข็งตัว ขณะนี้ผ่านขั้นตอน​การวิจัยทางคลินิก​เป็นที่​เรียบร้อย​แล้ว

นพ.สรรชัยกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของ​การวิจัยกลุ่มยาสมุน​ไพรตะวันออก​เป็น​การ​แพทย์ทาง​เลือก ​ใน​การป้องกัน​และรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทาง​เพศ ทด​แทน​การ​ใช้ยา​เคมีนำ​เข้าจากต่างประ​เทศ ตัวยาสมุน​ไพรที่สำคัญ ​เช่น ​เขากวาง, สอ​เอี้ยง, อิม​เอี้ยคัก, ​เม็ด​เก๋ากี้, ปา​เ​ก็ก​เทียน, ​เก้ากุ๊ก​เฮี้ยง, ​เน็กฉ่งยัง ​เป็นต้น ​ซึ่ง​เป็นสมุน​ไพรจีนที่มีรายงาน​การวิจัยสรรพคุณทางวิชา​การ​เผย​แพร่​ในระดับนานาชาติ ​โดยนำมาพัฒนา​เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ​แล้วทดสอบกับ​ผู้ป่วยจำนวน 60 ราย ด้วย​การ​ให้รับประทานยาจริง​และยาหลอก ผล​การทดลองพบว่า ช่วยสร้าง​ความพึงพอ​ใจ​ให้​แก่​ผู้ป่วย​โดย​ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ขณะนี้​ได้จดสิทธิบัตรสูตรยาสมุน​ไพร​เป็นที่​เรียบร้อย​แล้ว

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทาง​เพศ​เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะร่างกาย​และจิต​ใจของ​ผู้ป่วย​โดยตรง ​และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตคู่​ในที่สุด ​แต่ที่จริง​แล้วพบ​ได้​ในกลุ่ม​ผู้สูงอายุมากกว่า ​ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าสมรรถภาพทาง​เพศส่วนมากขึ้นกับอายุ สา​เหตุของอวัยวะ​เพศ​ไม่​แข็งตัว​หรือ​แข็งตัว​ไม่​เต็มที่ขณะมี​เพศสัมพันธ์​เกิด​ได้หลายปัจจัย ​แบ่ง​ได้​เป็น 2 กลุ่ม​ใหญ่ๆ คือ 1.ภาวะทางกายภาพ ​ได้​แก่ ​โรค​เบาหวาน ​ทำ​ให้​เส้น​เลือด​เสื่อม ​ไม่​ไปหล่อ​เลี้ยงอวัยวะ​เพศ ​และ 2.ภาวะจิต​ใจ ​เช่น ​ความ​เครียดกังวล นอกจากนี้ยังอาจ​เกิดจากสภาพร่างกาย​ไม่พร้อม ​เพราะ​ทำงานหนัก​เป็น​เวลานานๆ ​โดย​ไม่มี​การพักผ่อนอย่าง​เพียงพอ ​ซึ่งจะมีผล​ทำ​ให้​การผลิตฮอร์​โมน​เพศชายลดลง

"ปัจจุบันมี​การ​ใช้ยาสัง​เคราะห์​ในกลุ่ม PDE5-Inhibitor ​เพื่อรักษาอา​การดังกล่าว ​เป็นยา​เคมีที่มีอา​การข้าง​เคียง​ไม่พึงประสงค์​ในระดับสูง ​เช่น ​ความดัน​โลหิตต่ำ ปวดศีรษะ คัดจมูก อีก​ทั้งยากลุ่มนี้มีราคาสูง หาก​ผู้ป่วยมีอา​การรุน​แรง​ก็ต้อง​ใช้วิธี​การฉีดยา​และ​การผ่าตัด​ใส่​แกนอวัยวะ​เพศ​เทียม ​ซึ่งมีค่า​ใช้จ่ายสูง​เช่นกัน" นพ.สรรชัย​เผย

ส่วน​การวิจัยทางคลินิก​ได้ดำ​เนิน​การที่ห้องทดลองจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ​โดยคัด​เลือก​ผู้ป่วยที่หย่อนสมรรถภาพทาง​เพศระดับ​เล็กน้อย​ถึงปานกลาง อายุ 35 ปีขึ้น​ไป พบว่า ​ผู้ป่วยมีภาวะ​การ​แข็งตัวของอวัยวะ​เพศดีขึ้น ​โดย​ใช้​เวลาทดสอบประมาณ 1 ปี ​เสร็จสิ้น​เมื่อ​เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ​ทั้งนี้ กลุ่มยาสมุน​ไพรที่วิจัยขึ้นมา​ไม่​ใช้กับ​ผู้ป่วยที่มีอา​การรุน​แรง​หรือ​ผู้มีภาวะหลั่ง​เร็ว ​เพราะสรรพคุณของยาตัวนี้ คือ ช่วย​ให้​เลือดหมุน​เวียนดีขึ้น​และบำรุงร่างกาย ​เพิ่มสมรรถภาพทาง​เพศ

