This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - story
หน้า: 1 ... 587 588 [589] 590 591 ... 653
8821
« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:33:53 »
นักวิจัยพบว่า การดูหนังที่ทำให้เราหัวเราะดีต่อสุขภาพหัวใจของเรา ในทางกลับกันการดูหนังสยองขวัญหรือหนังสงครามจะเพิ่มความเครียดให้แก่เราแทน
ในการวิจัย อาสาสมัครชมหนังตลกต่อเนื่องกัน เช่นเรื่อง "There Something About Mary" แสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ แล้วในวันถัดมาชมหนังสงคราม "Saving Private Ryan"
ดร.ไมเคิล มิลเลอร์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แมริแลนด์ ประเทศสหรัฐ กล่าวว่า เมื่ออาสาสมัครชมหนังที่มีเนื้อหาเครียด หลอดเลือดจะมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ โดยจะทำการบีบตัวทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากมากขึ้น แต่ในทางกลับกันหากชมหนังตลก หลอดเลือดจะคลายตัวแทน
เขากล่าวว่า ข้อค้นพบนี้ยืนยันงานศึกษาวิจัยที่เคยมีมาก่อนว่า หากเราอยู่ในภาวะเครียดและกดดัน หลอดเลือดของเราจะบีบตัว โดยรวมแล้วจากการเก็บข้อมูล 300 ครั้งพบว่า ความแตกต่างระหว่างหลอดเลือดในยามที่เราหัวเราะกับยามที่เราเครียด มีขนาดแตกต่างกันถึง 30-50%
ดร.มิลเลอร์แนะนำว่า "ข้อสรุปง่ายๆ ก็คือ การหัวเราะดีต่อหัวใจของเรา ระดับความเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เราพบหลังการหัวเราะ อยู่ในระดับเดียวกับการออกกำลังกายแอโรบิกเลยทีเดียว".
ไทยโพสต์ 12 กันยายน 2554
8822
« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:32:05 »
ประธาน สพศท.-เครือข่ายภาคประชาชน บุกยื่นหนังสือร้อง “วิทยา” ปลด “หมอวิชัย” พ้นตำแหน่งกรรมการ สปสช.เจ้าตัวลั่นพร้อมตั้งกรรมการสอบ วันนี้ (12 ก.ย.) เวลา 13.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาล โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) ได้ยื่นหนังสือต่อ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อขอให้คัดชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ออกจากการเป็นคณะกรรมการในสัดส่วนตัวแทนจากผู้สูงอายุ ตลอดจนผู้แทนองค์กรเอกชนที่มาจากเครือข่ายภาคประชาชน ขณะที่เครือข่ายต่างๆ เช่น สมาคมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม องค์กรแรงงานรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ชมรมเกษตรกรรักษ์สิ่งแวดล้อม เครือข่ายป้องกันประชาชนด้านสาธารณสุข ชมรมผู้สูงอายุชนบท ฯลฯ ได้รวมตัวกัน เพื่อยื่นหนังสือประท้วงต่อ นายวิทยา ในฐานะประธานคณะกรรมการ สปสช.เพื่อให้พิจารณาคัดชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ออกจากการเช่นกัน โดย พญ.ประชุมพร ประธาน สพศท.กล่าวว่า จะมีการยื่นหนังสือเพื่อขอให้คณะกรรมการปลด นพ.วิชัย โชควิวัฒน จากคณะกรรมการบอร์ด สปสช.ซึ่งในวาระนี้ นพ.วิชัย เป็นตัวแทนในสัดส่วนภาคองค์กรเอกชน (NGO) ในสัดส่วนผู้สูงอายุ เนื่องจากมีพฤติกรรมเสื่อมเสียตาม มาตรา 16(6) ซึ่งว่าด้วยเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน คือ นพ.วิชัย เป็นประธานอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สปสช. ซึ่งมีอำนาจในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ จากองค์การเภสัชกรรม ซึ่ง นพ.วิชัย ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอยู่เช่นกัน อีกทั้ง นพ.วิชัย ยังเคยถูกมติจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีมติว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2553 และทำให้เกิดมาตรฐานในสิทธิการรักษา ทำให้ผู้ป่วยรับสารพิษ ไม่อยู่ในกรอบนโยบาย สปสช.ในขณะเป็นกรรมการ สปสช.ในตำแหน่งคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ พญ.ประชุมพร กล่าวด้วยว่า ทั้ง สพศท.และเครือข่ายฯ อยากให้ นายวิทยา พิจารณาคัดชื่อ นพ.วิชัย ออกจากคณะกรรมการ ซึ่งปรากฏชัดว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน ในการเป็นคณะกรรมการที่ทับซ้อนกัน อยู่ทั้งในส่วนผู้ซื้อคือ สปสช.และผู้ขาย คือ องค์การเภสัชกรรม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ก็ระบุไว้ชัดเจน ว่า บุคคลจะต้องอยู่ใน 2 วาระ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อจากคณะกรรมการในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ มาอยู่ในสัดส่วน NGO ซึ่งในขณะที่ นพ.วิชัย ก็เป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการในส่วน NGO กันเอง นอกจากปลด นพ.วิชัย ออกจากคณะกรรมการ อยากให้ นายวิทยา ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความโปร่งใสของที่มากลุ่มที่ 4 คือ NGO และกลุ่ม 6 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ เนื่องจาก พบว่า มีการคัดเลือกโดยให้ผู้ที่เคยอยู่ในคณะกรรมการแล้วมาดำรงตำแหน่งใหม่ โดยสลับกลุ่ม เช่น นางบุญยืน ศิริธรรม เคยเป็นกรรมการในฐานะองค์กรเอกชนด้านสตรี แต่ภายหลังพบว่า มีการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนด้านการเกษตร ทำให้เกิดความสับสน ประธาน สพศท.กล่าวด้วยว่า ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ ยังมีประเด็นเร่งด่วนที่อยากให้ นายวิทยา ในฐานะประธานบอร์ด สปสช.เร่งแก้ปัญหา คือ เรื่องการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงใน 585 แห่ง จาก 821 แห่ง และยังพบว่ามีการค้างชำระกับโรงพยาบาลแพทย์ 9 แห่งในปี 2553 จำนวน 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการตรวจสอบโดยคณะอนุกรรมาธิการในคณะกรรมการธิการสาธารณสุขวุฒิสภาในปีงบ 2553 พบว่า ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง สปสช.มีเงินค้างท่อ ปี 2551 จำนวน 11,570 ล้านบาท ปี 2552 จำนวน 12,323 ล้านบาท และ ปี 2553 จำนวน 15,703 ล้านบาท โดยเงินค้างท่อดังกล่าว ปี 2554 จ่ายไป 7,754 ล้านบาท รวมแล้วมีเงินค้างท่อคงเหลือ 34,821 ล้านบาท โดย สปสช.อ้างว่า มีหนี้สินรอจ่ายทุกปี น.ส.ศรีวรินทร์ บุญทับ ประธานสมาคมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการที่กลุ่มตัวแทนภาคเอกชน รวมทั้ง นพ.วิชัย เป็นคณะกรรมการอยู่ ไม่มีการแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขในฐานะคณะกรรมการ นอกจากเข้ามานั่งในตำแหน่ง เพื่อล้างผลาญงบประมาณของรัฐเท่านั้น อีกทั้งยังมีกระแสข่าวออกมาว่า ไม่มีความโปร่งใสในการคัดเลือกคณะกรรมการ จึงอยากให้รัฐมนตรีพิจารณาตามคำเรียกร้องที่เครือข่ายได้ยื่น ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับกรณีการร้องเรียนดังกล่าว ตนเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งจะนำเรื่องที่มีการร้องเรียนทั้งหมดภายในกระทรวง รวมถึงเรื่องนี้ ซึ่งมีนายธวัชชัย สุทธิบงกช เลขานุการรัฐมนตรี สธ.