แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 381 382 [383] 384 385 ... 534
5731
ธุรกิจสถานพยาบาลในจังหวัดชลบุรีโตถึงขีดสุด หลังประชาชนทั้งในพื้นที่ และต่างชาติดูแลสุขภาพมากขึ้น ล่าสุด โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ทุ่มงบประมาณสูงถึง 800 ล้านบาท ผุดอาคารผู้ป่วยใหม่ ขนาด 12 ชั้น รองรับจำนวนผู้ป่วยนอกที่มีแนวโน้มเติบโตถึง 1,500 คนต่อวันในปี 2558 พร้อมขึ้นอาคารจอดรถขนาด 10 ชั้น รองรับจำนวนรถยนต์เฉลี่ยต่อวันที่จะมีมากกว่า 600 คัน พร้อมตั้งเป้าการเติบโตของยอดคนไข้หลังอาคารผู้ป่วยใหม่แล้วเสร็จต้องขยายตัวไม่น้อยกว่า 15-30% ต่อปี
       
       เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ได้จัดให้มีการแถลงข่าว “การก่อสร้างอาคารหลังใหม่” เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่ และผู้ป่วยในจังหวัดภาคตะวันออก รวมทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยนอกที่คาดว่าจะมีไม่น้อยกว่า 1,500 คนต่อวันในปี 2558
       
       นายแพทย์นภดล นพคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ เผยว่า การทุ่มงบประมาณถึง 800 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขนาด 12 ชั้น แบ่งเป็นห้องตรวจ 70 ห้อง หอพักผู้ป่วย 140 เตียง และศูนย์การรักษา และดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์กายภาพบำบัด ฯลฯ รวมทั้งอาคารจอดรถอัจฉริยะขนาด 10 ชั้น ที่จะรองรับรถยนต์ได้มากถึง 600 คัน ก็เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ทั้งคนไทยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดภาคตะวันออก และชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       การก่อสร้างอาคารหลังใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว และจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2 ปี โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2557 ส่วนอาคารจอดรถอัจฉริยะได้เริ่มก่อสร้างแล้วเช่นกัน โดยจะแล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ในปีหน้า
       
       “ตั้งแต่ปี 2551-2555 จำนวนคนไข้นอกของโรงพยาบาลฯ เติบโตขึ้นมาก ทำให้ห้องพักผู้ป่วย และพื้นที่บริการที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ ทำให้เราต้องรีบขยายพื้นที่ให้บริการ เพราะในปี 2557-2558 ซึ่งจะมีการเปิดประเทศในกลุ่มอาเซียน ก็คาดว่าจะมีกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการ จากการเดินทางเข้ามาทำงานในภาคตะวันออกเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากการใส่ใจสุขภาพของประชาชน และงานบริการทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ก็ทำให้เราต้องเร่งเพิ่มพื้นที่ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ด้วยเช่นกัน”
       
       นายแพทย์นภดล ยังเผยถึงการเติบโตของยอดผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการกับโรงพยาบาลฯ ว่าในปี 2554 โรงพยาบาลฯ มีจำนวนผู้ป่วยนอกเติบโตจากปีก่อนถึง 15.5% แต่ในปีนี้คาดว่ายอดผู้ป่วยจะเติบโตเพียง 10% ซึ่งเป็นผลจากสถานที่ให้บริการทางการแพทย์ที่คับแคบลง จากการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ และในปี 2556 ยอดการเติบโตจะลดลงเหลือเพียง 8-10% เช่นเดียวกับปี 2557 เนื่องจากอาคารหลังใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ แต่เมื่อถึงปี 2558 ที่อาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แล้วเสร็จ และอาคารหลังใหม่ยังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ และการรักษาโรคยากที่ต้องใช้ความรวดเร็วในการเดินทาง ก็จะทำให้ยอดผู้ป่วยของโรงพยาบาลเติบโตไม่น้อยกว่า 15% และในระยะเวลา 3 ปี จะมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30%
       
       “ในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นเดือนที่เราฉลองครบรอบการเปิดดำเนินการปีที่ 19 ของโรงพยาบาล เราก็จะนำโครงการ Safe Life Save Price ซึ่งจะจัดส่วนลดในการรักษาพยาบาลส่วนต่างๆ ให้แก่คนไข้กลับมาใช้อีกเพื่อช่วยเหลือประชาชนในยุคค่าครองชีพสูง และในปีนี้เรายังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลในโรคกลุ่มผู้หญิง และโรคกระดูกและข้อ ทั้งนี้การขึ้นอาคารใหม่ อาจทำให้ผู้เข้ามาใช้บริการไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร จึงขอฝากขออภัยมา ณ โอกาสนี้ แต่ยืนยันว่า แม้ในเรื่องความสะดวกอาจไม่เต็ม 100% แต่งานบริการและบุคลากรยังพร้อมให้บริการทุกท่านอย่างเต็มที่เช่นเคย” นายแพทย์นภดลกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 พฤษภาคม 2555

5732
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ว่า โรงพยาบาล"เฮเลน่า เวนิเซลู"รพ.ผดุงครรภ์แห่งหนึ่งในกรุงเอเธนส์ ขู่จะยึดตัวทารกของผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งที่เข้าโรงพยาบาลและคลอดบุตร ที่ไม่ได้เก็บจ่ายค่าทำคลอดลูก โดยรพ.ยืนยันว่า หญิงรายนี้จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนกว่า 1,200 ยูโร สำหรับค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือลูกของเธอ

รายงานระบุว่า มารดาของเด็กเผยว่า รพ.ได้เรียกเก็บเงินค่าคลอดบุตรดังกล่าวเป็นเงินเยอะมาก และเจ้าหน้าที่รพ.บอกว่า หากเธอไม่จ่าย รพ.จะไม่ยอมให้ลูกคืนแก่เธอ พร้อมทั้งโอดครวญว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งเจ็บปวดมาก เพราะรพ.ยึดลูกของเราไว้เพียงเพราะเราไม่มีเงินจ่ายเงิน พวกเขาน่าจะเข้าใจหัวอกคนมีลูกบ้าง และเธอต้องหันหน้าไปพึ่งหน่วยงานพิทักษ์สิทธิสตรี"ต่อสู้หนี้สิน"ที่รณรงค์ต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงกรีซ และสมาชิกกลุ่ม ได้ติดต่อผู้อำนวยการรพ.ดังกล่าว เพื่อเรียกร้องให้รพ.ยอมคืนลูกให้แก่หญิงรายนี้ แต่รพ.บอกว่า จะยอมคืนลูกให้เธอ ต่อเมื่อเธอยอมจ่ายค่าคลอดลูกเป็นงวด ๆ ให้แก่รพ.เท่านั้น

ทั้งนี้ เหตุการณ์สะท้อนถึงวิกฤตสวัสดิการที่ส่งผลกระทบต่อชาวกรีซจากมาตรการรัดเข็มขัดจากปัญหาหนี้สินล้นระบบของประเทศ โดยระบบสวัสดิการฟรีชนิดไม่ฉุกเฉินจะมีให้เฉพาะคนที่มีงานทำ และได้จ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมของรัฐ หากให้แก่คนที่ตกงาน แต่ได้จ่ายเงินดังกล่าวถึงปัจจุบัน

มติชนออนไลน์  24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5733
ลืมยาสลายลิ่ม​เลือด​หรือ​แอส​ไพริน​ไป​ได้​เลย ​เพราะตอนนี้​การบำบัด​ผู้ป่วย​โรคหัว​ใจอาจ​ใช้วิธีง่ายๆ ​เช่น ​การออก​ไปตาก​แดด ​แค่นี้​ก็ลด​ความ​เสี่ยงหัว​ใจล้ม​เหลว​ได้​แล้ว

ทีม​แพทย์วิจัย​เผยว่า ​การรับ​แสง​แดดตอนกลางวันสามารถลด​ความ​เสี่ยงจากภาวะหัว​ใจวาย ​หรือ​โรคหัว​ใจ​เรื้อรัง​ได้ อนึ่ง ​ผู้ป่วยที่พักฟื้นอยู่​โรงพยาบาลหลัง​โรคหัว​ใจกำ​เริบ จะหาย​เร็วขึ้นหาก ออก​ไปตาก​แดดอย่างสม่ำ​เสมอ

นาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ถูกกำหนด​โดย​โปรตีน​ในสมอง ​โดย​โปรตีนนี้​ก็​เป็นชนิด​เดียวกับที่อยู่​ในหัว​ใจ ​โทบิ​แอส ​เอ็ค​เคิล ​แพทย์หัว​ใจ​และคณะประจำมหาวิทยาลัย​โค​โลรา​โด​ใน​เดน​เวอร์พบว่า ​โปรตีนชนิดพี​เรียด 2 มีบทบาทหลัก​ใน​การลด​ความ​เสี่ยงจากภาวะหัว​ใจล้ม​เหลว