ด้านนายสุ​เมธ นิร​เพียรนันท์ ​ผู้พัฒนาสูตรยาสมุน​ไพรที่มีสรรพคุณ​ทำ​ให้อวัยวะ​เพศ​แข็งตัว กล่าวว่า สมุน​ไพรจีน​เหล่านี้มีฤทธิ์ร้อน ช่วย​ให้​เลือด​ในร่างกายสูบฉีด​และ​ไหล​เวียนดีขึ้น ​ทำ​ให้อวัยวะ​เพศ​แข็งตัว ยกตัวอย่างสรรพคุณสมุน​ไพรที่มีรายงานวิจัยอย่าง​เป็นทาง​การ ​เช่น ​เขากวาง ช่วยบำรุง​เลือด, สอ​เอี้ยง ช่วยบำรุง​ไต, อิม​เอี้ยคัก ​ซึ่ง​เป็นพระ​เอกของกลุ่มยาสมุน​ไพรสูตรนี้ ช่วย​ใน​เรื่อง​การขยายหลอด​เลือด ​ในประ​เทศสหรัฐอ​เมริกา ยุ​โรป​และจีน นำ​ไป​ใช้​เป็นส่วนประกอบตัวหลัก, ​เม็ด​เก๋ากี้ ที่​ใช้ต้มยา​ในบ้าน​เรา ช่วยบำรุงร่างกาย, ​เน็กฉ่งยัง ช่วย​เพิ่มปริมาณน้ำ​เชื้ออสุจิ นอกจากนี้ยังมีดอกคำฝอย ​ซึ่งช่วยขับปัสสาวะ​และ​เหงื่อ​เพื่อ​ไม่​ให้ตัวยาตกค้าง​ในร่างกาย

"กลุ่มยาสมุน​ไพรนี้ผลิตขึ้น​ในประ​เทศ​ไทย ​และต้อง​การ​ให้คน​ไทยหันกลับมา​ใช้สมุน​ไพร​ใน​การดู​แลรักษาสุขภาพมากขึ้น ทด​แทน​การซื้อยา​ไวอะกร้า รวม​ทั้งยาปลอมที่มีผลอันตรายต่อสุขภาพ ​และ​ในอนาคตจะมี​การวิจัยสมุน​ไพรพื้นบ้าน​ในประ​เทศ​ไทยต่อยอด​ใน​เชิงพาณิชย์ ​ทั้งนี้ สา​เหตุที่​เลือกวิจัยสมุน​ไพรจีน ​เพราะมีสรรพคุณสำคัญต่อสมรรถภาพทาง​เพศดีกว่าสมุน​ไพร​ไทย" นายสุ​เมธกล่าว​ในที่สุด.

ไทย​โพสต์ 31 สิงหาคม 2554

8795
 วันนี้ (31 ส.ค.) นพ.มานิต  ธีระตันติกานนท์  อธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวในการเป็นประธานเปิดโครงการการสำรวจความชุกของวัณโรคระดับชาติในประเทศไทยว่า ปี 2553 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้คาดการณ์ว่า   ประเทศไทยผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ราว  92,300 ราย ในจำนวนนี้ประมาณ 44,400 ราย เป็นผู้ป่วยที่เสมหะพบเชื้อวัณโรค และเสียชีวิตปีละ 12,000 ราย ขณะที่รายงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค พบว่า จำนวนผู้ป่วยวัณโรค ที่ขึ้นทะเบียนรักษาปี 2553 มีผู้ป่วยวัณโรคทุกประเภท จำนวน 62,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นวัณโรคเสมหะพบเชื้อจำนวน 32,800 ราย นั่นหมายความว่ายังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังไม่มีโอกาสเข้าถึงการรักษา หรือได้รับบริการแล้วแต่ยังไม่เข้าสู่ระบบที่เป็นมาตรฐาน คาดว่าประมาณ 30,000 รายทั่วประเทศ 
       
        อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวด้วยว่า   ดังนั้นเพื่อการติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยวัณโรคในครั้งนี้เป็นแบบเชิงรุก โดยใช้รถเอกซเรย์เคลื่อนที่ตรวจคัดกรองประชากรเพื่อดูความชุกของโรค เป็นครั้งที่ 5 หลังจากที่เคยดำเนินการมาแล้ว  4 ครั้ง  โดยดำเนินการ ในกลุ่มประชากรตัวอย่างประมาณ 90,000 คน แบ่งเป็น 100 พื้นที่สำรวจ  ใน 24 จังหวัดรวมทั้งพื้นที่ เพื่อประโยชน์ใน 4 ด้าน คือ 1.ได้รับการตรวจเอกซเรย์ปอดฟรีและรู้ผลภายใน 30 นาที   2.ได้รับความรู้เรื่องวัณโรคและการป้องกัน รวมถึงสามารถสังเกตอาการสงสัยที่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจรักษา     3.หากพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รับโอกาสเข้าถึงการรักษาวัณโรคให้หายขาด โดยกินยาให้ครบกำหนดอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากตรวจพบโรคได้ในช่วงแรก 4.ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในชุมชน นอกจากนี้ กิจกรรมดังกล่าว  กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  ได้ขอความร่วมมือมาไปยังสำนักงานป้องกันควบคุมโรค  สาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง และภาคส่วนต่างๆ ในระดับท้องถิ่น เพื่อเข้าร่วมดำเนินการในครั้งนี้ด้วย
       
       สำหรับอาการของผู้ป่วยที่มีสัญญาณในการเป็นวัณโรคมักมีอาการไอเรื้อรัง ทั้งนี้ ในปัจจุบันคือวัณโรคปอด เพราะเชื้อวัณโรคปอดสามารถแพร่กระจายและติดต่อได้ ง่ายโดยระบบทางเดินหายใจหากไม่ได้รับการรักษา อย่างถูกต้องร่างกายจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว และมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ทางกรมฯ จึงจำเป็นต้องเร่งป้องกัน” อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว
       
       นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์   รองธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  สำหรับกลุ่มอายุที่จำตรวจคัดกรองนั้น จะเริ่มตรวจในกลุ่มอายุ 15 ปี ขึ้นไป  โดยเริ่มโครงการในต่างจังหวัดราวเดือน ธ.ค. 2554 และในพื้นที่ กทม.เริ่มสำรวจ ปี 2555 โดยใช้งบประมาณในการดำเนินงานราว 60 ล้านบาท       
                               
