แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 534
5716
 สธ.สนองนโยบาย “นายกฯปู” ยกระดับมาตรฐานตลาดนัดที่มีกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ เพิ่มความมั่นใจประชาชน ทั้งเขตเมือง- ชนบท บริโภคอาหารปลอดภัย ราคากันเอง เล็งกำหนดให้ตลาดนัดเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ประกอบการจะต้องขึ้นทะเบียนขออนุญาต สถานที่จำหน่าย/ผู้ขายต้องสะอาด อาหารปลอดภัยจากสิ่งปนเปื้อนอย่างน้อย 4 ชนิด คือ บอแรกซ์ สารฟอกขาว สารกันรา ฟอร์มาลิน
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ควบคุมคุณภาพอาหารบริโภคทุกชนิดให้ปลอดภัย ไร้สารอันตราย หรือเชื้อโรคปนเปื้อน เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย พร้อมยกระดับครัวไทยเป็นครัวโลก ที่ผ่านมา สธ.ได้จัดระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยอาหารทุกจังหวัด โดยเฉพาะสถานที่จำหน่ายที่มีโครงสร้างถาวร เช่น ตลาดสด ซึ่งเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบประกอบอาหารของประชาชน จะต้องได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดขั้นต่ำ 3 ประการ คือ
1.สถานที่สะอาด
2.อาหารที่วางขายต้องไม่มีสารปนเปื้อนอันตรายอย่างน้อย 6 ชนิด ได้แก่ สารบอแรกซ์ สารกันรา สารฟอร์มาลิน สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง สารฟอกขาว และสารเร่งเนื้อแดง และ
3.ต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น มีตาชั่งมาตรฐานเทียงตรง ราคายุติธรรม มีชุดตรวจสอบการปนเปื้อนทางเคมี จนถึงขณะนี้ได้รับรองมาตรฐานตลาดสดครอบคลุมไปแล้วร้อยละ 83 จากตลาดสดที่มีทั่วประเทศ 1,600 กว่าแห่ง จะเร่งให้ครบ 100% ในปีนี้
   
       รมช.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ยังมีนโยบายควบคุมมาตรฐานของตลาดนัด ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายอาหารชั่วคราว และกำลังเป็นที่นิยมทั่วประเทศ มีทั้งในเขตเมืองและชนบท เนื่องจากราคาสินค้าย่อมเยา คาดว่า ทั่วประเทศจะมีตลาดประเภทนี้ทุกตำบล รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 แห่ง บางหมู่บ้านมีนัดวันเว้นวัน จึงต้องมีการดูแลคุมครองผู้บริโภคให้ได้รับอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยตลาดนัดจัดว่าเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ผู้ประกอบการตลาดนัด จะต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.เทศบาล ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะนี้ กรมอนามัยได้จัดทำเกณฑ์มาตรฐานของตลาดนัดเรียบร้อยแล้ว และจะประชุมชี้แจงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้ดูแลตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ในเร็วๆ นี้ จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ หรือในภูมิภาค เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล ประเมินสภาพสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมของตลาด โดยแบ่ง 3 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับดี และระดับดีมาก
       
       สำหรับมาตรฐานของตลาดนัด จะต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 3 ประการ ได้แก่
1.ความสะอาดของสถานที่ เช่น ต้องอยู่ห่างจากแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษ เช่น โรงเลี้ยงสัตว์ แหล่งโสโครกที่กำจัดขยะสิ่งปฏิกูลอย่างน้อย 100 เมตร แผงจำหน่ายอาหารต้องยกสูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร ต้องจัดให้มีห้องส้วม ที่ปัสสาวะ อ่างล้างมือให้เพียงพอและถูกสุขลักษณะ ไม่จำหน่ายอาหารที่ไม่สะอาด หรือไม่ปลอดภัยตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร ผู้ขายอาหาร และผู้ช่วยต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นพาหะนำโรคติดต่อไปสู่ผู้ซื้อ เช่น โรคอหิวาตกโรค บิด ไข้สุกใส หัด คางทูม เป็นต้น อาหารที่ปรุงเสร็จต้องมีการปกปิด ป้องกันการปนเปื้อน
2.อาหารที่จำหน่ายต้องปลอดภัยจากสารต้องห้ามอย่างน้อย 4 ตัว ได้แก่ สารฟอร์มาลิน หรือน้ำยาดองศพ สารกันรา หรือกรดซาลิชิลิก สารบอแรกซ์ หรือน้ำประสานทอง และสารฟอกขาว และ
3.มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น ระบบตาชั่งกลาง เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มิถุนายน 2555

5717
สธ.ไม่ง้อ ก.พ.เล็งยกระดับลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานกระทรวง แทนบรรจุข้าราชการ พร้อมเร่งประชาพิจารณ์สภาวิชาชีพฯ เรื่องร่างรูปแบบการจ้างงานบุคลากรสาธารณสุข ฟุ้งเงื่อนไขดีกว่า ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
   
       นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงได้หาแนวทางการแก้ปัญหาบุคลากรสาธารณสุข โดยเสนอปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคลากรต่อ สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และขอให้เปิดบรรจุเพิ่มเติมในตำแหน่งข้าราชการ กระทั่ง ก.พ.ได้อนุมัติไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ประมาณ 2,400 ตำแหน่งในส่วนของ แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร แล้วนั้น ขณะนี้ยังต้องเร่งดำเนินการต่อในเรื่องการแก้ปัญหาลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งมีอยู่กว่า 31,000 คน ที่ยังไม่ได้ตำแหน่งทางราชการ โดยแผนในการแก้ปัญหาหลัก คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างจำนวนดังกล่าว ให้ดีขึ้นเทียบเท่าข้าราชการ ซึ่งก่อนหน้านี้ สธ.ได้กำหนดแผนไว้ว่า จะจ้างงานในรูปแบบของพนักงานกระทรวงสาธารณสุข แต่หลังจากการรับฟังปัญหาเพิ่มเติมจากภาคท้องถิ่น แต่ละพื้นที่ ทราบว่า ยังมีบุคลากรหลายท่าน มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีพอ และมีสวัสดิการยังไม่ดีเมื่อเทียบกับภาระงาน ดังนั้นจึงต้องปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานอีกครั้ง
       
       ทั้งนี้ จากการที่ได้หารือกับสภาวิชาชีพ ทุกด้านในเรื่องของการจ้างงานนอีก 5 ปี ข้างหน้า คือ ปี 2560 นั้น เบื้องต้นมีข้อเสนอเกี่ยวกับจำนวนบุคลากรที่เหมาะสมของสภาวิชาชีพ ว่า ต้องการบุคลากรแพทย์ทั่วไปในอัตราแพทย์ 1 คนต่อประชากร 3,000 คน พยาบาล 1 คนต่อประชากร 550 คน และเภสัชกร 1 คนต่อประชากร 8,000 คน ซึ่งกระทรวงได้ทำต้นร่างรูปแบบการจ้างงานเสร็จแล้ว ยังเหลือแค่การทำประชาพิจารณ์กับทุกสภาวิชาชีพ เท่านั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้
       
       นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า หากแผนงานดังกล่าวเป็นผลสำเร็จ และทุกสภาวิชาชีพยอมรับในตำแหน่งพนักงาน สธ.จะเป็นการดีต่อบุคลากรทุกคนโดยนอกจากค่าตอบแทนที่ดีและมั่นคงแล้ว สิ่งที่จะได้รับเพิ่มเติมและต่างจากตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว อาทิ เรื่องสิทธิในการโยกย้ายสถานที่ปฎิบัติงาน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การส่งเสริมการศึกษาต่อ ฯลฯ แต่ในส่วนของสิทธิการรักษาพยาบาลนั้นจะเป็นการใช้สิทธิประกันสังคม ไม่ใช่สิทธิข้าราชการ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มิถุนายน 2555

5718
วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับการรับรองจากฟีฟ่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและอาเซียน ให้เป็นศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางการแพทย์ของสถาบันฟุตบอลนานาชาติ และเป็นแห่งที่สามของเอเชีย
       
