แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 549 550 [551] 552 553 ... 653
8251
 
       มีคำกล่าวไว้ว่า “การเริ่มต้นที่ดี คือ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ” คติความเชื่อนี้มีมาแต่โบราณ เช่น ก่อนการออกรบ หรือในงานประเพณีต่างๆ ที่มักจะมีการทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ในเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เราคนไทยจึงมักนิยมไหว้พระทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
       
       โดยในครั้งนี้ฉันมีเส้นทางไหว้พระ 9 วัดริมน้ำ 9 รัชกาล 9 พระอารามหลวง รับปีใหม่ 2555 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาแนะนำกันอีกครั้ง เผื่อใครยังไม่รู้จะไปรูทไหน ก็มาเลือกเส้นทางสิริมงคลกันได้เลย มีให้เลือก 3 เส้นทาง ด้วยกัน ได้แก่ “ไหว้พระ 9 พระอารามหลวง”, “ไหว้พระประจำ 9 รัชกาล” และ “ไหว้ 9 วัดริมน้ำ”
       
       สำหรับเส้นทางแรก “ไหว้พระ 9 พระอารามหลวง” นี้ แต่ละวัดตั้งอยู่ไม่ไกลกัน โดยเริ่มกันที่ “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” พระอารามหลวงชั้นโท วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ถวายเป็นพระอารามหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่เราเรียกกันว่า หลวงพ่อโต นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ เป็นพระประธาน และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติด้วย
 
 
       ต่อมา “วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร” พระอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง ร.1จึงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงคราม” โดยมี พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดา อนาวรญาณ ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถให้เราได้กราบไหว้กัน
       
       ถัดไปคือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดโพธิ์” พระอารามหลวงชั้นเอก ร.1ทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดประจำรัชกาลด้วย นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร ซึ่งใต้ฐานชุกชีได้บรรจุพระบรมอัฐิของ ร.1 ไว้ อีกทั้งยังมีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด และภายในวัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99องค์ ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล อีกด้วย
 
 
       ใกล้ๆกันเป็นที่ตั้งของ “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” หรือที่เราเรียกกันว่า “วัดพระแก้ว” เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง ร.1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก
       
       นอกจากนี้ยังมีปราสาทและพระเทพบิดรซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 - 8 มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และยังมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 
 
       จากนั้นไปต่อที่ “วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร” พระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยร.1 มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่ง ร.5 ทรงเรียกว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า
       
       พระอารามหลวงต่อไป คือ “วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร” พระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำ ร.8 แต่วัดนี้เริ่มสร้างในสมัยร.3 ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีศากยมุนี เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยสำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา
 
 
       ถัดไปได้แก่ “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดแจ้ง” พระอารามหลวงชั้นเอก สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ร.2ได้ทรงปฏิสังขรณ์และได้กลายมาเป็นวัดประจำรัชกาล ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธชมภูนุชฯ ที่พระเกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวัดก็คือ ยักษ์ขนาดใหญ่ 2 ตน ตั้งอยู่หน้าซุ้มยอดพระมงกุฎด้วย
 
 
       วัดต่อไป คือ “วัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในร.3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่ร.6 ร.7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวชด้วย ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์ คือ พระประธาน อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน เพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก
 
 
       และวัดสุดท้ายในเส้นทางไหว้ 9 พระอารามหลวงนี้คือ “วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร” พระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพฯ ร.1 ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ สมัยร.3 โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่างๆ เพิ่มเติม เช่น พระบรมบรรพต หรือภูเขาทอง บนยอดยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุด้วย
 
 
       เส้นทางบุญที่ 2 คือ “ไหว้พระวัดประจำ 9 รัชกาล” สำหรับรัชกาลที่ 1 คือ “วัดโพธิ์” ที่ฉันได้กล่าวถึงไปแล้วในเส้นทางแรก วัดประจำรัชกาลที่ 2 หรือ “วัดอรุณ” ฉันก็ได้พูดถึงแล้วเช่นกัน ส่วนวัดประจำรัชกาลที่ 3 คือ “วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร” เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัดทัพพม่าที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ ทรงอธิษฐานขอให้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีทัพพม่ายกเข้ามา เมื่อยกทัพกลับ ร.3 จึงทรงสถาปนาวัดขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม อีกทั้งพระองค์ทรงนิยมศิลปะจีน รูปทรงสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมต่าง ๆ ในพระอารามนี้จึงเป็นศิลปะประยุกต์แบบ ไทยผสมจีน
 
 
       สำหรับวัดประจำรัชการที่ 4 คือ “วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร” ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตามธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ว่า ในราชธานีจะต้องมีวัดสำคัญประจำ 3วัด คือ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์ ภายในพระวิหารหลวงมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธี 12 เดือน นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าชม เช่น ปาสาณเจดีย์, ปรางค์ขอม, หอพระจอม, หอไตร ด้วย
 
 
       ถัดมาในรัชกาลที่ 5 มีวัดประจำรัชกาล คือ “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” วัดแห่งนี้มีการจัดวางผังอย่างงดงาม โดยมีจุดเด่นของวัดคือพระระเบียงวงกลมซึ่งล้อมฐานพระมหาเจดีย์ และเชื่อมพระอุโบสถกับพระวิหารเข้าด้วยกัน ภายในพระอุโบสถตกแต่งแบบฝรั่งเศส โดยมีศิลปะไทยปนอยู่ มีพระพุทธอังคีรสเป็นพระประธาน ซึ่งวัดนี้นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้ายที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล วัดแห่งนี้จึงเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 7 ด้ว
 
 
       ส่วนรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 8 นั้น มีวัดประจำรัชกาล คือ “วัดบวรนิเวศวิหาร” และ “วัดสุทัศน์” ดังที่ฉันได้กล่าวถึงไปแล้วในเส้นทางแรก และสำหรับรัชกาลที่ 9 รัชกาลปัจจุบัน มีวัดประจำรัชกาล คือ “วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก” วัดนี้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2538 ตามแนวพระราชดำริในร.9 ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างวัดขนาดเล็กในชุมชนที่ใช้งบประมาณประหยัด เรียบง่ายเน้นประโยชน์ใช้สอยสูงสุด พระอุโบสถจึงมีขนาดเล็ก ภายในประดิษฐานพระพุทธกาญจนธรรมสถิต
 
 
       และเส้นทางอิ่มบุญสุดท้ายคือ “ไหว้พระ 9 วัดล่องแม่น้ำเจ้าพระยา” โดยแต่ละวัดจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ “วัดกัลยา”, “วัดอรุณ”, “วัดระฆัง” ซึ่งทั้ง 3 วัดนี้ก็เป็นวัดในเส้นทางที่ฉันกล่าวถึงไปแล้ว วัดถัดมาคือ “วัดอมรินทราราม” สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงคู่กันกับวัดระฆัง ภายในพระอุโบสถเก่าประดิษฐานหลวงพ่อโบสถ์น้อย และยังมีมณฑปพระพุทธบาทจำลอง และพระพุทธฉายจำลองด้วย
 
 
       วัดต่อมาที่ตั้งอยู่ริมเจ้าพระยาคือ “วัดศรีสุดาราม” สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) ซึ่งเป็นพระพี่นางเธอของร.1 ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานปางปลงพระชนมายุสังขาร ที่หอไตรประดิษฐานพระศรีอารีย์ และรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โตองค์ใหญ่ด้วย
       
       ถัดมาคือ “วัดคฤหบดี” วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง ร.3 ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทาน พระแซกคำ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 องค์ เป็นพระประธานในพระอุโบสถ จากนั้นไปยัง “วัดเทวราชกุญชร” ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธเทวราชปฏิมากร ฝีมือช่างสมัยทวารวดีผสมอู่ทองที่มีความงดงามมาก อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองให้เราได้ชมกันด้วย
 
 
       วัดต่อมาคือ “วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร” ซึ่งได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยร.1-ร.4 สิ่งที่น่าชมได้แก่ พระอุโบสถเป็นทรงขอมคล้ายนครวัด และศาลาการเปรียญที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง จากนั้นก็มาถึงวัดสุดท้ายคือ “วัดยานนาวา” เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือ เรือสำเภาที่มีพระเจดีย์ตั้งอยู่บนเรือ โดย ร.3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์นี้แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นรูปแบบเรือสำเภากัน
       
       นี่คือ 3 เส้นทางอิ่มบุญ ที่ฉันขอหยิบยกจากเส้นทางที่ทาง ททท. ได้จัดไว้ให้มานำเสนอเพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันด้วย...สวัสดีปีใหม่ครับ
 
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 ธันวาคม 2554 

8252

ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปีพุทธศักราช 2555 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในฉลองพระองค์สากลสีเทาลายริ้วสีอ่อน ปกด้านซ้ายทรงประดับเข็มเครื่องหมายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิที่พระราชทานกำเนิดและทรงดำรงตำแหน่งพระบรมราชูปถัมภก ทรงผูกเนคไทสีแดงลวดลายสีทอง เข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว
       
       ประทับบนเก้าอี้ ด้านข้างพระเก้าอี้ที่ประทับทั้งสองข้าง มีโต๊ะกลม โต๊ะด้านขวาวางแจกันขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสี ทรงฉายร่วมกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาท หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย
       
       ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับตกแต่งเป็นสวนดอกไม้ประดับ ด้านซ้ายมีระแนงไม้สีขาว ประดับอักษรชมพู ข้อความภาษาไทยว่า สวัสดีปีใหม่ และข้อความภาษาอังกฤษ ว่า Happy New Year ด้านขวามีต้นสนประดับเครื่องตกแต่ง ฉากหลัง เป็นผ้าม่านสีเทาอ่อน ด้านซ้ายบน มีตราพระมาหพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านขวามมีผอบทองประดับ
       
       ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านขวา มีข้อความจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ซึ่งเป็นคำตอบที่พระมหาชนกทรงตอบนางมณีเมขลาว่า "ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่าย อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร โภคะทั้งหลาย มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น" ทรงเตือนสติให้คนไทยทั้งหลายมีความเพียร เช่นเดียวกับพระมหาชนก ที่ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร จนรอดชีวิต ประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจาการกระทำ ไม่ได้เกิดจากแค่เพียงความคิด
       
       ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านซ้าย มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยสีชมพูขอบสีเหลืองว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ ๒๕๕๕ และ ข้อความภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยสีแดงขอบสีเหลืองว่า Happy New Year 2012
       
       ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีน้ำเงินว่า ขอจงมีความสุข ความเจริญ มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 185029 ธค.54 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramaputra , Publisher
       
       กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม

ASTVผู้จัดการออนไลน์  31 ธันวาคม 2554 

8253
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies เป็นระยะเวลา 3 ปี  ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555-2557  อัตราค่าสมาชิก ปีละ 100,000 เหรียญสหรัฐ (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ  เท่ากับ 30.95 บาท) เป็นเงินทั้งสิ้น 3,095,000 บาท  ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องบริจาคในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 — พ.ศ. 2557 ให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ


สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า การเข้าไปมีบทบาทของประทศโดยการสนับสนุนงบประมาณให้กับโครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies จะเป็นการสร้างและขยายบทบาทของประเทศไทย ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาพในระดับภูมิภาค และเป็นการขยายเครือข่ายการทำงานวิจัยด้านนโยบายและระบบสุขภาพ รวมทั้งเป็นการสร้างภาพพจน์อันดีของประเทศไทยในประชาคมโลกและระดับภูมิภาค