       อนึ่ง พื้นที่ที่จะการดำเนินงานได้แก่  1.นนทบุรี 2.ปทุมธานี 3.ชัยนาท 4.ลพบุรี 5.ชลบุรี 6.ฉะเชิงเทรา 7.กาญจนบุรี 8.สมุทรสงคราม 9.นครราชสีมา 10.สุรินทร์ 11.อุดรธานี 12.เลย 13.อุบลราชธานี 14.นครพนม 15.นครสวรรค์ 16.พิจิตร 17 สุโขทัย 18.เพชรบูรณ์ 19.เชียงใหม่ 20.พะเยา 21 .นครราชสีมา 22.กระบี่ 23.สงขลา 24 .ตรัง และ 25.กทม.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 สิงหาคม 2554

8796
“วิทยา” มอบนโยบาย 16 ประเด็น แก่เหล่าข้าราชการ สธ.เน้นระบบบริการสุขภาพแก่ประชาชนและปัญหาบุคลากร
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข (สธ.) พร้อมด้วยนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.) ได้ประชุมมอบนโยบายการบริหารงานกระทรวงสาธารณสุข แก่ผู้บริหารระดับสูง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์และตัวแทนผู้บริหารโรงพยาบาลทั่วไป เป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการมอบนโยบายให้แก่ผู้บริการ สธ.นั้น นายวิทยา ได้ประกาศขอความร่วมมือให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพงดเข้ารับฟังรายละเอียด ในระหว่างประชุมมอบนโยบาย และให้ออกมารอสัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุม
       
       ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า ในระหว่างการประชุมมอบนโยบายนั้น นายวิทยา กล่าวว่า มอบนโยบายการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข จะต้องเร่งดำเนินการอย่างน้อย 15 ข้อ ได้แก่

1.พัฒนางานสาธารณสุข ตามแนวพระราชดำริ และโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์

2.เพิ่มคุณภาพระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการ อย่างที่มีคุณภาพมาตรฐานทั่วถึงเป็นธรรม สร้างระบบบริหารจัดการที่มีเอกภาพ

3.เร่งรัดมาตรการสร้างสุขภาพโดยมีเป้าหมาย เพื่อลดอัตราป่วย ตายและผลกระทบจากโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือดสมองและมะเร็ง

4.เร่งรัดดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ตลอดจนอาหารปลอดภัย

5.เตรียมความพร้อมพัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย การจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทันการณ์เมื่อเกิดภัยพิบัติ โรคระบาด และภัยธรรมชาติ
       
6.จำกัดให้มีการดูแลกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มเด็กสตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอื่น เช่น กลุ่มแรงงานข้ามชาติ

7. สร้างแรงจูงใจและพัฒนาขีดความสามารถของอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคนโดยสนับสนุนอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย

8.สร้างแรงจูงใจแก่บุคลากรสาธารณสุข โดยปรับระบบค่าตอบแทนให้เหมาะสมและความก้าวหน้าในวิชาชีพที่เป็นธรรมสร้างกลไกพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ

9.เพิ่มการลงทุนในระบบบริการทุกระดับ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์ การแพทย์ ที่จำเป็น มุ่งเน้นการพัฒนา หน่วยบริการปฐมภูมิทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท

10.ส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ในระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับ
       
11.ส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub and Wellness)

12.สนับสนุนความร่วมมือ ระหวงภาครัฐและเอกชน ในการจัดบริการสุขภาพ

13.พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพให้มีคุณภาพ และบริการข้อมูลสุขภาพ สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ

14.พัฒนาผลักดันและการบังคับใช้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์ต่อการสนับสนุนการดำเนินงาน ด้านสาธารณสุข และ

15.จัดตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ควบคุมป้องกัน การใช้สารตั้งต้น ในการผลิตยาเสพติดและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสารเสพติดชนิดใหม่

16.สื่อสารสาธารณะด้านสุขภาพ
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการมอบนโยบาย ว่า จะหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ถึงปัญหาเรื่องการกระจายงบประมาณให้กับโรงพยาบาลแต่ละจังหวัด ซึ่งยังมีช่องว่างในการกระจายงบประมาณต่อหัว บางจังหวัดเฉลี่ยแล้วได้อัตราเหมาจ่ายหัวละ 400 บาท แต่ในขณะที่บางจังหวัด เฉลี่ยแล้วได้หัวละ 2,000 บาท โดยจะต้องเร่งแก้ปัญหาให้ช่องว่างดังกล่าวอยู่ที่ 1,100-1,600 บาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยเฉพาะจังหวัดที่มีประชากรน้อย ก็จะได้รับงบประมาณเท่าเทียมกับจังหวัดที่ประชากรมาก ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ อาจจะตัดเงินเดือนออกงบประมาณรายหัว หรือใช้โมเดล ที่จะปรับเฉลี่ยค่าบริการสุขภาพแก่ประชาชน โดยกำลังมีการศึกษาอยู่ ทั้งนี้โมเดลดังกล่าวจะศึกษาให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2555 สำหรับประเด็นเรื่องค่าตอบแทนจะมีการหารือเพื่อให้ได้งบประมาณที่มั่นคงกว่าเดิมที่ได้รับปีต่อปี
       