       ประธานฝ่ายแพทย์ของฟีฟ่า นายแพทย์จีรี โวด์แรค (Jiri Dvorak, FIFA Chief Medical Officer) เป็นตัวแทนของฟีฟ่าเดินทางมามอบประกาศนียบัตร FIFA Medical Centre of Excellence หรือ “ศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางการแพทย์ของสถาบันฟุตบอลนานาชาติ” ให้แก่ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพและวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและอาเซียน และเป็นแห่งที่สามของเอเชีย (ญี่ปุ่น, กาตาร์, ไทยและซาอุดิอาระเบีย) โดยในปัจจุบันมีสถาบันทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองทั่วโลกอยู่ 26 สถาบันเท่านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
       
       ทางวิทยาลัยวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล โดย "นพ. โอภาส สินเพิ่มสุขสกุล" ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ อาจารย์จากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ให้เป็น FIFA Medical Centre of Excellence พร้อมกับศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยทางวิทยาลัยได้ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างบุคคลากรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีความสามารถใน 5 สาขาหลักของประเทศ ได้แก่ เวชศาสตร์การกีฬา สรีรวิทยาการกีฬา ชีวกลศาสตร์การกีฬา จิตวิทยาการกีฬา และโภชนศาสตร์การกีฬาฯลฯ ออกสู่สังคม
       
       "ปัจจุบันได้ขยายหลักสูตรการศึกษาไปถึงในระดับปริญญาเอก(นานาชาติ) พร้อมทั้งดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพร่างกายและเก็บสถิติการบาดเจ็บในกีฬาฟุตบอลและกีฬาอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลงานที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียและระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพอย่างรอบด้านทางการศึกษาค้นคว้าวิจัยตลอดจนการให้การดูแล รักษา และฟื้นฟูสุขภาพบุคคลากรฟุตบอลและทางการกีฬาอื่นๆให้มีสมรรถภาพที่ดี มีคุณค่ากับวงการกีฬาของประเทศไทยต่อไป"
       
       ทางด้าน "นายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร" กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพกล่าวว่า ปัจจุบันฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีการคำนวณคร่าวๆว่ามากกว่า 600 ล้านคน การที่นักฟุตบอลจะเก่งหรือมีความสามารถในการเล่นระดับโลกได้นั้น นอกจากพรสวรรค์แล้ว การใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้กับนักฟุตบอลจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
       
       "ในเวลาที่นักฟุตบอลมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น การให้การดูแลรักษาทันทีที่มีการบาดเจ็บ การวิเคราะห์โรคที่รวดเร็ว แม่นยำ โดยอาศัยแพทย์ทางด้านเวชศาสตร์การกีฬาที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการบาดเจ็บของนักฟุตบอลและเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย เช่น การใช้เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เอ็มอาร์ไอสนามแม่เหล็ก ตลอดจนการรักษาทั้งทางยาและการผ่าตัดด้วยวิธีการที่ทันสมัยโดยอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องและมีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก จะช่วยทำให้นักฟุตบอลหายจากการบาดเจ็บนั้นได้อย่างรวดเร็วที่สุด"
       
       นายแพทย์ชาตรีกล่าวต่อว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การฟื้นฟูสภาพร่างกายควบคู่กับการรักษาระดับความฟิตของหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ตลอดจนการทำกายภาพบำบัดด้วยโปรแกรมที่ดีคุณภาพระดับสากล จะส่งผลให้นักฟุตบอลกลับลงไปเล่นได้อย่างเช่นก่อนการบาดเจ็บได้โดยเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นฟีฟ่าจึงมีนโยบายที่จะให้การรับรองสถาบันทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งจะต้องมีการสนับสนุนการป้องกันการบาดเจ็บอย่างเป็นรูปธรรม มีการศึกษา อบรมตลอดจนการวิจัยเพื่อองค์ความรู้ใหม่ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่นักฟุตบอล และประชาสัมพันธ์ให้นักฟุตบอลทั่วทุกภูมิภาคของโลกว่าจะสามารถเข้าไปรับการดูแลได้ที่ใดบ้าง
       
       “นับเป็นความภาคภูมิใจของทางโรงพยาบาลที่ได้รับรองมาตรฐานด้านเวชศาสตร์การกีฬาจาก FIFA สถาบันชั้นนำทางด้านกีฬาฟุตบอลระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นการดำเนินงานในด้าน “เวชศาสตร์การกีฬา” ว่าทางศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพได้มีบทบาทและให้ความสำคัญเป็นอย่างดีมาโดยตลอด โดยได้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลสุขภาพของนักฟุตบอลทีมชาติ นักฟุตบอลประจำทีมสโมสรฟุตบอลชั้นนำในไทยพรีเมียร์ลีก ทั้งในเรื่องของการดูแลรักษานักกีฬาที่เกิดการบาดเจ็บ การฟื้นฟูและมุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มสมรรถภาพด้านร่างกาย เทคนิคการเตรียมความพร้อม เทคนิคการเล่นกีฬาเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอีกทั้งยังรวมถึงงานด้านโภชนาการ และจิตวิทยาการกีฬา ได้อย่างมีมาตรฐาน”
       
       นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นายแพทย์ไพศาล จันทรพิทักษ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และประธานฝ่ายแพทย์สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานจากฟีฟ่าได้นั้นจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์การพิจารณาและคุณสมบัติ 7 ประการ ได้แก่
       
       1. Multidisciplinary Approach (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา) มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาที่สนับสนุนการดูแล การป้องกันและการรักษานักฟุตบอล เพราะนักฟุตบอลไม่ได้มีปัญหาเฉพาะการบาดเจ็บเท่านั้น อาจมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกเรื่อง เช่น สมอง ไขสันหลัง ตา หู คอ จมูก ระบบหายใจ ทางเดินอาหาร ทันตกรรม หัวใจ ดังนั้นสถาบันนั้นๆจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ นอกจากแพทย์เวชศาสตร์การกีฬา แพทย์ออร์โธปิดิกส์ (กระดูกและข้อ) แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัดสำหรับการดูแลการบาดเจ็บ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา ฟิตเนสและโภชนาการด้วย
       
       2. Team Physician Experience (แพทย์ประจำทีมฟุตบอล) สถาบันนั้นๆจะต้องมีแพทย์ที่ทำหน้าที่แพทย์ประจำทีมฟุตบอล เพื่อการมีประสบการณ์ตรงในการดูแลนักฟุตบอล รู้ปัญหาและความต้องการของนักฟุตบอล ทั้งนี้ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ มีแพทย์ที่ทำหน้าที่แพทย์ประจำทีมฟุตบอลทีมชาติหลายชุด แพทย์ประจำทีมสโมสรฟุตบอลชั้นนำในไทยพรีเมียร์ลีก เช่น เอสซีจีเมืองทองยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ยูไนเต็ด เป็นต้น
       
       3. Prevention (การป้องกันการบาดเจ็บและเจ็บป่วย) สถาบันนั้นๆต้องสนับสนุนการป้องกันการบาดเจ็บและเจ็บป่วยของนักฟุตบอล โดยมีการตรวจเช็คร่างกายก่อนการแข่งขันเป็นประจำ มีการสนับสนุนโปรแกรมการวอร์มอัพของฟีฟ่า (The 11+ หรือ เดอะอิเลเว่นพลัส) ที่ได้ผลในการป้องการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพให้การตรวจเช็คร่างกายนักฟุตบอลทีมชาติและทีมสโมสรชั้นนำมาโดยตลอด ส่วนการวอร์มอัพของฟีฟ่านั้นได้มีการนำเสนอสาธารณชนทางสื่อหนังสือพิมพ์และการอบรมสัมมนามาโดยตลอด และในปลายปีนี้ช่วงฟุตซอลโลกในไทย ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพจะได้ร่วมมือกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และฟีฟ่าทำโครงการเดอะอิเลเว่นพลัส ให้รับรู้กันโดยทั่วประเทศไทย โดยฟีฟ่าจะส่งวิทยากรมาเปิดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้แก่ผู้ที่สนใจในเดือนพฤศจิกายนศกนี้
       
       4. Education (การศึกษาอบรม) สถาบันจะต้องมีระบบการฝึกอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนนักฟุตบอล เพื่อให้ทราบองค์ความรู้ที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ มีระบบการเรียนการสอนดังกล่าวมาโดยตลอด
       
       5. Research (การทำวิจัย) สถาบันจะต้องมีการสนับสนุนให้มีการทำวิจัยเพื่อศึกษาและค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเพื่อประโยชน์ในวงการฟุตบอล ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพได้ร่วมมือกับวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬามหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยดังกล่าวและสนับสนุนให้มีการนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียและระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ
       
