แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 386 387 [388] 389 390 ... 537
5806
“แพทยสภา” รับประชาคมอาเซียนปี 2558 เน้นแพทย์เรียนหลักสูตรอังกฤษ พัฒนาศักยภาพ พร้อมคุมใบอนุญาตแพทย์ต่างชาติ ทำงานในไทยแค่ 1 ปี
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันหลักสูตรแพทย์นานาชาติว่า จริงๆ ไม่ได้ใช้คำว่าหลักสูตรแพทย์นานาชาติ เนื่องจากเดิมทีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ขออนุมัติหลักสูตรดังกล่าว แต่ถูกแรงต้านทั้งเอ็นจีโอ ทั้งสภามหาวิทยาลัย โดยกังวลว่าหากมีหลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการเอื้อให้แพทย์มุ่งรักษาแต่ชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย จึงมีการปรับเปลี่ยนจากหลักสูตรแพทย์นานาชาติ เป็นหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาษาอังกฤษแทน (English program) ซึ่งแพทยสภาได้อนุมัติและกำหนดเงื่อนไขให้รับเฉพาะนักเรียนไทย ผู้ที่ถือสัญชาติไทยเท่านั้น และต้องชดใช้ทุนรัฐบาลเป็นเวลา 3 ปี
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กล่าวอีกว่า หลักสูตรนี้ไม่แตกต่างจากหลักสูตรแพทยศาสตร์ แต่จะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับเด็กนักเรียนที่ศึกษาจบจากโรงเรียนนานาชาติให้มีโอกาสเท่าเทียมในการศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเด็กกลุ่มที่มีศักยภาพเพียงพอแต่ไม่สามารถสอบเข้าในระบบปกติได้เนื่อง จากติดขัดด้านภาษา ทำให้พ่อแม่ของเด็กกลุ่มนี้ส่งลูกไปเรียนต่อด้านการแพทย์ในต่างประเทศ ซึ่งการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าวไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเท่านั้น มหาวิทยาลัยต่างๆโรงเรียนแพทย์มีการพัฒนาทั้งสิ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่าภาษาเป็นสิ่งสำคัญ และควรผลักดันเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ตรงนี้สำคัญ เพราะจะทำให้ต่างชาติเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยมากขึ้น
       
       นายกแพทยสภากล่าวอีกว่า ส่วนการรองรับประชาคมอาเซียนด้านอื่นๆนั้น แพทยสภามีการเตรียมพร้อมตลอด อย่างการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ก็มีการควบคุม ทั้งแพทย์คนไทยและต่างชาติ โดยหากเป็นแพทย์ไทยจะมีการสอบ 3 ส่วน โดยส่วนที่ 1 และ 2 จะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษและภาษาไทย ส่วนข้อสอบส่วนที่ 3 เป็นภาคปฏิบัติ จะเน้นการสื่อสารกับคนไข้ จึงต้องใช้ภาษาไทย เพราะต้องมีการซักประวัติ พูดคุย เพื่อลดปัญหาการเข้าใจคลาดเคลื่อน และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหากแพทย์สามารถสอบผ่านก็จะได้รับใบประกอบวิชาชีพฯ มีอายุตลอดชีพ แต่ล่าสุดแพทยสภาอยู่ระหว่างหารือว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอาจกำหนดอายุ 1 ปี หรือ 5 ปี ซึ่งยังไม่ชัดเจน โดยการกำหนดอายุใบประกอบวิชาชีพฯ จะช่วยให้แพทย์มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทันต่อวิวัฒนาการวงการแพทย์ ยิ่งประชาคมอาซียนเข้ามาการพัฒนาก็ต้องมากขึ้น เนื่องจากคนไข้ต่างชาติก็จะมีทางเลือกมากขึ้น แพทย์ไทยจึงจำเป็นต้องเป็นทางเลือกชั้นแนวหน้าด้วย
       
       “ส่วนต่างชาติที่จะเข้ามาสอบเป็นแพทย์ในประเทศไทยนั้น เดิมทีในการประชุมประชาคมอาเซียนที่ผ่านมาเคยพูดว่า หากแพทย์ต่างชาติสามารถสอบใบประกอบวิชาชีพฯของประเทศสมาชิกใดก็ตาม สามารถใช้ใบดังกล่าวเข้าทำงานในประเทศกลุ่มสมาชิกอื่นได้ ซึ่งไทยไม่เห็นด้วย รวมทั้งหลายๆประเทศก็เห็นเช่นเดียวกัน เพราะแต่ละประเทศข้อกำหนดต่างกัน เรื่องนี้จึงตกไป โดยไทยยืนยันใช้หลักเกณฑ์ตนเอง คือ หากแพทย์ต่างชาติคนใดต้องการเข้าทำงานที่ประเทศไทย ต้องมาสอบใบอนุญาตชั่วคราว เพื่อให้ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขานั้นๆ โดยใบอนุญาตจะมีอายุ 1 ปี ส่วนแพทย์ต่างชาติคนใดที่สามารถสอบภาษาไทยได้ และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯเหมือนแพทย์ไทยทั่วไปก็ต้องให้เขา เนื่องจากหากมีความสามารถและผ่านการทดสอบก็ต้องเป็นไปตามกฎ” ศ.คลินิก นพ.อำนาจกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5807
 1. “อากง” นักโทษคดีหมิ่นเบื้องสูง ถูกมะเร็งตับเล่นงานตายคา รพ.คุก ด้าน “เสื้อแดง” สบช่อง จี้แก้ ม.112 !

       เมื่อวันที่ 8 พ.ค.นายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง อายุ 61 ปี นักโทษคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากกรณีที่ได้ส่งข้อความในลักษณะหมิ่นเบื้องสูงเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายอำพลอ้างว่า ขณะเกิดเหตุ ตนนำโทรศัพท์มือถือไปซ่อมที่ร้านในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง และส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือไม่เป็น ด้านศาลอาญาได้พิพากษาเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2554 ให้จำคุกนายอำพล 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 20 ปี และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงและเกรงว่าจะหลบหนี อย่างไรก็ตาม หลังถูกคุมขังอยู่นานประมาณ 5 เดือน นายอำพลได้มาเสียชีวิตลงจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค.
       
       ต่อมาช่วงสายวันเดียวกัน นางรสมาลิน ภรรยานายอำพล ได้เดินทางมารอรับศพสามี ขณะเดียวกันได้มีแนวร่วมคนเสื้อแดงเดินทางมาแสดงความเสียใจด้วย
       
       ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของตำรวจ สน.ประชาชื่น ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายที่ร่างกายนายอำพลแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามได้มีการส่งศพนายอำพลไปผ่าพิสูจน์อีกครั้งที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ปรากฏว่า พบเนื้องอกบริเวณตับ ซึ่งได้ลุกลามไปยังลำไส้และปอด สรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้ว่า น่าจะมาจากมะเร็งระยะสุดท้าย
       
       ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกว่า นายอำพลมีอาการปวดท้องตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. ทางเรือนจำได้ตรวจอาการเบื้องต้นและให้ยาแก้ปวดท้อง เมื่ออาการไม่ดีขึ้น จึงได้ส่งตัวไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. และมาเสียชีวิตลงช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค. พ.ต.อ.สุชาติ ยังบอกด้วยว่า ทางเรือนจำทราบว่านายอำพลเป็นมะเร็ง จึงได้รักษาตามที่แพทย์แนะนำ แต่วิธีการรักษาตนไม่ทราบ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายอำพลเสียชีวิต แนวร่วมคนเสื้อแดงได้พยายามจุดประเด็นให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้เคยเรียกร้องมาเป็นระยะๆ แต่ไม่สำเร็จ รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษในคดีหมิ่นเบื้องสูงคนอื่นๆ ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ โดยอ้างว่าเป็นคดีการเมือง
       
       ทั้งนี้ คนเสื้อแดงได้รวมตัวหน้าศาลอาญา พร้อมจัดพิธีรดน้ำศพนายอำพลที่หน้าศาลเมื่อวันที่ 9 พ.ค. โดยอ้างว่าการเสียชีวิตของนายอำพลเกิดจากความไม่เป็นธรรมในช่วงเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จึงถูกนำไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเร่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังในคดีการเมืองทั้งหมด
       
       ด้าน รศ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เคลื่อนไหวให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ออกมาบอกว่า ในแง่คดีอากงตนจะไม่ทำอะไร เพราะคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ตนจะเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 อย่างสันติวิธีต่อไป พร้อมนัดคนเสื้อแดงรวมตัวเพื่อแห่ศพอากงไปยังทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาในวันที่ 10 พ.ค.ก่อนนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการต่อไป
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเสื้อแดงพยายามจุดกระแสเรื่องนายอำพลไม่ได้รับการประกันตัว จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในคุก ร้อนถึงนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ต้องออกมาชี้แจงว่า หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายอำพลได้ยื่นขอประกันตัวในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่ระหว่างรอคำสั่งศาล นายอำพลได้ยื่นขอประกันตัวไปยังศาลฎีกาอีก ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นนายอำพลได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 เม.ย. เพื่อให้คดีสิ้นสุด เนื่องจากต้องการใช้สิทธิ์ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
       
       ส่วนการป่วยของนายอำพลนั้น นายทวี บอกว่า นายอำพลอยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งให้การรักษาพยาบาลนักโทษอยู่แล้ว หากจะนำตัวออกมารักษาภายนอกก็อาจทำได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ควบคุม
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล พร้อมยืนยันด้วยว่าจะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อไม่ให้มีใครหยิบเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ทางการเมือง
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และได้บอกคนเสื้อแดงไปแล้วว่า ภาระหน้าที่ของรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องเร่งด่วน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แนวร่วมคนเสื้อแดงได้นำหนังสือเชิญนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ,นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา เจ้าของสำนวนคดีอากง ,นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม รวมทั้งนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ ที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกระบุว่านายอำพลส่งข้อความสั้นในลักษณะหมิ่นเบื้องสูงเข้าไป ให้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพนายอำพลที่วัดด่านสำโรงด้วย ซึ่งทางผู้พิพากษาอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งพวงหรีดไปร่วมงานศพนายอำพลหรือไม่
       
       หลังคนเสื้อแดงพยายามนำการเสียชีวิตของนายอำพลมาเป็นเหตุเรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับโทษในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏว่า ดารานักแสดงชื่อดัง “ตั๊ก” บงกช คงมาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวดังกล่าวของคนเสื้อแดง จึงได้เขียนทำนองว่า ตนรักพ่อหลวง พวกที่ดูหมิ่นพ่อ ตกนรกแน่ “ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสรรหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายคะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน”
       
       ทั้งนี้ คำพูดของตั๊ก บงกช ส่งผลให้แนวร่วมคนเสื้อแดงและนักวิชาการสายเสื้อแดงไม่พอใจ และออกมาสวนกลับตั๊ก เช่น นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้คทำนองว่า ตั๊กแสดงความรักด้วยความเขลาและขาดความรับผิดชอบ จึงเป็นการทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดอยู่แล้วให้เสียใจมากยิ่งขึ้น
       
       ขณะที่คนเสื้อแดงที่พัทยา จ.ชลบุรีได้พยายามคุกคามตั๊ก ขณะเดินทางไปถ่ายหนังที่พัทยา ซอย 6 เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 12 พ.ค. โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปดักรออยู่ได้พากันตะโกนต่อว่าตั๊ก พร้อมชูป้ายข้อความต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ทำให้การถ่ายหนังต้องล่มกลางคัน จากนั้นกองถ่ายฯ และตั๊ก ได้รีบขับรถหลบหนี โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามด้วยความโกรธแค้น โชคดีตั๊กและทีมงานสามารถหลบหนีออกจากเขตพัทยาได้ด้วยความปลอดภัย
       
       ด้านนายเพิ่มศักดิ์ (สงวนนามสกุล) ลูกชายของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง ได้เปิดใจครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พ.ค.โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวี สถานีโทรทัศน์ของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเชื่อว่า พ่อไม่ได้ส่งข้อความหมิ่นเบื้องสูง เพราะที่บ้านตนมีรูปในหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์อยู่บนหิ้งพระ พ่อตนสอนว่าเราโชคดีเกิดบนแผ่นดินนี้ มีพ่อหลวง-แม่หลวงที่ดีที่ดูแลเรา โชคดีที่มีพระมหากษัตริย์-พระราชินีที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่มีปัจจัยให้ต้องส่งข้อความหมิ่น
       
       ทั้งนี้ หลังการเสียชีวิตของนายอำพล กลุ่มคนเสื้อแดงได้ยื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลและกรมราชทัณฑ์ 3 ข้อ คือ 1.ให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด กรณีที่ตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่ให้ประกันตัว 2.ให้ผู้ที่ถูกคุมขังคดีการเมืองต้องได้ประกันตัวทั้งหมด เพื่อออกมาสู้คดี และให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้ผู้ที่ถูกลงโทษตามมาตรา 112 ได้รับการอภัยโทษโดยเร็วที่สุด 3.กระบวนการของกฎหมายต้องได้รับการทบทวน รวมทั้งให้ทบทวนระเบียบของกรมราชทัณฑ์ในการดูแลสุขภาพของผู้ต้องขังให้ดีเท่าที่ควร
       
       2. “เฉลิม” ลั่น พร้อมไปพม่าขอตัว “นะคะมวย” ขณะที่เจ้าตัวสวนกลับ ไปจับ “ทักษิณ”ก่อน!