       ทั้งนี้ หลังเสร็จการประชุม นายวิทยา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ภารกิจเร่งด่วนที่จะทำ คือ นโยบายทั้งหมดที่ได้มองหมายแก่ผู้ปฏิบัติงาน แต่ที่จะเน้นที่สุด คือ การให้บริการเรื่องหลักประกันสุขภาพ และปัญหาบุคคลากร ที่ยังมีความขาดแคลนอยู่ ซึ่งจะเน้นการประสานงานระหว่างกระทรวงต่อกระทรวง กรมต่อกรม โดยจะเร่งดำเนินการในการแก้ปัญหาภายในของกระทรวงก่อน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทน ที่จะต้องจัดสรรงบประมาณ 1,700 ล้านบาท เพื่อให้บุคคลากรมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ไม่ต้องแบกรับภาระอะไร
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดเก็บค่าบริการ 30 บาท ในระบบบัตรทองจะเริ่มเมื่อใด นายวิทยา กล่าวว่า จะต้องขอหารือในทางปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 สิงหาคม 2554

8797
 วันนี้ (31 ส.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 8 ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะส่งเสริมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกให้มีในระบบบริการของโรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับที่มี  10,851 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค การดูแลและบำบัดรักษาสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน  อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคไมเกรน รวมทั้งผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีทั้งหมอพื้นบ้านที่มีประสบการณ์หลากหลาย  และหมอแผนไทยประยุกต์รุ่นใหม่เป็นกำลังคนด้านสุขภาพอีกกว่า 50,000 คน จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ควบคู่กับการแพทย์แผนตะวันตก  ตั้งเป้าในปี 2555 จะให้บริการให้ได้ 12 ล้านครั้ง และส่งเสริมให้โรงพยาบาลต่างๆใช้ยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติจำนวน 71 รายการ เพื่อทดแทน ลดการใช้ยาแผนตะวันตกให้ได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 20 ของมูลค่าการใช้ยาทั้งหมด
       
                 “นอกจากนี้จะส่งเสริมการทำวิจัยการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นๆ ด้วยสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ยังไม่มียาแผนปัจจุบันรักษาหายขาด  เช่น มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น รวมทั้งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน” นายวิทยากล่าว
       
       ด้าน พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯได้ สนับสนุนให้ทุกหมูบ้านปลูกป่าสมุนไพร เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน เป็นทั้งแหล่ง อาหาร ยา แหล่งรายได้ของชุมชนทุกหมู่บ้านในปี 2555 ซึ่งนำร่องไปแล้ว 6 จังหวัด ในปี 2550-2552ได้แก่สุรินทร์ กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครสวรรค์ ตรังและพัทลุง จากการประเมินพบว่าในชุมชนที่นำร่องมีหมอพื้นที่บ้านที่เป็นผู้รู้ด้าน สมุนไพรทั้งหมด 114 คน พบพันธุ์สมุนไพรและพืชที่เป็นแหล่งอาหารและที่ใช้เป็นยาตำรับรักษาโรค ในพื้นที่มากถึง 737 ชนิด ป่าสมุนไพรบางแห่งเช่นที่ป่าทามท่าสว่าง จ.สุรินทร์ สร้างรายได้ชุมชนปีละ 7 แสนบาท
       
       สำหรับ งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 โดยร่วมมือกับองค์กรภาคีต่างๆ 18 องค์กร และมีเครือข่ายที่เข้าร่วมงานกว่า 100 เครือข่าย เป็นเวทีในการนำเสนอองค์ความรู้เพื่อขับเคลื่อนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและได้สัมผัสการใช้การ แพทย์ดั้งเดิมและสมุนไพรเพื่อการดูแลตนเอง โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 4 กันยายน 2554 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7 - 8 เวลา 10.00 - 20.00 น. 
       
       กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการประชุมวิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก นิทรรศการยาไทย ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาไทยทุกภาค หลากตำรับ ตรวจสุขภาพเด็กวัยรุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทย แผนจีน และแพทย์ทางเลือก มีการแนะนำสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งภายในงานจะมีสูตรและวิธีการทำ สามารถให้ประชาชนทั่วไปสามารถนำสูตรนี้ นำกลับไปใช้เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพของตนเองได้ การปรุงยาสมุนไพร เช่น ยาดอง และ แจกต้นสมุนไพรแห่งยุค 5 ชนิด 5 วัน ได้แก่ ต้นอัคคีทวาร กินแล้วสวย ต้นรางจืดราชายาแก้พิษ ต้นเพกาต้านอนุมูลอิสระ ต้นเครือเขาแกลบ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และต้นตำยาน บำรุงกำลัง วันละ300 ต้น และแจกหนังสือบันทึกของแผ่นดินเล่มสี่เรื่องสมุนไพรบำรุงกำลังวันละ 200 เล่ม
       
       นอกจากนี้ยังมีการจัดการอบรมระยะสั้นมากกว่า 40 หลักสูตร เช่น การทำลูกประคบ สีผึ้งสมุนไพร แชมพู ยาสีฟันสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา การทำชันตะเคียน น้ำนัวปรุงรสแทนผงชูรส การนวดตนเอง การ กดจุดบำบัด การนวดเด็กแบบจีน และโยคะเพื่อการพึ่งตนเอง ประชาชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนหน้างานได้และหลังจากที่อบรมแล้วจะได้รับ ประกาศนียบัตรรับรองความรู้ 

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 สิงหาคม 2554

8798
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า  ขณะนี้ผู้หญิงมีความเสี่ยงหลายเรื่อง ทั้งจากโรคภัยคุกคามสุขภาพ ในปี 2553 มีรายงานผู้หญิงเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรคได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือด รวม 42,500 คน อันดับ 1 คือโรคมะเร็งทุกชนิด 24,417 คน รองลงมาคือโรคหลอดเลือดสมอง 7,477 คน และโรคหัวใจขาดเลือด 5,327 คน นอกจากนี้ผู้หญิงยังเสี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความสวยความงามที่ไม่ปลอดภัยเช่น เครื่องสำอาง ผลิตอาหารลดความอ้วนต่างๆ อีกด้วย
 