​แทบจะ​ไม่มีออกซิ​เจน​ไปหล่อ​เลี้ยงหัว​ใจระหว่างที่​ผู้ป่วยอา​การกำ​เริบ ​ซึ่ง​เมื่อ​เกิดภาวะนี้หัว​ใจจะสลับ​ไป​ใช้พลังงานจากกลู​โคส​แทน​ไขมัน หาก​ไม่​ได้รับ​การรักษา​ให้ระบบ​เผาผลาญพลังงาน​หรือ​เมตาบอลิซึ่ม​ในหัว​ใจ​ทำงานอย่างปกติ กล้าม​เนื้อหัว​ใจอาจตาย​ได้

งานวิจัยระบุว่า ​โปรตีนพี​เรียด 2 มีส่วนสำคัญต่อ​การสับ​เปลี่ยนพลังงานหัว​ใจจาก​ไขมัน​เป็นกลู​โคส ​และช่วย​ให้ขบวน​การสันดาปของหัว​ใจ​ทำงาน​ได้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า ​แสง​แดดจ้า​ก็สามารถกระตุ้น​ให้สัตว์ผลิต​โปรตีนพี​เรียด 2 ​และลด​ความ​เสี่ยงภาวะหัว​ใจวาย​ได้​เช่น​เดียวกับมนุษย์

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์​ในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Medicine ​ทั้งนี้​การต่อยอดงานวิจัย​ในอนาคตจะพยายามหาคำตอบว่า ​แสงอาทิตย์ส่งผลต่อขบวน​การสันดาป​ในหัว​ใจมนุษย์​ได้อย่าง​ไร ​เพื่อนำ​ไปพัฒนาวิธีรักษา​ผู้ป่วย.

ไทย​โพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2555

5734
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจุฬาฯ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นไป นับเป็นการดำรงตำแหน่งอธิการบดีของวาระที่ 2 ของ ศ.นพ.ภิรมย์ และเป็นอธิการบดีจุฬาฯ คนเดียวในรอบ 18 ปี ที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นวาระที่ 2

       ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล จบแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาฯ วุฒิบัตรและอนุมัติบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 3 สาขา (เวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ป้องกันฯ และเวชศาสตร์ครอบครัว) M.Sc.สาขา Clinical Epidemiology จาก 2 มหาวิทยาลัย คือ McMaster University ประเทศแคนาดา และ University of Pennsylvania สหรัฐอเมริกา ได้รับ Certificate in Clinical Economics จาก Wharton School และด้านการบริหารจาก University of Toronto เรียน วปรอ.รุ่น 4313ประสบการณ์ด้านบริหารที่ผ่านมา ศ.นพ.ภิรมย์ เคยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ 2 วาระ (2542-2550) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 8 ปี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กรรมการและกรรมการตรวจสอบองค์การเภสัชกรรม ประธานกรรมการตรวจสอบ สกว.กรรมการสภากาชาดไทย และตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมาย ประสบการณ์ด้านวิชาการ อาทิ เป็นศาสตราจารย์ระดับ 11 ตั้งแต่ปี 2542 เป็นกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) และประธานคณะอนุกรรรมการด้านการวิจัยและระบบอุดมศึกษา กกอ.สำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติคุณและรางวัลมากมาย อาทิ รางวัล ผู้บริหารโรงพยาบาลยอดเยี่ยม ปี 2547 จากสมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก Kansai University ประเทศญี่ปุ่น รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2545 มีผลงานวิจัยได้รับรางวัลชนะเลิศและรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยม รวม 11ครั้ง ฯลฯ
       
       สำหรับแนวนโยบายการพัฒนาจุฬาฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ได้วาง “จุดยืนทางยุทธศาสตร์” ให้จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ที่เป็นเลิศในภูมิภาค มีความเป็นนานาชาติ มีความทันสมัย ธำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย และสร้างบัณฑิตที่ทรงคุณค่า เป็นที่พึงปรารถนาของสังคม เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิด และสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็น “หลักเฉลิมพระนครแห่งกรุงสยาม”

ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 พฤษภาคม 2555

5735
 หากชีวิตมนุษย์เราปราศจากบ้าน คงไม่มีแหล่งพักพิง ก็เหมือนกับฝูงปลาในทะเลที่ขาดปะการัง ก็คงไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยเหมือนกัน..
       
       ปะการังสำคัญไฉน.. ปะการังก็เป็นเสมือนบ้าน ของเหล่าปลาตัวน้อยใหญ่ในท้องทะเล หากไม่มีปะการัง เหล่าปลาตัวน้อยใหญ่ ก็คงจะขาดบ้าน ปัจจุบันปะการังถูกทำลายไปมาก เนื่องจากสาเหตุต่างๆ มากมาย ทั้งจากธรรมชาติด้วยกันเอง และจากน้ำมือมนุษย์ที่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญ
       
       นั่นจึงทำให้ปัจจุบันได้มีการสำรวจ และริเริ่มปลูกปะการังกันอย่างแพร่หลาย ทั้งการอนุรักษ์ปะการัง ให้คงอยู่แบบธรรมชาติ ไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือลดน้อยลงไป รวมถึงมีโครงการต่างๆ ที่ก่อตั้งเพื่อสำรวจและฟื้นฟู ปะการังในส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาเจริญเติบโต เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่ของปลาและธรรมชาติ โดยผู้ที่คิดค้นและฟื้นฟูการปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซีในเมืองไทย ก็คือ “ประสาน แสงไพบูลย์” อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยรำไพพรรณี จ.จันทบุรี

       อ.ประสาน ได้ค้นคว้าทดลองด้วยวิธีต่างๆ จนสามารถปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซี ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ในปี พ.ศ.2538 ณ บริเวณหาดแสมสาร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ท่อพีวีซีเป็นวัตถุที่คงทนต่อธรรมชาติ และเมื่อนำท่อพีวีซีมาใช้ในการปลูก ทำให้หลังจากการปลูกปะการัง 2 อาทิตย์ ปะการังก็จะเกาะท่อพีวีซี และแตกตัวอ่อนขึ้นมาหลังจากนั้น
       
       “เมื่อมนุษย์สามารถขยายพันธุ์ต้นไม้ด้วยการปลูกป่าได้ ก็น่าที่จะขยายพันธุ์ปะการังด้วยการปลูกปะการังได้” อ.ประสาน กล่าว
       
       โดยก่อนหน้านั้น (ก่อนปี 38) อ.ประสาน ได้ลองคิดค้นหาวิธีปลูกปะการังจากวัสดุอื่น แต่ไม่มีอะไรดีเท่าพีวีซี ซึ่งเขาได้ถึงเหตุผลและความเหมาะสมของการใช้ท่อพีวีซีปลูกปะการัง ว่า หากใช้ไม้ไผ่ปลูก ไม้ไผ่จะผุกร่อนง่าย ถ้าใช้ดินเผา ดินเผาจะแตกหักง่าย ส่วนพีวีซีจากการทดลอง พบว่า มีคุณสมบัติที่ดีที่สุด ปลอดภัย คงทน อยู่ได้นาน ประหยัด ทำง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่
       
       “นอกจากนี้ พีวีซียังมีความเสถียรในตัวมันเอง ทำให้ปะการัง หอย ฟองน้ำ และตัวอ่อนต่างๆ เติบโตได้เป็นอย่างดี หากเทียบกับวัสดุอื่นๆ” อ.ประสาน กล่าว

       ด้าน วิกรม ภูมิผล ผู้จัดการมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ ได้พูดถึงกระบวนการต่างๆ ในการปลูกปะการัง ว่า เริ่มจากหลักการในการปลูกปะการังที่สังเกตง่ายๆคือ ในการปลูกปะการังไม่ใช่ว่าจะไปปลูกส่วนไหนของทะเลได้ การปลูกปะการังจะต้องปลูกในที่ที่มีแนวปะการังเดิมอาศัยอยู่ นอกจากนั้นแล้ว ต้องมีปะการังชนิดอื่นอาศัยอยู่ด้วย ที่สำคัญก็คือต้องมีปะการังเขากวางอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นด้วย
       
       ส่วนมากแล้วปะการังที่ใช้ในการปลูกจะใช้ปะการังเขากวาง เนื่องจากปะการังเขากวางเป็นปะการังที่เติบโตได้รวดเร็ว และสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ง่าย จึงง่ายแก่การปลูกและการอยู่รอด ส่วนปะการังชนิดอื่นๆ ก็สามารถนำมาปลูกได้ แต่จะทำให้โตช้า และเสี่ยงต่อการตาย
       
       ในขณะที่หลายๆ คนอาจสงสัย ว่า “แล้วเอาปะการังจากที่ไหนมาปลูก” นายวิกรม ได้ให้ข้อมูล ว่า ปะการังที่ใช้ในการปลูกจะได้มาจากการสำรวจสภาพปะการังในแต่ละพื้นที่ และเก็บส่วนที่แตกหัก ตามพื้นทรายที่ใกล้ตายแล้วมาเสียบในแปลงอนุบาลเพื่อการขยายพันธุ์ ถ้าใช้ปะการังที่แตก หรือหักแล้ว มันจะงอกขึ้นมาเองได้ ถ้าปะการังชิ้นใดจมทราย จะทำให้มันตาย