       ความคืบหน้ากรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศตามล่า พล.อ.นะคะมวย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพกะเหรี่ยงดีเคบีเอ หรือโกะทูบลอ หลังจากมีผู้ต้องหาซัดทอดว่า พล.อ.นะคะมวยมีส่วนร่วมอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด จึงได้ประสานรัฐบาลพม่าเพื่อขอตัว พล.อ.นะคะมวยมาดำเนินคดีในไทย ขณะที่ พล.อ.นะคะมวยไม่พอใจ ขู่ปิดชายแดนไทย-พม่านั้น
       
       ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาประกาศอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่า ถ้าต้องเดินทางไปหารือกับรัฐบาลพม่าเพื่อขอตัว พล.อ.นะคะมวย ตนก็พร้อม ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เผยที่มาของการโยงเรื่องยาเสพติดกับ พล.อ.นะคะมวยว่า ตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดเมื่อปี 2546 ซึ่งมีผู้ต้องหาเป็นหญิง 1 ราย พร้อมยาบ้าล็อตใหญ่กว่า 9 แสนเม็ด ด้านศาลได้พิพากษาประหารชีวิตแล้ว แต่ผู้ต้องหารับสารภาพ จึงลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต จากนั้นได้มีการสืบสวนขยายผลจนทราบว่า พล.อ.นะคะมวยมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจน เป็นพยานที่ติดต่อซื้อขายกับ พล.อ.นะคะมวย
       
       ด้าน พล.อ.นะคะมวย ได้ทำหนังสือเชิญสื่อมวลชนเพื่อฟังตนแถลงข่าวในวันที่ 10 พ.ค. โดยยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมขู่ว่า จะเปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติดที่แท้จริง และจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ฝ่ายไทยด้วย
       
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(10 พ.ค.) พล.อ.นะคะมวย ได้แถลงข่าวผ่านล่ามท่ามกลางสื่อมวลชนที่ไปฟังการแถลงข่าวกว่า 40 สำนัก โดยนอกจากยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดแล้ว ยังท้าให้หน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่าเข้าไปพิสูจน์พื้นที่ของกะเหรี่ยงดีเคบีเอได้ทันที หากพบว่าตนมีความผิดจริง ก็พร้อมจะไปมอบตัวต่อทางการไทย
       
       พล.อ.นะคะมวย ยังตั้งคำถามกับ ร.ต.อ.เฉลิมและรัฐบาลไทยด้วยว่า แทนที่จะมาจับตน ทำไมไม่ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อน “ขอตั้งข้อสังเกตต่อทางการไทยว่า ทำไมฝ่ายไทยจึงมาประกาศรายชื่อผมอยู่ในบัญชีผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นช่วงที่ทางกองทัพโกะทูบลอกำลังเจรจากับรัฐบาลพม่า และกำลังพัฒนาพื้นที่ชายแดน ทั้งที่ศาลไทยออกหมายจับผมมาตั้งแต่ปี 2546 อยากถามว่าทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีหมายศาลก่อน ทั้งที่มีความผิดชัดเจน และการออกหมายศาลเพื่อจับหรือการขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ค้ายาเสพติดนั้น ก็ไม่เคยได้รับแจ้งจากทางการไทย นอกจากทราบทางสื่อมวลชนเท่านั้น”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.นะคะมวย ไม่ได้เปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติดตามที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ โดยบอกเพียงว่า ไม่มีการค้ายาเสพติดหรือผลิตยาเสพติดในพื้นที่กะเหรี่ยงดีเคบีเอ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการไทยแจ้งให้ฝ่ายพม่าช่วยจับกุมตัว พล.อ.นะคะมวยเพื่อส่งตัวให้ไทยดำเนินคดี ปรากฏว่า พล.อ.นะคะมวยไม่ตอบ แต่ให้ พ.อ.ซานอ่อง นายทหารคนสนิทตอบแทน ซึ่ง พ.อ.ซานอ่องตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า หากบีบคั้นกันมากๆ ฝ่ายดีเคบีเอจะมีมาตรการตอบโต้อย่างแน่นอน
       
       ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ให้ราคากับคำพูดของ พล.อ.นะคะมวยที่บอกให้ไปจับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน โดยบอกว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะคนหนึ่งเป็นผู้ค้ายาเสพติด กับอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด และสิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณก็เกิดจากการปฏิวัติ จะไปเปรียบเทียบฟ้ากับดินไม่ได้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังพูดถึงกรณีที่สหประชาชาติ(ยูเอ็น) ระบุว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดด้วย โดยยืนยันว่า ไม่มีการผลิตยาเสพติดในไทย มีแต่ผลิตจากนอกประเทศและนำเข้ามา พร้อมสวนกลับยูเอ็นด้วยว่า ยูเอ็นอยู่ทวีปยุโรปจะมารู้อะไร ตอนนี้เรากำลังรื้อรังแตนอยู่ มันก็ต้องมีการแตกรังอยู่แล้ว
       
       ทั้งนี้ หลัง พล.อ.นะคะมวย แนะให้รัฐบาลไทยไปตามจับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อน ปรากฏว่า นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความเห็นด้วย โดยบอกว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่ เป็นความผิดในกฎหมายอาญาและเป็นความผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 100 ทาง ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่ควรละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยจะต้องบังคับใช้กฎหมายให้เสมอภาคกัน ไม่เลือกปฏิบัติ
       
       3. ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้อง “จตุพร” ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง พร้อมหยุดสอบคดี “ผังล้มเจ้า” อ้าง ไม่มีพยานยืนยันความผิด!

       เมื่อวันที่ 10 พ.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้แถลงความคืบหน้าคดีผังล้มเจ้าและคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กับพวก ปราศรัยในลักษณะที่อาจเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สำหรับคดีนายจตุพรกับพวกปราศรัยนั้น นายธาริต เผยว่า พนักงานสอบสวนได้ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการและมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรสั่งไม่ฟ้อง “ด้วยเหตุผลคือ การสอบสวนพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งคำกล่าวในการปราศรัยไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112”
       
       นายธาริต ยังบอกด้วยว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนคดีนายจตุพรกับพวกให้อัยการแล้ว อยู่ที่ดุลพินิจของอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งฟ้องและสั่งให้มีการสอบสวนพยานเพิ่มเติม
       
       ส่วนคดีผังล้มเจ้า ที่มีผู้ถูกกล่าวหา 39 คนนั้น นายธาริต บอกว่า จากการสอบสวน ยังไม่มีพยานยืนยันการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนจึงได้ประชุมร่วมกับอัยการและมีความเห็นให้งดการสอบสวน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเห็นชอบต่อไป นายธาริต ยังย้ำด้วยว่า การงดสอบสวนไม่ได้หมายความว่า ไม่พบการกระทำความผิด และยังสามารถนำคดีดังกล่าวมาดำเนินการสอบสวนในภายหน้าได้
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ข้องใจในดุลพินิจของดีเอสไอ โดยบอก ตนรู้สึกข้องใจ 2 ประการ คือ 1.เนื้อหาที่นายจตุพรกับพวกปราศรัย มีความไม่เหมาะสม และ 2.การแถลงข่าวสั่งไม่ฟ้องนั้น สอดรับกับคำพูดของแกนนำคนเสื้อแดงก่อนหน้านี้ที่ออกมาบอกก่อนว่าดีเอสไอสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังขา และคงต้องไปสอบถามนายธาริตว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังพูดทำนองเตือนนายธาริตด้วยว่า คนที่ใช้ดุลพินิจเรื่องนี้จะต้องรับผิดชอบ
       
       4. กรมพัฒนาสังคมฯ สนองนโยบาย รบ. ดีเดย์จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากการชุมนุมกว่า 1,500 ราย 15 พ.ค.นี้!

       เมื่อวันที่ 10 พ.ค. เว็บไซต์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ได้เผยแพร่รายงานผลการเปิดรับลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 ที่กรมฯ ได้เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.-12 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้มีมติให้กรมฯ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งผลปรากฏว่า มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5,377 ราย แบ่งเป็น กทม. 4,630 ราย ต่างจังหวัด 747 ราย ทั้งนี้ คณะทำงานได้ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและหลักฐานของผู้ลงทะเบียนและประกาศรายชื่อไปแล้ว 3 ครั้ง มีจำนวนผู้เสียหายที่จะได้รับเงินเยียวยาตามความสูญเสียรวมทั้งสิ้น 1,521 ราย
       
       โดยแบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 104 ศพ จาก 3 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ปี 2551 จำนวน 4 ราย ,เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เมื่อเดือน เม.ย.2552 จำนวน 2 ราย และเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 จำนวน 98 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บแบ่งเป็น กลุ่มผู้ทุพพลภาพ 34 ราย ,กลุ่มผู้บาดเจ็บสาหัส 93 ราย ,กลุ่มผู้บาดเจ็บ 521 ราย และกลุ่มผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 769 ราย โดยทางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จะเริ่มจ่ายเงินเยียวยาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.เป็นต้นไป
       
       ทั้งนี้ เว็บไซต์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แจ้งด้วยว่า ผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาทั้ง 1,521 ราย เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือหรือเงินชดเชยอื่นจากรัฐ และเป็นผู้ที่ไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหรือถูกดำเนินคดีโดยหน่วยงานรัฐ รวมทั้งเป็นผู้ที่ไม่ได้ฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อลองกรอกชื่อและนามสกุลของผู้ที่อยู่ในข่าย 1,521 รายดังกล่าว พบว่า มีชื่อของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่สนับสนุนกลุ่มเสื้อแดงด้วย โดยระบุว่า อยู่ในประเภท “ผู้เสียชีวิต” แต่เมื่อลองกรอกชื่อ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยเอ็ม 79 ระหว่างขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว กลับไม่ปรากฏชื่อแต่อย่างใด
       
       อนึ่ง ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจะได้เงินชดเชย 4.5 ล้านบาท บวกเงินเยียวยาความสูญเสียด้านจิตใจอีก 3 ล้านบาท รวมเป็น 7.75 ล้านบาท และหากไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่มีการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก่อนเสียชีวิต จะได้เงินค่ารักษาอีกรายละไม่เกิน 2 แสนบาท รวมเป็น 7.95 ล้านบาท ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่า เป็นการจ่ายเงินเยียวยาที่สูงเกินเหตุ และไม่มีประเทศไหนที่จ่ายเงินเยียวยาความสูญเสียด้านจิตใจแบบที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่
       
       5. วันพืชมงคลปีนี้ พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่าน้ำท่าจะบริบูรณ์!

       เมื่อวันที่ 9 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ไปในการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2555 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
       
        สำหรับปีนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่พระยาแรกนาคือ นายศุภชัย บานพับทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ น.ส.ศิริลักษณ์ สมสกุล นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ กรมชลประทาน และ น.ส.เจษฎาภรณ์ สถาปัตยานนท์ นักวิชาการสหกรณ์ชำนาญ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำหรับเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ น.ส.สุมาลี จำเริญ นิติกรปฏิบัติการ กรมปศุสัตว์ และ น.ส.สุวิสาข์ เกตุอินทร์ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ กรมส่งเสริมการเกษตร ส่วนพระโคแรกนาขวัญ ได้แก่ พระโคฟ้าและพระโคใส
       
        สำหรับผลการเสี่ยงทายนั้น ในส่วนของพระยาแรกนา เสี่ยงทายผ้านุ่ง ได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ไม่ได้ผลเต็มที่ ส่วนพระโคเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง ประกอบด้วย หญ้า ข้าวเปลือก เหล้า ข้าวโพด ถั่วเขียว งา และน้ำ ผลปรากฏว่า พระโคกินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

5808
  1. ศาลฎีกาฯ พิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี-จำคุก 6 เดือน “เสี่ยตือ” ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน !

       เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ยื่นคำร้องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ซึ่งนายสมศักดิ์ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาพร้อมกับทนายความ
       
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บัญชีเงินฝากที่นายสมศักดิ์ระบุว่าเป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจขายข้าวของโรงสีข้าว หจก.วิเศษชัยชาญเจริญกิจ ซึ่งเป็นของครอบครัวนางระวิวรรณ ภรรยา โดยอ้างว่าภรรยาไม่มีอำนาจเบิกถอนเงิน มีเพียงแต่พี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงสีที่มอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้เปิดบัญชีให้เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นางระวิวรรณได้เบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทยกว่า 14 ล้านบาท
       
       ส่วนที่นายสมศักดิ์อ้างว่า เงินบางบัญชีได้จากการชำระหนี้นอกระบบ ศาลก็เห็นว่าไม่มีหลักฐานและไม่มีพยานยืนยัน จึงไม่สามารถรับฟังได้ ขณะที่เงิน 20 ล้านที่นายสมศักดิ์อ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทยเพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งเมื่อปี 2539 โดยนำเข้าบัญชีเงินฝากของโรงสีเพื่อช่วยในการประกอบธุรกิจนั้น พบพิรุธว่า บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ซึ่งผิดวิสัยของการเปิดบัญชีในการทำธุรกิจ ที่มักจะใช้บัญชีประเภทสะสมทรัพย์หรือเผื่อเรียก เพื่อเบิกถอนไปใช้ได้ทันที อีกทั้งก่อนที่จะมีการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เพียง 9 วัน ยังมีการถอนชื่อนางระวิวรรณที่มีชื่อรวมอยู่บัญชีเดียวกับพี่ชายออกด้วย
       
       นอกจากนี้ยังพบพิรุธเรื่องบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 15 ล้านบาทที่ อ.วิเศษชัยชาญ ที่พี่ชายของนางระวิวรรณเบิกความอ้างว่าใช้เงินของโรงสีซื้อและสร้างบ้านดังกล่าว แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบการเบิกถอนเงินจากบัญชีโรงสี แต่พบว่าเป็นเงินของนายสมศักดิ์และนางระวิวรรณที่นำไปใส่ในบัญชีที่หมุนเวียนในโรงสี อีกทั้งในการยื่นคำร้องปลูกสร้างบ้านครั้งแรก นายสมศักดิ์ยังใช้ให้พี่ชายของภรรยาไปยื่นขอจากเทศบาลเพื่อก่อสร้างโดยใช้ชื่อนายสมศักดิ์เป็นผู้ขอ แต่เมื่อสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพี่ชายของภรรยาเป็นผู้ยื่นขอ และหลังจากสร้างบ้านเสร็จ กลับปรากฏว่า นายสมศักดิ์และภรรยาเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในบ้านหลังดังกล่าว ขณะที่พี่น้องคนอื่นของภรรยาแยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
       
       ด้วยเหตุนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ จึงมีมติเอกฉันท์ว่า นายสมศักดิ์จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. จึงพิพากษาห้ามนายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมจำคุก 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
       
       สำหรับโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีนั้น ศาลฎีกาฯ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2551 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย ซึ่งส่งผลให้นายสมศักดิ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน
       
       ด้านนายสมศักดิ์ เผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า น้อมรับคำพิพากษา พร้อมยืนยันว่า ตนจะกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้งหลังพ้นกำหนดเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีในวันที่ 2 ธ.ค.2556
       
       2. “ยิ่งลักษณ์” ปัดตอบ ปรับ ครม.รับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ด้าน “จตุพร” ลั่น พร้อมนั่ง รมต.!

       สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการพูดกันมากเรื่องสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีที่พรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ โดยจะครบกำหนดพ้นโทษเว้นวรรคการเมืองในวันที่ 30 พ.ค.นี้ บวกกับกระแสปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อาจมีการดึงบางคนใน 111 มารับตำแหน่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ด้วย
       
       ทั้งนี้ กระแสสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ถูกจุดขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร 4 เส้าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ระหว่าง 1.ทีมฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย ส.ส.-ส.ว. 2.ทีม ครม.ทั้งปัจจุบันและอดีต รวมทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 (อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน-พรรคชาติไทย-พรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีพรรคถูกยุบ) 3.ทีมสื่อมวลชน และ 4.ทีมดาราศิลปิน
       
       ด้านนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย เผยว่า วันที่ 30 พ.ค.สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะทำบุญเลี้ยงพระและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ พร้อมจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้แสดงวิสัยทัศน์ นอกจากนี้จะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาในงานด้วย นายวิชิต ยืนยันด้วยว่า หลังปลดล็อก สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะไม่เข้าไปแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด พร้อมเผยด้วยว่า วันที่ 1 มิ.ย. จะมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 บางส่วนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยด้วย
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้งนั้น นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีบทเรียนในอดีตที่ต้องจดจำ “บางคนวีรกรรมเป็นที่จดจำในใจของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง บางคนพฤติกรรมยากที่จะลืม บางครั้งเราต้องเรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต ไม่เช่นนั้นไม่มีบทเรียนสอนให้คนต้องทำความดี ไม่ใช่ว่ามีโอกาสแล้วหักหลังเพื่อนอย่างไร้ความปรานี แต่เมื่อชีวีรันทดก็อยากกลับมา ซึ่งโลกไม่ได้สร้างมาเพื่อคนประเภทนี้”
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามเลี่ยงตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปรับ ครม. โดยบอกว่า “อากาศร้อน” ทั้งนี้ มีข่าวด้วยว่า คนที่จะได้เข้ามานั่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 มีชื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ด้วย โดยคาดว่าจะได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบบอกว่าเหมาะสม เพราะนายจตุพรรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม และเข้าใจปัญหาประชาชน เชื่อว่าหากได้รับแต่งตั้งจริง จะไม่มีใครออกมาต่อต้าน
       
       ด้านนายจตุพร บอกว่า มีข่าวจะปรับ ครม.ทีไร ตนก็มีชื่ออยู่ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน และว่า วันนี้ตนยืนอยู่ใน 2 สถานะ 1.เป็นคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นไปตลอดชีวิต และ 2.สถานะของ ส.ส. ซึ่งยังต้องลุ้น เพราะวันที่ 18 พ.ค.ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสมาชิกภาพของตน ไม่รู้จะได้เป็น ส.ส.ต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ นายจตุพร ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำทุกหน้าที่ครบถ้วน หากนายกฯ จะให้ไปทำอะไรตรงไหน ก็พร้อม
       
       ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวว่าอาจถูกปรับพ้นตำแหน่ง ยืนยันว่า สำหรับตนไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่ารัฐบาลต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ควรวิจารณ์หรือวิเคราะห์ ต้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเอง
       
       เช่นเดียวกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พูดถึงข่าวที่ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนว่า ยินดีหากนายจาตุรนต์จะมานั่งคุมงานการศึกษา ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า การปรับ ครม.น่าจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.หรือไม่ก็ต้นเดือน ก.ค.โดยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่น่าจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ได้แก่ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ,นายวราเทพ รัตนากร ,นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หรือเฮียเพ้ง ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั้น คาดว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะมีข่าวว่าอยู่ระหว่างตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเมืองจากระดับประเทศมาเป็นระดับท้องถิ่น คือ ผู้ว่าฯ กทม.ที่จะครบวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือน ม.ค.2556
       
       ส่วนผู้ที่อยู่ในข่ายอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แนะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นตัวของตัวเองในการพิจารณาปรับ ครม. โดยเห็นว่ามี 2 กระทรวงที่เป็นปัญหาต้องเร่งแก้ไข คือ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาสินค้าราคาแพงและปัญหาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยหากมีการปรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ออกจากรองนายกฯ ด้านความมั่นคง เพราะรัฐบาลเพิ่งแต่งตั้งให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ดูแลปัญหาภาคใต้ได้ไม่ถึงเดือน หากปรับถือว่าแปลกมาก และจะยิ่งกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่
       
       3. สภา ถกแก้ รธน.วาระ 2 ยังไม่จบ นัดประชุมต่อสัปดาห์หน้า ด้าน ปชป. ชี้ 5 ปมทำแก้ รธน.โมฆะ!

       ความคืบหน้าการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ต่อ หลังประชุมมาแล้ว 8 วัน ยังไม่แล้วเสร็จ โดยประเด็นที่ที่ประชุมเป็นห่วงและอภิปรายค้างอยู่ ก็คือ การให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 22 คน เพราะเกรงว่าเสียงข้างมากจะบล็อกโหวต จน ส.ส.ร.กลายเป็นร่างทรงของรัฐบาล ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมร่วมรัฐสภาต่อในวันที่ 1-3 พ.ค.นั้น
       
       ปรากฏว่า ก่อนหน้าประชุมร่วมรัฐสภา 1 วัน พรรคเพื่อไทยได้ประชุมและได้ข้อสรุปว่า จะเสนอให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภางดถ่ายทอดสดการประชุม เนื่องจากเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ใช้เวทีประชุมร่วมรัฐสภาโจมตีรัฐบาลมากกว่าอภิปรายข้อดีและข้อเสียของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 1 พ.ค.เริ่มขึ้น ปรากฏว่า ตอนแรกสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ก็ยังถ่ายทอดสดตามปกติ แต่พอผ่านไปได้สักพัก ช่อง 11 ได้แจ้งของดการถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภาในบางเวลาของวันที่ 1-2 พ.ค. เพื่อถ่ายทอดรายการที่จำเป็น เช่น ถ่ายทอดสดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย
       
       แม้ฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนจะไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุด ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค. ก็ได้มีการงดถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภา และหันไปถ่ายทอดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยฯ แทน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.รู้ว่างดถ่ายทอดการประชุมแล้ว จึงได้เรียกร้องให้มีการประสานเพื่อให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นถ่ายทอดแทน เช่น โมเดิร์นไนน์ทีวี(ช่อง 9) หรือไม่ก็ให้พักการประชุมจนกว่าจะได้สถานีถ่ายทอด
       
       ด้านนายสมศักดิ์ได้สั่งพักการประชุม โดยให้เหตุผลว่า หากประชุมโดยไม่มีการถ่ายทอด อาจทำให้บรรยากาศเสียได้ ทั้งนี้ หลังกลับมาประชุมต่ออีกครั้ง การอภิปรายได้ดำเนินไปจนดึก โดยมีการอภิปรายมาตรา 291/6 เกี่ยวกับองค์กรที่จะเสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็น ส.ส.ร. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอว่า องค์กรที่จะเสนอชื่อ ส.ส.ร.ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งตั้งขึ้นหลังร่างรัฐธรรมนูญ
       
       อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไม่ยอมปรับแก้ตามที่นายอภิสิทธิ์เสนอ หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา พยายามให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นชอบมาตราดังกล่าวหรือไม่ แต่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจ เพราะกำลังขอใช้สิทธิ์ประท้วงเพื่อให้ กมธ.ตอบข้อทักท้วงของฝ่ายค้านอยู่ แต่นายสมศักดิ์กลับไม่สนใจและไม่ให้ใช้สิทธิ์ นายบุญยอดจึงตะโกนลั่นห้องประชุมว่า “เผด็จการรัฐสภา ประธานไม่เป็นกลาง” พร้อมกล่าวอย่างไม่พอใจด้วยว่า “ฮิตเลอร์”
       
       ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามประท้วงกลับ แต่นายสมศักดิ์ตัดบท โดยบอก ไม่ได้ยินว่านายบุญยอดพูดอะไร และให้ลงมติต่อไป ซึ่งผลปรากฏว่า เสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างของ กมธ.ด้วยคะแนน 337 ต่อ 50 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
       
       ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันเดียวกัน(2 พ.ค.)ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบและรวบรัดเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และว่า ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ 5 เรื่องที่อาจทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นโมฆะ คือ 1.มีการกลับมติในชั้น กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291/1 โดยไม่มีเหตุผลและไม่ชอบด้วยข้อบังคับ 2.องค์ประชุมใน กมธ.ระหว่างเชิญผู้แปรญัตติเข้าชี้แจง ไม่ครบองค์ประชุม 3.รายงานของ กมธ.ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ผ่านที่ประชุม กมธ.ถือว่าเป็นรายงานเถื่อน 4.มีการกดบัตรลงคะแนนแทนกันหลายครั้งระหว่างประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 5.การที่ประธานรัฐสภาไม่ให้สิทธิ์นายบุญยอดประท้วง ถือว่าประธานฝ่าฝืนข้อบังคับ เอาใจแต่นายใหญ่ ดังนั้น หลังผ่านการพิจารณาในวาระ 3 แล้ว ตนจะรวบรวมความผิดพลาดต่างๆ ส่งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าการดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
       
       ทั้งนี้ การประชุมร่วมรัฐสภาได้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งในการประชุมวันที่ 3 พ.ค. ระหว่างอภิปรายมาตรา 291/11 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับระยะเวลาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร. ซึ่งร่างของ กมธ.ระบุให้ ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้เปลี่ยนเป็นภายใน 360 วัน
       
       หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนอกประเด็น นพ.วรงค์ จึงโต้กลับว่า จ.ส.ต.ประสิทธิ์ควรไปดูปัญหาราคาข้าวที่ จ.สุรินทร์จะดีกว่า ด้าน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ไม่พอใจ จึงสวนกลับว่า “ที่บ้านผมเรียกคุณหมอวรงค์ว่า คุณหมาวรงค์” ร้อนถึง พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และรองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องบอกให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ถอนคำพูด ซึ่ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์พยายามพูดย้ำไปย้ำมาว่าให้ถอนคำว่า “หมาวรงค์” ใช่หรือไม่ ก่อนจะถอนคำพูด ด้าน นพ.วรงค์ ได้โต้กลับว่า “แม้เป็นหมาก็เป็นหมาเฝ้าบ้าน ดีกว่าคนที่คิดว่าเป็นคน แต่ทำตัวเป็นทาส”
       
       ทั้งนี้ หลังประชุมร่วมรัฐสภาทั้ง 3 วันแล้ว(1-3 พ.ค.) แต่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ยังไม่แล้วเสร็จ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 8 ,10 และ 11 พ.ค. โดยพรรคเพื่อไทยคาดว่า จะสามารถพิจารณาวาระ 2 ได้แล้วเสร็จในวันที่ 11 พ.ค. และลงมติในวาระ 3 ได้ในวันที่ 28 พ.ค.
       
       4. ทหารเขมรแสบ คุ้มกันแก๊งลักลอบตัดไม้ไม่พอ วางระเบิดทหารไทยขาขาด ด้านกองทัพภาค 2 เตรียมยื่นประท้วงกัมพูชา!

       เมื่อวันที่ 29 เม.ย. มีรายงานว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนห่างจากช่องอานม้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 4 กม. เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนทหารพรานของไทยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้กำลังลาดตระเวนอยู่ ปรากฏว่า ได้พบกับชุดคุ้มกันกลุ่มลักลอบตัดไม้ ซึ่งเป็นทหารเขมรประจำช่องอานม้า เมืองจอมกระสาน จ.พระวิหาร จำนวน 8 นาย จึงได้เกิดการปะทะกันนานประมาณ 15 นาที ก่อนที่กลุ่มทหารเขมรจะล่าถอยออกจากเขตไทยกลับเข้าประเทศตัวเอง
       
       อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ ร.อ.จวน จ๊าบ หัวหน้าหน่วยทหารเขมร ได้ออกมาอ้างว่า ทหารเขมรถูกทหารไทยยิง พร้อมยืนยันว่า ทหารเขมรที่ถูกยิง เป็นชุดลาดตระเวนปกติ ไม่ได้ลักลอบเข้ามาคุ้มกันกลุ่มตัดไม้แต่อย่างใด พร้อมประสานขอรับอาวุธปืนที่ฝ่ายไทยตรวจยึดไว้ ร.อ.จวน ยังบอกด้วยว่า การปะทะกันครั้งนี้ มีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
       
       ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยยิงทหารกัมพูชาว่า ได้รับทราบว่าเป็นการปะทะกัน เนื่องจากมีการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเชื่อว่า หลังจากนี้จะมีการหารือทำความเข้าใจกันระหว่าง พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 กับแม่ทัพของกัมพูชา
       
       อย่างไรก็ตาม พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ออกมายืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปะทะกันและทหารไทยก็ไม่ได้ยิงทหารกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบพบว่า กรมทหารพรานที่ 23 กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ลาดตระเวนไปพบกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้พะยุงจากประเทศกัมพูชา บริเวณช่องอานม้า จากนั้นกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้ได้ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ไทย ทหารไทยจึงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเตือน 2-3 ชุด เมื่อผู้ลักลอบตัดไม้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีกำลังมากกว่า จึงได้ล่าถอยไป
       
       ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิดและเป็นการยิงป้องกันตัว เนื่องจากที่ผ่านมามักมีปัญหากลุ่มคนพร้อมอาวุธลักลอบเข้ามาตัดไม้พะยูง แต่ไม่ได้มีความขัดแย้งใดใดระหว่างสองประเทศ นายสุรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า อนาคตอาจต้องเพิ่มความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง รวมทั้งอาจต้องหารือกับจีน เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ซื้อไม้พะยูงด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากเหตุการณ์ที่ช่องอานม้าแล้ว ยังมีกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. ด้วย โดย พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เผยว่า เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนของไทยได้ออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ปรากฏว่า ส.อ.ชาตรี แก้วประสาน ผบ.หมู่ หัวหน้าชุดลาดตระเวน กรมทหาร ร.16 พัน.3 กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ ได้เหยียบกับระเบิด อาการสาหัส ขาข้างขวาขาด ส่วนข้างซ้ายถูกสะเก็ดระเบิดมากเช่นกัน จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่เพิ่งวางใหม่และมี 2 จุด
       