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 27 ธันวาคม 2554--จบ--

8254
สธ.เตือนผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ระบุเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตก เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตหรือเสียชีวิต เผยผลการตรวจสุขภาพในปี 2553 พบคนไทยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงกว่า 4 ล้านคน ไขมันในเลือด 8 ล้านคน
       
       น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันมักมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง หรือในหมู่ญาติ ทุกงานมักมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องไม่ขับรถ กลุ่มประชาชนที่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตกได้อาจเสียชีวิตหรือเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ได้ เนื่องจากร้อยละ 95 ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะไปขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงมากขึ้น และอาจทำให้เส้นเลือดแตกได้
       
       น.พ. ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า จากการที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ทุกจังหวัดรณรงค์ตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไปทั่วประเทศในปี 2553 พบผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานรวม 4 ล้านกว่าคน นอกจากนี้ ยังพบผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงอีกกว่า 8 ล้านคน จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงจะมีโอกาสเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองแตกมากกว่าคนปกติ 3-17 เท่า เบาหวานเพิ่มความเสี่ยง 3 เท่า การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยง 2 เท่า ไขมันในเลือดสูงเพิ่มความเสี่ยง 1.5 เท่า หากมีหลายโรคร่วมกันโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งจากสถิติปี 2553 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง 17,540 ราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร 13,777 ราย
       
       น.พ.ไพจิตร์ แนะประชาชนว่า ขอให้ใช้ยวดยานพาหนะในการเดินทางปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดหากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วห้ามขับขี่รถทุกประเภท เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจราจรได้ง่าย เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะไปกดการทำงานของสมอง โดยหากมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย หากระดับแอลกอฮอล์เกิน 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีอาการมึนเมา เดินโซเซทรงตัวไม่ได้ เกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะมีอาการสับสน และหากดื่มหนักมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 400 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะหมดสติและอาจเสียชีวิตได้


ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ธันวาคม 2554 

8255
นับได้ว่า ปี 2554 เป็นปีหารครึ่งของการบริหารงานระหว่างรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ พรรคเพื่อไทย (พท.) เลยทีเดียว และสำหรับกระทรววงสาธารณสุข (สธ.) แล้วปัญหารุมเร้าก็มีไม่น้อย
       
       เริ่มตั้งแต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ยังคงถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เพราะล่าสุดเมื่อหนึ่งในกรรมการแพทยสภาได้นั่งเก้าอี้ในคณะกรรมการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็เริ่มจะปลุกกระแสขยายมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 อีกครั้ง ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า ตกลง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ พ.ศ...จ่อคิวเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐบาลนั้นจะแท้ง หรือจะคลอด ในปี 2555
       
       ส่วนปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ภประมาณ 570 แห่ง รวมเป็นเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามาก็ยังไม่คืบหน้าแต่อย่างใด แม้ว่า สธ.จะมีการหารือตัวแทนผู้บริหารจากทุกเขต อีกทั้ง สปสช.จะมีการดำเนินการเรื่องกระจายเงินล่วงหน้า ในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถึง 50% ก็ตาม ทว่า หลังจากนั้นเรื่องก็ยังเงียบหายไปซึ่งไม่รู้ว่าศักราชใหม่จะมีอะไรคืบหน้าบ้าง
       
       มาที่สถานการณ์การแก้ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนแพทย์แม้จะได้ข้อสรุปชัดเจนว่า สธ.จะจัดสรรค่าตอบแทนแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขปีงบประมาณ 2554 งวดแรก 1,717 ล้านบาท จากทั้งหมด 4,200 ล้านบาท โดยมาจากงบประมาณกลางปี 2554 จำนวน 1,600 ล้านบาท และเงินเหลือจากการจัดซื้อจัดจ้างภายใน สธ.อีก 117 ล้านบาท เพื่อกระจายแก่โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) และโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ.รพท) โดยจ่ายย้อนหลังตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 ไปแล้ว ทว่า ก็ยังมีเงินงวดที่ 2 อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท ที่ต้องรอการจัดจัดสรรจากงบประมาณกลางปี 2555 ทว่าประธานชมรมแพทย์ชนบทก็ยังออกมาปฏิเสธต่อกรณีดังกล่าว แถมยังเสนอโมเดลของบค่าตอบแทนผ่านเงินเหมาจ่ายรายหัวแทนโดยไม่ง้องบกลาง ซึ่งเรื่องนี้แน่นอนว่าต้องมีการเจรจาหารืออีกยาว
       
       แต่ดูเหมือนปัญหาต่างๆ ที่คาราคาซังอยู่นั้น นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะยังไม่เคยยอมปริปากเอ่ยรายละเอียดใดๆ ให้กระจ่างนัก อย่างไรก็ตามคาดหวังว่า ปีใหม่นี้ปัญหาน้ำท่วมหมดไปแล้ว รมว.สธ.น่าจะมีเวลามาเหลียวแลปัญหาข้างต้นบ้าง อย่างน้อยก็ทำให้สังคมรับรู้ว่า รัฐบาลจริงใจกับการดำเนินนโยบาย ซึ่งตามที่ประกาศไว้ถึง 16 ประเด็น อาทิ พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพให้มีคุณภาพ สร้างแรงจูงใจแก่บุคลากรสาธารณสุข พัฒนาผลักดันและการบังคับใช้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์ต่อการสนับสนุนการดำเนินงานด้านสาธารณสุข เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ธันวาคม 2554 

8256
 “ซีพี ออลล์” เปิดตัวหนังสือ “สามก๊ก สำนวนเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ราชบัณฑิตยสภาชำระ” โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น เผยว่า ซีพี ออลล์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ “สามก๊ก สำนวนเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ราชบัณฑิตยสภาชำระ” ฉบับสมบูรณ์ สำหรับแจกให้แก่สถาบันการศึกษาต่างๆ จำนวน 500 ชุด เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสพะราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ
       
       โดยใน 1 ชุดมีทั้งหมด 5 เล่ม ประกอบด้วยสามก๊กฉบับสมบูรณ์ 4 เล่ม และ “ตำนานหนังสือสามก๊ก” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชานุภาพอีก 1 เล่ม ซึ่งก่อศักดิ์บอกว่าการจัดพิมพ์ในครั้งนี้มีเนื้อหาสมบูรณ์ถูกต้องที่สุดตามแบบฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2471 และจะมอบเพื่อเป็นประโยชน์แก่หอสมุดแห่งชาติและสถาบันการศึกษาต่อไป
       
       สำหรับนิยาย “สามก๊ก” เป็นวรรณคดีเอกหนึ่งในสี่ยอดนิยายยุคเก่าของวรรณกรรมจีน โดยได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของความเรียงนิทานคู่กับ‘พระราชพิธีสิบสองเดือน’ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

       ด้าน ผศ.ถาวร สิกขโกศล ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาและที่ปรึกษาอาศรมสยาม-จีนวิทยา บอกว่า สเน่ห์สำคัญของวรรณคดีเอกเรื่องสามก๊กคือความเป็นโศกนาฏกรรม เล่าปี่ ขงเบ้ง กวนอู ซึ่งเป็นประมุข ขุนนางและมิตรแท้ในอุดมคติของคนจีน ต้องพบจุดจบอย่างน่าเห็นใจ กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ตรึงใจผู้อ่าน
       
       “หากจัดประเภทวรรณกรรมแล้ว สามก๊กจัดเป็นโศกนาฏกรรม เพราะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของคนดี ตัวเอกฝ่ายดีเสียชีวิตทั้งหมด ทั้งกวนอู เตียวหุย เล่าปี่ และที่สะเทือนใจผู้อ่านมากที่สุดคือการเสียชีวิตของขงเบ้ง”
       
       นอกจากนั้น เราสามารถนำวรรณกรรมเรื่องสามก๊กมาเรียนรู้ใช้ในสังคมได้ใน 2 ประเด็น
       
       ประเด็นแรก ดูว่าทำไมฝ่ายคนดีพ่ายแพ้ อาจเป็นเพราะคนดีมีจุดอ่อน มีข้อบกพร่องหรือไม่ ตัวละครในเรื่องสามก๊กสามารถเป็นคันฉ่องสะท้อนข้อบกพร่องของคนดี
       
       ประเด็นที่ 2 นำความดีของตัวเอกที่เป็นคนดีมาประยุกต์ใช้ในสังคม เช่น ความเสียสละของขงเบ้ง ความสุขุม เสียสละของจูล่ง และความฉลาดปราดเปรื่อง มีสเน่ห์ของตระกูลซุน
       
       ความเสียสละเพื่อส่วนรวมของจูล่ง
       
       ผศ.ถาวร บอกว่า มีเรื่องที่น่าเรียนรู้จากสามก๊กเยอะมาก
       โดยเราสามารถนำมาเทียบข้อเด่นข้อด้อยกับนักการเมืองไทย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านักการเมืองไทยรุ่นหลังๆ ความเสียสละเพื่อส่วนรวมมีน้อยมาก ขณะที่ความฉ้อฉลทุจริตกลับเพิ่มมากขึ้น แต่ตัวละครในเรื่องสามก๊กทุกก๊ก คนที่มีบทบาทจะเป็นคนที่เสียสละ อย่างน้อยก็เสียสละเพื่อก๊กของตนเอง
       
       “สำหรับตัวละครที่มีความโดดเด่นเรื่องความเสียสละ เสียสละแล้วใครๆ ก็รัก คือ จูล่ง เท่าที่อ่านมายังไม่เคยเห็นใครตำหนิจูล่ง เพราะในชีวิตของเขาเสียสละมาก เช่น ตอนที่ตีเมืองเสฉวนได้ ขงเบ้งแบ่งผ้าให้จูล่ง แต่จูล่งกลับปฏิเสธ และบอกให้เอาคืนเข้าคลังหลวงไปก่อน พออากาศหนาวค่อยเอามาแจกให้ทหาร หรือตอนที่เล่าปี่แนะให้จูล่งมีภรรยา จูล่งก็ตอบว่า บ้านเมืองยังมีปัญหาอยู่ ยังไม่ต้องรีบมีเมียหรอก ช่วยบ้านช่วยเมืองก่อน นอกจากนั้นยังมีความสุขุม ไม่เคยรบแพ้ใครอย่างยับเยิน แม้จะเสียเปรียบก็สามารถประครองสถานการณ์ไม่ให้แพ้อย่างยับเยินได้”
       
       ความเด็ดขาดของโจโฉ
       
       ขณะที่โจโฉน่ายกย่องในแง่ของการเป็นผู้บริหารที่เด็ดขาดและเสียสละ เขาอาจจะเจ้าเล่ห์ต่อปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองของเขา แต่โจโฉเป็นรัฐบุรุษที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ เขาอาจจะโหดกับนักการเมืองด้วยกัน แต่ที่สุดแล้วเขาเสียสละเพื่อประเทศชาติ และประหยัดมาก

       กาเซี่ยง นักวางแผนไม่เคยพลาด
       
       กาเซี่ยง เป็นตัวละครที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเตียวสิ้ว เป็นคนมีประสบการณ์สูงและมีสติปัญญาเป็นเลิศ
       