       6. Events (การมีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันฟุตบอล) ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการจัดการแข่งขันฟุตบอลของฟีฟ่า เอเอฟซี และของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด ในการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกที่สำคัญที่ผ่านมา นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้รับการแต่งตั้งจากฟีฟ่า ให้เป็นประธานฝ่ายแพทย์ของการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิงชิงแชมป์โลก รุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2004 และเช่นเดียวกันในปลายปีนี้ในการแข่งขันฟุตซอลโลก 1-18 พฤศจิกายน 2555
       
       7. กิจกรรมอื่นๆ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ มีส่วนร่วมในการส่งเสริมความรู้ด้านเวชศาสตร์ฟุตบอล (Football Medicine) แก่สาธารณชน โดยผ่านการเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ ตลอดจนการนำเสนอผ่านรายการโทรทัศน์ เกี่ยวกับองค์ความรู้ดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมการวอร์มอัพเดอะอิเลเว่นพลัสของฟีฟ่า
       
       "ซึ่งทั้งหมดก็คือคุณสมบัติองค์รวมที่ทำให้ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการรับรองมาตรฐานจากฟีฟ่าให้เป็น FIFA Medical Centre of Excellence ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนดังกล่าวข้างต้น โดยการรับรองครั้งนี้จะมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่จะมีการรับรองครั้งใหม่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยที่สร้างมาตรฐานและพัฒนาศักยภาพจนเป็นที่ยอมรับขององค์กรระดับโลกอย่างฟีฟ่า"

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มิถุนายน 2555

5719
ด้วยรูปแบบพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในยุคแห่งความเจริญนี้ หลายๆ ท่านเปิดโอกาส หรือสร้างช่องทางให้สมองลูกถูกทำลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะจากสื่อ สภาพแวดล้อม อาหารการกิน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อสมองของลูกไม่มากก็น้อย วันนี้ทีมงาน Life & Family ขอถือโอกาสรวบรวม “วายร้าย” ทำลายสมองลูกมาฝากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักกันครับ
       
       โทรทัศน์
       
       เริ่มกันที่ “โทรทัศน์” มีบทความเผยแพร่งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานเปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมงกับเด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลยพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์จะต่ำกว่าเด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน นักวิจัยจึงออกข่าวแนะนำพ่อแม่ไม่ให้เลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์จนกว่าจะพ้นระยะปฐมวัยไปแล้ว นั่นก็คือ หลัง 6 ขวบ
       
       ดังนั้น หากต้องการให้สมองของลูกพัฒนาไปตามธรรมชาติ ไม่ถูกกระตุ้นด้วยภาพและเสียงมากเกินไปจนทำให้ลูกกลายเด็กสมาธิสั้น สิ่งหนึ่งที่ห้ามเด็ดขาด คือ ไม่ควรดูโทรทัศน์ในระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างเลี้ยงลูกวัยก่อน 6 ขวบ เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลาดูโทรทัศน์ เด็กจะใช้ประสาทสัมผัสเพียง 2 ส่วนคือ ตารับภาพ กับหูรับเสียงเท่านั้น จึงขัดแย้งกับกระบวนการเรียนรู้ในเด็กเล็ก ซึ่งจะต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ 6 ซึ่งโทรทัศน์ไม่สามารถตอบสนองได้เลย ซ้ำยังเป็นการทำลายสมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่นๆ ทางอ้อมอีกด้วย เพราะจะทำให้ค่อยๆ ฝ่อลง เนื่องจากไม่ได้ถูกใช้งานเท่าที่ควร
       
       นอกจากนี้ การที่เด็กเรียนรู้เพียงภาพ และเสียง เด็กจะไม่เข้าใจถึงการดำรงอยู่จริงๆ ของสิ่งที่เขาเห็นจากโทรทัศนฺ์ เช่น ถ้าเราอยากให้ลูกรู้จักโต๊ะ เก้าอี้ แต่เราให้ดูแต่ภาพ หรือฟังเสียงเคาะโต๊ะ ขยับเก้าอี้จากโทรทัศน์เท่านั้น เขาก็จะรู้จักแค่ว่า โต๊ะ เก้าอี้ มีลักษณะแบนๆ เหมือนในภาพ แต่ไม่รู้ว่ามีความลึก หนา บาง หรือมีผิวสัมผัสอย่างไร ร้อนเย็นแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่เคยจับโต๊ะเก้าอี้เลย ความทรงจำของลูกเกี่ยวกับโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่จริง แต่เป็นความทรงจำที่จำลองขึ้น
       
       อาหารขยะ
       
       อาหารขยะจากแป้งทอด หรือย่างด้วยความร้อนสูง นับวันจะมีมากขึ้นในเมืองไทย ซึ่งการซื้ออาหารเหล่านี้ให้เด็กกินหรือให้เด็กซื้อกินจนติดเป็นนิสัย เป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก เห็นได้จากข้อมูลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า การให้เด็กๆ ที่อายุไม่ถึง 3 ขวบ รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมัน มีส่วนทำให้กระบวนการพัฒนาของเซลล์สมองด้อยประสิทธิภาพลง และอาจทำให้เด็กมีไอคิวต่ำกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน
       
       โดยงานวิจัยชิ้นนี้นำระดับไอคิวของเด็กที่รับประทานขนมกรุบกรอบอย่างมันฝรั่งทอด บิสกิต หรือพิซซ่าตั้งแต่อายุน้อยๆ (ไม่เกิน 3 ขวบ) มาเปรียบเทียบกับเด็กที่รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่ทำเองในบ้านพบว่า เด็กกลุ่มแรกมีไอคิวต่ำกว่าเด็กกลุ่มที่สองอย่างน้อย 5 แต้ม และแม้ว่าพ่อแม่จะปรับอาหารให้ดีขึ้นในภายหลัง ก็อาจสายเกินไปที่จะเยียวยาเสียด้วย เพราะกระบวนการพัฒนาของสมองนั้น ในช่วง 3 ขวบปีแรกถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต
       
       อย่างไรก็ดี การให้เด็กๆ ในวัยดังกล่าวรับประทานแต่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน น้ำตาล ไม่เพียงแต่จะทำให้สมองของเด็กเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ยังทำให้เด็กขาดวิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองด้วย
       
       บุหรี่
       
       สำหรับบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง อาจทำให้สมองของเด็กได้รับสารพิษ และเป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพในสมองให้ลดลงได้ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และอากาศที่สดชื่น
       
       ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งโลก ได้หายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กอยู่ในบ้าน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กมากๆ เพราะยิ่งเด็กหายใจเข้าไปมากเท่าไร สมองก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ควรคิดให้ดีก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบในบ้าน
       
       ของเล่น
       
       การได้รับสารพิษ และสารเคมีประเภทตะกั่ว และปรอทที่ปนเปื้อนมากับของเล่น หากได้รับการสั่งสมเป็นเวลานาน และปริมาณมากก็ส่งอันตรายต่อสมองได้ ซึ่งสารพิษสามารถป้องกันได้โดยการเลือกของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) รับรองว่าปลอดภัย
       
       ความเครียดสะสม
       
       ความเครียดสะสมจากการเรียนหนัก ถูกบังคับให้เรียน หรือทำในสิ่งที่ไม่ชอบ รวมไปถึงการถูกตำหนิทุกวัน ไม่เคยได้รับคำชมเลย สิ่งเหล่านี้อาจไปยับยั้งการเรียนรู้ ทำลายสมอง ทั้งยังก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเครียด โรคกระเพาะ รวมไปถึงภาวะซึมเศร้าด้วย
       
       ไอโฟน ไอแพด
       
       พ่อแม่ในยุคไซเบอร์ที่ชอบเลือกซื้อไอโฟน ไอแพดให้ลูกเล่น พึงตระหนักกันให้ดีๆ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เจ้าสองสิ่งนี้จะส่งผลร้ายต่อสมองเด็กโดยตรง แต่ถ้าปล่อยให้เด็กเล่น และอยู่กับเจ้าเครื่องเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก โอกาสที่เด็กจะพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ย่อมมีได้น้อย อีกทั้งความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้นย่อมเกิดได้สูงตามไปด้วย เนื่องจากภาพต่างๆ ในจอ เปลี่ยนเร็วมาก เด็กจะคุ้นเคยกับความเร็ว ทำให้รอคอยไม่เป็น ทางที่ดีควรให้ลูกเล่นเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม และมีกฎกติกาการใช้ที่ชัดเจน
       
       นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มีผู้ป่วยด้วยอาการปวดแขน ปวดคอจากการใช้งานแท็บเล็ตพีซีเช่นไอแพดเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องนี้ ดร.John Pappas ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์จาก Beaumont Centre ในมลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เผยว่า การใช้แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือและมือ จึงสมควรใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น
       
       สุขภาพสมองของลูกจะไปในทิศทางไหน พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นผู้กำหนด
       
       ///////////////
       
       อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ “สมองอ่าน อ่านสมอง” ของ พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ สำนักพิมพ์แฮปปี้ แฟมิลี่


ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มิถุนายน 2555

5720
นักวิจัยแดนจิงโจ้เผย การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตวันละชิ้นต่อเนื่องนานเกิน 10 ปีนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยพบว่าสามารถป้องกันอาการหัวใจวาย และอาการเส้นเลือดอุดตันได้
       
       จากการศึกษาของคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Monash ประเทศออสเตรเลีย ผ่านกลุ่มตัวอย่างชาวออสเตรเลียจำนวน 2,013 คน พบว่า การบริโภคช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้นของโกโก้สูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจำนวน 100 กรัมต่อวันอย่างต่อเนื่องนั้นช่วยลดความเสี่ยงในหลายๆ ด้านให้กับผู้ป่วย
       
       หัวหน้าทีมวิจัย Ella Zomer กล่าวว่า ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในระบบหลอดเลือดหัวใจนั้นสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงลงได้ หากผู้ป่วยบริโภคดาร์กช็อกโกแลต
       
       “ประโยชน์ของการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณ 100 กรัมจะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี การศึกษาของเราชี้ว่า การบำบัดด้วยดาร์กช็อกโกแลตนั้นสามารถนำมาใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจสูงได้” Zomer กล่าว
       
       สำหรับประโยชน์ของช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้นของโกโก้ในปริมาณสูงนั้นมาจากปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า “Polyphenols” ซึ่งสารดังกล่าวสามารถช่วยลดความดันโลหิต โดยช่วยให้หลอดเลือดไม่ตีบตัน จึงทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น
       
       อย่างไรก็ดี นอกจากสาร “Polyphenols” จะพบในดาร์กช็อกโกแลตแล้ว เครื่องดื่มอย่างชาเขียวและผลไม้อย่างแอปเปิลแดง-บลูเบอร์รี ก็มีสารดังกล่าวในปริมาณสูงด้วยเช่นกัน
       
       แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ออกโรงเตือนด้วยเช่นกันว่า การทานดาร์ก ช็อกโกแลตมากเกินไปก็สามารถนำไปสู่การเกิดโรคอ้วนได้ และสุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเกิดโรคในระบบหลอดเลือด ดังนั้น การแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงใช้การบริโภคดาร์กช็อกโกแลตเป็นหนทางหลักเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่สิ่งที่นักวิจัยแนะนำ แต่ผู้ป่วยควรมีการออกกำลังกาย รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การบริโภคอาหารร่วมด้วย
       
       สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจนั้น ปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของประชากรโลกเลยทีเดียว โดยอ้างอิงจาก WHO พบว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตทั่วโลกมาจากสาเหตุดังกล่าว
       
       จริงๆ แล้ว การรับประทานอาหารพื้นบ้าน เน้นผักผลไม้ของไทยเราเยอะๆ ไม่เน้นอาหารฟาสต์ฟูดมากนัก ก็ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว แถมไม่ต้องเสียเงินซื้อดาร์ก ช็อกโกแลตมาหม่ำเพื่อลดความเสี่ยงอีกด้วย
       
       เรียบเรียงจากเอเอฟพีนิวส์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มิถุนายน 2555

5721
ด้วยจุดเด่นในการดึงเอาพฤติกรรมตามธรรมชาติของ “มดแดง” มาออกแบบการทดลอง ทำให้โครงการวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศีรสะเกษในการศึกษาผลกระทบของแหล่งอาหารมดต่อปริมาณและคุณภาพ “ไข่มดแดง” สามารถคว้ารางวัลจากเวทีอินเตอร์ Intel ISEF ที่มีนักเรียนจากทั่วโลกกว่า 1,600 คนนำผลงานเข้าแข่งขัน
       
       หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าแข่งขันในการประกวดผลงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับนานาชาติของอินเทล (Intel International Science and Engineering Fair) หรืออินเทลไอเซฟ (Intel ISEF) โครงงานวิทยาศาสตร์ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารต่อปริมาณและคุณภาพของไข่มดแดงที่ กิตติ์ธเนศ ธนะรุ่งโรจน์ทวี ทำการศึกษาเดี่ยว ตั้งแต่เป็นนักเรียน ม.ปลาย โรงเรียนกันทรารมณ์ จ.ศีรสะเกษ สามารถคว้ารางวัลอันดับ 2 แกรนด์ อะวอร์ด ของการแข่งขันที่จัดขึ้นเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ณ เมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ
       
       กิตติ์ธเนศ เล่าว่า เลือกทำโครงงานดังกล่าว เพราะ “ไข่มดแดง” เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวอีสาน และส่วนตัวแล้วเขาก็ชอบกินไข่มดแดงด้วย แต่ใช้ว่าจะหาอาหารถิ่นเช่นนี้มารับประทานได้ทั้งปี เพราะเป็นอาหารที่มีเฉพาะฤดูกาล ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.เท่านั้น อีกทั้งยังมีราคาแพงมากถึงกิโลกรัมละ 300 บาท จึงเกิดความคิดว่าหากให้อาหารมดแล้วจะทำให้มดมีไข่ในปริมาณเยอะขึ้นหรือไม่
       
       ก่อนจะเริ่มโครงงานวิทยาศาสตร์กิตติ์ธเนศต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมของมด ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ฟังว่า มดแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ คือ ราชินีมด มดงาน มดวรรณะสืบพันธุ์เพศเมีย และมดวรรณะสืบพันธุ์เพศผู้ โดยเมื่อเริ่มสร้างรังนั้นมดราชินีที่เติบโตมาจากมดวรรณะสืบพันธุ์เพศเมียจะผสมพันธุ์และรับน้ำเชื้อครั้งเดียวจากมดวรรณะสืบพันธุ์เพศผู้เพื่อออกไข่ตลอดชีวิต (ส่วนมดวรรณะสืบพันธุ์เพศผู้จะตายไป)
       
       เมื่อมดราชินีหาตำแหน่งสร้างรังที่เหมาะสมแล้วกินปีกของตัวเองเป็นอาหาร จากนั้นจะเริ่มออกไข่ชุดแรกซึ่งมีจำนวนไม่มาก 30-40 ฟอง โดยในช่วง 1-2 ปี ของการสร้างรังนั้นมดราชินีจะออกไข่เป็นมดงาน ก่อนที่จะออกไข่มดวรรณะเพศเมียและเพศผู้ต่อไป แต่ปัญหาคือ กรณีที่มดหาอาหารไม่เพียงพอก็อาจทำให้รังล่มสลายได้ ซึ่งกิตติ์ธเนศคิดว่าโครงงานของเขาจะแก้ปัญหานี้ได้
       
       กิตติ์ธเนศ อยากรู้ว่า หากให้อาหารชนิดต่างๆ แก่มดแล้วจะส่งผลต่อปริมาณหรือคุณภาพไข่มดแดงอย่างไรบ้าง เขาจึงเลือกอาหารที่จะนำมาทดลอง 4 ชนิด คือ ข้าว ปลาทู จิ้งหรีด อาหารผสม แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ให้อาหารใดเลย ซึ่งเขาต้องหารังมดแดงที่มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกันเพื่อทำการทดลองถึง 15 รัง เพราะอาหารแต่ละชนิดต้องใช้รังมดศึกษาเพื่อหาค่าเฉลี่ยชนิดละ 3 รัง รวมถึงกลุ่มควบคุมที่ไม่ให้อาหารเลยอีก 3 รัง
       