       ทั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ เผยด้วยว่า ก่อนหน้าที่ชุดลาดตระเวนดังกล่าวจะเหยียบกับระเบิดครั้งนี้ ได้มีการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงชาวกัมพูชาจำนวน 40 คน พร้อมอุปกรณ์ตัดไม้จำนวนมากเมื่อวันที่ 12 มี.ค. หลังจากนั้นวันที่ 6 เม.ย.ได้เกิดการปะทะกันใกล้จุดที่ชุดลาดตระเวนเหยียบกับระเบิด ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นผลจากการที่ขบวนการลักลอบตัดไม้ไม่พอใจที่ฝ่ายไทยพยายามปราบปรามอย่างหนัก สำหรับกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดครั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ บอกว่า กองทัพภาคที่ 2 จะทำหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤษภาคม 2555

5809
ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เผย' ทันตแพทย์-พยาบาล' เสี่ยงถูกแย่งงานหลังเปิดอาเซียน ระบุ แรงงานวิชาชีพกลุ่มหัวกะทิ ยังไม่เห็นประโยชน์ หวั่นเปิดเสรีวิชาชีพสาขาอื่นเพิ่ม เสี่ยงหนักกว่าเดิม

วันที่ 8 พฤษภาคม ผศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลวิเคราะห์ “ศักยภาพการแข่งขันของการเปิดเสรีแรงงานวิชาชีพไทยภายใต้ AEC” ว่า จากการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (focus group) เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ ความพร้อมของนักวิชาชีพ ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 และการร่วมจัดทำความตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (Multual Recognition Arrangement: MRA) ซึ่งได้ทำข้อตกลงยอมรับร่วมไปแล้วใน 7 สาขา ประกอบด้วย สาขาวิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ บัญชี โดยการเก็บข้อมูลครั้งนี้ เลือกศึกษาเพียง 6 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก

ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องอาเซียนมากที่สุด ได้แก่ นักบัญชี ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจมากกว่า 80% รองลงมาได้แก่ แพทย์ สถาปิก มากกว่า 50% ทันตแพทย์ 50% วิศวกร 30% และ พยาบาล 20% ตามลำดับ

สำหรับประโยชน์ของการเปิดเสรีอาเซียนนั้น ผลการสำรวจ พบว่า กลุ่มแพทย์เห็นประโยชน์ของการเปิดอาเซียนมากสุด คือ มากกว่า 50% รองลงมาคือ นักบัญชี สถาปนิกอยู่ที่ 50% ขณะที่พยาบาล เห็นประโยชน์ของการเปิดเสรีอาเซียน น้อยกว่า 20% วิศวกร 10% และทันตแพทย์ 0% (ไม่เห็นประโยชน์เลย)

ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า กลุ่มที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ภายหลังการเปิดอาเซียนคือ กลุ่มทันตแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะมีทันตแพทย์จากประเทศในแถบยุโรป ที่ได้โอนสัญชาติเป็นสิงคโปร์ตามเงื่อนไขของประเทศดังกล่าว ขอใช้สิทธิ์เข้ามาประกอบวิชาชีพในประเทศไทย เนื่องจากมีความสนใจที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือไม่มีงานทำในประเทศของตน เนื่องจากจำนวนทันตแพทย์มีมากกว่าจำนวนคนเจ็บป่วย

"แม้ว่าทันตแพทย์ไทยจะมีศักยภาพทัดเทียมกับมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียและพม่า แต่ประเทศอาเซียนยังมีความแตกต่างในวิธีปฏิบัติ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรม ศาสนา และชีวิตความเป็นอยู่ เช่น ผู้หญิงมุสลิมไม่สามารถทำฟันในท่านอนได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นอุปสรรคในการประกอบวิชาชีพ ฉะนั้น ทันตแพทย์ไทยจึงต้องปรับตัว แต่ทั้งนี้เชื่อว่าระยะ 10 ปีแรก (2555-2565) การเคลื่อนย้ายทันตแพทย์อาเซียนจะเกิดขึ้นน้อยมาก"

พยาบาลไทยเจ๋งสุด แต่อ่อนภาษา

ขณะเดียวกันกลุ่มพยาบาล หลังปี 2558 สภาพยาบาล คาดว่าจะมีพยาบาลจากอาเซียน โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศผลิตพยาบาลมากที่สุดในอาเซียน เข้ามาทำงานในประเทศไทยสัดส่วนมากกว่าที่พยาบาลคนไทยจะเดินทางออกไปทำงานในอาเซียน

"พยาบาลในประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่สุดในอาเซียน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่มีข้อเสียเปรียบด้านภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ในเมืองไทยความต้องการพยาบาลจากต่างประเทศยังมีน้อย เนื่องจากจำนวนพยาบาลที่ผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ"

ส่วนวิชาชีพอื่นๆ นั้น พบว่า แพทย์ไม่มีความสนใจที่จะไปทำงานในอาเซียน เนื่องจากความเป็นอยู่ อัตราค่าจ้างไม่เป็นที่ดึงดูดใจ พร้อมมองว่า การไปทำงานในยุโรป สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว จะได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองมากกว่า อีกทั้งมีคาดว่า ภายหลังการเปิดเสรี จะมีจำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยจำนวนมาก

ขณะที่วิศวกรไทย อยู่ในระดับที่มีศักยภาพสูง ทัดเทียมกับสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ แต่มีข้อเสียเปรียบด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนนักบัญชี ถือเป็นโอกาสดีของผู้ที่สนใจจะไปทำงานในอาเซียน แต่ต้องปรับตัวรับการแข่งขันที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับสถาปนิกที่มองว่าเป็นโอกาสของไทยที่จะทำงานในอาเซียนได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศบูรไน กัมพูชา พม่า ลาวและเวียดนาม

ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงสิ่งที่น่าคิดในการเปิดเสรีแรงงานในอาเซียนคือ ประเทศไทยยังไม่ได้เตรียมการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แรงงานยังไม่ทราบถึงผลกระทบ การเตรียมตัว การเปิดเสรีแรงงานจึงมีผลต่อภาคการผลิตและบริการของไทย ซึ่งปัจจุบันขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ (Skilled Labour) อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเปิดเสรีธุรกิจบริการ การจัดตั้งธุรกิจซึ่งต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 70%

สำหรับข้อเสนอแนะการเปิดเสรีในสาขาวิชาชีพอื่นเพิ่มเติมนั้น ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า ผลการศึกษา 6 สาขาวิชาชีพสะท้อนว่า กลุ่มแรงงานที่มีฝีมือและผู้เชี่ยวชาญ (Professionals) ซึ่งจัดเป็นพวกหัวกะทิของประเทศ ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นประโยชน์ และมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอาเซียนมากพอ การเปิดเสรีกลุ่มสาขาวิชาชีพต่อไป จึงมีแนวโน้มและความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก ฉะนั้น จึงควรสร้างความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์ ผลกระทบ และโอกาสของ AEC ที่มีต่อสาขาวิชาชีพนั้นๆ ก่อนที่จะตกลงเปิดเสรีแรงงาน ขณะเดียวกันต้องคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการแข่งขัน มีแนวทางพัฒนาศักยภาพ ยุทธศาสตร์ระดับประเทศในแต่ละสาขาวิชา เพื่อสร้างการแข่งขันในอาเซียน

ส่วนการปรับตัวของแรงงานไทย ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวเสนอแนะว่า แม้แรงงานฝีมือของไทย จะมีศักยภาพอยู่ในระดับสูงในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่บ้านเราควรยกระดับมาตรฐานการศึกษาของไทยให้เทียบเคียงกับหลักสูตรของต่างประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ พัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับภาคการผลิตและภาคบริการ ทั้งนี้ รัฐบาลควรให้การดูแลแรงงานไทย โดยมีหน่วยงานรัฐที่สามารถช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาแก่แรงงานไทยที่ไปทำงานในอาเซียน หากจำเป็นควรตั้งสำนักงานแรงงานไทยในประเทศอาเซียนขึ้น 

เมื่อถามถึง ธุรกิจสปา ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจบริการด้านสุขภาพของไทยจะได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่ ผศ.ดร.อัทธ์ กล่าวว่า สปาห้องแถว หรือสปาที่มีขนาดเล็ก 3-4 เตียง ไม่มีทางหนีไฟ ถังดับเพลิง หรืออื่นใดที่เป็นไปตามมาตรฐานสปาของอาเซียน อาจต้องเจ๊งและปิดกิจการลง ฉะนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมีการปรับตัว

สำนักข่าวอิศรา  8 พฤษภาคม 2012

5810
สื่อจีนถ่ายทอดภาพเมืองโบราณอายุมากกว่า 1,900 ปี จมอยู่ทั้งเมือง ใต้ทะเลสาบเฉียนเต่า พร้อมเผยภาพผังเมืองสมบูรณ์เตรียมสร้างพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปได้ชมกันบนฝั่งฯ
       
       นานมาแล้ว ที่ทะเลสาบเฉียนเต่า ในหังโจว มณฑลเจ้อเจียง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีผู้คนไปเยือนจำนวนมาก แต่น้อยคนจะทราบว่าใต้ทะเลสาบแห่งนี้ มีเมืองโบราณอายุมากกว่า 1,900 ปี จมอยู่ทั้งเมือง และถึงทราบก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
       
       สื่อจีนกล่าวว่า เมืองซือเฉิง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า เมืองสิงโต เนื่องจากอยู่ใกล้กับภูเขาสิงโต และหลับนิทราสงบนิ่งใต้ท้องทะเลสาบเฉียนเต่ามานานกว่า 50 ปี โดยล่าสุดเพิ่งจะได้บันทึกภาพโดยนักถ่ายภาพใต้น้ำ ถ่ายทอดภาพเมืองโบราณใต้ทะเลสาบนี้ ขึ้นมาให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 เม.ย.
       
       ทั้งนี้ รายงานซีซีทีวีรายงาน (26 เม.ย.) ว่า เมื่อครั้งที่สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำซินอัน ในปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) ทำให้พื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณทั้งสองนี้ กลายเป็นทะเลสาบแบบมนุษย์สร้าง ที่มีความลึกเฉลี่ย 30 เมตร และจุดที่ลึกที่สุด ลึกถึง 40 เมตร โดยเมืองซือเฉิง ก็ได้จมน้ำสงบนิ่งปกปิดเรื่องราวอยู่ใต้ทะเลสาบและยังไม่เคยถูกรบกวนอีกเลยนับแต่บัดนั้น จนกระทั่ง เมื่อราวปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลท้องถิ่นชูอัน ได้ริเริ่มโครงการค้นหาเมืองโบราณนี้อีกครั้ง ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีใต้น้ำ จากสถาบันกองทัพเรือจีน เพื่อช่วยค้นหาเมืองใต้น้ำแห่งนี้ จนกระทั่งปีที่แล้ว จึงได้สามารถสร้างแผนผังเมืองฉบับสมบูรณ์ พร้อมกับเตรียมจัดทำพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสร้างจากแผนผังเดียวกันนี้บนพื้นดินอีกครั้ง เพื่อให้คนทั่วไปสามารถรับทราบประวัติศาสตร์เมืองโบราณ ที่ซ่อนสงบนิ่งนิทราอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤษภาคม 2555

5811
 เด็กสาธิตเกษตรฯที่ 1 ประเทศ แอดมิชชันสูงสุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ส่วน คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มาแรง! ได้อันดับหนึ่งคนสมัครเข้าเรียนมากที่สุด “สมคิด” เผย เพิ่งเข้าร่วมปีแรกจึงไม่มีคะแนนขั้นต่ำ ด้านเว็บไซต์ สอท.จะประกาศผลทางการ 18.00 น.
   
       วันนี้ (7 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) แถลงข่าวการประกาศผลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง การรับนิสิต นักศึกษา (แอดมิชชัน) ประจำปีการศึกษา 2555 ซึ่งจะประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 18.00 ของวันที่ 7 พ.ค.ทางเว็บไซต์ของ สอท.www.cuas.or.th และหน่วยงานเครือข่ายอีก 19 แห่ง
       
       นายสมคิด กล่าวว่า ในปีนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้น 122,169 คน สมัครเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่ สอท.ดำเนินการคัดเลือกรวม 90 สถาบัน เพื่อเข้าศึกษาใน 723 คณะ/สาขาวิชา ซึ่งมีรหัสคณะ/สาขาวิชาให้เลือกทั้งสิ้น 3,598 รหัส โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ทั้งหมด 82,102 คน จากจำนวนที่เปิดรับทั้งหมด 140,828 คน ประกอบด้วย สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัด/กำกับ สกอ.78,161 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 102,099 คน แบ่งเป็น มหาวิทยาลัย/สถาบัน 24 แห่ง 64,248 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 76,778 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏ/มหาวิทยาลัยราชมงคล 13,913 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 25,321 คน สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัดหน่วยงานอื่น 156 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 156 คน และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 3,785 คน จากจำนวนที่เปิดรับ 38,573 คน ทั้งนี้ ผู้ผ่านการคัดเลือกจะต้องไปสอบสัมภาษณ์ให้ตรงกับวัน เวลา และสถานที่ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ระหว่าง 14-16 พ.ค.นี้
       
       นายสมคิด กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ผ่านการคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุดของคณะ/สาขาวิชา ในการคัดเลือกระบบแอดมิชชัน ประจำปีการศึกษา 2555 จำนวน 9 ราย ได้แก่

1.น.ส.เกวลิน รัตนโสภิณสวัสดิ์ ร.ร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้คะแนนร้อยละ 90.55 สูงสุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2.น.ส.ปณชนก มาลากุล ณ อยุธยา ร.ร.สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 87.96 สูงสุดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ

3.น.ส.บัณฑิตา แซ่โล้ว ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้คะแนนร้อยละ 86.17 สูงสุดคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

4.น.ส.ศศินี อรุณอาภารัตน์ ร.ร.เบญจมราชาลัย ได้คะแนนร้อยละ 85.28 สูงสุดคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

5.นายภิมุข เทียมเศวต ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ได้คะแนนร้อยละ 84.73 สูงสุดคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ

6.น.ส.ศิริกาญจน์ วิโรจน์ศิริ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 83.75 สูงสุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

