แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 547 548 [549] 550 551 ... 648
8221
โหรภิญโญ พงศ์เจริญ ให้จับตา “อุปราคา” 4 ครั้งส่งผลสะเทือนดวงเมือง ตั้งแต่ปลายธันวาคม 54 เกิดการสูญเสียคนสำคัญ ระวัง! ปัญหาดินถล่ม น้ำหลาก หนักสุดเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 55 มีทั้งแผ่นดินไหว ดินถล่ม และไฟอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ ปัญหาแย่งอาณาเขตอาจถึงขั้นสู้รบ วิกฤตเศรษฐกิจ โครงการลงทุนขนาดใหญ่รัฐบาลวุ่น ประชาชนเดือนร้อนไปทั่ว ทั้งปัญหาปากท้อง โรคระบาด ครอบครัวแตกแยก จะส่งผลยาวข้ามปี 56

- เกิดอุปราคา 4 ครั้ง สะเทือนดวงเมือง

ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ทำนายดวงเมืองในปี 2555 สัมพันธ์กับปรากฏการณ์ “อุปราคา” ที่จะมีขึ้นถึง 4 ครั้ง และเคลื่อนย้ายของดวงดาวสำคัญที่มีผลต่อดวงเมืองไว้อย่างน่าสนใจ

- จับตาตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 54

การเกิดขึ้นของอุปราคาในปี 2554 ยังคงส่งผลต่อดวงเมือง โดยในวันที่ 25 พฤศจิกายน จะเป็นวันที่เกิด “สุริยุปราคา” ในช่วงเวลา 13.10 น. ที่ตำแหน่ง 8 องศา 15 ลิปดา ในราศี “พฤศจิก” ซึ่งเป็น “ราศีน้ำ” ปัญหาน้ำท่วมยังมี และค่อนข้างรุนแรง ภาคกลางยังมีปัญหาน้ำท่วมขัง ภาคใต้จะเจอพายุและปัญหาน้ำท่วม และยังส่งผลต่อเหตุการณ์ทาง “การเมือง” ผู้นำและผู้ปกครองจะเกิดความยุ่งยาก เนื่องจากการเกิดอุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นใน “ราชาฤกษ์” หมายถึง ผู้นำหรือผู้ปกครองจะมีปัญหา เกิดความเสื่อมศรัธาต่อผู้นำ ความเชื่อเถือในตัวผู้นำ และผู้นำเจ็บป่วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายของดาวเสาร์จะเกิดขึ้นชัดเจนในวันที่ 7 ธันวาคม 2554

นอกจากนี้ต้องจับตาการเดินทางของดวงดาวมาชุมนุมกันในภพมรณะเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงที่ดาวบาปพระเคราะห์ทำมุมกัน ส่งผลให้เกิดการแปรสภาพ การสูญเสีย การล้มตายของผู้คน และเกิดในช่วง “สถิรราศี” เหตุการณ์เหล่านี้จะคงอยู่นานเกิดกว่าจะแก้ไขได้ทัน  แต่ยังโชคดีที่ “สุริยุปราคา” ครั้งนี้ไม่ได้เกิดเต็มดวง เป็นแค่บางสวน ดีกรีความรุนแรงลดลง

แต่ที่น่าเป็นห่วง การเกิดของสุริยุปราคาเกิดขึ้นในแนวราศีพิจิกและราศีพฤษภทำมุมกัน  ซึ่งราศีพฤษภเป็นฤกษ์แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม มักจะตามมาด้วยเหตุการณ์ ภูเขาไฟระเบิด และยังมาเจอกับราศีธาตุน้ำ ดังนั้นผลของแผ่นดินไหวจะกระทบเรื่องน้ำ

-7 ธันวาคม 54  “ดาวเสาร์” ย้าย

จุดเปลี่ยนการเมือง

เหตุการณ์ที่ต้องจับตาอีกครั้ง คือ วันที่ 7 ธันวาคม 2554  ดาวเสาร์จะเคลื่อนย้ายและมาหยุดนิ่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ จากนั้นเดินหน้าต่อไปถอยหลังอีกครั้งในเดือนเมษายน 2555  การเดินทางของดาวเสาร์ ที่เป็นการเดินหน้าและหยุดนิ่งและถอยเช่นนี้  ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญเนื่องจากดาวเสาร์ไปเล็งลัคนาดวงเมือง คือ ดาวอาทิตย์ และดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวประจำดวงเมือง โดยเฉพาะจุดที่ดาวเสาร์เดินถอยหลังจะส่งผลต่อ “เรือนปัตนิ” โดยมีดาวคู่ที่ต้องจับตา คือ ดาวพฤหัส (ดาวเจ้าเรือนแห่งสงคราม ดาวผู้รู้ และดาวเสาร์ (ดาวมหาชน) ซึ่งเป็นดาวคู่แห่งการเปลี่ยนแปลงมาทำมุมกัน จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนทางการเมือง และสภาพบ้านเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเกิดได้ทันทีเกิดก่อนและหลัง

- 10 ธันวาคม 54

ปัญหาขัดแย้งการเมืองปะทุ

นอกจากนี้ หลังจากดาวเสาร์ย้ายได้ 3 วัน จะเกิดอุปราคาขึ้นอีกครั้งในวันที่ 10 ธันวาคม 2554  เกิดขึ้นราศีพฤษก  ตำแหน่ง24 องศา 10 ลิปดา อุปราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในห้วงเวลาสำคัญ เนื่องจากการเคลื่อนย้ายของดาวเสาร์เมาอยู่ในราศีตุลย์ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มตั้งแต่ 7 ธันวาคมเป็นต้นไป จะส่งผลต่อเรื่องการเมือง อารมณ์ของคนทั่วไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งความชอบและความเกลียดจะทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเดินทางของดาวพุธ สังเกตได้ว่าดาวพุธเดินถอยหลังในช่วงใกล้ๆ วันที่มีประชุมเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม สำหรับดาวพุธเป็นเรื่องของความคิด เรื่องของสื่อสารมวลชน ประชาชนจะรับรู้ข้อมูลความจริงจากสื่อมวลชน โดยในเดือนธันวาคมเมื่อ “ราหู” มาพุ่งชนดาวพุธ จะเกิดการปะทะคารม วิวาทะรุนแรงมาก แต่ละฝ่ายจะมีผู้สนับสนุน โดยมีดาวพระเกตุเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น

การเกิดอุปราคาในวันที่ 10 ธันวาคม เป็น “จันทรคาส” จะส่งผลต่อเรื่องการเงิน เศรษฐกิจ เพราะพระจันทร์เป็นดาวกู้หนี้ยืมสิน เมื่อราหูเข้ามาวิวาทกับพระจันทร์ โดยมีพระพุธ ซึ่งหมายถึง สื่อสารมวลชนเข้ามาช่วย โดยจะยืนข้างประชาชน

- 21 พฤษภาคม 55

อุปราคาครั้งแรก

สำหรับการเกิดอุปราคาของปี 2555 จะเกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 เป็น “สุรุยุปราคาวงแหวน” เกิดในเวลา 6.48 น. อยู่ราศีธาตุดิน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีเรื่องของอุบัติภัยที่เกิดจากแผ่นดิน จะเกิดแผ่นดินทรุด แผ่นดินไหว จนส่งผลต่อตึกรามบ้านช่องพังทลาย โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนต้องระวังเป็นพิเศษ จะเกิดความรุนแรง และผลกระทบจะกินเวลานาน 

ระวัง !วิกฤติหนัก แผ่นดินไหว เศรษฐกิจพัง

การเกิดของอุปราคาครั้งแรกนี้ยังเกิดในเรือนการเมืองของประเทศ ส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง การคลังของรัฐบาลจะเกิดปัญหา และปัญหาจะเรื้อรังกินเวลานาน ส่งกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เกิดความยากลำบาก ยากแค้น เกิดปัญหาเกี่ยวกับคดีฉ้อโกง และยักยอกทรัพย์ขึ้นมากมาย ประชาชนจะมีความสุขน้อยลง เกิดปัญหาครอบครัว แนวโน้มปัญหาหย่าร้างสูงมาก 

- 24 มิถุนายน อุปราคาครั้งที่ 2

จับตา ปัญหาขัดแย้งน่านน้ำ

อุปราคาครั้งที่ 2 ของปี 2555 เกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน เป็นจันทรุปราคา เกิดในราศีธาตุน้ำ จะเกิดผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องน้ำ อุบัติเหตุเกี่ยวกับเรื่องน้ำ ทรัพยากรน้ำมีปัญหามาก และเป็นเรื่องเกี่ยวกับคู่สัญญา อาจเกิดปัญหาถึงเรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ความขัดแย้งเกี่ยวกับน่านน้ำ การแบ่งอาณาเขต ทรัพยากรทางทะเล รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน  ขณะเดียวกันส่งผลถึงเรืองจิตใจ อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนรู้ยังคงหดหู่เศร้าหมอง

อุบัติภัยรุนแรงตั้งแต่ กรกฎาคม

สำหรับปัญหาอุบัติภัยเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ในปี 2555 โดยจะเกิดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม ไปจนถึงพฤศจิกายน กินเวลายาวหลายเดือนมาก ขณะเดียวกัน จะเกิดปัญหาเรื่องการคมนาคม ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องของการสาธารณสุข การป้องกันประเทศ

พฤศจิกายน ระวังพายุซัด-น้ำถล่ม

การเกิดอุปราคาครั้งที่ 3 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 55 ในเวลา 05.09 ผลกระทบกับอุปราคาจึงมีไม่มาก แต่ที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ คือ การเกิดอุปราคาใน “ราศีธาตุลม” และยังถูกเล็งด้วยดาวพระเกตุ ส่งผลให้เกิดเรื่องของวาตภัย เกี่ยวกับลม จะเกิดพายุลมแรงถี่มาก และการเกิดวาตภัยมักจะตามมาด้วยอุทกภัยเสมอ การเกิดส่งผลรุนแรงมาก จะเกิดความสูญเสียเกิดขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ และการเมือง  โดยช่วงเวลาที่ต้องระวัง ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน

- 28 พฤศจิกายน อุปราคาครั้งที่ 4 

เกิดขึ้นในวันลอยกระทง ของวันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา 21.46  เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ทำมุม 45 องศา จะเกิดเป็นเงามัว ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ประชาชนจะมีความวิตกกังวล เกี่ยวกับความเป็นอยู่ เรื่องการเงินเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจ   

- สิ้นปี 55 ระวัง โครงการใหญ่ของรัฐ ก่อปัญหาหนัก

ช่วงเวลาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เป็นช่วงสิ้นปี 2555 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2556 เนื่องจากดวงดาวที่ถูกกระทบมากคืออาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวในดวงเมือง จะเกิดปัญหาจากดาวเสาร์และราหู ส่งผลให้เกิดปัญหาความยุ่งยาก จากโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลลงทุนไป ไม่ว่าจะเป็น โครงการสร้างเมืองใหม่ จะก่อให้เกิดปัญหา จากการลงทุนเกินตัว ก่อให้เกิดหนี้สิน นำมาซึ่งความทุกข์ยาก และปัญหาร้ายแรงที่จะตามมาในอนาคต และจะกินเวลานานนับปี ขณะเดียวกันสถาบันเบื้องสูงต่างๆ จะถูกบีบคั้น เป็นจุดอันตราย และอาจเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

- ปัญหาน้ำท่วมเริ่มตั้งแต่สิงหาคม

รุนแรงกันยายน-พฤศจิกายน

ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมในปีหน้า จะเริ่มขึ้นตั้งแต่สิงหาคม กันยายน พฤศจิกายน โดยจะรุนแรงมากระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน เนื่องจากดาวอังคารสวนกับราหูตรงธาตุน้ำ ดาวพฤหัสซึ่งคุ้มครองชะตาเมืองก็เดินถอยหลัง ทำให้ปัญหาอุทกภัยเกิดขึ้นรุนแรง รวมถึงปัญหาเรื่องไฟที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์มีโอกาสเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่สำหรับเรื่อง “อุทกภัย” เนื่องจากดาวมฤตยูอยู่ในราศีธาตุน้ำกินเวลาถึง 7 ปีเต็ม ปัญหาอุทกภัยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ปี และยังคงในอนาคตอีก4 ปี

- ระวัง ขัดแย้งต่างประเทศรุนแรง

ผลจากดาวอังคารโคจรผิดปกติ 

สำหรับเหตุการณ์ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ การเดินทางของดาวอังคาร ซึ่งเป็นเรื่องของอุบัติภัย อุบัติเหตุ ความขัดแย้ง และหมายถึง ผู้มีอำนาจทั้งทางกฎหมายและนอกกฎหมาย เนื่องจากปี 54 ดาวอังคารโคจรวิปริตค่อนข้างมาก โดยจะอยู่ในราศีสิงห์ถึง 8 เดือน จากปกติจะอยู่แค่ 45 วัน จะส่งผลให้เกิด

1.ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรงถึงขั้นต้องเกิดการต่อสู้กันขึ้น

2.ปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาด ความรุนแรงเทียบได้กับการเกิดของไข้ทรพิษในอดีต 3.ปัญหาความแตกแยกในประเทศ ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ต้องระวังปัญหาชายแดนภาคใต้ ปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร แนวชายแดนอาณาเขต รวมถึงปัญหาน่านน้ำทางทะเล ขณะเดียวกันอาจเกิดปัญหาความแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นปัญหาการเมืองรุนแรง