       อย่างไรก็ตาม การปลูกปะการังในช่วงแรกๆ ของ อ.ประสาน มีปะการังตายมากกว่ารอด อีกทั้งยังถูกคนปรามาส แต่ อ.ประสาน กับทีมงานไม่ได้ย่อท้อได้ ทดลองปลูกปะการังในท่อพีวีซีต่อไป จนประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดโครงการปลูกปะการังตามต่อกันมานถึงปัจจุบัน โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้มีโครงการปลูกปะการัง ในชื่อโครงการ “รักษ์นะ ปะการัง” ขึ้น ที่ เกาะขาม อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ภายใต้การสนับสนุนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

       สำหรับเกาะขามที่นี่ถือเป็นพื้นที่ปลูกปะการังสำคัญในบ้านเรา เนื่องจากมีสภาพพื้นที่ สภาพน้ำเหมาะสม ซึ่งในอดีตเกาะขามเป็นพื้นที่ที่มีแนวปะการังอุดมสมบูรณ์ แต่ในปี 2540 ได้ถูกพายุลินดา ทำให้ปะการังเกิดความเสียหายอย่างมาก แถมในปี 2541 ยังเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวทำให้ปะการังตายเกือบทั้งหมด เหลือแค่บางส่วนที่รอดขึ้นมา
       
       เมื่อเหลือส่วนที่น้อย ทำให้ผู้คนที่เข้ามาดู หรือดำน้ำได้เหยียบย่ำไปบ้าง ชาวบ้านก็ทิ้งสมอเรือบ้าง ทำให้ปะการังเกิดความเสียหายและแตกหัก
       
       กระทั่งเมื่อประมาณปี 2548 ได้มีการสำรวจพื้นที่และเริ่มปลูกปะการังไปประมาณ 5,000 ต้น โดยปะการังที่ใช้ปลูกจะเป็นปะการังกิ่งใหญ่และเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ จึงทำให้ง่ายต่อการขยายพันธุ์ในพื้นที่ หลังจากนั้น ในปี 2551 ได้เริ่มโครงการ “วีนิไทย ร่วมใจปลูกปะการัง 80,000 กิ่ง เพื่อล้นเกล้า” โดยเกาะขามได้รับปะการังในโครงการมา 10,000 ต้น ตั้งแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบันก็ได้ปลูกไปจะครบ 10,000 ต้นแล้ว เนื่องจากปะการังเขากวางเป็นปะการังที่โตเร็ว จึงทำให้ครอบคลุมพื้นที่และง่ายต่อการเติบโต

  น.ส.กมลชนก จิตรพล หรือ น้องมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยาคาร ที่มาเข้าร่วมปลูกปะการังในโครงการ “รักษ์นะ ปะการัง” กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้มีโอกาสมาร่วมอนุรักษ์สัตว์ทะเลอย่างปะการังเขากวาง เพราะคนส่วนมากไม่ค่อยนึกถึงในส่วนนี้ ด้วยประสบการณ์การปลูกปะการังเขากวางครั้งแรกของเธอ
       
       สำหรับสัตว์ทะเลไม่ว่าจะเป็นปะการังเขากวาง หรือปะการังชนิดอื่นๆ ก็ล้วนมีความสำคัญต่อท้องทะเล จึงอยากให้มาร่วมกันอนุรักษ์ ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอย่างฝูงปลาเป็นต้น และสุดท้ายก็อยากจะฝากถึงทุกๆ คน ว่า อยากให้ช่วยกันมาปลูกปะการังกันเยอะๆ เพราะปัจจุบันแหล่งปะการังเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าเราช่วยกันคนไม้คนละมือ ท้องทะเลของเราก็จะอุดมไปด้วยแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล และนอกจากนั้น ยังมีปะการังสวยงามไว้ให้เราชมอีกด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 เมษายน 2555

5736
มวยไทย...มรดกไทย มรดกโลก
       
       วันนี้กระแสมวยไทย ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอันภาคภูมิใจของคนไทยยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแม่เหล็กชั้นดีดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมากให้เข้ามาในเมืองไทย
       
       พวกเขานอกจากจะเข้ามาท่องเที่ยวชื่นชมความสวยงามของเมืองไทยแล้ว หลายคนยังต้องการดูนักมวยไทยชกกันแบบจะจะเต็มสองตาในสนามมวย ขณะที่อีกหลายคนมีความต้องการลึกไปกว่านั้น คือต้องการมาสัมผัสเรียนรู้มวยไทยแบบให้ถึงแก่นด้วยการสมัครเรียนมวยไทย ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตามค่ายมวยต่างๆ อีกด้วย ซึ่งก็มีทั้งด้านบวกลบต่อแวดวงมวยไทยในบ้านเรา

       สามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตนักมวยไทยชื่อดังเจ้าของฉายา “เพชฌฆาตหน้าหยก” ที่ปัจจุบันหันมาเปิดโรงเรียนสอนมวยไทยของตัวเองในชื่อโรงเรียนสอนมวยไทยสามารถ พยัคฆ์อรุณ กล่าวว่า มวยไทยเป็นศิลปะ เป็นการต่อสู้มือเปล่าที่สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ ดูเหมือนอ่อนช้อยแต่อาวุธรุนแรง ซึ่งชาวต่างชาติแม้จะเรียนมาหมดแล้วทั้งเทควันโด ยูโด คาราเต้ กังฟู แต่สุดท้ายก็ต้องมาจบที่มวยไทย ดังนั้นการขยายของค่ายมวยเพื่อรับชาวต่างชาติจึงเยอะตามไปด้วย
       
       “ใครๆ ก็อยากเปิดค่ายมวยเพื่อรองรับชาวต่างชาติ คนพวกนี้หากจะมาเรียนมวยไทยจริงๆ ก็ต้องมาเรียนที่เมืองไทย เพราะถ้าเรียนกับฝรั่งที่บ้านเขามันไม่ได้เรียนกับต้นตำรับจริงๆ บางทีมาเรียนแล้วกลับไปสอน
       (ที่บ้านของเขา) พวกนี้แม้จะมาเรียนนิดๆ หน่อยๆ ต่อยครั้งสองครั้ง ถ่ายรูปกลับไปบ้านเขาก็ไปเปิดยิมได้แล้ว” สามารถกล่าวด้วยสำเนียงเหน่ออันเป็นเอกลักษณ์

       ส่วน ปัญญา ไกรทัศน์ หัวหน้ากลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมการท่องเที่ยว ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการมวยไทยมานานหลายสิบปี เปิดเผยว่า ค่ายมวยไทยสำหรับคนต่างชาติในปัจจุบันมีมากขึ้น โดยปัญญาได้แบ่งแยกไว้เป็น 3 ลักษณะด้วยกัน
       
       ประเภทแรกคือ ค่ายมวยที่เปิดสอนต่างชาติที่เข้ามาเพื่อฝึกซ้อมมวยไทยจริงๆ โดยชาวต่างชาติเหล่านี้จะซ้อมอย่างจริงจัง ไม่ออกไปไหน เรียนและซ้อมมวยเพียงอย่างเดียว เวลาเรียนก็จะให้เพื่อนถ่ายรูปไว้ให้ จากนั้นเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็จะบันทึกไว้ว่าแต่ละวันได้ทำอะไรไปบ้าง เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานนำไปต่อยอดเมื่อกลับประเทศ

       ประเภทที่สอง เป็นค่ายที่เปิดรับชาวต่างชาติแบบฉาบฉวย เช่นมีทัวร์ต่างชาติมาลง ก็ให้มาลองเตะกระสอบทราย ตั้งท่าถ่ายรูป เมื่อได้รูปกลับไปก็สามารถนำไปอวดเพื่อนๆ ญาติพี่น้องในประเทศของเขาได้ว่า ได้มาเรียนมวยไทยที่เมืองไทยแล้ว
       
       ส่วนประเภทสุดท้าย คือค่ายมวยที่เปิดเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวและมาพักอยู่นานๆ เนื่องจากต่างชาติหลายคนที่มาอยู่เมืองไทยนานๆ ราคาที่พักจะสูงตามไปด้วย ดังนั้นจึงมีชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งนิยมมาพักอยู่ในค่ายมวยแทน อย่างเช่น ค่ายมวยในภูเก็ต ก็จะมีที่พักให้สะดวกสบาย มีสถานที่ให้เรียนและฝึกซ้อมทั้งเช้าเย็น ส่วนชาวต่างชาติอาจจะซ้อมบ้างไม่ซ้อมบ้าง หรือออกไปท่องเที่ยวข้างนอกมากกว่า โดยใช้ค่ายมวยเป็นที่พักแทน ก็จะประหยัดค่าที่พักได้มาก

       ขณะที่ชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนมวยไทย ปัญญาก็ได้แบ่งเป็น 3 ประเภทเช่นกัน ประเภทแรก คือ พวกที่มาเรียนมวยไทยเพื่อกลับไปเปิดค่ายมวยที่ประเทศตัวเอง ประเภทที่สองก็คือพวกที่เรียนมวยไทยเพื่อที่จะออกกำลังกาย ประเภทที่สามเรียนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ คือขึ้นชกมวยเพื่อให้ตัวเองดัง พอมีชื่อเสียงก็สามารถเข้าไปเป็นซีเคียวริตี้ หรือไปเป็นการ์ด ตามผับตามบาร์ หรือตามบ่อนกาสิโนได้
       
