แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 537
5716
รมว.สธ.มอบ สปสช.เร่งพัฒนาข้อมูล อปท.ร่วมกันเพื่อขยายความครอบคลุมการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินและสวัสดิการรักษาพยาบาล ให้กับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น คาด สรุปผลได้ภายใน 3 เดือน ด้านนายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย ชี้ ท้องถิ่นจะได้รับการดูแลด้านรักษาพยาบาลเพื่อคนท้องถิ่น
       
       เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม เรื่อง รับฟังความคิดเห็นต่อการขยายความครอบคลุมการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และการคุ้มครองความมั่นคงสิทธิด้านการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น
       
       นายวิทยา กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสร้างความเสมอภาคของ 3 กองทุน โดยเริ่มที่บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งให้ความคุ้มครองกับสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ยังไม่สามารถดำเนินการครอบคลุมข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นจำนวนกว่า 400,000 คนได้ อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันท้องถิ่นประสบปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะโรคค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากท้องถิ่นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีกฎหมายและระเบียบเฉพาะรวมทั้งการเบิกจ่ายค่ารักษาแยกส่วนแต่ละองค์กร และแตกต่างจาก 3 กองทุน จากประเด็นนี้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้นโยบายสร้างความเสมอภาค 3 กองทุนคุ้มครองทุกคนอย่างแท้จริง ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกคนทุกสิทธิ
       
       รมว.สธ.กล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ไขนั้น ในส่วนของการเพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และรวมถึงบริการสาธารณสุขอื่นๆที่จะมีการบูรณาการต่อไปตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้ครอบคลุมข้าราชการและพนักงาน อปท.ให้ได้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เรื่อง ขอบเขตของสิทธิรับบริการสาธารณสุขของบุคคลที่กำหนดขึ้นสำหรับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งบิดา มารดา คู่สมรส บุตร หรือบุคคลอื่นใดที่ได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลโดยอาศัยสิทธิของบุคคลจากหน่วยงานข้างต้น โดยให้คณะกรรมการมีหน้าที่จัดการให้บุคคลดังกล่าวสามารถได้รับบริการสาธารณสุขตามที่ได้ตกลงกัน การให้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ.นี้ได้เมื่อใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้เป็นไปตามที่เจรจาตกลงร่วมกัน
       
       ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า มีความเห็นร่วมกันตั้งกองทุนดูแลสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น โดยมีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาภายใต้มาตรา 9 ของพรบ.หลักประกันสุขภาพฯ ซึ่งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้กองทุนสวัสดิการนี้ เป็นการเห็นชอบร่วมกันระหว่างท้องถิ่น และ สปสช.ซึ่งจะคล้ายกับ 3 กองทุนโดยงบประมาณกองทุนจะมาจากการขอกันเงินที่จ่ายอุดหนุนประจำปีให้ อปท.ทุกแห่ง เพื่อใช้เป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ/ท้องถิ่น รวมทั้งจะมีการตั้งคณะทำงานประกอบด้วยท้องถิ่นทุกฝ่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นเพื่อจัดทำรายละเอียดสิทธิประโยชน์ ร่างเป็นพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ จะได้นำข้อสรุปที่ได้ในการประชุมครั้งนี้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป ขณะเดียวกัน สปสช.เตรียมยกร่างสิทธิประโยชน์และแผนบูรณาการร่วมกัน ในเรื่องความมั่นคงสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น เสนอให้คณะทำงานพิจารณาออกเป็นพระราชกฤษฎีกาภายใน 3 เดือนนี้
       
       ด้าน นายสรณะ เทพเนาว์ นายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับการที่ท้องถิ่นจะได้รับการดูแลทางด้านสวัสดิการรักษาพยาบาล เพราะสมาคมได้ให้ความสำคัญกับการดูแลทางด้านรักษาพยาบาลเนื่องจากได้รับการร้องเรียนสิทธิต่างๆ จากพนักงานมาตลอด โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งจากข้อสรุปในเบื้องต้นในครั้งนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพของคนไทยเพื่อให้เกิดการบูรณาการของประชาชนทุกคนต่อไป
       
       ทั้งนี้ ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายสรณะ เทพเนาว์ นายกสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย และ นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย นายวิจารณ์ กุลชนะรัตน์ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี นายกสมาคมข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย นางบุณยรัตน์ สุขจิตต์ ตัวแทนนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสมาคมข้าราชการและพนักงานจ้างท้องถิ่นแห่งประเทศไทย สมาคมข้าราชการส่วนตำบลและเทศบาล ตัวแทนสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมลูกจ้างประจำองค์การบริหารจังหวัดแห่งประเทศไทย เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์   3 กรกฎาคม 2555

5717
เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ผู้เชี่ยวชาญยืนยันค้นพบ “แมลงวันสายพันธุ์ใหม่” ของโลกในประเทศไทย ชี้เป็นแมลงวันที่มีขนาด “เล็กที่สุด” เท่าที่เคยมีการค้นพบบนโลกใบนี้
       
       รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุว่า แมลงวันที่มีขนาดเล็กที่สุดของโลกได้ถูกค้นพบแล้วในประเทศไทย โดยขนาดของเจ้าแมลงวันสายพันธุ์ไทยนี้เล็กกว่าแมลงวันผลไม้ทั่วไปถึง 5 เท่า และมีขนาดเล็กกว่าเม็ดเกลือหรือพริกไทยเสียอีก นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่า ขนาดของแมลงวันชนิดนี้มีขนาดเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นของแมลงดูดเลือดจำพวก “ริ้นน้ำเค็ม”
       
       ไบรอัน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในลอสแองเจลิส เคาน์ตี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ยืนยันการค้นพบแมลงวัน “ซูเปอร์จิ๋ว” สายพันธุ์ดังกล่าว ออกมาเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (2) โดยระบุว่า เจ้าแมลงวันที่ค้นพบในประเทศไทยชนิดนี้มีขนาดเล็กมากจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้จะเอามันไปวางบนแผ่นสไลด์ของกล้องจุลทรรศน์ก็ตาม
       
       “แมลงวันที่พบตามบ้านทั่วไปจะกลายเป็นไดโนเสาร์ก็อดซิลลาในทันทีเมื่อเทียบกับขนาดของแมลงวันตัวน้อยชนิดนี้” บราวน์กล่าวเปรียบเทียบ
       
       ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศระบุว่า แมลงวันตัวที่ถูกค้นพบนั้นเป็นเพศเมีย โดยถูกพบในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ในเขตจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทางตะวันตกของประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่แมลงวันชนิดนี้อาจดำรงชีพอยู่ได้โดยการ “ฆ่าตัดหัว” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดอื่น เช่น มด แล้วจึงเข้าไปอาศัยและวางไข่ภายในร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่ารายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการค้นพบแมลงวันขนาดเล็กที่สุดของโลกบนแผ่นดินไทยในครั้งนี้ จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านทางวารสารชื่อดัง The Entomological Society of America (ESA) ของสหรัฐฯ ในเดือนนี้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กรกฎาคม 2555