4.เรื่องของไฟ ทั้งจากธรรมชาติ และเกิดจากฝีมือมนุษย์

5.จะปัญหาที่เกิดขึ้นจะส่งผลรุนแรงต่อเจ้าเรือน หรือผู้สืบสันติวงศ์

6.เยาวชนจะหันมาสนใจการเมืองมากขึ้น แต่ก็จะถูกปลุกระดมและชักจูงไปได้ง่าย

บทสรุป
ปัญหาการเมือง รุนแรง ดุเดือด กว่าปี 54
   เหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2555 จะเกิดความรุนแรงกว่าปี 2554 เนื่องจากอุทกภัยผ่านพ้นไป ประชาชนได้คิด เรื่องของสถาบันชั้นสูงยังคงได้รับความคุ้มครอง เนื่องจากดาวพฤหัสโคจรเดินหน้า คุ้มครอบบ้านเมืองให้พ้นเพศภัย แต่จะมาเจอกับดาวเสาร์ที่เล็งทับลัคนาเมือง จะส่งผลให้การเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง ในเดือนกรกฎาคม 2555 แต่ก็อาจไม่รุนแรงมาก
เศรษฐกิจ
   รัฐบาลใช้งบประมาณสิ้นเปลือง จนก่อให้เกิดหนี้สิน เกิดการสูญเสีย ปัญหาคอรัปชั่นแก้ไม่หมด และรุนแรงขึ้น ปัญหาจะรุมเร้าหนักในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป ส่งผลกระทบให้ประชาชน การดำเนินชีวิตด้วยความอัตคัด ช่วยเหลือตัวเองในการดำรงชีพ เพื่อเอาตัวรอด ความสุขลดน้อยลง

เกี่ยวกับภิญโญ พงศ์เจริญ

โหรภิญโญ พงศ์เจริญ ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ทำนายดวงเมือง เชี่ยวชาญเรื่องการทำนายเกี่ยวกับเกิดอุปราคาและการเดินทางของดวงดาวที่มีผลกระทบต่อดวงเมือง จบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกอบอาชีพทนายความ ต่อมาได้ศึกษาตำราโหรจากเจ้าคุณอุดม ศีลคุณ วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นอาจารย์พิเศษทางด้านโหราศาสตร์ ในสถาบันการศึกษา

ตรวจสอบคำทำนาย

ปี 2554 โหรภิญญา เคยทำนายไว้ว่า บ้านเมืองจะเข้าสู่ภาวะปกติในเดือนพฤษภาคม แต่จะกินเวลาสั้นๆ 4 เดือน มิถุนายนถึงสิงหาคม จากนั้นในเดือนตุลาคมจะกิดปัญหาภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่จะมีความรุนแรงมาก โดยในเดือนตุลาคมจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ หนักกว่าปี 2553 มาก พอเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนเหตุการณ์น้ำทวมยังคงอยู่และจะท่วมหนักกว่าเดิม

ยังได้ทำนายถึงอุบัติภัยทางทะเลและทางอากาศ อากาศยานตกได้รับความเสียหาย จะเกิดความยุ่งยากเรื่องดินแดนอาณาเขต

รัฐบาลและผู้นำระดับสูงจะออกมาแสดงบทบาทให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่เช่นนั้นจะถูกชุมนุมกดดันอย่างหนัก 

ไพเราะ เลิศวิราม
Positioning Magazine 15 ธันวาคม 2554

8222
ที่กล่าวขวัญกันมาก กับเรื่องราวของเด็กชายปลาบู่ หรือ สุทัศน์ คำสี เด็กชายวัย 5 ขวบเศษๆ หลังจากที่ลุงทองใบ คำสี อายุ 73 ชาวจังหวัดจันทบุรี ได้เล่าเหตุการณ์ ถึง เด็กชายปลาบู่ ได้บอกเล่าไว้ก่อนเสียชีวิต เมื่อ 37 ปีที่ผ่านมา
       
       “ศูนย์ข่าวศรีราชา” จึงได้เดินทางไปพบกับลุงทองใบถึงบ้านที่ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เพื่อเจาะลึกถึงเรื่องราวแห่งคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ในทุกแง่มุม
       
       ลุงทองใบ เล่าให้ฟังว่า….ก่อนที่ปลาบู่จะเสียชีวิต ปลาบู่ได้มาบอกว่า อีก 14 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ โดยที่ผ่านมาปลาบู่ ก็จะชอบพูดแต่เรื่องอยากตาย และมาขอกับพ่อว่าจะให้ตัวเองตาย ซึ่งในขณะนั้นลุงก็ไม่ได้สนใจอะไร จนอยู่มาวันหนึ่ง ปลาบู่ก็มาขอว่าจะตายอีก ลุงก็เลยพูดแบบไม่ได้คิดว่า เออๆ อยากตายก็ตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นปลาบู่ก็ตายไปจริงๆ
       
       ทั้งนี้ ลุงทองใบ ได้รับฟังเรื่องราวจากปลาบู่มากมาย หลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องอดีตชาติ ของปลาบู่ กับพ่อ รวมทั้งเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลกของเรา ซึ่งในช่วงนั้นก็ฟังไปเพราะไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นจริงตามคำบอกเล่าของปลาบู่ จึงได้ฉุดคิดแล้ว แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ว่าทำไมเราไม่บอกเรื่องราวต่างที่จะเกิดขึ้นให้กับผู้ที่มีอำนาจที่จะสามารถป้องกันได้ จึงได้ เล่าเรื่องราวต่างๆให้ทุกคนได้ฟัง
       
       สำหรับเรื่องที่ปลาบู่เล่าให้ลุงทองใบฟังมีหลายเรื่องด้วยกัน เริ่มจากเรื่องอดีตชาติของเขา และบุคคลสำคัญ ๆ เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต เรื่องราวในอนาคตของประเทศไทย เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 เรื่องดวงอาทิตย์ โลก จักรวาล ธาตุ เหล็กไหล มีความเป็นมาอย่างไร เรื่องขุมทรัพย์ในแผ่นดินที่พระแม่ธรณีเก็บเอาไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อต้องการให้พ่อเป็น “สื่อ” บอกให้ทุกคนได้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว การวางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเลเพราะน้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอด ลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น
       
       “ปลาบู่ บอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ร่างกายตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ “อชิตะ” ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น “พระศรีอาริยเมตไตรย” ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้ อยากให้พ่อช่วยบอกให้ท่านทราบ จะได้ป้องกันไว้ก่อนที่เขื่อนจะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว เขื่อนกักเก็บน้ำที่จังหวัดตากจะพังเสียก่อน แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก จะได้พังไม่มาก จากหนักจะได้เป็นเบา”
       
       “หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตาก นครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย” เขาถามลุงว่า” รถไฟลอยฟ้ามันเหาะได้มัยพ่อ” ” รถไฟใต้ดินมันมุดน้ำได้มั้ยพ่อ?” ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน ใต้กรุงเทพฯ- ธนบุรีไม่มีลูกรัง-หิน มีแต่ทรายทับถมโคลนตมอยู่ลึกๆ “
       
       “แม่น้ำเจ้าพระยาถูกขุดลอกให้ลึก ๆ เป็นอันตรายมาก ๆ เพราะทรายทับถมตมเลนเหลือบางมาก ๆ ทำให้ตมเลนปูดทะลักขึ้นมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมาก ๆ จมดินยังไม่พอ เพราะเสาเข็มยังจมยังไม่ถึงดินดาน รถไฟยังวิ่งสะเทือนเขย่าเม็ดทรายที่หุ้มเสาเข็ม ทำให้เสาเข็มทรุดตัว หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ การสร้างเขื่อนใหญ่อยู่เหนือพระนคร เป็นอันตราย เพราะแรงแผ่นดินไหวแรงมาก จะเหมือนเมื่อก่อน ครั้งนาน ๆ โน้น ที่ไดโนเสาร์ตายหมด”
       
       นอกจากนี้ ปลาบู่ยังบอกลุงทองใบอีกว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อเอาน้ำออกสู่ทะเล ไม่มีท่อปล่อยน้ำออกจากเขื่อน เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน
       
       ปลาบู่ถามลุงว่าอีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? นับจากวันที่คุยกันคือ 2544 จะมีเครื่องบินชนตึก และ อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร? จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร? จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนประเทศไทย กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง “ในเวลายามสอง ในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย” แต่ปลาบู่ ไม่ได้บอกว่าปีใหม่ไหน อาจจะเป็นปีใหม่ไทย จีน ฝรั่ง ลาว ก็ได้ แต่ในปี 2555นี้
       
       “มาถึงตรงนี้ ลุงรู้สึกเสียใจมาก ปัจจุบันนี้ลุง อายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ เชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่ที่ยังไม่ถึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขาเป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีการป้องกันอย่างดี มีการบริหารจัดการที่ดี ยังเสียหายขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดกับประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ลุงรู้สึกทนไม่ได้ นั่งดูข่าวไป ก็คิดถึงคำของปลาบู่ ที่เล่าให้ฟัง ประเทศไทยไม่มีการป้องกันอะไรเลย มีแต่กัดกันอย่างหมา ขอพูดแบบนี้นะ ลุงเจ็บใจจริงๆ เพราะถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ลุงเลยตัดสินใจออกมาเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้
       
        หลังจากนั้น ปลาบู่ ก็เข้ามาบอกว่า พ่อครับที่ดินแปลงนี้ยกให้หนูนะ (ที่ดินที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี) และขอให้ปลูกต้นโพธิ์ และให้ทำถนนให้รอบเหมือนกับสนามหลวง ลุงก็ถามว่าทำมัย ปลาบู่บอกว่า หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง.. ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี.. หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้ง และจะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด “สุทัศน์เทพไพฑูรย์” (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหาริย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
       
       ต่อไปหลังจาก40 ปีไปแล้ว คือประมาณหลังจากปี 2557 ประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม ซึ่ง อีก 40 ปี จะเกิดสงคราม (ตรงกับ พ.ศ. 2557) และที่ สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ และบนเขาลับแล จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ลุงได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว ซึ่งที่ดินที่ปลาบู่ขอก็ได้ ปลูกต้นโพธิ ไว้ประมาณ 200 กว่าต้น และทำถนน รวมทั้ง บนเขาลับแล ก็ได้มีการสร้างศาลาไว้ให้พระสงฆ์อยู่
       
       “สิ่งที่ลุงบอกมาทั้งหมด นี้อยากจะขอให้รัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาเรื่องการนำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้วเพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ (ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว ตามที่ปลาบู่ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันนี้โลก มีการเปลี่ยนแปลง แผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วทั้งโลก การป้องกันเตรียมการไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา”
       
        ลุงทองใบ กล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้เปิดเผยเรื่องราวของปลาบู่ออกไป ก็มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเข้ามา เรื่องดีๆ คือมีประชาชนจำนวนมาก เขียนจดหมายมาให้กำลังใจ และมาขอบคุณ ที่ลุงได้ ออกมาบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งบางคนก็เดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เช่น เชียงใหม่ สมุทรปราการ และอีกหลายแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มีจดหมายมาถึงลุง บอกว่าได้รับรู้เรื่องราวที่ที่ลุงบอกไปแล้ว พร้อมทั้งได้มีการประสานงานกับทางกรมชลประทานไปแล้ว เท่านี้ลงก็รู้สึกปลื้มใจมากๆ และรู้สึกสบายใจแล้วว่าลุงได้ทำในสิ่งที่ปลาบู่บอก หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่ทางผู้มีอำนาจจะดำเนินการต่อ
       
        ส่วนเรื่องที่ไม่ดี มีการมาขุมขู่ ลุง ไม่ให้พูดเรื่องนี้อีกไม่เช่นนั้นจะโดนจับกุม ซึ่งมาถึงตอนนี้ ลุงไม่กลัวแล้ว อยากจะจับก็มาจับ ติดคุกก็ไม่กลัว เพราะ 73 ปีแล้ว อยู่ที่ไหนก็สามารถสวดมนต์ได้

ASTVผู้จัดการรายวัน    24 ธันวาคม 2554

8223
ชั่วโมงนี้ คงไม่มีคำทำนายหรือหมอดูรายใดที่ฮอต มาแรงและเป็นที่กล่าวขานในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกไซเบอร์มากที่สุดเท่ากับ “คำนายของเด็กชายปลาบู่” หรือ “เด็กชายสุทัศน์ คำสี” อีกแล้ว
       
       ทั้งนี้ หลังจากมีผู้ที่ใช้ชื่อว่า MahasuraSinghanat นำไปโพสไว้ในเว็บไซต์ยูทูบเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ที่พยากรณ์ถึงภัยพิบัติใหญ่ที่จะบังเกิดขึ้นในประเทศไทยก็พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของคนไทยในทันที
       
       และหนึ่งในคำทำนายที่สร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนจำนวนมากในขณะนี้ก็คือ คำทำนายที่ว่า ในช่วงเวลายามสองของคืนปีใหม่ พ.ศ.2555 นี้ จะเกิดเหตุการณ์เขื่อนที่จังหวัดตากพัง รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวจนผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
       
       ยิ่งหลังจากที่คนไทยครึ่งค่อนประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยเพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คำทำนายของเด็กชายปลาบู่แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง พร้อมส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ใต้เขื่อนภูมิพล จังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียงซึ่งเป็นแหล่งรองรับน้ำตื่นตกใจกลัว โดยโทรศัพท์สอบถามเข้ามาที่ศาลากลางจังหวัดตากและเขื่อนภูมิพลเป็นจำนวนมาก
       
       บางคนถึงกับจะขายที่ ขายบ้านเพื่อไปหาแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่กันเลยทีเดียว
       
       กระทั่ง “นายสามารถ ลอยฟ้า” ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และ “นายณรงค์ ไทยประยูร” ผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก ต้องออกมายืนยันถึงความแข็งแรงของเขื่อนภูมิพลว่ามีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
       
       นี่คือปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ที่ทำนายเอาไว้ก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2517 หรือเมื่อราว 37 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกำลังอาละวาดและรบกวนจิตใจคนไทยอยู่ในขณะนี้
       
       แน่นอน หลายคนฟันธงไปในทันทีว่า นี่เป็นเรื่องลวงโลก ขณะที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คล้อยตาม
       
       แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ได้ดีที่สุดก็คือ ยามสองของคืนปีใหม่(ยามสองคือเวลาประมาณ 22.00-24.00 น.) ที่กำลังจะมาถึงในปี พ.ศ.2555 นี้จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในผืนแผ่นดินไทยหรือไม่
       
       **รู้จักเด็กชายปลาบู่ แห่งสวนศรีมหาโพธิ์ จ.ตราด
       
       จากปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ ทำให้ต้องย้อนกลับไปค้นหาที่มา ความเชื่อและการดำรงอยู่ของคำทำนายที่เกิดขึ้นเมื่อราว 37 ปีที่ผ่านมาว่า มีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ทำไมวันดีคืนดีถึงได้โด่งดังเป็นพลุแตกเช่นนี้ …..
       