 ดังนั้นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขต่อไปนี้ จะเร่งรัดมาตรการการสร้างสุขภาพ เพื่อลดอัตราป่วย และการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว รวมทั้งการจัดบริการดูแลสุขภาพเฉพาะกลุ่ม ได้แก่กลุ่มเด็ก สตรี กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ โดยเฉพาะในการดูแลสุขภาพกลุ่มสตรีนั้น กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือจากองค์กรที่ดำเนินการเกี่ยวกับผู้หญิง เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้หญิง โดยร่วมมือกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์  รณรงค์ให้ทุกจังหวัดรวมทั้ง กทม. ตั้งชมรมสตรีไทยห่วงใยสุขภาพ ในปี 2554 นี้ตั้งเป้า 84 ชมรม เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มุ่งให้คนไทยทุกหมู่เหล่ามีสุขภาพดี และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มั่นใจว่าชมรมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการกระตุ้น ให้ความรู้ ไปสู่กลุ่มผู้หญิงด้วยกัน หันมาใส่ใจสุขภาพอย่างทั่วถึงมากขึ้น   

มติชนออนไลน์ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

8799
    นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ว่า ได้มีการต่อยอด 30 บาทเดิม ที่วันนี้แหล่งการบริการยังไม่คลอบคลุมดีพอ เราจะเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มการบริการ คำนึงถึงความรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ต่อปัญหาของประชาชนในการรักษา รวมทั้งคำนึงถึงการป้องกัน ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มอบโครงการเพิ่มประสิทธิภาพนี้ ตอนนี้การแก้ไขปัญหารักษาโรคจะหนักอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จริงการให้บริการของกระทรวงสาธารณสุขยังมีอีก 80 เปอร์เซ็นต์ ที่ให้คำนึงถึงการป้องกัน ตนคิดว่าเราสามารถบริหารจัดการดูแลพี่น้องประชาชนได้ ดึงคนป่วยมาอยู่ในฐานของ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีฐานการให้บริการอย่างชัดเจน ตนคิดว่าจะมีอะไรที่ทำอีกเยอะไม่ใช่แค่การรักษาอย่างเดียว อย่างไรก็ตามสามารถเริ่มโครงการได้ทันที

    นายต่อพงษ์กล่าวว่า วันนี้ตนและรมว.สาธารณสุขจะมอบนโยบายให้กับข้าราชการ เพื่อให้รับทราบแนวทางปฏิบัตินโยบายของกระทรวง ตอนนี้กระทรวงสาธารณาสุขพร้อมที่จะทำงาน เพียงแต่ต้องการทราบนโยบายที่ชัดเจนในวันนี้ ส่วนปัญหาเรื่องระเบียบการนั้นไม่น่าจะมี เพราะงบประมาณที่จะเข้าไปเพิ่ม ปี 2555 ก็พร้อมจนเหลือที่จะดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน

เนชั่นทันข่าว 30 สค. 2554

8800
นายชัยวัน ​เจริญ​โชคทวี คณบดีคณะ​แพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยกรุง​เทพมหานคร กล่าวว่า คณะ​แพทยศาสตร์วชิรพยาบาล รับสมัครสอบคัด​เลือกบุคคล ​เพื่อ​เข้าศึกษาหลักสูตร​แพทยศาสตรบัณฑิต ระบบรับตรง​โควตาพิ​เศษ ประจำปี​การศึกษา 2555 จำนวน 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่ม 1 นัก​เรียนของ​โรง​เรียนสังกัดกรุง​เทพมหานคร จำนวน 2 คน

กลุ่ม 2 นัก​เรียนที่มีภูมิลำ​เนา​ใน​เขตกรุง​เทพ มหานคร จำนวน 2 คน ​และ

กลุ่ม 3 นัก​เรียนที่​เป็นบุตรของข้าราช​การ/ลูกจ้างประจำสังกัดกรุง​เทพมหานคร ​หรือพนักงาน มหาวิทยาลัยกรุง​เทพมหานคร จำนวน 6 คน

ผู้สน​ใจ​ให้ขอ​และยื่น​ใบสมัครด้วยตน​เองที่ฝ่าย​แพทยศาสตร์ศึกษา​และกิจ​การนักศึกษา ชั้น 6 อาคาร​เพชรรัตน์ คณะ​แพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยกรุง​เทพมหานคร ​หรือ download ​ใบสมัคร​ได้จาก webside : www.vajira.ac.th ​หรือ www.vajira.ac.th/mededu ตั้ง​แต่บัดนี้​ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ​ในวัน​และ​เวลาราช​การ สอบถาม​โทร. 02-2443151-2