       ด้านค่ายมวยที่มีชาวต่างชาตินิยมมาเรียนมวยไทยเป็นจำนวนมากอย่าง“ค่าย ส.วรพิน” ที่ตั้งอยู่ย่านถนนข้าวสารนั้น “เรือนแพ ส.วรพิน” หรือ เฉลิมพล ฉัตรคำ เทรนเนอร์ของค่ายนี้กล่าวว่า ทางค่าย ส.วรพิน เปิดรับสอนมวยไทยให้กับทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะมีชาวต่างชาติเข้ามาเรียนเรื่อยๆ โดยมีมาจากทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น

       “บางครั้งก็มีการจัดทัวร์เข้ามาเรียนมวยไทยโดยเฉพาะ อาจจะอยู่ตั้งแต่ 2-3 วัน จนถึงครึ่งเดือน ส่วนชาวต่างชาติที่พักอยู่ในละแวกถนนข้าวสารแล้วเดินผ่านมา ก็สามารถเดินเข้ามาเรียนได้เลย โดยทางค่ายจะบอกให้เข้ามาในช่วงเวลาที่มีการฝึกซ้อมคือในช่วงเช้าเวลา 07.00-09.00 น. ส่วนช่วงบ่ายเวลา 15.00-17.00 น. แต่หากอยากเรียนตัวต่อตัวก็ต้องนัดอาจารย์มาเรียนช่วงกลางวันเวลาว่าง ส่วนมากนั้นก็จะสอนพื้นฐานในการเตะ ต่อย ศอก ให้ถูกวิธีแบบมวยไทย แต่สำหรับคนที่มีเวลามาเรียนมากขึ้น ก็จะสอนแม่ไม้ และเทคนิคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น” เรือนแพ กล่าว

       ขณะที่ “James Singer” ชาวสกอตแลนด์ นักเรียนมวยไทยของค่าย ส.วรพิน ผู้มีนักมวยอย่าง “แสนชัย ซินบีมวยไทย” เป็นไอดอล เปิดเผยว่า ตนเคยอยู่ประเทศไทยประมาณ 2 ปี จากนั้นจึงกลับบ้านเกิดไป 3 ปี และเพิ่งกลับมาอยู่ที่เมืองไทยอีกครั้งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนการตัดสินใจมาเรียนมวยไทยเป็นเพราะตนชื่นชอบในศิลปะการต่อสู้ที่มีทั้งความเข้มแข็ง ความแข็งแรง และความสวยงาม การมาเรียนที่ประเทศไทยทำให้ได้เรียนรู้มวยไทยจากผู้ฝึกสอนจริงๆ และได้ฝึกซ้อมมวยไทยจริงๆ
       
       ส่วนเซกัล อวีไฮ ชาวอิสราเอล วัย 32 ปี ครูฝึกโยคะที่หันมาสนใจมวยไทย และมาฝึกซ้อมที่ค่าย ส.วรพิน เปิดเผยว่า ตนได้มาเห็นมวยไทยและเกิดประทับใจ รักมวยไทยตั้งแต่เข้ามาเมืองไทยเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จากนั้นเมื่อมาเมืองไทยก็จะมาฝึกมวยไทยอยู่เรื่อยๆ

       และนั่นก็คือเสน่ห์ของมวยไทยที่ชาวต่างชาติหลงใหล ที่ถือเป็นหนึ่งในแม่เหล็กกำลังแรงที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวเมืองไทย ดูมวยไทย และเรียนมวยไทยได้เป็นจำนวนไม่น้อย แต่กระนั้นแม้ศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเราจะโด่งดังไปไกลในระดับโลกมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับมีความสนใจต่อศิลปะการป้องกันตัวประเภทนี้ในระดับค่อนข้างต่ำ ซึ่งสามารถ พยัคฆ์อรุณ ให้ความเห็นไว้ว่า คนไทยหรือเด็กไทยส่วนใหญ่จะหันไปสนใจศิลปะการต่อสู้ของชาติอื่นกันหมด อย่างเช่น เทควันโด คาราเต้ ส่วนคนที่สนใจมวยไทยหรือพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมาเรียนมวยไทยจริงๆ นั้นก็มักหาโรงเรียนมวยมาสอนลูกไม่ได้ หากอยากให้เรียนจริงๆ จะต้องส่งลูกไปอยู่ที่ค่ายมวยเพื่อให้ไปเรียน แต่ก็จะกลัวลูกเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเด็กไทยเข้ามาเรียนมวยไทยมากนัก
       
       นอกจากนี้สามารถในฐานะที่คร่ำหวอดอยู่กับมวยไทยมานาน กล่าวถึงวงการมวยไทยในยุคปัจจุบันว่า “วงการมวยไทยยังไม่พัฒนา มวยไทยบ้านเราเป็นพวกการพนันเสียมาก กรรมการตัดสินก็เลยค้านสายตาคนที่ดูมวยไม่เป็น จะตัดสินตามใจเซียน ถ้าเซียนว่าฝ่ายไหนเป็นต่อฝ่ายนั้นก็ชนะ จริงๆ ศิลปะมวยไทยหายไปเพราะเซียนด้วย กรรมการด้วย ก็อย่างทุกวันนี้ลองเตะไปซักห้าที โดนจับเหวี่ยงล้มทีเดียวแพ้เลย คือกรรมการเตือนทีเดียวแพ้เลย เพราะเซียนโห่ บ้านเรามันมีแต่ทรุดลง แต่ต่างชาติตอนนี้เขายอมรับมวยไทย น่าจะทั่วโลกแล้วครับ”

       ด้าน ปัญญา ให้ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า ถ้าถามว่าวันนี้มวยไทยตกต่ำจริงไหม ก็คงจริง โดยปัญหาส่วนหนึ่งมาจากหน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะด้านการศึกษาซึ่งป่าวประกาศออกไปทั่วโลกว่า ขณะนี้ประเทศไทยส่งเสริมมวยไทย แต่ข้อเท็จจริงก็คือโรงเรียนต่างๆ ไม่สนอง เพราะฉะนั้นตามโรงเรียนต่างๆ จะไม่มีค่ายมวย ครูที่สอนมวยไทยก็ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องมวยไทย ตอนตัวเองลงวิชาเรียนพลศึกษา ก็ไม่ได้เน้นเรื่องมวยไทยเพราะกลัวเจ็บ แต่อยู่ๆ พอวันหนึ่งโรงเรียนเปิดสอนมวยไทยตัวเองก็ไปสอน ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเรื่องมวยไทย เพราะฉะนั้นเราก็เลยกำลังทำลายมวยไทยไป
       
       ขณะที่เรื่องของปัญหาการทำลายศิลปะแม่ไม้มวยไทย นอกจากเรื่องของการพนันที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ตัวนักมวยไม่เน้นเรื่องการใช้ศิลปะแม่ไม้มวยไทยหากแต่เน้นเรื่องการใช้กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ปล้ำตี ขณะที่กรรมการก็ให้คะแนนตามเสียงเฮของเซียนมวย ซึ่งในเรื่องนี้ปัญญาได้ให้ทัศนะว่า ปัญหาความตกต่ำของมวยไทย ส่วนหนึ่งมาจากกรรมการห้ามมวย เพราะปล่อยให้นักมวยเข้าไปกอดรัด บางทีเค้ากำลังจะได้เสียแต้มกรรมการก็ไม่รู้เรื่องเข้าไปแยก บางทีกรรมการก็ไม่ทันเกม

บนเวทีจริง
       ปัญญากล่าวต่อว่า ทุกวันนี้เราให้นักมวยต่อยกันเหมือนวัวชน บางยกทั้งยกไม่ทำอะไรนอกจากกอดกัน เลยทำให้มวยไทยเสื่อมลง คนดูก็บอกว่าไม่เห็นสนุกเลย ฝรั่งบอกว่าไหนมวยไทยตื่นเต้น เห็นกอดกันทั้งยกเลย ไม่เห็นทำอะไร ฉะนั้นฝรั่งก็เบื่อ พอไปเจอ Mix Martial Arts (MMA) ที่เลือดสาดเต็มเวที มันก็ประทับใจ
       อันนั้นมากกว่า
       
       “ตอนนี้เราอย่าไปทะนงตัวว่ามวยไทยเราเก่ง ถามว่ามวยไทยในต่างประเทศไปได้ไหม ได้ ไปได้ไกล แต่คนไทยต้องไปให้ไกลกว่านี้ วันนี้เราหลงทาง หลงตัวเอง คิดว่าเราเก่ง เราแน่ มันเลยไปได้ไม่ไกล ไปได้แค่คุย” ปัญญากล่าว

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       ค่ายมวยไทยที่มีการเปิดสอนในบ้านเรามีอยู่ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิน 1,762 ค่าย (จากการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) มีค่ายมวยมาตรฐานที่พร้อมรับทัวร์จำนวน 443 ค่าย แบ่งเป็น ภาคกลาง 75 ค่าย ภาคเหนือ 116 ค่าย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 147 ค่าย และภาคใต้ 105 ค่าย
       