       ปลาบู่เป็นชื่อเล่นของ “เด็กชายสุทัศน์ คำสี” เป็นลูกชายคนเดียวของ “นายทองใบ คำสี” กับ “นางสุนทรา คำสี” มีพี่สาว 2 คนและน้องสาว 2 คน ปลาบู่เกิดวันที่ 23 ตุลาคม 2511 ที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2517 ที่ ร.พ.พระปกเกล้า จันทบุรี หรือเสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ในขณะที่ เขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน
       
       เด็กชายปลาบู่เป็นคนเมืองจันทน์ อยู่ที่บ้านเลขที่ 234/2 หมู่ 1 บ้านตามูล ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งปัจจุบันบ้านดังกล่าว นายทองใบผู้เป็นพ่อได้เตรียมพื้นที่เอาไว้สำหรับรองรับลูกชายที่จะกลับมาเกิดใหม่ พร้อมตั้งชื่อว่า “สวนศรีมหาโพธิ์”
       
       จากคำบอกเล่าของนายทองใบ... เด็กชายปลาบู่ เกิดมาก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป รูปร่างหน้าตาน่ารัก แต่เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ตอนอายุประมาณ 3-4 ขวบ มีชาวต่างชาติมาขอเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ด้วย พอปลาบู่ไปคลุกคลีไม่นาน ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
       
       อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่สุดแสนพิศวงของเด็กชายปลาบู่เกิดขึ้นในราวเดือนมิถุนายน 2517 เมื่อเด็กชายปลาบู่ได้บอกกับผู้เป็นพ่อว่า จะตายภายใน 15 วัน ให้ไปซื้อเทปคาสเซ็ทมาอัดเสียงไว้ แต่นายทองใบก็ไม่ได้ทำตามเนื่องเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะเสียชีวิตไปจริงๆ
       
       ทั้งนี้ ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่ ระหว่างนั้น เด็กชายปลาบู่ได้เล่าเรื่องหลายต่อหลายเรื่องให้พ่อฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้เป็นพ่อเป็นสื่อเพื่อบอกเล่าภัยพิบัติที่เขาได้เห็น ได้รู้ให้คนไทยได้ระมัดระวัง(อ่านรายละเอียดในบทสัมภาษณ์พ่อเด็กชายปลาบู่เพิ่มเติม)
       
       แน่นอน ในขณะนั้นนายทองใบไม่เชื่อและคิดว่าลูกพูดจาเพ้อเจ้อ
       
       จากนั้น เด็กชายปลาบู่ก็เริ่มป่วย และเสียชีวิตในวันที่ 10 กรกฎาคม 2517 ตรงตามที่บอกพ่อไว้ว่าจะเสียชีวิตลงใน 15 วัน โดยแพทย์ระบุภายหลังว่าเป็นเนื้องอกในสมอง
       
       เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่ลูกชายสั่งเสียเอาไว้ นายทองใบจึงเริ่มเชื่อ และทำทุกอย่างตามที่เด็กชายปลาบู่ สั่งไว้ก่อนตาย โดยเขียนคำทำนายเรื่องภัยพิบัติ แนวทางป้องกันด้วยลายมือของตัวเองเมื่อวันที่ 5 พ.ย.1992 หรือ 19 ปีมาแล้ว
       
       นอกจากนี้ เด็กชายปลาบู่ยังได้สั่งเสียก่อนตาย ว่าเขาจะกลับมาเกิดอีกครั้ง เป็นเณรและออกมาธุดงค์ช่วยพ่อสร้างวัด"สุทัศน์เทพไพฑูรย์" โดยให้พ่อปลูกต้นโพธิ์ล้อมที่ดินแปลงหนึ่งไว้ ซึ่งทุกวันนี้ นายทองใบได้ทำทุกอย่างตามที่ลูกบอก และรอคอยการกลับมาเกิดใหม่ของเด็กชายปลาบู่ผู้เป็นลูกชาย ซึ่งสวนศรีมหาโพธิ์แห่งนี้ นายทองใบผู้เป็นพ่อได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจโดยเก็บออมจากน้ำพักน้ำแรงที่ไปรับจ้างทำงานเกรดที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย จากนั้นก็นำมาซื้อที่ดินเพิ่มไว้กว่า 40 ไร่ โดยแบ่งเนื้อที่กว่า 20 ไร่ สร้างศาลาและปลูกต้นโพธิ์ไว้โดยรอบ
       
       สำหรับชาวบ้านในตำบลทรายขาวที่อยู่ในละแวกเดียวกับบ้านของนายทองใบ นั้น คงต้องบอกว่าต่างรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากคำบอกเล่าของเด็กชายปลาบู่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ยอมรับว่าไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่านายทองใบเสียสติ เพราะเสียใจที่ลูกชายมาด่วนเสียชีวิต จนพากันเรียกว่า “ตาใบบ้า” แต่เมื่อมีหลายเหตุการณ์ในอนาคตตรงกับคำทำนาย หลายคนจึงเริ่มปักใจเชื่อ
       
       นางสาวสุดา ยิ้มเจริญ ชาวบ้านซับประเมิน อ.เขาสอยดาว จ.จันทบุรี หนึ่งในอีกหลายๆ คน ที่ได้เดินทางมาหานายทองใบ เปิดเผยว่า สาเหตุที่เดินทางมาคืออยากมาพูดคุย อยากมารับฟังเรื่องราวของเด็กชายปลาบู่ หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องราวแล้วจากทางโทรทัศน์แล้ว จึงอยากมาฟังด้วยตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่รู้ไว้บ้างก็ดีเพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือหาทางป้องกันไว้บ้าง
       
       นอกจากนั้น ข้อมูลที่ทีมข่าวเจาะประเด็นซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้ลงพื้นที่ตำบลทรายขาวและได้ไปสัมภาษณ์พูดคุยกับ “กาญจนา นาคนันทน์” หนึ่งในคนทรายขาว ที่นักอ่านรู้จักกันดีจากผลงานนวนิยายอันโด่งดังซึ่งถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์อย่างผู้กองยอดรัก ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ฯลฯ ทำให้พบเงื่อนปมที่น่าสนใจของเด็กชายปลาบู่ในหลายเรื่องทีเดียว
       
       กาญจนาเล่าให้ทางรายการฟังว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่เป็นที่ร่ำลือของชาวบ้านที่นี่มากว่า 30 ปีแล้วและตนเองเคยรับรู้เรื่องนี้มานานแล้วเช่นกัน กระทั่งมารู้จักกับนายทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของปลาบู่หลังจากที่เด็กชายปลาบู่เสียชีวิตได้ 1 ปี ในการประชุมกลุ่มเกษตรกรที่อำเภอโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
       
       ทั้งนี้ นักเขียนนามอุโฆษยอมรับว่า น่าทึ่งระคนแปลกใจ เพราะหลายเรื่องเป็นความรู้ด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพที่ปลาบู่ เด็กชายวัย 6 ขวบ บอกไว้เมื่อ 37 ปีที่แล้วว่า"เจ้าพระยาตอนหนึ่งจะโค้งเหมือนกระเพาะหมู หรือคนสมัยโบราณเรียกว่า คอคอดลูกน้ำเต้า หรือเกือกม้า ตรงนี้ให้ทำเขื่อน เปิด-ปิด เวลาน้ำขึ้น-น้ำลง ซึ่งภายหลังก็เกิดขึ้นแล้ว คือคลองลัดโพธิ์ โครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นเอง"
       
       สำหรับตัวกาญจนาที่ปัจจุบันอายุอานามร่วม 91 ปีนั้น ยอมรับว่า เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และเชื่อว่าเด็กชาย"ปลาบู่" ระลึกชาติได้จริง เพราะบริเวณนี้ สมัยก่อนเป็นป่า ไม่มีเทคโนโลยี บ้านเรือนก็ปลูกห่างกัน ไม่มีโอกาสที่นายทองใบ ซึ่งจบประถมสี่ จะรู้ข้อมูลมากมายก่อนมาเล่า แต่ก็อยากให้ทุกคนเลือกเชื่อเฉพาะที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะคำทำนายเรื่องภัยพิบัติน้ำท่วม แนวทางป้องกัน รวมถึงแผ่นดินไหว เพื่อจะได้หาทางรับมือ พร้อมยืนยันว่า นายทองใบ ไม่ได้บ้า
       
       **หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คำทำนาย
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญยิ่งที่จะแสวงหาคำตอบและตระหนักให้มากก่อนที่จะตื่นตระหนกก็คือ โอกาสที่คำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะกลายเป็นความจริงมีมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางวิทยาศาสตร์ เพราะดูเหมือนว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นเพียงคำทำนายและความเชื่อในทำนองนิยายประโลมโลกเสียมากกว่า
       
       แต่กระนั้นก็ดี ก็ใช่ว่าโอกาสที่คำทำนายจะกลายเป็นความจริงจะไม่มีเอาเสียเลย โดยเฉพาะคำทำนายเรื่องเขื่อนแตกในยาม 2 ของคืนปีใหม่ 2555 นี้
       
       แน่นอน ความจริงประการหนึ่งอันเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ก็คือ ความจริงจากนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตากที่ระบุว่า เคยเกิดแผ่นดินไหวระดับความรุนแรงขนาด 3 ริกเตอร์ขึ้นที่เขื่อนภูมิพลมาแล้ว
       
       แปลไทยเป็นไทยก็คือ เคยเกิดแผ่นดินไหวที่เขื่อนภูมิพลมาแล้ว
       
       ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดซ้ำอีกก็มีได้เช่นกันแม้จะมีน้อยมากก็ตาม
       
       แน่นอน แม้เขื่อนภูมิพลจะถูกออกแบบมาให้รับแผ่นดินไหวได้สูงถึง 7 ริกเตอร์ และตัวเขื่อนไม่ได้อยู่ในแนวเปลือกโลก ซึ่งนั่นเป็นหลักรับประกันถึงความแข็งแกร่งของเขื่อนได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแล้ว ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เนื่องเพราะผู้ที่จะให้คำตอบของทุกสิ่งในโลกนี้มีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสิน
       
       ไม่มีใครรู้หรือพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำดอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างบนโลกใบนี้ ยิ่งในยามที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดบนโลกในยุคนี้ พ.ศ.นี้ถี่ยิบมากทุกทีด้วยแล้ว ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนหนักขึ้นไปอีก
       
       เฉกเช่นเดียวคำให้สัมภาษณ์ของนายณรงค์ ไทยประยูร ผู้อำนวยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่ให้คำยืนยันชัดเจนว่า เขื่อนภูมิพลมีความแข็งแรงและปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในบางช่วงบางตอนของคำให้สัมภาษณ์ก็มีร่องรอยของความเป็นไปได้ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติเช่นกัน
       
       นายณรงค์บอกว่า เขื่อนภูมิพลออกแบบเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งซึ่งเอาแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดวางไว้กับภูเขา ดังนั้น เขาทั้งสองด้านจะรับแรงได้ทั้งหมด หากเกิดการสั่นแสดงว่าต้องสั่นสะเทือนทั้งภูเขา เพราะฉะนั้นหากภูเขาไม่พัง เขื่อนก็ไม่พัง
       
       แปลไทยเป็นไทยได้อีกเช่นกันว่า หากภูเขาไม่พัง เขื่อนก็ไม่พัง แต่ถ้าภูเขาพังเขื่อนก็พัง
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับประเทศไทย ไม่ว่าคำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นจริงหรือไม่ก็คือ ขณะนี้โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ที่ย่ำยีธรรมชาติอย่างเมามัน ทำให้ธรรมชาติกำลังปรับตัวเองเพื่อรักษาสมดุลให้ดำรงอยู่
       
       ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีหลังบ่อยครั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศไทยหรือญี่ปุ่น เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยในปี 2555 ที่กำลังจะมาถึงนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนก็คือ “ปรากฏการณ์ลานินญา” ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของคนไทยอย่างมากมายมหาศาล
       
       ดังจะเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ที่ให้ข้อมูลว่า อิทธิพลของภาวะลานินญาจะทำให้เกิดภาวะมีฝนมาก โดยจะส่งผลไปถึงช่วงต้นปี 2555 ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ในปีหน้าประเทศไทยอาจต้องประสบภาวะฝนฤดูร้อนหรือฝนมาเร็วกว่าฤดูกาลเช่นเดียวกับปี 2554
       
       ด้วยเหตุดังกล่าวระบบและรูปแบบการทำเกษตรกรรมของคนไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในปี 2555 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ
       
       “ตามแผนเบื้องต้น ที่นาในพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำ เช่น อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เกษตรกรจะต้องเริ่มเพาะปลูกเตรียมแปลงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 เป็นต้นไป เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวประมาณเดือนเม.ย.2555 ก่อนฤดูฝนจะมาถึงในเดือน พ.ค.”
       
