แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 378 379 [380] 381 382 ... 537
5686
เปิดแนวเวนคืนที่ดินมอเตอร์เวย์สายใหม่ "บางปะอิน-โคราช" 196 กิโลเมตร ผ่า 3 จังหวัด 12 อำเภอ "พระนครศรีอยุธยา-สระบุรี-โคราช" กรมทางหลวงขีดแนวเวนคืนกว้าง 400-2,500 เมตร คาดประกาศในราชกิจจาฯสิงหาคมนี้ เผยมีตระกูลดัง-นายทุนกรุงเทพฯ ซื้อที่ปากช่องติดโผตรึม ทั้ง "กฤตย์ รัตนรักษ์" เจ้าของแบงก์กรุงศรีฯ ที่ดินซีพี โบนันซ่า วังน้ำเขียวรีสอร์ท ตระกูลพรประภา-เปี่ยมพงษ์ศานต์-อดิเรกสาร-กลิ่นประทุม จับตามหา"ลัยสงฆ์ "มหาจุฬาฯ ราชวิทยาลัย-โฮมโปร" มีลุ้น เตรียมจ้างเอกชนเวนคืนให้เสร็จใน 8 เดือน เริ่มสร้างปี"56

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. ใกล้เป็นจริงแล้ว ล่าสุดอยู่ระหว่างเสนอร่าง พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ หลังจากผ่านขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ประมาณสิงหาคมนี้

แนวเวนคืนกว้างสุด 2.5 กม.

โดยแนวเวนคืนที่ดินที่อยู่ระหว่าง 400-2,500 เมตร แนวเส้นทางจะเริ่มต้นบริเวณจุดเชื่อมต่อบางปะอินกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก ด้านข้างแนวรั้วมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผ่านศูนย์การค้าโฮมโปร จากนั้นผ่านพื้นที่โล่ง

เมื่อแนวเส้นทางผ่านหินกองจะเบนไปทางทิศตะวันออกตัดกับทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แล้วซ้อนทับและใช้เขตทางร่วมกับทางเลี่ยงเมืองสระบุรีด้านตะวันออก ก่อนแยกออกจากแนวเลี่ยงเมืองตรงไปผ่านบ้านห้วยแห้ง แล้วขนานด้านใต้กับแนวทางหลวงหมายเลข 2 ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 3222 (แก่งคอย-บ้านนา) ผ่านบ้านโคกกรุง ด้านเหนือของวิทยาลัยเกษตรสงเคราะห์สระบุรี เข้าสู่เขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองทับกวาง แล้วเข้าเขตพื้นที่อำเภอมวกเหล็ก

จากนั้นตัดผ่านพื้นที่บ้านคั่นตะเคียน บ้านกลางดง ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 2222 ทางเข้าวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ตรงไปยัง จ.นครราชสีมาบริเวณบ้านหนองน้ำแดง ผ่านพื้นที่ทหาร ซ้อนทับกับถนนมิตรภาพช่วงเลียบเขื่อนลำตะคอง ตัดข้ามถนนมิตรภาพ บริเวณบ้านคลองไผ่ จะอยู่ด้านเหนือถนนมิตรภาพโดยตลอด มาสิ้นสุดที่วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา

ตัดผ่าน 3 จังหวัด 12 อำเภอ

ตลอดแนวเส้นทางจะตัดผ่านพื้นที่ 3 จังหวัด 12 อำเภอคือ 1) จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ อ.บางปะอิน วังน้อย อุทัย 2) จ.สระบุรี ที่ อ.หนองแค เมืองสระบุรี แก่งคอย มวกเหล็ก 3) จ.นครราชสีมา ที่ อ.ปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมืองนครราชสีมา

ยอดเวนคืนแยกเป็นที่ดินประมาณ 2,187 แปลง สิ่งปลูกสร้างประมาณ 370 ราย และต้นไม้ยืนต้นประมาณ 98 รายการ รวมเป็นเงินค่าชดเชยกว่า 5,302 ล้านบาท แต่เนื่องจากกรมธนารักษ์เพิ่งปรับราคาประเมินใหม่ จะต้องมีการปรับค่าชดเชยเพิ่มตามไปด้วย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 20% ทำให้ค่าชดเชยที่ดินคาดว่าจะปรับวงเงินขึ้นเป็น 7,200 ล้านบาทโดยประมาณ จากทั้งโครงการจะใช้เงินลงทุนกว่า 69,100 ล้านบาท

"พื้นที่เราจะเวนคืนมีทั้งที่ดินเอกชนและส่วนราชการ ทั้งที่ราชพัสดุ ทหาร ที่ดิน ส.ป.ก. ในส่วนของชาวบ้านจะมีทั้งที่ดินมรดกและ น.ส.3 ที่น่าสนใจคือบริเวณปากช่องที่ดินถูกเวนคืนส่วนใหญ่จะเป็นนายทุนจากกรุงเทพฯซื้อที่ดินไว้"

ซีพี-ตระกูลดังแจ็กพอต

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจเบื้องต้นสำหรับผู้เข้าข่ายถูกเวนคืน พบว่ามีทั้งที่ดินที่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์จากกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่ ในช่วงบางปะอิน-ปากช่อง อาทิ ตระกูลนัยศิริ, บ.กรุงเทพผลิตผลอุตสาหกรรมการเกษตร, บ.เจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี), นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์ศานต์, บ.บางปะอินกอล์ฟ, นายชาย งามอัจฉริยะกุล, ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์, บ.แมนดารินโฮเต็ล, นายอิสริยา พรประภา, พันเอกทวิชาติ ชวกุล, ตระกูลอรุณโรจศิริ, บ.โสสุโก้ เซรามิค (หนองแค)นางพรพรรณ เผ่าเหลืองทอง, บ.ปอแก้ววิศวกรรม, ตระกูลผิวขำ, ตระกูลเฉลิมเชื้อ, ตระกูลอินทรไพศาล, นางพรศรี

สัจจพงษ์, บ.เอสเคฟู้ด, บ.มหาชัยฟูดโปรเซสซิ่ง, นายปรัชญา หงสกุล, ตระกูลนิ่มนคร, บ.บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์, ร้อยตรีวีระพล อดิเรกสาร, บ.ทีพีไอโพลีน, ตระกูลมหาแก้ว, ตระกูลกลิ่นประทุม

มหา"ลัยสงฆ์...อยู่ในข่าย

บ.แหลมทองฟาร์ม, บ.บริหารสินทรัพย์พญาไท, ปูนนครหลวง, ตระกูลรังคะภูมิ, ตระกูลคำชู, นางอำไพ กลิ่นสุคนธ์, บ.บริหารสินทรัพย์กรุงศรีอยุธยา, นายสมศักดิ์ ฮุนตระกูล, พลเอกพงษ์

ปุณณกันต์, บ.ปูนซิเมนต์ (แก่งคอย), นายสุทธิวัสส์ ฮุนตระกูล, พันจ่าอากาศเอกสุวรรณ ธรรมสมพงษ์, น.ส.กัณฑรีย์ บุญประกอบ, ตระกูลรุจิวรรณ บ.บัวบานการเกษตร, บ.เฟื่องเดชเรียลเอสเตท, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ห้างโฮมโปร, บ.พราวแอสเซท, ร.อ.สมนึก ศรีอนันต์, ตระกูลวงศ์สุวรรณ, บ.จารุวรรณ, ตระกูลเซ็นเสถียร, บ.ไทคอนโลจิสติกส์พาร์ค, ตระกูลนาคสุข, ตระกูลพรรณปัญญา, ตระกูลพรรณสากร

รัตนรักษ์-โบนันซ่า โดนเต็ม ๆ

ส่วนแนวเวนคืนช่วงปากช่อง-นครราชสีมา อาทิ ที่ดินตระกูลกุลจันทร์, ตระกูลเบ็ญจวิไลกุล, นายปรีชา ชัยชนะสงคราม, นายบุญทวี วิบูลย์ลาภ, นายอนันต์ กาญจนลักษณ์, นายถนอม เพียรปรุ, นางวิไล บุญมี, ตระกูลลาภกิจ, นายกฤตย์ รัตนรักษ์, ตระกูลขุนสูงเนิน

นางปราณี จามจันทึก, บ.โนนันซ่า พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนต์, ตระกูลมหิทร์กร, ตระกูลกิจสมัย, ตระกูลคำลา, นายศิริพงษ์ รุ่งโรจน์เสถียร, นายดำรง รัตนพานิช, นายเริงชัย เอกจรรยา, ตระกุลสิงข์แก้ว, บ.แหลมทองฟาร์ม, ตระกูลอ่อนอากาศ, ตระกูลปิ่นสันเทียะ, บ.เงินทุนเกียรตินาคิน, ตระกูลดาวสันเทียะ, นายพลกฤษณ์ หงษ์ทอง, บมจ.พันธ์สุกรไทย, ที่ดินราชพัสดุ (สถานผลิตชีวพันธ์), ป่าดงพญาเย็น, เรือนจำกลางคลองไผ่, นายพงศธรและนายอัศวิน เปรมรัตนชัย

พ.อ.หลอม ดิษฐ์พลขันธ์, ตระกูลพุทธรังษี, ตระกูลจันทรโณทัย, ตระกูลวงศ์พินิจ, นายเสกสรร สีหวงษ์, อ่างเก็บน้ำวิทยาเกษตรและเทคโนโลยีนครราชสีมา, ป่าโครงการรถไฟสีคิ้ว-สูงเนิน-โคกกรวด, ที่ดิน ส.ป.ก., บ.ทีเอสแสงตะวัน, ตระกูลโหม่งสูงเนิน, ตระกูลวังสูงเนิน, สหกรณ์การเกษตรขามทะเลสอ, ตระกูลกาญจนกาศ, ตระกูลทรัพย์เจริญมาก, ตระกูลภูวดลไพโรจน์, ตระกูลริ้วสถาพร, ตระกูลเทียมเสวก, บ.มิตซูปัฐพีทอง, บ.วังน้ำเขียวรีสอร์ท, นายบุญชัย พรหมนะกิจ, นายประกิต ตันติวงศ์ ฯลฯ

เร่งเวนคืนเสร็จใน 8 เดือน

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลัง พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินบังคับใช้แล้ว กรมจะจ้างบริษัทที่ปรึกษามาเวนคืนที่ดินตลอดแนวเส้นทาง ทั้งสำรวจพื้นที่จริงพร้อมประเมินราคาอีกครั้ง เนื่องจากข้อมูลที่กรมมีเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น โดยได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว 70 ล้านบาท และเพื่อความรวดเร็วแบ่งงานเป็น 4 ตอน

ตอนที่ 1 จากจุดเชื่อมต่อบางปะอินถึงสุดเขตพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา บริเวณ กม.ที่ 24+500 ระยะทาง 24 กม.