เป็นประธานกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ พร้อมทั้งจะแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองทางกฎหมาย ซึ่งมี นายสุพจน์ ฤชุพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน โดยมอบให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.รับไปดำเนินการต่อแล้ว และตนจะลงนามแต่งตั้งภายหลังจากการแต่งตั้งคณะเลขานุการและที่ปรึกษาในวันที่ 13 ก.ย.เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนการร้องเรียนนั้นจะมีการตรวจสอบรายละเอียดตามที่มีการร้องเรียนมาโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วที่สุด รมว.สธ.สำหรับสัดส่วนของคณะกรรมการที่แต่งตั้งคณะกรรมการที่มีการลงคะแนนเลือกนั้น ประกอบด้วย ด้านการประกันสุขภาพ คือ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ด้านการแพทย์แผนไทย นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ด้านการแพทย์ทางเลือก นพ.พินิจ หิรัญโชติ ด้านการเงินการคลัง นางวรนุช หงสประภาส ด้านกฎหมาย นายเสงี่ยม บุญจันทร์ และ ด้านสังคม นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ทั้งนี้ จะมีการส่งรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดให้กลุ่มงานด้านกฎหมายของกระทรวงตรวจสอบความถูกต้อง คุณสมบัติต่างๆ อีกครั้งก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า อนึ่ง สำหรับสัดส่วนของคณะกรรมการบริหารหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) มีทั้งหมด 30 คน ประกอบด้วย 1.รัฐมนตรี สธ. 2.ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัด สธ. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ 3.ผู้แทนเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นอย่างละ 1 คน 4.ตัวแทนสภาวิชาชีพ 5 คน ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 5.ตัวแทนกลุ่มเอ็นจีโอ โดยการคัดเลือกกันเองในแต่ละกลุ่มให้เหลือกลุ่มละ 1 คน จากนั้นคัดเลือกให้เหลือ 5 คน และ 6.ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ซึ่งเป็นกรรมการที่ต้องแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554
8823
« เมื่อ: 12 กันยายน 2011, 21:25:27 »
“ขอนแก่นโมเดล” ที่หนึ่ง รางวัลวิชาการ สธ.ยอดเยี่ยมปี'53 หลังเจอวิกฤตผ่าต้อกระจกติดเชื้อ ปี’ 52 คนไข้ไม่ฟ้อง เหตุ รพ.รับผิดชอบ ทั้งค่าตอบแทน-รักษาฟรีตลอดชีวิต ด้านรางวัลดีเด่นเรื่อง “ไข้หวัดใหญ่ 2009” เผย เฝ้าระวัง 7 วันไม่พอ ต้องเพิ่มเป็น 14 วัน เหตุบางรายมีเชื้อติดค้างในคอ นายวิทยา บุรณสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2554 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2554 โดยมีการมอบรางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยมประจำปี 2553 ทั้งหมด 5 รางวัล
รางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยม 1 รางวัล ได้แก่ เรื่อง “ผ่าวิกฤติตาติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก รพ.ขอนแก่น”
รางวัลวิชาการดีเด่น 3 รางวัล ได้แก่ 1.เรื่องปริมาณไวรัสและระยะเวลาในการขับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอ เอช1เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 2.เรื่องการพัฒนาการผลิตกุ้งจ่อม อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ 3.เรื่องการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยขึ้น-ลงรถเข็นคนพิการ นางพิมพ์วรา อัครเธียรสิน หัวหน้าพัฒนาคุณภาพและบริหารความเสี่ยงรพ.ขอนแก่น ผลงาน ผ่าวิกฤติตาติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก รพ.ขอนแก่น กล่าวว่า จากวิกฤตเมื่อปี 2552 ที่คนไข้ของ รพ.ติดเชื้อหลังผ่าตัดต่อกระจกที่ รพ.ขอนแก่น จำนวน 11 ราย ทางรพ.จึงได้เข้าเยียวยาคนไข้เหล่านี้ โดยในจำนวนนี้สูญเสียการมองเห็นถาวร 7 ราย สายตาเลือนลาง 3 ราย และช่วยให้มองเห็นได้ทัน 1 ราย ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษากระบวนการเยียวยา นางพิมพ์วรา กล่าวอีกว่า กระบวนการเยียวยานั้น ประกอบด้วย ทีมงาน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ทีมรักษา ซึ่งนายแพทย์ท่านเดิมที่รักษาจะทำการเยียวยารักษาคนไข้พร้อมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 2.ทีมสอบสวน จะมีหน้าที่สอบสวนหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุและทำการป้องกันการติดเชื้อ พร้อมปรับปรุงการผ่าตัดและการใช้อุปกรณ์ 3.ทีมเจรจา มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยระหว่างคนไข้-ญาติ และผู้บริหารของ รพ.โดยทางผู้บริหารและผู้อำนวยการได้ขอโทษต่อเหตุการที่เกิดขึ้น 4.ทีมประสาน ทำหน้าที่จัดการประสานงานต่างๆ ระหว่างคนไข้ โรงพยาบาล รวมไปถึงสื่อมวลชน “ทาง รพ.ได้ทำการขอโทษด้วยความจริงใจ พร้อมทั้งรับผิดชอบทั้งด้านค่าใช้จ่าย การออกบัตรวีไอพีที่สามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกโรคตลอดชีวิตให้กับผู้เสียหาย ซึ่งผลของการทำงานเป็นที่น่าพอใจเพราะไม่มีผู้เสียหายรายไหนฟ้องร้อง รพ.จนปัจจุบันมีหลาย รพ.ขอเข้าศึกษา จนมีการเรียกกระบวนการเยียวยานี้ ว่า ขอนแก่นโมเดล” ด้านนพ.วิชัย ขัตติยวิทยากุล สนง.สาธารณสุข จ.นครราชสีมา ผลงานเรื่องปริมาณไวรัสและระยะเวลาในการขับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า ปกติผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อทานยาแล้ว ไข้จะลงภายใน 24 ชม.โดยจะเฝ้าระวังใน 7 วัน แล้วให้คนไข้กลับบ้าน แต่จากการศึกษาพบว่า มีคนไข้บางรายยังมีเชื้อค้างอยู่ในลำคอ ซึ่งจะต้องเพิ่มระยะเวลาในการเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นเป็น 14 วัน
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554
8824
« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:53:18 »