5718
งบ DPL ล่ม ครม. ไร้วาระถก หมอชนบทคอตก แจงขอเวลาหารือทีมเตรียมเคลื่อนไหวต่อไป
       
       หลังจากชมรมแพทย์ชนบทออกมาเรียกร้องจุดเทียน คบไฟ บริเวณหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ของ สธ.ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ดีพีแอล(DPL) จำนวน 3,426 ล้านบาท โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรี สธ. ให้ข้อมูลว่า พร้อมจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) นั้น
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ทราบมาว่าการประชุมครม.ในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่มีการบรรจุวาระดังกล่าว ซึ่งไม่เข้าใจเหตุผล เนื่องจากโดยหลักการแล้ว หาก สธ.ยืนยันความจำเป็นไปยังกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นกระทรวงการคลังจะต้องเสนอเรื่องต่อครม.เพื่อพิจารณาตามขั้นตอน ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นตามที่ปรากฎในข่าว ทราบว่า นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรี สธ.ได้ยืนยันและเสนอเรื่องไปยังกระทรวงการคลังทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ากระทรวงการคลังได้เสนอเข้าครม.แล้วหรือไม่ จึงอยากฝากถามความชัดเจน เพราะรู้สึกผิดหวังมาก ส่วนจะมีการเคลื่อนไหวหรือไม่ ทางชมรมฯ ขอหารือเรื่องนี้อีกครั้ง แต่เบื้องต้นคงต้องขอบริจาคซื้อครุภัณฑ์กันเองก่อน
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของงบดีพีแอลนั้น ที่ผ่านมาตนเคยส่งเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะการทำงานของรัฐมนตรี สธ. ซึ่งล่าสุดในวันที่ 3 กรกฎาคม ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เรียกตนเข้าชี้แจงเพิ่มเติม และทราบมาว่าจะทำหนังสือไปยัง สธ. เพี่อให้เข้าชี้แจงภายในสัปดาห์นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากวอนทางป.ป.ช. ให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กรกฎาคม 2555

5719
สภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือ มช.มีมติเลือกดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนใหม่ ตามผลการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา ขั้นตอนต่อไป มช.จะดำเนินการเสนอชื่อเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2492 การศึกษา วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มช., แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มช., ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (อายุรศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล

ปี 2521 วุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาอายุรศาสตร์ แพทยสภา

บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก 3 เมษายน 2521 สังกัด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. ผ่านการดำรงตำแหน่งต่างๆ อาทิ ตำแหน่ง อาจารย์ ระดับ 4-6, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 6-8, รองศาสตราจารย์ ระดับ 9, พ.ศ.2551-ปัจจุบัน ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์

ตำแหน่งหน้าที่บริหาร ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์2529-2531, ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2531-2533, รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2537-2541, รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ 2537-2541

รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ 2541-2545, ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 2541-2545, ผอ.

สถานบริการสุขภาพพิเศษ มช. 2541-2545, นายกสมาคมนักศึกษาเก่า มช.2548-2552

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. 2549-2553, 2553-ปัจจุบัน ผลงานอาทิ ริเริ่มผลักดันงานก่อสร้างอาคารศูนย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และเตรียมการรองรับ เมดิคอลฮับ ด้วยการสร้างอาคารศูนย์ผ่าตัด ห้องพิเศษโรงพยาบาล รวมถึงพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์

รับตำแหน่งใหม่นี้ มีงานท้าทายรออยู่ ในเรื่อง การพัฒนาอาจารย์ หลักสูตรการเรียนการสอน ยกระดับงานวิจัย ให้เป็นที่เชื่อถือในระดับนานาชาติ


มติชนออนไลน์ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5720
5. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอดังนี้
   1. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 กันยายน 2537 เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ประเด็นอนุมัติวิธีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยให้มีการจับสลากออก 3 คน เมื่อครบวาระของกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข  และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เหลืออยู่พิจารณาเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมจนครบ 7 คน จากนั้นจึงเสนอคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งต่อไป
   2. อนุมัติแต่งตั้งบุคคลดังรายนามต่อไปนี้ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

1) ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2) ศาสตราจารย์ชัยเวช  นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบำบัดโรคมะเร็ง ศูนย์วิจัยจุฬาภรณ์

3) นายประยูร  กุนาศล อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ

4) ศาสตราจารย์อมร  ลีลารัศมี ศาสตราจารย์ระดับ 11 ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

5) นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการ ก.พ.

6) นายนิพนธ์  ฮะกีมี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

7) นางสาวรพีสุภา  หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยอาวุโส ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป 


มติชนออนไลน์ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5721
ไชน่าเดลี - …รักใดเล่าจะเท่ารักของแม่...
       
       เพียงอุ้มท้องบุตร 9 เดือนก็หนักหนาคณานัปแล้ว แต่คุณแม่แซ่จังวัย 96 ปีผู้นี้ ยังต้องใช้เวลาบั้นปลายชีวิตไปกับการดูแลปฐมพยาบาลบุตรชายที่เป็นอัมพาตวัย 59 ปี เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ในบ้านเก่า ๆ เมืองปั๋วโจว มณฑลอานฮุย
       
       ทศวรรษ 1970 นายซีว์ เฉวียนอี้ ผู้เป็นลูกเริ่มมีอาการทางประสาท และในปี 1992 เขาก็สูญเสียความสามารถ กลายเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ ภาระการดูแลทั้งหมดจึงตกสู่มารดาผู้ชราภาพ
       
       มีนักธุรกิจเซี่ยงไฮ้ต้องการจะบริจาคเงินให้ 100,000 หยวน แต่คุณแม่จังปฏิเสธ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี คุณแม่ยังพอมีเรี่ยวแรงดูแลลูก และขอใช้เงินสงเคราะห์จากรัฐบาลเพียงเดือนละ 340 หยวนเท่านั้น

ถึงเวลาทำความสะอาด แม่จังจะหยิบผ้าชุบน้ำบิดพอหมาด ๆ เช็ดตัวให้ลูกชาย (ภาพเอเชียนิวส์)
       

คุณแม่จังเล่าเรื่องราวความเป็นมาของบุตรชายที่เป็นอัมพาตมานานให้นักข่าวฟัง (ภาพเอเชียนิวส์)
       

แม่จังบรรจงเช็ดตัวให้ลูกชาย อาจจะไม่คล่องแคล่วเพราะแม่แก่มากแล้ว (ภาพเอเชียนิวส์)
       

ในห้องธรรมดา กับชีวิตของผู้เฒ่าธรรมดา แต่คุณค่าความรักนั้นยิ่งใหญ่นัก คุณแม่จังตระเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกชายสวมใส่หลังเช็ดตัวเสร็จ... กิจวัตรเหล่านี้ดำเนินไปทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ (ภาพเอเชียนิวส์)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5722
สธ.จับมือ วท.บริการฝังรากฟันเทียมฟรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสจำนวน 8,400 ราย ตั้งแต่วันนี้ถึงปี 2557 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแพทย์หญิง วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ และศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิงท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมเปิดโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 และมอบนโยบายในการปฏิบัติงานให้แก่หน่วยบริการฝังรากฟันเทียม
       