ตอนที่ 2 ระหว่าง กม.24+500 ถึง กม.83+550 สุดเขตพื้นที่ จ.สระบุรี 59.05 กม. ตอนที่ 3 ระหว่าง กม.83+500 ถึง กม.98+345 และ กม.102-กม.142 ระยะทางรวม 54 กม. อยู่พื้นที่ จ.นครราชสีมา

และตอนที่ 4 กม.142-กม.195+942 ระยะทางรวม 53.94 กม. ในพื้นที่นครราชสีมา โดยจะใช้เวลาเวนคืนประมาณ 8 เดือน เพื่อให้ทันกับแผนก่อสร้างที่จะเริ่มในปี 2556 นี้ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2559

23 ก.ค. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

5687
 คงดีไม่น้อย หากเราสามารถยืดเวลาความอ่อนเยาว์และรักษาร่างกายที่แข็งแรงให้อยู่กับเราได้นานเท่านาน และคงดียิ่งขึ้น หากเรามีตัวช่วยที่สามารถทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้
       
       ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเสาะแสวงหา ยา สมุนไพร และอาหารเสริมนานาชนิดมาบำรุงสุขภาพกันตั้งแต่ครั้งโบราณ ซึ่งรังนกถือเป็นหนึ่งในอาหารฟื้นฟูสุขภาพของตำรายาแพทย์แผนจีน *โดยเชื่อว่ารังนกช่วยบำรุงหยินที่ปอด ช่วยให้ปอดชุ่มชื้น เสริมธาตุน้ำที่หลอดเสียงและหลอดลม บรรเทาอาการอักเสบของผิวหน้าและแผ่นหลัง เพิ่มความแข็งแรงให้ไต ม้าม ลดพลังหยาง ส่งผลให้ผิวดี มีอายุยืน

   
       จวบจนปัจจุบันผู้คนก็ยังให้ความสำคัญกับรังนก ดังจะเห็นได้จากความนิยมในการรับประทานเครื่องดื่มรังนกสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์รังนกที่วางขายกันมากมายตามท้องตลอด ซึ่งส่วนใหญ่มักกล่าวอ้างถึงสรรพคุณนานาชนิด ทว่า รังนกแท้นั้นหายากและมีราคาสูง การเลือกรับประทานรังนกจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญมาก เพื่อป้องกันอันตรายจากรังนกปลอม ในทางตรงกันข้าม หากเราเลือกรับประทานรังนกแท้ ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมชั้นเยี่ยมแบบไร้สิ่งเจือปน
       
       ล่าสุด **นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า รังนกมีองค์ประกอบหลักคือ ไกลโคโปรตีน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย กระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ดักจับเชื้อไวรัสต่างๆ ทั้งไวรัสในคน เป็ด และหมู ***สารไกลโคโปรตีนยังทำหน้าที่จับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าจับกับเซลล์ในร่างกายได้ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเจริญของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์

คุณค่าของรังนกแท้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ ****สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบของรังนก พบว่าประกอบด้วยโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งสิ้น ทั้งยังมี Epidermal Growth Factor (EGF) ซึ่งมีองค์ประกอบเหมือนกับ EGF ที่มีอยู่ในคน โดยธรรมชาติ ซึ่ง EGF เป็นสารสำคัญในการเพิ่ม สร้าง และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ดังจะเห็นได้จากกลไกการผลัดเซลล์ผิวของเด็ก ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ใหญ่ ผิวเด็กจึงมีความละเอียด เนียนนุ่ม และไม่หยาบกร้าน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผิวสวยที่ทุกคนใฝ่ฝัน
       
        ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งสอดคล้องกับองค์ความรู้แพทย์แผนจีนที่สืบทอดมายาวนาน จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่า รังนกแท้เป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะคงความอ่อนเยาว์ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
       
       อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจึงไม่แปลกใจเลยใช่ไหมคะว่า ทำไมอาหารเสริมชนิดนี้จึงได้รับความนิยมมายาวนานกว่าพันปี เหตุผลเดียวที่เหมาะสมที่สุดคงจะเป็นอะไรไมได้ นอกเสียจาก คุณประโยชน์มากมายที่แฝงอยู่ในรังนกแท้นั่นเอง
       
       อ้างอิง :
       * มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 12-18 ส.ค. 2554 หน้า 11
       ** Edible bird’s nest extract inhibits influenza virus infection. Antiviral Res. Guo CT et al. 2006;70(3):140-6
       ***เดลินิวส์ วันที่ 8 สิงหาคม 2254 หน้า 21
       **** Kong Y.C. et al. Evidence that Epidermal Growth Factor is present in swiflet’s (Collocalia) nest. Comp. Biochem. Physiol 1987;87B(2):221-226


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กรกฎาคม 2555

5688
1. “ขุนค้อน” โยนรัฐสภาตัดสินโหวตแก้ รธน.วาระ 3 ด้าน “ปชป.” ลั่น ไม่ร่วมสังฆกรรม ขณะที่ “ทักษิณ” ฉะ ศาล รธน. ละเมิด กม.!

       ความคืบหน้าหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ยังไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 แต่แนะว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ควรทำประชามติก่อน เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการทำประชามติ จึงถือว่าประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ การจะแก้ไขทั้งฉบับจึงควรถามความเห็นประชาชนก่อน หรือไม่ก็ให้แก้ไขเป็นรายมาตรา ซึ่งรัฐสภามีอำนาจอยู่แล้วนั้น
       
       ปรากฏว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวหลายกระแสว่ารัฐบาลควรดำเนินการอย่างไรต่อไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยทางคณะนิติราษฎร์ ซี่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่เคลื่อนไหวสอดรับกับกลุ่มเสื้อแดง ได้เสนอให้มีการยุบศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นมาแทน โดยกำหนดขอบเขตอำนาจของตุลาการฯ ให้ชัด เพื่อจะได้ไม่มาขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก
       
       ขณะที่นายราเมศ รัตนเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ออกมาสวนกลับคณะนิติราษฎร์ โดยยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจสอบความชอบของกฎหมายและตรวจสอบการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประโยขน์ต่อประเทศ พร้อมชี้ แทนที่จะยุบศาลรัฐธรรมนูญ ควรยุบคณะนิติราษฎร์มากกว่า
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังไม่ฟันธงว่าจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่างไรโดยบอก ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป ขอรอฟังการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แตกออกเป็นหลายฝ่าย โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า ส่วนตัวแล้วอยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรามากกว่า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น หากเดินหน้าลงมติวาระ 3 จะเกิดความยุ่งยากขึ้นได้
       
       ขณะที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา และแก้มาตรา 68 ก่อน โดยเขียนให้ชัดเลยว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้านนายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ก็มองไปอีกทาง โดยหนุนให้รัฐสภาเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 เพราะไม่น่าจะเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
       
       อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมพรรคเพื่อไทย(16 ก.ค.) ยังไม่มีมติว่าจะเลือกทางใดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะรอดูคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งคาดว่าคำวินิจฉัยส่วนกลางและส่วนตนของตุลาการฯ จะเปิดเผยสู่สาธารณชนได้ในวันที่ 26 ก.ค.นี้
       
       ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา มองว่า สุดท้ายการจะเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 หรือไม่ ต้องจึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภาเป็นหลัก พร้อมชี้ว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ทำประชามติ ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะให้ทำประชามติก่อนลงมติในวาระ 3 หรือต้องลงมติวาระ 3 ก่อนแล้วค่อยไปทำประชามติ รู้แต่ว่าถ้าทำประชามติ ต้องเสียเงินกว่า 2,500 ล้านบาท
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อยากให้รัฐบาลทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราหรือจะทำประชามติ เพราะหากดึงดันลงมติในวาระ 3 จะทำให้สถานการณ์กลับไปสู่ความขัดแย้งอีก
       
       ขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงที่เป็น ส.ส.และรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทย เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ได้ออกมาหนุนให้สภาเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3
       
       อย่างไรก็ตาม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้ออกมาปรามรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ควรเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นการแก้ทั้งฉบับหรือแก้รายมาตราก็ตาม ควรจะหยุดหายใจเพื่อให้ประเทศได้สงบบ้าง พร้อมประกาศว่า หากรัฐบาลเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ฝ่ายค้านจะไม่ร่วมโหวต เพราะหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย
       
       ส่วนท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนานั้น นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค อยากให้มีการทำประชามติก่อน แล้วค่อยเดินหน้าลงมติวาระ 3 ไม่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เพราะอาจมีปัญหาใครไม่พอใจมาตราใด ก็จะไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีก
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ส.ส.-ส.ว.416 คน ที่ถูกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญด้วยการลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 1 และ 2 ได้ประชุมเรื่องที่จะยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการขอศาลเพื่อเลื่อนส่งคำชี้แจงออกไปอีก 30 วัน พร้อมกันนี้ยังได้กำหนดท่าทีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยว่า มี 2 ทาง 1.ให้รัฐสภาเดินหน้าลงมติในวาระ 3 ต่อไป หรือ 2.ทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง คือทำประชามติ ก่อน โดยจะนำเรื่องนี้หารือที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 1 ส.ค.นี้
       
       ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้แสดงท่าทีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นกัน โดยให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แชนแนล นิวส์ เอเชีย ของสิงคโปร์(20 ก.ค.) โดยโจมตีศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องทำประชามติก่อน ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ละเมิดต่อกฎหมาย พร้อมยอมรับว่า ตนจะกลับประเทศได้ก็ต่อเมื่อเกิดความปรองดอง และขอให้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามตนหันหน้ามาคุยกันได้แล้ว “ที่ผ่านมา ฝ่ายตรงข้ามมองผมเป็นเหมือนกับแดร็กคิวล่า... ถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับผมควรจะต้องหันหน้ามาพูดคุยกันได้แล้ว เพราะต่างก็พูดภาษาไทยเหมือนกัน จึงควรเปิดใจคุยกันว่า ฝ่ายพวกคุณต้องการอะไร และยังกังวลในเรื่องอะไรอีก”
       
       2. ไทย-กัมพูชา ถอนทหารพ้นเขาพระวิหารแล้ว ส่ง ตชด.ประจำการแทน ด้าน ชาวบ้าน ค้าน หวั่นทำไทยเสียดินแดน!