       “ส่วนพื้นที่ตอนเหนือ จ.นครสวรรค์ขึ้นไป รูปแบบการเพาะปลูกในปีหน้าจะต้องปลูกข้าวนาปรัง ส่วนทุ่งเจ้าพระยาใหญ่ ตั้งแต่ท้ายเชื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาทลงมา รวมพื้นที่ประมาณ 9,000,000 ไร่ กรมชลฯ จะสามารถจัดสรรน้ำให้ชาวนาปลูกข้าวได้เต็มพื้นที่ โดยกำหนดให้เริ่มปลูกข้าวนาปี 2555-2556 ตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.55-ต้นเดือน ก.ค.55 เพราะจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในไม่เกินวันที่ 30 ส.ค.2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนน้ำเหนือไหลหลากมาถึง จะได้ไม่ซ้ำรอยเหมือนปีนี้”
       
       คำแจกแจงของรองอธิบดีกรมชลประทานแสดงให้เห็นว่า ปฏิทินการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะการปลูกข้าวจะต้องเปลี่ยนแปลงในฉับพลันทันที
       
       .....แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่จะพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ได้ดีที่สุดก็คือ จะเกิดมหาพิบัติภัยเวลายาม 2 ของคืนวันปีใหม่นี้จริงหรือไม่ ถ้าเกิดจริง ทุกคำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะต้องถูกนำมาศึกษาอย่างละเอียดเพื่อหาทางป้องกันและรับมือต่อไป แต่ถ้าไม่เกิดจริง ทุกอย่างก็เอวัง และคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องลวงโลกที่หาแก่นสาระอะไรมิได้ และไม่คู่ควรที่คนไทยจะสนใจใยดีอีกต่อไป...

ASTVผู้จัดการรายวัน    24 ธันวาคม 2554

8224
นักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขออกโรงโต้สปส. เพิ่มค่ารักษาพยาบาลให้คนหนุ่มสาวเป็น 15,000 บาท คาดสูงเกินจริง หวั่นเอื้อโรงพยาบาลเอกชน แนะรวมกองทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดรายจ่าย และสร้างความเท่าเทียม...

          ปัจจุบันระบบสวัสดิการสุขภาพของประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 4 ระบบ คือ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ดูแลโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ครอบคลุมประชากร 47 ล้านคน, ระบบสวัสดิการข้าราชการ ครอบคลุมข้าราชการประมาณ 5 ล้านคน, ระบบประกันสังคม ดูแลโดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ครอบคลุมประชากร 10.5 ล้านคน และสุดท้ายเป็นระบบย่อยๆ ที่ครอบคลุมคนจำนวนน้อย เช่น สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของนักการเมือง หรือประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิตของเอกชน ซึ่งระบบสวัสดิการสุขภาพของไทยได้รับการยอมรับ ว่ามีประสิทธิภาพไม่น้อยหน้าประเทศอื่นใดในโลก ถึงกระนั้น ภายในแวดวงสาธารณสุขไทย กลับยังมีข้อโต้เถียง ถึงแนวทางบริหารจัดการระบบสวัสดิการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

          ล่าสุด คณะกรรมการประกันสังคม มีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2554 ปรับรูปแบบวิธีการจ่ายค่ารักษาพยาบาลปี 2555 เป็นการจ่ายตามกลุ่มโรคร้ายแรง จากเดิมที่เหมาจ่ายเป็นรายหัว หัวละ 2,500 บาท ทำให้งบประมาณรายหัวลดลงเหลือ 1,955 บาท

          การคำนวณในลักษณะนี้เรียกว่า Diagnosis Related Group (DRG)หรือ กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม การจ่ายเงินจะคำนวณตามระดับความรุนแรงของโรค โดยมีตั้งแต่ระดับ 2-40 เริ่มต้นที่ระดับละ 15,000 บาท จนถึงสูงสุดที่ 6 แสนบาทต่อคน

          หากดูจากตัวเลขงบประมาณค่าใช้จ่ายรายหัวที่ลดลง 500 กว่าบาท ก็น่าจะเป็นการดีทั้งต่อผู้ประกันตนและงบประมาณประเทศ แต่ น.พ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข กลับเป็นหัวหอกออกมาคัดค้าน

ชี้ประกันสังคมยังล้าหลัง-ไม่เท่าเทียม

          ดร.นพ.พงศธรตั้งต้นอธิบายว่า ระบบประกันสังคมขณะนี้ ถือเป็นระบบที่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากทั้งระบบสวัสดิการข้าราชการและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้ใช้สิทธิไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ ผิดกับประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบอีกร้อยละ 5 ของรายได้

          ผมศึกษาเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ ปรากฏว่าของฟรีดีกว่า คือบัตรทองสิทธิประโยชน์ดีกว่า เพราะเมื่อ 8-9 ปีที่ผ่านมา ระบบนี้ดำเนินการโดย สปสช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีบุคลากรอยู่ 700-800 คน มีหมออยู่ 50-60 คน ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งที่ตอนแรก สปสช. ก็อปปี้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม หลังจาก 8 ปีผ่านไป แซงไปลิ่วเลย ประกันสังคมตามไม่ทัน

          อย่างไรก็ตาม น.พ.พงศธร เห็นด้วยกับการเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินของ สปสช. จากการเหมาจ่ายมาเป็นระบบกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมในครั้งนี้ โดยอธิบายว่า

          สปสช.กับระบบสวัสดิการข้าราชการและในยุโรปเปลี่ยนวิธีการจ่ายหมดแล้ว ผู้ป่วยนอกกับผู้ป่วยในจ่ายคนละแบบ ผู้ป่วยในคือประเด็นที่เรากำลังเถียงกันอยู่คือกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม เหมือนกับเราคำนวณมาว่า ถ้าคุณผ่าตัดไส้ติ่งจะถูกคำนวณเป็นดีอาร์จีประมาณ 1.3 ผ่าตัดสมองถูกคำนวณเป็น 5 ดีอาร์จี ดีอาร์จีหมายถึง โรงพยาบาลนี้รักษาไปกี่ดีอาร์จี สมมติว่า 1 หมื่นดีอาร์จี แล้ว 1 ดีอาร์จีเท่ากับเงิน 9,000 บาท ก็คูณเข้าไป โรงพยาบาลก็ได้ตามนั้น คือต้องทำงานจึงจะได้เงิน

          ผมยอมรับว่าประกันสังคมมาถูกทางแล้ว ที่ต้องเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงิน ซึ่งเราต้องกดดันเขาตลอดเวลาเพื่อให้เปลี่ยน เพราะเขาไม่ยอมเปลี่ยน การเปลี่ยนเป็นจุดสำคัญ เพราะทำให้คนไข้หรือผู้ป่วยในเข้าถึงบริการ เพราะโรงพยาบาลจะได้เงินต่อเมื่อทำการรักษา ผ่าตัด ถ้าไม่ผ่าตัด ไม่ได้เงิน แต่เดิมไม่ต้องผ่าตัดก็ได้เงินกินเปล่าไปเลย คราวนี้ไม่ใช่แล้ว เมื่อไหร่รักษาโรงพยาบาลเอาเงินไป จะเป็นการกระตุ้นให้รักษา

จ่าย 15,000 หวั่นเอื้อร.พ.เอกชน

          แต่ประเด็นที่น.พ.พงศธรเสนอคือ การกำหนดเงินเริ่มต้นที่ 15,000 บาท ซึ่งสูงเกินเหตุ ขณะที่ระบบสวัสดิการข้าราชการที่มีการรักษาที่ดี ใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ กลับจ่ายเพียง 12,000 บาท ส่วนผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่คนละ 9,000 บาท

          เราเห็นด้วยที่เขาเปลี่ยนวิธีจ่ายเงิน แต่ประเด็นคือวันนี้เรากินชาแก้วเดียวกัน ร้านเดียวกัน คนชงคนเดียวกัน ผมเป็นข้าราชการรัฐจ่ายให้ 12,000 บาท ประกันสังคมจ่ายให้ 15,000 บาท บัตรทองจ่ายให้ 9,000 บาท อย่างนี้มันถูกหรือไม่

          น.พ.พงศธรอธิบายว่า กลุ่มข้าราชการที่ใช้สิทธิส่วนหนึ่งเป็นผู้สูงอายุและพ่อแม่ของข้าราชการ ส่วนบัตรทองดูแลคนจน เด็ก และผู้สูงอายุ ขณะที่กลุ่มผู้ประกันตนเป็นคนในวัยหนุ่มสาว ร่างกายยังแข็งแรง การเจ็บป่วยน้อย แต่สปส.กลับจ่ายสูงถึง 15,000 บาท ซึ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีผลประโยชน์ซ่อนอยู่หรือไม่

          ผมพูดชัดว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมเป็นโรงพยาบาลเอกชน คุณก็บอกมาสิ คุณเอาเหตุผลไหนมาอ้าง ถ้าสปส.จ่ายแค่ 12,000 ผมยังรับได้ ใครก็รู้ว่าสิทธิข้าราชการดีกว่าประชาชน แม้จะอ้างว่ามีการทำวิจัย แต่ผมไปคุยแล้ว มันเป็นวิธีการศึกษาที่ผิด แต่ไม่สำคัญเท่ากับคณะกรรมการที่นำไปใช้ คือคณะกรรมการไม่ได้คำนึงถึงการประหยัดเงินของผู้ประกันสังคมเลย

          ผมอยากให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยข้อมูล ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครเปิดง่ายๆ ไม่มีทางที่เราจะเห็นต้นทุนเอกชนจริงๆ เอามากางดูกันเลย แล้วจะรู้ว่ามันต่ำ เพราะอะไร เพราะพฤติกรรมของข้าราชการคือใช้โรงพยาบาลใหญ่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เพียงแค่ 12,000 บาท ร.พ.เอกชนมีค่าเฉลี่ยแค่ 137 เตียง เป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง และที่ผ่านมาประกันสังคมใช้โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยน้อยมาก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราคุยถึงเม็ดเงิน 4 หมื่นล้านต่อปี ที่ภาษีรัฐต้องเสียไป เพราะ 15,000 บาทจะไปกดดันให้บัตรทองต้องเพิ่ม เพราะตอนนี้จ่ายที่ 9,000 บาท

          และนี่คือเป็นอีกประเด็นที่น.พ.พงศธรชี้ว่า การจ่ายเงิน 15,000 บาทของ สปส. จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องแก่ระบบหลักประกันสุขภาพทั้งระบบ

          น.พ.พงศธรเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าคุณเป็นโรงพยาบาล คุณจะเลือกรักษาผู้ป่วยที่จ่ายเงิน 15,000 บาท 12,000 บาท หรือ 9,000 บาท แน่นอนว่ามีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วตามหลักเศรษฐศาสตร์

          แบบนี้จะทำให้ระบบอื่นถูกเร่งให้เพิ่มเม็ดเงิน ถ้าจะให้เท่ากับประกันสังคมคือต้องเพิ่มเข้าไป 4 หมื่นล้าน เบื้องหน้าอาจไม่มีอะไร แต่เบื้องหลังหมายถึงเงิน 4 หมื่นล้านที่จะไหลเข้าหน่วยบริการ โดยที่ไม่ได้คำตอบว่าบริการจะดีขึ้น

รวมกองทุนช่วยประหยัด-เพิ่มอำนาจต่อรอง

          สำหรับทางออกของเรื่องนี้ น.พ.พงศธรมองว่า หากค่าหัวของสิทธิประโยชน์บัตรทองต่ำเกินไป หรือโรงพยาบาลบอกว่าขาดทุน ก็ควรนำข้อมูลทั้งหมดมาเปิดเผย แล้วหาคนกลางมาทำการศึกษาเพื่อหาค่าหัวที่เป็นมาตรฐานออกมา ไม่ใช่เพิ่มค่าหัวโดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ

          ส่วนทางออกในระยะยาว น.พ.พงศธร ยังเชื่อว่าการรวมกองทุนทั้งหมดเข้าด้วยกัน คือประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

          วิธีคิดของเรื่องนี้ง่ายๆ คือ การดูแลรักษาพยาบาลควรมีหน่วยงานเดียวดูแล เพราะมันเป็นสิทธิประโยชน์เดียวกัน และทุกคนควรได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน ในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายที่มีการพัฒนาเรื่องนี้อย่างก้าวหน้าก็ใช้ระบบหลักประกันสุขภาพระบบเดียว ทั้งยังตอบโจทย์เรื่องความเป็นธรรม ไม่ต้องมีกลุ่มไหนต้องจ่ายเงิน โดยที่กลุ่มอื่นไม่ต้องจ่าย และจะเกิดประสิทธิภาพเพราะมีหน่วยงานเดียวบริหาร ไม่จำเป็นต้องเสียค่าบริหารจัดการเยอะ ที่สำคัญคือจะก่อให้เกิดอำนาจต่อรองกับหน่วยบริการค่อนข้างดี ยกตัวอย่างเช่นโรงพยาบาลเอกชนจะไม่สามารถเลือกรับเฉพาะประกันสังคมได้แล้ว คุณต้องรับทุกสิทธิถ้าคุณจะอยู่รอด แบบนี้จะทำให้เกิดประสิทธิภาพทั้งระบบ