       นายวิทยา กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ให้บริการฝังรากฟันเทียมฟรี ให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ที่มีปัญหาหลังใส่ฟันเทียมทั้งปากแต่ยังใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ดี จำนวน 8,400 รายฟรี ดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2555-2557 โดยในปี 2555 มีเป้าหมาย 2,000 ราย ปี 2556 จำนวน 2,800 ราย และปี 2557 จำนวน 3,600 ราย เป็นการต่อยอดโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งบรรลุเป้าหมายจำนวนกว่า 10,000 ราย ตั้งแต่ พ.ศ.2550-2554 ผู้ที่ได้รับการฝังรากฟันเทียมมีความพึงพอใจ สามารถใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้ดี ทั้งนี้ การฝังรากฟันเทียมตามปกติจะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ราคาประมาณ 50,000-100,000 บาท เนื่องจากต้องนำเข้ารากฟันเทียมจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากที่มีปัญหา เข้าไม่ถึงบริการนี้
       
       ด้านแพทย์หญิง วิลาวัณย์ กล่าวว่า ในโครงการนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯดำเนินการผลิตรากฟันเทียม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามรากฟันเทียม ว่า “ข้าวอร่อย” เนื่องจากรากฟันเทียมจะทำให้ผู้ที่สวมใส่ฟันเทียมบดเคี้ยวอาหารได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ให้สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้บริการฝังรากฟันเทียม อบรมทันตบุคลากรเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการให้บริการ รวมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝังรากฟันเทียมให้แก่หน่วยบริการต่างๆ ซึ่งมี 126 แห่ง อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คณะทันต- แพทยศาสตร์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย โดยทันตแพทย์จะผ่าตัดฝังรากฟันที่บริเวณขากรรไกรล่างทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นตัวยึดฟันเทียมทั้งปากไว้ไม่ให้ขยับไปมาเวลาเคี้ยวอาหาร
       
       ประชาชนที่ต้องการฝังรากฟันเทียมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยต้องเป็นผู้ที่ไม่มีฟันจริงเหลืออยู่เลย และใส่ฟันเทียมทั้งปากอยู่แล้ว หรือมีฟันเหลืออยู่ไม่กี่ซี่ มีสุขภาพแข็งแรง หากมีโรคประจำตัวต้องควบคุมได้ดี ไม่เคยฉายรังสีรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและคอ และสามารถมาตามที่ทันตแพทย์นัดหมาย 6-7 ครั้งได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5723
“วิทยา” แย้ม ประชาชนให้ความสนใจโครงการยาเก่าแลกไข่ ขณะนี้นำยาเก่าคืนแล้วกว่า 2 ล้านเม็ด ย้ำ ต้องรอประเมินผลหลังวันที่ 5 ก.ค.
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าโครงการไข่แลกยาเก่า ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า ขณะนี้ได้รับยาเก่าคืนเข้าสู่ระบบแล้ว 2 ล้านเม็ด เป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นจิตสำนึกในการใช้ยา โดยให้นำยาหมดอายุและยาใหม่ที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกไข่ เนื่องจากการบริโภคยาของประชาชนไทยที่ผ่านมา มีมูลค่าปีละนับแสนล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง เริ่มที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่งทั่วประเทศซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด เบื้องต้นนี้จะมีการจัดคูปองแลกไข่เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณยา ยาที่รับคืนมาจะมีการตรวจสอบ หากพบว่าหมดอายุหรือเสื่อมสภาพจะนำไปทำลาย โครงการนี้จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศได้หลายพันล้านบาท อย่างน้อยผู้ที่มียาอยู่แล้วไม่ได้ใช้ ก็สามารถส่งคืนสถานบริการเพื่อใช้ประโยชน์ หรือเก็บทิ้งเนื่องจากหมดอายุ
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ยาที่เก็บคืนมาได้บางชนิดเป็นยาที่มีราคาแพง เช่น ยาลดไขมันในเลือด เมื่อผู้ป่วยหมดความจำเป็นในการใช้ก็นำมาส่งคืน หรือในกรณีที่ยังใช้ยาชนิดนั้นอยู่ก็นำยาที่เหลือไปเมื่อพบแพทย์ครั้งต่อไป เพื่อให้รับยาเพิ่มจำนวนพอดีกับวันนัด ก็จะประหยัดการใช้ยาได้ หากประเมินผลหลังวันที่ 5 กรกฎาคมแล้ว พบว่า ยังมียาจากประชาชนส่งคืนอีกก็อาจจะขยายโครงการต่อไป
       
       นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ระหว่างปฏิบัติราชการที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า นโยบายยาเก่าแลกไข่ เป็นการแก้ไขปัญหาการใช้ยาของประชาชนที่ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย โดยสถิติประชาชนไทยใช้ยาเฉลี่ยวันละ 128 ล้านเม็ด บางส่วนซื้อจากร้านขายยา บางส่วนไปรับยาจากสถานบริการของรัฐ บางครั้งรับมาแล้วไม่ได้ใช้ยาตามแพทย์สั่ง หรือเป็นโรคเดียวแต่ไปรักษารSendพ.หลายแห่ง ทำให้มียาเหลือค้างอยุ่ที่บ้าน ทำให้สูญเสียเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงมีแนวคิดที่จะเริ่มปรับการใช้ยาของประชาชน โดยจะเริ่มจากยาเก่าที่ค้างอยู่ที่บ้าน เฉพาะยาแผนปัจจุบัน ไม่รวมยาสมุนไพร ยาที่ได้รับคืนจะนำมาคัดแยก เพื่อนำยาที่หมดอายุนำไปทำลาย ส่วนยาที่ยังใช้ได้ จะแนะนำประชาชนในการใช้ยา หากไม่ใช้จะเก็บกลับไปให้สถานบริการเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นที่จังหวัดเชียงราย โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอ.เมืองเชียงราย ได้ทดลองซื้อไข่ 4,000 บาท แลกยาที่ประชาชนไม่ได้ใช้มูลค่ากว่า 50,000 บาท คาดว่า ยาไม่ได้ใช้ที่ค้างตามบ้านน่าจะมีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท
       
       ส่วนจำนวนไข่ที่ให้จะเป็นเท่าใดนั้นไม่ได้คำนวณจากจำนวน หรือราคายา แต่จะดูตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว อาจให้ไข่ 5 ฟอง หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม โดยในอนาคต อาจใช้วิธีแจกถุงยาให้ผู้ป่วยใส่ยาที่เหลือมาให้แพทย์ดูในการตรวจครั้งต่อไป ยาตัวใดที่ยังใช้ได้ก็จะให้ใช้ต่อไป จะเป็นการเริ่มต้นที่จะไม่ให้มียาเหลือไปเหน็บข้างฝาบ้านเหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5724
สบส.ดัน กม.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย หวังสร้างสภาการแพทย์แผนไทย คุมมาตรฐาน จรรยาบรรณวิชาชีพ เทียบชั้นแพทยสภา เชื่อสามารถรองรับเมดิคัลฮับ
       
       นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า กรมฯ ได้ยกร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ....ซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาวาระ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระสำคัญ เช่น ฉบับนี้จะหมายรวมครอบคลุมถึงผู้ที่ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยทั้งในลักษณะของเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การผดุงครรภ์ไทย การนวดไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย รวมถึงผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยโดยการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ นอกจากนี้ยังมีสาระในด้าน ของการทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแลมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบวิชาชีการแพทย์แผนไทยและการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ อีกทั้งควบคุมความประพฤติ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพ นอกจากนี้ มีหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยให้กับผู้ประกอบวิชาชีพ อีกด้วย
       
       นพ.สมชัย กล่าวต่ออีกว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยทั้งหมอพื้นบ้าน และนักศึกษาการแพทย์แผนไทยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องขึ้นทะเบียนโดยมีสภาวิชาชีพที่เทียบเท่ากับแพทยสภาของแพทย์แผนปัจจุบัน ทำหน้าที่ในการดูแล กำกับมาตรฐานวิชาชีพและการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย จากที่ปัจจุบันมีเพียงคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทย ในสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส.กำกับดูแล แต่ไม่มีสภาวิชาชีพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนคนไทยมีความปลอดภัยในการใช้บริการมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วยต่างชาติที่จะเข้ารับบริการจากการที่ประเทศไทยจะเป็นเมดิคัลฮับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5725
“วิทยา” เรียก “หมอเกรียง” คุยก่อนจุดคบเพลิงหน้ากระทรวงหมอ รับปากดันโครงการเงินกู้ DPL เข้า ครม.พรุ่งนี้แน่ แต่ไม่รับประกันจะได้งบทั้งหมดหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของ ครม.ด้านชมรมแพทย์ชนบทยกหูล็อบบี้ “เฉลิม” ช่วยหนุนงบเครื่องมือแพทย์ที่สนับสนุนบริการผู้ป่วย สับ สธ.ขอให้งบช้า
       
       วันนี้ (2 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท พร้อมด้วย นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช นำแพทย์ในฐานะอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท และ นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมพวง จ.นครราชสีมา นำเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) กว่า 200 คน เดินทางมาจุดเทียนและคบไฟ เพื่อส่งสัญญาณและเรียกร้องให้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง อย่างการช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น เครื่องช่วยหายใจ 2.กลุ่มสนับสนุนบริการผู้ป่วย และ 3.กลุ่มสนับสนุนบริการแบบไม่สัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อโรค เครื่องเอ็กซ์เรย์ เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าสำรอง และเครื่องซักผ้า ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (โครงการเงินกู้ DPL) จำนวน 3,426 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีข่าวอนุมัติงบส่วนหนึ่งและสอง แต่กลับไม่พิจารณางบส่วนที่สาม ซึ่งบางส่วนเป็นของรพช. กว่า 600 แห่ง ราว 800 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีรายงานเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นไม่ต่างจากกลุ่มอื่น
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การเรียกร้องครั้งนี้ เนื่องจากความล่าช้าของ รมว.สาธารณสุขในการขอใช้งบดังกล่าว ทั้งที่เป็นงบของ สธ.โดยแท้ เพียงแต่รอคำยืนยัน เพราะงบ DPL เป็นงบเงินกู้ของแคนาดาในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งอนุมัติงบให้ สธ.ทั้งสิ้น 3,426 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งได้มีการประกวดราคาเรียบร้อย เหลือเพียงรอเงินมาดำเนินการ กระทั่งเปลี่ยนรัฐบาล งบดังกล่าวจึงต้องมีการยืนยันตามระเบียบ ซึ่งกระทรวงการคลังเรียก สธ.ไปยืนยันรับงบถึง 3 ครั้งด้วยกัน แต่รมว.สาธารณสุข กลับล่าช้า โดยให้เหตุผลว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ไปทำการทบทวนในรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งตนมองว่าทบทวนอย่างไรก็ไม่ควรล่าช้าถึงเพียงนี้ เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังยืนยันงบตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2554 และได้รับเงินจนซื้อเครื่องมือแพทย์ต่างๆ หมดแล้ว พวกตนจึงต้องมาเรียกร้อง หลังจากเคยเรียกร้องเรื่องนี้ไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็อยากเรียกร้องรมว.สาธารณสุข ให้ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง
       
       “ก่อนการรวมตัวจุดคบไฟ ตนได้เข้าหารือกับ รมว.สาธารณสุข ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ประมาณ 30 นาที จึงได้ข้อยุติถึงเรื่องเดินหน้าโครงการเงินกู้ DPL โดย รมว.สาธารณสุข รับปากว่า จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (3 ก.ค.) ซึ่งพวกตนจะรอคำตอบว่า ครม.จะอนุมัติงบโครงการ DPL หรือไม่ ทั้งนี้จะนำรายชื่อรพช.ทั้งหมด 700 กว่าแห่งเสนอต่อกระทรวงการคลัง ในวันเดียวกันด้วย เพื่อประกอบการยืนยันว่า รพช.ต้องการเครื่องมือเหล่านี้จริงๆ” นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว
       
       ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวอีกว่า หาก ครม.ไม่อนุมัติ และไม่มีความชัดเจนใดๆ จะมีการพิจารณาว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป โดยอาจมาเรียกร้องที่กระทรวงสาธารณสุขอีก หรืออาจไปที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ต้องการเรียกร้องว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบจริงๆ เนื่องจากเครื่องมือส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับการพิจารณา เป็นเครื่องมือพื้นฐานของ รพ.ทุกแห่งต้องมี ทั้งนี้ ตนยังได้นำเรื่องนี้โทรศัพท์หารือกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.สาธารณสุข เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนความจำเป็นดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม ก็รับปากให้การสนับสนุน
       
       ทั้งนี้ โครงการงบประมาณเงินกู้ DPL ดังกล่าว ได้แบ่งออกเป็น 4 โครงการ ได้แก่
1.โครงการของรพ.ชุมชน ระดับปฐมภูมิ จำนวน 600 แห่ง
2.โครงการรพ.ชุมชน ระดับทุติยภูมิ จำนวน 120 แห่ง
3.โครงการรพ.ทั่วไป ระดับตติยภูมิ จำนวน 60-70 แห่ง และ
4.โครงการ รพ.ศูนย์ที่มีแพทย์เชี่ยวชาญอีก 27 แห่ง โดยแต่ละระดับจะได้เครื่องมือแพทย์ที่เฉลี่ยกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง อย่างการช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่นเครื่องช่วยหายใจ
2.กลุ่มสนับสนุนบริการผู้ป่วย และ
3.กลุ่มสนับสนุนบริการแบบไม่สัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อโรค โดยงบทั้งหมดรวม 3,426 ล้านบาท
       