       ตามที่ได้มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ไทยและกัมพูชาเตรียมถอนทหารออกจากพื้นที่เขตปลอดทหารชั่วคราวตามคำสั่งของศาลโลก เพื่อเปิดทางให้คณะสังเกตการณ์จากอาเซียนเข้ามาประจำการในพื้นที่ดังกล่าว ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมหารือเรื่องดังกล่าวกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมทั้งนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมยอมรับว่า ทั้งไทยและกัมพูชาได้มีการเตรียมปรับกำลังทหารออกจากพื้นที่เขาพระวิหารจริง โดยจะให้ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) เข้าไปแทนที่ในวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งเป็นวันครบ 1 ปีที่ศาลโลกมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าทางกัมพูชาให้ทหารใส่ชุดของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาดูแลพื้นที่ พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า ไม่ทราบ พร้อมขอให้สื่อมวลชนช่วยลงข่าวดีดีหน่อย อย่าลงข่าวให้มีปัญหากัน
       
       ด้านนายสุรพงษ์ เผยเหตุที่ต้องมีการถอนทหารว่า เพราะศาลโลกแจ้งมาแล้วว่า จะขึ้นนั่งบัลลังก์ไต่สวนกรณีกัมพูชาขอให้ชี้ขาดว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาและไทยต่างอ้างความเป็นเจ้าของนั้นเป็นของใครกันแน่ในปีหน้า โดยจะให้ทั้งสองฝ่ายให้ปากคำด้วยวาจาในเดือน เม.ย. คาดว่าจะตัดสินได้ในเดือน ต.ค. “สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ เพราะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น ไม่มีการต่อสู้หรือปะทะกัน ทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้น การดำเนินการหลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะทำอย่างเท่าเทียมและสอดคล้องกัน”
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เพียงไทยและกัมพูชาจะถอนทหารออกจากเขาพระวิหารหลังรัฐบาลไทยไปเจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา แต่รัฐบาลนี้ยังยอมให้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปีหน้าอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่ไทยจะเสียเปรียบในเรื่องต่างๆ ทั้งที่สมัยรัฐบาลที่แล้วได้ต่อสู้ไม่ให้กัมพูขาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปีนี้ ซึ่งทำได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้ไทยกลับยอมให้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
       
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดวันถอนทหาร(18 ก.ค.) มีรายงานจากสื่อมวลชนของกัมพูชาว่า ทางกัมพูชาได้จัดพิธีถอนทหารในช่วงเช้า ที่เขตปลอดทหารใกล้กับปราสาทพระวิหาร จำนวน 485 นาย โดยมี พล.อ.เตีย บัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชาเป็นประธาน จากนั้นได้มีการส่งกองกำลังตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจมรดกโลก ตำรวจป้องกันพรมแดน และกำลังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธประมาณ 300 คน เข้าประจำการแทนทหาร
       
       ขณะที่ฝ่ายไทย ได้ทำพิธีถอนทหารในเวลา 11.00น. โดยมี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน จากนั้นได้มีการส่งกำลัง ตชด.จำนวน 2 กองร้อยเข้าประจำการแทนทหาร เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.อ.สุกำพล ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า มีการถอนทหารของไทยออกจากพื้นที่จำนวนกี่นาย โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด อย่างไรก็ตาม พล.อ.อ.สุกำพล ได้หลุดปากในภายหลังว่า ฝ่ายกัมพูชามีการวางกำลังไว้ในพื้นที่มากกว่าฝ่ายไทย โดยเป็นไปตามที่ศาลโลกกำหนด ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ยืนยันด้วยว่า การถอนทหารออกจากเขาพระวิหาร จะไม่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างแน่นอน
       
       อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่มีการทำพิธีถอนทหารไทยออกจากเขาพระวิหาร ได้มีประชาชนรวมตัวคัดค้านการถอนทหารดังกล่าวที่บริเวณศาลหลักเมือง อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยใช้ชื่อว่า “กลุ่มกำลังแผ่นดิน” พร้อมให้เหตุผลที่ต้องคัดค้านว่า เพราะการถอนทหารจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนบริเวณเขาพระวิหาร 4.6 ตร.กม.ไป
       
       ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค ได้เปิดแถลงกรณีมีข่าวว่า พล.อ.เตีย บัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เตรียมจัดงานฉลองครบรอบ 4 ปี การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า ต้องระวัง เพราะกัมพูชาอาจจะนำไปแอบอ้างต่อศาลโลกและกรรมการมรดกโลกได้ จึงอยากให้รัฐบาลทำ 3 เรื่องต่อไปนี้ 1.การถอนทหารออกจากพื้นที่ 17.3 ตร.กม. ควรทดแทนด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเจ้าหน้าที่อุทยาน 2.ต้องเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามเอ็มโอยูปี 2543 ด้วยการรื้อถอนวัด ชุมชน และตลาดของกัมพูชาออกจากพื้นที่แนวสันปันน้ำด้วย เพราะกัมพูชาอาจอ้างสิทธิว่าเป็นพื้นที่สงบ และเดินหน้าให้ศาลโลกตัดสินเกี่ยวกับเขตแดนและการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ และ 3.ไม่ควรให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว เพราะหากเข้ามาในช่วงที่ยังมีวัด ชุมชน และตลาดของกัมพูชาอยู่ อินโดนีเซียอาจยืนยันว่าเป็นอธิปไตยของกัมพูชาได้ พร้อมกันนี้ขอให้รัฐบาลนำข้อตกลงเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่เขาพระวิหารให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ด้วย
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาเผยขั้นตอนหลังจากมีการปรับกำลังทหารออกจากพื้นที่พระวิหารว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิด เมื่อเก็บกู้เสร็จอย่างน้อย 30 วัน จะต้องเริ่มถอนทหารออกจากพื้นที่ เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลโลก ส่วนกรณีที่ชาวกัมพูชารุกพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งถือว่าละเมิดเอ็มโอยูปี 2543 นั้น พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า ต้องค่อยๆ เจรจาและดูจังหวะเวลา ถ้าไปผลักดันหรือขับไล่ หรือยิงกัน ก็จะเป็นปัญหาใหญ่โต ต้องมองไกลๆ อย่ามองจุดเดียว ยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งปัญหานี้
       
       3. ก.ต.ช. มีมติเอกฉันท์ให้ “อดุลย์ แสงสิงแก้ว” เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ แม้ไม่อาวุโสสูงสุด ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ยัน เหมาะสมที่สุดแล้ว!

       เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สำหรับวาระสำคัญคือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) แทน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.
       
       ทั้งนี้ หลังประชุม พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะเลขานุการ ก.ต.ช.แถลงว่า ผู้มีสิทธิได้รับคัดเลือกเป็น ผบ.ตร.มีอยู่ 10 ท่าน โดยนายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสม มีประสบการณ์ผ่านงานสำคัญต่างๆ มาในฐานะผู้นำหน่วย ทั้งตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธร และตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญ เช่น เรื่องยาเสพติด ซึ่งสามารถดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมจึงมีมติเอกฉันท์ 10 เสียงเห็นชอบให้ พล.ต.อ.อดุลย์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนต่อไป
       
       ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ เป็น ผบ.ตร.ต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาในขั้นตอนการทูลเกล้าฯ ประมาณ 2 สัปดาห์
       
       อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ที่ประชุมได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่าเหตุใดจึงไม่แต่งตั้งผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดเป็น ผบ.ตร.ดังที่เคยปฏิบัติมา พร้อมชี้ว่า แม้ พล.ต.อ.อดุลย์จะเคยทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 ปี แต่ พล.ต.อ.อดุลย์ไม่ได้ขอใช้สิทธินับอายุราชการทวีคูณเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น ซึ่งหากขอใช้สิทธิ ก็จะเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เสนอว่า ผู้ที่อาวุโสสูงสุด ก็คือ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ซึ่งถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่พลาดตำแหน่ง ผบ.ตร. ดังนั้นนายกรัฐมนตรีน่าจะให้การเยียวยา พล.ต.อ.ปานศิริด้วย ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับปากว่าจะพิจารณาให้ โดยคาดว่า อาจมีการพิจารณาให้ พล.ต.อ.ปานศิริไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. แทน พล.ต.อ.อดุลย์
       
       ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันในเวลาต่อมาว่า การเสนอชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ได้ดูภาพรวมของบุคคลที่มีความอาวุโสทั้งหมดแล้ว และดูประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ ความทุ่มเท การรักษาความสงบเรียบร้อยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า พล.ต.อ.อดุลย์เหมาะสมที่สุด
       
       ขณะที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร.เผยหลังทราบว่าที่ประชุม ก.ต.ช.มีมติเอกฉันท์ให้ตนดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่ว่า รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และพร้อมจะอุทิศตนเพื่องานที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างเต็มความสามารถ
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความยินดีที่ พล.ต.อ.อดุลย์ได้รับเลือกเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ และว่า ที่ผ่านมาเคยร่วมงานกับ พล.ต.อ.อดุลย์ เห็นว่าเป็นคนทำงานเรียบร้อยดี พร้อมฝากถึง พล.ต.อ.อดุลย์ว่า ตำรวจเป็นต้นน้ำ ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ถ้าทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง เที่ยงธรรม จะทำให้งานของตำรวจมีความก้าวหน้าและพัฒนาต่อไปแน่นอน
       
      4. โรคมือ เท้า ปาก ระบาดไทย 1.3 หมื่นรายแล้ว สะพัด คร่าชีวิตเด็กหญิงวัย 2 ขวบเป็นรายแรก!

