ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 29 เม.ย.-5 พ.ค.2555  (อ่าน 1251 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9755
    • ดูรายละเอียด
  1. ศาลฎีกาฯ พิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี-จำคุก 6 เดือน “เสี่ยตือ” ฐานจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน !

       เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ยื่นคำร้องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ซึ่งนายสมศักดิ์ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาพร้อมกับทนายความ
       
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บัญชีเงินฝากที่นายสมศักดิ์ระบุว่าเป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจขายข้าวของโรงสีข้าว หจก.วิเศษชัยชาญเจริญกิจ ซึ่งเป็นของครอบครัวนางระวิวรรณ ภรรยา โดยอ้างว่าภรรยาไม่มีอำนาจเบิกถอนเงิน มีเพียงแต่พี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงสีที่มอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้เปิดบัญชีให้เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นางระวิวรรณได้เบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวไปซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทยกว่า 14 ล้านบาท
       
       ส่วนที่นายสมศักดิ์อ้างว่า เงินบางบัญชีได้จากการชำระหนี้นอกระบบ ศาลก็เห็นว่าไม่มีหลักฐานและไม่มีพยานยืนยัน จึงไม่สามารถรับฟังได้ ขณะที่เงิน 20 ล้านที่นายสมศักดิ์อ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาติไทยเพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้งเมื่อปี 2539 โดยนำเข้าบัญชีเงินฝากของโรงสีเพื่อช่วยในการประกอบธุรกิจนั้น พบพิรุธว่า บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ซึ่งผิดวิสัยของการเปิดบัญชีในการทำธุรกิจ ที่มักจะใช้บัญชีประเภทสะสมทรัพย์หรือเผื่อเรียก เพื่อเบิกถอนไปใช้ได้ทันที อีกทั้งก่อนที่จะมีการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เพียง 9 วัน ยังมีการถอนชื่อนางระวิวรรณที่มีชื่อรวมอยู่บัญชีเดียวกับพี่ชายออกด้วย
       
       นอกจากนี้ยังพบพิรุธเรื่องบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 15 ล้านบาทที่ อ.วิเศษชัยชาญ ที่พี่ชายของนางระวิวรรณเบิกความอ้างว่าใช้เงินของโรงสีซื้อและสร้างบ้านดังกล่าว แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบการเบิกถอนเงินจากบัญชีโรงสี แต่พบว่าเป็นเงินของนายสมศักดิ์และนางระวิวรรณที่นำไปใส่ในบัญชีที่หมุนเวียนในโรงสี อีกทั้งในการยื่นคำร้องปลูกสร้างบ้านครั้งแรก นายสมศักดิ์ยังใช้ให้พี่ชายของภรรยาไปยื่นขอจากเทศบาลเพื่อก่อสร้างโดยใช้ชื่อนายสมศักดิ์เป็นผู้ขอ แต่เมื่อสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพี่ชายของภรรยาเป็นผู้ยื่นขอ และหลังจากสร้างบ้านเสร็จ กลับปรากฏว่า นายสมศักดิ์และภรรยาเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในบ้านหลังดังกล่าว ขณะที่พี่น้องคนอื่นของภรรยาแยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
       
       ด้วยเหตุนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ จึงมีมติเอกฉันท์ว่า นายสมศักดิ์จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. จึงพิพากษาห้ามนายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมจำคุก 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
       
       สำหรับโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีนั้น ศาลฎีกาฯ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2551 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย ซึ่งส่งผลให้นายสมศักดิ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน
       
       ด้านนายสมศักดิ์ เผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า น้อมรับคำพิพากษา พร้อมยืนยันว่า ตนจะกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้งหลังพ้นกำหนดเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีในวันที่ 2 ธ.ค.2556
       
       2. “ยิ่งลักษณ์” ปัดตอบ ปรับ ครม.รับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ด้าน “จตุพร” ลั่น พร้อมนั่ง รมต.!

       สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการพูดกันมากเรื่องสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีที่พรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ โดยจะครบกำหนดพ้นโทษเว้นวรรคการเมืองในวันที่ 30 พ.ค.นี้ บวกกับกระแสปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อาจมีการดึงบางคนใน 111 มารับตำแหน่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ด้วย
       
       ทั้งนี้ กระแสสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ถูกจุดขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตร 4 เส้าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ระหว่าง 1.ทีมฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย ส.ส.-ส.ว. 2.ทีม ครม.ทั้งปัจจุบันและอดีต รวมทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 (อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน-พรรคชาติไทย-พรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณีพรรคถูกยุบ) 3.ทีมสื่อมวลชน และ 4.ทีมดาราศิลปิน
       
       ด้านนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย เผยว่า วันที่ 30 พ.ค.สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะทำบุญเลี้ยงพระและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ พร้อมจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้แสดงวิสัยทัศน์ นอกจากนี้จะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาในงานด้วย นายวิชิต ยืนยันด้วยว่า หลังปลดล็อก สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะไม่เข้าไปแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด พร้อมเผยด้วยว่า วันที่ 1 มิ.ย. จะมีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 บางส่วนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยด้วย
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้งนั้น นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมีบทเรียนในอดีตที่ต้องจดจำ “บางคนวีรกรรมเป็นที่จดจำในใจของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง บางคนพฤติกรรมยากที่จะลืม บางครั้งเราต้องเรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต ไม่เช่นนั้นไม่มีบทเรียนสอนให้คนต้องทำความดี ไม่ใช่ว่ามีโอกาสแล้วหักหลังเพื่อนอย่างไร้ความปรานี แต่เมื่อชีวีรันทดก็อยากกลับมา ซึ่งโลกไม่ได้สร้างมาเพื่อคนประเภทนี้”
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามเลี่ยงตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องปรับ ครม. โดยบอกว่า “อากาศร้อน” ทั้งนี้ มีข่าวด้วยว่า คนที่จะได้เข้ามานั่งรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 มีชื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ด้วย โดยคาดว่าจะได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รีบบอกว่าเหมาะสม เพราะนายจตุพรรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม และเข้าใจปัญหาประชาชน เชื่อว่าหากได้รับแต่งตั้งจริง จะไม่มีใครออกมาต่อต้าน
       
       ด้านนายจตุพร บอกว่า มีข่าวจะปรับ ครม.ทีไร ตนก็มีชื่ออยู่ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน และว่า วันนี้ตนยืนอยู่ใน 2 สถานะ 1.เป็นคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นไปตลอดชีวิต และ 2.สถานะของ ส.ส. ซึ่งยังต้องลุ้น เพราะวันที่ 18 พ.ค.ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสมาชิกภาพของตน ไม่รู้จะได้เป็น ส.ส.ต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ นายจตุพร ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำทุกหน้าที่ครบถ้วน หากนายกฯ จะให้ไปทำอะไรตรงไหน ก็พร้อม
       
       ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวว่าอาจถูกปรับพ้นตำแหน่ง ยืนยันว่า สำหรับตนไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่ารัฐบาลต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ควรวิจารณ์หรือวิเคราะห์ ต้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเอง
       
       เช่นเดียวกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พูดถึงข่าวที่ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อาจจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนว่า ยินดีหากนายจาตุรนต์จะมานั่งคุมงานการศึกษา ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า การปรับ ครม.น่าจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.หรือไม่ก็ต้นเดือน ก.ค.โดยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่น่าจะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ได้แก่ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ,นายวราเทพ รัตนากร ,นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล หรือเฮียเพ้ง ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั้น คาดว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะมีข่าวว่าอยู่ระหว่างตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเมืองจากระดับประเทศมาเป็นระดับท้องถิ่น คือ ผู้ว่าฯ กทม.ที่จะครบวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือน ม.ค.2556
       