7.นายชนภัสส์ แสงสว่าง ร.ร.สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนร้อยละ 83.09 สูงสุดคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

8.นายมัคค์ วรสถิตย์ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ได้คะแนนร้อยละ 82.93 สูงสุดคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และ

9.น.ส.นันทพัชร พนมยงค์ ร.ร.สตรีวิทยา ได้คะแนนร้อยละ 82.02 สูงสุดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์
       
       นอกจากนี้ ยังมีผู้พิการทางสายตาที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายณัฐพนธ์ มูลมาตย์ ร.ร.เซนต์คาเบรียล ผ่านการคัดเลือกในคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) บ้านสมเด็จเจ้าพระยา และ นายไพโรจน์ พันธุ์ทอง ร.ร.หาดใหญ่วิทยาลัย ผ่านการคัดเลือกในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
       
       “คณะ/สาขาวิชาที่มีผู้สมัครเลือกมากที่สุด ประจำปีการศึกษา 2555 ใน 3 อันดับแรก ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มีผู้สมัคร 2,850 คน รับได้ 56 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:51 คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ มีผู้สมัคร 1,813 คน รับได้ 150 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:13 และคณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ มีผู้สมัคร 1,906 คน รับได้ 160 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:12 ทั้งนี้ สาเหตุที่มีผู้สมัครเลือกคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มากเป็นอันดับ 1 นั้น อาจจะเป็นเพราะสถาบันดังกล่าวเข้าร่วมแอดมิชชันปีนี้เป็นปีแรก ดังนั้น เด็กอาจจะไม่มีคะแนนขั้นต่ำมาเปรียบเทียบ จึงทำให้แห่มาสมัครสถาบันดังกล่าวเป็นจำนวนมาก” นายสมคิด กล่าว
       
       นายสมคิด กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกทุกคน ส่วนผู้ที่พลาดหวังนั้นยังมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนอีกหลายแห่งที่จะเปิดรับเพิ่มเติม ดังนั้น จึงไม่อยากให้เด็กท้อแท้ เพราะการผ่านการคัดเลือกแอดมิชชันไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต และคนที่ผ่านการคัดเลือกก็ไม่ได้หมายความว่า จะเรียนจบใน 4 ปี อีกทั้งคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นบางคนก็ต้องแอดมิชชันหลายครั้ง ตนจึงอยากให้กำลังใจเด็กทุกคน และไม่อยากให้ผู้ปกครองโทษเด็ก ซึ่งเด็กอาจจะเก่งแต่สู้คนเก่งกว่าไม่ได้ หลังจากนี้ ก็ขอให้เด็กๆ ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ว่า จะมีสถาบันอุดมศึกษาใดเปิดรับเพิ่มเติมอีกบ้าง เพื่อให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤษภาคม 2555

5812
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสกลนครเพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหามะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 58,076 ราย อันดับ 1 คือมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี 14,008 ราย ในจำนวนนี้ร้อยละ 54 หรือ 7,513 รายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยไทยมีอัตราตายจากมะเร็งตับสูงที่สุดในโลก ในผู้ชายพบสูงถึง 36.9 คนต่อประชากร 100,000 คน  ส่วนผู้หญิง 15.2 คน ต่อประชากร 100,000 คน  โดยจังหวัดสกลนครมีอัตราตายจากมะเร็งชนิดนี้สูงที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบ 55 คนต่อประชากร 100,000 คน

สำหรับการป่วยจากมะเร็งตับพบว่ามีชายไทยป่วย 1 คนทุก 1 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงป่วย 1 คนทุก 3 ชั่วโมง เฉลี่ยพบผู้ป่วยวันละกว่า 30 คนทั่วประเทศ   นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการประชาร่วมใจ สร้างสุขอนามัยห่างไกลมะเร็งท่อน้ำดีในตับร้าย เทิดไท้องค์ราชัน-มหาราชินี-พระบรมฯ โดยการค้นหาผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้น มารับการผ่าตัดรักษาฟรี เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ60 พรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2555 – 31 กรกฎาคม 2556 รวมจำนวน 224 ราย ผ่าตัดในโรงพยาบาล 15 แห่ง ประกอบด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 แห่ง ได้แก่ รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รพ.ขอนแก่น รพ.อุดรธานี รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี รพ.มหาราชนครราชสีมา รพ.สกลนคร รพ.ร้อยเอ็ด และรพ.สุรินทร์ ภาคกลาง 5 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชวิถี รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช และรพ.จุฬาภรณ์ กทม. ภาคเหนือที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ และภาคใต้ที่รพ.หาดใหญ่   ซึ่งการรักษาตั้งแต่เซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลาม จะหายขาด มีโอกาสรอดชีวิตสูง

นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรืออสม.ให้มีความรู้เรื่องการป้องกันโรคมะเร็งตับ เพื่อให้ความรู้ประชาชน และค้นหาผู้ป่วยจากการตรวจคัดกรองประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เป็นชาวอีสานแต่กำเนิด กลุ่มที่ตรวจพบไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ  กลุ่มที่มีถิ่นฐานบ้านเรือนใกล้ริมแม่น้ำ ลำคลอง ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีประวัติมีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งตับ หากพบว่ามีความเสี่ยงจะส่งตัวไปตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจทางห้องปฏิบัติการที่โรงพยาบาลชุมชน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยโรคโดยเร็ว และส่งต่อไปผ่าตัดรักษาได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน จะรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันโรคมะเร็ง 2 ชนิดนี้ โดยเฉพาะใน 20 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เน้นกินอาหารที่ปรุงสุกสะอาด ไม่กินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดดิบๆ ปลาร้าดิบ ซึ่งจะมีพยาธิใบไม้ตับ สาเหตุหลักที่ทำให้เป็นมะเร็งตับและท่อน้ำดีตามมา

มติชนออนไลน์  7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5813
ศ.ดร.สมคิด ​เลิศ​ไพฑูรย์ อธิ​การบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ​เปิด​เผย​เกี่ยวกับ​แนว​โน้มของ​การรับตรงของธรรมศาสตร์ที่ผ่านมาว่า ​การรับตรง​เป็นช่องทางที่​ได้รับ​ความสน​ใจ​เพิ่มขึ้นอย่างมาก ​โดยมีอัตรา​การ​แข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อ​เนื่อง​โดย​ในปี​การศึกษา 2554 มหาวิทยาลัยมี​แผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,572 คน ​แต่มี​ผู้มาสมัคร​ทั้งสิ้น 28,847 คน อัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1 : 18.4 ​ในขณะที่ปี​การศึกษา 2555 มี​แผนรับนักศึกษาผ่านระบบสอบตรงจำนวน 1,674 คน ​แต่มี​ผู้มาสมัคร​ทั้งสิ้น 42,140 คน มีอัตรา​การ​แข่งขันสูง​ถึง 1:25.2

อธิ​การบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า หาก​เจาะลงรายคณะ พบว่าอัตรา​การ​แข่งขัน​เพิ่มขึ้น​เกือบทุกคณะ​และสาขาวิชา ​ทั้งสายสังคมศาสตร์​และวิทยาศาสตร์ ​โดยคณะที่​ได้รับ​ความสน​ใจ​และมีอัตรา​การ​แข่งขันสูงมากคือ คณะสห​เวชศาสตร์ สาขา​เทคนิค​การ​แพทย์ มีอัตรา​การ​แข่งขันสูง​ถึง 1:215 รองลงมาคือ คณะพยาบาลศาสตร์ อัตรา​การ​แข่งขัน 1:75 ​และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรม​ไฟฟ้า มีอัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1:72 สำหรับสายสังคมศาสตร์ ​เช่น คณะรัฐศาสตร์ สาขา​การระหว่างประ​เทศ อัตราส่วน​การ​แข่งขัน 1:44 คณะนิติศาสตร์ อัตรา​การ​แข่งขัน 1:18

​ในส่วนคุณภาพของนักศึกษาที่ผ่านจากระบบรับตรงนั้น ศ.ดร.สมคิด กล่าว​เพิ่ม​เติมว่า จากระบบรับตรง ช่วย​ให้คณะ​หรือสาขาวิชาต่างๆ สามารถคัด​เลือกนักศึกษาที่มีคุณภาพ​เข้าศึกษาต่อ ​และ​ไม่มี​การย้ายคณะภายหลัง ตลอดจนลดอัตรา​การ retire ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ​เนื่องจากนักศึกษา​เหล่านี้มี​ความ​เข้า​ใจ​ในสาขาที่ตน​เรียน ​เช่น กรณีคณะรัฐศาสตร์ พบว่า นักศึกษาที่​ได้รับคะ​แนน​เฉลี่ยสูงสุด​ใน​ทั้ง 3 สาขาวิชาของคณะ ​เป็นนักศึกษาที่ผ่านระบบรับตรง​เข้ามา ส่วนสถาบัน​เทค​โน​โลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) พบว่า ​การรับนักศึกษาผ่านระบบรับตรง ช่วย​ทำ​ให้อัตรา​การ retire ลดลงอย่างมาก จากกรณีสถาบันรับผ่าน Admission ปกติ มีนักศึกษา retire ประมาณร้อยละ 15 ​ในขณะที่​การรับตรงนักศึกษาผ่านมหาวิทยาลัย ​ทำ​ให้สัดส่วนนักศึกษา retire ลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 ​เท่านั้น

สำหรับ​เยาวชนว่าที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่สามารถสอบ​เข้าศึกษาต่อ ​โดย​เริ่มจากคณะยอดฮิตของสายสังคมศาสตร์ นายณภัทร ว่องธรรมวิชา จาก​โรง​เรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต ​ซึ่งสอบ​ได้คะ​แนนสูงสุดของสาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ บอก​ถึง​การ​เลือกศึกษาต่อ​ในสาขาบริหารรัฐกิจ กล่าวว่า ชอบทางด้านนี้​และคิดว่า​เหมาะกับตน​เอง ​และธรรมศาสตร์​เป็นมีชื่อ​เสียง​ในด้านรัฐศาสตร์อยู่​แล้วประกอบกับ​ผู้ปกครองสนับสนุน​ให้​เรียนที่นี่ ​จึงตัดสิน​ใจ​เลือกสอบ​เข้าที่ธรรมศาสตร์ ส่วน​เทคนิค​การ​เรียน​ให้ประสพผลสำ​เร็จนั้น ขอย้ำว่า​การอ่านหนังสือสำคัญมาก ​ให้​เวลากับ​การอ่านหนังสือมากที่สุด ​โดย​แบ่ง​เวลากับ​การอ่านร้อยละ 70 ​และอีกร้อยละ 30 ​เป็น​การ​ทำ​แบบฝึกหัด 3-4 ปีย้อนหลัง ประกอบกับ​การ​เรียนพิ​เศษ​และ​การ​ได้คำ​แนะนำจากรุ่นพี่ที่​เรียนคณะนี้อยู่​แล้ว ​ก็มีผล​ทำ​ให้​เราอ่านหนังสือ​ได้ตรงจุด ​และรู้​แนวข้อสอบมากยิ่งขึ้น

ส่วน​ในสายวิทยาศาสตร์ นายนภดล ศรีคง จาก​โรง​เรียนวิ​เชียรมาตุ จังหวัดตรัง ที่สอบติดคณะสห​เวชศาสตร์ สาขา​เทคนิค​การ​แพทย์ ​ซึ่ง​เป็นคณะยอดนิยมที่มีอัตรา​การ​แข่งขันสูงที่สุด​ใน​การรับตรงของธรรมศาสตร์ปีนี้ กล่าวว่า รู้สึกดี​ใจที่สอบติด​ในระบบรับตรงของคณะสห​เวชศาสตร์ ​เพราะตน​เองชอบ​และสน​ใจศึกษา​ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ​และธรรมศาสตร์ถือว่า​เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ​เสียง​จึง​เลือกที่นี่ ส่วน​เคล็ดลับ​ใน​การ​เรียน​ให้ประสบ​ความสำ​เร็จ ตน​เอง​ไม่​ได้​เรียนพิ​เศษกวดวิชา​ใดๆ ​เลย ​แต่​เน้น​ความขยันค้นคว้าอ่านหนังสือ​ให้ลึก​และรอบด้านมากที่สุด​เท่าที่จะ​ทำ​ได้ ​โดยอ่านจากหลายๆ สำนัก ​เพราะ​แต่ละสำนักมี​การวิ​เคราะห์ที่​แตกต่างกัน​ไป​ซึ่ง​เป็นประ​โยชน์ ​ทำ​ให้​ได้​ความรู้หลากหลาย​แง่มุม ​และครอบคลุมมากขึ้น ​และ​ทำ​แบบฝึกหัด จากนั้นมา​เน้นย้ำจาก​การ​เรียน​ในห้อง​เรียนอีกครั้ง ​ทั้งนี้ ​ผู้สน​ใจค้นหาข้อมูลคณะต่างๆ ที่สน​ใจ ​หรือติดตามข่าว​การรับสมัคร​เข้าศึกษาต่อ สามารถดูรายละ​เอียด​ได้ที่ www.reg3.tu.ac.th

บ้าน​เมือง -- จันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2555

5814
นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ​ไอ​เดีย​แจ๋ว นำกฎระ​เบียบวินัยของลูก​เสือนำมาประยุกต์​ใช้กับ อสม. ​เพื่อสร้างระ​เบียบวินัยรู้จัก​การ​ทำงาน​เป็นทีม พร้อมสร้างจิตสำนึกรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

​เมื่อ​เร็วๆนี้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่า​การกระทรวงสาธารณสุข ​และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ​เพื่อ​เยี่ยมชม​การ​ทำงานของ
อสม.(อาสาสาธารณสุขหมู่บ้าน) ราชบุรี ​โดย​ใช้กระบวน​การลูก​เสือ​เข้ามามีบทบาทสำคัญ​ใน​การพัฒนางานของ อสม.

นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้ประ​เทศ​ไทยมี อสม.กระจายทุกหมู่บ้านรวม 1 ล้านคน ​ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะ​เน้น​การสร้าง​แรงจูง​ใจ​และพัฒนาขีด​ความสามารถของ อสม. ​โดยอบรม​ให้​เป็น อสม.​เชี่ยวชาญ​เฉพาะด้าน 10 สาขา จำนวน 200,000 คน ​ได้​แก่

1.​การ​เฝ้าระวังป้องกัน ​และควบคุม​โรคติดต่อ ​เช่น ​ไข้​เลือดออก

2.​การส่ง​เสริมสุขภาพ ป้องกัน​และควบคุม​โรค​ไม่ติดต่อ ​เช่น ​เบาหวาน 3.​การส่ง​เสริมสุขภาพจิตชุมชน

4.​การป้องกัน​แก้​ไขปัญหายา​เสพติด​ในชุมชน

5.​การบริ​การ​ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนที่มีกว่า 70,000 ​แห่ง ​และ​การสร้างหลักประกันสุขภาพ

6.​การคุ้มครอง​ผู้บริ​โภคด้านสุขภาพ

7.​การส่ง​เสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ

8.​การป้องกัน​และ​แก้​ไขปัญหา​เอดส์​ในชุมชน

9.​การจัด​การสุขภาพชุมชน ​และ

10.​การจัด​การอนามัย​แม่​และ​เด็ก

​และพัฒนา อสม.​ใน​เรื่อง​การจัด​การ​ในภาวะวิกฤติ จำนวน 74,944 คนด้วย ​โดยจะสนับสนุน​เครื่องมืออุปกรณ์จำ​เป็นพื้นฐาน​ใน​การปฏิบัติงาน​ให้​แก่อสม.ที่ผ่าน​การอบรม​ทั้งหมด

น.พ.บุญ​เรียง ชูชัย​แสงรัตน์ นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัดราชบุรี ​เปิด​เผยว่า จำนวน อสม.​ในพื้นที่​เขต​ความรับผิดชอบของจังหวัดราชบุรีมีด้วยกัน 10 อำ​เภอ มีจำนวน 11,640 คน จาก​เดิม​ความรับผิดชอบของ อสม. 1 คน จะดู​แล 10 หลังคา​เรือน ​ทำ​ให้​การ​ทำจะ​เป็น​ไป​ในลักษณะต่างคนต่าง​ทำ ​แต่ละคนมี​ความ​เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ​ไม่​เหมือนกัน ​ซึ่งตรงข้ามกับ​การดู​แลลูกบ้าน ​ซึ่ง​ในบ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยคนหลายวัย ที่มี​ทั้ง​เด็ก สตรี คนชรา ​ผู้ป่วย คนพิ​การ ​เป็นต้น

น.พ.บุญ​เรียง กล่าวว่า จาก​การ​ทำงานของ อสม.ที่ผ่านมา ​เหมือน​เป็น​การ​ทำงาน​แบบตัว​ใครตัวมัน ​การอบรม​เพิ่ม​เติม​ความรู้จะมีอยู่​แต่​ในห้องประชุม มี​แต่​เรื่องของวิชา​การที่บางครั้งคนฟังยังหลับ ​ซึ่งบางครั้ง​การอบรม​ก็​ไม่สัมฤทธิผล ​เพราะ​ไม่สามารถนำ​ไปปฏิบัติ​ได้จริง ตน​จึง​ได้​เปลี่ยน​แนวคิด​การอบรม​แบบ​ใหม่ ​โดย​ใช้หลัก​การฝึกอบรมด้วยกระบวน​การลูก​เสือ ​หรือ​เรียกว่า ลูก​เสือ อสม.

​การอบรม​แบบลูก​เสือ อสม.จะ​ใช้รูป​แบบกิจกรรมบัน​เทิง​เป็นตัว​เชื่อม​ความสัมพันธ์ระหว่าง อสม.​ในพื้นที่​เดียวกัน ​ซึ่ง​เป็นหัว​ใจสำคัญของ​การ​ทำงาน จากนั้นรูป​แบบ​การอบรมต่อมาคือ ​การอบรม​แบบปฏิบัติจริง ​โดย​แบ่ง​เป็นฐาน​การ​เรียนรู้ต่างๆ อสม.ที่​เข้าอบรมสามารถ​โต้ตอบกับวิทยากร​ได้​แบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ กระบวน​การลูก​เสือยังช่วย​ใน​เรื่องของ​การต่อยอด​เรื่อง​ความรักสามัคคี ​และ​เทิดทูน​ทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา ​และพระมหากษัตริย์

อย่าง​ไร​ก็ตาม ​ในปี 2555 นี้ ทางจังหวัดราชบุรีมี​เป้าหมายที่จะ​ให้ลูก​เสือ อสม.​เข้า​ไปดู​แลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ​ใน​เรื่องของ​โรค​เบาหวาน​และ​ความดัน​โลหิตสูง ​ซึ่งสอดคล้องกับ​แนวทางของกระทรวงสาธารณสุขที่​ให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมรณรงค์คัดกรอง​เบาหวาน​และ​ความดัน​โลหิตสูง​ในประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้น​ไป ​ในช่วง​เดือน​แห่ง​การรณรงค์วัน อสม.​แห่งชาติที่ผ่านมา

"ภายหลัง​การอบรมลูก​เสือ อสม.​แล้ว พบว่า อสม.มี​ความรัก สามัคคี รู้จัก​การ​ทำงาน​เป็นทีม มี​ความ​เสียสละประ​โยชน์ส่วนตน ​เพื่อประ​โยชน์ของคนส่วนรวมมากขึ้น​และงานดู​แลชุมชน​ก็มี​การพัฒนา​ไป​ในทิศทางที่ดีขึ้น"

"ลูก​เสือ อสม." ​เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ​การประยุกต์​ใช้วิชาลูก​เสือมา​ใช้​ใน​การอบรม อสม. ​และพัฒนา​การ​ทำงานของ อสม.​ให้​เป็น​ไป​ในทิศทางที่ดีขึ้น

บ้าน​เมือง -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555

5815
ในช่วงหน้าร้อนยังมี​โรคระบาดอีกประ​เภทที่มองข้าม​ไม่​ได้ คือ​โรคอุจจาระร่วง/ท้อง​เสีย/ท้อง​เดิน ​เมื่อ​ได้รับ​เชื้อ​โรค​เข้าสู่ร่างกายจะ​ทำ​ให้​เกิดภาวะที่ร่างกายถ่าย​เป็นน้ำ​หรือถ่าย​เหลวมากกว่าวันละ 3 ครั้ง ​หรือถ่าย​เป็นมูก อา​การท้อง​เสีย​เนื่องจาก​เนื้อ​เยื่อที่ผนังลำ​ไส้​ใหญ่มี​การระคาย​เคือง​ซึ่งอาจ​เกิดจากสาร​เคมีบางชนิด​หรือพิษของ​เชื้อ​โรค ​ทำ​ให้ลำ​ไส้​ใหญ่บีบตัวมากกว่าปกติ ​จึง​เกิด​การถ่ายอุจจาระบ่อยๆ ​เป็น​โรคที่จะพบ​ในช่วงที่มีฝนตกชุก​และมีน้ำท่วมขัง น้ำท่วม ​เกิดจาก​เชื้อ​แบคที​เรียที่ปน​เปื้อนมากับน้ำที่ชาวบ้านนำมารับประทาน​หรือนำมาประกอบอาหาร ​หรือมากับขยะ​และน้ำ​เน่า

อันตรายที่​เกิดจาก​โรคนี้คือ​เมื่อร่างกายถ่ายมาก​ทำ​ให้​เกิดภาวะขาดน้ำ​และ​เกลือ​แร่​ได้ อาจส่งผลอันตราย​ถึงชีวิต ​โดย​เฉพาะ​ใน​เด็ก​เล็ก​และ​ผู้สูงวัย

​การ​ใช้สมุน​ไพรตามหลัก​การ​แพทย์​แผน​ไทย ​ใช้ยารสฝาด​ใน​การรักษาอา​การท้องร่วงท้อง​เสีย รสฝาด มีสารสำคัญคือ​แทนนิน ​เป็น กรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ยับยั้ง​การ​เจริญของ​แบคที​เรีย​ได้ มักพบ​ใน​เปลือกต้น​หรือ​แก่นของพืช​เป็นส่วน​ใหญ่ ​เรียกว่า คอน​เดนส์​แทนนิน (condensed tannins) ​หรือ​โปร​แอน​โทร​ไซยานิน (proanthro-cyanin) ​แต่ถ้าพบมาก​ในส่วนของ​ใบ​หรือฝัก ​เรียกว่า สาร​ไฮ​โดร​ไลซ์​แทนนิน (hydrolysable tannins) สาร​แทนนิน​เมื่อสัมผัสกับผนังลำ​ไส้​ใหญ่จะรวมตัวกับ​โปรตีนที่​เนื้อ​เยื่อบุผิว​แล้ว​เปลี่ยน​เป็นสารที่สามารถ​ทำลาย​โปรตีนของตัว​เชื้อ​โรค ​และ​ทำ​ให้​เชื้อ​โรคตาย

สาร​แทนนิน​หรือรสฝาด​ทำหน้าที่​ใน​การสมาน ​จึง​เป็นรสยาที่นำ​ไป​ใช้​แก้​ในทางสมาน​แผล ​แก้ท้องร่วง ​แก้บิด ช่วยฆ่า​เชื้อ​โรค ยับยั้ง​การ​เจริญ​เติบ​โตของ​แบคที​เรีย บำรุงธาตุ ​แก้ร้อน​ใน​เคลือบ​แผล​ในกระ​เพาะอาหาร   ​เมื่อร่างกาย​เจ็บป่วย​เราสามารถนำสมุน​ไพร​หรืออาหารที่มีรสชาติฝาดมา​ใช้​ใน​การรักษา​หรือดู​แลสุขภาพ​เรา​ได้ ​ในทาง​การ​แพทย์​แผน​ไทยกล่าวว่า ​ผู้ที่รับประทานสารนี้​เข้า​ไปมากจะ​ทำ​ให้คอ​แห้ง กระหายน้ำ ท้องอืด ท้องผูก ​แสลงกับ​โรค​ไอ ​โรคลม ธาตุ​ไฟพิ​การ

สมุน​ไพรที่มีฤทธิ์​แก้อา​การท้อง​เสียท้องร่วงที่​เรารู้จักทั่ว​ไปมีหลายชนิด บางชนิด​ใช้​แก้อา​การท้อง​เสียที่ติด​เชื้อ​ได้ บางชนิด​ใช้​แก้​ได้​ในชนิด​แบบ​ไม่ติด​เชื้อ ​ซึ่งต้องศึกษาคุณประ​โยชน์ของสมุน​ไพร​เหล่านี้ ​และนำ​ไป​ใช้ดู​แลสุขภาพ​ได้อย่างถูกประ​เภท ​เช่น

ทับทิม ​ใช้​เปลือกผล รสฝาด ฆ่า​เชื้อ ชะล้างบาด​แผล วิธี​ใช้ ​เอา​เปลือกผลสด ต้มกับน้ำดื่ม​หรือ​ใช้​เปลือกผล​แห้ง ต้มกับน้ำปูน​ใส​แก้อา​การบิด ที่มีอา​การปวด​เบ่ง มีมูก​และ​เลือดติด ​แต่ถ้าอา​การหนักกว่านี้​และถ่ายบ่อยครั้ง​ก็ต้องรีบ​ไปหาหมอทันที

ฝรั่ง ​ใช้​ใบ รสฝาด ดับกลิ่น ฆ่า​เชื้อ ส่วนผลอ่อน รสฝาด ​แก้ท้อง​เสีย วิธี​ใช้ ​ให้​เอา​ใบ​แก่ 10-15 ​ใบปิ้ง​ไฟ​และชงน้ำรับประทาน ​หรือ​ใช้ผลอ่อน 1 ผล ฝนกับน้ำปูน​ใสรับประทาน

ข่อย ​ใช้​เปลือกต้น รส​เมาฝาดขม ​แก้​โรคผิวหนัง รักษา​แผล วิธี​ใช้ นำ​เปลือกต้นต้มน้ำดื่ม​แก้ท้องร่วง ​หรือ​เปลือกต้นหุง​เป็นน้ำมันทารักษาริดสีดวงทวาร​ได้ด้วย

ฝาง ​ใช้​แก่น รสขมฝาด บำรุง​โลหิต ​แก้ร้อน​ในกระหายน้ำ ​แก้ท้องร่วง ธาตุพิ​การ ​โดย​ใช้​แก่นต้มน้ำ​แบบ​เคี่ยว ดื่ม​แก้อา​การท้องร่วง

มะตูม ​ใช้ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่น​แก้ธาตุพิ​การ ​แก้ท้อง​เสีย ​แก้บิด บำรุงกำลัง วิธี​ใช้​ให้​เอาผลอ่อนหั่น​เป็น​แว่นตาก​แห้งนำ​ไปต้มน้ำดื่ม​แก้ร้อน​ในกระหายน้ำ ฆ่า​เชื้อ​ในลำ​ไส้ บำรุงหัว​ใจ บำรุงธาตุ ช่วย​เจริญอาหาร

มะ​เดื่ออุทุมพร ​ใช้​เปลือกต้น รสฝาด​เย็น ​แก้ท้องร่วง ชะล้างบาด​แผล​โดย​ใช้​เปลือกต้น​ใช้ต้มชะล้าง​แผล รับประทาน​แก้ท้องร่วง

มังคุด ​ใช้​เปลือกผล รสฝาด มีฤทธิ์ฆ่า​เชื้อ​แบค ที​เรีย​ซึ่ง​ทำ​ให้​เกิดหนอง ​แก้​โรคท้องร่วง ท้อง​เสีย​เรื้อรัง ​และ​โรค​เกี่ยวกับลำ​ไส้ วิธี​ใช้ รักษา​โรคท้อง​เสีย​เรื้อรัง ​และ​โรคลำ​ไส้​ใช้​เปลือกมังคุดครึ่งผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ รับประทานครั้งละ 1 ถ้วย​แก้ว ถ้า​เป็นยาดอง​เหล้า รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ​โดยชงดื่มกับน้ำอุ่นประมาณครึ่ง​แก้ว

​ใช้​เป็นยา​แก้อา​การท้อง​เดิน ท้องร่วง ​ใช้​เปลือกผลมังคุดตาก​แห้งต้มกับน้ำปูน​ใส ​หรือฝนกับน้ำรับประทาน ​ใช้​เปลือกต้มน้ำ​ให้​เด็กรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่ว​โมง ​ผู้​ใหญ่ครั้งละ 1 ช้อน​โต๊ะ ทุก 4 ชั่ว​โมง  ​หรือยา​แก้บิด (ปวด​เบ่ง​และมีมูก​และอาจมี​เลือดด้วย) ​ใช้​เปลือกผล​แห้งประมาณ 1/2 ผล (4 กรัม) ย่าง​ไฟ​ให้​เกรียม ฝนกับน้ำปูน​ใสประมาณครึ่ง​แก้ว ​หรือบด​เป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่ว​โมง