       จากกรณีที่ได้เกิดการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ที่ประเทศกัมพูชา ล่าสุด ในเมืองไทยเริ่มพบการระบาดของโรคดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว โดย นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พูดถึงสถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปากในไทยว่า ช่วงนี้เป็นฤดูกาลระบาดของโรค โดยมีผู้ป่วยแล้ว 13,000 ราย ซึ่งยังไม่สูงมากเท่าปีที่แล้วที่มีผู้ป่วยถึง 18,000 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือภาคเหนือและภาคใต้ โดยพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
       
        ด้านคณาจารย์และผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดแถลงเกี่ยวกับโรคมือ เท้า ปากเมื่อวันที่ 17 ก.ค. หลังพบนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถมป่วยด้วยโรคนี้จำนวน 22 ราย กระทั่งทางโรงเรียนต้องสั่งปิดเรียน 1 สัปดาห์ว่า โรคมือ เท้า ปากไม่ใช่โรคใหม่ พบมานาน 40-50 ปีแล้ว แต่พบบ่อยในช่วงเปิดเทอมและฤดูฝน แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เชื้อมีการเปลี่ยนแปลง และระบาดรุนแรงมาก โดยโรคมือ เท้า ปากในไทยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 และคอกซากี ซึ่งไม่เพียงพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ แต่ยังพบในเด็กโตอายุไม่เกิน 12 ปีด้วย
       
        สำหรับอาการของผู้ป่วย จะมีไข้ น้ำลายยืด ไม่กลืนน้ำลาย เพราะมีแผลในคอและเพดานปาก คล้ายแผลร้อนใน ฝ่ามือฝ่าเท้ามีตุ่มน้ำใส บายรายอาจมีตุ่มใสขึ้นตามข้อเข่า ข้อศอก และง่ามก้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัส ต้องรักษาตามอาการ การป้องกันต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยทั้งของเด็กและสิ่งแวดล้อมให้สะอาดอยู่เสมอ
       
        ขณะที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว.) ประสานมิตร ฝ่ายประถม ก็พบนักเรียนป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก แล้ว 1 ราย และยังไม่ได้สั่งให้ปิดเรียน เนื่องจากใกล้สอบกลางภาคในวันที่ 23 ก.ค. ด้านนางสุขุมาล เกษมสุข ผู้อำนวยการโรงเรียน บอกว่า หากพบผู้ป่วย 2 รายขึ้นไป จะสั่งปิดเรียนทันที
       
        ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เผยว่า ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 19 ก.ค. พบว่า มีนักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ติดเชื้อโรคมือ เท้า ปาก แล้ว 211 คน จาก 35 โรงเรียน สั่งปิดแล้ว 14 โรง แบ่งเป็น กทม. 3 โรง ต่างจังหวัด 11 โรง
       
        ทั้งนี้ มีข่าวแพร่สะพัดว่า มีเด็กหญิงวัย 2 ขวบเสียชีวิตด้วยโรคมือ เท้า ปาก เป็นรายแรกของไทยในปีนี้ โดยเสียชีวิตที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีเมื่อเย็นวันที่ 17 ก.ค.หลังเข้ารักษาเมื่อวันที่ 16 ก.ค. อย่างไรก็ตาม นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาบอกว่า ผลตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า เด็กไม่ได้เสียชีวิตจากโรคมือ เท้า ปาก แต่ต้องรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดอีกครั้ง คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 5 วัน
       
        ด้านนายไกรสิทธิ์ สัญญานุรักษ์ บิดาของเด็กหญิงวัย 2 ขวบที่เสียชีวิต เผยว่า ลูกสาวตนยังไม่ได้เข้าโรงเรียน แต่เคยไปโรงเรียนวัดบางเตยกับคุณตาที่มีอาชีพขับรถตู้รับส่งนักเรียน ซึ่งลูกสาวเคยไปเล่นเครื่องเล่นในโรงเรียนด้วย และว่า แพทย์เจ้าของไข้แจ้งให้ทราบว่า หลังนำเชื้อจากลูกสาวไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลตรวจยืนยันว่า เป็นโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 แต่เชื้อไม่แสดงอาการ โดยเชื้อไปทำลายระบบกล้ามเนื้อหัวใจ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต
       
        ด้านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ได้รับทราบสถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก แล้ว พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการไปร่วมกันหามาตรการป้องกันโรคและดูแลนักเรียนในโรงเรียนต่างๆ พร้อมให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อจะได้ดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและทันท่วงที

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 กรกฎาคม 2555

5689


วันนี้ (20 ก.ค.) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)หรือ สซ. จัดแถลงข่าว”ซินโครตรอนกับการศึกษาสารต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพร”  โดยมีนายปลอดประสพ  สุรัสวดี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  เป็นประธานในการแถลงข่าวร่วมกับผู้บริหารและทีมวิจัย   


ศ.น.ท.ดร.สราวุธ  สุจิตจร  ผู้อำนวยการ สซ.  กล่าวว่า  งานวิจัยดังกล่าวเป็นโครงการวิจัยแบบบูรณาการ  จากโครงการวิจัยเพื่อสนองโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   โดยมีคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น    คือ  ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา วีระปรียากูร  รศ.ดร.สหพัฒน์ บรัศว์รักษ์ และ น.ส.ศศิภาวรรณ  มาชะนา ร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน  คือ  ดร.วราภรณ์  ตัณฑนุช และ ดร.กาญจนา ธรรมนู  ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวจากสารสกัดพืชสมุนไพร  ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากงานวิจัยสำรวจพืชตามพฤกษศาสตร์พื้นบ้านของมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการแสงซินโครตรอน  ตั้งแต่ปี 2554  และได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง


ด้าน ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา  วีระปรียากูร   อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ ม.ขอนแก่น  หัวหน้าทีมวิจัย ฯ กล่าวว่าเนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประเทศ  แม้ปัจจุบันการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา และมีการดื้อยาเกิดขึ้น  จึงได้ศึกษาสารสกัดจากพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดการดื้อยา มาใช้เสริมยาเคมีบำบัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


“จากการศึกษาพืชสมุนไพรหลายชนิด พบว่า สารสกัดจากกิ่งของพืช 2 ชนิด คือ ติ้วขนและสนสามใบ ให้สารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว  โดยมีศักยภาพทำให้เซลล์มะเร็งค่อยๆ สลายตัวจากการทำลายตัวเองจากภายใน หรือเรียกว่าการตั้งโปรแกรมทำลายตัวเอง (Apoptosis)  ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากมีเพียงเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ตายลงไป ไม่มีผลต่อการทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ข้างเคียง ร่างกายจึงไม่เกิดการอักเสบขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงต่อการใช้ยา” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว


  ด้าน ดร.วราภรณ์  นักวิจัยจากสถาบันแสงซินโครตรอน กล่าวว่า  เพื่อให้ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แท้จริงของพืชสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ คณะผู้วิจัยได้ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อินฟราเรด จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เพื่อตรวจวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกที่เกิดขึ้นภายในเซลล์มะเร็ง    ซึ่งผลที่ได้พบว่าสารสกัดสมุนไพร ทั้ง 2 ชนิดนี้ ทำให้เซลล์มะเร็งตายและมีกลไกการออกฤทธิ์ของพืชทั้งสองชนิด แตกต่างจากการรักษาโดยใช้ยาเมลฟาเลนหรือยาเคมีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


ดร.วราภรณ์   กล่าวอีกว่า การใช้แสงซินโครตรอน ถือเป็นเทคนิคใหม่ในการวิจัยที่จะต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุลระดับเซลล์ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้สารเคมีใด ๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ จะนำไปสู่การนำพืชสมุนไพรไปใช้ประโยชน์จริงในอนาคต  และจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการศึกษาและพัฒนาหาสารออกฤทธิ์ต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ในการทำงานวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทย และยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชดั้งเดิม อีกด้วย

เดลินิวส์ 20 กรกฎาคม 2555

5690
  เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างเป็น 1 ใน 3 เทศกาลสำคัญของชาวจีน(อีก 2 เทศกาล ตรุษจีนและไหว้พระจันทร์) ที่ชาวจีนทั้งแผ่นดินใหญ่แล้วชาวจีนในประเทศต่างๆ ต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับเทศกาลนี้
       
       เทศกาลวันไหว้ขนมจ้าง (บ๊ะจ่าง) หรือเทศกาลตวนอู่เจี๋ย หรือเทศกาลตวงโหงว เป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เป็นการระลึกถึงวันที่คุกง้วน หรือ ชีหยวน หรือจูหยวน ขุนนางผู้รักชาติแห่งรัฐฉู่ นอกจากนี้ในประเทศจีน บริเวณแม่น้ำฉางเจียน(แยงซีเกียง), ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมีการละเล่นแข่งเรือมังกร ที่เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในเทศกาลไหว้ขนมจ้าง
       
       บ๊ะจ่าง หรือ “ขนมจ้าง” คือข้าวห่อด้วยใบไม้ เป็นอาหารจีน ทำด้วยข้าวเหนียวใส่หมูหรือหมูแดงกับถั่วหรือเม็ดบัวและเครื่องปรุงต่างๆ ผัดแล้วห่อด้วยใบไผ่มัดเป็นทรงพีระมิดสามเหลี่ยม บางที่ก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้เชือกมัดแล้วนึ่งให้สุก ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะทำไส้แตกต่างกันไป โดยปกติบ๊ะจ่างจะมีการทำกันมากในเทศกาล วันไหว้ขนมจ้าง แต่ในปัจจุบันก็สามารถหาทานกันได้อย่างแพร่หลาย

       สำหรับที่มาของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง หรือบ๊ะจ่าง ตามตำนานว่า ชีหยวนเป็นขุนนางตงฉินที่มีความซื่อสัตย์ ยึดถือคุณธรรม กล้าพูดกล้าทำ ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาถูกเหล่าขุนนางกังฉินกลั่นแกล้งจนถูกปลดตำแหน่ง และเนรเทศออกจากแคว้นฉู่ รัฐฉินจึงถือโอกาสเข้าโจมตีรัฐฉู่จนล่มสลาย ชีหยวนมีใจรักชาติแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงกระโดดแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง) ตายในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นั่นเอง
       