          จากการศึกษาเรื่องนี้ในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ หรือในยุโรปหลายประเทศก็มีระบบเดียว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะต่ำ ต่างจากอเมริกาที่ปล่อยฟรีที่มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงมาก ระบบนี้ถูกศึกษาและยอมรับแล้วว่าเป็นระบบที่ทั้งเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพที่สุด

          นอกจากนี้ยังดีต่อสปส.ด้วย เพราะมีการศึกษาออกมาแล้ว ซึ่งทางสปส.เองก็ยอมรับว่า หลังจากเริ่มมีการจ่ายบำนาญให้แก่ผู้ประกันตนในปี 2557 จะมีเงินไหลออกจำนวนมาก และหมดลงในที่สุด

          “เราจึงตั้งคำถามว่าทำไมไม่ประหยัดเงินเอาไว้ ประกันสังคมก็รู้ว่าเงินกำลังจะหมด แต่วันนี้คุณไปเพิ่มค่ารักษาเป็น 15,000 ถ้าเทียบกับบัตรทอง คุณเซฟได้ปีละ 4,000 ล้านบาท ผมไม่เข้าใจว่าสปส.คิดอะไรอยู่”

          วิธีการการรวมกองทุนน.พ.พงศธร บอกว่า ให้ตัดสิทธิการรักษาพยาบาลออกจากชุดสิทธิประโยชน์ของประกันสังคม เงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายจะครอบคลุมเฉพาะสิทธิประโยชน์ 6 ข้อที่เหลือตามกฎหมาย ส่วนสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนก็ไปขึ้นอยู่กับสปสช.โดยอัตโนมัติ

          เมื่อถามว่า หากเป็นแบบนี้จะเป็นการเพิ่มภาระแก่สปสช.หรือไม่

          จะเป็นการเพิ่มภาระแก่สปสช.แต่ไม่มาก เพราะคนประกันสังคมคือคนแข็งแรง ใช้บริการน้อย ซึ่งจะไปแชร์ความเสี่ยงกับคนของสปสช.ซึ่งจน เด็ก และแก่ เงินค่าหัวตอนนี้คือ 2,800 บาท ถ้ารวมคนแข็งแรง 10 ล้านคนเข้าไป จะเหลือแค่ 2,500 บาท เงินจะถูกใช้เพิ่มแค่นิดเดียวคือหมื่นกว่าล้าน หลักการประกันสุขภาพคือ Rich Pooling Rich Sharing ดีช่วยป่วย รวยช่วยจน ถ้ารวมคนได้เยอะจะยิ่งถูก และสามารถเพิ่มอำนาจต่อรอง แต่ตรงนี้เป็นประเด็นการเมืองว่ากล้าตัดสินใจหรือไม่

          การที่สปส.และโรงพยาบาลเอกชนจะตอบข้อโต้แย้งของน.พ.พงศธร ได้ คงต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้สังคมช่วยพิจารณา ซึ่งน่าจะเป็นการดีต่อทุกฝ่าย และหาทางพัฒนาระบบสวัสดิการสุขภาพร่วมกัน
.........

(หมายเหตุ : ค้านประกันสังคมทุ่ม4พันล้าน เพิ่มค่ารักษาคนหนุ่มสาว จับตาเอื้อร.พ.เอกชน แนะรวมกองทุน ลดรายจ่าย-สร้างความเท่าเทียม โดย กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ศูนย์ข่าว TCIJ : http://www.tcijthai.com/)
คม ชัด ลึก    24 ธค 2554

8225
ลอนดอน (รอย​เตอร์ส) - หญิงชาวอังกฤษกว่า 250 ราย ส่งทนาย​เป็นตัว​แทนยื่นฟ้องต่อศาล ​ให้ดำ​เนินคดีกับคลินิก​และสถาน​เสริม​ความงามของ​เอกชน 7 ​แห่ง​ใน​แคว้น​เวลส์ หลังพบว่า ​ใช้ซิลิ​โคนคุณภาพต่ำ​ใน​การผ่าตัด​เสริมหน้าอก​ให้ลูกค้า ​ทำ​ให้​เกิด​ความ​เสี่ยงด้านสุขภาพ

สำนักข่าวต่างประ​เทศรายงานว่า น.ส.​เอซิลท์ ฮิวส์ ทนาย​ความชาวอังกฤษ ​เป็นตัว​แทน​ผู้หญิงกว่า 250 คน ยื่นฟ้องต่อศาล​ใน​เมืองคาร์ดิฟ ทางตะวันออกของอังกฤษ ​เพื่อดำ​เนินคดีกับคลินิก​และสถาน​เสริม​ความงามของ​เอกชน 7 ​แห่ง​ใน​แคว้น​เวลส์​ซึ่งผ่าตัด​เสริมหน้าอก​ให้ลูกค้า​โดย​ใช้ซิลิ​โคนคุณภาพต่ำ ​ทำ​ให้​เกิด​ความ​เสี่ยงด้านสุขภาพ ​โดย น.ส.ฮิวส์ ระบุว่าคลินิกที่ถูกฟ้องอาจ​เพิ่มขึ้น​เป็น 20 ​แห่ง ​เพราะจะรวม​ถึงคลินิกที่​เป็น​ผู้นำ​เข้าซิลิ​โคนจากบริษัท “พี​ไอพี” ของฝรั่ง​เศส ​ซึ่ง​เพิ่งถูกกระทรวงสาธารณสุข​ในประ​เทศฝรั่ง​เศส สั่งปิดกิจ​การ​ไปช่วงปลายปี 2553 ​เพราะตรวจพบว่าบริษัท​แจ้งข้อมูล​เท็จ​เกี่ยวกับวัสดุที่​ใช้ผลิตซิลิ​โคน ​ทั้งยัง​ได้ส่งออกสินค้า​ไปจำหน่าย​ในประ​เทศสมาชิกสหภาพยุ​โรปด้วย

ขณะ​เดียวกัน สถาบันมะ​เร็ง​แห่งชาติฝรั่ง​เศส ระบุ​เพิ่ม​เติมว่า ทางสถาบันกำลังตรวจสอบว่า​การ​ใช้ซิลิ​โคน​เสริมหน้าอกด้อยคุณภาพของบริษัทพี​ไอพี ​เป็นสา​เหตุ​ให้​ผู้​เสริมหน้าอกมีอัตรา​เสี่ยง​ใน​การ​เป็น​โรคมะ​เร็ง​เต้านม​เพิ่มขึ้น​หรือ​ไม่ ​เพราะ​ผู้​ใช้ซิลิ​โคนของพี​ไอพีกว่า 2,000 ราย​ได้ยื่น​เรื่องร้อง​เรียนกับทางสถาบันนับจากต้นปี 2554 ​เป็นต้นมา ​และผลตรวจสอบ​เบื้องต้นพบว่า​ผู้​ใช้ซิลิ​โคนของพี​ไอพีอย่างน้อย 8 ราย ล้มป่วยด้วย​โรคมะ​เร็ง​เต้านม หลัง​เกิด​เหตุถุงบรรจุซิลิ​โคน​แตก​และรั่ว​ไหล​ไปสู่ส่วนอื่นๆ ​ในร่างกาย ​โดย​ผู้ป่วยรายหนึ่ง​เพิ่ง​เสียชีวิต​ไป​เมื่อ​เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ​และคดีนี้​เป็น​เรื่องที่รัฐบาลประ​เทศอื่นๆ ​ในสหภาพยุ​โรปต่างรอฟังคำตัดสินของรัฐบาลฝรั่ง​เศสที่จะ​เปิด​เผย​ในวันที่ 23 ธ.ค. ​เพราะมี​ผู้​ใช้ซิลิ​โคนของพี​ไอพีอยู่ทั่วยุ​โรป ​โดย​เฉพาะ​ในฝรั่ง​เศส คาดว่ามีมากกว่า 30,000 ราย

แนวหน้า  24 ธันวาคม 2554

8226
ตำรวจ ปคบ. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อย.บุกจับคลินิกเสริมความงามชื่อดังกลางเมืองระยอง ลักลอบฉีดยาผิดกฎหมาย พบลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา- พนักงานต้อนรับ ...

วันที่ 22 ธ.ค.  พ.ต.ท.พยม พูลเขตรกิจ สว. กอง 4 กองปราบปรามคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. นำกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่ อย. เข้าตรวจค้นคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.ระยอง หลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนว่า คลินิกดังกล่าวลักลอบฉีดกลูต้าไธโอน โบท็อกซ์ และซิลเลอร์ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนให้กับลูกค้า

พ.ต.ท.พยม กล่าวว่า คลินิกแพทย์พงศ์ศักดิ์ แห่งนี้เป็นสำนักงานใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศจากการตรวจค้นพบสต๊อกยาโบท็อก MIXING WHITE VITACICOL HELIOCARE และยาชนิดอื่นๆยาฉีดทำให้หน้าขาว ยาลดความอ้วน จำนวนมาก จึงได้ตรวจสอบหน่วยงาน อย.ในเบื้องต้นแล้วปรากฏว่ายังไม่ได้จดทะเบียนตำหรับยารวมทั้ง อย.ยังไม่ได้รับรองอาทิ ยาโบท็อกซ์ วีต้าไซโคลฯลฯ มีจำนวนหลายกล่องใหญ่ รวมทั้งเครื่องสำอางอีก 12 รายการ อาทิ ครีมปรับสภาพผิวหน้าใส ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมแก้ไขรอยหลุม จากหลักฐานการจดขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลแห่งนี้คือ นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี จึงได้ตรวจยึดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้เรียกนายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ไปสอบสวนปากคำ ในเบื้องต้น ได้ตั้งข้อหาขายยาโดยไม่ขึ้นทะเบียนตำหรับยา รวมทั้งเครื่องสำอางค์ติดฉลากยาภาษาไทยไม่ถูกต้อง ขณะตรวจค้นนายแพทย์พงศ์ศักดิ์ไม่อยู่ มีแต่พนักงานเท่านั้น

พ.ต.ท.พยม กล่าวว่า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเครื่องมือแพทย์ พวกเครื่องเลเซอร์ เครื่องนวดหน้าฯลฯ ซี่งเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมใบหน้า ที่ไม่มีเอกสารกำกับอีกจำนวนหลายเครื่อง จึงตรวจยึดและอายัดไว้เพื่อตรวจสอบกับทางกองเครื่องมือแพทย์และให้เจ้าของนำหลักฐานมาแสดง อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นหาหลักฐานอยู่นั้น ได้มีลูกค้าของคลินิกดังกล่าว เข้ามาสอบถามการให้บริการ โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และพนักงานต้อนรับของสถานบันเทิงในพื้นที่ มาใช้บริการ.

ไทยรัฐออนไลน์ 24 ธค 2554

8227
ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ผิดพลาดของรัฐลุกฮือฟ้อง “ยิ่งลักษณ์และพวก” เรียกค่าเสียหายตามความเป็นจริง พร้อมขอศาลสั่งรัฐบาลตั้งกองทุนสวัสดิการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมนำร่อง 2,000 ล้านบาทและให้บริหารจัดการโดยภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
       
       หลังจากสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จัดเสวนาวิกฤตน้ำท่วม 2554 : เหตุสุดวิสัยหรือไร้ฝีมือขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนที่เดือดร้อนจากความผิดพลาดล้มเหลวในการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลเป็นจำนวนมาก โดยมีประชาชนแสดงความจำนงยื่นฟ้องรัฐเพื่อเรียกค่าเสียหายอย่างล้นหลาม ซึ่งทางสมาคมฯ ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานและมอบอำนาจให้นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554
       
       นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ซึ่งรับมอบอำนาจ จากสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และชาวบ้านพื้นที่ต่างๆ รวม 352 คน ได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ( ศปภ.), นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย, นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน, อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ, อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ, อธิบดีกรมโยธาและผังเมือง, ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องที่ 1-11 ต่อแผนกคดีสิ่งแวดล้อมศาลปกครองกลาง เรื่องเป็นหน่วยทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการละเมิด
       
       ตามคำฟ้องระบุว่า ผู้ถูกฟ้อง กระทำการละเมิดที่มีลักษณะความผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการบริหารจัดการน้ำ จนก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องเพิกเฉย ไร้ประสิทธิภาพ และประมาทเลินเล่อในการบริหารจัดการน้ำตามอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
       
       โดยเริ่มตั้งแต่มีมวลน้ำปริมาณมากท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ไล่มายังภาคเหนือตอนล่าง จนถึงภาคกลางหลายจังหวัด กระทั่งมาถึง กทม.และปริมณฑล แต่ผู้ถูกฟ้องก็ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ ที่จะดำเนินการใด ๆ จัดการป้องกันและแก้ปัญหาให้ลุล่วง แต่กลับบริหารจัดการผิดพลาดสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชน อันเป็นการกระทบสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ฯ ปี 2550 อาทิ การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 3-5 ไม่ชะลอน้ำในทุ่งในช่วงแรกโดยอ้างว่าเพื่อต้องการให้น้ำเข้าขังในพื้นที่นาข้าว ใน จ.สุพรรณบุรี ได้เก็บเกี่ยวก่อน
       
       นอกจากนี้ การวิเคราะห์ปริมาณน้ำที่ผิดพลาดของหน่วยงาน ปล่อยให้มีการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี-สระบุรี ที่มากเกินควรตามคำรับสารภาพของผู้ถูกฟ้องที่ 3 ต่อรัฐสภา ที่หวังว่าจะเก็บกักน้ำเพื่อสนับสนุน นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล จนเกินศักยภาพของเขื่อนที่จะรับได้
       