       นิสัยส่วนตัวของกาเซี่ยงคือเป็นคนสมถะ ไม่ชอบทำตัวเด่นดัง และเป็นคนที่จริงใจต่อผู้อื่น ในก๊กของโจโฉ ด้วยการกระทำเช่นนี้ ทำให้คนในวุยก๊กยกย่องกาเซี่ยงว่าเป็นกุนซือที่เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญาและนิสัยคนหนึ่ง นับว่าเป็นอัฉริยะที่เกิดขึ้นมาในยุคสามก๊กอีกคนหนึ่ง ในประเทศจีนเทียบกาเซี่ยงว่ามีสติปัญญาทัดเทียมฮกหลงเลยทีเดียว เนื่องจากแผนการที่ออกมาจากมันสมองของกาเซี่ยงนั้นไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง
       
       ดังนั้น นักการเมืองหรือคนที่ทำงานตำแหน่ง “ที่ปรึกษา” ควรเรียนรู้จากข้อดีของกาเซี่ยง คือ เมื่อถึงคราวทำหน้าที่สำคัญก็ต้องทำ ต้องทักท้วง แต่ไม่ทักท้วงบุ่มบ่ามจนตนเองเป็นอันตราย ซึ่งกาเซี่ยงจะทำตามหน้าที่อย่างสุขุม ส่วนผู้บริหารจะฟังหรือไม่ฟังก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้บริหาร
       
       ผศ.ถาวรเล่าว่า กาเซี่ยงจะเตือนนายหนเดียว ตามหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษา นอกจากนั้นยังเป็นคนเดียวในเรื่องสามก๊กที่วางแผนไม่เคยพลาด แต่ถูกตัวเอกอื่นๆ บดบัง จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักกาเซี่ยง
       
       ครั้งหนึ่งกาเซี่ยงเคยวางแผนให้โจผีใช้ความรักระหว่างพ่อลูกเอาชนะปัญญาของโจสิด จนได้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งอ๋องจากโจโฉ แม้ว่าตามประเพณีโจผีซึ่งเป็นพี่คนโตจะต้องเป็นทายาทสืบตำแหน่งอ๋องจากพ่อ แต่โจโฉลังเลที่โจสิดผู้เป็นลูกชายคนรองมีสติปัญญาเหนือกว่าโจผี โจผีจึงไปปรึกษากาเซี่ยงและได้รับคำแนะนำว่า อย่าเอาปัญญาไปสู้ปัญญา แต่จงใช้น้ำใจไมตรี และความรักความห่วงใยพ่อสู้กับปัญญาของน้องชาย ดังนั้น ยามที่โจโฉออกรบ โจผีจะคอยจัดข้าวของ ถามไถ่พ่อด้วยความอาทร เมื่อโจโฉออกเดินทาง โจผีก็ร้องไห้จากความรู้สึกจริงๆ
       
       การกระทำเหล่านั้นของโจผีทำให้โจโฉมองเห็นความซื่อสัตย์ของลูกคนโต แต่ยังลังเลจึงไปปรึกษากาเซี่ยงว่าตนควรเลือกบุตรคนใดให้สืบทอดตำแหน่งดี กาเซี่ยงแกล้งเหม่อไม่ได้ฟัง จนโจโฉถาม 3 ครั้ง กาเซี่ยงจึงตอบว่า ขอโทษที เราไม่ได้ยินว่านายท่านถามว่าอะไร มัวแต่คิดเรื่องของเล่าเปียวกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งอ้วนเสี้ยวเลือกลูกคนเล็กสืบทอดตำแหน่งแทนที่จะตั้งลูกคนโตตามประเพณีจึงประสบความล้มเหลว ส่วนเรื่องของครอบครัวของท่านไปตกลงกันเองเถิด เรื่องครอบครัวเราไม่ยุ่งด้วย เมื่อโจโฉฟังดังนั้นจึงตั้งโจผีเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งอ๋องทันที
       
       กาเซี่ยงเป็นคนรักสันโดด และไม่ทำตัวเด่นดัง จึงเป็นตัวละครตัวเดียวที่สิ้นอายุขัยในวัยชรา หากอยากอยู่ในวงการได้อย่างยาวนาน ก็ต้องดูกาเซี่ยงไว้เป็นตัวอย่าง!
       
       คุณธรรมน้ำมิตร ช่วยประกอบธุรกิจยั่งยืน
       
       อย่างไรก็ดี ก่อศักดิ์ ผู้บริหารกิจการร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” จนแผ่อณาจักรยิ่งใหญ่ในเมืองไทย เผยว่า สามก๊ก เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์จีนที่ตนอ่านตั้งแต่เด็ก พออ่านครั้งแรกก็มีครั้งต่อมาอีกหลายครั้ง แง่คิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการบริหารงานคือ แง่คิดจากนิสัยของเล่าปี่ ซึ่งเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตร
       
       “เล่าปี่เป็นคนที่ทำให้คนรู้ซึ้งถึงคำว่า คุณธรรมน้ำมิตร เพราะเวลาอยู่กับเตียวหุย และกวนอู ก็กินนอนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ห่วงใยเอื้ออาทรเสมือนญาติ ยามเล่าปี่ตื่นขึ้นมากลางดึกบางครั้งก็นำผ้าห่มไปคลุมให้เตียวหุยและกวนอูด้วยความรักไคร่”
       
       วัฒนธรรมองค์กรของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ได้แบบอย่างจากเล่าปี่ในการอยู่ร่วมกันด้วยใจ ซื้อใจ โดยใช้น้ำใจคุมกำลังพล
       
       “แม้ว่าซีพี ออลล์ จะมีพนักงานกว่าแสนคน แต่รักกันมาก ยามเผชิญวิกฤตก็พร้อมฝ่าวิกฤตด้วยกัน เช่น สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา พนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้แสดงน้ำใจโดยการอยู่ขายของในเขตที่น้ำท่วมจนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อบริการลูกค้าให้ได้ซื้อของ แม้กระทั่งทีมงานในสำนักงาน หรือการขนส่ง ก็ยังทำงานกันอย่างเต็มที่ ประชุมกันทั้ง 7 วัน ไม่มีวันหยุด เพื่อร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน” ก่อศักดิ์ กล่าว

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    8 ธันวาคม 2554

8257
 3 โหรชื่อดังฟันธง!! ดวงเมืองปีหน้าแรงสุดๆ ส่งผลให้ปีหน้าเศรษฐกิจทรุดหนัก ระวังวงการการเงิน-การคลังปั่นป่วน ตลาดทุนหุ้นกระฉูดเร็วแต่ตกแรง พร้อมเตือน นักการเมือง ผู้นำทางธุรกิจ ทหาร ตำรวจที่เคยหมกเม็ดเรื่องลับๆ จะถูกเปิดเผย ชี้เรื่องอุบัติภัย วาตภัย อุทกภัยยังคงมีผลกระทบ ขณะที่การเมืองร้อนระอุอาจจะมีการเปลี่ยนขั้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ส่วนคนที่ทำผิดต่อบ้านเมืองจะถูกแรงของ “ดาวเสาร์-ดาวพฤหัสฯ” ให้ต้องโทษทัณฑ์ตามกฎหมายแน่นอน
       
       หลังจากที่ประเทศไทยต้องบอบช้ำอย่างหนักจากการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวิติศาสตร์ ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังคงเก็บความบอบช้ำนั้นไว้ และอาจจะมีหลายคนที่ตั้งคำถามว่าเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในปี 2554 จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในปี 2555 “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” มีคำตอบจากผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์ซึ่งถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปมาอย่างยาวนานว่ามีความถูกต้อง แม่นยำไม่แพ้ศาสตร์ทางวิชาการสมัยใหม่
       
       ปี 2555 “การเงิน-การคลัง” ร่อแร่

       อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหาราศาสตร์นานาชาติ ได้นำปรากฏการณ์การเกิดอุปราคามาอธิบายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับดวงเมืองของประเทศเป็นรายแรกของประเทศ โดยบอกว่านั่นคือการเกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคา มาผูกกับดวงเมืองเพื่อทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นถือเป็นวิชาเก่าแก่สืบทอดกันมานานนับพันปี จึงถือว่าการทำนายด้วยการใช้อุปราคาเป็นการทำนายที่มีความถูกต้องแม่นยำเช่นเดียวกับการนำปรากฏการณ์การโคจรของดวงดาวมาทำนาย ซึ่งดวงเมืองในปี 2555 จะมีอุปราคาเกิดขึ้น 5 ครั้ง โดยแบ่งเป็นสุริยุปราคา 2 ครั้ง จันทรุปราคา 2 ครั้ง และอุปราคาที่ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์อีก 1 ครั้ง
       
       สำหรับอุปราคาครั้งแรกจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 เวลา 06.48 น.ในช่วงเช้าเช้าตรู่ในระยะ 6 องศา 19 ลิปดา แนวคราสเป็นวงแหวนผ่านประเทศจีน ญี่ปุ่น และตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมไปถึงรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทยจะเห็นได้ยกเว้นภาคใต้ของประเทศ การเกิดอุปราคาครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่นานแต่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยค่อนข้างนาน
       
       ในทางโหราศาสตร์ สุริยุปราคาครั้งแรกนี้เกิดขึ้นในราศีพฤษภ เป็นราศีธาตุดินชนิดสถิรราศี ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้นำประเทศ ผู้นำทางด้านการปกครอง ผู้นำในวงการการเงิน การคลัง ตลาดทุน เพราะเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ซึ่งหมายถึงผู้นำหรือเบอร์ 1 ในภาคส่วนต่างๆ อาจจะทำให้ผู้นำเหล่านั้นเผชิญปัญหาในองค์กรที่ตัวเองรับผิดชอบ โดยเฉพาะราศรีพฤษภนั้นอยู่ในภพที่ 2 ของดวงเมือง หมายถึงเรื่องของการเงิน การคลัง เศรษฐกิจ ซึ่งผู้นำต่างๆ ต้องระวังเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับระบบการเงิน การคลังของประเทศให้จงหนัก ตลาดเงินจะเกิดการผันผวน การปริวรรตเงินตราเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จนรัฐบาลผู้รับผิดชอบใหญ่โดยตรงไม่สามารถจะควบคุมและแก้ไขได้ และจะทำให้ประชาชนในประเทศส่วนใหญ่เกิดความเดือดร้อน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง โดยเฉพาะเรื่องราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจะพุ่งสูงทำให้การดำรงชีวิตของประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก
       
       สำหรับการเกิดอุปราคาที่ 6 องศา ตกอยู่ในเขตของโจโรฤกษ์ และยังอยู่ในเรือนการเงินจะส่งผลต่อการกระทำผิดที่เกี่ยวกับการเงิน เกิดการคอร์รัปชันกันอย่างหนัก เกิดการฉกชิงวิ่งราวชนิดที่ตำรวจไม่สามารถช่วยเหลือได้ จะมีคดีความเกี่ยวกับการเงินเข้าไปสู่ศาลเพิ่มมากขึ้นจนผิดปกติ
       
       นอกจากนี้ ราศีพฤษภาซึ่งเป็นราศีธาตุดินจะทำให้เกิดผลกระทบต่อภัยทางธรรมชาติ ประเภทดินถล่ม แผ่นดินไหว ดินทรุดตัว ตึกถล่ม ภูเขาไฟระเบิดได้ แม้จะไม่เกิดขึ้นโดยตรงกับประเทศไทย แต่จะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยแน่นอน
       