       ชาวบ้านที่รู้เรื่องการตายของชีหยวน ระลึกถึงความดีของชีหยวน จึงได้ออกเรือเพื่อตามหาศพ ในขณะที่ค้นหาพวกเขาก็เตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำด้วย เพื่อล่อให้สัตว์น้ำมากิน จะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของชีหยวน หลังจากนั้นทุกปีเมื่อครบรอบวันตายของชีหยวน ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำเปาะล่อกัง เมื่อทำมาได้สองปี ก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝังเห็นชีหยวนที่มาในชุดอันสวยงาม และได้กล่าวขอบคุณชาวบ้านที่นำเอาอาหารไปโปรยเพื่อเซ่นไหว้ แต่ชีหยวนบอกว่าอาหารเหล่านั้นได้ถูกสัตว์น้ำกินเสียจนหมด เนื่องจากบริเวณนั้นมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชีหยวนจึงแนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่ หรือใบจากก่อนนำไปโยนลงน้ำ

       ในปีต่อมาชาวบ้านต่างก็ทำตามที่ชีหยวนแนะนำ ชีหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังโดนสัตว์น้ำแย่งไปกินได้ ชาวบ้านต้องการให้ชีหยวนได้กินอาหารที่พวกเขาเซ่นไหว้ไปให้อย่างอิ่มหนำสำราญ จึงได้ถามชีหยวนว่าควรทำเช่นไรดี จึงได้คำแนะนำว่าเวลาที่จะนำอาหารไปโยนลงแม่น้ำให้ตกแต่งเรือเป็นรูปมังกร เมื่อสัตว์น้ำทั้งหลายได้เห็นก็จะนึกว่าเป็นเครื่องเซ่นของพระยามังกร จะได้ไม่กล้าเข้ามากิน จึงทำให้เป็นที่มาของประเพณีการไหว้ขนมจ้าง(ขนมบ๊ะจ่าง)และประเพณีการแข่งเรือมังกร มาจนถึงปัจจุบัน
       
       สำหรับในปีนี้เทศกาลบ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 23 มิ.ย. 55 ซึ่งต่างก็มีการจัดงานเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกันในหลายพื้น โดยหนึ่งในงานใหญ่นั้นจัดขึ้นที่ “เยาวราช” ซึ่งทางเขตสัมพันธวงศ์และโรงแรมเซี่ยงไฮ้ แมนชั่น เยาวราช ได้จัดกิจกรรม “ท่องเที่ยวเยาวราช ชิมของดี เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เขตสัมพันธวงศ์” ขึ้นในวันที่ 22-23 มิ.ย. 55 ณ บริเวณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาฯ ภายในงานมีกลุ่มผู้ค้าบ๊ะจ่างมาออกร้านมากมาย อาทิ ร้านคุณสุพรรณี(เจ๊ตั่ว) ที่เป็นร้านค้า โอทอประดับ 3 ดาว และร้านอื่นๆอีกกว่า 20 ร้าน นอกจากนี้ยังมีการสาธิตทำบ๊ะจ่าง การแสดงทางวัฒนธรรม นิทรรศการเยาวราชและบ๊ะจ่าง และพบกับสุดยอดอาหารย่านเยาวราช และสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2227-9757

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 มิถุนายน 2555

5691
 ของหวานสีดำๆ เด้งดึงที่เคี้ยวหนึบหนับ และมีรสหวานจากน้ำเชื่อม รวมถึงความเย็นฉ่ำจากน้ำแข็งที่ใส่ผสมลงไป ทำให้ “เฉาก๊วย” นั้น กลายเป็นหนึ่งในของหวานยอดฮิตในช่วงหน้าร้อนมากๆ แบบนี้ แต่นอกจากความหวานเย็นที่กินแล้วสดชื่นขึ้นมาในทันใด เฉาก๊วยก็ยังมีสรรพคุณอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย
       
       เฉาก๊วยแท้ๆ จะทำมาจากต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ (พืชจำพวกสะระแหน่) พบได้มากในประเทศจีน จึงทำให้ขนมเฉาก๊วยมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน (แต้จิ๋ว) แต่ก็ยังมีการเรียกที่แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่นอีกด้วย อาทิ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า เหลียงเฝิ่น หรือ เซียนเฉ่า ที่แปลว่า หญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์ จะเรียกว่า จินเจา เป็นต้น ส่วนภาษาไทยเราก็เรียกว่า เฉาก๊วย ตามอย่างภาษาจีนแต้จิ๋ว
       
       ความหนึบหนับของเฉาก๊วยนั้น มาจากกรรมวิธีการผลิตที่เริ่มจากนำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้มกับน้ำ จนยางไม้ และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ (ปัจจุบันบางร้านอาจมีการใส่สีลงไปผสมเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม) จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำไปผสมกับแป้ง ซึ่งตามตำรับโบราณนิยมใช้แป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง ตามสัดส่วน หรือตามสูตรของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ได้ความเหนียวหนึบนุ่มนิ่มที่แตกต่างกัน นิยมกินคู่กับน้ำตาลทรายแดง น้ำเชื่อม หรือจะใส่ส่วนผสมอื่นๆ ลงไปตามแต่ความชอบ
       
       สรรพคุณของเฉาก๊วยที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ก็คือ ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ นอกจากนี้แล้ว ยังช่วยขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อน ร้อนใน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือหากว่านำเฉาก๊วยมาต้มให้เดือดแล้วนำน้ำเฉาก๊วยมาดื่มเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แต่ข้อควรระวังก็คือ น้ำตาลที่ใส่ผสมลงไปเพื่อให้มีรสชาติเพิ่มขึ้นนั้นต้องไม่มากเกินไปด้วย เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะได้ผลเสียจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 พฤษภาคม 2555

5692
“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” เห็นขึ้นต้นด้วยเสียงเพลงแบบนี้ “108 เคล็ดกิน” ไม่ได้จะพาไปร้องเพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด แต่อยากจะให้สังเกตดูว่าในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”
       
       ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “108 เคล็ดกิน” ก็เลยไปถามท่านผู้รู้ว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ ใช้ทำเมนูอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า “เห็ดตับเต่า” ก็คือเห็ดชนิดหนึ่งที่จะมีให้กินในเฉพาะช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
       
       เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ
       
       ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก
       
       ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5693
 สธ.ตั้ง 33 จุด รับยาเก่าแลกไข่ใหม่ในพื้นที่ กทม. เริ่ม 23-27 ก.ค.นี้ ยันแต่ละครอบครัวได้ไข่ไม่ต่ำกว่า 5 ฟอง
       
       วันนี้ (20 ก.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 23-27 กรกฎาคม 2555 นี้ สธ.จะเริ่มโครงการไข่ใหม่แลกยาเก่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังจากที่ดำเนินการในต่างจังหวัดได้ผลดี มีผู้นำยามาคืนกว่า 37 ล้านเม็ด ได้ให้โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่อยู่ในพื้นที่ กทม.10 แห่ง เปิดจุดรับคืนเฉพาะยาแผนปัจจุบันที่เป็นยาเม็ด หรือยาแคปซูลที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกกับไข่ ไม่รวมยาน้ำ ครีม และยาแผนโบราณ ที่โรงพยาบาล และขยายลงพื้นที่ชุมชนต่างๆ ใน 50 เขตของ กทม.เพื่อให้ประชาชนสามารถนำยามาคืนได้สะดวกและใกล้บ้านที่สุด อาทิ สถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า และชุมชน โดยในการรับแลกยาเก่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทีมเภสัชกร พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ให้คำแนะนำ และแจกเอกสารแผ่นพับให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องการใช้ยาด้วย เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ยาให้ถูกต้องต่อไป
       
       ด้านนายแพทย์ นิทัศน์ รายยวา รองปลัด สธ.กล่าวว่า จุดบริการที่เปิดรับแลกยาเก่าครั้งนี้ มีทั้งหมด 33 จุด ดังนี้
1.โรงพยาบาลราชวิถี
2.สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
3.กรมสารวัตรทหาร
4.โรงพยาบาลเลิดสิน
5.วัดยาง สุขุมวิท
6.โรงงานวาโก้ ถนนพระราม 3
7.โรงพยาบาลสงฆ์
8.วัดเทพลีลา รามคำแหง
9.วัดพรมวงศาราม (ดินแดง)
10.สถาบันประสาทวิทยา
11.ชุมชนบ้านครัว เขตราชเทวี
12.ชุมชนย่านถนนสุโขทัย
13.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
14.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 3
15.ห้างเซ็นทรัลพระราม 9
16.สถาบันโรคผิวหนัง
17.ชุมชนทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
18.ชุมชนศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา
19.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
20.ชุมชนวัดมะกอก เขตพญาไท
21.ชุมชนประชาระบือธรรม เขตดุสิต
22.สถาบันราชานุกูล
23.ศูนย์ 3 วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว เขตดินแดง
24.บริเวณตลาดดินแดง
25.สถาบันสุขภาพจิตสมเด็จเจ้าพระยา
26.ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
27.ห้างเซ็นทรัลพระราม 2
28.โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
29.ชุมชนภราดรพัฒนา เขตมีนบุรี ในวันที่ 23 ก.ค.
30.ชุมชนสุวรรณประสิทธิ เขตบึงกุ่ม ในวันที่ 24 ก.ค.
31.ชุมชนดารุลอินด๊ะ เขตคลองสามวา ในวันที่ 25-26 ก.ค.
32.ชุมชนสุเหร่าแดง เขตคันนายาว และ
33.แขวงทรายกองดินใต้ เขตคลองสามวาในวันที่ 27 ก.ค.2555
       
       ทั้งนี้ ประชาชนสามารถนำยาเก่ามาคืนได้ตลอดสัปดาห์รณรงค์ 23-27 กรกฎาคม 2555 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.โดยจะได้รับไข่ครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 5 ฟอง พร้อมเอกสารความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกวิธีด้วย โดย นายวิทยา จะเปิดโครงการรณรงค์อย่างเป็นทางการที่โรงพยาบาลราชวิถี ในวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2555 เวลา 14.00 น.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5694
 แพทย์จุฬาฯ ย้ำเชื้อมือเท้าปาก มีหลายสายพันธุ์ มีความรุนแรงต่างกัน เตือนเฝ้าระวังคนเป็นโรคสมองอักเสบ อาจติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสได้ ด้าน ผอ.โรคอุบัติใหม่ เผย ทุกกลุ่มอายุเสี่ยงเป็นมือเท้าปากหมด แต่ผู้ใหญ่มีภูมิต้านทานโรคมากกว่า ขอประชาชนอย่างตื่นตระหนก และเชื้อมาตรการของ สธ.
       