       ในการทดลองต้องแยกด้วยว่าอาหารที่ให้นั้นจะเป็นเลี้ยงมดเพียงรังเดียว จึงต้องหาอาณาเขตของมดแต่ละรัง วิธีการคือจับมดงานมาเจอกัน หากสู้กันแสดงว่าเป็นมดคนละรัง แต่หากเดินไปด้วยกันแสดงว่าเป็นมดจากรังเดียวกัน และยังต้องเลือกรังที่มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน ซึ่งทำการทดลองโดยนับจำนวนมดที่เดินไปมาระหว่างความสูง 150-200 เมตร จากพื้นดิน หาประชากรมดแต่ละรังใกล้เคียงกัน จำนวนมดที่นับได้ในช่วงเวลาเท่ากันจะไม่แตกต่างกันมากนัก
       
       หลังจากให้อาหารมดในช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็นำอาหารเหล่านั้นมาชั่งน้ำหนักเพื่อดูว่ามดขนอาหารไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจากการทดลองพบว่ามีอาหารเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง แสดงว่าอาหารที่ให้นั้นเพียงพอต่อความต้องการของมด และธรรมชาติของมดนั้นจะหาอาหารจากบริเวณที่ใกล้รังมากที่สุด จึงมั่นใจได้ว่ามดจะไม่ไปหาอาหารที่อื่น ขณะเดียวกันต้องทดลองด้วยว่าปริมาณที่หายไปนั้นหายไปจากสภาพแวดล้อมเท่าไหร่ ซึ่งกิตติ์ธเนศได้วางอาหารชนิดเดียวกันที่มีภาชนะปิดไม่ให้มดเข้าควบคู่กันด้วย

ไข่มดแดงอาหารถิ่นแดนอีสาน คุณค่าโปรตีนมากกว่านมสด
       ผลจากการทดลองให้อาหารมดทุกสัปดาห์ๆ ละ 500 กรัม จนครบ 8 สัปดาห์ พบว่า มดกินจิ้งหรีดเยอะที่สุดประมาณ 50% ของอาหารที่ให้ และเฉลี่ยแล้วมดกินอาหารแต่ละชนิดประมาณ 36-50% และเมื่อนับปริมาณไข่มดแดงที่ได้ พบว่าอาหารผสมที่มดแดงกินไป 41.91% นั้นให้ปริมาณไข่มากที่สุด แต่เมื่อเทียบมดให้อาหารทุกชนิดกับกลุ่มมดที่ไม่ได้ให้อาหาร พบว่ามดที่ได้อาหารเลี้ยงมีปริมาณไข่มากกว่าถึง 2 เท่า
       
       ด้านคุณค่าทางโภชนาการนั้นปลาทูจะให้ไข่ที่มีโปรตีนมากที่สุด ข้าวให้ไข่ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด ส่วนจิ้งหรีดให้ไข่ที่มีไขมันมากที่สุด และอาหารผสมให้ไข่ที่มีแคลอรีสูงสุด เมื่อคำนวณเป็นรายได้จากการขายไข่มดแดง พบว่า มดที่เลี้ยงด้วยอาหารผสม ให้กำไรมากที่สุดกิโลกรัมละ 150 บาท
       
       “โปรตีนจากไข่มดแดงมีมากกว่านมวัว และชาวจีนยังใช้ไข่มดแดงเป็นยารักษาโรค ใช้เพิ่มปริมาณน้ำนมให้แม่ และหากเลี้ยงมดแดงในสวนผลไม้จะช่วยควบคุมแมลงที่กินผลไม้ได้ด้วย ทำให้เราไม่ต้องใช้สารเคมีในการกำจัดแมลง” กิตติ์ธเนศที่เพิ่งก้าวเป็นน้องใหม่ในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงประโยชน์ของไข่มดแดงและการเลี้ยงมดแดงในสวนผลไม้
       
       ทั้งนี้ นอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาในโรงเรียนแล้วเขายังได้รับการปรึกษาโครงงานเรื่องนี้จาก ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา จากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมดด้วย
       
       สำหรับงานประกวดอินเทลไอเซฟครั้งนี้มีนักเรียนกว่า 1,600 คน จาก 59 ประเทศทั่วโลก ส่งผลงานเข้าประกวดใน 18 สาขา อาทิ สัตววิทยา วิศวกรรมศาสตร์:วัสดุและวิศวกรรมชีวภาพ การจัดการสิ่งแวดล้อม เซลล์ และชีวโมเลกุล ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ พืชศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น โดยมีการประกวดไอเซฟอย่างต่อเนื่องทุกปีมาตั้งแต่ปี 2493 โดยสมาคมเพื่อวิทยาศาสตร์และสาธารณะ (Society for Science & the Public: SPP) และกลายเป็นเวทีประกวดระดับนานาชาติในอีก 8 ต่อมา จากนั้นอินเทลได้เข้าเป็นผู้สนับสนุนหลัก
       
       นอกจากนำเสนอผลงานที่มีกรรมการถึง 7 คน เวียนมาซักถามแล้ว กิตติ์ธเนศบอกว่าเขายังเดินดูผลงานของคนอื่นๆ ในสาขาสัตววิทยาที่เขาแข่งขัน ซึ่งมีผลงานที่หลากหลายที่ส่วนใหญ่มาจากยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งบางงานวิจัยซับซ้อนถึงขั้นศึกษาจีโนมหมู ดูแนวโน้มว่าหมูที่มียีนบางมีโอกาสเป็นโรค ซึ่งสามารถเตือนเกษตรกรที่เลี้ยงหมูได้ว่า หมูจะเป็นโรคหรือไม่ ขณะที่ความเรียบง่ายของเขาก็เอาชนะใจกรรมการได้
       
       “กรรมการเขามาบอกกับเราในตอนหลังว่า ชอบที่เรานำเอาพฤติกรรมของมดมาออกแบบการทดลองในรูปแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้แล็บหรืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ยากๆ น่าสนใจและสามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ของบ้านเราได้จริงๆ” ว่าที่หมอยาระบุ ทั้งนี้ ชื่อเขาจะถูกนำไปตั้งชื่อให้ดาวเคราะห์น้อยในระบบสุริยะด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มิถุนายน 2555

5722
ผู้บัญชาการ จทบ.เมืองลับแล นำทีมแพทย์-พยาบาล ออกหน้ายันไร้ทหารป่วยเป็นหวัดนก-ซาร์ส แถมแพร่เชื้อให้เพื่อนทหารนับร้อย จนต้องปักป้ายเขตกักกันโรคที่ รพ.ค่ายพิชัยดาบหัก แต่รับมีทหารป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ 15 ราย คาดหายใน 5-8 วัน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีทหารเกณฑ์ผลัด 1 จำนวน 1 ราย สังกัดกองพันทหารม้าที่ 7 (จ.อุตรดิตถ์) กรมทหารม้าที่ 2 (จ.เพชรบูรณ์) กองทัพภาคที่ 3 (จ.พิษณุโลก) เกิดป่วยด้วยอาการประหลาด มีอาการหัวใจเต้นเร็ว ปอดอักเสบคล้ายกับโรคไข้หวัด แต่อาการรุนแรงกว่า มีไข้สูง จากนั้น ได้แพร่เชื้อทางลมหายใจไปยังทหารในสังกัดเดียวกันอีกกว่า 100 นาย จนถูกกักบริเวณไว้ที่โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก ให้อยู่ในการดูแลของแพทย์ และพยาบาลที่ระดมมาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎ
       
       ล่าสุด สารวัตรทหารทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหักได้นำป้ายที่เขียนว่า “ปิดเขตกักกันโรคเปิดวันที่ 5 มิถุนายน” ออกจากประตูทางเข้าของโรงพยาบาลแล้ว
       
       ผู้สื่อข่าวพยายามขอข้อมูลจากโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก พอขับรถยนต์ผ่านประตูก็มีสารวัตรทหารนำกรวยยางสีส้มมาปิดกั้นประตู พร้อมขอให้แสดงตัวว่าเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นสื่อมวลชน สารวัตรทหาร และทหารที่ยืนเฝ้าประตูโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก อีกราว 6 นาย ก็เชิญตัวสื่อมวลชนออกทันที พร้อมทั้งกำชับว่า ห้ามสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามโดยเด็ดขาดว่า ห้ามพูดคุยเรื่องนี้กับบุคคลภายนอก
       
       นอกจากนี้ บรรดาญาติผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหักก็ไม่สามารถนำอาหารเข้าไปส่ง และเยี่ยมได้เลย ต้องให้ทหารที่อยู่ในโรงพยาบาลนำเข้าไปให้แทน
       