       อุปราคาครั้งที่ 2 เป็นจันทรุปราคาบางส่วน เกิดขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน 2555 เวลา 18.13 น. ตรงกับระยะ 20 องศา 12 ลิปดา อยู่ในราศีพิจิกธาตุน้ำ แนวคราสเต็มดวงผ่านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย และทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศไทยเห็นได้บางส่วนในเวลาพลบค่ำ จันทรุปราคาครั้งนี้จะส่งผลต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบทางจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางจิตวิทยาสังคม ที่สำคัญราศีพิจิกเป็นราศีธาตุน้ำต้องระวังเกี่ยวกับน้ำ ทั้งน่านน้ำ อาณาเขตประเทศที่ติดกับน้ำ การคมนาคมทางน้ำ อุบัติภัยเกี่ยวกับน้ำ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ น้ำมันและก๊าซ จะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะช่วงนี้จะมีความเสียหายอย่างรุนแรงที่เกี่ยวกับน้ำปรากฏขึ้น
       
       โดยช่วงที่เกิดจันทรุปราคานั้นตกอยู่ในภพมรณะของดวงเมือง จะส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียทรัพย์สินของประชาชนอันเนื่องมาจากน้ำแบบฉับพลันทันใด หรือแบบไม่มีใครคาดคิด ซึ่งอาจจะหมายถึงการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศอื่นแล้วเกิดสึนามิในประเทศไทย หรือเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่จากเรือล่ม โป๊ะขนาดใหญ่แตก บ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำเกิดการทรุดตัว ที่สำคัญการเกิดอุปราคาครั้งนี้ยังเกิดในเขตของสมโณฤกษ์ ซึ่งหมายถึงผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือคนที่ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม การเกิดในเขตนี้จะทำให้ต้องสูญเสียผู้นำทางศาสนา เกจิอาจารย์ชื่อดังหรือเกิดความวุ่นวายในวงการสงฆ์ได้
       
       ครั้งที่ 3 เป็นการเกิดสุริยุปราคาชนิดเต็มดวง เกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา 05.09 น. ตรงกับ 27 องศา 54 ลปดา ในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม เป็นราศีที่ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง รวดเร็ว และผ่านไปอย่างรวดเร็ว แนวคราสเต็มดวงผ่านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถมองเห็นการเปิกอุปราคาในครั้งนี้แต่ผลกระทบที่จะได้รับนั้นจะมีความรุนแรงไม่แพ้การเกิดครั้งแรก วึ่งครั้งนี้สิ่งที่เราจะได้เห็นชัดเจน คือ การเกิดลมกระโชกแรง เกิดลมพายุหมุน เกิดวาตภัยและนำไปสู่การเกิดอุทกภัยเหมือนปี 2554
       
       นอกจากนี้ อุปราคายังเกิดในภพที่ 7 ของดวงเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงนาม สนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านจะเกิดข้อพิพาทที่ลุกลามบานปลายไปสู่สงครามขนาดใหญ่ ที่สำคัญอุปราคาครั้งนี้ยังเล็งเข้าไปสู่ดวงอาทิตย์ของดวงเมืองซึ่งหมายผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กรที่มีความสำคัญต่อความมั่นคง การเงิน การคลังของประเทศจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันกับตัวผู้นำ
       
       “ที่สำคัญการเกิดอุปราคาครั้งนี้ เกิดในเขตของเพชฌฆาตฤกษ์ ทำให้เราต้องพบกับผู้นำที่จะต้องนำมากฎหมายออกมาควบคุมและบังคับใช้อย่างเด็ดขาด รุนแรงซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นกฎหมายที่เกิดจาก “คณะปฏิวัติ” หรือไม่ แต่ขอบอกว่ารุนแรงเด็ดขาดมาก”
       
       ครั้งที่ 4 เกิดจันทรุปราคาเงามัว เกิดในวันที่ 28 พฤศจิกายน2555 ตรงกับราศีพฤษภ เวลา 21.46 น. ตรงระยะ 12 องศา 44 ลิปดา การเกิดครั้งนี้จะมีผลต่อสภาพจิตใจของประชาชนไม่มีความรุนแรงมากนักแต่กลับจะรุนแรงกับการเงิน การคลังอีกครั้งหนึ่งเพราะเกิดในเขตภูมิปาโลฤกษ์เป็นฤกษ์ของการปกครองของแผ่นดิน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะเกิดขึ้นชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ สาเหตุเพราะปัญหาการเงิน การคลังที่สะสมมาตั้งต่อต้นปีจะเริ่มปรากฏผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด
       
       ครั้งที่ 5 เกิดอุปราคาจากดาวศุกร์บังดวงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งดาวศุกร์นั้นเป็นดาวที่หมายถึงการเงิน การคลังและเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อโคจรไปบังดวงอาทิตย์ที่หมายถึงตัวผู้นำ จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังและเศรษฐกิจ สถาบันที่มีความสำคัญ รัฐสภา ทหาร ตำรวจ ผุ้นำองค์กรเหล่านี้อาจจะเกิดความสูญเสีย
       
       “การเกิดจันทรุปราคาทั้งสองครั้งนั้น เกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 และวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งมีความหมายมากเพราะเหตุการณ์ที่กล่าวมาแล้วจะมีความรุนแรงมากกว่าเท่าตัวเรารู้แล้วจึงควรระวังตัวให้มากอย่าประมาทที่สำคัญหมั่นทำบุยเจริญวิปัสนากรรมฐานให้สม่ำเสมอจะช่วยให้ประเทศไทยเรารอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ดี”
       
       ปี 55 ดวงเมืองพิฆาตนักการเมือง

       ขณะที่อาจารย์ทศพร ศรีตุลา โหรชื่อดังอีกรายบอกว่า ปี 2554 ว่าดวงเมืองแตกและแรงแล้ว ขอบอกว่าปี 2555 นั้นจะแรงมากกว่านี้มาก เพราะช่วงปีนี้ดาวเสาร์ และดาวพฤหัสฯ โคจรมาพบกัน ซึ่งหมายถึงการปรากฏความจริงจากการปิดบังซ่อนเร้นโดยเฉพาะปัญหาการเงินและการคลังนั้นหนักหนามาก ปี 2554 เกิดอุทกภัยว่ามีความรุนแรงแล้วแต่การเงินและเศรษฐกิจของประเทศยังคงเดินไปได้แต่ปี 2555 นับจากวันเกิดประเทศคือวันที่ 13 เมษายนเป็นต้นไป เราจะเห็นปรากฏการณ์ “ต้มยำกุ้ง” เกิดขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้จะรุนแรงมากกว่าปี 2540 เสียอีก
       
       “ที่กล้าพูดอย่างนั้นเพราะจุดเปลี่ยนของดาวเสาร์ในปี 2555 เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง ปี 2554 เกิดขึ้นมาแล้วในเดือนธันวาคม เราได้เห็นข่าว “ปลัดซ่อนเงิน” มาแล้วในปีนี้จะเห็นข่าวประเภทซ่อนเงื่อนปรากฏความจริงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองที่มีนอกมีใน ดาวเสาร์ซึ่งจะย้ายตัวเองในวันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นครั้งแรกของปีและอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 2555 จะส่งผลต่อดวงการงานของดวงเมืองโดยตรง ทำให้เกิดผลสะเทือนต่อการทำงานของรัฐบาล การบริหารบ้านเมืองจะเกิดปัญหา ซึ่งน่าจะมีการเตรียมตัวที่จะรับสถานการณ์อย่างนี้ไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่บอบช้ำมากนัก โดยเฉพาะการบริหารงานด้านการเงินของประเทศจะต้องมีความระมัดระวังให้มาก จะเกิดปัญหาเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตรา ค่าเงินบาทผันผวน คนที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออกจะ “บักโกรก” แบบสุดๆ ทีเดียว นอกจากนี้ ในวงการหุ้นไม่ใช่ปีที่หุ้นจะตก แต่เป็นปีที่หุ้นจะทะลุแต่จะตกด้วยความรวดเร็วนักลงทุนรายเล็กที่มีเงินน้อยจะเจ็บตัวมาก ดังนั้นจึงต้องระวังตัวเองให้ดี
       
       อย่างไรก็ตาม จังหวะที่ดาวเสาร์ย้ายอาจจะมีความรุนแรงทางด้านการเมืองกระแสนี้จะเริ่มครุกรุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคมและเกิดอีกครั้งในเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เราอาจจะได้รัฐบาฃใหม่ก็เป็นได้ เพราะดาวเสาร์ย้ายสองครั้งในหนึ่งปีจะเกิดขึ้ทุก 30 ปี ครั้งนี้เราจะได้เห็น “เซอร์ไพรส์” โดยเฉพาะการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจะเห็นอย่างน้อยต้อง 2 ครั้งแน่นอน ที่สำคัญปีนี้เป็นปีมะโรงธาตุน้ำ เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ของน้ำอีกครั้งแต่ครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าที่ควรเพราะธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีประสบการณ์ก็จะสามารถรับมือได้ดีกว่าเดิม
       
       “ขอบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ความจริงจะปรากฏ ประชาชนทั่วไปจะหูตาสว่าง นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการที่มีวาระซ่อนเร้น บิดบัง มีความลับ ความลับนั้นจะถุกเปิดเผยสู่สายตาประชาชนเพราะปีนี้ดวงเมืองก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม แม้จะเกิดความวุ่นวายต่อเนื่องแต่ในความงามวุ่นวายนั้นจะได้เห็นสัจธรรมที่ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วคนที่วันนี้ยังพ้นเงื้อมมือกฎหมาย แต่ปีมะโรงนี้รับรองว่าไม่รอดอย่างแน่นอน”
       
       การเมืองวุ่น-การเงินทรุด ประชาชนอดอยาก

       อาจารย์ธนกร สินเกษม นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ บอกว่า ในปีมะโรง 2555 ดาวเสาร์โทษทุกข์เล็งดาวอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวของดวงเมือง หมายถึง ความวุ่นวายแรงๆทางการเมืองจะกลับมาอีกมีความพยายามที่จะใช้ยุทธวิธีล้มล้างกันทำทุกอย่างเพื่อหาคะแนนนิยมเข้าพรรคแล้วโยนบาปให้พรรคคู่ศัตรู ดาวเสาร์อยู่ในราศีตุลย์เป็นอุจจึงทำให้ดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองที่สูงมาก
       
       การเงินของประเทศในปีนี้อยู่ในภาวะที่ทุดแล้วทรุดอีกคือแย่มาก เพราะดาวอังคารเป็นกาลีอยู่ในเรือนกดุมภะซึ่งเป็นเรือนการเงินทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องเดือดร้อนเรื่องการเงิน หนี้สิน มาก ซ้ำร้ายในปี 2555 ประเทศไทยจะยังคงประสบปัยหาทางภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งวาตภัย อุทกภัยอีกครั้ง
       
       นอกจากนี้ ดาวจันทร์เป็นอุตสาหะ ก็หมายถึงประเทศไทยจะต้องวุ่นวายในการสกัดกั้นอุทกภัยครั้งใหม่จากดวงเมืองกาลีอยู่ในเรือนกฎุมพะก็จะทำให้ประเทศไทยใช้เงินลงทุนแก้ปัญหาภับพิบัติทางธรรมชาติมหาศาล ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกหดหู่ ไม่มีกำลังใจเพราะดาวเสาร์ยังถอยหลังไปสู้เรือนอริทำให้เกิดเป็นหนี้สิน สำหรับราษฎรจากทุกพรรคการเมืองจะถูกเปิดเผยความลับที่ปกปิดมานาน เราจะได้เห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “มันเป็นไปได้อย่างไร” อยู่บ่อยครั้งแน่นอน