       สำหรับค่ายมวยไทยในต่างประเทศจำนวน 36 ประเทศ (จากการสำรวจของสถานกงสุลใหญ่และสถานเอกอัครราชทูตไทย กระทรวงการต่างประเทศ) พบว่าค่ายมวยไทยมีมากถึงประมาณ 3,869 แห่ง โดย 5 ประเทศที่มีสถานที่สอนมวยไทยมากที่สุด คือ บราซิล 1,631 แห่ง, อิหร่าน 650 แห่ง, อินเดีย 256 แห่ง, โมร็อกโก 220 แห่ง และประเทศสหรัฐอเมริกา (เฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐเนวาดา และรัฐอิลลินอยส์)190 แห่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 เมษายน 2555

5737
การอนุรักษ์ป่าไม้ด้วยการ “บวชต้นไม้” ซึ่งเป็นกุศโลบายไม่ให้คนตัดไม้ทำลายป่า เป็นสิ่งที่เรารู้จักกันดี แต่สำหรับชาวบ้านท้องตมใหญ่ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ที่นี่เขาใช้การ “บวชทะเล” ซึ่งเป็นทั้งการอนุรักษ์ท้องทะเลและพันธุ์สัตว์น้ำ และยังเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่คนในชุมชนอีกด้วย
       
       “บ้านท้องตมใหญ่” เป็นหมู่บ้านชาวประมงชายฝั่งทะเล ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ในอ่าวโค้งรูปเกือกม้า โค้งอ่าวด้านในเป็นป่าชายเลน ส่วนในท้องทะเลนั้นก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ทะเลนานาชนิด ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการ “บวชทะเล” ของชาวบ้านท้องตม ที่ถือเป็นหนึ่งเดียวในไทยหรือในโลกก็ว่าได้ ที่มีการจัดกิจกรรมเช่นนี้

       การบวชทะเลของบ้านท้องตมใหญ่ เป็นการนำเอาพิธีทางศาสนามาควบรวมกับการอนุรักษ์ โดยการนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีและทำบุญกันที่บริเวณสะพานปลาของหมู่บ้าน และหลังจากทำพิธีบนฝั่งเสร็จชาวบ้านและสมาชิกเครือข่ายนักอนุรักษ์ที่มาร่วมงานก็จะลงเรือเพื่อช่วยกันนำ “ซั้ง” หรือเครื่องมือหาปลาภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทำโดยนำเอาไม้ไผ่หรือทางมะพร้าวมาทำเป็นกระโจม ลงไปวางใต้น้ำเพื่อสร้างเป็นบ้านและล่อให้ปลามาอยู่รวมกัน โดยเมื่อวางซั้งแล้วจะใช้ทุ่นกั้นเป็นเขตห้ามทำการประมง เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตสงวนรักษาให้ปลาวางไข่ออกลูกออกหลาน จนบริเวณนี้เป็นชุมชนปลาขนาดใหญ่
       
       นอกจากการวางซั้งแล้ว ทุกคนก็จะร่วมกันทิ้งระเบิดชีวภาพ ปล่อยปลา ปล่อยกุ้งในอ่าว จนทุกวันนี้ปัญหาความเสื่อมโทรม หรือปัญหาสัตว์น้ำมีจำนวนลดน้อยลงนั้นไม่เรียกว่าเป็นปัญหาแก่ชาวประมงบ้านท้องตมใหญ่อีกต่อไป โดยตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์อย่างหนึ่งของอ่าวท้องตมก็คือ “ม้าน้ำ” ที่สามารถพบเห็นได้ตามแม้ตามเสาบ้านที่ปลูกในทะเล

       การบวชทะเลนั้นจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 สำหรับในปีนี้ ชาวชุมชนชาวท้องตมใหญ่ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานชุมพร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อำเภอร่วมกันจัดโครงการ “บวชทะเลท้องตมใหญ่ สงวนรักษาร้อยล้านชีวิต” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัย เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 85 พรรษา โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2555 ณ บริเวณท่าเทียบเรือประมงบ้านท้องตมใหญ่ ตำบลด่านสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
       
       ผู้ที่สนใจสามารถมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบวชทะเลและอนุรักษ์พันธุ์ปลาในอ่าวท้องตมใหญ่ โดยในงานจะมีกิจกรรมการมอบปะการังเทียม พิธีทางศาสนา ลงเรือไปปล่อยปลา ปล่อยกุ้ง ปล่อยเต่า ปล่อยหอยมือเสือ และทิ้งก้อนจุลินทรีย์กลางทะเล โดยทางชุมชนได้เตรียมเรือไว้สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้มาร่วมงานฟรีทุกรายการ

       อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะได้มาเยือน “โฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่” ที่มีบ้านพักให้บริการจำนวน 8 หลัง แต่ละหลังมีบรรยากาศที่น่าประทับใจด้วยชานบ้านที่ยื่นออกไปในทะเล เปิดมุมมองกว้างไกลไปยังเวิ้งอ่าวท้องตมด้านนอก ที่สามารถกระโดดเล่นน้ำ หรือพายเรือคายัคจากระเบียงบ้านได้เลย รวมทั้งยังสามารถชิมอาหารทะเลสดๆ ทั้งปลา หมึก กุ้ง กั้ง จากแม่ครัวฝีมือเยี่ยม และสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมการปลูกป่าชายเลน การตกปลา ลากปลา คล้องกุ้ง และตกหมึกกล้วย การดำน้ำตามเกาะต่างๆ ในทะเลชุมพร เช่น เกาะทองแก้ว เกาะมัดหวายใหญ่ และเกาะกุลา ก็ได้เช่นกัน
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 พฤษภาคม 2555

5738
 “หมอสุริยเดว” แนะใช้คะแนนกิจกรรมคัดเด็กเรียนต่อ ม.4 ด้วย บอกเด็กจะได้ไม่บ้าเรียนเกินไป จนกลายเป็นการแข่งขัน วอนโรงเรียนทบทวนให้โอกาสเด็กกิจกรรมและทำชื่อเสียง ย้อนถาม ศธ.จะให้เด็กจบ ป.เอก โดยไม่ทำกิจกรรม หรือทำอะไรให้สังคมเลยหรือ
   
       นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่า กรณีนักเรียนโรงเรียนบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) อดข้าวประท้วงไม่ได้เข้าเรียนต่อชั้น ม.4 สะท้อนว่า เด็กบางคนที่เป็นนักกิจกรรม และทำชื่อเสียงให้โรงเรียน แต่ไม่ได้รับพิจารณาเข้าเรียนต่อ เพราะขณะนี้โรงเรียนทุกแห่งกำลังมุ่งใช้คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร และคะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เป็นเกณฑ์ตัดสินคัดนักเรียนเข้าศึกษาต่อ ซึ่งจะทำให้เด็กมุ่งแต่เรียนอย่างเดียว เกิดความเครียด และแห่ไปกวดวิชา โดยไม่สนใจทำกิจกรรม แต่โรงเรียนควรนำค่าน้ำหนักคะแนนจากการร่วมกิจกรรมมาประกอบการพิจารณาคัดเลือก อาทิ การเป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าแข่งขันและสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ซึ่งจะทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียน และไม่ต้องกังวลว่าเสียสละเวลามาทำกิจกรรมให้กับโรงเรียน แล้วจะไม่ได้เข้าเรียนต่อ ตนคิดว่า ถึงเวลาที่ต้องมาร่วมกันทบทวน เพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดความรู้สึกว่า ทำกิจกรรมของโรงเรียนแล้ว จะกลายเป็นจุดเสี่ยง
       
       “เรื่องของผลการเรียนก็ทิ้งไม่ได้ เพราะหากได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 1 กว่า ก็จะมีปัญหาในการเรียนระดับ ม.ปลาย แต่ก็อยากให้นำเรื่องการทำกิจกรรมของนักเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเข้าเรียนต่อด้วย เพราะไม่อยากให้เด็กไทยบ้าเรียนจนเกินไป ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องถามไปยังกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ต้องการจะให้เด็กไทยจบปริญญาเอก โดยไม่เคยทำกิจกรรม หรือทำอะไรให้กับสังคมเลยใช่หรือไม่” นพ.สุริยเดว กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 พฤษภาคม 2555

5739
“หมอวินัย” นั่งเลขาฯ สปสช.สมัยที่ 2 ตั้งเป้าจะเอารางวัล TQA ปี 2559 พร้อมดัน 7 ยุทธศาสตร์ เตรียมเข้าสู่เขตเศรษฐกิจอาเซียน ลั่นทุกคนบนแผ่นดินไทยต้องได้รับความคุ้มครองหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้า
       
       วันนี้ (22 พ.ค.) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.แถลงข่าวเรื่อง “ขับเคลื่อน 7 ยุทธศาสตร์มุ่งสู่ทศวรรษที่ 2 สร้างความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ในโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นเลขาธิการ สปสช.ต่อเป็นวาระที่สอง
       