คลังดีเดย์ 1 เม.ย.55 ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบใช้งบ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี “วิรุฬ” เผยปรับทุกวุฒิการศึกษาให้เท่าเทียมกันทุกคน ส่วนรากหญ้าไม่น้อยหน้า “ธีระชัย” สั่งออมสิน - ธ.ก.ส.อัดฉีดอีก 7 หมื่นล้านบาทเข้ากองทุนหมู่บ้านพร้อมประสานงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนต่อไป นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยืนยันจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในสัปดาห์หน้าเพื่อปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย และทหารกองประจำการ โดยในระยะสั้นจะจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พ.ช.ค.) ก่อน โดยจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 สำหรับการปรับโครงสร้างฐานเงินเดือนทั้งระบบมอบหมายให้กรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาดำเนินการต่อไป โดยในวันที่ 1เมษายน 2555 จะสามารถดำเนินการครอบคลุมได้ทั้งระบบ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) โดยมีข้อสรุปว่าการปรับขึ้นเงินเดือนจะมีประโยชน์ต่อข้าราชการมากกว่าการเพิ่มค่าครองชีพแต่ปัญหาในการดำเนินการในแนวทางปรับขึ้นเงินเดือนนั้นจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) เงินเดือนข้าราชการพลเรือน ซึ่งต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ดังนั้นจึงอาจจะล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ได้ แนวทางที่จะหาทางออกได้ดีที่สุดที่ทั้งกรมบัญชีกลางและก.พ,เห็นตรงกัน คือ การดำเนินการสองแนวทางควบคู่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป กรมบัญชีกลางจะจัดสรรเงินเพิ่มค่าครองชีพให้แก่ ข้าราชการวุฒิปริญญาตรี ให้มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท และข้าราชการวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีให้มีรายได้ 9,000 บาทต่อเดือนไปก่อน ซึ่งจะใช้งบประมาณในปีงบประมาณรายจ่าย 2555 ประมาณ 24,533 ล้านบาทตามเดิม ขณะเดียวกัน สำนักงานก.พ. ก็จะทำเรื่องเสนอรัฐบาลแก้ไขกฎหมายปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ โดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งคาดว่าอาจจะใช้เวลาพอสมควร โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ซึ่งเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ การจ่ายเงินค่าครองชีพก็จะทยอยลดลง และกลับมาเป็นการจ่ายเงินเดือนแทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้าราชการจะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ตามที่ ก.พ.ได้นำเสนอในที่ประชุมเรื่องการปรับฐานเงินเดือนนั้น จะไม่ใช่การปรับเงินเดือนขึ้นในคราวเดียวเป็น 15,000 บาท แต่จะเป็นการทยอยปรับฐานเงินเดือนจาก 9,140 บาท เป็น 12,000 บาทในปี 2555 และ 13,000 บาทในปี 2556 และ 14,000 บาท ในปี 2557 และ 15,000 บาทในปี 2558 ซึ่งในระหว่างที่การปรับฐานเงินเดือนยังทำให้รายได้ของข้าราชการไม่ถึง 15,000 บาทนั้นจะใช้การจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพร่วมไปก่อนเพื่อให้มีรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งในแง่งบประมาณ ถือว่าใช้เงินที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแง่ของภาพรวมของระบบจะมีความยุติธรรมต่อผู้ที่เข้ามาก่อน และจะมีการทยอยปรับเงินเดือนของวุฒิปริญญาโท และเอกตามไปด้วย นายวิรุฬกล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ 1. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปที่มีอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง เดือนละ 15,000 บาท ให้รับ พ.ช.ค. เพิ่มอีก เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับ 15,000 บาท 2. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ที่มีอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง เดือนละ 9,000 บาท ให้รับ พ.ช.ค. เพิ่มอีก เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับ 9,000 บาท 3. ทหารกองประจำการซึ่ง เดิม เงินเดือนในระดับ พ.1 รวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม และ พ.ช.ค. อัตราขั้นต่ำเดือนละ 8,610 บาท ให้เพิ่มเป็น 9,000 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป จากนโยบายดังกล่าวมีบุคลากรภาครัฐได้ประโยชน์เป็นจำนวนทั้งสิ้น 649,323 คน คิดเป็นเงินงบประมาณปี 2555 จำนวน 18,396 ล้านบาท และใช้เงินต่อปีเป็นเงิน 24,533 ล้านบาท ***รากหญ้าไม่น้อยหน้าอัดฉีด 7 หมื่นล. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินกองทุนหมู่บ้านเพิ่มแห่งละ 1 ล้านบาท ทั้ง 7 หมื่นหมู่บ้าน รวมเป็นเงิน 7 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเบื้องต้นให้ใช้เงินทุนของธนาคารจ่ายไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีงบประมาณ แต่ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กองทุนหมู่บ้านนั้น ให้ทั้ง 2 ธนาคารจัดทำกระบวนการจ่ายเงิน โดยให้กองทุนหมู่บ้านต้องมีระบบการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือชุมชนในหมู่บ้านตามหลักการพี่ช่วยน้อง รัฐบาลที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการหนี้นอกระบบไว้แล้ว โดยได้เปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบถึง 1.1 ล้านราย รวมเป็นมูลหนี้ 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้มีประชาชนถอนตัวยออกไปบ้าง 4.6 แสนราย ส่วนที่เหลือเข้าร่วมโครงการ 5.8 แสนราย รวมมูลหนี้ 6.7 หมื่นล้านาท ซึ่งธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเข้าไปแก้ไขและปล่อยสินเชื่อแล้วรวมเป็นเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงเห็นว่าการให้เงิน 1 ล้านบาทแก่กองทุนหมู่บ้านไปดำเนินโครงการดังกล่าวต่อนั้น น่าจะเพียงพอ “โดยหลักการแล้ว จะใช้ลักษณะของพี่ช่วยน้อง เพื่อให้คนในชุมชนนั้นชักจูงประชาชนที่เป็นหนี้ให้เข้ามาสู่การเป็นหนี้ในระบบ มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งนี้จะให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งดังกล่าวจัดตั้งเคาน์เตอร์รับเรื่องเฉพาะหนี้นอกระบบขึ้นมา โดยประสานงานต่อไปยังสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน (สพช.) หรือสำนักปากท้อง ของกระทรวงการคลังให้พิจารณาอนุมัติ” นายธีระชัยกล่าว.
ASTVผู้จัดการรายวัน 9 กันยายน 2554
8825
« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:47:00 »
แพทย์หญิงมาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครจัด “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” โดยสำนักการแพทย์ ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม และบริษัทสยามฟาร์มาซูติคอล จำกัด จัดกิจกรรมรณรงค์คัดแยกขยะอันตรายมุ่งเน้นให้ประชาชนทั่วไป ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร มีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะอันตรายจากมูลฝอยทั่วไปซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บขยะอันตรายเป็นไปอย่างถูกต้องและนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในการจัดเก็บขยะในกรุงเทพมหานครจะแยกเป็น 3 ประเภท คือ 1.ขยะทั่วไป สำนักสิ่งแวดล้อมจัดการด้วยวิธีฝังกลบ รีไชเคิล หรือเปลี่ยนเป็นพลังงาน 2.ขยะติดเชื้อ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด จัดการโดยวิธีเผาด้วยเตาเผาแรงดันสูง และ 3.ขยะอันตราย หรือ มูลฝอยอันตราย (Hazardous waste) ซึ่งจากรายงานการจัดเก็บปัจจุบันพบว่าจัดเก็บได้เพียง 0.60 ตัน/วัน ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณมูลฝอยอันตรายที่คาดการณ์เฉลี่ย 24 ตัน/วัน เนื่องจากประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจและแรงจูงใจในการคัดแยก
โดยมูลฝอยอันตราย อาทิ แบตเตอร์รี่ ถ่านไฟฉาย ไส้ปากกา กระดาษคาร์บอน กระป๋องสารเคมีกำจัดแมลงหรือยุง กระป๋องสเปรย์ กระป๋องสีทาบ้าน ขวดยาหมดอายุ หลอดไฟ หมึกพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทจะมีสารพิษที่ทำลายสุขภาพ เช่น สารหนู(ก่อมะเร็ง), แคดเมียม(พิษต่อระบบหายใจ), ตะกั่ว(พิษต่อระบบย่อยอาหารและระบบหายใจ ระยะยาวมีผลต่อสมองและระบบประสาท), ปรอท(พิษต่อระบบประสาททำให้พิการ) และแมงกานีส(ประสาทหลอนสมองอักเสบ) จึงจำเป็นต้องกำจัดอย่างถูกวิธี จึงเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น
สำหรับกิจกรรมนอกจากรณรงค์ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในวิธีการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีแล้วจะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมกันการคัดขยะอันตรายจากมูลฝอยทั่วไปโดยให้นำขยะอันตรายไปแลกยาสามัญประจำบ้านได้ที่โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลตากสิน, โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ, โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์, โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร, โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลสิรินธร ซึ่งอาจประสานเพิ่มจุดรับแลกที่วชิรพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทุกพื้นที่ โดยกทม.จะเปิดรับแลกมูลฝอยอันตราย ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน — 31 ธันวาคม 2554 โดยตั้งจุดรับแลกเฉพาะมีถังขยะสำหรับบรรจุขยะอันตรายที่ประชาชนนำไปแลกเพื่อขนย้ายไปทำลายอย่างถูกวิธีต่อไป
แนวหน้า 9 กันยายน 2554
8826
« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:42:31 »
ที่โรงพยาบาลอินทร์บุรีจังหวัดสิงห์บุรีน้ำเจ้าพระยาไหลเอ่อท่วมทางเข้า ออกของรพ.อินทร์บุรีมีระดับสูง 1 เมตร เจ้าหน้าที่จึงเร่งการสร้างสะพานเหล็กยาวประมาณ 700 เมตรจากรพ.ถึงถนนสายสิงห์บุรี ชัยนาทเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล พร้อมตั้งศูนย์บริการชั่วคราวให้กับประชาชนและนำรถอีนแต๋นรับส่ง และแจ้งเตือนประชาชน ผู้เข้ารับรับการรักษาติดตามสถานการณ์อย่างใก้ลชิดในระยะ2- 3 วันนี้
รพ.อินทร์บุรีจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ช่วยน้ำท่วม
พญ.วนิดา สาดตระกูลวัฒนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เปิดเผยว่า ภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สำหรับโรงพยาบาลอินทร์บุรีแล้ว ประสบปัญหาบริเวณรอบนอกของโรงพยาบาล เท่านั้น เนื่องจากที่ตั้งของโรงพยาบาลอินทร์บุรีมีสันเขื่อนล้อมรอบ จึงไม่ทำให้ไม่มีน้ำเข้าท่วมขังบริเวณภายในโรงพยาบาล ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงให้ความสำคัญต่อการที่จะดูแลประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม จึงได้จัดทีมแพทย์เคลื่อน ออกหน่วยบริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนที่จะได้รับบริการทางการแพทย์ ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ สำหรับผู้ป่วยเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิด หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองเองได้และผู้สูงอายุในช่วงที่น้ำท่วมขังอาจต้องเป็นภาระให้กับบุคคลในครอบครัวมากขึ้น ก็ได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยบางส่วนไว้สำหรับรองรับ
เนชั่นทันข่าว 9 กย. 2554
8827
« เมื่อ: 11 กันยายน 2011, 20:38:32 »
เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 10 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากฝนตกตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากท่วมริมถนนมิตรภาพ ระหว่าง กม.ที่ 22-23 หมู่ 5 และ 9 ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี รถยังสามารถวิ่งผ่านได้อย่างช้าๆ
หน่วยกู้ภัยสว่างรัตนตรัยธรรมสถาน จุด อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ร่วมกับ กู้ภัยร่วมกตัญญู สระบุรี พร้อมอาสาของอำเภอมวกเหล็ก เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลมวกเหล็ก ช่วยกันบรรจุทรายใส่ถุงปุ๋ย นำไปวางกั้นกันน้ำป่าที่เริ่มไหลทะลักเข้ามาล้นคลองน้ำที่ไหลผ่านกลางโรงพยาบาล
โดยทางพยาบาล เจ้าหน้าที่ ที่เข้าเวร ของโรงพยาบาล อ.มวกเหล็ก ต่างเตรียมพร้อมเฝ้าระวังนำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง หากมีปัญหาเกิดขึ้น ได้เตรียมแผนการย้ายผู้ป่วย จำนวน 30 เตียง ไปยังโรงพยาบาล อ.แก่งคอย และโรงพยาบาลสระบุรี ไว้แล้ว หากถึงเวลานั้นจริงๆ จะไปปลุกเจ้าหน้าที่ที่ออกเวรมาช่วยกันขนย้ายผู้ป่วยด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 19.30 น. อ่างเก็บน้ำเขารวก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามกลั่น ต.หนองปลาไหล อ. เมือง จ.สระบุรี ขนาดบรรจุน้ำประมาณ 7,500 ลูกบาศก์ เป็นอ่างดิน เกิดแตกทำให้น้ำไหลทะลักลงสู่เบื้องล่าง เบื้องต้นทราบว่า มีบ้านถูกน้ำพัดสูญหายไป 1 หลังคาเรือน มีอีกหลังคาเรือนหนึ่งยังไม่ทราบชะตากรรม กำลังตรวจสอบ เพราะได้แจ้งปิดกระแสไฟฟ้าทั้งหมดในบริเวณน้ำตกสามกลั่นหมดแล้ว ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
เนชั่นทันข่าว 10 กย. 2554
8828
« เมื่อ: 10 กันยายน 2011, 20:30:55 »
เสียงรถมอเตอร์ไซค์ ต่อที่นั่งด้านข้างแบบพ่วง ออกเดินทางทั้งที่ฟ้ายังไม่เริ่มสาง พร้อมผู้โดยสารขาประจำ และเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเดิมก็วิ่งกลับมาบนเส้นทางเดิมในยามเย็น พร้อมกับผู้โดยสารคนเดิม ถือภาพประทับใจของใครหลายคน ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานแรมปี หลายคนเห็นความหวัง ความรัก และการต่อสู้ในแววตาคู่นั้น ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังและเจ็บปวด จากอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงของชีวิตที่พลิกผันจากคนปกติกลายเป็นคนพิการ มานานกว่า 9 ปี ด้วยอุบัติเหตุ ถูกแผงเหล็กขนาดใหญ่ทับแผ่นหลัง ทำให้ "ดำรงค์ กลีบแก้ว" กลายเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ใครๆ ก็บอกว่ารอดยาก แต่ด้วยความรักและจิตใจที่มุ่งมั่นของน้อย-บุญไทย กลีบแก้ว แกนนำเครือข่ายจิตอาสา ผู้เป็นภรรยาที่ยืนหยัดต่อสู้กับอาการพิการทางการเคลื่อนไหวของสามีอย่างไม่ย่อท้อ จึงทำให้พี่ดำรงค์อาการดีขึ้นเรื่อยๆ “เมื่อเขาป่วย เราก็ต้องลาออกจากงานมาดูแล ต้องพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ ตอนนั้นหมอก็บอกว่าอาการ รอด 50 ต่อ 50 แต่ก็ไม่คิดจะทิ้งเขาไปไหน เพราะเรายึดมั่นในการมีสามีเดียว