       ด้าน นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันว่า สธ.ทำหน้าที่ตามมติ ครม.ซึ่งมีมติให้ทบทวนและจัดลำดับความสำคัญ และให้ขยายกรอบการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงเดือนกันยายน 2556 และนำเรื่องดังกล่าวเสนอเข้าคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการเงิน การคลัง ที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานคณะอนุกรรมการ เพื่อดูภาพรวมโครงการทั้งหมด ซึ่งในส่วนของ สธ.เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการประจำที่จะทำงานเรื่องการทบทวนงบประมาณ และสอบถามความจำเป็นของส่วนราชการอีกครั้ง ว่า ยังมีความจำเป็นหรือไม่ และจะสามารถปรับลดงบประมาณส่วนไหนลงไปได้อีกบ้าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่องบประมาณโดยรวมของประเทศ เบื้องต้นได้จัดกลุ่มตามอันดับความจำเป็น เช่น อุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ เครื่องเอกซเรย์ โดยจัดเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งเบื้องต้นกลุ่ม 1-2 คาดว่า จำเป็นก่อน ส่วนกลุ่ม 3 ราว 800 ล้านบาท อยู่ระหว่างพิจารณา แต่ทั้งหมดจะเสนอเข้า ครม.วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ ครม.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5726
“วิทยา” ลั่น พร้อมเริ่มโครงการไข่แลกยาเก่า ทั่วประเทศวันที่ 2-5 ก.ค.ที่โรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับกว่า 1 หมื่นแห่ง
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการไข่แลกยาเก่าว่า ขณะนี้มีความคืบหน้า โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ และได้จัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในโครงการนี้จังหวัดละ 100,000 บาท โดยได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ออกสำรวจตามบ้านต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และจะเริ่มเปิดรับแลกยาในวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2555 พร้อมกันที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และ โรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ รวมกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ยาเก่าที่จะแลกไข่ครั้งนี้ ประชาชนสามารถนำยาแผนปัจจุบันทุกชนิด ทั้งชนิดที่ซื้อเอง หรือได้รับจากสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐหรือเอกชน ไม่รวมยาสมุนไพร โดยจะแจกไข่คืนแก่บ้านที่นำยาเก่าไปแลก ให้ครอบครัวละ 5 ฟองเป็นอย่างน้อย ทำอาหารได้ 1-2 มื้อ ไข่ที่แลกขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของพื้นที่ บางแห่งอาจเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือไข่เค็ม หากไม่มีไข่ อาจจะเป็นมะนาวก็ได้ วัตถุประสงค์หลักของโครงการไข่แลกยาเก่านี้ เพื่อรณรงค์ประชาชนให้มีความตระหนักในการใช้ยา และใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพต่อการรักษาอาการเจ็บป่วย ข้อมูลล่าสุดคนไทยใช้ยาเฉลี่ยปีละ 100,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะทำให้ทราบถึงขนาดปัญหาการใช้ยาของคนไทย ว่า มียาเหลือใช้ตกค้างตามบ้านเรือนจำนวนเท่าใด และวิธีการเก็บรักษา โดยมอบหมายให้นายแพทย์นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบบริหารจัดการ และจะประเมินผลกลางเดือนกรกฎาคม 2555
       
       ทางด้าน นายแพทย์ นิทัศน์ รายยวา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ยาเก่าที่รับคืนทั้งหมด จะให้เภสัชกรของโรงพยาบาลต่างๆ เป็นผู้วิเคราะห์ คัดแยก โดยยาเก่าที่หมดอายุแล้วจะรวบรวมส่งไปที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลาย และขั้นต่อไปในปีหน้ากระทรวงสาธารณสุขจะปรับระบบบริหารจัดการยาให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยรณรงค์ให้ประชาชนใช้ยาดี และมีคุณภาพตามนโยบายรัฐบาล โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้ความรู้เรื่องยาและปรับแก้พฤติกรรมการกินยาของประชาชน มีระบบการปรึกษาปัญหาการใช้ยาทั้งยาแผนปัจจุบันและเพิ่มการให้ความรู้ยาสมุนไพร ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งเป็นหมอประจำครอบครัว ดูแลคนละ 300 ครัวเรือน ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ติดตามดูแลเรื่องการใช้ยาเหล่านี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เพิ่มความคุ้มค่าการใช้ยายิ่งขึ้น
       
       นายแพทย์ นิทัศน์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่มียาเก่าเหลือตกค้างตามบ้านเรือน มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1.การซื้อยากินเอง กินแล้วอาการไม่หาย
2.นำยาของคนอื่นที่ที่มีอาการป่วยคล้ายกันมาใช้แทน
3.เก็บยาไม่ถูกต้อง ทำให้ยาเสื่อมสภาพ
4.ประชาชนไม่ดูวันหมดอายุยา
5.ลืมกินยา
6.รักษาหลายโรงพยาบาลทำให้รับยาหลายขนานซ้ำซ้อน และ
7.ประชาชนพึ่งยามากกว่าพึ่งตนเอง เพราะเชื่อว่าหากป่วยแล้วมียารักษา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กรกฎาคม 2555

5727
สธ.เผย ไทยอยู่ในสังคมของผู้สูงวัย มีผู้สูงอายุ 8.3 ล้านคน คาดในปี 2573 จำนวนผู้สูงอายุไทยจะมีมากกว่าเด็ก เยาวชน 2 เท่าตัว ค่าใช้จ่ายรักษาโรคจะสูงขึ้น เร่งพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
       
       นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเยี่ยมชมรูปแบบโครงการสวางคนิเวศ ซึ่งเป็นการดูแลผู้สูงอายุในลักษณะของที่พักอาศัยของสภากาชาดไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางปู อ.เมือง จังหวัดสมุทรปราการ ว่า ขณะนี้ประเทศไทยถือว่าอยู่ในสังคมของผู้สูงอายุตามนิยามขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันไทยมีผู้สูงอายุ 8.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรที่มีทั้งหมด 64 ล้านคน และประมาณปี 2563 จำนวนผู้สูงอายุจะมากกว่าเด็กหรือเยาวชน และจะมากเป็น 2 เท่าตัวในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีโอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มากกว่าวัยอื่นถึง 4 เท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง และโรคที่เกิดจากการเสื่อมตามวัย ซึ่งเป็นโรคที่ต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ค่ารักษาค่อนข้างมาก ล่าสุดนี้ พบผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 4 ใน 5 คน มีโรคประจำตัวอย่างน้อย 1 โรค
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี มีนโยบายลดโรค เพิ่มสุขให้กลุ่มผู้สูงอายุรวมทั้งผู้พิการ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนจัดบริการผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1 เป็นผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ มีประมาณร้อยละ 78 กลุ่มนี้จะเน้นดูแลส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค เพื่อให้มีชีวิตและช่วยเหลือตนเองได้ให้ได้นานที่สุด 2.กลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้างบางส่วน มีร้อยละ 20 จะเน้นช่วยในเรื่องการดูแลโรคประจำตัว และกลุ่ม 3 เป็นกลุ่มช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หรือเรียกว่าติดเตียง มีร้อยละ 2 กลุ่มนี้ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ จะต้องมีคนดูแลช่วยเหลือ ทั้งเรื่องกิจวัตรส่วนตัวหรือเรื่องอื่นๆ โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งเปิดไฟเขียว ให้บริการผู้สูงอายุเป็นช่องทางเฉพาะ และเพิ่มโครงการบริการทางด่วน 70 ปีไม่มีคิวทุกจุดบริการด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุได้รับบริการรวดเร็วขึ้น
       