ชาจีน ​ใบ รสฝาดชุ่ม ​แก้บิดปิดธาตุสมาน​แผล กระตุ้นหัว​ใจ ​แก้ปวด​เมื่อยตามร่างกาย​แก้ท้องร่วง ​แก้ง่วงนอน วิธี​ใช้ ชง​ใบชาจีน​แก่ๆ ทิ้ง​ไว้จน​ได้น้ำสี​เหลือง​เข้ม ​ใช้จิบ​เรื่อยๆ

ฟ้าทะลาย​โจร ​ใบ​หรือ​ทั้งต้น รสขม ​แก้​ไข้ ​แก้หวัด ​แก้ปอดอัก​เสบ ​แก้บิด ​แก้ท้อง​เสีย วิธี​ใช้ ​ให้​เอา​ใบสด​หรือ​ทั้งต้น 1 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ3 ครั้ง ​หรือ​ทั้งต้น​หรือ​ใบตาก​แห้งบด​เป็นผงละ​เอียดที่บรรจุ​แคปซูล ​แคปซูลละ 500 มิลลิกรัม ​ให้กินครั้งละ 2 ​เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนอาหาร​เช้า กลางวัน​และ​เย็น หยุดยา​เมื่อหยุดถ่ายข้อควรระวัง​เมื่อ​ใช้​แล้ว​เกิดอา​การข้าง​เคียงที่อาจพบคือ คลื่น​ไส้อา​เจียน​เป็นน้ำ​ใส ​ไม่สบาย​ในท้อง ถ้า​เป็นมาก​ให้หยุดยา

​แค ​เปลือกต้น รสฝาด ​แก้บิดมูก​เลือด คุมธาตุ สมาน​ทั้งภาย​ในภายนอก ชะล้างบาด​แผล นำ​เปลือกต้น​แค ​เอาส่วนด้าน​ในที่มีสีขาวมาต้มกับน้ำ ดื่ม​เพื่อรักษาอา​การท้อง​เสีย​แก้บิด​แก้มูก​เลือด คุมธาตุ ​หรือ​ใช้ภายนอกนำ​ไปชะล้างบาด​แผล ฆ่า​เชื้อ​ได้

​ไพล ​ใช้​เหง้า วิธี​ใช้ ​แก้บิดท้อง​เสีย​ใช้​เหง้า​ไพลสดหั่น​เอาสัก 4-5 ​แว่น นำ​ไปตำ​ให้ละ​เอียด คั้น​เอา​แต่น้ำ​เติม​เกลือครึ่งช้อนชา ​ใช้รับประทาน ​หรือฝนกับน้ำปูน​ใสรับประทาน.

ไทย​โพสต์ -- อาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2555

5816
 เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายทองสุข สุวรรณประภา อายุ 40 ปี พนักงานสูบน้ำ สังกัดกองช่าง ของสำนักงานเทศบาลตำบล(ทต.) เวียงลอ อ.จุน จ.พะเยา เข้าร้องทุกข์ต่อนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาว่า ขณะนี้นางนุศรา สุวรรณประภา อายุ 30 ปี ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 ต้องฉีดยาเข็มละ 98,000 บาท ทุกๆ 21 วัน และในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงรอบที่ภรรยาต้องไปฉีดยา แต่ปรากฏว่าส่วนการเงินของโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่แจ้งว่าไม่สามารถจ่ายยาให้ได้อีกต่อไป เนื่องจากต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอ ค้างชำระค่ารักษาพยาบาลจำนวน 709,468 บาท เกรงว่าหากภรรยาไม่ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์อาจจะมีอันตราย

 นายทองสุขกล่าวต่อว่า ก่อนที่จะมาทำหน้าที่ในทต.เวียงลอ เป็นลูกจ้างประจำโครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถ่ายโอนงานมาที่ทต.เวียงลอ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2546 ไม่คิดว่าจะมีปัญหาลักษณะนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลแจ้งเลื่อนนัดรับยาไปเป็นวันที่ 16 พ.ค. โดยมีเงื่อนไขว่าทางทต.เวียงลอ ต้องชำระเงินที่ค้างก่อน

 พนักงานสูบน้ำทต.เวียงลอกล่าวอีกว่า ขณะที่ต้นสังกัดคือ ทต.เวียงลอก็แจ้งว่าไม่สามารถชำระค่ารักษาพยาบาลได้เนื่องจากเงินในหมวดไม่เพียงพอ และเมื่อทต.เวียงลอ ทำหนังสือขออนุมัติค่ารักษาพยาบาลไปที่สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดพะเยา ได้รับการตอบกลับว่าเงินอุดหนุนค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการถ่ายโอนมีน้อย ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่ารักษาดังกล่าว ต้องรอเงินอุดหนุนในไตรมาสต่อไป จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากจังหวัดประสานงานทางโรงพยาบาลหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เมตตาช่วยเหลือด้วย

 ปัญหาที่ภรรยาของผมประสบเหตุในครั้งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพื่อนข้าราชการถ่ายโอนอีกหลายคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันเพราะมาแต่คน เงินไม่ให้มา จึงอยากร้องขอให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขเพื่อช่วยเหลือข้าราชการถ่ายโอน โดยเฉพาะกรณีค่ารักษาพยาบาลควรเป็นการจ่ายตรงเหมือนข้าราชการทั่วไป เพราะทุกวันนี้ผมยังเบิกจ่ายเงินจากต้นสังกัดเดิม คือกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทย์ หากการถ่ายโอนภารกิจของหน่วยงานราชการสู่ท้องถิ่นถ่ายทั้งคน งาน และเงิน จะดีมาก ทุกคนที่ทำงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ประสบปัญหาอีกต่อไป นายทองสุขกล่าว


ข่าวสดออนไลน์  5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555   


5817
 โลกใต้ทะเลของไทย ทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน ได้ชื่อสวยงามติดระดับโลก นั่นจึงทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ดำดิ่งลงไปสัมผัสกับความงามของโลกใต้ทะเลไทยกันเป็นจำนวนมาก
       
       สำหรับแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงของไทยนั้น มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งในที่นี้ “ตะลอนเที่ยว” ขอคัดสรรกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำยอดฮิตของไทยมา 5 แห่ง ซึ่งจะมีที่ไหนบ้าง ขอเชิญทัศนากันได้

       เกาะเต่า-เกาะนางยวน
       
       “เกาะเต่า-เกาะนางยวน” 2 เกาะดังแห่ง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ชื่อว่ามีโลกใต้ทะเลที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอ่าวไทย
       
       สำหรับจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมก็มีหลายแห่งด้วยกัน เช่น “กองหินชุมพร” เป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อที่สุดของเกาะเต่าลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ มีความลึกตั้งแต่ 12-32 เมตร มีดอกไม้ทะเล ปะการังดำ ปลาหูช้าง ปลาสาก ปลาเก๋าดอกหมาก ขนาดยักษ์ และฉลามวาฬ ที่แวะเวียนมาประจำ
       
       ส่วนอีกหนึ่งจุดได้แก่ “กองตุ้งกู” ลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำ มีปะการังดำ ฝูงปลานานาชนิด และปลาเก๋าขนาดใหญ่ และ “กองหินวง” ก็เป็นกองหินใต้น้ำเช่นกัน มีปะการังอ่อนสีสันสวยงาม รวมทั้ง แส้ทะเล หวีทะเล เป็นจำนวนมาก

       ใกล้ๆ กับเกาะเต่า มี “เกาะนางยวน” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่สวยงาม โดยมีมีจุดเด่นๆให้เลือกดำน้ำ เช่น “กองหินนางยวน” จะเป็นกองหินเรียงอยู่ทำให้มีโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้น้ำมากมาย
       
       หรือจะเป็นที่ “กองหินขาว” เป็นกองหินย่อยๆกระจายในบริเวณกว้าง มีปะการังอ่อนสีสวย กัลปังหา แส้ทะเล ปลาวัวหน้านวล ส่วน “เกาะกงทรายแดง” สัตว์ที่พบเห็น ได้แก่ ปะการังแข็ง ฟองน้ำ ปลาวัว และ ฉลามเสือดาว
       
       ด้วยความงามของโลกใต้ทะเลของเกาะเต่า เกาะนางยวน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งดำน้ำนอกฤดูกาลยอดฮิต ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตนักเรียนดำน้ำแบบ Scuba ตามหลักสูตรของ Padi จากสหรัฐอเมริกาที่มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำที่มีชื่อมากแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

       หมู่เกาะสิมิลัน
       
       “หมู่เกาะสิมิลัน” แห่งท้องทะเลอันดามัน จ.พังงา ปัจจุบันมี 11 เกาะน้อยใหญ่ มีสัญลักษณ์ คือหินเรือใบที่เกาะแปด (สิมิลัน) อันเลื่องชื่อ
       
       หมู่เกาะสิมิลันแหล่งดำน้ำลึกอันดับหนึ่งของเมืองไทย และสวยงามติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ที่นี่มีจุดดำน้ำเด่นๆ คือ “เกาะตาชัย” เต็มไปด้วยปะการังหลากสีสันและฝูงปลานานาชนิด รวมถึงยังสามารถพบสัตว์ใหญ่อย่าง ฉลามวาฬ ฉลามเสือดาว กระเบนราหู ได้บ่อยครั้ง ส่วน “เกาะบอน” เต็มไปด้วยปะการังอ่อนขนาดเล็ก และมีโอกาสพบกระเบนราหูได้บ่อยครั้ง ส่วนใครโชคดีจะได้พบกับฉลามครีบดำที่นานจะโผล่มาโชว์ตัวสักที

       นอกจากนี้ ยังมี “เกาะสาม” ที่แม้เป็นหน้าผาไม่มีหาดทราย แต่ว่าโลกใต้น้ำที่นี่งดงาม เพราะบริเวณนี้มีกำแพงเมืองจีนหรือสันฉลาม ซึ่งเป็นกำแพงหินธรรมชาติใต้น้ำอันตระการตา มักพบปลาฉลามครีบเงิน ฉลามเสือดาว และฝูงปลาจำนวนมากมาหากินใกล้ๆ กำแพงหิน
       
       ส่วนที่ “เกาะห้า” เป็นเกาะเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยปะการังอ่อน-แข็ง มีปลาไหลที่ชอบโผล่หัวชูคอขึ้นจากรูจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นสวนปลาไหล สำหรับ “เกาะหก” มีเรือนกล้วยไม้เป็นจุดดำน้ำลึกชมปะการังอ่อนหลากสีสัน อีกทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำอยู่หลายแห่งด้วยกัน ด้าน “เกาะเจ็ด” หรือ หินปูซาร์ เป็นหินโผล่กลางทะเล มีกัลปังหาขึ้นอยู่บนลาน มีปลาสวยงามมากมาย

       หมู่เกาะสุรินทร์
       
       “หมู่เกาะสุรินทร์” จ.พังงา แห่งท้องทะเลอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำลึกอันโดดเด่นอยู่บริเวณ “กองหินริเซลิว” ซึ่งเป็นกองหินใต้น้ำมีลักษณะคล้ายกับเป็นคอนโดมิเนียม มีสัตว์น้ำเล็กๆ อาศัยอยู่ตามซอกมุมของหิน เช่น ปลากบ กุ้งตัวตลก ม้าน้ำ ทากทะเล ปะการังอ่อนหลากสี เป็นต้น
       
       อีกจุดหนึ่งอยู่ที่ “เกาะตอรินลา” หรือ เกาะไข่ บางคนเรียกว่า กองเหลือง งดงามด้วยดงปะการังเขากวางขนาดใหญ่ และปลาสวยงามกว่า 200 ชนิด ส่วนที่ “หินแพ” เพราะเป็นจุดดำน้ำสำหรับดูปลาโดยเฉพาะ เช่น ปลาวัว ปลานกแก้วต่างๆ ปลากล้วย ปลาเขียวพระอินทร์ เป็นต้น

       ขณะที่จุดดำน้ำตื้นในบริเวณอ่าวรอบๆ หมู่เกาะสุรินทร์เกือบทุกอ่าวจะเต็มไปด้วยแนวปะการังแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดของท้องทะเลไทย โดยจุดดำน้ำที่เด่นๆ ก็มี “อ่าวไม้งาม” ที่มีปะการังแผ่น ปะการังเขากวาง อยู่จำนวนมาก, “อ่าวผักกาด” ที่เป็นอ่าวเล็กๆ สามารถพบเห็นปะการังอ่อน กัลปังหา และสัตว์ทะเลน่าสนใจ เช่น ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ และปลาจำนวนมากมายหลายชนิด
       
       “อ่าวเต่า” พบปะการังก้อนใหญ่มีปะการังอ่อนและกัลปังหาอยู่เป็นหย่อมๆ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเห็นปลาใหญ่อย่างฉลาม และกระเบนราหู อีกด้วย “อ่าวสับปะรด” ที่บริเวณนี้เราจะได้เห็นปะการังจำพวกปะการังเขากวางอ่อน สีน้ำเงิน ม่วงอ่อน และปลาบางชนิด
       
       ด้วยความโดดเด่นของโลกใต้ทะเลริมชายฝั่ง ทำให้หมู่เกาะสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้น(Snorkeling) ที่ดีที่สุดในเมืองไทย

       หมู่เกาะตะรุเตา
       
       “หมู่เกาะตะรุเตา” จ.สตูล เป็นหมู่เกาะใต้สุดของท้องทะเลไทยฝั่งอันดามัน ที่นี่มีจุดดำน้ำที่สำคัญๆ ได้แก่ “ร่องน้ำจาบัง” ที่มีปะการัง 7 สีอันสวยงามเป็นตัวชูโรง แต่ด้วยความที่กระแสน้ำที่นี่ไหลเชี่ยวแรงมาก ดังนั้นผู้ที่ลงดำน้ำดูปะการังต้องสวมชูชีพทุกครั้ง