       แหล่งข่าวจากโรงพยาบาลศูนย์อุตรดิตถ์ กล่าวว่า มีพลทหาร 1 รายที่ถูกนำตัวมาจากโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก ซึ่งมีอาการป่วยหนักกว่ารายอื่นๆ ล่าสุดพบว่า ปอดของพลทหารรายนี้ถูกเชื้อแบคทีเรีย ทำลายหายไป 1 ข้าง และมีพลทหารที่รับเชื้อแล้วจำนวน 6 ราย ส่วนอีก 140 นายถูกกักตัวไว้ที่โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก เพื่อทำการตรวจ และควบคุมโรคจากทีมแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎ
       
       อย่างไรก็ตาม ต่อมา พล.ต.พิเชษ สุขพงศ์พิสิฐ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ พร้อมด้วย พ.อ.ราม รังสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญงานระบาดวิทยากองทัพบก พ.อ.บรรเจิด ฉางปูนทอง รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ สาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยแพทย์-พยาบาล โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก ร่วมแถลงข่าวที่ห้องประชุมโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ ยืนยันว่า ตามที่สื่อมวลชนบางประเภทนำเสนอข่าวออกไปว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้หวัดนก และเสียชีวิตไปแล้ว 1 รายนั้น ข้อเท็จจริง ไม่ใช่มีการป่วยที่เข้าข่ายโรคไข้หวัดนก ไข้หวัด 2009 ซาร์ส หรือไวรัสใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ผู้ป่วยที่เป็นพลทหาร 15 ราย ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่ติดต่อกันทางเสมหะ-ทางการสัมผัส หรือเป็นโรคที่ติดต่อคนสู่คน มิใช่จากสัตว์สู่คน
       
       แต่เดิมสันนิษฐานกันว่า เป็นโรคที่ติดต่อกันจากนกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในค่ายทหารกว่า 15,000 ตัว ที่มาอาศัยอยู่ในสถานที่นี้เป็นสถานที่ปลอดภัย เพราะทางค่าย จทบ.อุตรดิตถ์ มีกฎที่ห้ามทำร้าย-ทำลาย หรือรบกวนนกที่มาอาศัยอยู่
       
       ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดวิทยากองทัพบก และสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ต่างยืนยันว่า ทหารที่ป่วยดังกล่าว เป็นเพียงโรคทางเดินหายใจ และคาดว่าจะหายเป็นปกติได้ภายใน 5-8 วัน และจากข่าวที่นำเสนอไปว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดทั้งสิ้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มิถุนายน 2555

5723
 การสร้างภาพยนตร์ให้เป็นที่สนใจและงดงามอยู่ในความทรงจำของคนดูผู้ชม เป็นความทะเยอทะยานของคนทำหนังทั้งหมดอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน การทำใบปิดหนัง หรือ “โปสเตอร์” ก็เป็นศิลปะอีกอย่างที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เพราะใบปิดหนัง เหมือนปราการด่านต้นๆ อีกหนึ่งด่านซึ่งจะพิสูจน์ว่า สามารถเรียกความสนใจของผู้คนได้หรือไม่
       เว็บไซต์อย่าง buzz103.radio นึกสนุกอย่างไรไม่รู้ พาเราย้อนรอยไปดูใบปิดหนังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วจัดอันดับใบปิดหนังที่เซ็กซี่ที่สุดตลอดกาล 10 เรื่อง พร้อมชี้ให้เห็นว่า ต่อให้อำนาจกรรไกรของกองเซ็นเซอร์จะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็มิอาจทำให้ใบปิดหนังเหล่านี้สิ้นไร้ไฟสวาทไปได้

       1.The Sin of Nora Moran (1933)
       สตูดิโอภาพยนตร์เคยใช้รูปวาดของดารานักแสดงสาว มาช่วยโปรโมทภาพยนตร์ (บ่อยๆ ที่นำรูปของมาริลีน มอนโร และ บรีฌิต บาร์โด มาใช้เป็นสื่อกลาง) แต่ถึงแม้จะมีท่าเซ็กซี่เป็นร้อยให้เลือก แต่ขอยกนิ้วให้กับโปรเตอร์จากภาพยนตร์เรื่อง The Sin of Nora Moran เป็นโปสเตอร์ที่เซ็กซี่ที่สุด คุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับดารานำที่แสดงในเรื่องอย่าง Zita Johan (ชื่อเสียงของเธอโด่งดังมากจากการร่วมแสดงกับ Boris Karloff จากภาพยนตร์เรื่อง “The Mommy” ในปี 1932) แต่ชุดซีทรูที่เธอสวมใส่และอากัปกริยาท่าทางที่เธอแสดงออกมานั้น แน่นอนว่า ถ้าเป็นคุณ คุณก็ปรารถนาที่จะอยู่ตรงนั้นกับเธอ

       2.Lolita (1962)
       ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องการรักเด็ก จากการกำกับของStanley Kubrick เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีองค์ประกอบในโปสเตอร์น่าสนใจ ตอนนั้น Sue Lyon ที่อายุ 16 ปี ต้องมารับบทแสดงเป็นเด็กหญิงอายุ 14 ในเรื่อง ภาพเธอที่ปรากฏบนโปสเตอร์ซึ่งเป็นภาพเบลอเบาบาง ดูเลือนลางแต่ชัดเจน เธอสวมแว่นตารูปหัวใจ บวกกับท่าทางอินโนเซ้นท์ที่กำลังอมโลลิป๊อปสีแดง ยังคงเป็นรูปภาพไอคอนที่ดีที่สุดถึงแม้จะผ่านมาแล้ว 50 ปี Lyon ไม่ได้ถูกมองว่าอายุเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าเธอบกพร่องในฐานะนักแสดงสักนิดเลย อย่างที่ผู้กำกับอย่าง Kubrick ไม่มีข้อสงสัยที่จะนำความสวยแรกแย้มของเธอมาประกอบโปรเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้

       3.The Graduate (1967)
       โปสเตอร์ของภาพยนตร์สุดคลาสสิคเรื่องนี้ มีเพียงท่อนขาอันเรียวงามของนักแสดงสาว Anne Bancrofit ยื่นออกมา แต่ก็นั่นแหล่ะ มันคือประเด็นสำคัญว่ามีความลึกลับอะไรอยู่เบื้องหลังรูปภาพนี้ สิ่งที่ทำให้รูปนี้ดูซ็กซี่เพราะคุณอยากจะเห็นมากกว่านี้ แต่คุณก็ไม่สามารถ ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมกับภาพโปรเตอร์นี้ขอบอกว่าคุณอัจฉริยะจริงๆ เพราะมันได้บอกทุกอย่างที่คุณต้องการจะรู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

       4.Dracula Has Risen From the Grave (1968)
       นอกเหนือจากชื่อเรื่องที่ดูตรงไปตรงมาและสนุกสนาน นี่เป็นผลการผลิตภาพยนตร์ของ Hammer Flim Productions ถึงแม้ท่านเคานท์ที่แสดงโดย Christopher Lee จะสะบัดเขี้ยวแบบเล่นๆ ไม่จริงจังไม่ดุเดือดอย่างที่แสดงในโปสเตอร์ ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังชื่นชมรูปภาพที่สื่อให้เห็นถึงเรื่องเซ็กซ์และความตลกขบขันที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว มันเป็นภาพขาวดำที่ดูงดงามไร้ที่ติ ภาพหญิงสาวที่เผยอปากและเปิดให้เห็นทรวงอกจากส่วนบนถึงส่วนล่าง สายตาของคุณจับจ้องไปที่ซอกคอของเธอ ทุกองค์ประกอบบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การลงสีชมพูไว้ที่พลาสเตอร์ปิดรอยแผลจากรอยกัดของแวมไพร์ มันอาจจะดูไม่เข้ากันมากนัก แต่มันก็เป็นไฮไลท์ที่กลายมาเป็นโปสเตอร์ยอดนิยม