แนวหน้า 30 สิงหาคม 2554

8801
    เมื่อวานนี้โฆษกกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งให้โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ในกรุงไทเป ทำรายงานชี้แจงอย่างละเอียดภายในวันพรุ่งนี้ กรณีที่มีการผ่าตัดนำอวัยวะของผู้บริจาคที่ติดเชื้อเอชไอวี สาเหตุของโรคเอดส์ ไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยถึง 4 คน
    ล่าสุดเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้กล่าวขอโทษสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและบอกว่าขณะนี้ผู้ป่วยที่ได้รับอวัยวะของผู้ติดเชื้อเอชไอวี กำลังได้รับยาต้านเอดส์แล้ว นอกจากนี้เวบไซต์ของโรงพยาบาลได้โพสข้อความชี้แจงเมื่อสุดสัปดาห์ว่า ความผิดพลาดเกิดจากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ได้ยินผิดพลาดว่า ผลการตรวจสอบหาเชื้อเอชไอวีในอวัยวะของผู้บริจาคมีผลเป็นลบ แต่จริงๆแล้วมีผลเป็นบวก ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งสองสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์โดยไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งอื่นซ้ำอีกรอบตามที่ขั้นตอนกำหนด
    ผู้บริจาคอวัยวะชายวัย 37 ปีในเมืองซินฉู่ ล้มป่วยถึงขั้นโคม่าเมื่อวันที่ 24 ส.ค. และหัวใจ ตับ ปอด และไตสองข้าง ของเขาได้รับการปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย 4 คนในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันและผู้ป่วยอีก 1 รายในโรงพยาบาลอีกแห่ง โดยที่ครอบครัวของผู้บริจาค ไม่รู้ว่าเขาติดเชื้อเอชไอวี
    ขณะนี้แพทย์และพยาบาลที่ร่วมทำการปลูกถ่ายอวัยวะเริ่มแสดงความกังวลว่าพวกเขาอาจมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีด้วยก็เป็นได้
    เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังจะส่งทีมไปตรวจสอบเรื่องนี้และจะตัดสินใจว่าจะดำเนินมาตรการลงโทษต่อโรงพยาบาลอย่างไร ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจต้องรับโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีและทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน อาจต้องถูกสั่งห้ามทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะนาน 1 ปี

เนชั่นทันข่าว 29 สค. 2554

8802
 “ต่อพงษ์” ชู “อุดรโมเดล” เป็นต้นแบบแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดึงเครือข่ายสังคมออนไลน์มาช่วยแจ้งเตือนข่าวสาร เชื่อมโยงระหว่างพื้นที่กับส่วนกลาง และจัดบริการอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์น้ำท่วม ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 1 คน เอกเซรย์ทุกข์สุขชาวบ้าน 300 หลังคาเรือน
       
       วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ จ.อุดรธานี นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์นิทัศน์ รายยวา ผู้ตรวจราชการ เขต 10 นายแพทย์สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วม

       นายต่อพงษ์กล่าวว่า ต้องการให้จังหวัดอุดรธานีเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้านการแพทย์และสาธารณสุข บริการผู้ประสบภัย หรือเรียกว่า อุดรโมเดล เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว โดยการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือระบบไอที เข้ามาช่วยในการประสานและบูรณาการระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่กับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และส่วนกลาง ในการแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารน้ำท่วมถึงประชาชนในพื้นที่
       
       นายต่อพงษ์ กล่าวต่อว่า ในการเตรียมรับมือน้ำท่วมได้แบ่งความรุนแรงของปริมาณน้ำฝนและระยะเวลาของระดับน้ำท่วม เช่น หากน้ำท่วมในพื้นที่มีระยะเวลาน้ำท่วม 3 วัน จะต้องมีการส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และยารักษาโรคลงพื้นที่ หากมีระยะเวลาน้ำท่วมเกิน 5 วัน จะต้องส่งหน่วยสุขภาพจิตดูแลด้านจิตใจของประชาชนผู้ประสบภัย นอกจากนี้ จะมีหน่วยค้นหาปัญหาสุขภาพ หรือเฮลท์ ยูนิต แสกน (Health Unit Scan) โดยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 1 คน ออกให้ความรู้เรื่องระบบการดูแลสุขภาพประชาชน คนละ 300 ครอบครัว ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความรู้ในการปฏิบัติตัวในช่วงน้ำท่วมได้อย่างถูกต้อง จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่จะมาใช้บริการโรงพยาบาลได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 สิงหาคม 2554

8803
 ชาวบ้านที่เดือดร้อนจากสารพิษ สระบุรี บุก สธ.อีกระลอก จี้ “วิทยา” ให้แก้ปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
       
       วันนี้ (29 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านที่เดือดร้อนด้วยโรคสารพิษและได้รับสารพิษจากบ่อขยะอันตราย (คสส.) ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี กว่า 70 ราย นำโดย น.ส.ศรีวรินทร์ บุญทับ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ต.หนองปลาไหล ได้เข้ามายื่นหนังสือขอบคุณนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ได้รับปากว่าจะแก้ปัญหาความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่มีปัญหาสุขภาพจากสารพิษนานาชนิด

       โดย น.ส.ศรีวรินทร์กล่าวว่า ประเด็นหลักๆที่ชาวบ้านคาดหวังมากที่สุด ในการแก้ปัญหาสุขภาพ คือ
1.เรื่องการจัดตั้งโรงพยาบาลโรคสารพิษ หรือ สถาบันโรคสารพิษขึ้นในพื้นที่เสี่ยงและเกิดสารพิษระบาด อาทิ ในพื้นที่บ่อขยะ จ.สระบุรี พื้นที่มาบตาพุด และร่อนพิบูลย์ เป็นต้น
2.จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะอาจจะเป็นกรมสุขภาพสิ่งแวดล้อม โดยมีงบประมาณในการจัดจ้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญโรคจากสิ่งแวดล้อมคอยให้บริการประชาชน และ
3.เร่งรัดให้หน่วยงานดังกล่าวลงพื้นที่เพื่อดูแลสุขภาพร่างกายประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งตนเชื่อว่า รมว.สธ.จะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยดี
       
       หลังจากที่เครือข่ายได้นำเสนอปัญหาและความเดือดร้อน ไปเสนอไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่บ้านพักของนายวิทยา ซึ่งได้รับปากแล้วว่าจะเร่งหาทางแก้ให้โดยเร็ว
       