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    29 ธันวาคม 2554

8258
รัฐมนตรี บอกว่า จะหาเงินให้ ไม่ต้องใช้เงินบำรุงของโรงพยาบาล
ปลัดกระทรวง บอกว่า ฉบับที่7 จะ add-on ด้วย P4P (ใช้เป็นค่าเค) ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

คอยติดตามดูว่า จะเป็นจริงหรือไม่

8259
สบส.ร่วมตำรวจท้องที่ จับอีก! “2 หมอเถื่อน” เปิดคลินิกย่านลำลูกกา พบกระทำผิดสั่งจ่ายยาต้องห้าม มีฤทธิ์กล่อมจิตประสาท
       
       นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้ลงพื้นที่ตรวจจับ “คลินิกเวชกรรม” ที่มีผู้ประกอบวิชาชีพผิดกฎหมาย หรือหมอเถื่อนจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ “คลินิกเวชกรรมดอนเมือง” ตั้งอยู่เลขที่ 11/10 หมู่ 9 คลองสอง ถนนลำลูกกา ต.คูคต และ “คลินิกการแพทย์ตลาดนานา” ตั้งอยู่เลขที่ 23/7 ตลาดดีดี พลาซ่า เสมาฟ้าคราม คลองสอง ถ.ลำลูกกา ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งมีเจ้าของคนเดียวกัน คือ พล.ต.นพ.จักราวุธ แสนสืบ โดยเจ้าของมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง แต่แพทย์ผู้ประกอบการในคลินิกกลับไม่ใช่แพทย์ที่ถูกกฎหมายทั้ง 2 แห่ง
       
       โดย นายพสิษฐ์ กล่าวว่า คลินิกทั้งสองแห่งได้รับใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลถูกต้อง แต่กลับพบว่าแพทย์ที่ทำการรักษา จ่ายยาไม่ใช่แพทย์จริงๆ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง ขณะเดียวกัน ยังสั่งจ่ายยาที่เข้าข่ายต้องห้าม โดยพบว่า มีการจ่ายยานอนหลับ หรือ ไดอาซีแพม (Diazepam) ซึ่งจัดเป็นยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 3-4 ซึ่งเป็นประเภทยาเสพติดที่ถูกกฎหมายทางการแพทย์ แต่ต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น หากไม่ใช่จะเข้าข่ายผิดกฏหมายทันที เนื่องจากยากลุ่มนี้หากใช้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญอาจได้รับอันตราย เพราะหากใช้ในจำนวนมากและต่อเนื่องอาจเสี่ยงเสียชีวิต
       
       “การจับกุมครั้งนี้สามารถเอาผิดได้ 2 ส่วน คือ ส่วนเจ้าของ ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเปิดสถานพยาบาล คือ พล.ต.นพ.จักราวุธ แม้สถานพยาบาลได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ก็มีความผิดตามมาตรา 34(1) ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานเป็นผู้ดำเนินการไม่ควบคุมและดูแลปล่อยให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ปลอม ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งพบในคลินิกทั้งสองแห่ง คือ คลินิกเวชกรรมดอนเมือง โดยพบ นางวัฒนา เจตนฤทธิ์ และคลินิกการแพทย์ตลาดนานา พบ จ.ส.อ.ธนวันต์ อินทกาน์ ทั้ง 2 รายมีการรักษาและจ่ายยาผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่แพทย์จริง และยังจ่ายยาต้องห้ามซึ่งเป็นกลุ่มออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก” นายพสิษฐ์ กล่าว
       
       อนึ่ง ทั้ง 2 รายจะได้รับโทษ 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ผิดมาตรา 26 ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน และได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.ผิดตามมาตรา 73 ของ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯ ฐานออกใบรัรบรองแพทย์ปลอมหรือเป็นเท็จ มีความผิดจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 พันบาท และมาตรา 264 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.ผิดมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ฐานขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และ

4.ผิดมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.ยาฯ กรณีขายยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 3-4 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกไม่เกิน

5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ทั้งนี้ ส่วนคลินิกดังกล่าวจะมีสาขาอื่นหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ
       
       ขณะที่ นพ.สุวัช กล่าวว่า จากนี้ไปจะส่งเรื่องกรณีแพทย์เจ้าของสถานพยาบาลให้ทางแพทยสภาพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร ขัดต่อหลักจริยธรรมหรือไม่ และจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีให้สั่งปิดสถานพยาบาลทั้งสองแห่งชั่วคราวภายใน 60 วัน และให้พิจารณาว่า สมควรให้เปิดโดยต้องมีการปรับปรุงให้ถูกกฎหมายต่อไปหรือไม่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2554

8260
       ลาทีปีกระต่าย 2554 ปีที่มีเรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้า หากไม่นับอุทกภัยใหญ่ที่กระทบทุกวงการ ปีนี้ทั้งแวดวงคุณครู คุณหมอ วัฒนธรรม แรงงาน และ กทม.ต่างมีปัญหารุมเร้า ทั้งปัญหาใหม่ ปัญหาเก่าๆ สะสมเรื้อรังนานปี แต่ไม่ได้รับความสนใจแก้ไขเสียที โดยทีมข่าวการศึกษา-คุณภาพชีวิตได้นำข่าวเด่นสังคม ประจำปี 2554 จัดอันดับไว้ 10 ข่าว ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอดทั้งปี ดังนี้
       
       1.แจกฟรี‘แท็บเล็ต’เขย่าคุณภาพเด็กไทย
       
       เริ่มต้นที่นโยบายแจกฟรี “แท็บเล็ต” สำหรับเด็ก ป.1 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พยายามผลักดันสุดฤทธิ์ โดยกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วน ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายก็พยายามดันโครงการ One Laptop Perchild แต่ไม่สำเร็จ
       
       ครั้งนี้นโยบายประชานิยม ยังคงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพ่อแม่ ผู้ปกครอง นักวิชาการอย่างต่อเนื่องเพราะห่วงเรื่องความไม่เหมาะสมด้วยวัย และ ประโยชน์ความคุ้มค่า ข้อดี ข้อเสียต่างๆ ทำให้ต้องปรับแผนลดกระแสคัดค้านของสังคม ทว่า ตลอดระยะเวลา 5 เดือนของรัฐบาลชุดนี้กลับยังไม่ปรากฏให้เห็นความชัดเจน สุดท้าย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) งัดกลยุทธ์แก้ผ้าเอาหน้ารอด ว่า ให้ทดลองใช้แท็บเล็ตนำร่องใน 5 โรงเรียนไปก่อน แล้วให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) รับหน้าที่วิเคราะห์ผลการใช้แท็บเล็ตมานำเสนอ
       
       ทว่า เรื่องเงินๆ ทองๆ กลับชัดยิ่งกว่าชัด โดยเงินที่จะซื้อแท็บเล็ตนั้นองค์กรหลักจะควักเงินในกระเป๋ามากองให้รัฐบาลเอาไปซื้อแท็บเล็ต ประมาณ1,600 ล้านบาท แต่ก็ยังต้องรอความชัดเจนอีกอยู่ดีว่างบจำนวนนี้จะซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียน ป.1 ในสังกัด ศธ.ได้ทั้ง 465,000 กว่าคนหรือไม่ แต่ที่ชัวร์คือจะให้ทันในปีการศึกษา 2555 แน่นอน เหนือสิ่งอื่นใดกลิ่นของผลประโยชน์ที่กรูวิ่งกันเข้ามาหา ศธ.กันซะฝุ่นตลบเลยทีเดียว
   
       2.แรงงานเฮ! 300 บาท นายจ้างกุมขมับ
       
       ในรอบปี 2554 นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศของพรรคเพื่อไทย ถูกจับตามองมากที่สุดถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันออก เป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้จริง เพราะนโยบายนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างให้ กับแรงงานในลักษณะก้าวกระโดด
       
       แต่หลังจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและมีการแถลงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ได้มีการเปลี่ยนคำเรียกเป็นรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300 บาท ส่งผลให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายดังกล่าวเป็นเพียงการหาเสียงแต่ไม่สามารถทำได้จริง
       
       กระทั่ง นโยบาย 300 บาท เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (บอร์ดค่าจ้าง) จนได้ข้อสรุป แนวทางการปรับค่าแรงขึ้นต่ำโดยมีมติให้ปรับขึ้นค่า จ้างขั้นต่ำ 40% ของค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัด จากนโยบายเดิมที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค.55 พร้อมกันทันทีทั่วประเทศ แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตน้ำท่วมจึงเลื่อนการบังคับใช้ไปเป็น 1 เม.ย.55 และจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทในทุกจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.56 โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างอีก 3 ปี ซึ่งล่าสุดนโยบายดังกล่าวได้ถูกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางฝ่ายสภาอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อ ระงับการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ในกรณีที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางไม่เป็นอิสระในการดำเนินการปรับขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ ถูกฝ่ายการเมืองครอบงำ ซึ่งหากศาลมีคำสั่งคุ้มครองก็อาจจะส่งผลให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ถูกระงับหรือชะงักลงกลางครันก็เป็นได้!
       
       3.วัฒนธรรมสยิว‘คันหู’ดังพลุแตก
       
       กระแสมาแรงจนฉุดไม่อยู่ จ๊ะ “คันหู” วงเทอร์โบ เนื้อเพลงสื่อสองแง่สองง่าม ที่สำคัญ ลีลาท่าเต้นเกาตรงอวัยวะเพศ ประกอบกับการนุ่งน้อยห่มน้อยของเธอ เรียกเสียงฮือฮาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างดาหน้ากันมายืนออหน้าเวที จนมีเสียงวิพาษ์วิจารณ์ของสังคม ผ่านตัวอักษร ทีวี และโซเชียลมีเดียต่างๆ ทว่า ยิ่งมีผู้วิจารณ์กันมากเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกลับทำให้เพลงคันหูดังเป็นพลุแตก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ยังมีเพื่อนบ้าน เกาหลี ชื่นชอบ ใช้น้ำเสียงของจ๊ะ แต่ใช้ชาวเกาหลีเต้นประกอบตามเสียงเพลง ซึ่งลีลาท่าเต้นไม่ต่างกันมากนัก ท่าปลุกเสือป่า
       
       พร้อมกันนี้ ลองคิดดูว่าดังแค่ไหน จากการสำรวจของ google พบว่า มีผู้เข้ามาเซิร์ส “คันหู” เป็นอันดับต้นๆ สิ่งที่น่าแปลกใจกระทรวงวัฒนธรรม โดยเฉพาะกรมเฝ้าระวัง ซึ่งมีหน้าที่จัดเรดติ้ง กลับเงียบฉี่ เพิกเฉย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียนี่ หากไม่มีหน่วยงานไหนออกมากำราบบ้าง บ้านเมืองเราจะมีเพลงสองแง่สองง่ามเกลื่อนเมืองไทย
       
       4. ยิ่งฉาวยิ่งแฉซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต มอส.
       