       ส่วนผู้ที่อยู่ในข่ายอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แนะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นตัวของตัวเองในการพิจารณาปรับ ครม. โดยเห็นว่ามี 2 กระทรวงที่เป็นปัญหาต้องเร่งแก้ไข คือ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาสินค้าราคาแพงและปัญหาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยหากมีการปรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ออกจากรองนายกฯ ด้านความมั่นคง เพราะรัฐบาลเพิ่งแต่งตั้งให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ดูแลปัญหาภาคใต้ได้ไม่ถึงเดือน หากปรับถือว่าแปลกมาก และจะยิ่งกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่
       
       3. สภา ถกแก้ รธน.วาระ 2 ยังไม่จบ นัดประชุมต่อสัปดาห์หน้า ด้าน ปชป. ชี้ 5 ปมทำแก้ รธน.โมฆะ!

       ความคืบหน้าการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ต่อ หลังประชุมมาแล้ว 8 วัน ยังไม่แล้วเสร็จ โดยประเด็นที่ที่ประชุมเป็นห่วงและอภิปรายค้างอยู่ ก็คือ การให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 22 คน เพราะเกรงว่าเสียงข้างมากจะบล็อกโหวต จน ส.ส.ร.กลายเป็นร่างทรงของรัฐบาล ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมร่วมรัฐสภาต่อในวันที่ 1-3 พ.ค.นั้น
       
       ปรากฏว่า ก่อนหน้าประชุมร่วมรัฐสภา 1 วัน พรรคเพื่อไทยได้ประชุมและได้ข้อสรุปว่า จะเสนอให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภางดถ่ายทอดสดการประชุม เนื่องจากเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ใช้เวทีประชุมร่วมรัฐสภาโจมตีรัฐบาลมากกว่าอภิปรายข้อดีและข้อเสียของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 1 พ.ค.เริ่มขึ้น ปรากฏว่า ตอนแรกสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ก็ยังถ่ายทอดสดตามปกติ แต่พอผ่านไปได้สักพัก ช่อง 11 ได้แจ้งของดการถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภาในบางเวลาของวันที่ 1-2 พ.ค. เพื่อถ่ายทอดรายการที่จำเป็น เช่น ถ่ายทอดสดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย
       
       แม้ฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนจะไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุด ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค. ก็ได้มีการงดถ่ายทอดการประชุมร่วมรัฐสภา และหันไปถ่ายทอดพิธีเปิดกีฬามหาวิทยาลัยฯ แทน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.รู้ว่างดถ่ายทอดการประชุมแล้ว จึงได้เรียกร้องให้มีการประสานเพื่อให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นถ่ายทอดแทน เช่น โมเดิร์นไนน์ทีวี(ช่อง 9) หรือไม่ก็ให้พักการประชุมจนกว่าจะได้สถานีถ่ายทอด
       
       ด้านนายสมศักดิ์ได้สั่งพักการประชุม โดยให้เหตุผลว่า หากประชุมโดยไม่มีการถ่ายทอด อาจทำให้บรรยากาศเสียได้ ทั้งนี้ หลังกลับมาประชุมต่ออีกครั้ง การอภิปรายได้ดำเนินไปจนดึก โดยมีการอภิปรายมาตรา 291/6 เกี่ยวกับองค์กรที่จะเสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็น ส.ส.ร. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอว่า องค์กรที่จะเสนอชื่อ ส.ส.ร.ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เพิ่งตั้งขึ้นหลังร่างรัฐธรรมนูญ
       
       อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไม่ยอมปรับแก้ตามที่นายอภิสิทธิ์เสนอ หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา พยายามให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นชอบมาตราดังกล่าวหรือไม่ แต่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจ เพราะกำลังขอใช้สิทธิ์ประท้วงเพื่อให้ กมธ.ตอบข้อทักท้วงของฝ่ายค้านอยู่ แต่นายสมศักดิ์กลับไม่สนใจและไม่ให้ใช้สิทธิ์ นายบุญยอดจึงตะโกนลั่นห้องประชุมว่า “เผด็จการรัฐสภา ประธานไม่เป็นกลาง” พร้อมกล่าวอย่างไม่พอใจด้วยว่า “ฮิตเลอร์”
       
       ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามประท้วงกลับ แต่นายสมศักดิ์ตัดบท โดยบอก ไม่ได้ยินว่านายบุญยอดพูดอะไร และให้ลงมติต่อไป ซึ่งผลปรากฏว่า เสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างของ กมธ.ด้วยคะแนน 337 ต่อ 50 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
       
       ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันเดียวกัน(2 พ.ค.)ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบและรวบรัดเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และว่า ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ 5 เรื่องที่อาจทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นโมฆะ คือ 1.มีการกลับมติในชั้น กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291/1 โดยไม่มีเหตุผลและไม่ชอบด้วยข้อบังคับ 2.องค์ประชุมใน กมธ.ระหว่างเชิญผู้แปรญัตติเข้าชี้แจง ไม่ครบองค์ประชุม 3.รายงานของ กมธ.ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ผ่านที่ประชุม กมธ.ถือว่าเป็นรายงานเถื่อน 4.มีการกดบัตรลงคะแนนแทนกันหลายครั้งระหว่างประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 5.การที่ประธานรัฐสภาไม่ให้สิทธิ์นายบุญยอดประท้วง ถือว่าประธานฝ่าฝืนข้อบังคับ เอาใจแต่นายใหญ่ ดังนั้น หลังผ่านการพิจารณาในวาระ 3 แล้ว ตนจะรวบรวมความผิดพลาดต่างๆ ส่งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าการดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
       
       ทั้งนี้ การประชุมร่วมรัฐสภาได้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งในการประชุมวันที่ 3 พ.ค. ระหว่างอภิปรายมาตรา 291/11 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับระยะเวลาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร. ซึ่งร่างของ กมธ.ระบุให้ ส.ส.ร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้เปลี่ยนเป็นภายใน 360 วัน
       
       หลังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เมื่อ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนอกประเด็น นพ.วรงค์ จึงโต้กลับว่า จ.ส.ต.ประสิทธิ์ควรไปดูปัญหาราคาข้าวที่ จ.สุรินทร์จะดีกว่า ด้าน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ไม่พอใจ จึงสวนกลับว่า “ที่บ้านผมเรียกคุณหมอวรงค์ว่า คุณหมาวรงค์” ร้อนถึง พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และรองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องบอกให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ถอนคำพูด ซึ่ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์พยายามพูดย้ำไปย้ำมาว่าให้ถอนคำว่า “หมาวรงค์” ใช่หรือไม่ ก่อนจะถอนคำพูด ด้าน นพ.วรงค์ ได้โต้กลับว่า “แม้เป็นหมาก็เป็นหมาเฝ้าบ้าน ดีกว่าคนที่คิดว่าเป็นคน แต่ทำตัวเป็นทาส”
       
       ทั้งนี้ หลังประชุมร่วมรัฐสภาทั้ง 3 วันแล้ว(1-3 พ.ค.) แต่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ยังไม่แล้วเสร็จ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา จึงได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 8 ,10 และ 11 พ.ค. โดยพรรคเพื่อไทยคาดว่า จะสามารถพิจารณาวาระ 2 ได้แล้วเสร็จในวันที่ 11 พ.ค. และลงมติในวาระ 3 ได้ในวันที่ 28 พ.ค.
       
       4. ทหารเขมรแสบ คุ้มกันแก๊งลักลอบตัดไม้ไม่พอ วางระเบิดทหารไทยขาขาด ด้านกองทัพภาค 2 เตรียมยื่นประท้วงกัมพูชา!