       “จากการเข้าพบที่ผ่านมา รัฐมนตรีแค่รับปากว่าจะหาทางแก้ปัญหาสุขภาพแก่ประชาชนที่ได้รับสารพิษโดยเร็ว แต่ในเรื่องของการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ที่เสนอนั้นยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในฐานะตัวแทนประชาชน ให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่อยู่แล้ว ทั้งนี้ หากกระทรวงสาธารณสุข จะมีวิธีแก้ที่ดีกว่า ก็ยินดี ขอพียงแค่บรรเทาปัญหาก็พอ ” น.ส.ศรีวรินทร์กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 สิงหาคม 2554

8804
หลวงพ่อคูณ" ทรุด ทีมแพทย์ ศิษยานุศิษย์เครียดถกด่วน เล็งส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ศิริราช มีอาการสำลัก ฉันได้น้อยถึงไม่ยอมฉันเลย เล็งเจาะช่องท้องให้อาหาร-ยา ขณะที่ รพ.ศิริราช ตอบกลับ เตรียมส่งหมอชุดใหญ่มารักษาแทน...

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 ส.ค. ที่หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และลูกศิษย์ใกล้ชิด เปิดเผยถึงอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ซึ่งพักรักษาอยู่ที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา เป็นเวลานานเกือบ 4 เดือน มีอาการทรุดลงในช่วงกลางดึกว่า ตนได้รับรายงานจากคณะแพทย์แล้ว ไม่ได้ทรุดหรือเป็นอะไรมาก เนื่องจากน้ำหนักหลวงพ่อไม่เพิ่มขึ้น และฉันได้น้อย ขณะนี้อาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งอาการโดยรวมยังทรงๆ ทรุดๆ และที่น่าห่วงคือเมื่อคืนหลวงพ่อคูณเกิดอาการสำลักอาหาร ทำให้ฉันภัตตาหารไม่ได้ และน้ำหนักตัวลดลงประมาณ 2-3 กิโลกรัม ทางคณะแพทย์ รพ.มหาราชนครราชสีมา จึงอยากให้นิมนต์หลวงพ่อคูณไปเจาะหน้าท้อง เพื่อให้อาหารทางกระเพาะอาหารที่ รพ.ศิริราช กรุงเทพฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานกับ รพ.ศิริราช เพื่อส่งตัวไปรักษา ซึ่งทาง รพ.ศิริราชยังไม่ตอบรับกลับมา

ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. วันเดียวกัน ที่ห้อง 9821 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 รพ.มหาราชนครราชสีมา คณะแพทย์โดยการนำของ นพ.พินิศจัย นาคพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด รพ.มหาราชฯ แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ ได้เข้าตรวจอาการ โดยหลวงพ่อคูณยังคงนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง มีสายยางให้อาหารทางโพรงจมูก เนื่องจากหลวงพ่อคูณฉันได้น้อย และบางครั้งก็ไม่ยอมฉัน ประกอบกับมีอาการสำลักบ่อยครั้ง พร้อมกับให้ยาขยายหลอดลม โดยการตรวจใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ และถ่ายภาพอยู่หน้าห้องกระจก โดยหลวงพ่อคูณนั่งก้มหน้าตลอดเวลา แต่รับรู้ และตอบสนองได้ดี ขยับมือ เท้าได้ ลุกยืนได้ แต่ก็ต้องมีลูกศิษย์คอยพยุงช่วย เนื่องจากหลบแสงแฟลช

นพ.พินิศจัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. หลวงพ่อคูณมีอาการสำลัก และติดเชื้อในปอดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ รักษาภาวะปอดบวมจากการสำลัก ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อวันที่ 28 ส.ค. สามารถที่จะหยุดยาฆ่าเชื้อที่ ให้ทางหลอดเลือดดำ สาเหตุสำลักเกิดจากปัจจัย 1. อายุมาก และ 2. เคยมีปัญหาเส้นเลือดสมองตีบ และเส้นเลือดสมองแตกที่รุนแรงมากต้องผ่าตัดเมื่อ 7 ปีก่อน จึงทำให้กลไกการกลืนผิดปกติ ทำให้มีอาการลำลักได้ง่ายขึ้น ส่วนอาการติดเชื้อที่ปอด ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว

เมื่อถามถึงการที่หลวงพ่อไม่ยอมฉัน หรือฉันได้น้อย และมีอาการสำลักบ่อยครั้ง จำเป็นจะต้องเจาะหน้าท้อง เพื่อให้อาหารหรือไม่ นพ.พินิศจัย ตอบว่า มาถึง ณ วันนี้ที่เราได้คำตอบคือว่า ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าให้ท่านฉันอาหารเอง ไม่พอแน่ เพราะพอให้ท่านฉันเอง น้ำหนักก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ ท่านอยากฉัน แต่ก็ฉันได้น้อย และเรื่องของภาวะสำลัก เพราะพอท่านฉันเอง ก็จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการกลืน ซึ่งตั้งแต่ท่านอยู่ที่ รพ.มหาราชฯ ยังมีปัญหาปอดบวมจากการสำลัก 3 รอบแล้ว