       กลายเป็นข่าวฉาวของวงการศึกษา ราวเดือนเมษายน หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายใบประกาศนียบัติบัณฑิต (ป.บัณฑิต) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ให้กับนักศึกษาที่จบหลักสูตรปริญญาตรีทุกสาขาที่ต้องการเป็นครูโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาเรียนและสามารถใช้ในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจาก สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้แต่ยอมจ่ายเงินรายละ 55,000 บาท เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในสมัยนั้นอย่าง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งความเอาผิดกับ นายอัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) ทันทีที่คณะกรรมการ (คกก.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงยืนยันว่า มอส.ทำการซื้อขายป.บัณฑิตจริง และให้ส่งข้อมูลถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ รับไปสอบสวนเชิงลึก พร้อมจัดตั้ง คกก.ควบคุม มอส.มีนายสมนึก พิมลเสถียร เป็นประธาน และให้ รศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย เป็นอธิการบดี มอส.แทน นายอัษฎางค์
       
       การแก้ไขปัญหาของ คกก.ควบคุมฯ ที่ผ่านมา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพราะต้องไปรื้อและจัดการทุกระบบของ มอส.ใหม่หมดเพราะของเดิมทำไว้ชุ่ยๆ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซ้ำยังเจอเหตุปั่นป่วนการทำงาน เช่น ขโมยคอมพิวเตอร์ ท่ามกลางความพยายามเร่งแก้ไขเรื่องคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนในทุกหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยให้ผู้เรียนเข้ารับการทดสอบประมวลความรู้ หากผ่านและคุณสมบัติถูกต้องจึงได้รับอนุมัติจบการศึกษา โดยขณะนี้สามารถอนุมัติจบการศึกษาทั้งหลักสูตร ป.บัณฑิตและอื่น ๆ ได้เพียงร้อยกว่ารายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จุดจบของเรื่องคงมาถึงในไม่ช้าอย่างน้อยอีก 3 เดือนข้างหน้า เงิน 150 ล้านบาทจะชี้ชะตาว่า มอส.จะอยู่ภายใต้การดูแลของ คกก.ควบคุมฯ หรือจะถูกเสนอให้ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาสั่งปิดมหาวิทยาลัย

       5.“แพลงกิ้ง” ระบาดว่อนโซเชียลมีเดีย
       
       สุดฮิตภาพคนนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งมือแนบลำตัวราวกับไม้กระดานวางอยู่ตามสถานที่ หรือวัตถุแปลกๆ ไม่ต้องตกใจ นั้นคือ แพลงกิ้ง (PlanKing) ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มคนชื่นชอบความเสี่ยงทั่วโลก และแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วผ่านเว็บไซต์ยอดนิยมต่างๆ
       
       คนไทย ไม่ว่านักเรียน นักศึกษา นักแสดง นักร้อง คนทั่วไป ไม่ยอมน้อยหน้า คิดท่าแพลงกิ้งไทยสู้ “พับเพียบไทยแลนด์” ว่อนเน็ต นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม "เลวิเทติ้งไทยแลนด์" อีกกลุ่มที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของกลุ่ม “แพลงกิ้ง” โดยเลวิเทติ้ง คือ การโพสต์ภาพที่ถ่ายไว้ขณะที่ร่างกายกำลังลอยค้างอยู่บนอากาศ แต่ที่ไม่เหมาะสมเห็น มีภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง เล่น แพลงกิ้ง ว่อนเน็ต จนมีเสี่ยงวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่
       
       ทันทีทันใด กระทรวงวัฒนธรรม รีบเช็กว่าจำพรรษาอยู่วัดไหน และไม่ให้แหกกฎศาสนา อีกทั้งยังเตือนประชาชนการเล่นแผลงๆ ท่าพิสดาร ในสถานที่สูง อาจผลัดตกจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ จากนั้นกระแสแพลงกิ้งจึงค่อยๆ คลายความนิยม แต่ก็มีท่วงท่าใหม่ๆ มาโชว์ผ่านเน็ตมิได้หยุดหย่อน
       
       6.“CCTV ดัมมี่” ทำ กทม.งานเข้า
       
       ปีนี้ต้องยกให้กระแสโลกไซเบอร์ที่ทั้งเร็วและแรง เมื่อชาวประชาในโลกไซเบอร์ตั้งกระทู้ให้แซดในโลกออนไลน์ถึงกล้องวงจรปิดที่ กทม.ติดแหกตา เพราะแท้จริงเป็นเพียงแค่กล่องเปล่าๆ ไม่มีชิ้นส่วนใดๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นกล้องจริงที่คอยสอดส่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน !!
       
       เล่นเอา กทม.ต้องออก มาชี้แจงกันพัลวันว่า ต่างประเทศเขาก็มีกันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และทำไปตามสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างความกระจ่างแจ้งในใจของชาวประชาจนถึงขนาด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ต้องเปิดศาลาว่าการ กทม.แถลงพร้อมสั่งฝ่ายประจำเปิดเผยสัญญาจัดซื้อจัดจ้างทุกฉบับออกสู่สาธารณชน พร้อมทั้งเผยแพร่พิกัดการติดตั้งกล้อง CCTV และพิกัดของกล้องดัมมี่ที่ยังเหลือออกมาเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบ แถมยังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
       
       แต่เห็นทีจะหนาวหน่อย ก็เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษโดดเข้ามาร่วมวงตรวจสอบประเด็นการสมยอมราคา มีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมในการกระทำผิด จนไปถึงมีข้าราชการทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดหาหรือไม่ ข้างฟาก ป.ป.ช.หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็ร่วมวงสอบด้วยเช่นกัน
       
       แต่ท้ายที่สุดแล้วผลสอบจากดีเอสไอ ก็ระบุชัดว่า กทม.จัดซื้อกล้องดัมมี่ถูกต้องส่วนจะล็อกสเปก หรือไม่นั้นต้องสอบกันต่อไป แต่ท้ายซะยิ่งกว่าท้ายเมื่อผู้ว่าฯ กทม.“สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ออกมาแถลงปิดตำนานกล้องดัมมี่โดยสั่งถอดออกทั้งหมดเพื่อความสบายใจของทุกคน พร้อมติดกล้องจริงแทน...เอวัง !!
       
       7.ประกันสังคมยกเครื่องสู้บัตรทอง
       
       ในปี 2554 ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่มีผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคน ได้ถูกยกไปเปรียบเทียบกับสิทธิการรักษาพยาบาลของสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมีข้อถกเถียงถึงสิทธิ์การเข้าถึงการรักษาพยาบาลว่า “ทำไมผู้ประกันตนที่เสียเงินเข้ากองทุนสปส.ทุกเดือนแต่กลับได้สิทธิ์การ รักษาน้อยกว่าของ สปสช.” สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ทาง สปส.เร่งปรับปรุงและเพิ่มสิทธิ์การรักษามากขึ้นใน ช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ เพิ่มค่าคลอดบุตรจากครั้งละ 12,000 บาท เป็น 13,000 บาทต่อครั้ง เพิ่มค่าทันตกรรม กรณีถอนฟัน อุดฟัน และขูดหินปูน เดิมครั้งละไม่เกิน 250 บาท และไม่เกิน 500 บาทต่อปี เป็นครั้งละไม่เกิน 300 บาท และไม่เกิน 600 บาทต่อปี เพิ่มสิทธิ์ในการใส่รากฟันเทียม ที่มีเงื่อนไขยุบยิบ เป็นต้น
       
       ตบท้ายปลายปี ประกันสังคมประกาศให้วันที่ 1 ม.ค.55 จะเริ่มปรับระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยประกันสังคมแบบตามกลุ่มโรคร้ายแรงหรือ DRG จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้าง และอาจนำไปสู่ข้อเสนอในการจัดทำราคากลางค่ารักษาโรคร้ายแรง ซึ่งต้องจับตากันต่อไป
       
       8.ซูเปอร์สกายวอล์ก...สุดยอดทางเดินหายไปในฟ้า !!
       
       เฮือฮาตั้งแต่ต้นปีเมื่อ “สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาประกาศเปิดตัวแผนแม่บทสำหรับการก่อสร้างโครงข่ายทางเดินลอยฟ้า หรือ ซูเปอร์สกายวอล์ก (Super Skywalk System) เพื่อให้คนกรุง มีทางเดินลอยฟ้าที่ไร้สิ่งกีดขวางการเดินเป็นระยะทางรวม 50 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุนกว่าหมื่นล้านบาทแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 พื้นที่ถนนสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง และ วงเวียนใหญ่ รวมระยะทาง 16 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเดือน มี.ค.2554 เสร็จภายใน 18 เดือน ส่วนเฟสที่ 2 ระยะทางประมาณ 32 กม.มีแผนจะก่อสร้างในปี 2555-2557 ครอบคลุมพื้นที่ย่านถนนราชดำริ สีลม สาทร เพชรบุรี รามคำแหง ทองหล่อ เอกมัย พหลโยธิน กรุงธนบุรี และ บางหว้า
       
       จากนั้นเสียงคัดค้านก็อื้ออึง ทั้งมูลค่าโครงการมหาศาล ไม่มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จนมีการขู่จะฟ้องกทม.จากเอ็นจีโอหากกทม.ยืนยันจะสร้างซูเปอร์ทางเดินลอยฟ้านี้จริงๆ ขณะเดียวกัน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ร่อนหนังสือถึง กทม.ให้ตั้งตู้รับฟังความคิดเห็น ปรับปรุงคำถามให้ตรงเป้าหมาย ประกาศลงเว็บไซต์
       
       แม้ กทม.จะปฏิบัติตาม แต่ในที่สุด สตง.ส่งหนังสือฉบับที่ 3 ให้ทบทวน 3 เส้นทางสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง เพราะเห็นว่าขั้นตอนไม่โปร่งใส แถมยังไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ สตง.ทำให้โครงการดังกล่าวต้องพับเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน และเมื่อมหาวิบัติอุทกภัยมาเยือนเมืองกรุง ผู้ว่าฯ กทม.ก็จึงสั่งชะลอโครงการก่อสร้างทางเดินลอยฟ้าออกไป เพื่อโยกงบมาฟื้นฟูน้ำท่วมแทน เรียกว่าต้องโบกมือลาถาวรไม่มีโอกาสยลสกายวอล์คในยุคคุณชายอย่างแน่นอน!
       
       9.คืนชีพ 30 บาท แบบมึนๆ
       
       เป็นข่าวที่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างแต่สะเทือนคนในแวดวงสาธารณสุขไม่น้อย หลังจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศคืนชีพนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จากที่รัฐบาลขิงแก่เปลี่ยนให้เป็นระบบรักษาฟรี
       
       ครั้งนี้หัวหอกอย่าง “วิทยา บุรณศิริ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันชัดเจนว่า จำเป็นต้องกลับมาเก็บค่าธรรมเนียมในการรักษาอีกครั้ง เนื่องจากจะมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ โดยนำงบประมาณมาพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่ดีขึ้น ภายใต้เสียงคัดค้านที่เบาเหมือนเสียงมด ขณะที่ เจ้ากระทรวง ให้คำมั่นอย่างจับต้องไม่ได้ว่า การกลับมาเก็บค่าธรรมเนียมการรักษาจะมาพร้อมกับบริการที่ดีกว่าเดิม โดยจากที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่ตุลาคม แต่ก็ต้องเลื่อนไปเดือนพฤศจิกายน จนสุดท้ายประเทศไทยเผชิญภัยน้ำท่วม จึงต้องชะลอไปก่อนอย่างไม่มีกำหนดการ
       
       ภายใต้ความคลุมเครือของนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ดูแลประชาชนถึง 48 ล้านคน งบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้ในปีงบ2555กลับลดเหลือ 2,755 บาทต่อหัว จากปีงบ 2554 ที่ได้ 2,895บาทต่อหัว ก็เลยยังงงว่าจะพัฒนาระบบให้ดีขึ้นได้อย่างไร แม้จะมีเงินจากการกลับไปเก็บ 30 บาทเหมือนเดิม 2 พันล้านบาท
       