ภรรยาเดียว แล้วเราก็มีลูกด้วยกัน 2 คน ที่ต้องช่วยกันดูแล ” น้อย เล่าพร้อมกับยิ้มกว้าง หลังดูแลสามีด้วยตัวเองเป็นระยะนานหลายปี ในปี 2553 พื้นที่ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ได้เกิดโครงการพัฒนาระบบการดูแลคนพิการโดยใช้ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมการสร้างจิตอาสาดูแลคนพิการ โดยมีอาสาสมัครในชุมชน ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นทั้งอำเภอและตำบล และนักวิจัยด้านการดูแลคนพิการและพัฒนาร่วมมือกัน โดยมีสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ (สสพ.) ให้การสนับสนุน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อดูแลสุขภาพคนพิการที่บ้านให้คนพิการได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มีชุมชนเป็นแนวร่วมภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี สามารถพึ่งตนเองได้ ตามที่คณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 2550 กำหนด พี่น้อยจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวและทำงานเป็นเครือข่ายจิตอาสาดูแลคนพิการนับแต่นั้นเป็นต้นมา น้อย เล่าถึงการทำงานในฐานะอาสาสมัครจิตอาสาดูแลคนพิการ ว่า เมื่อดูแลสามีได้ก็ต้องดูแลคนอื่นได้ ดังนั้น เมื่อเข้าร่วมโครงการ เป็นอาสาสมัครจิตอาสาแล้วก็ได้เข้าอบรมการดูแลผู้พิการ จากนักวิชาการ และแพทย์ ได้ออกไปเยี่ยมคนพิการในพื้นที่ในความรับผิดชอบ คือหมู่บ้านคลองชาก โดยสิ่งสำคัญของการเป็นอาสาสมัคร คือ ใจมาก่อนเป็นอันดับแรก สอดคล้องกับปัทมา รัตนาธรรม หรือปู พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลนายายอาม ในฐานะผู้ร่วมวิจัยโครงการฯ เล่าถึงที่มาโครงการฯว่า สืบเนื่องจากปี 2549 ที่โรงพยาบาลนายายอาม จัดอบรมกายภาพบำบัดให้กับคนในชุมชน ซึ่งภายหลังจากอบรมแล้วพบว่าชาวบ้านที่เข้าอบรมไม่ได้นำความรู้ไปใช้ต่อ จึงคิดหาวิธีว่าจะทำแบบไหนให้ความรู้ไม่หายไป โดยในปี 2551 จึงเกิดโครงการพัฒนาอาสาสมัครดูแลคนพิการ ขึ้นในพื้นที่ ต.นายายอาม ซึ่งเกิดผลดีกับคนในชุมชนที่ช่วยกันดูแลคนพิการ จากนั้นเมื่อปี 2553 ได้มีการขยายพื้นที่ทำงานออกไปเป็นครอบคลุม 6 ตำบลใน อ.นายายอาม โดยมี สสพ.และ สปสช.เป็นผู้สนับสนุนโครงการ “หลักการทำงานที่ผ่านมา จะเอาข้อมูลในชุมชนมาวิเคราะห์ว่าเกิดปัญหาอะไรบ้าง จากนั้นก็หาวิธีในการแก้ไข ซึ่งพบว่าคนพิการไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร เราจึงแก้ปัญหาด้วยการอบรมจิตอาสาให้คนในชุมชนและครอบครัวซึ่งเป็นฐานสำคัญช่วยดูแลคนพิการ และถือว่ามีความใกล้ชิดกับคนพิการมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้อาการของคนพิการดีขึ้น” ปู กล่าว ปู สะท้อนต่อว่า การทำงานที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ และยังแนะหลักการเบื้องต้นในการดูแลคนพิการในครอบครัวว่า ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า คนในครอบครัวมีความพิการทางด้านใด เช่น พิการทางกาย ต้องดูแลโดยการให้ทานยา ทำกายภาพบำบัด หรือถ้ามีความพิการทางสติปัญหา ก็ต้องดูแลโดยให้ความรู้ที่เหมาะกับเขา ต่อมาก็ต้องให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิทางสังคมว่าสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอะไรบ้าง ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่คนในครอบครัวจะต้องช่วยดูแล เช่นเดียวกับที่พี่น้อยดูแลพี่ดำรงค์ ผู้เป็นสามีอย่างดี หลัง ดำรงค์ ออกจากโรงพยาบาล พี่น้อย บอกว่า พี่ดำรงค์ นั่งไม่ได้ จึงพาไปรักษาที่วัด ก็ฝึกให้นั่งพิงเสาทุกๆ วัน เราก็ทำงานที่วัด ล้างถ้วย ชาม กวาดลานวัด ทำความสะอาดห้องน้ำ และดูแลสามีไปด้วย ส่วนลูกอีก 2 คนฝากให้ญาติช่วยดูแล หลังอยู่ที่วัดมานานกว่า 8 เดือน ก็รู้สึกเกรงใจที่วัด จึงพาสามีกลับมาอยู่ที่บ้าน และตอนที่ออกจากวัดพี่ดำรงค์ก็นั่งได้แล้ว เมื่อมาอยู่บ้านพี่น้อยได้ดัดแปลงอุปกรณ์ในบ้าน โดยเอาเชือกพาดไว้กับขื่อที่อยู่ใกล้ๆ กับเตียง เพื่อเอาไว้ให้พี่ดำรงค์จับเชือกพยุงตัวเมื่อต้องการลุกจากเตียง จากนั้นก็ลากวีลแชร์ไปวางไว้ด้านหลังเพื่อให้นั่งได้พอดี “เชื่อว่า ที่เขาแข็งแรงขึ้น เพราะเขาก็มีกำลังใจ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ยาอะไรก็ไม่ดีเท่ายาใจ และควรมองโลกในแง่ดี คิดบวกเข้าไว้ และสุดท้ายต้องมีความหวัง พี่ดำรงเขาวางเป้าหมายว่าต้องเดินให้ได้” น้อยพูด พร้อมกับนัยน์ตาที่เป็นประกาย ด้าน ดำรงค์ ร่วมเล่าว่า ถ้าวันนั้น ไม่มีภรรยา เขาคงตายไปแล้ว ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมาภรรยาดูแลเขาดีมาก เหมือนภรรยาเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าเคยคิดฆ่าตัวตาย “ผมเคยท้อแท้ สิ้นหวังในชีวิต จนถึงขั้นอยากตาย เพราะว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม เดินก็ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ ทำงานไม่ได้ เป็นภาระให้ครอบครัว แต่เมื่อเห็นหน้าภรรยา เห็นหน้าลูก ก็ทำให้ผมฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง ประกอบกับบางครั้งก็มีทีมอาสาสมัครที่เป็นจิตอาสาเข้ามาเยี่ยม ถามสารทุกข์สุขดิบ ให้การรักษาร่วมพูดคุย จนทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตของเรายังมีค่านะ เรายังมีลมหายใจ ยังทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากมาย ตอนนี้ผมจึงตั้งเป้าในชีวิตว่า ผมต้องเดินให้ได้” ดำรงค์พูดด้วยเสียงหนักแน่น ดำรงค์ เล่าต่อว่า หลังอาการดีขึ้นตามลำดับ จึงหันมาทำอาชีพขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รายได้ไม่มาก 200-300 ต่อวัน ช่วยแบ่งเบาภาระของภรรยาได้ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มปี่ยมไปด้วยความสุข
อบรมจิตอาสา เรื่องราวความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขวัญ-จิรพรรณ โพธิ์ทอง ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาระบบการดูแลคนพิการโดยใช้ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน ร่วมสะท้อนว่า แม่ได้ป่วยเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว จากบทบาทผู้ประสานงาน เมื่อกลับบ้านที่ จ.สุพรรณบุรี พี่ขวัญสวมบทเป็นพยาบาลดูแลแม่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่นเดียวที่แม่เคยดูแลตอนยังเด็ก “ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจนะที่แม่ป่วย แต่ในความเสียใจตรงนี้ เราก็ดีใจที่มีโอกาสได้ดูแลแม่ ตอนที่แม่ป่วย แม่บอกว่าจะเอาเขาไว้ทำไม ในเมื่อแม่ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เราก็เดินเข้าไปกอดแม่ และบอกว่า แม่ไม่ต้องทำอะไร แค่แม่นั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ แค่เห็นหน้าแม่ เราก็มีความสุขแล้ว เพราะแม่คือกำลังใจ คือทุกอย่างของลูก พอแม่เขาฟังเขาก็ถามว่า จริงเหรอ เราก็บอกว่าจริงสิแม่” ขวัญ เล่าพร้อมกับน้ำตาคลอ พอแม่ป่วย ขวัญ บอกว่า ต้องปรับบ้านใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนก็ปรับให้เท่าขนาดวีลแชร์ที่แม่จะขึ้นไปนอนได้อย่างไม่ลำบาก ห้องน้ำก็ปรับให้เท่ากับแม่ ทั้งกระจก และฝักบัว ต้องทำให้ง่ายต่อการทำธุระของแม่ ถ้วย จาน ชาม แก้วน้ำ ก็เปลี่ยนเป็นพลาสติกหมด เพื่อปรับให้เข้ากับแม่ ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนต้องการกำลังใจในการดำเนินชีวิต ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นคนพิการ หรือคนทั่วไป สิ่งสำคัญที่เราไม่ควรลืมเติมเต็มให้ชีวิตก็คือ กำลังใจ รวมถึงความมีค่าในความเป็นคน คนทุกคนมีจุดนี้เท่าเทียมกัน ดังนั้น อย่าลืมให้กำลังใจกับคนที่อยู่รอบข้างและคนที่คุณรัก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2554