       5.American Beauty (1999)
       โปสเตอร์จากผลงานของผู้กำกับ Sam Mendes ในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลในสาขาภาพยนร์ยอดเยี่ยมอย่าง American Beauty บางทีมันอาจจะดูเหมือนเป็นการกระตุ้นความรู้สึกมากกว่าเรื่องเพศ แต่คงบ้าแน่ ถ้าเราเอาเรื่องนี้ออกจากลิสต์ เพราะว่ารูปนี้มันดูคลาสสิคพอๆ กันกับภาพโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่อง The Graduate สิ่งที่ดูน่าสนุกคือการซ่อนฉากที่น่าจดจำที่สุดของฉากในภาพยนตร์ ที่ซึ่งตัวเอกของเรื่อง (Kevin Spacey) ฝันหวานถึงเด็กสาวคราวลูกอย่างเจนนี่ ขณะที่เขาแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำที่โรยไปด้วยทะเลกุหลาบสีแดงสด ภาพในโปสเตอร์คือการเสียดสีในเรื่องเพศที่ดูมีสีสันดึงดูดใจ

       6.Almost Famous (1998)
       คุณอาจจะไม่เคยเห็นภาพโปสเตอร์ของผู้กำกับ Cameron Crowe ในภาพยนตร์เรื่อง Almost Famous แต่แน่นอนว่ามันเป็นภาพที่จะทำให้คุณใกล้ชิดสาว Kate Hudson ที่รับบทบาทเป็น Penny Lane ในเรื่องซึ่งเป็นผลงานที่เธอทำไว้ได้ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยแสดงมา เด็กไฮสคูลที่ไร้เดียงสาและหัวรั้น รูปภาพในโปสเตอร์ถ่ายทอดทุกอย่างที่เราชื่นชอบในคาแร็คเตอร์ของเธอ จากเด็กสาวอินโนเซ้นท์ในเรื่องเพศไปสู่หญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบไม่สนใจอะไร ที่พิเศษคือสโลแกนที่บ่งบอกว่ามันสายเกินไปที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นอีกต่อไป

       7.Woman on Top (2000)
       Penelope Cruz นักแสดงสาวแสดงทุกอย่างแบบเกินร้อยเปอร์เซนต์ แต่โปสเตอร์จากภาพยนตร์ Woman on Top มันช่างเติมเต็มให้หัวใจชุ่มชื่น ไม่เพียงแต่สายตายั่วยวนที่จะทำให้คุณละลายเหมือนกับช็อคโกแลต แต่เธอยังถือพริกหยวกสีแดงอยู่ใกล้ริมฝีปาก เพิ่มความรู้สึกเร่าร้อนขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ชื่อเรื่องและสโลแกนที่ใช้ก็เป็นการสื่อความหมายในสองแง่ เป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับภาพยนตร์อีกทางหนึ่ง

       8.Secretary (2002)
       ถ้าจะพูดถึงการรักษารูปแบบของภาพยนตร์ นี่อาจจะแหวกแนวไปกว่าโปสเตอร์เรื่องอื่นๆ ที่คุณเคยเห็นมา มันเป็นรูปของ Maggie Gyllenhaal ที่กำลังโชว์เรียวขาและบั้นท้าย มันเป็นภาพที่น่าจดจำที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าประหยัดเนื้อที่ได้ดีจริงๆ มีเนื้อที่ตรงอื่นที่คุณจะใส่ชื่อเรื่องลงไป แต่คุณกลับแปะมันลงบนบั้นท้ายของเธอ อย่างน้อยคนที่ทำโปสเตอร์อันนี้น่าจะได้รับรางวัลการจัดเรียงรูปแบบ มันออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ

       9.Sin City (2005)
       ถึงแม้ว่า Jessica Alba จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีกว่าในภาพยนตร์เรื่อง Sin City แต่ตัวละครที่อยู่บนโปสเตอร์ที่รับบทโดย Brittany Murphy ก็ทำให้เราเลือดสูบฉีดได้เหมือนกัน Alba อาจจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดและยังมีชีวิตอยู่ แต่ Murphy ก็ดูเซ็กซี่ในชุดชั้นในสีดำ ปล่อยเสื้อสีขาวโชว์ร่องอกอย่างสาวมั่น แววตาเธอช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจชาย

       10.Cashback (2006)
       ภาพยนตร์ดราม่าจากผลงานของผู้กำกับ Sean Ellis ไม่ได้ใช้แค่ภาพของนักช้อปปิ้งที่อยู่ในสภาพเปลือยมาโฆษณาในโปสเตอร์หนังของตัวเอง เธอเป็นตัวกลางที่สื่อถึงความมีเล่ห์เหลี่ยมและความทันสมัย ในเรื่องนี้ ตัวละครเอกเป็นโรคนอนไม่หลับ และจินตนาการว่าตัวเองสามารถหยุดเวลาได้ และก็มีสาวๆ สวยๆ มาอยู่รายล้อมรอบตัวเขา มันอาจจะดูหลุดๆ ในแง่ของการตลาด แต่ใครจะสนใจ ใครๆ ก็อยากดูนางแบบชื่อดังมานู้ดบนแผ่นฟิล์ม แน่นอนว่ามันเวิร์คทั้งคนทั้งหนังอย่างปฏิเสธไมได้

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    1 มิถุนายน 2555

5724
 กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย พบ “รางจืด” และการอบสมุนไพรช่วยบำบัดรักษาอาการติดบุหรี่ได้ เหมือนหญ้าดอกขาวและการฝังเข็ม
       
       นายแพทย์ ปภัสสร เจียมบุญศรี รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงแนวทางการเลิกบุหรี่ด้วยสมุนไพรและทางเลือกอื่นว่า ที่ผ่านมา โรงพยาบาลท่าแซะ จังหวัดชุมพร ได้ดำเนินการเปิดคลินิกอดบุหรี่สำหรับผู้สมัครใจบำบัดรักษาแบบผสมผสาน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยการใช้ชาชงสมุนไพรหญ้าดอกขาว และใช้น้ำยาอมบ้วนปากเวลาที่มีอาการอยากบุหรี่ ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ ยังมีการฝังเข็มสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ของโรงพยาบาลยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
       
       นายแพทย์ ปภัสสร กล่าวอีกว่า ในปีนี้มีสมุนไพรที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่ง คือ สมุนไพรล้างพิษรางจืด ซึ่งโรงพยาบาลบ้านนาทดลองใช้กับผู้ติดสารเสพติด ร่วมกับการอบสมุนไพร พบว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จากรายงานข้อมูลของ นายแพทย์ สุวรรณ เพ็ชรรุ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านนา พบว่า ทางโรงพยาบาลได้พัฒนาการรักษาผู้ป่วยสารเสพติด โดยบูรณาการโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและการแพทย์แผนไทยในการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดแบบจิตสังคมบำบัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถหยุดยาและสารเสพติด ในระยะเริ่มต้นได้โดยไม่เกิดอาการทุกข์ทรมานจากการหยุดยาหรือถอนยา เพื่อป้องกันการกลับไปเสพยาและสารเสพติดซ้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสม และสามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการพึ่งพาสารเสพติด อยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งนี้ รวมถึงการอดบุหรี่
       
       สำหรับวิธีการ นายแพทย์ ปภัสสร กล่าวว่า ต้องอบสมุนไพร วันละ 1 ครั้งๆ ละ 30 นาที ดื่มชาชงรางจืดแทนน้ำติดต่อกัน 5-7 วัน สภาพร่างกายจะเริ่มปรับตัว รู้สึกอยากบุหรี่น้อยลง ซึ่งผลการติดตามผู้ป่วยต่อเนื่อง 1 ปี หลังครบโปรแกรม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2555 มีจำนวนผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดจำนวน 17 คน เลิกได้เด็ดขาด 8 คน ผู้ที่สนใจสมัครเข้ารับการบำบัดติดต่อได้ที่ โรงพยาบาลบ้านนา จังหวัดนครนายก โทร.037 381 832-3 ต่อ 1530
       
       นายแพทย์ ปภัสสร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ทำการวิจัยสมุนไพรหญ้าดอกขาว เพื่อการอดบุหรี่ ซึ่งสมุนไพร “หญ้าดอกขาว” เป็นหญ้าที่พบทั่วไปของประเทศไทย มีสรรพคุณช่วยลดการสูบบุหรี่ เนื่องจากสมุนไพรหญ้าดอกขาวมีสารไนเตรต ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ประสาทรับรสบริเวณลิ้นรู้สึกชา ทำให้ผู้ที่บริโภคเข้าไปไม่รับรู้รสชาติใดๆ จึงไม่รู้สึกอยากบุหรี่ หญ้าดอกขาวเป็นกลุ่มที่มีโปแตสเซียมสูง การใช้ควรระวังในรายที่มีประวัติโรคหัวใจ สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น อาจมีอาการคอแห้ง ปากแห้ง เป็นต้น
       