       สำหรับโครงการสวางคนิเวศ ซึ่งสภากาชาดไทยดำเนินการร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ถือว่าเป็นรูปแบบการดูแลช่วยเหลือด้านสังคมและสุขภาพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ปานกลางและช่วยเหลือดูแลตนเองได้ แต่อาจขาดผู้ดูแล และต้องการความปลอดภัย เพื่อให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับคนวัยเดียวกันอย่างมีความสุข โดยใช้รูปแบบการบริจาคเงินเพื่อเข้ามาพักอาศัยตลอดชีวิต ต่างจากที่พักอาศัยทั่วไป โดยที่สมุทรปราการจะจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้ฟรีด้วย ห้องกิจวัตรส่วนตัว การออกแบบอาคาร ห้องพัก ห้องน้ำ จะเน้นความปลอดภัย มีบริการดูแล ส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและจิตใจ เช่น เครื่องออกกำลังกาย สนามหญ้า บรรยากาศสิ่งแวดล้อมร่มรื่น และบริการฟื้นฟูสภาพโดยทีมเจ้าหน้าที่เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย นับว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจ กระทรวงสาธารณสุขจะนำรูปแบบดังกล่าวไปเป็นต้นแบบ และหารือหน่วยงานเกี่ยวข้องเช่นกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพื่อนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้โรงพยาบาลสมุทรปราการ จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้ผู้สูงอายุที่พักอาศัยในโครงสวางคนิเวศ ซึ่งมีประมาณ 80 คนฟรี ด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กรกฎาคม 2555

5728
“วิทยา” ไม่หวั่น “แพทย์ชนบท” บุกกระทรวงจุดเทียนประท้วง ยัน รบ.ให้ความสำคัญจัดซื้อคุรุภัณฑ์จำเป็น แจงเหตุตั้ง กก.กลั่นกรอง หวังให้รอบคอบ ระบุ ล็อตแรก 2 พันล้าน จ่อเข้า ครม.เร็วๆนี้ วอนอย่ามองว่าใครมาหาประโยชน์
       
       
       วันนี้ (1 ก.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท นัดหมายจุดเทียนที่กระทรวงสาธารณสุข ในวันที่ 2 ก.ค.นี้ เพื่อประท้วงความล่าช้าการอนุมัติใช้งบจัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์ตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หรือโครงการเงินกู้ DPL จำนวน งบประมาณ 3.6 พันล้านบาท ว่า ไม่ได้วิตกกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว แต่ไม่เข้าใจเหตุผลของทางชมรมแพทย์ชนบท เพราะในส่วนของงบประมาณดีพีแอลที่ท้วงถามนั้น คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติแล้วว่า ให้ขยายกรอบการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงเดือน ก.ย.2556 อีกทั้งล่าสุดก็ได้มีการนำเสนอโครงการบางส่วนเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังตามขั้นตอน เพื่อเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เบื้องต้นได้จัดกลุ่มตามอันดับความจำเป็น ในส่วนของโครงการที่มีความเร่งด่วน 2 พันกว่าล้านบาท หากผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังแล้ว ก็จะสามารถนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ทันที
       
       “ยืนยันว่า เรื่องนี้ รัฐบาลต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเน้นที่ความจำเป็น การที่ต้องตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการขึ้นมา ก็เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และเพื่อให้ได้เรื่องที่มีความจำเป็นจริงๆ อย่าพยายามมองว่า มีการแสวงหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องนี้ได้มีการจัดซื้อจัดจ้างก่อนที่ผมจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเสียอีก” นายวิทยา ระบุ
       
       นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุขถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่า การออกมาเคลื่อนไหวของชมรมแพทย์ชนบทครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการภายในกระทรวงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตลอดระยะระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขไม่เห็นด้วยกับบทบาทของชมรมอยู่แล้ว เพราะมองว่าเป็นความพยายามก่อกวนโดยหมอไม่กี่คนที่อาศัยชื่อดูดีว่าเป็นแพทย์ชนบท ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของการจัดตั้งชมรมแพทย์ชนบท เพื่อให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีต่อสังคม อย่างไรก็ตามแม้จะมีความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ออกมาต่อต้าน เพราะได้ยึดหลักอหิงสาให้อภัยเหตุการณ์ต่างๆ มาโดยตลอด
       
       “ระยะหลังๆ ทางชมรมนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวที่ผิดเพี้ยนไปจากวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะประธานชมรมปัจจุบัน ที่หลายคนก็ด่าทอแรงๆ ว่า ไม่รู้ว่าเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเพี้ยน ชอบทำตัวเป็นพวกทำลายบ้านตัวเอง ขณะที่พฤติกรรมของตัวเองก็ใช่ว่าเป็นคนดี หรือดูดีตามชื่อชมรมแพทย์ชนบท” แหล่งข่าว ระบุ
       
       แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า เรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการในกระทรวงมากที่สุด คือการที่ชมรมแพทย์ชนบท ได้รับการอนุมัติเพิ่มค่าตอบแทนให้กับแพทย์ และทันตแพทย์ในชนบท ถึงรายละ 5 หมื่นบาท รวมของเดิมเป็นมากกว่า 6 หมื่นบาท ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่า เป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกล แต่เรื่องนี้กลับสร้างความแปลกแยกแตกต่างในโรงพยาบาลชนบทเป็นอย่างมาก เพราะมีเพียงแพทย์เท่านั้นที่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นรวดเดียว 5 หมื่นบาท แต่พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆกลับยังได้รับเพียงไม่กี่พันบาทเท่านั้น ทั้งๆที่งานและความรับผิดชอบไม่แตกต่างกันมากนัก
       
       “การขึ้นค่าตอบแทนครั้งนั้น นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อระบบค่าตอบแทนทั้งระบบ เพราะหมอได้อาชีพเดียว แต่เภสัช พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่อื่นๆ ได้แต่มองตาปริบๆ ดูพวกหมอเบิกกันสบาย ผ่านมาหลายปีก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ดึงให้หมออยู่ทำงานที่ชนบทได้เลย แต่พวกที่ออกมาเรียกร้องสบาย ได้เงินไปฟรีๆ โดยที่งานน้อยกว่าเดิม เพราะหมอพวกนี้ส่งต่อตลอด ภาระหนักตกอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดที่ต้องทำงานมากขึ้น ก็ถามกันว่า แบบนี้เรียกว่าอยู่เพราะชาวบ้านหรืออยู่เพราะเงินกันแน่ อุดมการณ์ของพวกคุณขึ้นอยู่กับเงินที่ได้ใช่ไหม” แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกต
       