       แต่ที่แน่ๆ ได้มีการเข้ามาแทรกแซงผ่าตัดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยเฉพาะการกำจัดเอ็นจีโอ และนักวิชาการรุ่นเก๋าออกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น ศ.ดร.อัมมาร สยามวารา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ภก.สำลี ใจดี ฯลฯ ที่ถูกโละยกแผง จนล่าสุดฟากเอ็นจีโอพยายามดัน ภญ.สำลี กลับเข้าไป ทำให้ต้องดับเครื่องชนฟ้องศาลปกครองเอาผิดนายวิทยา ดังนั้น สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ปี 2555 ที่จะถึงนี้ต้องจับตาดูให้ดีชนิดห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว
       
       10.รพ.ขาดสภาพคล่อง-หมอ-คนไข้ปัญหาที่ค้างคา
       
       นับได้ว่า ปี 2554 เป็นปีที่กระทรวงหมอเงียบเชียบจนผิดหูผิดตา แม้ว่าปัญหาหลายปัญหายังคงอยู่ไม่หายไปไหนเพียงแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วง
       
       เริ่มตั้งแต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ยังคงเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เพราะล่าสุดเมื่อหนึ่งในกรรมการแพทยสภาได้นั่งเก้าอี้ในคณะกรรมการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็เริ่มจะปลุกกระแสขยายมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 อีกครั้ง ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าตกลง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ พ.ศ...จ่อคิวเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐบาลนั้นจะแท้ง หรือจะคลอด ในปี 2555 ส่วนปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ประมาณ 570 แห่ง รวมเป็นเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามาก็ยังไม่คืบหน้าแต่อย่างใด
       
       ดูเหมือนปัญหาต่างๆที่คาราคาซังอยู่นั้น ปีหน้า นายวิทยา บุรณศิริ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) คงต้องแสดงความสามารถคลี่คลายปัญหาเสียที
       
       นอกจากนี้ ยังมีข่าวสังคมที่น่าสลดสะเทือนคุณภาพสังคมไม่ว่าจะเป็น แม่ชี ทศพร ชัยประคอง ที่มีคลิปแพร่คำสอนผิดเพี้ยน แนะวิธีแก้กรรมโดยการให้มีเพศสัมพันธ์ ไม่เฉพาะชีเท่านั้น วงการสงฆ์ก็สั่นคลอนมิใช่น้อย หลังมีข่าวของ พระเกษม อาจิณณสีโล ใช้คำพูดขึ้นมึงกู แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขณะที่แวดวงการศึกษายังมีนโยบาย “ครูพันธุ์ใหม่” ต้องจับตา กองทุนกู้ยืมก็ยังค้างคา ฯลฯ รับรองปีหน้ามีเรื่องเหนื่อยอีกโข

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2554

8261
สปส.เดินหน้าหาพันธมิตรร่วมผลิตแพทย์-พยาบาล รักษาผู้ประกันตนในพื้นที่ขาดแคลน ประเดิมให้ทุนรุ่นแรกเดือน พ.ค.ปี 55

   
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.รง.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มอบนโยบายให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ช่วยเหลือสังคมโดยร่วมมือกับสถาบันผลิตแพทย์ในการผลิตแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญโรคเฉพาะทางในรูปแบบของการให้ทุนผลิตแพทย์และพยาบาล ขณะนี้ สปส.ได้เสนอโครงการดังกล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนขอไปศึกษารายละเอียดก่อน
       
       “โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ผมอยากให้เกิดขึ้นเพื่อให้บุตรหลานของผู้ประกันที่ได้รับทุนเรียนต่อแพทย์ได้มีการศึกษาที่ดีและกลับไปดูแลผู้ประกันตนในพื้นที่ของตนเอง” รมว.รง.กล่าว
       
       นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสปส. กล่าวว่า เบื้องต้นคาดไว้ว่าน่าจะให้ทุนแพทย์จำนวน 20 ทุน และพยาบาลทุนละกว่า 1 แสนบาท จำนวน 100 ทุนโดยตั้งเป้าหมายจะให้ทุนในช่วงเดือน พ.ค.ปี 2555
       
       นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผอ.สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สปส.กล่าวว่า ความร่วมมือในการผลิตแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ระหว่างกับโรงพยาบาลต่างๆ ขึ้นอยู่กับสาขาแพทย์และพยาบาลที่ขาดแคลนโดยยึดตามพื้นที่มีผู้ประกันตนอาศัยอยู่จำนวนมากซึ่งมีความต้องการแพทย์ในสาขาขาดแคลน ได้แก่ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์ทางสมอง แพทย์ทางประสาท แพทย์ผ่าตัดซึ่งโรงพยาบาลทั่วประเทศก็ขาดแคลนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่
       
       ทั้งนี้ เบื้องต้นไว้วางร่างหลักเกณฑ์คุณสมบัติของแพทย์และพยาบาลที่จะได้รับทุนนั้น จะต้องเป็นบุตรหลานของผู้ประกันตนโดยกำหนดไว้ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.ให้ทุนหลังจากสอบเข้าเรียนต่อแพทย์หรือพยาบาลได้แล้ว 2.เจรจากับสถาบันผลิตแพทย์ให้มีการเพิ่มโควตาสำหรับโครงการนี้ รวมทั้งมีเงื่อนไขว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องทำงานในโรงพยาบาลของสปส.ที่มีผู้ประกันตนจำนวนมาก
       
       สำหรับในรูปแบบแรกก็ไม่ได้เป็นการเพิ่มจำนวนนักเรียนแพทย์โดยเป็นไปตามการผลิตแพทย์ตามปกติเพียงแต่ สปส.เข้าไปให้ทุน ส่วนรูปแบบที่สอง จะทำให้จำนวนแพทย์และพยาบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถาบันผลิตแพทย์ว่ามีศักยภาพผลิตแพทย์พยาบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมได้หรือไม่ ส่วนต้นทุนการผลิตแพทย์อยู่ที่ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อคน ซึ่งถือเป็นเงินที่ไม่มาก
       
       “ปัญหาการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่งบประมาณ แต่อยู่ที่การนำระเบียบในการนำเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้ไม่เอื้อให้นำเงินไปใช้ เนื่องจากระเบียบ สปส.กำหนดไว้ว่าจะต้องเงินประกันสังคมไปใช้ในภารกิจของประกันสังคมที่กฎหมายระบุไว้ ทั้งนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการผลิตแพทย์ไม่ใช่ภาระของ สปส.ซึ่งจะต้องไปหารือกับฝ่ายกฎหมายของ สปส.ในการนำเงินของประกันสังคมไปใช้ในการผลิตแพทย์และพยาบาลโดยไม่ผิดระเบียบของ สปส.อย่างไรก็ตาม จะหารือกับเลขาธิการ สปส.และ
รมว.รง.ให้ได้ข้อสรุป เพื่อให้ดำเนินการได้ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ในเดือนพ.ค.ปี 2555” นพ.สุรเดช กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2554

8262
 เครือข่ายแพทย์ชนบทเคลื่อนไหวจับตาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง สปสช.ชุดใหม่ เผย มีผู้แทนแพทย์เอกชนยกขบวนยึดครอง หวั่นชงเสนอบอร์ดเก็บ 30 บาท
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าเครือข่ายแพทย์ที่ทำงานอยู่ใน รพ.ชุมชนทั่วประเทศ ได้เห็นร่างรายชื่อคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง สปสช.ชุดใหม่ ซึ่งมี นางวรานุช หงส์ประภาส ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ นายวิทยา บูรณศิริ รมว.สธ.แต่งตั้งและจะเสนอบอร์ด สปสช.เห็นชอบในวันที่ 9 ม.ค.2555 นี้ ว่า ดูรายชื่อแล้วน่าเป็นห่วง เพราะนอกจากมี นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ กรรมการแพทย์ประกันสังคมเป็นรองประธานแล้ว ยังดึงกลุ่มแพทย์เอกชนและนายทุนพรรค เช่น นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นพ.พินิจ หิรัญโชติ และ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ ร่วมเป็นอนุกรรมการและที่ปรึกษา เป็นการเปิดทางให้ รพ.เอกชนและนายทุนเข้ามากำหนดนโยบายกองทุน สปสช.และเตรียมเสนอเก็บเงิน 30 บาทกับผู้ป่วย รวมทั้งผลักดันเพิ่มงบประมาณเหมาจ่ายตามระบบ DRG ให้สูงเท่าเทียมกับระบบประกันสังคมซึ่งกำลังถูกสังคมมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ รพ.เอกชน

        “การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ในสปสช.โดยเปิดช่องให้เอกชนและนายทุนของพรรคเข้ามายึดครองกำหนดนโยบายการเงินการคลังของระบบบัตรทองครั้งนี้ จะทำให้ระบบ สปสช.อ่อนแอลง และต้องใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นมหาศาล เป็นภาระกับงบประมาณของประเทศ จนทำให้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติถึงกับล่มสลายกลายเป็นระบบสงเคราะห์คนจนอนาถาเหมือนในอดีต” นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2554

8263
สมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ แฉเล่ห์ สปสช.หวังฮุบกองทุนประกันสังคม ด้านกลุ่มประกันฯสธ.ชี้ บัตรทองควรปรับปรุงระบบบริหารกองทุนย่อย ปี 54 มีเงินตกค้างมากกว่า 4 พันล้าน...

นพ.บัญชา ค้าของ ผู้แทนกลุ่มประกันสุขภาพ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กล่าวถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศ ในงานประชุมภาคีเครือข่ายเพื่อระบบสุขภาพที่ดีกว่าของคนไทย หรือ 2011 Thailand Healthcare Summit หัวข้อ “ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาของระบบการเงินการคลังในระบบสุขภาพของประเทศไทย จะเห็นได้ว่า มีการผลักภาระความเสี่ยงค่าใช้จ่ายจากกองทุนประกันสุขภาพไปให้หน่วยบริการ ขณะเดียวกันอำนาจอิสระที่ขาดสมดุลของกองทุนในการกำหนดหลักเกณฑ์จัดสรรภายใน และระหว่างกองทุน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดบริการประชาชน มีปัญหาความไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม

"จากปัญหาต่างๆ ได้มีการสำรวจโรงพยาบาล (รพ.) ในสังกัด สธ.กว่า 840 แห่ง โดยมุ่งไปที่ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง ซึ่งพบว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้มีการผลักภาระไปให้หน่วยบริการตลอด แม้จะได้รับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่กลับกัน เงินจำนวนมากที่กองกลางตั้งเป็นกองทุนย่อย ทั้งกองทุนส่งเสริมสุขภาพ กองทุนผู้สูงอายุ ฯลฯ ทำให้งบบริการพื้นฐานของหน่วยบริการไม่เพียงพอ ที่สำคัญยังทุ่มงบไปในงบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่กลับไม่เพิ่มงบโครงสร้างพื้นฐาน และงบในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งๆ ที่หากป้องกันโรคได้มากเท่าใด ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า การกันงบส่วนนี้ ทำให้มีเงินเหลือค้างท่อ หรืออยู่ในกองกลางอีกนับหมื่นล้านบาท แต่ได้มีการทยอยจ่ายให้แก่ รพ. ผ่านกองทุนย่อยต่างๆ กระทั่งข้อมูลล่าสุด ปี 2554 พบว่า ยังเหลือเงินค้างท่ออีก 4,200 ล้านบาท ซึ่งปัญหาเงินค้างท่อมาจากการที่ รพ.แต่ละแห่ง ต้องทำรายละเอียดยุ่งยาก อย่างกรณีการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน หากไม่ทำก็ไม่ได้เงินส่วนนี้ ดังนั้น สปสช.ควรปรับปรุงระเบียบการบริหารงบ ลดขั้นตอนยุ่งยากในกองทุนย่อย เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีปัญหาเบิกจ่าย" นพ.บัญชา กล่าว

พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) เปิดเผยว่า ปัญหาเงินค้างท่อเกิดจากระบบบริหารเงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ดี รายละเอียดยุ่งยาก ต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ ซึ่ง รพ.ส่วนใหญ่รักษาผู้ป่วย ก็แทบไม่มีเวลาในการจัดทำขั้นตอนเบิกจ่ายแล้ว ตรงนี้บางแห่งก็ไม่ได้รับงบไปเลยก็มี ซึ่งก่อนหน้านี้ สพศท.ได้เปิดเผยเรื่องนี้ โดยระหว่างปี 2551-2553 พบเงินค้างท่อถึง 39,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้น สปสช.ก็มีการตามจ่ายเร่งด่วน ทำให้เงินค้างท่อลดลง และเหลือ 18,000 ล้านบาท กระทั่งล่าสุดเหลือ 4,200 ล้านบาท ซึ่งก็ยังมากอยู่ดี แต่ข้อมูลตรงนี้ไม่มีหลักฐานว่า มีการตามจ่ายให้ รพ. ไปแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงควรตรวจสอบด้วย ไม่ใช่ให้ สปสช.พูดฝ่ายเดียว

ด้าน ภก.ธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) กล่าวว่า สปสช.เป็นหน่วยงานที่มีความอิสระมาก ทั้งๆที่มีอายุเพียง 9 ขวบ แต่สามารถเข้าไปดำเนินการต่างๆ ได้ อย่าง รพ.เอกชน มีการทำงานก่อตั้งมาร่วม 21 ปี แต่ปรากฏว่า ขณะนี้กำลังถูกเด็กอายุ 9 ขวบ ไล่เตะก้น ด้วยความพยายามดึงผู้ประกันตนออกจากกองทุนประกันสังคม และไปอยู่ในกองทุนบัตรทอง ซึ่งโดยข้อเท็จจริง แต่ละกองทุนต้องแข่งขันกัน เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยมากกว่า เรียกได้ว่าขณะนี้ สปสช.กำลังแผ่อิทธิพลเข้าสู่ สปส. ดังนั้น จึงอยากฝากลูกจ้างผู้ประกันตนทั้งหลาย ออกมาเรียกร้องสิทธิของตน เพราะอย่าลืมว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินทุกๆ เดือน ก็ควรได้สิทธิประโยชน์การบริการที่ดีกว่าสิทธิอื่น และ สปส.ควรใช้วิธีทำสัญญากับประกันสุขภาพเอกชน เพราะหากใช้บริษัทประกันสุขภาพ ย่อมได้รับการดูแลดีกว่าไปประสานกับ รพ.เอง

ขณะที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ทุกๆ วันที่ 30 กันยายน สปสช. จะกันเงินสำหรับให้ รพ. ทำการเบิกจ่ายกรณีกองทุนต่างๆ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ตามการวินิจฉัยโรคร่วมหรือ DRG ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 จะกันไว้กว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งทุกปีไม่เคยถึงหมื่นล้านบาทแน่นอน โดยงบส่วนนี้ตั้งเป้าว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 5 ของงบกองทุนทั้งหมด และในปีงบประมาณ 2555 ตั้งเป้าไว้ว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 4 ส่วนที่ใครจะมีการพูดถึง สปสช.ในการเข้าไปดึงผู้ประกันตนนั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า สปสช. ทำตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นการทำตามกฎหมาย ตามมาตรา 10 แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากยังไม่พร้อม.

ไทยรัฐออนไลน์ 30 ธค 2554

8264
อาจารย์สอนภาษาชาวอเมริกันใจบุญ ลงพื้นที่ชลบุรี รับ "น้องกาน เด็กหัวโต" เข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยออกทุกบาททุกสตางค์ หวังให้มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น...

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ดร.ฮาเวิร์ด เลสนิค อายุ 70 ปี อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พร้อมคณะลูกศิษย์ ได้เดินทางเข้าพบกับนายปราโมทย์ อ่วมประเสริฐ อายุ 43 ปี คนขับรถรองนายกเทศมนตรี ตำบลเขตรอุดมศักดิ์ และนางอัมพร อ่วมประเสริฐ อายุ 44 ปี ภายในห้องเช่าหมายเลข 12 เลขที่ 82/95 ซ.สัตหีบสุขุมวิท 69 (เทพบูรพา) ม.5 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพ่อแม่ของ ด.ช.นพกร อ่วมประเสริฐ หรือน้องกาน วัย 2 ขวบ 7 เดือน ที่ป่วยโรคสมองบวมจนศีรษะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ขนาด 92 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม ไปรักษายังโรงพยาบาลกรุงเทพ-พัทยา

ดร.ฮาเวิร์ด เปิดเผยว่า รู้สึกสงสารเด็ก อีกทั้งครอบครัวมีฐานะยากจน และเมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมแพทย์ได้บอกให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีการรักษา หรือผ่าตัดแต่อย่างใด จึงติดต่อกับพ่อแม่ของน้องกาน เพื่อรับตัวไปทำการตรวจสภาพอาการเพื่อทำการรักษา เพราะอยากให้น้องกานมีสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยออกค่ารักษาทุกบาททุกสตางค์ไม่ให้ครอบครัวของน้องกานต้องเดือดร้อน

อย่างไรก็ตาม นายปราโมทย์และนางอัมพร พ่อแม่ของน้องกาน ได้กล่าวขอบคุณ โดยระบุว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทีมแพทย์จะรักษาได้หรือไม่ ก็พร้อมที่จะรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเลี้ยงดูน้องกานไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต และขอขอบคุณผู้ใจบุญที่ร่วมกันบริจาคเงินให้การช่วยเหลือแก่ครอบครัว และคอยเป็นกำลังใจให้ตลอดมา โดยสัญญาจะนำเงินทุกบาทที่ทุกคนร่วมบริจาคมาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

ไทยรัฐออนไลน์ 30 ธค 2554

8265
ฝูงปลานานาชนิดนับหมื่นตัวในแม่น้ำชุมพร หนีตายจากน้ำมือมนุษย์ใจบาป วางยาเบื่อ เบ็ดราว ไฟฟ้าช็อตพึ่งใบบุญอาศัยอยู่หน้าวัดหาดทรายแก้ว เจ้าอาวาสกันพื้นที่เป็นเขตอภัยทาน

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 30 ธ.ค.54 พระครูสมุห์เดชภัทร อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดหาดทรายแก้ว หมู่ที่ 3 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร แจ้งให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า ในแม่น้ำชุมพร บริเวณหน้าวัด มีฝูงปลานานาชนิดนับหมื่นตัวมาอาศัยอยู่ แต่ทางวัดยังขาดปัจจัยในการซื้ออาหารปลา วอนหน่วยงานราชการและผู้มีจิตเมตตา ช่วยเหลือเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบที่หน้าศาลาสุวราช บริเวณท่าน้ำหน้าวัด ซึ่งมีแม่น้ำชุมพรไหลผ่าน มีฝูงปลาจำนวนมากนับหมื่นตัว เช่น ปลาตะเพียน ปลาจะละเม็ดน้ำจืด ปลายี่สกเทศ ปลาแรด ปลากดคัง และโดยเฉพาะปลากดเหลือง ซึ่งเป็นปลาประจำถิ่นของจังหวัดชุมพร ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ แหวกว่ายไปมาอยู่ในแม่น้ำชุมพรบริเวณท่าน้ำของวัดหาดทรายแก้วไม่ยอมไปไหน โดยฝูงปลาดังกล่าวเท่าที่สังเกต แต่ละตัวมีน้ำหนักตั้งแต่ 1–5 กิโลกรัม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระครูสมุห์เดชภัทร เจ้าอาวาส เปิดเผยว่า สำหรับหาดทรายแก้วแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 มีเนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา แนวเขตด้านทิศตะวันออกอยู่ติดแม่น้ำชุมพร ความยาว 800 เมตร สำหรับฝูงปลาดังกล่าว พระ-เณร เริ่มพบเห็นมาอยู่ที่บริเวณหน้าวัดแห่งนี้ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548 แต่เป็นฝูงเล็กๆโดยเฉพาะปลากดเหลือง ซึ่งเป็นปลาประจำถิ่นของจังหวัดชุมพร มีจำนวนมากที่สุด แต่ช่วงนั้นมีชาวบ้านเข้ามาลักลอบจับปลาในเวลากลางคืน โดยใช้อวน แห และมีบางรายใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฝูงปลาลดจำนวนน้อยลง ต่อมาเมื่อปี 2552 ได้มีชาวบ้านใช้ยาเบื่อปลา ทำให้ปลาตายทั้งหมด ลอยเป็นแพหลายพันตัว ชาวบ้านที่ใจบุญรวมทั้งพระสงฆ์ในวัดรู้สึกเสียดายไปตามๆกัน แต่แล้วจู่ๆเมื่อต้นปี 2554 นี้ กลับมีฝูงปลาจำนวนมากนับหมื่นตัว แต่ละตัวมีน้ำหนักระหว่าง 1-5 กิโลกรัม ไม่ทราบว่าฝูงปลาเหล่านี้มาจากไหน มาว่ายวนเวียนอยู่หน้าวัด พระเณรเห็นเข้า ก็เลยเอาข้าวก้นบาตรโปรยหว่านให้กินทุกวัน ทำให้ฝูงปลาเหล่านี้ไม่ยอมหนีไปไหน เพราะหากปลาฝูงนี้ว่ายออกไปนอกเขตวัด ซึ่งมีพื้นที่แนวยาวขนานแม่น้ำชุมพร ประมาณ 800 เมตร ก็อาจถูกจับเป็นอาหาร

ดังนั้นทางวัดจึงกันเขตแนวด้วยการเขียนป้ายประกาศติดไว้ว่าเป็นเขตอภัยทาน ห้ามจับสัตว์น้ำในบริเวณนี้ พระครูสมุห์เดชภัทร เผยอีกว่า สงสัยปลาฝูงนี้น่าจะรู้ว่าถ้าขืนว่ายออกไปนอกบริเวณวัด มันก็จะตาย ดังนั้นจึงไม่ยอมว่ายไปไหน อยู่แต่ที่ท่าน้ำของวัดแห่งนี้ ซึ่งนับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตัว แต่ที่ทางวัดประสบปัญหาอยู่เวลานี้ คือไม่มีปัจจัยที่จะไปซื้ออาหารปลามาเลี้ยงปลาฝูงนี้ให้อยู่คู่กับวัดไปนานๆ จึงอยากวิงวอนผู้ใจบุญมีจิตเมตตา รวมทั้งสำนักงานประมงจังหวัดชุมพร ให้เข้าไปช่วยในเรื่องนี้ เนื่องจากทางวัดอยากจะขออนุรักษ์พันธุ์ปลาฝูงนี้เอาไว้ เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้ลูกหลานได้เที่ยวชมต่อไปในอนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวัดหาดทรายแก้วแห่งนี้นับว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร มีอดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งชื่อพระครูอาทรพัฒนกิจ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ศพไม่เน่าไม่เปื่อย ปัจจุบันร่างของท่านถูกเก็บไว้ในโลงแก้วอยู่ที่วัดนี้

หน้า: 1 ... 549 550 [551] 552 553 ... 653