       จากการประชุมปรึกษาหารือ เรื่องโรคมือเท้าปาก ชนิดที่มีอาการรุนแรง โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะที่ปรึกษากรมควบคุมโรค (คร.) เป็นประธาน พร้อมด้วย นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยา ไวรัสวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ รวมทั้งกุมารแพทย์จากทุกภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม ได้มีการพูดถึงวิวัฒนาการเชื้อไวรัสมือเท้าปาก รวมทั้งมาตรการป้องกันเชื้อในอนาคต
       
       ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีการเฝ้าระวังมือเท้าปากมาตลอด 10 ปี ซึ่งไวรัสนี้เป็นครอบครัวใหญ่ มี 4 กลุ่ม คือ A B C และ D โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำการเฝ้าระวังอย่างดีเยี่ยม ซึ่งภาวะมือ เท้า ปากนี้ ไม่ได้เกิดจากแค่เอนเทอโรไวรัส 71 เพียงอย่างเดียว แต่เกิดได้หลายสายพันธุ์ เช่น คอกซากี เอ็กซ์โค ทั้งนี้ สำหรับวิวัฒนาการของเชื้อ พบว่า รุนแรงขึ้นในลักษณะแตกต่างกัน โดยอาการที่รุนแรงสุด คือ อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก้านสมองอักเสบ แต่พบไม่มาก โดยปี 2517 ประเทศไทยได้เจอไวรัสเอนเทอโร 70 ที่มีอาการตาแดง แขนขาอ่อนแรง เหมือนโปลีโอ ซึ่งอาการเหล่านี้หากเป็นหมอทางสมองจะดูออกว่า เกิดจากเชื้อชนิดนี้ แต่หลังจากนั้น เชื้อเอนเทอโรไวรัส สายพันธุ์ 70 ได้พัฒนาไปกลายเป็นสายพันธุ์ 71
       
       ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า ความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์จะไม่เหมือนกัน โดยสายพันธุ์ 70 ทำลายไขสันหลัง ขณะที่สายพันธุ์ 71 ทำลายก้านสมองที่ส่งผลต่อระบบการทำงานสติสัมปชัญญะ การเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมไปการอุดน้ำไม่ให้รั่วไปที่ปอด ป้องกันน้ำท่วมปอด ซึ่งหากป้องกันไม่ได้จะทำให้ช็อก กล้ามเนื้อหัวใจไม่ปกติ แต่ที่ผ่านมา สธ.ควบคุมได้ดีเยี่ยม เพราะมือเท้าปาก ไม่ได้เกิดในปีนี้ปีแรก แต่เกิดขึ้นทุกปี โดยมีผู้ป่วยหลักพันถึงหลักหมื่น แต่ไม่มีอาการแทรกซ้อนเหมือนอย่างต่างประเทศ ทั้งที่ มาเลเซีย กัมพูชา และ จีน ซึ่งขณะนี้กำลังระบาดหนัก
       
       นอกจากนี้ อยากให้มีการเฝ้าระวังสมองอักเสบในผู้ใหญ่ ตั้งแต่คนอายุ 14 ปีขึ้นไป เนื่องจากพบว่าในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้เฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มนี้และเก็บส่งตรวจหาเชื้อเอนเทอโรไวรัสจำนวน 930 ราย ในจำนวนนี้เจอผู้ป่วยที่มีผลเป็นบวก 4 ราย ซึ่งมีจำนวนน้อย โดยทั้งหมดอาการไม่รุนแรง แต่ในทางระบาดจำเป็นต้องเฝ้าระวังทั้งหมด เพื่อติดตามวิวัฒนาการของเชื้อ
       
       นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ผู้อำนวยการสำนักติดต่อโรคอุบัติใหม่ คร.กล่าวว่า ประเด็นที่หลายคนวิตกเรื่องการติดเชื้อจากเด็กไปผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วเชื้อนี้โอกาสการติดเชื้อเท่ากันหมดทุกกลุ่มอายุ เพียงแต่ในผู้ใหญ่จะมีภูมิต้านทานโรคมากกว่า ดังนั้น โอกาสการติดเชื้อเป็นไปได้น้อย ส่วนกรณีที่มีรายงานพบผู้ใหญ่ 4 รายป่วยด้วยโรคดังกล่าว เรื่องนี้เป็นรายงานที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่รุนแรง โดยข้อมูลนี้เป็นรายงานเก่า จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนก ขอให้เชื่อมั่นมาตรการของ สธ.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5695
สวทช.เผยเครื่องซีดีสแกน 3 มิติผลงานนักวิจัยไทย 100% ให้ผลดีกว่าฉายเอกซ์เรย์แบบ 2 มิติ แต่มีปริมาณรังสีน้อยกว่า ใช้งานจริงในคลีนิคทันตกรรม ประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องนำเข้าจากเกาหลี ไต้หวัน แต่ราคาถูกกว่ากันเกือบครึ่ง พร้อมต่อยอดผลิตขายสู่เชิงพาณิชย์ และยังประยุกต์ในการวินิจฉัยใบหน้าและขากรรไกรได้
       
       สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมทางช่องปาก หรือเครื่องเดนทัลซีที (Dental CT) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.55 ณ ศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี โดยเป็นเครื่องซีทีเครื่องแรกสำหรับงานทันตกรรมที่นักวิจัยไทยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนาขึ้น
       
       ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. และหัวหน้าโครงการพัฒนาเครื่องมือนี้กล่าวว่า เครื่องเดนทัลซีทีนี้เป็นเครื่องพัฒนามาจากต้นแบบเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับงานทันตกรรมชื่อว่า “เดนตีสแกน” (DentiiScan) ซึ่งเริ่มพัฒนาเมื่อปี 2550 โดยนักวิจัยเอ็มเทคและเนคเทค ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2551 ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นสามารถประมวลภาพได้สำเร็จเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงมีการพัฒนาและทดสอบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ จนกระทั่งสำเร็จเมื่อปี 2554
       
       สำหรับการทำงานของเครื่องเดนทัลซีทีนี้จะใช้เครื่องกำเนิดรังสีเอกซ์ที่มีลำแสงแบบกรวยและฉากรับภาพรังสี ซึ่งอุปกร์ณทั้งสองจะตั้งอยู่ตรงข้ามกัน แล้วหมุนรอยบศรีษะผู้ป่วย 360 องศา จากนั้นจากที่ได้จากการฉายรังสีจะถูกส่งเข้าคอมพิวเตอรืประมวลผลออกมาเป็นภาพ 3 มิติ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและรักษาต่อไป ซึ่งเครื่องมือนี้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยเรื่องรังสีจากกองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และผ่านการทดสอบความลปอดภัยทางระบบไฟฟ้าจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
       
       ทพญ.ดร.สุธาสินี เกษมศานต์ ผู้อำนวยการศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี ผู้ร่วมโครงการและร่วมลงทุนวิจัยในการพัฒนาเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์นี้เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นมูลค่า 2 ล้านบาท กล่าวว่า เครื่องมือนี้ได้ผลิตขึ้นมาทั้งหมด 3 เครื่อง เป็นเครื่องต้นแบบ 1 เครื่องและอีก 2 เครื่องติดตั้งเพื่อทดสอบทางคลีนิก ณ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี เมื่อกลางปี 2554
       
       ในการทดสอบเครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์จากทั้ง 2 แห่ง มีการถ่ายภาพอวัยวะภายในบริเวณช่องปากและใบหน้าของผู้ป่วยอาสาสมัคร เพื่อใช้ใรนการวางแผนผ่าตัดและวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น งานทันตกรรมรากฟันเทียม การผ่าตัดเพื่อทำหูเทียมและการผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็งกรามช้าง รวมทั้งสิ้น 170 ราย
       
       ผู้อำนวยการศูนย์ทันตกรรมเอสดีซีกล่าวว่า เครื่องมือนี้สามารถถ่ายภาพที่ให้รายละเอียดทั้งลักษณะฟันและชั้นเคลือบฟันซึ่งมีความหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แต่นอกจากการใช้งานทางด้านทันตกรรมแล้ว เครื่องมือนี้ยังสามารถใช้วินิจฉัยโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรได้ทั้งหมด ซึ่งอาจประยุกต์ใช้กับการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุได้ และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานกับเครื่องมือที่นำเข้าจากจีน ไต้หวันหรือเกาหลีแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากันแต่มีราคาเพียง 5.5 ล้านบาท ขณะที่เครื่องนำเข้ามีมูลค่านับสิบล้านบาท


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5696
 หลายคนอาจะยังไม่ทราบว่าดาราศาสตร์ยุคใหม่ได้เข้ามาถึงเมืองไทยตั้งแต่สมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” และยุคนั้นเรายังมี “หอดูดาว” อันทันสมัย อีกทั้งมีความร่วมมือในโครงการดาราศาสตร์ระดับโลกในฐานะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลการเกิดสุริยุปราคาด้วย
       
       อ.ภูธร ภูมะธน นักศึกษาประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวว่าเขาได้ศึกษาข้อมูลในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมานานนับ 40 ปี และทราบว่าพระองค์ทรงสนพระทัยดาราศาสตร์มาก ซึ่งเมื่อได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับ นายอารี สวัสดี จากสมาคมดาราศาสตร์ไทยก็ยิ่งสนใจในเรื่องดาราศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มากขึ้น นอกจากนี้เมื่อได้รับทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสก็พยายามสืบค้นข้อมูลด้านดาราศาสตร์กับสมเด็จพระนารายณ์
       
       ข้อมูลที่ได้จากฝรั่งเศสส่วนหนึ่งคือภาพวาดบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระนารายณ์ แต่ด้วยความไม่เข้าใจในเรื่องดาราศาสตร์มากนัก อ.ภูธรจึงเสนอในที่ประชุมของสมาคมดาราศาสตร์ไทยว่าเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา หากแต่ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์อาวุโสได้แย้งว่าน่าจะเป็นภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2231 และ ดร.ขาว เหมือนวงศ์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้คำนวณและพบว่าปีดังกล่าวเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาขึ้นจริง
       
       “รูปนี้เป็นรูปเก่าแก่ที่สุด แต่เพราะไม่มีข้อมูลเลยคิดว่าเป็นจันทรุปราคา แต่ อ.ขาว เหมือนวงศ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นคำนวณออกมาว่ามีปรากฏการณ์สุริยุปราคาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2231 ซึ่งตรงกัน” อ.ภูธรกล่าว
       
       สมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสทรงอุปถัมภ์นักดาราศาสตร์ให้ไปเก็บข้อมูลการเกิดอุปราคาทั่วโลก และเมื่อปี 2225 เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่ง อ.ภูธรกล่าวว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้มีนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสเดินทางมาเก็บข้อมูลการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาที่เมืองไทยและส่งกลับไปยังฝรั่งเศส นับว่าเมื่อ 330 ปีก่อนไทยก็มีส่วนร่วมในโครงการระดับโลกแล้ว และเมื่อค้นไปเรื่อยๆ ยังได้พบว่าสมเด็จพระนารายณ์ได้รับสั่งให้ฝรั่งเศสส่งนักดาราศาสตร์มาเมืองไทยและสร้างหอดูดาวให้
       
       ปัจจุบันหอดูดาวดังกล่าวคือ “วัดสันเปาโล” ที่ จ.ลพบุรี และเหลือซากปรักหักพังเพียง 1 ใน 4 ของส่วนที่เป็นหอดูดาว ส่วนอาคารล้อมรอบนั้นพังทลายหมดแล้ว และทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ได้ “ปักหมุด” ให้สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่สำคัญทางดาราศาสตร์
       
       อ.ภูธรกล่าวอีกว่า สมเด็จพระนารายณ์ทรงสนพระทัยและติดตามความก้าวหน้าทางด้านดาราศาสตร์อย่างใกล้ชิด เมื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอิ นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีค้นพบวัตถุต่างๆ ในระบบสุริยะ เช่น จุดมืดบนดวงอาทิตย์ สัณฐานของดวงจันทร์ เป็นต้น ก็ทรงติดตามและศึกษาสิ่งเหล่านั้นอย่างสนพระทัย แม้กระทั่งเรือค้าขายประจำรัชกาลยังมีชื่อว่า “เนปจูน”
       
       ความสนพระทัยดาราศาสตร์ในสมเด็จพระนารายณ์นั้น อ.ภูธรอธิบายว่า เพราะในยุคนั้นจักรพรรดิจีนสนใจในดาราศาสตร์และไทยก็ได้รับอิทธิพลจากจีน อีกทั้งในยุคนั้นไทยยังมีกองเรือพาณิชย์นาวีที่ทำการค้าขายไกลถึงอาหรับซึ่งพระองค์มีพระราชดำริว่าการเดินเรือให้ปลอดภัยนั้นต้องอาศัยการดูดาวที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังเป็นการสานสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจและยังเป็นความสนพระทัยส่วนพระองค์ หากแต่หลังเสด็จสวรรคตและนโยบายประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป
       
       จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและเห็นถึงความเกี่ยวโยงทางด้านดาราศาสตร์กับพระมหากษัตริย์ไทย อ.ภูธรจึงได้ร่วมถ่ายทอดความรู้ลงหนังสือชุด “พระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทย” เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) และ วิษณุ เอื้อชูเกียรติ นักวิชาการร่วมจัดทำหนังสือชุดดังกล่าว
       
       หนังสือในชุดพระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทยมีทั้งหมด 3 เล่ม คือ 1.สมเด็จพระนารายณ์มหาราช: พระมหากษัตริย์ผู้สนพระทัยและองค์อุปถัมภ์การศึกษาดาราศาสตร์ตะวันตกในสยามพระองค์แรก 2. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว: จากความสนพระทัยในวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นพระมหากษัตริย์นักดาราศาสตร์ และ 3.รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ: ยุคทองของดาราศาสตร์ไทย โดยวางจำหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และร้านหนังสือชั้นนำ ในราคาชุดละ 750 บาท
       
       ทั้งนี้ อ.ภูธรรับผิดชอบการจัดทำเนื้อหาเกี่ยวข้องกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วน ศ.ดร.ไพรัช และ รศ.บุญรักษารับผิดชอบเนื้อหาเกี่ยวข้องกับรัชกาลปัจจุบัน โดยผู้อำนวยการ สดร.กล่าวว่า ในปัจจุบันถือเป็น “ยุคทอง” ของวงการดาราศาสตร์ไทย ซึ่งมีหอดูดาวแห่งชาติที่มีกล้องขนาด 2.4 เมตร และมีหอดูดาวภูมิภาคที่กำลังดำเนินการอยู่ 5 แห่ง อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ยังสนพระทัยด้านดาราศาสตร์อย่างยิ่ง
       
       รศ.บุญรักษา ยกตัวอย่างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จเยือนคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีการถวายงานให้ทรงกล้องโทรทรรศน์ทอดพระเนตรวัตถุบนท้องฟ้า หรือเมื่อครั้งเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงวันที่ 20 มิ.ย.2498 ซึ่งเกิดคราสเต็มดวงยาวนานที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือยาวนานเกือบ 7 นาทีนั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฬนา กรหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ได้เสด็จทอดพระเนตรปรากฏการณ์ดังกล่าว ณ พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
       
       ด้าน ศ.ดร.ไพรัชกล่าวว่า ในยุคนี้มีความพร้อมทางด้านกายภาพครบถ้วน ก้าวต่อไปคือการวางระบบและการพัฒนาคน และบอกอีกว่าความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ในปัจจุบันนั้นเป็นผลจากพระมหากรุณาธิคุณในพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงสนพระทัยในดาราศาสตร์และยังเสด็จทอดพระเนตรความก้าวหน้าดาราศาสตร์ของประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศมักจัดสิ่งที่ดีสุดทูลเกล้าฯ ถวาย ทำให้ผู้ติดตามมีโอกาสได้เห็นความก้าวหน้าเหล่านั้นด้วย รวมถึงเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศตามมาอีกมาก
       
       พร้อมกันนี้ สดร.ได้มอบหนังสือชุดพระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทยจำนวน 84 ชุด แก่กรุงเทพมหานคร เนื่องในวาระที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกเลือกกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหนังสือโลก 2556 และมีพิธีมอบหนังสือเมื่อวันที่ 18 ก.ค.55 ณ จตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ตึกจามจุรีสแควร์

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5697
เลขาฯ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ แอบอ้างใช้ชื่อผู้บริหารสาวเปิดบัตรเครดิต ปลอมแปลงเอกสาร พร้อมทั้งศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า-เหลาคางให้แหลม ทำให้มีรูปใบหน้าคล้ายกับผู้บริหารสาวเพื่อใช้ในการหลอกลวงธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน 9 แห่ง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 5.3 ล้านบาท
       
       วันนี้ (19 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.30 น. สมาคมธนาคารไทยได้นำตัวแทนธนาคารธนชาต, กรุงเทพ, กรุงศรีอยุธยา, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์, ยูโอบี, ซิตี้แบงก์, เอชเอสบีซี และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ น.ส.น้อง (ขอสงวนนาม) อายุ 34 ปี เลขานุการส่วนตัวของผู้บริหารสาว ฝ่ายการตลาดของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ในความผิดเกี่ยวกับบัตรเครดิต และปลอมและใช้เอกสารสิทธิของผู้อื่น
       
       สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อประมาณปี 2554 น.ส.น้อง ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวที่ทำงานให้กับผู้บริหารสาวคนนี้มานานหลายปี และเก็บรักษาเอกสารสำคัญของผู้บริหารรายนี้เอาไว้ได้นำบัตรประชาชน และสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินไปขอเปิดใช้บัตรเครดิต 9 ใบจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน 9 แห่ง ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งก็อนุมัติบัตรเครดิตให้
       
       ต่อมาเมื่อสถาบันการเงินแต่ละแห่งทวงหนี้บัตรเครดิตไปยังผู้บริหารสาวรายนี้ก็ถูกปฏิเสธการชำระหนี้ โดยอ้างว่าไม่เคยขอใช้บัตรเครดิตแต่อย่างใด ทำให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ กระทั่งพบว่าเลขานุการสาวรายนี้เป็นผู้ดำเนินการยื่นเอกสารและปลอมลายมือชื่อผู้บริหารสาวเพื่อขอมีบัตรเครดิตทั้งหมด และกระทำลักษณะเดียวกันนี้กับธนาคารและสถาบันการเงินที่เหลืออีก 8 แห่งด้วย สมาคมธนาคารไทยจึงประสานรวบรวมข้อมูลทั้งหมดก่อนจะพากันมาแจ้งความในครั้งนี้
       
       ตัวแทนธนาคารแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้นำบัตรเครดิตทั้ง 9 ใบไปสลับกันรูดซื้อสินค้าและบริการนับร้อยครั้งมีทั้งซื้อสินค้าทั่วไป กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม จองห้องพักโรงแรม รูดใช้บริการเสริมความงาม และศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า โดยเหลาคางให้แหลม และทำให้มีรูปใบหน้าคล้ายกับผู้บริหารสาวคนนี้ทำให้บางครั้งเวลาเดินทางไปทำธุรกรรมที่ธนาคารก็ทำให้พนักงานธนาคารคิดว่าเป็นตัวผู้บริหารสาวมาเองจึงอำนวยความสะดวกให้ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2554 ถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 5.3 ล้านบาท ส่วนตัวผู้บริหารสาว หลังทราบว่าถูกเลขานุการคนสนิทนำชื่อและเอกสารส่วนตัวไปขอมีบัตรเครดิตจนได้รับความเสียหายก็ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง ให้ดำเนินคดีต่อเลขานุการสาวคนนี้แล้วอีกทางหนึ่ง
       
       หลังรับเรื่อง พ.ต.อ.ประสพโชคได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พงส.(สบ 4) บก.ป. และพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. รับเรื่องสอบปากคำตัวแทนธนาคารทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป


ทีมข่าวอาชญากรรม    19 กรกฎาคม 2555

5698
  เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ดมิตรี อิตส์คอฟ นักธุรกิจหนุ่มหัวใสชาวรัสเซีย วัย 31 ปี สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ด้วยการออกมาประกาศเปิดตัวโครงการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการนำเสนอ “ชีวิตอมตะ” แก่บรรดามหาเศรษฐีทั่วโลก ผ่านทางการปลูกถ่ายสมองของบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักที่สนใจ เข้าไปยังร่างกายของหุ่นยนต์
       