       นพ.วินัย กล่าวว่า ในโอกาสที่ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.สมัยที่สอง ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในระยะต่อไป ต้องการพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อเป็นตาข่ายคุ้มครองด้านสุขภาพของประชาชน ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การมีส่วนร่วมสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข การบริหารเงินกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการระดมทรัพยากรจากแหล่งอื่น และการบริหารจัดการองค์กรที่มีธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพระดับสากล ด้วยวิสัยทัศน์ “ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยได้รับความคุ้มครองหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้าด้วยความมั่นใจ”
       
       นพ.วินัย กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน จะสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามกฎหมายอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการ สปสช.ให้คงไว้ซึ่งความเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง มีการบริหารจัดการที่ดี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ประสาน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีทุกภาคส่วน เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีความมั่นคง โดยขับเคลื่อนผ่าน 7 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
       
       1.เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกและมาตรการคุ้มครองด้านประกันสุขภาพ สำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้า โดยคุ้มครองประชาชนที่ไม่มีหลักประกัน คุ้มครองผู้ด้อยโอกาสในสังคม และคุ้มครองผู้ที่มีหลักประกันภาครัฐอื่นๆ
       
       2.พัฒนากระบวนการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ และสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพอย่างกว้างขวาง และนำไปสู่ความเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยดำเนินงานร่วมกับองค์กรสุขภาพอย่างกว้างขวาง สร้างความรู้ความเข้าใจด้านหลักประกันแก่ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน กระจายอำนาจการบริหารจัดการ พัฒนาต่อยอดการสนับสนุนการมีส่วนร่วม
       
       3.สนับสนุนการพัฒนาการบริการสาธารณสุข ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพให้มีคุณภาพมาตรฐานทุกคนเข้าถึงได้และเป็นที่พึงพอใจของประชาชน และผู้ให้บริการตามแนวทาง SMART UC โดยมีหมอใกล้บ้านใกล้ใจ มียาดีใช้เพียงพอ ไม่ต้องรอรักษานาน มีการจัดการโรคเรื้อรัง
       
       4.ส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้บริการ และผู้รับบริการโดยเน้นการเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน โดยขยายศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการและภาคประชาชน เอื้อให้ผู้เสียหายเข้าถึงมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 และส่งเสริมพลังจากงานจิตอาสา เน้นการรับฟังความคิดเห็น
       
       5.บริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริหารทรัพยากรบนหลักการความคุ้มค่าการกระจายที่เหมาะสมเป็นธรรม ศึกษาความเป็นไปได้ในการระดมทรัพยากรจากแหล่งอื่น นอกเหนือจากงบประมาณ พัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ และระบบบริการ สร้างขวัญกำลังใจที่เหมาะสมแก่บุคลากรสาธารณสุข
       
       6.เสริมสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างกองทุนอื่นๆ ทั้งด้านสิทธิประโยชน์ และการให้บริการ โดยร่วมกับกองทุนสุขภาพอื่นๆ ในการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์และระบบบริการให้เท่าเทียม ร่วมกันพัฒนากลไกการเงินการคลัง ร่วมกันพัฒนาเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายกลาง หรือ Clearing House ร่วมกับทุกกองทุนบูรณาการระบบบริหารจัดการและบริการสาธารณสุข ร่วมกันพัฒนากลไกการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนทราบสิทธิและหน้าที่
       
       7.เสริมสร้างและพัฒนาธรรมาภิบาล ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของระบบประกันสุขภาพ โดยเน้นความโปร่งใส และรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการสนับสนุนภารกิจตามกฎหมาย สนับสนุนการกระจายอำนาจในระดับพื้นที่ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เตรียมความพร้อมสู่การเป็นเขตเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 และพัฒนาคุณภาพองค์กรแห่งการเรียนรู้ จนได้รับรางวัล Thailand Quality Award หรือ TQA ในปี 2559 และจะเป็นแหล่งศึกษาด้านการสร้างหลักประกันสุขภาพในระดับภูมิภาค และระดับสากลต่อไปด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 พฤษภาคม 2555

5740
สปสช.โต้ข่าวล้างไตในช่องท้องทำติดเชื้อเสียชีวิต โวอัตราการติดเชื้อของไทยดีกว่ามาตรฐานสกล ส่วนอัตราเสียชีวิต 4 ปี เฉลี่ยปีละ 10% เท่านั้น
   
       นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ผู้ป่วยที่ล้างไตผ่านทางช่องท้องติดเชื้อจนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นว่า จากการที่ สปสช.เริ่มบริการล้างไตมาตั้งแต่ปี 2551 จนปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 4 ปี มีผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องทั้งหมด 15,000 ราย พบอัตราการเสียชีวิตร่วมทั้งหมด 40% เฉลี่ยปีละ 10% เท่านั้น โดยพบว่าอัตราการเสียชีวิตนั้น มักเกิดในผู้ที่ป่วยไตและมีสภาพร่างกายที่เสื่อมโทรมมาก ซึ่งธรรมชาติของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาก็ต้องเสียชีวิตภายใน 2-4 เดือนอยู่แล้ว แต่หากได้รับการรักษาก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของไตที่เหลือได้ดี และหากจะรักษาให้หายขาดก็ต้องเปลี่ยนไต
       
       นพ.ประทีป กล่าวต่อว่า ปัจจุบันยืนยันว่า ระบบการบริการล้างไตทางช่องท้อง ตามมาตรฐานสากล หรือระดับโลกระบุว่า ต้องบริการรักษาผู้ป่วย 1 ราย ให้ติดเชื้อได้เฉลี่ย 18 เดือนต่อ 1 ครั้ง หมายความว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ป่วยจะไม่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ แต่ประเทศไทยทำได้ดีกว่าระดับโลกกำหนด คือ ช่วงปีแรกๆ ที่เริ่มโครงการนั้นมีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ย 20 เดือน ต่อ 1 ครั้ง ขณะที่ผลดำเนินการปี 2554 พบว่า มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 24 เดือนต่อครั้ง จึงถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินการเพราะมาตรฐานทางยุโรป ก็ไม่ต่างกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 พฤษภาคม 2555

5741
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องหมอไม่ผิดละเมิดผู้ป่วย อ้างจ่ายยาคลายเครียด “ซาแนกซ์” จนติด เจ้าตัวลั่นสู้ยันฎีกา จ่อฟ้องหมิ่นเพิ่ม
       
       วันนี้ (21 พ.ค.) เวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่งธนบุรี ถ.เอกชัย ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่นางวาสนา แพร่คุณธรรม อายุ 46 ปี อดีตพนักงานบริษัทเอกชน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.กิตติ ก่อเกียรติ เจ้าของคลินิกแห่งหนึ่ง เป็นจำเลย คดีผู้บริโภค เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 8,085,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันถัดฟ้อง กรณีเมื่อปี 2543 โจทก์ไปรักษาอาการเครียดที่คลินิกของจำเลย ซึ่งได้จ่ายยาซาแนกซ์ ซึ่งเป็นยาอัลปราโซแลม ขนาด 1 มิลลิกรัมให้โจทก์รับประทาน ครั้งแรกประมาณ 20-30 เม็ด แล้วภายหลังเพิ่มจำนวนยาเป็นครั้งละ 100-300 เม็ด จนถึงจ่ายยาให้เป็นขวดๆ ละ 500 เม็ด ต่อเนื่องนาน 10 ปี จนทำให้โจทก์มีอาการติดยา และผลจากการติดยาทำให้โจทก์เป็นโรคลมชักถาวร จนต้องบำบัดอาการติดยา และผลจากการเป็นโรคลมชัก ทำให้โจทก์ต้องเข้าผ่าตัดจากหัวไหล่หลุดถึง 2 ครั้ง จนโจทก์ไม่สามารถใช้แขนขวาได้ตามปกติ ซึ่งโจทก์ต้องออกจากงานเพื่อรักอาการป่วยด้วย จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าว
       
       คดีนี้ศาลแพ่งธนบุรี มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 มี.ค.54 เห็นว่า คดีนี้จำเลย มีแพทย์เบิกความให้ความเห็นว่า การที่จำเลยสั่งจ่ายยาซาแนกซ์ ตั้งแต่เดือน ต.ค.46-ส.ค.52 เฉลี่ยประมาณเดือนละ 50 เม็ด ถือว่าเป็นการสั่งยาตามปกติไม่ผิดปกติ ขณะที่การกินยาซาแนกซ์ไม่ทำให้เกิดอาการลมชัก ส่วนการชักนั้น เมื่อผู้ป่วยทานยาซาแนกซ์ติดต่อกัน เมื่อหยุดยาทำให้ชักได้แต่ก็ไม่ใช่ลมชัก ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายยาให้โจทก์ตั้งแต่เดือน ต.ค.46-ส.ค.52 เฉลี่ยประมาณเดือนละ 50 เม็ด ขนาด ๆ 1 มิลลิกรัม ตามเอกสารเวชระเบียนเป็นการสั่งจ่ายยาตามปกติ ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายและอยู่ในกระบวนการรักษาปกติ ไม่เป็นเหตุให้เกิดโรคลมชักตามที่โจทก์ตั้งเรื่องฟ้องจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
       
       ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกค่าทดแทน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
       