8829
« เมื่อ: 10 กันยายน 2011, 20:27:46 »
กรมอนามัย-สสส. ค้นพบ 5 นวัตกรรมโภชนาการสมวัยช่วยเด็กไทยพ้นภัย ผอม-เตี้ย-อ้วน-โง่ หลังพบเด็กไทยในวัยเรียนเกินครึ่ง หรือ 1 ใน 5 กินอาหารไม่ครบ 3 มื้อ แถมกินอาหารว่างให้พลังงานเกินความจำเป็นเกือบ 3 เท่า เตรียมนำ 5 นวัตกรรมไปใช้ 300 กว่าโรงเรียน ใน 9 จังหวัดนำร่อง พร้อมชงเป็นนโยบายพัฒนาพฤติกรรมโภชนาการเด็กวัยเรียนในปี 55 วันนี้ (10 ก.ย.) ที่โรงแรมริชมอนด์ โครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย ดำเนินการโดยกรมอนามัย และสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้การสนับสนุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมและเปิดตัวนวัตกรรมโรงเรียนโภชนาการสมวัย มีการนำเสนอนวัตกรรมโรงเรียนโภชนาการสมวัยของสถานศึกษา และพิธีมอบโล่เกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่ายโภชนาการสมวัย และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิในกรพัฒนานวัตกรรมโภชนาการสมวัยและโรงเรียนโภชนาการสมวัย ศ.เกียรติคุณ นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ นกยกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ประธานเปิดโครงการการประชุม กล่าวว่า โครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัยของกรมอนามัยได้ดำเนินการมาถูกทางแล้วและเป็นงานที่สำคัญ เพราะโภชนาการสมวัยนั้นจะต้องสมวัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาเกิดมาจะต้องมีน้ำหนักมาตรฐาน 3 กิโลกรัม และเมื่อเข้าสู่ระบบโรงเรียนต้องมีน้ำหนัก ส่วนสูงเหมาะสมตามวัย และเป้าหมายสำคัญที่สุดคือมีสุขภาพที่ดี โดยโภชนาการที่ดีสมวัยนั้นต้องเกิดการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย ดังนั้น โครงการนี้จึงมีจุดเด่นมากเพราะเป็นโครงการที่ลงสู่ชุมชน และผู้ที่รับผิดชอบหลักคือองค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภายในชุมชนก็มีโรงเรียน ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญของชุมชนที่จะร่วมมือกันขยายผลต่อไป จุดเด่นสำคัญอีกประการคือการนำวิชาการมาใช้ในการพัฒนา เพราะทำให้เกิดนวัตกรรม เกิดความคิดใหม่ น่าเชื่อถือมีหลักฐานทางวิชาการที่หนักแน่น จุดเด่นที่สามคือเนื้อหาหลักๆ ในด้านโภชนาการ ผัก ผลไม้ ลดความหวาน มัน เค็ม โรคอ้วน ทั้งหมดนี้อยากให้เรียนรู้โดยการการปฏิบัติ เพื่อให้นำไปสู่พฤติกรรมทางด้านโภชนาการและสุขภาพที่ดีและยั่งยืน และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นจะต้องนำสู่การประเมินพฤติกรรม ผลที่พึงเกิดขึ้นด้วย นพ.ณรงค์ สายวงศ์ อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ และผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า ในปีที่สามนี้จะดำเนินการใน 4 กลยุทธ์ คือ สร้างระบบเตือนภัยและการจัดการด้านอาหารและโภชนาการ การผลักดันให้เกิดแผนชุมชนเพื่อพัฒนาเด็กไทยให้มีโภชนาการสมวัย การพัฒนาสู่องค์กรที่พึงประสงค์ด้านโภชนาการ และการสื่อสารสาธารณะและการขับเคลื่อนโยบายสาธารณะด้านโภชนาการสมวัย และรวมถึงการจัดเวทีถอดบทเรียนและกำหนดข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนงานโภชนาการในระดับพื้นที่และระดับชาติ ที่จะส่งผลให้เด็กไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติมีโภชนาการสมวัยต่อไป นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย เปิดเผยว่า จากการศึกษาและการสำรวจโรงเรียนหลายแห่ง พบ 1 ใน 5 ของเด็กไทยวัยเรียนระดับประถมศึกษา กินอาหารไม่ครบ 3 มื้อ โดยเด็กนักเรียน ร้อยละ 60 ไม่ได้กินอาหารเช้า, ร้อยละ 68 กินผัก และ ร้อยละ 55 กินผลไม้น้อยกว่า 1 ส่วนต่อวันตามลำดับ ขณะเดียวกันเด็กนักเรียน 1 ใน 3 กินอาหารประเภทแป้ง ไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงเป็นประจำ และกินอาหารว่างที่ให้พลังงานเกินกว่ามาตรฐานเกือบ 3 เท่า ที่น่าตกใจคือ ร้อยละ 49.6 กินขนมกรุบกรอบเป็นประจำ และในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เด็กไทยกินขนมกรุบกรอบเพิ่มเป็น 2 เท่า จะเห็นได้ว่า เด็กไทยวัยเรียนมีพฤติกรรมทางอาหารและโภชนาการที่ไม่พึงประสงค์จำนวนสูงมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไทยผอม เตี้ย อ้วน และไอคิวต่ำ ด้วยเหตุนี้ โครงการโภชนาการสมวัยฯ จึงได้พัฒนานวัตกรรมทางอาหารและโภชนาการขึ้นมา 5 ชิ้น เพื่อใช้เป็นกลไกหรือเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโภชนาการในเด็กไทยวัยเรียนระดับประถมศึกษาให้พึงประสงค์ เพื่อเด็กจะได้มีโภชนาการสมวัยต่อไป นายสง่า กล่าวต่อว่า โครงการโภชนาการสมวัยฯ พัฒนารูปแบบสื่อและเครื่องมือการดำเนินงานโภชนาการในโรงเรียนนำร่อง 4 สังกัด คือ สพฐ. กทม. เทศบาล และเอกชน จำนวน 33 แห่ง ใช้เวลาในการพัฒนา 3 ปี จนเกิดนวัตกรรมโภชนาการสมวัย จำนวน 5 ชุด ดังนี้
ชุดที่ 1 ชุดเรียนรู้กลางเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัยใช้เป็นคู่มือครูในการเรียนการสอนโภชนาการแบบมีส่วนร่วมจำนวน 4 เรื่อง คือ ธงโภชนาการ, ผักผลไม้, ลดหวาน มัน เค็ม และโรคอ้วน โดยบูรณาการทั้ง 4 เรื่องเข้าไว้ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ชุดที่ 2 คู่มือปฏิบัติการมาตรฐานอาหารในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ใช้เป็นแนวปฏิบัติการกำหนดและการให้บริการอาหารกลางวัน อาหารว่าง และเครื่องดื่มในโรงเรียนให้ได้มาตรฐานโภชนาการ
ชุดที่ 3 โปรแกรมสำเร็จรูปอาหารกลางวันและการเฝ้าระวังการเจริญเติบโตเพื่อให้โรงเรียนได้นำไปกำหนดชนิดและปริมาณอาหารที่จะนำมารปรุงประกอบอาหารกลางวันให้ได้กินครบคุณค่าทางโภชนาการตลอดจน บอกภาวะโภชนาการเด็กและแนวทางส่งเสริมป้องกันในโปรแกรมสำเร็จรูป
ชุดที่ 4 คู่มือประเมินตนเองของโรงเรียนโภชนาการสมวัยใช้สำหรับโรงเรียนประเมินตนเองเพื่อหาจุดแข็ง-จุดอ่อนของโรงเรียนในการส่งเสริมโภชนาการในโรงเรียน และ