       ขณะที่การตั้ง ศปภ.ตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ควรที่จะตั้งบุคคลทีมีความรู้ ความสามารถที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารจัดการน้ำ มาเป็นผู้อำนวยการ แต่กลับตั้ง รมว.ยุติธรรม ที่มีประสบการณ์แค่เฉพาะงานสืบสวนหรือปราบปรามงานตำรวจ และผู้ถูกฟ้องที่ 1 ไม่เลือกใช้ รมว.มหาดไทย ที่น่าจะเป็นบุคคลที่ตรงกับสายงานบังคับบัญชาและการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
       
       การกระทำของผู้ถูกฟ้องที่ 1 จึงสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาและความสามารถในเชิงบริหารจัดการ ขณะที่การแจกจ่ายสิ่งของ อาการ น้ำดื่มและอุปกรณ์ยังชีพก็ไม่ทั่วถึง ไม่เป็นระบบซึ่งมีการกั๊กไว้เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล
       
       นอกจากนี้ การออกคำสั่งก่อตั้งผนังกั้นน้ำ หรือบิ๊กแบ็ก (Big Bag ) เพื่อป้องกันพื้นที่ กทม.ยังเป็นต้นเหตุทำให้น้ำนิ่งไม่ไหลเวียน น้ำเน่าเสียเกิดมลพิษ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความขัดแย้งกันเอง อีกทั้งยังเป็นขัดขวางทางสาธารณะสัญจรของประชาชน ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ประกอบกับยังปล่อยให้นักการเมือง เข้ามาก้าวก่ายอำนาจบริหารจัดการน้ำ โดย อธิบดี ปภ.ผู้ถูกฟ้องที่ 6 ในฐานะ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ หรือ กปภ.ช. ไม่ได้เสนอผู้ถูกฟ้องที่ 1 หรือที่ 4 นำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารรภัยแห่งชาติมาปฏิบัติ จึงถือว่าละเลยต่อหน้าที่
       
       เช่นเดียวกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ผู้ถูกฟ้องที่ 7 ที่ไม่ได้ใส่ใจนำแผนปฏิบัติการบริหารทรัพยากรน้ำที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. มาปฏิบัติ รวมทั้งการทำและรักษาพื้นที่ที่เป็น ฟลัดเวย์ หรือทางด่วนระบายน้ำ แล้วเมื่อน้ำท่วมทำให้เกิดมลพิษน้ำเน่าเสียในชุมชนต่างๆ หน่วยงานของกรมควบคุมมลพิษ ผู้ถูกฟ้องที่ 8 ไม่มีมาตรการ การบำบัดฟื้นฟู
       
       ขณะที่อธิบดีกรมโยธาและผังเมือง ผู้ถูกฟ้องที่ 9 ไม่ใส่ใจบังคับใช้กฎหมาย ปล่อยให้มีการถมถนนสูง ทำให้พื้นที่ปกติทั่วไปกลายเป็นแอ่งน้ำ น้ำท่วมขังไม่สามารถระบายออกได้ง่าย และในการแจ้งเตือนเกี่ยวกับมวลน้ำที่จะเคลื่อนไปท่วมในพื้นที่ใดบ้าง ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย จากหน่วยงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องที่ 10
       
       ส่วนผู้ว่า ฯ กทม. ผู้ถูกฟ้องที่ 11 ในการบริหารปัญหาน้ำท่วมทำแต่การปกป้องพื้นที่ขอ งกทม. เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้มองภาพรวมของพื้นที่ใกล้เคียง ใน จ.ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา
       
       ผู้ฟ้องจึงขอให้ศาล มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง ร่วมกันรับผิดชอบ โดยจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ฟ้องตามความเป็นจริงทุกคน ตมบัญชีเสียหายที่แนบมาท้ายฟ้อง และให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง กำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรม แก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ - ไกล ภายใต้กรอบการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และประชาสังคมโดยให้ดำเนินเสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง รวมทั้ง ให้นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1 สั่งการให้คณะรัฐมนตรี ( ครม.) จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณปีละ ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทและเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 % ของอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งให้บริหารจัดการโดยภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
       
       ศาลรับคำฟ้อง คดีหมายเลข ส.401/2554 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะประทับรับฟ้องเพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่
       
       ก่อนหน้านี้ นายศรีสุวรรณ เปิดเผยว่า มีชาวบ้านได้ทยอยส่งเอกสารหนังสือมอบอำนาจให้สมาคมฯเป็นผู้แทนคดีในการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อเรียกค่าชดเชยจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวบ้านแต่ละรายเรียกค่าเสียหายตั้งแต่หลักแสน ไปจนถึงหลักล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าเงินเยียวยาที่รัฐบาลจ่ายให้ประชาชนครัวเรือนละ 5,000 บาท เป็นเพียงแค่เศษเงินที่รัฐบาลแสร้งเอามาช่วยเหลือชาวบ้านแบบสงเคราะห์เท่านั้น เพราะเงินดังกล่าวแค่ซื้อประตูบ้านบานเดียวก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว ถือว่าเป็นการดูถูกดูแคลนประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
       
       นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ระบุว่า การฟ้องร้องรัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องถือว่าเป็นการต่อสู้กับอำนาจรัฐโดยตรง ที่มีบุคลากร ข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบด้าน หากประชาชนไปฟ้องร้องรัฐต่อศาลเพียงลำพังก็ยากที่จะต่อสู้ทางคดีกับเหล่าผู้ถืออำนาจรัฐดังกล่าวได้
       
       สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงได้เตรียมคณะทำงานที่เป็นทนายความที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำคดีปกครองและสิ่งแวดล้อมที่ช่ำชองมาร่วมกันต่อสู้ทางคดีให้กับประชาชน ซึ่งประกอบด้วย นายวรินทร์ เทียมจรัส อดีตวุฒิสมาชิก, นายกมล ศรีสวัสดิ์, นายผดุงศักดิ์ เทียนไพโรจน์, นายจักรกฤษณ์ วิไลสมสกุล, นายชัยย์วัณฎ์รัฏฐ์ ไพศาล, นายธนวัฒน์ ตาสัก, นายอนันต์ อมรธรรมวุฒิ, นายโชคชัย แสงอรุณ, นายเทวฤทธิ์ โชติเจริญพร, นายปราโมทย์คริษฐ ธรรมคุณากร และนายสนิท นรฮีม เป็นต้น
       
       “คดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ครั้งแรกของโลก ที่ประชาชนลุกขึ้นมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐในคดีที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยให้มีน้ำท่วมที่ผิดพลาด และหลังจากนี้สมาคมจะเดินสายไปให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชนและต่างจังหวัดพร้อมตั้งโต๊ะรับฟ้องคดีแทนประชาชนในเรื่องน้ำท่วมต่อไปไม่หยุด” นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ธันวาคม 2554

8228
"ผู้พันเบิร์ด" เผยบริจาคร่างกายให้สภากาชาดไทย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง พร้อมชักชวนคนไทยละทิ้งความเชื่อเกิดมาจะไม่ครบ 32 บอกยิ่งให้ยิ่งมีครบ ส่วน “นเรศวร5” ถ่ายใกล้เสร็จแล้ว ปีหน้าได้ดูแน่นอน
       
       เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงในการลงพื้นที่ช่วยเหลือน้ำท่วมในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา จนประชาชนคนไทยต่างยกนิ้วให้ในความเสียสละ ล่าสุด "ผู้พันเบิร์ด พันโท วันชนะ สวัสดี" ยังตัดสินใจบริจาคร่างกาย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในโครงการ "ให้...ด้วยหัวใจ" ร่วมบริจาคอวัยวะถวายเป็นพระราชกุศล 84 พรรษาฯ ของสภากาชาดไทย ซึ่งผู้พันหัวใจหล่อได้เผยถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตครั้งนี้ว่า…
       
       "ผมบริจาคทุกส่วนของร่ายกายครับ สมมติว่าผมเกิดตายไปแล้วร่างกายครบอยู่ก็ใช้ได้อยู่ แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุ อะไรที่เหลืออยู่ก็ใช้ได้ครับ ก่อนหน้านี้เราได้บริจาคมาแต่ไม่มีหลักฐานตายตัว แต่ครั้งนี้เป็นหลักเป็นการที่สุด คือมีใบด้วย ครั้งนี้ครั้งแรก รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ได้คุยกับเพื่อนหลายๆ คนที่มีประสบการณ์ ตัวเขาเองหรือคนในครอบครัวเคยได้รับการบริจาค แต่ต่อไปนี้ต่อให้คุณไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมอะไรมาเลยก็มาบริจาคได้เลยครับ เพียงแค่นำอวัยวะของท่านมาที่นี่ มาด้วยใจ มาบริจาคได้เลยครับ"
       
       "หลายคนเชื่อว่าหากบริจาคอวัยวะในชาตินี้ ชาติหน้าจะมีไม่ครบ ผมอยากจะบอกว่าการบริจาคอวัยวะก็เหมือนกับเป็นการให้ความรู้ ความรู้ยิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่ม การบริจาคอวัยวะยิ่งให้ก็ยิ่งครบ ในขณะเดียวกันอาจจะมีมากกว่าเดิมด้วย เพราะฉะนั้นอย่าได้ลังเลใจ มาเลยครับ"
       
       พร้อมกันนี้ผู้พันเบิร์ดได้เผยถึงความคืบหน้าของภาพยนตร์เรื่องนเรศวร ภาค5 ว่าตอนนี้ถ่ายใกล้เสร็จแล้ว ได้ฤกษ์ลงฉายวันจักรีหรือไม่ก็วันฉัตรมงคลปีหน้า
       
       "นเรศวรคิดว่ากุมภาพันธ์น่าจะถ่ายเสร็จแล้ว ตอนนี้ได้คุยขั้นต้นไว้คือวันที่ 5 เมษายน วันจักรี นั่นคือวันที่เราอยากจะให้ลงโรงภาพยนตร์ แต่ถ้าเมษายนไม่ทัน ผมคิดว่าน่าจะเป็นฉัตรมงคล คือพฤษภาคม ภาคสุดท้ายแล้วครับ ยุทธหัตถี 8 ปีสำหรับการฉาย 10 ปีสำหรับการถ่ายทำครับ ตอนนี้ไม่ได้ติดขัดอะไร เหลือการทำซีจีเพราะมีเยอะมาก ต่างประเทศเองก็คอยเพราะไม่เคยเห็นฉากช้างรบกัน เขาอาจจะเห็นฉากม้า ฉากสู้ทางเรือ แต่ช้างรบกันคือที่นี่ครับ"
       
       "บางส่วนก็ต้องมีถ่ายซ่อมด้วย ตอนนี้ที่ผมถ่ายไปแล้วคือตอนท้าวมหาอุปราชายืนอยู่ใต้ต้นข่อย ยืนท้ากันอยู่บนหลังช้างด้วย เหลือตอนช้างชนอย่างเดียว ที่ผ่านมาน้ำท่วม ทหารก็ไปช่วยน้ำท่วมแถวบางแค ก็เลยขาดทหารในฉากใหญ่ๆไป ต้องรอทหาร ตอนนี้ทหารปลด ก็เลยต้องรอทหารใหม่กลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังปีใหม่ แต่ตอนนี้ก็ยังถ่ายอยู่ ก็คาดว่าจะได้ชมกันเมษายนหรือพฤษภาคมนี่แหละครับ"
       
       ส่วนเรื่องทายาทก็ยังต้องลุ้นต่อไปหลังจากพยายามมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้หันหน้าปรึกษาแพทย์แล้ว
       
       "ตอนนี้คือ.. สงสัยจะไม่ตรงจุดพอดี ก็พยายามอยู่ วันเวลาไม่ค่อยตรง ผมคิดว่าตอนนี้เริ่มปรึกษาหมอแล้วครับ แล้วก็ไปตรวจจำนวนวันตกไข่ว่ามีมากน้อยแค่ไหน แล้วก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมอบอกลุ้นมากเกินไม่ดี เพราะว่าจะซีเรียสเกินไป หลายเป็นเรื่องที่ต้องทำตามหน้าที่ เรียกว่าปล่อยมันไปตามอารมณ์ ถ้าเทียบระหว่างผมกับแฟน เขาเครียดมากกว่าผม ผมปล่อยตามธรรมชาติ แต่เขาอยากมีลูก ก็คิดไว้ครับว่าคนโตอยากเป็นผู้ชาย คนเล็กอยากเป็นผู้หญิง ก็ลุ้นกันต่อไปครับ"

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2554

8229
บริษัทวิจัยตลาดออนไลน์ StatCounter เผยข้อมูลการสำรวจล่าสุดบนโลกออนไลน์ พบโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ของกูเกิล (Google) มีสัดส่วนการใช้งานแซงหน้าโปรแกรมของมอสซิลลา (Mozilla) แล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า "โครม (Chrome)" ของกูเกิลมีสัดส่วนตลาดโลก 25.69% ขณะที่ "ไฟร์ฟ็อกซ์ (Firefox)" ของมอสซิลลามีส่วนแบ่งน้อยกว่าเล็กน้อย 25.23%
       
       อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก StatCounter ไม่ตรงกับข้อมูลของบริษัทวิจัยรายอื่น เนื่องจากบริษัทวิจัย Net Applications ชี้ว่าโครมมีสัดส่วนการใช้งาน 18.2% เท่านั้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ไฟร์ฟ็อกซ์มีส่วนแบ่ง 22.1%
       