       นางวาสนา กล่าวหลังจากฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ว่า จะยื่นฎีกาในคดีนี้แน่นอน และจะปรึกษากับทางทนายความว่าจะมีการฟ้องร้อง นพ.กิตติ เพิ่มเติม ในความผิดฐานหมิ่นประมาทจาก กรณีที่นาย นพ.กิตติเคยยื่นหนังสือต่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.กระทรวงสาธารณสุข ในขณะนั้น เพื่อขอคืนใบอนุญาตที่ที่ตนยื่นเรื่องร้องเรียนต่อแพทยสภาเอาไว้ โดยในหนังสือมีเนื้อหากล่าวหาว่าตนมีพฤติการณ์จัดหาคนเพื่อวางแผนการและมีพฤติกรรมไม่สุจริต ในการเรียกร้องเงินจาก นพ.กิตติ ซึ่งเป็นการใส่ร้ายตนต่อผู้อื่นอีกด้วย

ทีมข่าวอาชญากรรม    21 พฤษภาคม 2555
manager.co.th

5742
เปิดผลสำรวจความเห็นคนไทย กรณีงานด้าน ส่งเสริมสุขภาพของ สสส.พบประชาชน 70% จากจำนวนกว่า 7 พันคน เห็นด้วยกับการทำงาน พร้อมหนุน หากขาดงบจากรัฐ
       
       วันนี้ (21 พ.ค.) ที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP กล่าวในการแถลงข่าว “ผลประเมินการดำเนินมาตรการสร้างเสริมสุขภาพของ สสส.” ว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นองค์กรใหญ่ที่ทำประโยชน์ให้สังคม ด้วยการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน อาทิ การลดปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และปัญหาการสูบบุหรี่ โดยได้รับงบประมาณร้อยละ 2 จากภาษีสุรา และบุหรี่ หรือคิดเป็น 3,000 ล้านบาทต่อปี HITAP จึงมีความคิดว่าควรมีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบผลทางเศรษฐกิจ จากการดำเนินนโยบายในการลดปริมาณผู้สูบบุหรี่และผู้ดื่มแอลกอฮอล์ โดยได้รับงบประมาณจาก สวรส.4-6 ล้านบาท ทำการศึกษา 2 ปี ตั้งแต่ปี 2552 โดยทำการสำรวจกลุ่มประชาชน 7,311 คน ในกลุ่มอายุ 15 ปี-65 ปี ใน 10 จังหวัดตามภูมิภาคต่างๆ ทั้งนี้ สำรวจ 2 เรื่อง คือ 1.การประเมินความเต็มใจจ่ายของครัวเรือนต่อมาตรการสร้างเสริมสุขภาพของ สสส.และ 2.การพัฒนาแนวทางการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดของการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพ ของ สสส.
       
       ภญ.พัทธรา ลีฬหวรงค์ นักวิจัยจาก HITAP เปิดเผยงานวิจัยในส่วนของ การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความเต็มใจจ่ายของครัวเรือน โดยมุ่งประเด็นว่า หากในอนาคต สสส.ไม่ได้รับเงินสนับสนุนในการขับเคลื่อนงานอีก ประชาชนจะมีความเห็นอย่างไร และยังต้องการให้ สสส.ดำเนินการต่อไปหรือไม่ พบว่า ร้อยละ 70 ของกลุ่มตัวอย่างต้องการเห็น สสส.ดำเนินงานต่อ และพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อสนับสนุน ขณะที่ร้อยละ 30 ไม่เต็มใจ โดยกลุ่มที่ไม่เต็มใจ ส่วนมากจะมีการศึกษาสูงสุดในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มสุราร่วมด้วย สะท้อนว่า คนกลุ่มนี้ยังมีปัญหาในเรื่องความตระหนักรู้ในการส่งเสริมสุขภาพ ดังนั้น กรณีดังกล่าว สสส.อาจต้องมีนโยบายเข้าถึงคนกลุ่มนี้มากขึ้น
       
       ภญ.พัทธรา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในกลุ่มที่เต็มใจจ่ายเงินนั้น มีการศึกษาว่าเต็มใจจ่ายเพื่อให้ สสส.ทำงานด้านใดบ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประชาชนเข้าถึงง่ายที่สุด โดยพบว่า กลุ่มแผนควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผู้เต็มใจจ่ายมากที่สุดถึง 2,456 คน โดยเต็มใจจ่ายที่ 50 บาทต่อปี รองลงมา กลุ่มแผนควบคุมการบริโภคยาสูบ มีผู้เต็มใจจ่าย 2,439 คน ในอัตรา 50 บาทต่อปี กลุ่มแผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพเรื่องอาหารและโภชนาการมีจำนวน 2,435 คน ในอัตรา 50 บาทต่อปี ส่วนแผนการส่งเสริมการออกกำลังกาย และกลุ่มแผนการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน มีผู้เต็มใจจ่ายเท่ากัน คือ 2,432 คน ในอัตรา 100 บาทต่อปี สุดท้ายกลุ่มแผนสื่อสารการตลาดเพื่อสังคมมีจำนวน 2,427 คน ในอัตรา 20 บาทต่อปี ซึ่งทั้งหมดไม่ได้สะท้อนว่าจะต้องจ่ายจริงหรือไม่ แต่การสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประชาชนเข้าถึงการสื่อสารในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพมากน้อยเพียงใด และเห็นคุณค่าของเรื่องนี้เหล่านี้หรือไม่ ปรากฏว่า ส่วนใหญ่รับทราบและตระหนักในเรื่องส่งเสริมสุขภาพ
       
       ด้าน ภญ.มนทรัตม์ ถาวรเจริญทรัพย์ นักวิจัยในส่วนของการศึกษาการดำเนินงานด้านบุหรี่และสุราของ สสส.นั้น พบว่า ทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขได้นำจำนวนปีที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมาเปรียบเทียบเป็นมูลค่าความสูญเสียต่อราย โดยพบว่า หากประชาชนเริ่มสูบุหรี่ ตั้งแต่อายุ 15 ปี-ตลอดชีวิต จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่ 4.6 ปี ในเพศชาย คิดเป็นความสูญเสียรายได้ที่ 158,000 บาทต่อราย และในหญิงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่ 3.4 ปี และสูญเสียรายได้ที่ 85,000 บาทต่อปี ซึ่งพบว่า หากสามารถทำให้เลิกสูบบุหรี่ได้เร็วเท่าใด ก็จะลดความสูญเสียทั้งจำนวนปีที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมูลค่าความสูญเสียต่อรายได้ ส่วนผลการศึกษาความสูญเสียในประชาชนที่ดื่มสุราอย่างอันตรายตลอดชีวิต พบว่า ในเพศชายจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 2.6 ปี คิดเป็นมูลค่าความสูญเสีย 307,000 บาทต่อราย แต่หากทำให้เลิกดื่มได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี จะป้องกันการสูญเสียได้ 275,000 บาทต่อราย ในเพศหญิง จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 1.4 ปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 202,000 บาทต่อราย แต่ถ้าทำให้เลิกดื่มได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี จะลดความสูญเสียได้ 178,000 บาทต่อราย
       
       ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ในฐานะผู้อภิปรายงานวิจัย กล่าวว่า เห็นว่า การทำงานที่ผ่านมา สสส.ดำเนินการดี ซึ่งไม่เพียงแต่ลดนักดื่มและนักสูบหน้าใหม่ แต่เน้นเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างพฤติกรรมของสังคมของคนด้วย เช่น วัดปลอดเหล้า ซึ่งเดิมทีมีการดื่มเหล้าในวัด ในงานประเพณีต่างๆ แต่โครงการนี้เข้าไปเปลี่ยนแนวความคิด ซึ่งถือว่าดี ขณะเดียวกัน ยังมีการทำงานเพื่อขับเคลื่อนกฎหมายต่างๆ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ดังนั้น แนวทางนี้ถือว่าดีและควรดำเนินการ แต่อยากฝากว่า ไม่ควรรณรงค์ตามสื่อทีวีเพียงอย่างเดียว และขอให้ส่งเสริมสุขภาพไปยังคนกลุ่มฐานะยากจน กลุ่มที่เข้าไม่ถึงต่างๆ ด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างการศึกษาใน 2 แผนงานดังกล่าว อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยสะท้อนบางมุมทั้งด้านลบ ด้านบวก ของ สสส.เฉพาะส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสะท้อนการทำงานทั้งองค์กรได้ ทราบมาว่า ในเวลาเร็วๆ นี้ จะมีการประเมินผลการดำเนินงานของ สสส.รอบ 10 ปี ที่ประเมินในวงกว้างทุกๆ แผนงาน เชื่อว่า ณ ขณะนั้น สังคมจะได้เห็นภาพชัดขึ้น แต่จะมีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร คงต้องติดตาม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 พฤษภาคม 2555

5743
 อย.เผยอันตรายสารตะกวปนเปื้อนในลิปสติกยี่ห้อดัง เข้าสู่ร่างกาย มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ความจำเสื่อม ใช้ระยะยาวทำให้เกิดอาการอ่อนแรงทางแขนและขาได้
       
       นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวสารตะกั่วปนเปื้อนในลิปสติก จาก Time Healthland เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 กล่าวถึงลิปสติก Maybelline’s Colour Sensation in Pink Petal ปนเปื้อนสารตะกั่ว 7.19 ppm และ L’oreal Colour Riche in Volcanic ปนเปื้อนสารตะกั่ว 7 ppm หลายยี่ห้อรวมถึง Cover Girl และ Nars ปนเปื้อนสารตะกั่ว 4-5 ppm แต่ปริมาณสารตะกั่วปนเปื้อนเฉลี่ยที่พบในลิปสติก 400 ตัวอย่างคือ 1.11 ppm นอกจากนี้ในปี 2007 US FDA ตรวจสารปนเปื้อนตะกั่วในลิปสติก 20 ตัวอย่าง พบตะกั่วปนเปื้อนทุกอย่าง แต่ไม่เกิน 3.06 ppm (รัฐ California กำหนดค่าการปนเปื้อนลิปสติกที่ปลอดภัยไม่เกิน 5 ppm) ในปี 2007 US FDA เริ่มเก็บตัวย่างลิปสติกตรวจสารปนเปื้อนตะกั่วเนื่องจากแรงกดดันของผู้บริโภคจากองค์กร Campaige for Safe Cosmetics ซึ่งองค์กรนี้ได้เก็บลิปสติก 33 ตัวอย่าง ตรวจและพบสารปนเปื้อนตะกั่วในตัวอย่างส่วนมาก นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ US FDA กำหนดปริมาณสารปนเปื้อนตะกั่วในลิปสติก เนื่องจากเห็นว่าลิปสติกทาวันละหลายครั้ง ใช้ทุกวัน ซึ่งหากได้รับสารตะกั่วทำให้การเรียนรู้ ภาษา และพฤติกรรมในเด็กมีปัญหา รวมทั้ง IQ นั้น
       
       จากกรณีข่าวดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลเครื่องสำอางพบว่าลิปสติก Maybelline’s Colour Sensation เฉดสี Pink Petal ใบรับแจ้งเลขที่ 10-2-5219613 ลิปสติก L’oreal Colour Riche เฉดสี Volcanic ใบรับแจ้งเลขที่ 10-2-5323530 ลิปสติก Nars เฉดสี Red Lizard และเฉดสี Funny Face ใบรับแจ้งเลขที่ 10-2-5324788 และได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้นำเข้าบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ อย. โดยบริษัททั้งสองได้ชี้แจงว่าไม่ได้ใส่สารตะกั่วในการผลิตลิปสติกแต่อย่างใด แต่สารตะกั่วที่พบนั้นมาจากการปนเปื้อนในธรรมชาติ เช่น น้ำ อากาศ และวัตถุดิบ ซึ่งเป็นการปนเปื้อนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การปนเปื้อนที่พบในลิปสติกน้อยกว่าการปนเปื้อนในธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อย. ได้เก็บตัวอย่างลิปสติกดังกล่าวส่งตรวจวิเคราะห์ เพื่อดูว่าปริมาณที่ปนเปื้อนนั้นอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ ดังนั้น หากผู้ใดใช้ลิปสติกรุ่นและเฉดสีตามข่าวดังกล่าว ขอให้หยุดใช้ชั่วคราวก่อน จนกว่า อย.จะทราบผลการตรวจวิเคราะห์ พร้อมแจ้งให้ประชาชนทราบ แต่หากพบการกระทำผิด อย.จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 แหล่งข่าวจาก อย.ระบุว่า ทั้งนี้สำหรับสารตะกั่วที่พบ ในเครื่องสำอางยี่ห้อดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่พบ ยังไม่ได้ยืนยันผลการวิเคราะห์ที่ชัดเจนว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ และมากน้อยเพียงใดและที่มาของสารตะกั่วนั้น มาจากธรรมชาติหรือมาจากการผสมเข้าของ ผู้ผลิต ซึ่ง อย.จำเป็นต้องประกาศเตือนก่อนเพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค แม้ว่าปริมาณที่พบจะยังถือว่าไม่ได้สูงกว่ามาตรฐานก็ตาม เพียงแต่เหตุผลที่ อย.ต้องเตือนผู้บริโภคให้หยุดใช้ชั่วคราวเพราะ ลิปสติกนั้น ผู้ใช้ต้องทา ต้องสัมผัส ตลอดเวลา จึงต้องเฝ้าระวัง
       
       อนึ่งข้อมูลจาก อย.ระบุว่า อันตรายของสารตะกั่ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายทั้งระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร และหากได้รับในปริมาณมากในระดับความเข้มข้นสูง จะมีอาการ ปวดมวนท้อง อาเจียน ท้องผูก ปวดศีรษะ นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบประสาท เช่น เกิดภาวะซึม สับสน ชัก และ หมดสติ บางรายอาจส่งผลต่อเรื่องการขาดสมาธิ ความจำเสื่อม ในระยะยาวผู้ป่วยอาจมีภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมทำให้เกิดอาการอ่อนแรงทางแขนและขาได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 พฤษภาคม 2555

5744
วันนี้ (21 พ.ค.) นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผอ.รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ กล่าวว่า จากภาวะวิกฤติหลายด้านของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย สินค้าราคาแพง ปัญหาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม พายุถล่ม สภาพอากาศร้อนอบอ้าว รวมทั้งปัญหายาเสพติด ส่งผลทำให้ประชาชนเกิดความเครียดมากขึ้น

จากภาวะความเครียดดังกล่าว ส่งผลต่อเนื่องทำให้ที่มีผู้ป่วยนอกเข้ามารับบริการใน รพ.จิตเวชนครราชสีมา เพิ่มมากขึ้น โดยเฉลี่ยสูงขึ้นปีละ 5-10% หรือมีจำนวนผู้มารับการรักษาเฉลี่ยประมาณ 100,000 คนต่อปี ปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษา 500-510 คนต่อวัน สูงขึ้นจากเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 450-460 คนต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นป่วยโรคจิตเภท มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน ซึ่งมีประมาณ 60-70%  รองลงมาเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และผู้ป่วยที่ใช้สารเสพติดแล้วมีอาการทางจิตแทรกซ้อน และในจำนวนผู้ป่วยดังกล่าว 10-20% เป็นผู้ป่วยอาการรุนแรง
 
ผอ.รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันใน รพ.ก็มีจำนวนผู้ป่วยในเพิ่มมากขึ้นด้วย จากที่มีจำนวนเตียงนอนทั้งหมด 300 เตียง เดิมทีนั้นจะมีผู้ป่วยในที่ต้องนอนค้างรักษาประมาณ 200 คน แต่ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 240-250 คน ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการของ รพ.จิตเวชมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายการบริการเข้าถึงชุมชนเพิ่มมากขึ้น โดยเครือข่ายของสาธารณสุข ที่พยายามค้นหาผู้ป่วยรายใหม่เข้ามารับการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากจุดให้บริการที่มีอยู่เดิมแล้ว ปัจจุบันทาง รพ. ได้เพิ่มจุดบริการห้องผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินอีก 1 ห้อง มีจิตแพทย์และพยาบาลพร้อมเครื่องมือแพทย์ครบครัน คอยให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่มีลักษณะอาการกำเริบรุนแรง เพื่อรองรับปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันอีกด้วย.

เดลินิวส์  21 พฤษภาคม 2555

5745
วารสาร “การแพทย์นิว อิงแลนด์” ของสหรัฐฯ รายงานว่า การศึกษาในเรื่องการดื่มกาแฟ กับคนจำนวน 400,000 คน ได้ผลว่า ผู้สูงอายุที่ดื่มกันแค่วันละ 2–3 ถ้วย มีโอกาสจะมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่น้อยกว่า 14 ปี เหนือกว่าคนที่ไม่ดื่มหรือนานๆจะจิบที

กาแฟยังมีส่วนทำให้โอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง การติดเชื้อ การบาดเจ็บ และอุบัติเหตุน้อยลงไปด้วย และแม้แต่ยังไม่อาจรู้สาเหตุชัด แต่ก็คิดว่ามันก็มีส่วนช่วยให้อายุยืนอยู่ด้วย

นักวิจัยนีล เฟรดแมน ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า “เรารู้ดีว่า มันมีฤทธิ์ต่อสมอง จึงอาจเป็นไปได้ว่ามันมีส่วนด้วย หรือไม่ก็อาจมีคุณต่อสุขภาพของกระดูก” เขาบอกห้ามว่า “สำหรับคอกาแฟแล้ว อย่าไปเลิก อาจจะมีบางคนบอกว่ามันไม่ดีอยู่บ้าง แต่ผมเห็นว่า มันช่วยยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นภัย” แต่บอกต่อไปว่า “หากจะบอกว่ามันมีคุณ ก็ยังพูดไม่ได้ เพราะยังหาสาเหตุไม่เจอเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ยุให้ใครรีบไปซดเสีย โดยหวังว่าจะได้ประโยชน์จากมัน”.

ไทยรัฐออนไลน์  22 พค 2555

หน้า: 1 ... 381 382 [383] 384 385 ... 534