       แหล่งข่าวบอกด้วยว่า เวลาที่ชมรมนี้ออกมาเคลื่อนไหวก็เพราะมีเรื่องไม่พอใจ ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องงบประมาณไทยเข้มแข็ง 3 พันกว่าล้านบาทที่ล่าช้า แต่ก็เป็นความล่าช้าที่ต้องการให้การใช้งบประมาณโปร่งใส เมื่อเป็นแบบนี้เราจึงได้เห็น นพ.เกรียงศักดิ์ออกมาอีกครั้ง ตามมาด้วย นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท ที่มีการเคลื่อนไหวแบบนัดหมายกันเป็นขบวนการชัดเจน ทั้งที่จริงๆแล้วพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีความรู้จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีที่ออกมาสร้างเรื่องว่า ชาวบ้านในชาวชนบทจะขาดโอกาส หรือเข้าถึงบริการของรัฐที่ไม่มีคุณภาพ แต่เรื่องที่ชมรมนี้หยิบยกขึ้นมาก็ผิดไปจากข้อเท็จจริง นำงบประมาณมาโยงกับเครื่องมือคนละแบบคนละรายการ ทำให้ราคาต่างกันมาก จนถูกมองว่าเกิดการทุจริตขึ้น
       
       “ตอนนี้คนในกระทรวงไม่อยากขยับอะไรแล้ว กลัวท่านทั้งหลายจนหัวหดไปหมด อย่ามาอ้างว่าชาวบ้านขาดโอกาส เพราะชาวบ้านขาดโอกาสมาหลายปี ตั้งแต่งบไทยเข้มแข็งยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ที่ล่าช้าก็เพราะคนพวกนี้ไปมีผลประโยชน์แอบแฝง พอผู้บริหารจะให้รอบคอบ ช้าหน่อยก็ออกมาด่า พอจะรีบทำก็บอกว่าโกง” แหล่งข่าวกล่าวย้ำ
       
       แหล่งข่าวยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่ชมรมแพทย์ชนบทยื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช.ให้สอบรัฐมนตรีกับปลัดกระทรวงนั้น อยากให้ยื่นตรวจสอบเรื่องการทุจริตเงินสนับสนุนจากมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ในการจัดสร้างอาคารโรงพยาบาลวังกระพุง จ.เลย ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และกำลังจะมีการส่งหลักฐานไปที่ ป.ป.ช.และเรื่องที่มีการนำบริษัทพวกพ้องจาก กทม.ไปรับงานล้างแอร์ในโรงพยาบาลที่ จ.เลย ทั้งที่ช่างในพื้นที่ก็สามารถทำได้ ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ที่มีการซื้อกล่องยาสามัญประจำบ้านแจกทุกหลังคาเรือน แต่ดำเนินการโดยไม่โปร่งใส และถูกชาวบ้านร้องเรียน จนเรื่องมาถึง ป.ป.ช.อีกเช่นกัน หรือแม้แต่งานประมูลรับเหมาก็มีหมอบางคนที่มีอิทธิพลเข้าไปแทรกแซง โดยเฉพาะเรื่องการประมูลสร้างตึกโรงพยาบาลชุมแพ จ.ขอนแก่น ที่มีการกลั่นแกล้งแก้แบบหลายครั้ง จนผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานได้ และนำบริษัทพรรคพวกตัวเองเข้าไปรับงานแทน เรื่องเหล่านี้อยากนายวิทยา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อให้คนผิดมาลงโทษ กระชากหน้ากากเปิดโปงคนไม่ดี และลดอำนาจเถื่อนในวงการสาธารณสุขอีกด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กรกฎาคม 2555

5729
ช่วงนี้เราจะได้ยินข่าว “แท็กซี่วิ่งสู้ฟัด” กันอยู่บ่อยๆ ผมเลยนำคดี “รถพยาบาลวิ่งสู้ฟัด” มาฝากกันบ้าง... ระยะหลังนี้ดวงผมสมพงษ์กับรถฉุกเฉิน ไปไหนมาไหนมักจะได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาลบ้าง รถดับเพลิงบ้าง บอกตามตรงคนหนุ่มอย่างผมก็ยังใจคอไม่ดี รีบหลบเข้าซ้ายให้เขาแซงไปก่อนเลย แถมตายังไปชำเลืองคันอื่น เห็นบางคันก็รีบหลบให้ บางคันก็เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะหลบไปทางไหนดี ปล่อยให้รถฉุกเฉินหาทางซิกแซกแซงไปเองแบบมืออาชีพ แต่บางคันก็ไม่สนใจเพราะต่างคนต่างรีบ ยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน เรียกได้ว่าตัวใครตัวมัน เห็นอย่างนี้แล้วก็ให้สะท้อนในใจ...บ้านเมืองเรานี้ยังขาดระเบียบวินัยบนท้องถนนกันอยู่มาก
       
       อันที่จริง...กฎหมายจราจรทางบกได้มีบทบัญญัติกำหนดหน้าที่ให้ผู้ขับขี่รถฉุกเฉินต้องปฏิบัติในขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งได้กำหนดหน้าที่สำหรับผู้ขับขี่รถบนท้องถนนต้องปฏิบัติในกรณีพบเจอรถฉุกเฉินไว้ด้วย ซึ่งเรื่องเล่าดีดีจากคดีปกครองที่นำมาฝากในวันนี้ จะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี โดยคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้ความเป็นธรรมกับพนักงานขับรถพยาบาลซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามคำสั่งของหน่วยงานต้นสังกัด เรื่องราวของคดีจะเข้มข้นและน่าสนใจเพียงไร...มาติดตามกันเลยครับ
       
       ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานขับรถของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ค่ำวันเกิดเหตุ ผู้ฟ้องคดีได้รับคำสั่งให้ขับรถพยาบาลส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง โดยขณะปฏิบัติหน้าที่
       
       ผู้ฟ้องคดีได้ใช้สัญญาณไฟวับวาบและเปิดเสียงไซเรนตลอดทาง จนมาถึงบริเวณแยกที่เกิดเหตุ ผู้ฟ้องคดีได้เร่งความเร็วเพื่อจะขับแซงรถสามล้อรับจ้างที่วิ่งอยู่ด้านหน้าโดยหักพวงมาลัยออกมาทางด้านขวา ขณะเดียวกันรถสามล้อรับจ้างก็ได้เลี้ยวเข้าทางแยกด้านขวาเพื่อเข้าหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณไฟ ผู้ฟ้องคดีจึงเบรกและหักหลบแต่ไม่พ้นเนื่องจากถนนลื่นเพราะฝนตก รถพยาบาลจึงพุ่งชนท้ายรถสามล้อ เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต...
       
       จังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดี) จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (มาตรา 10 ประกอบมาตรา 8) ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานได้เฉพาะกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น โดยกรณีนี้คณะกรรมการฯ ได้รายงานผลการตรวจสอบว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากรถสามล้อรับจ้างเลี้ยวตัดหน้าอย่างกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณไฟ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิได้เกิดจากความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดี จึงไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
       
       ผู้ถูกฟ้องคดีเห็นพ้องด้วยจึงรายงานผลการตรวจสอบต่อกระทรวงการคลัง แต่กระทรวงการคลังเห็นว่า อุบัติเหตุเกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อที่จะแซงสามล้อรับจ้างบริเวณใกล้ทางแยกซึ่งเป็นเขตห้ามแซง ผู้ฟ้องคดีควรชะลอความเร็วลง ประกอบกับฝนตกถนนลื่นจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละ 60 ของค่าเสียหายทั้งหมด ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยจึงยื่นอุทธรณ์ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาแล้วยืนตามคำสั่งเดิม
       
       ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงนำเรื่องมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว
       
       
       คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยวางหลักไว้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีขับรถพยาบาลซึ่งเป็นรถฉุกเฉินไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยมีสิทธิขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้ ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรใดๆ ที่ให้รถหยุด แต่ต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลงตามสมควร ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับการจราจรเกี่ยวกับช่องเดินรถ ทิศทางของการขับรถหรือการเลี้ยวรถที่กำหนดไว้
       
       เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. โดยเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเปิดเสียงสัญญาณไซเรนตลอดทาง ผู้ขับขี่รถคันอื่นจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ซึ่งกำหนดให้ผู้ขับขี่ที่เห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อนโดยต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้ายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณี ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องได้เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณไฟ อันแสดงว่าผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 76 ดังกล่าว ทั้งยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ผู้ขับขี่ซึ่งจะเลี้ยวรถต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณอีกด้วย
       
       กรณีนี้จึงถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถพยาบาลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี (อ.152/2554)
       
       ชัดเจนแล้วนะครับ ! สำหรับบทบาทและหน้าที่ระหว่างผู้ขับขี่รถฉุกเฉินกับผู้ขับขี่รถทั่วไปที่พบเจอรถฉุกเฉิน ผมว่าอาชีพขับรถพยาบาลนี้น่าเห็นใจ... เพราะต้องทำงานอยู่บนความเป็นความตายของผู้คน ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างเราๆ จึงควรช่วยกันอำนวยความสะดวกด้วยการให้ทาง เพราะนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายอันแสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนของคนไทยแล้ว เรายังได้บุญจากการมีน้ำใจช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนอีกด้วย เพราะไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจเป็นผู้ที่ต้องอยู่ในรถพยาบาลก็เป็นได้...
       
       งานนี้...แท็กซี่วิ่งสู้ฟัด ยังต้องหลีกทางให้ รถพยาบาลวิ่งสู้ฟัด เลยนะคร้าบ...
                                                                                           ครองธรรม ธรรมรัฐ

ทีมข่าวอาชญากรรม    29 มิถุนายน 2555
manager.co.th

5730
ความฝันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์แทบทุกคน แต่ก็มีหลายฝันที่น่าวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความฝันสัปดนที่เหมือนไร้เหตุผลที่มาที่ไป คุณเคยฝันแบบนี้ไหม คอลัมน์ความรู้รอบเตียงของนิตยสาร HUG เขาได้รวบรวมความฝันทะลึ่งๆ มาให้เราอ่าน พร้อมกับทำนายฝันนั้นแล้วบอกว่า อย่าเพิ่งคิดมาก หากคุณต้องเจอกับฝันดังว่า
       มาฟังคำทำนายกันเถอะ

       มีเซ็กซ์กับเจ้านาย
       แอบชอบเจ้านายจริงๆ หรือแค่ดูหนังมากไป
       เพียงแค่ฝันว่าแอบสะบึมกับหัวหน้าตรงมุมหนึ่งในออฟฟิศ ไม่ได้หมายความว่าเราอยากทำแบบนั้นจริงๆ การฝันถึงเจ้านาย เป็นเรื่องของความต้องการมีอำนาจและมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นในชีวิต ถ้าฝันว่ามีเซ็กซ์กับเพื่อนร่วมงานนั้น ช่วยให้เราได้มีความเกี่ยวพันกับบุคคล ซึ่งเราจะไม่เคยได้เข้าใกล้ในระยะ 10 ฟุต
       
       มีเซ็กซ์กับอดีตรัก
       บอกบอกว่าเลิก แต่ใจยังคิด
       การฝันว่ามีเซ็กซ์กับอดีตคนรักเป็นวิธีที่สมองใช้เยียวยาอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราเป็นฝ่ายที่ถูกบอกเลิก แต่ส่วนใหญ่แล้ว ความฝันแบบนี้สื่อถึงความสัมพันธ์ในปัจจุบัน อดีตรักจะโผล่มาในความฝันเวลาที่ความฝันในปัจจุบันเริ่มซ้ำซากจำเจ อดีตรักปรากฏตัวเพื่อกระตุ้นอารมณ์รักให้เพิ่มมากขึ้น
       
       มีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้า
       เราเป็นคนซุกซนหรือนี่?
       อย่าเพิ่งตกใจจนต้องไปปรึกาานักบำบัด เพราะคนแปลกหน้าในความฝันนั้นคือตัวเราเอง ลองทบทวนดูสิว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ทำอะไรที่แปลก ท้าทาย หรือถึงใจสุดๆ หรือเปล่า คนแปลกหน้าในความฝัน สื่อถึงความภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง ถ้าคนแปลกหน้าเป็นเซเล็บคนดังอย่างแบรด พิตต์ คงไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์สาเหตุกันให้เมื่อย แต่ถ้าคนดังเป็นคนที่เหนือความคาดหมาย เช่น มิสเตอร์บีน คงต้องถามตัวเองแล้วว่าเซเล็บคนนี้มีจุดเด่นตรงไหน ตามปกติ คนเราจะเป็นพวกที่ชื่นชมและหลงตัวเองเวลาฝัน ดังนั้น ลองถามตัวเองว่า มีอะไรในตัวเซเล็บที่ทำให้นึกถึงตัวเราเอง
       
       มีเซ็กซ์แบบไร้ขีดจำกัด
       แต่มีกับแฟนของเพื่อนรัก
       ในชีวิตจริง ไม่เคยแม้แต่จะคิด แล้วทำไมถึงฝันแบบนี้ได้ อาจเป็นเพราะว่า แฟนเพื่อนมีคุณสมบัติบางอย่างที่แฟนเราไม่มี ความฝันนี้ทำให้เราได้แง่คิด น่ำไปจับเข่าคุยกับคนรักว่าเราต้องการอะไร ซึ่งช่วยให้ตัวเขาหรือเธอดีขึ้น
       
       มีเซ็กซ์กับไม้ป่าเดียวกัน
       เราเป็นพวกชอบทั้งสองอย่างใช่ไหม?
       อย่าเพิ่งตีต้นไปก่อนไข้ การฝันว่ามีเซ็กซ์กับคนเพศเดียวกัน เป็นการสื่อให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในเพศของตัวเอง การฝันว่ามีเซ็กซ์กับผู้หญิงด้วยกันนั้นมักจะเกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นยามที่ร่างกายอยู่ในโหมดผู้หญิงสุดๆ ถ้ามีความฝันแบบนี้ ลองย้อนคิดว่าเมื่อวานทำอะไร มีกิจกรรมที่สื่อถึงความเป็นผู้หญิงที่ได้ทำเสร็จสิ้นไปแล้วหรือไม่ เช่น ดูแลพยาบาลเด็กที่ป่วยจนหายดี ความฝันแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จมากกว่าสื่อถึงความปรารถนาทางเพศใดๆ ที่แฝงอยู่     

Taste 27 มิถุนายน 2555
manager.co.th

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 537