       เช่นเดียวกับสัดส่วนการใช้งานโปรแกรมเปิดเว็บไซต์อันดับ 1 ของโลกอย่าง "ไออี (Internet Explorer)" ของไมโครซอฟท์ที่บริษัทวิจัยแต่ละรายให้ข้อมูลไม่ตรงกัน โดย StatCounter รายงานว่าไออีมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จคิดเป็นสัดส่วน 40.63% แต่ Net Applications ระบุว่าคิดเป็นสัดส่วน 52.6% ซึ่งคงที่กับสถิติในเดือนตุลาคม
       
       แม้รูปแบบการเก็บข้อมูลของแต่ละบริษัทที่ต่างกันจะทำให้ข้อมูลสถิติการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์จากทั้ง 2 บริษัทวิจัยไม่ตรงกัน แต่แนวโน้มที่ชัดเจนคือการเติบโตของโครมนั้นเกิดขึ้นบนตลาดที่เคยเป็นของไฟร์ฟ็อกซ์มาก่อน โดย StatCounter ชี้ว่าโครมสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 10.84 จุด ในช่วง 12 ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอัปเดทโครมเวอร์ชันใหม่ทุก 6 สัปดาห์หรือทุก 1 เดือนครึ่งนับตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2010
       
       สำหรับประเทศไทย โครมนั้นถูกคนไทยใช้งานมากกว่าไฟร์ฟ็อกซ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากทรูฮิตส์ (truehits.net) พบว่าสัดส่วนการใช้โครมนั้นมีราว 22% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ไฟร์ฟ็อกซ์มีอยู่ 14.95%
       
       ข้อมูลจากทรูฮิตส์พบว่า ไออียังเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยมของคนไทย เพราะมีสัดส่วนการใช้งานรวมกันทั้งเวอร์ชัน 6-8 รวมแล้วมากกว่า 48% นำห่าง "ซาฟารี (Safari)" เบราว์เซอร์อันดับ 4 ของไทยที่มีสัดส่วนใช้งาน 5.48% ในเดือนที่ผ่านมา
       
       สัดส่วนการใช้งานเบราว์เซอร์มากกว่า 5% ของซาฟารีในประเทศไทยนั้นมีนัยสำคัญ เพราะการเติบโตของตลาดไอโฟน-ไอแพด-ไอพ็อดทัชนั้นส่งผลให้การใช้งานซาฟารีในไทยเพิ่มขึ้นด้วย
       
       เรื่องนี้ Net Applications สรุปว่าซาฟารีสามารถครองสัดส่วน 55% ของการออนไลน์บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตโลก อันดับ 2 คือโอเปรามินิ (Opera Mini) มีสัดส่วนการใช้งาน 20% ขณะที่เบราว์เซอร์ของแอนดรอยด์ครองอันดับ 3 ด้วยสัดส่วน 16.4%
       
       สำหรับมุมมองของ NetApplications เชื่อว่าโครมจะสามารถแซงหน้าไฟร์ฟ็อกซ์ในตลาดโลกได้ในเดือนเมษายนปี 2012 หรืออีกไม่เกิน 5 เดือนข้างหน้า

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ธันวาคม 2554

8230
  เฟซบุ๊ก (Facebook) เครือข่ายสังคมรายใหญ่กลายเป็นเว็บไซต์ที่ถูกชาวอเมริกันค้นหาและเข้าชมมากที่สุดประจำปี 2011 ทุบสถิติเป็นแชมป์ต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
       
       บริษัทวิจัย Experian Hitwise โชว์ผลสำรวจพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลออนไลน์ของชาวอเมริกันประจำปี 2011 พบว่าลิงก์เว็บไซต์ของเฟซบุ๊กนั้นสามารถครอง 4 อันดับจาก 10 อันดับเว็บไซต์ที่ถูกชาวอเมริกันค้นหาและเข้าชมมากที่สุด โดย ‘facebook’, ‘facebook login’, ‘facebook.com’ และ ‘www.facebook.com’ คือคำที่ถูกค้นหามากที่สุดเป็นอันดับ 1, 3, 5 และ 8 ตามลำดับ ทั้งหมดนี้ทำให้คำว่าเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วนกว่า 3.1% ของการค้นหาข้อมูลออนไลน์รวมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ
       
       สัดส่วนการค้นหาเว็บไซต์เฟซบุ๊ก 3.1% ของยอดการค้นหารวม คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับสถิติปี 2010 ที่ผ่านมา โดยตลอดช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายนปี 2011 เฟซบุ๊กถือเป็นเว็บไซต์ที่ถูกเปิดใช้งานมากที่สุดในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการใช้งานถึง 10.29%
       
       นอกจากเฟซบุ๊ก เว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ยอดฮิตอย่างยูทูบ (YouTube) คือเว็บไซต์ที่ถูกค้นหาอันดับ 2 ขณะที่เครกส์ลิสต์ (Craigslist) ครองอันดับ 4 และยาฮู (Yahoo) อันดับ 6 ซึ่งคำว่า Yahoo.com สามารถครองอันดับ 10 ด้วย
       
       นอกนี้ยังมีเว็บไซต์อีเบย์ (eBay) ที่ครองอันดับ 7 และแม็ปเควส (Mapquest) ที่ครองอันดับ 9
       
       ต่อไปนี้คือ 10 เว็บไซต์ที่ถูกค้นหามากที่สุดของ Experian Hitwise
       
       1. Facebook
       2. YouTube
       3. Facebook Login
       4. Craigslist
       5. Facebook.com
       6. Yahoo
       7. eBay
       8. www.facebook.com
       9. Mapquest
       10. Yahoo.com

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2554

8231
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการทำงานประจำปี 2555 แก่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เน้นนโยบาย 16 ข้อ เร่งปฏิบัติตั้งแต่ 1 ม.ค. 55...

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติราชการของกระทรวงสาธารณสุขประจำปีงบประมาณ 2555 แก่ผู้บริหารในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยนายวิทยา กล่าวว่า นโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอนามัยให้ถูกต้อง โดยประสานความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคีที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุงระบบบริการ การสร้างระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการผลิต พัฒนาบุคคล และสร้างขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพทั่วถึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทุกกรมกองในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขต้องวางแผนการทำงานให้สอดรับกับนโยบายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เป็นไปตามที่นโยบายที่แถลงกับรัฐสภา และสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน โดยบุคลากรสาธารณสุขเป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดัน และพัฒนางานสาธารณสุขให้เกิดความสำเร็จเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ 1 มกราคม 2555

สำหรับนโยบายการบริหารงานของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2555 มี 16  ข้อย่อย ประกอบด้วย

1.พัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เช่น โครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงฯ โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว โครงการทูบี นัมเบอร์วัน เป็นต้น

2.เพิ่มคุณภาพระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทั่วถึงเป็นธรรม

3.เร่งรัดมาตรการสร้างสุขภาพโดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราป่วย ตาย และผลกระทบจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

4.เร่งรัดดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพและอาหารปลอดภัย

5.เตรียมความพร้อม พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย การจัดการที่มีประสิทธิผล ทันการ เมื่อเกิดภัยพิบัติ โรคระบาด และภัยสุขภาพ

6.มีการดูแลกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มเด็ก กลุ่มสตรี กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอื่น เช่น แรงงานข้ามชาติ หรือแรงงานเพื่อนบ้าน จัดงบประมาณเข้าไปดูแล

7.สร้างแรงจูงใจและพัฒนาขีดความสามารถของอาสาสมัครสาธารณสุขทุกคน โดยสนับสนุนอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย

8.สร้างแรงจูงใจแก่บุคลากรสาธารณสุขทุกระดับโดยปรับระบบค่าตอบแทนให้เหมาะสมและความก้าวหน้าในวิชาชีพที่เป็นธรรม

9.เพิ่มการลงทุนในระบบบริการทุกระดับ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น มุ่งเน้นการพัฒนาหน่วยบริการปฐมภูมิทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท

10.ส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับ

11.ส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) และระบบโลจิสติกส์ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับบริการสุขภาพโดยรวมของคนไทย

12.สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดบริการสุขภาพ

13.พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพให้มีคุณภาพและบริการข้อมูลสุขภาพ สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ 

14.พัฒนาผลักดันและการบังคับใช้กฎหมายให้เอื้อประโยชน์ต่อการสนับสนุนการดำเนินงานด้านสาธารณสุข

15.จัดตั้งศูนย์บำบัด ฟื้นฟู ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ควบคุม ป้องกันการใช้สารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสารเสพติดชนิดใหม่

16.จัดให้มีการสื่อสารสาธารณะ ด้านสุขภาพเพื่อให้ความรู้กับประชาชนอย่างทั่วถึง

ไทยรัฐออนไลน์ 23 ธค 2554

8232
 สธ.ถอดบทเรียนมหาอุทกภัย 54 พัฒนารูปแบบการรับมือเหตุสาธารณภัยในอนาคต หลังเผชิญภัยน้ำท่วมนาน 4 เดือน พบผู้เจ็บป่วย 2 ล้านราย

       วันนี้ (22 ธ.ค.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาระบบปฏิบัติการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัยด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย (วอร์รูม น้ำท่วม) กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ทำให้หลายหน่วยงานต้องปฏิบัติหน้าที่กันอย่างหนัก ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขด้านการบริการทางการแพทย์ ผลการทำงานพบว่าประชาชนเกิดความพึงพอใจ ไม่เกิดดรคระบาดทั้งในขณะน้ำท่วมและหลังน้ำท่วมและไม่มีคนฆ่าตัวตาย ต้องขอบคุณบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การที่ไม่มีโรคระบาดทำให้ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ทำให้นักท่องเที่ยว เชื่อมั่นว่า สามารถมาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย
       
       นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ทุกๆ ปี ประชากรกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเช่น น้าท่วม พายุไซโคลน แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ ไฟป่า และภัยธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้ภัยธรรมชาติมีผลกระทบรุนแรงขึ้น และซ้ำเติมความยากจนที่มีอยู่ รัฐต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อช่วยเหลือและบูรณะฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายดังกล่าว สำหรับประเทศไทยภัยธรรมชาติที่พบทุกปี คือ พายุหมุนเขตร้อนและอุทกภัย โดยอุทกภัยพบได้ 2ลักษณะ ใหญ่ๆคือน้ำท่วมขัง มักเกิดขึ้นในที่ราบลุ่มแม่น้ำและบริเวณชุมชนเมืองใหญ่ และน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าจากฝนตกหนักในบริเวณพื้นที่ซึ่งมีความชันมากและกักเก็บน้ำได้น้อยมัก เกิดหลังจากฝนตกหนักไม่เกิน6ชั่วโมง และเกิดในบริเวณที่ราบระหว่างหุบเขามีความรุนแรงและรวดเร็วโอกาสป้องกันมีน้อย เกิดความเสียหายมีมากทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
       
       โดยเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 นี้ ซึ่งท่วมนาน 3-4 เดือน กระทรวงฯ ได้ตั้งศูนย์ปฎิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตั้งแต่ 25 กรกฏาคม 2554 มีคณะกรรมการและคณะทำงานต่างๆ ทางด้านวิชาการ บริหารจัดการ 10 คณะ ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 9 ข้อ ได้แก่ 1.การป้องกันสถานที่ 2.การสำรองทรัพยากร เวชภัณฑ์ที่จำเป็น 3.การจัดบริการในสถานที่ 4.การจัดบริการนอกสถานที่ 5.การส่งต่อ/เคลื่อนที่ผู้ป่วย 6.การเตรียมเส้นทางหลัก/สำรองในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 7.เตรียมยานพาหนะ รถยนต์/รถยกสูง เรือ เฮลิคอปเตอร์ และสถานที่รองรับ 8.จัดตั้งศูนย์อพยพ/ศูนย์ช่วยเหลือ 9.การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยเสริมทีมแพทย์จากต่างจังหวัดที่น้ำไม่ท่วม
       
       ผลสรุปในด้านการจัดบริการทางการแพทย์ในพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมด 65จังหวัด ในภาพรวมได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ได้ออกบริการกว่า 10,000 ครั้ง พบผู้เจ็บป่วย2 ล้านกว่าราย มีผู้ประสบภัยที่มีอาการเครียดเสี่ยงฆ่าตัวตายเกือบ 2 หมื่นราย ไม่พบการระบาดของโรคติดต่อที่สำคัญ เช่น โรคไข้ฉี่หนู โรคไข้เลือดออกโรคอุจจาระร่วง ตาแดง ส่วนด้านการฟื้นฟูพื้นที่และการเยียวยา ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่และเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ให้มีความปลอดภัย กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ และ อสม.ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการทั้งในโรงพยาบาล พื้นที่สาธารณะ ตลาดสด ดูแลระบบการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ความสะอาดอาหารและน้ำ รวมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตผู้ประสบภัยโดยจะนำผลสรุปการประชุมครั้งนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2554

8233
สธ.เร่งบำบัดผู้เสพสารเสพติด ตั้งเป้าในปี 2555 บำบัดให้ได้อย่างน้อย 4 แสนคน หลังพบเยาวชนไทยใช้สารเสพติดมากถึง 1.7 ล้านกว่าคน อายุเฉลี่ย 15-17 ปี
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติด ว่า กระทรวงสาธารณสุข จะเร่งสนองยุทธศาสตร์ “พลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติด” ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าแก้ไข ลดความรุนแรงปัญหายาเสพติดให้ได้ภายใน 1 ปี ตั้งเป้าบำบัดผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดทุกประเภทในปี 2555 ให้ได้อย่างน้อย 4 แสนคนทั่วประเทศ โดยขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สามารถให้การบำบัดรักษาได้ทุกที่ และมีระบบการติดตามในชุมชน โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคนทั่วประเทศ เฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในชุมชน และติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดรักษาแล้ว ป้องกันการหันไปเสพยาซ้ำอีก เป็นการคืนลูกหลานสู่ครอบครัวที่มีความสุข ขณะเดียวกัน ให้ อย.ควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่นำมาใช้ในการผลิตยาเสพติดอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะตามแนวชายแดน พร้อมทั้งสร้างภูมิต้านทานให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงในโครงการทูบี นัมเบอร์วันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเสพยาเสพติด เพื่อลดนักเสพหน้าใหม่
       