       เมื่อวันที่ 29 เม.ย. มีรายงานว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนห่างจากช่องอานม้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 4 กม. เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนทหารพรานของไทยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้กำลังลาดตระเวนอยู่ ปรากฏว่า ได้พบกับชุดคุ้มกันกลุ่มลักลอบตัดไม้ ซึ่งเป็นทหารเขมรประจำช่องอานม้า เมืองจอมกระสาน จ.พระวิหาร จำนวน 8 นาย จึงได้เกิดการปะทะกันนานประมาณ 15 นาที ก่อนที่กลุ่มทหารเขมรจะล่าถอยออกจากเขตไทยกลับเข้าประเทศตัวเอง
       
       อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ ร.อ.จวน จ๊าบ หัวหน้าหน่วยทหารเขมร ได้ออกมาอ้างว่า ทหารเขมรถูกทหารไทยยิง พร้อมยืนยันว่า ทหารเขมรที่ถูกยิง เป็นชุดลาดตระเวนปกติ ไม่ได้ลักลอบเข้ามาคุ้มกันกลุ่มตัดไม้แต่อย่างใด พร้อมประสานขอรับอาวุธปืนที่ฝ่ายไทยตรวจยึดไว้ ร.อ.จวน ยังบอกด้วยว่า การปะทะกันครั้งนี้ มีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
       
       ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยยิงทหารกัมพูชาว่า ได้รับทราบว่าเป็นการปะทะกัน เนื่องจากมีการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเชื่อว่า หลังจากนี้จะมีการหารือทำความเข้าใจกันระหว่าง พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 กับแม่ทัพของกัมพูชา
       
       อย่างไรก็ตาม พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ออกมายืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปะทะกันและทหารไทยก็ไม่ได้ยิงทหารกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบพบว่า กรมทหารพรานที่ 23 กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ลาดตระเวนไปพบกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้พะยุงจากประเทศกัมพูชา บริเวณช่องอานม้า จากนั้นกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้ได้ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ไทย ทหารไทยจึงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเตือน 2-3 ชุด เมื่อผู้ลักลอบตัดไม้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีกำลังมากกว่า จึงได้ล่าถอยไป
       
       ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิดและเป็นการยิงป้องกันตัว เนื่องจากที่ผ่านมามักมีปัญหากลุ่มคนพร้อมอาวุธลักลอบเข้ามาตัดไม้พะยูง แต่ไม่ได้มีความขัดแย้งใดใดระหว่างสองประเทศ นายสุรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า อนาคตอาจต้องเพิ่มความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง รวมทั้งอาจต้องหารือกับจีน เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ซื้อไม้พะยูงด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากเหตุการณ์ที่ช่องอานม้าแล้ว ยังมีกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. ด้วย โดย พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เผยว่า เหตุเกิดขณะที่ชุดลาดตระเวนของไทยได้ออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ปรากฏว่า ส.อ.ชาตรี แก้วประสาน ผบ.หมู่ หัวหน้าชุดลาดตระเวน กรมทหาร ร.16 พัน.3 กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ ได้เหยียบกับระเบิด อาการสาหัส ขาข้างขวาขาด ส่วนข้างซ้ายถูกสะเก็ดระเบิดมากเช่นกัน จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่เพิ่งวางใหม่และมี 2 จุด
       
       ทั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ เผยด้วยว่า ก่อนหน้าที่ชุดลาดตระเวนดังกล่าวจะเหยียบกับระเบิดครั้งนี้ ได้มีการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงชาวกัมพูชาจำนวน 40 คน พร้อมอุปกรณ์ตัดไม้จำนวนมากเมื่อวันที่ 12 มี.ค. หลังจากนั้นวันที่ 6 เม.ย.ได้เกิดการปะทะกันใกล้จุดที่ชุดลาดตระเวนเหยียบกับระเบิด ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นผลจากการที่ขบวนการลักลอบตัดไม้ไม่พอใจที่ฝ่ายไทยพยายามปราบปรามอย่างหนัก สำหรับกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดครั้งนี้ พ.อ.ประวิทย์ บอกว่า กองทัพภาคที่ 2 จะทำหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤษภาคม 2555