        อิตส์คอฟซึ่งเป็นผู้นำโครงการวิจัยสุดล้ำที่ใช้ชื่อโครงการว่า “อวตาร” ออกมายอมรับว่า เขาได้เริ่มทำการติดต่อมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกบ้างแล้ว เพื่อยื่นข้อเสนอการมีชีวิตเป็นอมตะให้ โดยยืนยัน เขาจะเป็นผู้ดูแลกระบวนการสร้างความเป็นอมตะดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง แลกกับค่าตอบแทนเป็นวงเงินที่ไม่มีการเปิดเผยโดยอิตส์คอฟ ซึ่งทุ่มเงินจ้างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำกว่า 30 คนมาทำงานในโครงการดังกล่าว ยืนยัน มีเป้าหมายที่จะปลูกถ่ายสมองของมนุษย์เข้าไปในร่างกายของหุ่นยนต์ให้ได้ภายใน 10 ปี
       
        “นับจากนี้ คุณจะมีโอกาสได้ยืดชีวิตของตัวคุณเองออกไปสู่ความเป็นอมตะ เรื่องที่ผมพูดมันไม่ได้เป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป มันเป็นอำนาจของพวกคุณที่จะทำให้เป้าหมายนี้กลายเป็นความจริงในช่วงชีวิตของคุณเอง” เนื้อหาส่วนหนึ่งในจดหมายที่อิตส์คอฟ ส่งไปให้กับมหาเศรษฐีหลายราย ระบุ
       
        รายงานข่าวระบุว่า อิตส์คอฟและทีมงานของเขา กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมเปิดสำนักงานที่นครซานฟรานซิสโก ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯในช่วงซัมเมอร์ปีนี้ และยังเตรียมเปิดตัวเครือข่ายโซเชียล มีเดียของโครงการวิจัยสุดล้ำนี้เพื่อเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน นอกจากนั้น พวกเขายังเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับหนทางไปสู่ความเป็นอมตะของมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน
       
        “การวิจัยของพวกเรามีศักยภาพมากพอที่จะปลดปล่อยผู้คนทั้งหลายบนโลกของเรา ให้หลุดพ้นจากการเจ็บป่วย การแก่ชรา และแม้แต่ความตาย” อิตส์คอฟกล่าว
       
        ทั้งนี้ “เป้าหมายสูงสุด” ของโครงการวิจัยดังกล่าวมิได้หยุดอยู่แค่เพียงการนำสมองของลูกค้าไปปลูกถ่ายในร่างกายใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์เท่านั้น แต่อิตส์คอฟยืนยันว่า พวกเขาต้องการสร้างรูปแบบชีวิตแบบ “ฮอโลแกรม” ให้ได้ภายในปี ค.ศ.2045 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะสามารถทำการ “อัปโหลด” จิตใจ สมอง และความทรงจำต่างๆ ของบุคคลไปยังร่างใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการ “ผ่าตัด” อีกต่อไป และร่างกายแบบ “ฮอโลแกรม” ดังกล่าวยังจะสามารถเดินทะลุกำแพง รวมถึงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในระดับเดียวกับแสง ได้ด้วยเช่นกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5699
 เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- รายงานผลสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของพลเมืองสหราชอาณาจักรในต่างแดนของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ระบุในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวชาวเมืองผู้ดีโดยเฉลี่ย 10 รายที่ต้องถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีสภาพอากาศอบอุ่นซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าดินแดนเหล่านี้ต่างมี “จุดดึงดูดสำคัญ” ที่นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะบรรดานักเดินทางวัยหนุ่มสาวต้องการมากที่สุด นั่นคือ แสงแดด หาดทราย เซ็กซ์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูก และยาเสพติด โดยที่ประเทศไทยติดอันดับ 3 ในฐานะดินแดนที่ชาวอังกฤษถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด
       
       รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมาซึ่งนับจากเดือนเมษายนปีที่แล้วจนถึงเมษายนปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรถึง 3,739 ราย ที่ไปประสบอุบัติเหตุหรือก่อความเสียหายในรูปแบบต่างๆ ในต่างประเทศ โดยในจำนวนดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอย่างหนัก ขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวหญิงที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากสถานทูต สถานกงสุลอังกฤษทั่วโลกเพราะถูก “ข่มขืน” ในรอบปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 127 ราย เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปีก่อนถึง 10 เปอร์เซ็นต์
       
       ขณะที่จำนวนพลเมืองสหราชอาณาจักรที่เสียชีวิตในต่างแดนในรอบปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ จาก 5,972 ราย เป็น 6,237 ราย และอีกมากกว่า 6,000 คนต้องถูกคุมขังในเรือนจำต่างประเทศ เนื่องจากกระทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รวมถึงความผิดฐานพกพายาเสพติดเข้าประเทศ ซึ่งสัดส่วนของชาวอังกฤษที่ถูกจับเข้าคุกในต่างแดนนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 เปอร์เซ็นต์
       
       นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังพบข้อมูลว่า ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษประสบปัญหา และต้องขอความช่วยเหลือจากสถานทูต สถานกงสุลมากที่สุด คือ สเปน (5,405 ราย) รองลงมา คือ สหรัฐฯ (1,822 ราย) และฝรั่งเศส (1,319 ราย)
       
       ขณะที่สเปนยังคงครองแชมป์ในฐานะดินแดนที่ชาวอังกฤษถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด (1,105 ราย) ตามมาด้วยกรีซ (494 ราย) และประเทศไทย (217 ราย)
       
       ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมามีชาวเมืองผู้ดีเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างแดนมากกว่า 56 ล้านคน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5700
สธ.คลอดนโยบายพัฒนาคุณภาพมาตรฐานอาหารผู้ป่วยไทยพุทธ และมุสลิม ในโรงพยาบาลในสังกัด 824 แห่งทั่วประเทศ จัด 6 เมนูอาหารผู้ป่วยเฉพาะโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคไต เพิ่มครัวอาหารฮาลาลในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดทั่วประเทศ 19 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นไข้เร็วขึ้น

       วันนี้ (14 ก.ค.)นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดครัวฮาลาลต้นแบบ ที่โรงพยาบาลลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายคุ้มครองความปลอดภัยอาหาร เพื่อให้ประชาชนไทย มีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย โดยให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดตรวจสอบสถานที่แหล่งผลิต จำหน่ายอาหาร หน่วยบริการอาหาร 7 ประเภทที่เน้นเป็นพิเศษ ต้องผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ 1.โรงงานผลิต/แปรรูปอาหาร 2.ตลาดค้าส่ง 3.ตลาดสด 4.ตลาดนัด 5.ร้านอาหาร/แผงลอย 6.โรงพยาบาล และ 7.โรงอาหารของศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน และสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชน และให้เข้มการตรวจสอบความปลอดภัยตามมาตรการทางกฎหมายในอาหาร 6 ประเภท ได้แก่ 1.น้ำมันทอดซ้ำและน้ำมันที่จำหน่ายแต่ไม่มีฉลาก อย.2.สารปนเปื้อน 6 ชนิด ได้แก่ บอแรกซ์ สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน สารกันรา สารกำจัดศัตรูพืชค้างและสารเร่ง เนื้อแดง 3.น้ำดื่ม น้ำแข็ง 4.อาหารและสมุนไพรเพื่อสุขภาพ 5.นมโรงเรียน และ 6.เส้นก๋วยเตี๋ยว
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในส่วนของโรงพยาบาล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยนอนพักรักษา จำนวน 824 แห่ง ซึ่งให้การดูแลผู้เจ็บป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลปีละ 16 ล้านกว่าราย หรือมีเฉลี่ยวันละ 40,000 ราย ให้ปรับปรุงเมนูสุขภาพเป็นหมวดหมู่เฉพาะโรค เพื่อบำรุงสุขภาพ ช่วยเสริมการบำบัดรักษาผู้ป่วยทุกโรคของแพทย์ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น หรือช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นไข้ได้เร็วขึ้น ประชาชนสามารถนำไปปฏิบัติต่อได้ที่บ้าน และจัดพิมพ์เมนู แยกเป็นเล่มแยกเป็นรายโรค เพื่อแจกจ่ายให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในปีแรกเน้น 6 ประเภท ได้แก่

1.เมนูอาหารสุขภาพหรืออาหารทั่วไป
2.เมนูอาหารโรคเบาหวาน
3.เมนูโรค ความดันโลหิตสูง
4.เมนูอาหารโรคหัวใจและปลอดเลือด
5.เมนูอาหารโรคไต และ
6.เมนูอาหารโรคมะเร็ง
       
       นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาการให้บริการอาหารฮาลาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมกับโรค แก่ชาวไทยมุสลิมที่เจ็บป่วยตามหลักศาสนาบัญญัติ ซึ่งขณะนี้มีชาวไทยที่เป็นมุสลิมประมาณ 4 ล้านคนทั่วประทศ โดยให้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด โดยมีเมนูอาหารสุขภาพฮาลาล พัฒนายกระดับมาตรฐาน โรงครัวของโรงพยาบาล 19 แห่ง เป็นโรงครัวฮาลาล ตั้งแต่กระบวนการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร หลักโภชนาการ หลักสุขาภิบาลความสะอาด และความปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยและญาติ เกิดความเชื่อมั่น
       
       โรงพยาบาล 19 แห่ง ได้แก่ รพ.หาดใหญ่ รพ.นครพิงค์ รพ.แม่สอด รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.วชิระภูเก็ต รพ.ระนอง รพ.กระบี่ รพ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช รพ.ยี่งอ จ.นราธิวาส รพ.ยะหริ่ง รพ.ปะนาเระ รพ.มายอ รพ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี รพ.สะเดา จ.สงขลา รพ.คลองท่อม จ.กระบี่ รพ.ตะโหมด จ.พัทลุง สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี และในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และจะขยายไปยังโรงพยาบาล ที่มีความพร้อมในการผลิตอาหารฮาลาล และตั้งอยู่ในชุมชนมุสลิม เช่นที่รพ.ลาดบัวหลวง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีชาวไทยมุสลิมร้อยละ 40 ของประชากรทั้งอำเภอ และมีผู้ป่วยในที่เป็นชาวไทยมุสลิม พักรักษาร้อยละ 10 ของผู้ป่วยทั้งหมด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กรกฎาคม 2555

หน้า: 1 ... 378 379 [380] 381 382 ... 537