ชุดที่ 5 โปรแกรมประเมินตนเองด้านอาหารและโภชนาการนำเอาข้อมูลจากการประเมินตนเองป้อนเข้าโปรแกรมก็จะทำให้โรงเรียนได้รู้สถานการณ์โภชนาการของตนเอง “นวัตกรรมโภชนาการสมวัยทั้ง 5 ชุด ได้นำไปทดลองใช้ในโรงเรียนนำร่อง จนเกิดผลดีต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหารและโภชนาการของเด็กวัยประถมศึกษาและมีการนำไปใช้ในการขยายสู่โรงเรียนอื่น ดังนั้นโครงการโภชนาการสมวัยจึงได้เปิดตัวนวัตกรรมโภชนาการสมวัย 5 ชุด และขยายพื้นที่การทดลองได้ในอีก 300 กว่าโรงเรียน ใน 9 จังหวัดนำร่อง โดยจะเริ่มทดลองใช้ในปีการศึกษาปีที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 - มีนาคม 2555 หลังจากนั้นจะนำผลการดำเนินงานมาถอดบทเรียนและสรุปจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาพฤติกรรมโภชนาการเด็กวัยเรียนในกลางปี 2555 ต่อกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อกำหนดให้เป็นนโยบายของชาติต่อไป” นายสง่า กล่าว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2554
8830
« เมื่อ: 09 กันยายน 2011, 22:44:36 »
จี้ สธ.ท้วงร่างประกาศยูเอ็น ข้อตกลงโรคไม่ติดต่อ หลังพบสหรัฐฯยุโรป สอดไส้ไม่ให้ซีแอลกลุ่มยาโรคไม่ติดต่อ
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล เจ้าหน้าที่องค์การหมอไร้พรมแดน เปิดเผยว่า ในการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศสมาชิกสหประชาชาติในวาระการประชุมเพื่อหารือในประเด็นการป้องกันโรคไม่ติดต่อ (UN High Level Meeting on Non Communicable Diseases) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17-22 กันยายน นี้ ที่รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในวันดังกล่าวจะมีการประกาศข้อตกลงร่วมกันของประเทศสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาตกลงเพื่อจัดทำร่างคำประกาศดังกล่าว โดยในประเด็นเรื่องการเข้าถึงยา ปรากฎว่าทางประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศใหญ่ๆ กลับพยายามขัดขวางไม่ให้มีการระบุถึงกลไกยืดหยุ่นในข้อตกลงทริปส์ (TRIPS' Flexibilities) ในการประกาศบังคับสิทธิ์ ที่มีไว้เพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถใช้ในยามจำเป็น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาและ แก้ปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
ทั้งนี้ข่าวล่าสุดแจ้งว่า ในข้อความของร่างประกาศที่จัดทำนี้ ทางสหรัฐและสหภาพยุโรป ไม่ยอมให้มีการระบุถึงข้อตกลงทริปส์เลย โดยพยายามบ่ายเบี่ยงว่า กลไกยืดหยุ่นต่างๆมีไว้สำหรับการแก้ปัญหาโรคติดต่อเท่านั้น คือ โรคเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรคเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นความจริง แถมยังพยายามโกหกในประเด็นนี้ทุกเวที
น.ส.กรรณิการ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราเริ่มวิตกกังวล เพราะหากมีการประกาศข้อตกลงดังกล่าวจริง จะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อในหลายประเทศได้ ซึ่งโรคไม่ติดต่อเหล่านี้กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขของโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา และกลุ่มประเทศด้อยพัฒนา และเท่าที่ทราบ ขณะนี้ทางตัวแทนไทยที่เข้าร่วมจัดทำร่างประกาศนี้ ทำท่าที่จะยอมในประเด็นดังกล่าวนี้ เนื่องจากเห็นว่า ข้อตกลงภาพรวมที่ไทยได้มาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่สุด
“ประเด็นนี้ ดิฉันคิดว่า เจ้าหน้าที่ไทยที่เข้าร่วมเจรจาที่นิวยอร์คอาจจะยังไม่ทราบถึงความสำคัญของ Doha Declaration ว่าสำคัญมากขนาดไหน เพราะในความตกลงทริปส์นั้น มีกลไกยืดหยุ่นการเข้าถึงยา มาตั้งแต่ปี 1994 แต่ไม่มีประเทศกำลังพัฒนาไหนกล้าใช้ จนกระทั่งประเทศกำลังพัฒนาต้องผลักดันให้มีคำประกาศโดฮาในปี 2001 เพื่อรับรองสิทธินี้ของประเทศสมาชิก หลายๆ ประเทศกำลังพัฒนาจึงเริ่มกล้าใช้เมื่อถึงคราวจำเป้นในการแก้ปัญหา สาธารณสุขในประเทศ ซึ่งรวมทั้งการประกาศบังคับใช้สิทธิของประเทศไทยด้วย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องระบุในคำประกาศนี้” น.ส.กรรณิการ์ กล่าว และว่า จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง หากผู้แทนไทยที่ทำหน้าที่เจรจาจะมองข้ามสาระสำคัญนี้ อันเป็นหัวใจหลักของการแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อ และเชื่อว่าทางกระทรวงสาธารณสุขเอง คงยังไม่ทราบในประเด็นนี้
น.ส.กรรณิการ์ กล่าววต่อว่า สำหรับสิ่งที่ผู้แทนไทยในสหประชาชาติที่นิวยอร์คควรทำขณะนี้ คือการขอสงวนความเห็นในสาระที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในร่างเอกสารก่อน แล้วรอให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุขไปเจรจาเอง ซึ่งครั้งนี้ทราบว่า ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ จะร่วมเดินทางไปด้วยตัวเอง พร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงที่เข้าใจประเด็นเหล่านี้ อย่างลึกซึ้งไปเจรจาต่อเองในปลายสัปดาห์หน้า แทนที่จะยอมตามสหรัฐและสหภาพยุโรปเช่นนี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 8 กันยายน 2554
8831
« เมื่อ: 09 กันยายน 2011, 22:42:21 »
"ต่อพงษ์" อ้างเก็บ 30 บาทบัตรทอง เพื่อให้ประชาชนตระหนักในการมีส่วนร่วม ยืนยัน "รัฐบาลเพื่อไทย" เตรียมเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวให้อีก
นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐ มนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณ สุข กล่าวว่า ศักยภาพของรัฐบาลในขณะนี้สามารถให้บริการรักษาพยาบาลฟรีแก่ประชาชนได้ แต่จุด ยืนการนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้อีกครั้ง เนื่องจาก ต้องการสอนให้พลเมืองตระหนักถึงการมีส่วนร่วม โดยการร่วมจ่าย ร่วมทำ ร่วมกันดูแล รักษาเป็นหน้า ที่ของทุกคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
"การบริโภคต้องคำนึงถึง หลักการและเหตุผล ถ้าให้บริโภคอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่คำนึงถึงความพอดี ท้ายที่สุดมันก็จะสำรอก ออกมา" นายต่อพงษ์กล่าว
รมช.สธ.กล่าวอีกว่า ยืนยันว่ารัฐบาลเพื่อไทยพร้อมจะเพิ่มงบประมาณให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยบริการจะได้งบเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องศึกษาต่อไปว่าหากเพิ่มงบแล้วโรงพยาบาลยังเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอีก นั่นแสดงถึงการบริหารจัด การที่ไม่ดีหรือไม่
ทั้งนี้ ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการ สปสช. เพื่อคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณ สุข และนายต่อพงษ์เข้าร่วมด้วย คาดว่าจะมีการหารือถึงแนวทางการ เก็บ 30 บาทให้ชัดเจนขึ้น.