ฉะนั้นคณะแพทย์ และลูกศิษย์รวมถึงผู้ใหญ่ที่ดูแล และทาง รพ.ศิริราช ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า หลวงพ่อคงจะต้องให้อาหารทางหน้าท้องดีที่สุด เมื่อถามว่าหากจะย้ายไป รพ.ศิริราช จริงจะเดินทางได้หรือไม่ นพ.พินิศจัย กล่าวว่า เดินทางได้ แต่ตนคิดว่าทางศิริราชประเมินไว้หมดแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเอาอาจารย์ขึ้นมา ทำให้เราหรือตนเชื่อว่าทางศิริราช ก็คงเอาหลวงพ่อเป็นหลัก จึงให้คำตอบเรามาแบบนั้น ส่วนอาการหรือสภาพ ณ วันนี้ ถือว่าท่านดีขึ้น วัณโรคดีขึ้นชัดเจน น้ำในช่องปอด วัณโรคในปอดด้านซ้ายก็หายไปเกือบหมด น้ำหนักขึ้นมา 5 กก.ครึ่ง จาก 35 กก. ตอนนี้ 40.5 กก. ส่วนการเจาะหน้าท้อง คงต้องรอคำตอบจากทางศิษยานุศิษย์ และผู้ว่าฯ ว่าประสานกันว่าจะเอาอย่างไร ส่วนโอกาสจะคืนสภาพร่างกาย กลับมาฉันอาหารเหมือนเดิม หรือเดินไปไหนมาไหนสะดวกนั้น ถ้าพูดในแง่ฉันอาหารได้เหมือนเดิม ตนคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งท่านฉันได้น้อยลงเรื่อยๆ ตามอายุของท่าน เรื่องเดินไปมา คิดว่าคงมีโอกาสที่ท่านจะมาเดินได้ ทุกวันนี้ก็เดินได้แต่เดินได้ระยะสั้นๆ.

ไทยรัฐออนไลน์ 30 สิงหาคม พ.ศ.2554

8805
จ.ส.อ.ทหาร ผช.แพทย์ รพ.ค่ายวชิราวุธ ทภ.4 ใช้ปืนจ่อหน้าอกซ้ายยิงตัวเองดับสยองหน้าลานกีฬาในหมู่บ้าน พี่สาวเผยคาดน้องเครียดจากงาน เนื่องจากช่วงนี้ที่ รพ.งานเยอะ...

เมื่อเวลา 06.45 น. วันที่ 30 ส.ค. พ.ต.ท.ไพรัช ทองฉิม พนักงานสอบสวน หน.สภ.ย่อยปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงตัวตายที่ลานเล่นกีฬาหมู่บ้านสุวรรณภูมิ ถนนอ้อมค่าย ม.5 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ธรรมนูญ ไฝจู ผกก., พ.ต.ท.วินัย คงประพันธ์ สว.สส. และเจ้าหน้าที่กองวิทยาการเขต 43 นครศรีธรรมราช แพทย์เวร รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช และ จนท.มูลนิธิประชาร่วมใจรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบศพผู้เสียชีวิตชื่อ จ.ส.อ.คมสัน คงทน อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 320/17 ม.5 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นอนหงายเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ในสภาพนุ่งกางเกงขาก๊วยขายาวสีขี้ม้า ไม่สวมเสื้อ สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่อกด้านซ้าย 2 นัด และพบอาวุธปืนขนาด .38 ตกอยู่ที่หว่างขา 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานตรวจสอบต่อไป

จากการสอบสวนทราบว่า จ.ส.อ.คมสัน ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ประจำอยู่ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ 4 อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ก่อนเกิดเหตุได้ออกจากบ้านซึ่งอยู่หลังหมู่บ้านดังกล่าวเพื่อไปออกกำลังกาย ที่ลานกีฬาของหมู่บ้าน ระหว่างนั้นมีคนได้ยินเสียงปืนดังติดต่อกัน 2 นัดซ้อน เมื่อออกไปดูพบร่างของ จ.ส.อ.คมสัน นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว จากการตรวจสอบการยิงตัวตายถึง 2 นัด ทำให้เจ้าหน้าที่มีความเห็นแตกต่างกัน และเป็นข้อสงสัยบางคนระบุว่ายิงนัดแรกอาจจะยังมีสติจึงยิงนัดที่สอง ขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าการยิงตัวเองเข้าจุดสำคัญนั้นแค่นัดเดียวก็หมดสติ ไม่สามารถยิงนัดที่สองได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจสอบวิถีกระสุนอย่างละเอียดต่อไป เบื้องต้นพบรอยเขม่าดินปืนที่มือขวา

ด้านเจ้าหน้าที่กองวิทยาการ เขต 43 นครศรีธรรมราช ระบุว่า การชันสูตรศพพบเขม่าดินปืนที่มือขวาของผู้ตาย และระยะการยิง ยิงมาจากด้านหน้า เชื่อว่าน่าจะเป็นการยิงตัวตาย ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำพี่สาวของผู้ตายระบุว่า จ.ส.อ.คมสัน เป็นน้องชาย ไม่มีครอบครัว ทราบว่าผู้ตายได้ขโมยอาวุธปืนไปจากบ้านกระทั่งมีคนได้ยินเสียงปืนจึงตามไปดู พบศพน้องชายยิงตัวตายแล้ว ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องงานในที่ทำงานใน รพ.ค่ายวชิราวุธ โดยช่วงนี้ที่ รพ.ค่ายวชิราวุธ มีงานเยอะมาก อาจจะทำให้ผู้ตายเครียดจึงได้ก่อเหตุในที่สุด อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ ในที่ทำงานระบุว่าอุปนิสัยใจคอของ จ.ส.อ.คมสันนั้นปกติเป็นคนร่าเริง และจริงจังกับงานมาก ไม่คาดคิดว่าจะมาฆ่าตัวตาย สาเหตุน่าจะมาจากสาเหตุเรื่องส่วนตัวก็ได้ และหลังจากชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้วจึงมอบให้กับญาตินำไปจัดการตามประเพณีต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์ 30 สิงหาคม พ.ศ.2554

หน้า: 1 ... 585 586 [587] 588 589 ... 648