       นอกจากนี้ ยังสามารถดำน้ำตื้นชมโลกใต้ท้องทะเลอันสวยงามได้อีกในหลายๆ แห่งของหมู่เกาะตะรุเตา ได้แก่ “เกาะอาดัง-เกาะราวี” 2 เกาะแฝดที่มีแนวปะการังอยู่รอบๆ เกาะ และมีปลาสวยงามอีกเป็นจำนวนมาก ส่วน “เกาะยาง” ที่บริเวณหน้าเกาะมีปะการังเขากวาง ปะการังรูปโต๊ะ ปะการังไฟ ปะการังสมอง ปะการังผักกาด มีระดับความลึกราว 4-10 ฟุต จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำตื้นเช่นกัน ด้าน “เกาะหินซ้อน” ที่มีหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาตั้งซ้อนกันดูเหมือนจะตกแหล่มีตกแหล่ รอบๆเกาะแห่งนี้ เต็มไปด้วยปะการังอ่อนและปะการังแข็งที่สวยงาม
       
       สำหรับ“เกาะหลีเป๊ะ” ที่มากมายไปด้วยรีสอร์ตที่พักนั้น รอบๆ เกาะมีธรรมชาติของป่าปะการังเป็นจุดเด่น ส่วนที่ “เกาะรอกลอย” เป็นแหล่งเล่นน้ำ ดำน้ำดูปลาสวยงามในบรรยากาศหาดทรายน้ำตื้นที่น้ำทะเลใสแจ๋วเหมือนแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ นับได้ว่าโลกใต้หมู่เกาะตะรุเตาเป็นอีกหนึ่งแหล่งดำน้ำที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากแหงหนึ่งของเมืองไทย

      หมู่เกาะชุมพร
       
       “หมู่เกาะชุมพร” จ.ชุมพร แห่งท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีโลกใต้ทะเลงดงามที่นักดำน้ำไม่ควรมองผ่าน
       
       สำหรับจุดดำน้ำชื่อดังของชุมพร ก็คือ “เกาะง่ามใหญ่” อันเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น เป็นจุดที่มีแนวปะการังและกลุ่มกองหินเรียงรายขนานกับแนวเกาะ และมีถ้ำใต้น้ำขนาดเล็ก สิ่งมีชีวิตที่พบในบริเวณนี้คือ ดอกไม้ทะเล ปะการังแข็ง แส้ทะเล ฟองน้ำ กัลปังหา ปลานกแก้ว ปลาสาก ปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทร ปลากระเบนจุดฟ้า เต่า ทากทะเล กุ้งตัวยาว

       ส่วน “เกาะง่ามน้อย” มีลักษณะเป็นแนวสันเกาะ และมีกองหินเล็กๆกระจายขนานตามแนวเกาะ พื้นหินปกคลุมด้วยพรมทะเล และปะการังหนัง ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ที่นี่มักจะพบกุ้งตัวยาว ทากเปลือย เต่าทะเล ปลาไหลมอเรย์ตาขาว ปลาเก๋าและกระเบน
       
       ขณะที่ “หินหลักง่าม” ที่เป็นหินโผล่พ้นน้ำที่มี 2 ยอด มีทุ่งปะการังดำขึ้นปกคลุมหนาแน่นบนลานทราย มีปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลอาศัยอยู่บนแนวหิน ที่นี่มักจะพบทากเปลือยสวยงามหลายชนิด ด้าน“หินแพ” ที่เป็นแนวกองหินที่มียอดโผล่พ้นน้ำ ที่นี่น่ายลไปด้วย ดอกไม้ทะเล ปะการังดำ แส้ทะเล หอยมือเสือ ปลาผีเสื้อ ปลาสาก ปลากระเบน เต่า ปลาหมอ และมีการพบฉลามวาฬในบริเวณนี้ด้วย

       ส่วนอีกจุดดำน้ำที่ถือเป็นไฮไลต์ของท้องทะเลชุมพร ก็คือ “เกาะร้านเป็ด-ร้านไก่” ที่โลกใต้น้ำเป็นแนวกำแพงเกาะ มีลานหินขนาดใหญ่ มีถ้ำใต้น้ำที่สวยงาม แนวหินปกคลุมด้วยกัลปังหารูปพัด ดอกไม้ทะเล แส้ทะเล ฟองน้ำ และปะการังแข็ง บนพื้นทรายมีปะการังดำขึ้นหนาแน่นสวยงามมาก มักพบปลากระเบนขนาดใหญ่ ทากทะเลสวยงามหลายชนิด ปลาสาก ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ มีการพบฉลามวาฬแวะเวียนมาในบางครั้ง

       และนี่คือ 5 แหล่งดำน้ำตามกลุ่มเกาะ และหมู่เกาะอันโดดเด่นสวยงาม และเป็นที่นิยมในหมู่นักดำน้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นมนต์เสน่ห์แห่งโลกใต้ทะเลไทยที่รอให้ผู้สนใจได้ดำดิ่งแหวกว่ายลงไปสัมผัส
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤษภาคม 2555

5818
ปลัด สธ.เผยเตรียมเสนอ 3 กฎหมาย เพิ่มพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ โรงงาน รัฐวิสาหกิจ และบนรถยนต์ทุกชนิด ตั้งแต่ 3 ล้อเครื่องขึ้นไป ทั้งคนขับ คนนั่ง...

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายจากนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประจำปี 2555 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 รวม 4 ฉบับ ซึ่งประกาศดังกล่าวเป็นการขยายพื้นที่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น จากเดิมที่ห้ามขายและห้ามดื่มในวัด หรือศาสนสถาน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะ และห้ามขายในหอพักนักศึกษา เพื่อสร้างความปลอดภัยในสังคม จากปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งอุบัติเหตุจราจร ลดการเจ็บป่วย เช่น โรคตับแข็ง โรคจิตเวช รวมทั้งความรุนแรงในสังคมอื่นๆ โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เพื่อพิจารณาก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในส่วนที่เป็นอาคาร สถานที่ หรือมียานพาหนะที่ใช้เครื่องจักรที่มีกำลังรวมตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้แรงงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงาน ยกเว้นพื้นที่สโมสรหรือที่พักอาศัย และกรณีโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขายตามปกติทางธุรกิจ และการดื่มที่เป็นขั้นตอนการผลิตหรือเพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ซึ่งประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน หลังจากลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2 ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่นองค์กรมหาชน สาระสำคัญเช่นเดียวกันประกาศห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ราชการที่เคยมีมาก่อน โดยกำหนดให้ขายได้เฉพาะในบริเวณที่จัดเป็นร้านค้าหรือสโมสร และให้ดื่มได้เฉพาะที่พักส่วนบุคคล สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี โดยประกาศฉบับนี้ไม่บังคับใช้กับองค์การสุรา จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 3 ว่าด้วยการการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ 3 ล้อขึ้นไป ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร เนื่องจากพบว่าอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีความรุนแรงขึ้น แม้จำนวนครั้งน้อยกว่าปี 2554 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากรถกระบะบรรทุกคนจำนวนมาก และคนขับและคนนั่งโดยสารดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทางสาธารณะเพื่อการจราจรทางบก ตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ได้แก่ ถนนสาธารณะ ไหล่ทาง ทางเท้า ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ มีกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอยู่แล้ว และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไปทำความเข้าใจและศึกษาผลกระทบเรื่องการห้ามดื่มบนทางสาธารณะกับผู้เกี่ยวข้อง คือ ประชาชน และผู้ดูแล ผู้บังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต และกทม. และให้นำเข้าที่ประชุมครั้งต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์  5 พค 2555

5819
"หมอเสริฐ" ประกาศใช้ "เชียงใหม่" เป็นฐานขยายเครือข่ายธุรกิจรุกเข้าอาเซียนตอนล่าง 5 ประเทศ "พม่า-ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม-ยูนนาน/จีน" ผนึกจุดแข็งธุรกิจสุขภาพกับท่องเที่ยวลุยบริการกว่า 250 ล้านคนหลังควบรวมโรงพยาบาล 4 กลุ่ม 28 แห่ง ดันยอดรายได้เพิ่ม 1.2 หมื่นล้านบาท

นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าหลังควบรวมธุรกิจโรงพยาบาล 4 กลุ่ม ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลรอยัล ซึ่งมีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ได้วางกลยุทธ์ใช้ศักยภาพของ 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจสุขภาพในกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) 28 แห่ง ผนวกกับธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีทั้งสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โรงแรม ครัวการบิน และบริษัทจัดนำเที่ยว เชื่อมโยงความแข็งแกร่งเข้าด้วยกัน เพื่อขยายบริการให้สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายได้ทุกระดับพร้อมจะขึ้นเป็นผู้นำเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558

ขณะนี้เริ่มวางแผนขยายการลงทุนโรงพยาบาล โดยเลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในที่ดินบริเวณวงแหวนรอบนอก อยู่ไม่ไกลย่านธุรกิจ ระหว่างนี้กำลังทยอยสร้างขนาด 200 เตียง พร้อมเปิดให้บริการได้ปี 2556 ตั้งเป้าหมายจะใช้เป็นฐานการขยายธุรกิจโรงพยาบาลเครือกรุงเทพเข้าไปยังอาเซียนตอนล่าง ตอนนี้พม่าน่าสนใจมากที่สุดด้วยจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน ในจำนวนนี้ต่างต้องการใช้บริการด้านสุขภาพหลากหลายระดับ แนวโน้มน่าจะเติบโตดี

ส่วนกัมพูชา สปป.ลาวนั้นมีโรงพยาบาลกรุงเทพเปิดดำเนินการมาหลายปีแล้ว ยังเหลือมณฑลยูนนานกำลังมองลู่ทางเปิดโรงพยาบาลอยู่ด้วยเช่นกัน ควบคู่กับการจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ผลิตยาส่งไปจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ด้วย

ทั้งนี้ เครือกรุงเทพดุสิตเวชการมีกลุ่มบริษัทลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพรวมอยู่ด้วยคือ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด เป็นศูนย์วิเคราะห์โลหิตที่ใหญ่และทันสมัยของไทยอยู่ระดับแถวหน้าของเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ไบโอ โมเลกุลลาร์ แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด เป็นห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด ผู้ผลิตยา บริษัท กรุงเทพเฮลิคอปเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศทั่วไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

"สาเหตุที่สนใจปักหลักลงทุนต่างประเทศแถบอาเซียนตอนล่าง พม่า เวียดนาม สสป.ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้คือ ยูนนาน ก็เพราะเมื่อร่วมจำนวนประชากรเข้าด้วยกันแล้วมีจำนวนเกินกว่า 250 ล้านคน ประการสำคัญที่สุดคือเป็นกลุ่มประเทศที่มีวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ นับถือศาสนา และมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับไทย จึงสะดวกและง่ายต่อการพัฒนาธุรกิจและให้บริการ

"เครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะไม่เข้าไปลงทุนในอาเซียนตอนบน 5 ประเทศ มีสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเอเชียตะวันออกไกลอย่างฮ่องกงกับจีน เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่สิงคโปร์คือ กลุ่มคอร์ติส

ตอนนี้เคลื่อนไหวเชิงรุก หรือฟิลิปปินส์ก็เป็นประเทศผู้ผลิตพยาบาลส่งออกไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด ฮ่องกงก็มีกลุ่มพัฒนาโรงพยาบาลที่เข้มแข็งมาก"

นายแพทย์ปราเสริฐกล่าวว่า ปีนี้เร่งผลักดันองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศ ผลิตบุคลากรด้านการแพทย์ โดยตั้งเป้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะผลิตได้ถึงปีละ 20,000 คน จากปัจจุบันมีเพียง 1,800 คน ส่วนเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทุ่มทุนจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาติดตั้งตามโรงพยาบาลจนเกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกแห่ง เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการทางสุขภาพทั้งการป้องกันและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

ประชาชาติธุรกิจ  4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5820
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ว่า นายคริส เจมส์ ชายอังกฤษผู้ตาบอดเป็นเวลา 20 ปี สามารถกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากได้รับการปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา โดยเขาบอกว่า หลังจากอยู่ในความมืดมานับสิบปี จู่ ๆ เขาก็เห็นแสงสว่างอย่างกระจ่างตา เหมือนมีหลอดไฟอยู่ในดวงตา ขณะที่ความสำเร็จคาดว่าจะจุดประกายตาให้แก่ผู้ป่วยตาบอดในอังกฤษ 20,000 หมื่นคน ที่ตาบอดจากอาการต่างๆ รวมทั้งอาการเสื่อมสภาพของเยื่อชั้นในของดวงตา โดยผู้ป่วยอีกรายที่ตาบอดกลับมามองเห็นก็คือ นายโรบิน มิลเล่อร์ โปรดิวเซ่อร์ดนตรีชื่อดังของอังกฤษด้วย

รายงานระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวจากทีมแพทย์อังกฤษซึ่งใช้เวลาผ่าตัดปลูกฝังไมโครชิฟในดวงตา ใช้เวลา 10 ชม.โดยไมโครชิฟดังกล่าวมีความคมชัดต่อแสงราว 1,500 พิกเซล ซึ่งจะทำหน้าที่แทนตัวรับแสงของดวงตาและกรวยตา โดยไมโครชิฟดังกล่าวทำงานด้วยพลังงานไฟ้าไร้สายที่อยู่ด้านหลังหู เชื่อมต่อเข้ากับแบ๊ตเตอรี่ที่จ่ายไฟจากจานแม่เหล็กบนหนังศีรษะ อย่างไรก็ตาม นายทิม แจ๊คแมน ศัลยแพทย์ด้านกระจกตาแห่งมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ บอกว่า งานชิ้นนี้ถือว่าเกินกว่าที่เขาและผู้ช่วยคาดไว้ เพราะสามารถทำให้ผู้ป่วยตาบอดสามารถคืนความสามารถในการมองเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้

อย่างไรก็ตาม ศัลย์แพทย์ผู้นี้ชี้ว่า งานชิ้นนี้ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และจะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อความสมบูรณ์แบบอย่างถาวร ทั้งนี้ กระบวนการฝังไมโครชิฟในดวงตาเพื่อให้ผู้ป่วยมองเห็นยังมีการทดลองในประเทศอื่นด้วย เช่น จีน และเยอรมัน โดยอุปกรณ์ชิปฝังผลิตโดยบริษัท AG ของเยอรมัน

มติชนออนไลน์   4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หน้า: 1 ... 386 387 [388] 389 390 ... 537