ไทยโพสต์ 9 กันยายน 2554
8832
« เมื่อ: 09 กันยายน 2011, 07:49:13 »
8833
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:49:40 »
ลอรีอัลมอบทุน “สตรีในงานวิทยาศาสตร์” ปีที่ 9 แก่ 4 นักวิจัยหญิงในสาขาวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ แพทย์รามาผู้ริเริ่มวิจัยความเกี่ยวข้องปริมาณสารพันธุกรรมบนโครโมโซมกับโรคทางพันธุกรรม นักวิจัยไบโอเทคผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระบบโปรตีนกุ้งและไวรัส นักวัสดุศาสตร์ผู้วิจัยสารเติมแต่งเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ฉลาด และนักวิจัยนาโนเทคผู้พัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อใช้ห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด มอบทุนโครงการทุนวิจัยลอรีอัลประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Woman in Science) ด้วยความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 9 แก่ 4 นักวิจัยหญิงไทยในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) และสาขาวัสดุศาสตร์ (Material Science) โดยทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้ร่วมงานเปิดตัวผู้ได้รับรางวัลเมื่อวันที่ 7 ก.ย.54 ณ โรงแรมแกรนด์ มิลเลนเนียม ผู้ได้รับรางวัลในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้แก่ ดร.พญ.ณฐินี จินาวัฒน์ จากสำนักงานวิจัยวิชาการและนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และดร.แสงจันทร์ เสนาปิน จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ส่วนผู้ได้รับรางวัลในสาขาวัสดุศาสตร์ ได้แก่ ผศ.ดร.หทัยกานต์ มนัสปิยะ จากวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ผลงานของ ดร.พญ.ณฐินี คืองานวิจัยในการศึกษาความเกี่ยวข้องของปริมาณสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ (DNA) บนโครโมโซมกับโรคทางพันธุกรรม โดยใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจดีเอ็นเอทั้งหมดที่เรียกว่า “จีโนม-ไวด์ เอสเอ็นพี อาร์เรย์” (Genome-wide SNP array) ซึ่งเธอบอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ฯ ว่าเทคนิคนี้ต่างจากเทคนิคเดิมที่แยกโครโมโซมออกมาแล้วดูด้วยตาเปล่าผ่านกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งใช้กันมากว่า 50 ปีแล้ว แต่เทคนิคใหม่นั้นจะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์ ซึ่งจะให้ผลที่ละเอียดอีกกว่า และทราบความผิดปกติเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบนตำแหน่งโครโมโซมได้ “เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เราจะหั่นดีเอ็นเอเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เข้าไปในแผ่นสไลด์ จากนั้นนำไปวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างละเอียด แม้มีปริมาณดีเอ็นเอขาดหรือเกินเพียงเล็กน้อย ซึ่งต่างประเทศเริ่มนำมาใช้ตรวจคนไข้เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว และเริ่มแพร่หลายเมื่อปี 2551 โดยในสหรัฐฯ ถือว่าวิธีนี้เป็นตัวชี้นำในการตรวจวัดคนไข้ที่เป็นโรคทางพันธุกรรมแต่ไม่มีอาการชี้ชัด” ดร.พญ.ณฐินีกล่าว ทั้งนี้ ดร.พญ.ณฐินี กล่าวว่าได้เริ่มงานวิจัยนี้มา 2-3 เดือนแล้ว โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่พบว่าคนในครอบครัวมีอาการปัญญาอ่อนหรือดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) อย่างน้อย 1-2 คนหลายชั่วรุ่น แต่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่ายีนตัวใดเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งหากการศึกษาครั้งนี้สำเร็จอาจได้พบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคเหล่านี้ ผลที่ได้จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคและให้คำปรึกษาเรื่องพันธุกรรม รวมถึงกรณีที่ผู้เข้ารับการปรึกษาต้องการมีทายาทต่อไป ทางด้าน ดร.อุรชา เน้นงานวิจัยด้านการออกแบบการกักเก็บสาร (encapsulation) ในรูปอนุภาคนาโนเพื่อรักษาฤทธิ์ทางชีวภาพและควบคุมการปลดปล่อยสาร จากเดิมที่สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจะเสื่อมสลายและไม่คงตัว หากไม่มีสารอื่นมาห่อหุ้ม โดยสารที่นำใช้ห่อหุ้มที่เพื่อกักเก็บสารนั้นจะเน้นการใช้ไขมันและน้ำมัน ซึ่งตัวอย่างผลงานที่จะนำไปใช้จริงแล้วคือครีมและแผ่นแปะที่มีสารสกัดจากพริก ซึ่งปัจจุบันมีนำสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกที่ทำให้รู้สึกแสบร้อนไปใช้เป็นยาบรรเทาโรคข้ออักเสบ แต่เดิมไม่สามารถควบคุมการปลดปล่อยปริมาณยาได้ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนและทรมาน แต่เมื่อนำอนุภาคนาโนไปกักเก็บได้ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องแปะหรือทายาบ่อยๆ ส่วน ผศ.ดร.หทัยกานต์ ทำงานวิจัยด้านการคิดค้นวัสดุเติมแต่งชนิดใหม่เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ฉลาด (smart packaging) โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในประเทศ เช่น แร่ดินเหนียวหรือนาโนเคลย์ (nano clay) เป็นต้น และได้พัฒนาวัสดุต้นแบบเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุผักและผลไม้ ตลอดจนใช้เป็นเซนเซอร์วัดความสดของพืชผลทางการเกษตร แต่ยังมีคำถามว่าวัสดุที่พัฒนาขึ้นนั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งต้องส่งทดสอบและทำการศึกษาต่อไป โดยคาดว่าจะได้พบประโยชน์จากวัสดุเหล่านี้มากขึ้นไปอีก สำหรับผลงาน ดร.แสงจันทร์นั้นเป็นงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งจากการระบาดของไวรัส โดยศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีน (Protein-protein interaction) ของกุ้ง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนของไวรัส และปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนของไวรัสและกุ้ง ด้วยวิธีที่เรียกว่า “ยีสต์ทูไฮบริด (Yeast to Hybrid assay) ซึ่งเมื่อมีการจับกันของโปรตีนที่ทดสอบในเซลล์ยีสต์จะพบการเปลี่ยนแปลงที่สามารถบอกปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนได้ และความรู้ที่ได้นี้จะนำไปสู่วิธีในการกำจัดหรือยับยั้งไวรัสที่ระบาดในกุ้งได้ ทั้งนี้ ลอรีอัลได้มอบทุนแก่นักวิจัยสตรีไทยภายใต้โครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2545 และได้มอบทุนอย่างต่อเนื่องทุกปีแก่นักวิจัยทั้งหมด 35 คน ด้วยทุนวิจัยละ 200,000 บาท โดยนักวิจัยสตรีที่มีสิทธิรับทุนต้องมีอายุระหว่าง 25-40 ปี และผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2554 นี้จะได้รับรางวัลจาก ศ.ดร.อาดา โยนาธ (Dr.Ada Yonath) นักวิจัยสตรีชาวอิสราเอล ผู้ได้รับรางวัลทุนวิจัยลอรีอัล-ยูเนสโก “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2551 และได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี ในปี 2552 และเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีทุนวิจัยระดับสากลคือ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล-ยูเนสโก “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (L’Oreal-UNESCO Award for Women in Science) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ทุนสำหรับนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่ โดยคัดเลือกตัวแทนจาก 5 ทวีปๆ ละ 3 คนทั่วโลก และทุนวิจัยสำหรับนักวิจัยสตรีที่มีผลงานเด่นชัดยาวนานอีกทวีปละ 1 คน และได้ดำเนินการมอบทุนมาเป้นปีที่ 13 แล้ว และมีนักวิจัยสตรีที่ได้รับการสนับสนุนทุนดังกล่าวทั้งหมด 1,086 คน ใน 103 ประเทศ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8834
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:38:44 »
เมื่อเวลา16.00 น.ที่รัฐสภา นายอร่าม อามระดิษ นายกสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทนเสนอกฎหมาย พร้อมกับประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ได้นำรายชื่อประชาชนจำนวน 15,000 คน ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.สมุนไพรแห่งชาติ พ.ศ.. ต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 163
โดยร่าง พ.ร.บ.สมุนไพรแห่งชาติ พ.ศ...มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายว่าด้วยสมุนไพรแห่งชาติ โดยที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ พืชสมุนไพร และองค์ความรู้ดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ในการนำสมุนไพรไปใช้เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค การบรรเทาอาการ การส่งเสริมดูแลสุขภาพ และยังสามารถนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จึงควรมีการสนับสนุน พัฒนา ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ให้มีศักยภาพในการผลิตยาสมุนไพร โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย การพัฒนา การสนับสนุน ส่งเสริมตลอดถึงหลักเกณฑ์การดำเนินการเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ให้มีสถาบันสมุนไพรแห่งชาติ และกองทุสมุนไพรแห่งชาติเพื่อเป็นหน่วยงานรับสนับสนุนและผิดชอบในการดำเนินการพัฒนาสมุนไพรไทยให้มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
แนวหน้า 8 กันยายน 2554
8835
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:37:28 »
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ในเฟซบุ๊ค ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้ารื้อนโยบายเก็บ 30 บาทรักษาทุกโรคของผู้ใช้บริการสุขภาพถ้วนหน้าของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กลับมาใช้ เล็งเก็บเงินเฉพาะกลุ่มคนอายุ 12-59 ปี ส่วนผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้สูงอายุบริการฟรีเหมือนเดิม
อินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554
หน้า: 1 ... 587 588 [589] 590 591 ... 653
|