       นายวิทยา กล่าวว่า จากผลการศึกษาของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ในกลุ่มเยาวชนอายุ 12-24 ปี ทั้งอยู่ในระบบและนอกระบบการศึกษา จำนวน 12 ล้านกว่าคน ในพื้นที่ 17 จังหวัด ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม-14 กันยายน 2554 พบว่า มีเด็กและเยาวชนใช้สารเสพติด ซึ่งไม่นับรวมเหล้าบุหรี่ จำนวน 1,715,447 คน ยาเสพติดที่ใช้มากที่สุด อันดับ 1 ได้แก่กัญชา อันดับ 2 คือยาบ้า และอันดับ 3 ยาไอซ์ อายุเฉลี่ยที่เสพอยู่ในช่วง 15-17 ปี โดยเฉพาะยาบ้าพบว่าเริ่มเสพยาบ้าครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 7 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก จะต้องเร่งดำเนินการป้องกัน เพื่อไม่ให้เยาวชนตกเป็นทาสยาบ้า สมองถูกยาเสพติดทำลาย
       
       นว.ตรี บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สารเสพติด จะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสพ ทำให้ผู้เสพมีลักษณะและความประพฤติเปลี่ยนไปจากเดิม มีข้อสังเกตง่ายๆ 10 ประการ ได้แก่ 1.การใช้เงินสิ้นเปลือง 2.พบอุปกรณ์การเสพ อาจพบบุหรี่รอยยับและมักเก็บไว้ต่างหาก หรือพบกระดาษฟอยล์ ไฟแช็ก 3.มีนิสัยโกหก เช่น เสพยาในห้องน้ำนานแต่โกหกว่าท้องผูก โกหกว่าเครื่องประดับหาย เป็นต้น 4.มีนิสัยลักขโมย 5.มีนิสัยเกียจคร้านไม่รับผิดชอบ เนื่องจากหลังเสพยาแล้ว ผู้เสพจะมีอาการเมายา ทำให้ลดความตั้งใจและลดพฤติกรรมต่างๆ ลง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว 6.ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย เพราะขณะอยู่ในอาการเมายาจะไม่มีรู้สึกอยากอาหาร หรือต้องการเก็บเงินไว้ซื้อยา 7.ขาดความรับผิดชอบ สกปรก 8.อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง 9.เก็บตัว ไม่สุงสิงกับคนอื่น ไม่รับรู้ปัญหาภายในบ้าน ใช้ห้องน้ำนาน 10.ติดต่อกับคนแปลกหน้า ส่วนใหญ่เป็นผู้เสพยาเสพติดเหมือนกัน หากพบว่าสมาชิกในครอบครัวมีอาการดังกล่าวข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ขอให้โทร.ปรึกษาได้ที่สถาบันธัญญรักษ์หมายเลข 1165 ตลอด 24 ชั่วโมง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2554

8234
 สปส.ทุ่มงบลงทุนต่างประเทศ 6 พันล้าน หวังฟันกำไรตลอดปี 55 กว่า 3.4 หมื่นล้านโปะเงินกองทุนหดกว่า 1.6 หมื่นล้านจากลดเงินสมทบ โชว์กำไร 20 ปีกว่า 2.2 แสนล้าน เล็งเพิ่มสิทธิผู้ประกันตนมาตรา 40 นำร่องบัตรใบเดียวรักษาได้ทุก รพ.ต้นปีหน้า

   
       วันนี้ (22 ธ.ค.) นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวในการแถลงข่าวผลการดำเนินงานในปีที่ผ่าน และนโยบายประกันสังคมในปี 2555 ที่ สปส.ว่า ปัจจุบันมีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมกว่า 10.4 ล้านคน มีสถานประกอบการที่ต้องส่งเงินสมทบกว่า 4 แสนแห่ง มียอดเงินกองทุนประกันสังคมรวมทั้งสิ้น 846,544 ล้าน บาท ทั้งนี้ จากมติ ครม.ล่าสุดที่ให้ลดเงินสมทบทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างในปีหน้ารวมร้อยละ 3 ตลอดทั้งปี เพื่อเยียวยาลูกจ้างและนายจ้างที่ประสบภัยน้ำท่วม ทำให้ยอดเงินสมทบหายไป 16,700 ล้านบาท ทั้งนี้ สปส.จะเร่งลงทุนเพื่อให้เกิดผลกำไรมาชดเชยเงินที่หายไปในส่วนนี้
       
       ขณะเดียวกัน ในปี 2557 มีการคาดการณ์ว่าเงินจะไหลออกจากกองทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเริ่มมีการจ่ายเงินบำนาญชราภาพ และหลังจากนั้นภายใน 6 ปี เงินไหลเข้า-ออกกองทุนจะอยู่ในระดับที่เท่ากัน ทำให้เงินสะสมของกองทุน สปส.ในอนาคตที่คาดว่าจะมีจำนวน 1.1 ล้านล้านบาทจะเหลือศูนย์บาททันที เพราะฉะนั้นสปส.จำเป็นต้องนำเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร เพื่อความมั่นคงของกองทุน
       
       นายจีรศักดิ์กล่าวถึงแผนการลงทุนในปีหน้าว่า สปส.แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ ในประเทศและต่างประเทศ โดยจะลงทุนใน 2 ลักษณะ คือ

1.การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนคิดเป็น 80% เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล-รัฐวิสาหกิจ และหุ้นกู้เอกชน
2.การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนคิดเป็น 20% เช่น ตราสารหนี้ หุ้นสามัญ และหน่วยลงทุน เป็นต้น

ซึ่งในปีที่ผ่านมา สปส.สามารถสร้างผลกำไรกว่า 27,462 ล้านบาท (ม.ค.-ก.ย.54) คาดว่าผลตอบแทนตลอดทั้งปี 54 จะมากกว่า 34,000 ล้านบาท ส่วนผลกำไรในภาพรวมของกองทุน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 20 ปีคิดเป็น 35% เป็นเงิน 226,497 ล้านบาท นอกจากนี้ การลงทุนในส่วนของกองทุนเงินทดแทน ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 33,115 ล้านบาท ได้กำไรคิดเป็น 65% เป็นเงิน 931 ล้านบาท คาดตลอดทั้งปีจะได้กำไรมากกว่า 1,200 ล้านบาท
       
       เลขาธิการ สปส.กล่าวต่อไปว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 สปส.เตรียมนำเงินลงทุนในต่างประเทศกว่า 6 พันล้านบาท จากเงินลงทุนในต่างประเทศที่เตรียมไว้ทั้งหมดกว่า 1,800 ล้านบาทโดยเน้นการลงทุนตราสารหนี้ ตราสารทุน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงและมีปัจจัยพื้นฐานดีในระดับเอ (A) ขึ้นไปจนถึงทริปเปิลเอ (AAA) ในประเทศที่มีไม่มีปัญหาหนี้สิน เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน นอร์เวย์ ซึ่งไม่ได้ประเทศใดประเทศหนึ่งจะกระจายไปทั่วโลกโดยเลือกประเทศที่มีปัญหาหนี้น้อยที่สุด
       
       “ผมมั่นใจจากแผนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะนำเงินมาทดแทนเงินกองทุนประกันสังคมที่หายไปจากการลดเงินสมทบได้ไม่ยาก เนื่องจากเรามีหุ้นที่สามารถทำรายได้ประจำอยู่แล้ว” เลขาธิการ สปส.กล่าว
       
       นายจีรศกดิ์กล่าวด้วว่า นอกจากนี้ ในปีหน้าสปส.ยังมีแผนงานที่จะพัฒนาระบบประกันสังคม ในภารกิจหลักๆ ได้แก่ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ควบคู่กับการสร้างเสถียรภาพการลงทุน เช่น การปรับรูปแบบการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล บัตร 1 ใบใช้ได้ทุกโรงพยาบาล โดยคาดว่าผู้ประกันตนจะเริ่มใช้ระบบนี้ได้ในช่วงกลางปีหน้า โดยจะเริ่มจากการแบ่งกลุ่มโรงพยาบาลออกเป็น กลุ่มโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มโรงพยาบาลสังกัด กทม. โรงพยาบาลตำรวจ และกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขาในจังหวัดต่างๆโดยคาดว่าจะเริ่มได้ในกลางปี 2555 ส่วนระยะยาวจะขยายให้ผู้ประกันตนสามารถเข้าได้ในโรงพยาบาลทุกแห่งที่เป็นคู่สัญญากับประกันสังคม รวม ทั้งเตรียมศึกษาการเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบโดยคาดว่าจะเพิ่มในส่วนของการบริการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย และเงินสงเคราะห์บุตร จากเดิมที่มีสิทธิประโยชน์ 4 กรณี ได้แก่ เงินชดเชยการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ กรณีทุพพลภาพ กรณีตายและบำเหน็จชราภาพ และขยายไปกลุ่มเป้าหมายไปยังแรงงานภาคเกษตรและผู้รับงานไปงานไปทำที่บ้าน ให้ได้ 1.2 ล้านคนภายในเดือนกันยายน 2555 จากปัจจุบันมีอยู่ 5.8 แสนคน
       
       นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ทั้งช่องทางการการส่งเงินสมทบ การจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไปบริการในห้างสรรพสินค้าต่างๆ อีกทั้ง สปส. ยังมีภารกิจสนับสนุนการมีงานและการปรับค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับเม็ดเงินที่จะเริ่มไหลออกจากกองทุนชราภาพในปี 2557 ซึ่งได้ศึกษาไว้ในหลายรูปแบบ เช่น การขยายระยะเวลาการเกษียณอายุของผู้ประกันตนจาก 55 ปี เป็น 60 ปี หรือ 62 ปี การเพิ่มอัตราการส่งเงินสมทบ หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการคำนวณจ่ายสิทธิ์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2554

8235
 ปี 55 สปสช.จัดงบ 365 ล้านบาท สนับสนุนบริการแพทย์แผนไทยทั่วประเทศ เน้นการนวด ประคบ อบ ฟื้นฟูสุขภาพมารดาหลังคลอด และส่งเสริมใช้ยาสมุนไพรพร้อมนำร่องจับมือกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยฯ เปิดคลินิกแพทย์แผนไทยในศูนย์ราชการ หนุนงบ 2 ล้านบาทใน 3 ปี
   
       วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล กรุงเทพมหานคร มีพิธีลงนามระหว่าง นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และนพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ รองเลขาธิการสปสช. เพื่อความร่วมมือการจัดหน่วยบริการแพทย์แผนไทยในพื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นั้นโดยมีเป้าหมายให้การรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมและป้องกันโรคด้วยการแพทย์แผนไทย เพื่อบริการข้าราชการและประชาชนในศูนย์ราชการและพื้นที่ใกล้เคียง
       
       นพ.วีระวัฒน์ กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองค่าบริการทางการแพทย์แผนไทย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งบริการแพทย์แผนไทยที่ได้รับความคุ้มครอง คือ การตรวจและการวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเริ่มมีมติให้จัดเป็นงบเฉพาะซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2550 เป็นปีแรก ในอัตรา 0.50 บาทต่อประชากร และในปีงบประมาณ 2555 นั้น ได้รับงบประมาณ 7.57 บาทต่อประชากร ซึ่งได้รับเพิ่มมากขึ้น เป็นจำนวนรวม 365 ล้านบาท เน้นบริการนวด ประคบ อบ ฟื้นฟูสุขภาพมารดาหลังคลอด ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร สนับสนุนและส่งเสริมระบบบริการแพทย์แผนไทย เพื่อส่งเสริมบริการนวดไทย
       
       อย่างไรก็ตาม การให้บริการยังเน้นในเรื่องการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้พิการที่บ้าน โดยจัดสรรให้หน่วยบริการภายหลังให้บริการผู้ป่วย และลงข้อมูลผ่านโปรแกรมแพทย์แผนไทยของสปสช.แล้ว รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอื่นๆ ในการพัฒนานำร่องระบบการบริหารและการบริการแพทย์แผนไทย ซึ่งการลงนามร่วมกับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อจัดบริการแพทย์แผนไทยในอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดบริการให้กับกลุ่มเป้ามาย โดย สปสช.จะร่วมจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการภายใน 3 ปี เพื่อส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
       
       ด้าน นพ. สุพรรณ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ และ สปสช.จะร่วมมือกันจัดตั้งหน่วยบริการการแพทย์แผนไทย ในพื้นที่อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นสถานพยาบาลสำหรับการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมและป้องกันโรคด้วยการแพทย์แผนไทย เพื่อบริการข้าราชการและประชาชนในศูนย์ราชการและพื้นที่ใกล้เคียง โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จะดำเนินการจัดตั้งหน่วยบริการและจัดให้มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย จ่ายยาสมุนไพร การนวดไทยเพื่อรักษาและฟื้นฟู การนวดไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ การอบและประคบสมุนไพร การดูแลมารดาหลังคลอด โดยผู้ประกอบวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย/ไทยประยุกต์ การออกใบรับรองการรักษา เพื่อประกอบการเบิกจ่าย นอกจากงานบริการดังกล่าวแล้วยังดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงระบบบริการให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2554

หน้า: 1 ... 547 548 [549] 550 551 ... 648