       สำหรับการรักษาด้วยการฝังเข็ม ที่ผ่านมา กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้มีการทำวิจัย ร่วมกับ นายแพทย์ ชำนาญ สมรมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ที่ร่วมทำการวิจัยด้วยการฝังเข็มลดบุหรี่ สามารถที่จะเลิกบุหรี่ได้ นับว่าวิธีการที่กล่าวแล้วเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้ต้องการอดบุหรี่จะเลือกใช้ต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มิถุนายน 2555

5725
 จาการ์ตาโพสต์ - ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์สำหรับค้นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ชี้มนุษย์ต่างดาวไม่น่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ หลังมีคำถามมากมายว่าพวกเอเลี่ยน จะมาครองโลกและจับคนเป็นทาสเหมือนในภาพยนตร์หรือไม่
       
       จิลล์ ทาร์เตอร์ นักดาราศาสตร์ชื่อดังระบุว่าสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล ซึ่งมีวิวัฒนาการมากพอที่จะเดินทางมายังโลก มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ต้องการจับคนเป็นทาสหรือโจมตีมนุษย์ตามข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้
       
       เว็บไซต์สเปซ ดอทคอม รายงานว่า ทาร์เตอร์ ซึ่งกำลังพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน "เซติ" (สถาบันเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในระบบจักรวาล) บอกว่ามนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ต่างๆมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องมองหาทาส อาหารหรือสร้างอาณานิคมบนดาวดวงอื่นๆ
       
       ทาร์เตอร์ ยังบอกด้วยว่าเธอมีความเห็นขัดแย้งกับ สตีเฟน ฮอว์กิง นักดาราศาสตร์ชื่อดังของอังกฤษที่ระบุในปี 2010 ว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกคือพวกนักล่าและอาจพยายามแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของโลก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤษภาคม 2555

5726
 พบเกย์-กะเทย กทม.ติดเชื้อเอชไอวีมากสุด 31% รอง อธ.ควบคุมโรค รับยังลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ได้ เพราะมีการเข้าถึงการรักษาและการตรวจเชื้อน้อย เหตุผู้ให้บริการสาธารณสุขบางส่วนอคติใส่ เร่งสร้างการยอมรับและความเข้าใจในเพศที่สามมากขึ้น เชื่อ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้

       วันนี้ (29 พ.ค.) ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ด้านสาธารณสุข และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร จัดงานสัมมนา “กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง ระดับชาติ ครั้งที่ 1 เรื่อง ยอมรับ เข้าใจ ไม่มีการติดเชื้อใหม่ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง” โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานในการเปิดงาน
       
       นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดูแลป้องกันรักษาโรคเอดส์มาก และนานาชาติให้การยอมรับว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ดี คือ จากการติดเชื้อปีละกว่าแสนราย สามารถลดจำนวนลงมาได้เหลือปีละหมื่นราย ขณะที่การรักษา คนไทยสามารถเข้าถึงบริการยาต้านไวรัสได้ทุกคน อย่างไรก็ตาม บุคคลบางกลุ่มยังไม่มีการป้องกันที่ดีนักคือ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) และสาวประเภทสอง (TG) ยังไม่สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ ต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่สามารถลดจำนวนลงได้แล้ว
       
       “จากการเฝ้าระวังและสำรวจความชุกการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายทั่วประเทศ พบว่า มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีแล้วร้อยละ 10 โดยใน กทม.มีการติดเชื้อมากที่สุดร้อยละ 31 สาเหตุ คือ มีการแบ่งแยกตีตรากลุ่มบุคคลเหล่านี้ สังคมไทยยังไม่ให้การยอมรับ เวลาจะกลุ่มเหล่านี้จะเข้าไปหาฝ่ายให้บริการสาธารณสุข ก็ถูกแบ่งแยกตีตรา ทำให้ก็ไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
       
       รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ผู้ให้บริการสาธารณสุขบางกลุ่มยังมีอคติหรือมายาคติอยู่ จะเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้บริการ ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อจะเน้นให้ทุกคนเกิดการยอมรับ และเข้าใจ ให้สังคมให้โอกาสกับเพื่อนๆ ที่เป็น MSM/TG เชื่อว่า ถ้าสามารถทำได้ บุคคลทั้งสองกลุ่มนี้จะกล้าเดินเข้ามารับบริการมากขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการก็จะเปิดใจมากขึ้น และมองว่า เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลก รวมถึงการแจกเอกสาร และอุปกรณ์ป้องกันก็จะทำได้มากขึ้น และจำทำให้การติดเชื้อเอชไอวีลดลง
       
       นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะเรื่องการตายเป็นศูนย์นั้นสามารถทำได้ หากคนไทยรู้สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีของตัวเอง คือถ้าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ต้องรีบไปตรวจเชื้อทันที เพราะที่ผ่านมาพบว่าการเสียชีวิตจากโรคเอดส์เกิดจากการไปตรวจหาเชื้อเอชไอวีช้า ซึ่งเมื่อไปตรวจแล้วพบว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ เมื่อไปรับบริการก็จะไม่สามารถทนยาได้

       ด้าน นายกิตตินันท์ ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หัวเมืองที่เจริญอย่าง กทม. และเชียงใหม่ จะมีการรวมตัวของกลุ่ม MSM สูงมากกว่าที่อื่น ส่งผลให้มีการยั่วยุทางกามารมณ์และเอื้อต่อการมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงมากกว่า อีกทั้งการไปมาหาสู่กันค่อนข้างง่าย จึงทำให้มีแนวโน้มการติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้นด้วย
       
       นายกิตตินันท์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวีมีหลายปัจจัย ทั้งการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัย การรู้สึกว่าการใช้ถุงยางอนามัยแล้วไม่ตื่นเต้นและไม่เร้าใจ การไม่มีทุนทรัพย์ในการซื้อหา โดยเฉพาะวัยเรียนอายุ 14-15 ปี รวมถึงความรู้ความเข้าใจในการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิด เราจำเป็นต้องเสริมสร้างความรู้ทุกประเภทในการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี และต้องลดอคติทางเพศลง ต้องทำสองสิ่งควบคู่กันไป ก็จะสามารถลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ ที่สำคัญคือต้องให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม MSM/TG และต้องให้ความรู้ความเข้าในในเพศที่สามมากขึ้น ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิมนุษยชน
       
       ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ผู้รับผิดชอบงานจากสำนักงานสาธารณสุข 76 จังหวัด สำนักงานป้องกันควบคุมโรค 12 แห่ง กรุงเทพมหานคร เครือข่ายภาคประชาสังคม สถานประกอบการ นักวิชาการ/นักวิจัย สื่อมวลชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 350 คน มาร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติงาน และร่วมกันวิเคราะห์หาแนวทางที่เหมาะสมในการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมเพื่อให้สังคมมีมุมมองเชิงบวกต่อชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สาวประเภทสองและผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ให้เข้าใจและยอมรับตัวตนและศักยภาพ เลิกล้อเลียน กลั่นแกล้ง ให้โอกาสได้ใช้ความสามารถในการสร้างสรรค์สังคม ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อการเข้าถึงบริการ การป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงการบรรลุเป้าหมายที่เป็นศูนย์ตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 พฤษภาคม 2555

5727
ครบรอบ 14 ปี ชาวคลิตี้ประกาศปฏิญญา 14 ข้อ ระบุ ประชาชนต้องเข้าถึงข้อมูลการทำเหมือง หากมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมหน่วยงานรัฐ-ผู้ประกอบการต้องได้รับโทษอาญา จี้ฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนทันที พร้อมกำหนดค่ามาตรฐานตะกอนดินเอาผิดผู้ปล่อยมลพิษ ชี้ ค่าฟื้นฟูแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้น ด้านชาวบ้านวอนกรมควบคุมมลพิษช่วยฟื้นฟู เหตุไม่อยากอยู่แบบตายผ่อนส่งอีกต่อไปแล้ว
       
       เครือข่ายนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw) ศูนย์กระเหรี่ยงศึกษาและการพัฒนา กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ เครือข่ายร่วมพัฒนาสร้างผู้นำการสร้างสุขภาวะแนวใหม่ (คศน.) ได้ลงพื้นที่พและร่วมกันจัดงาน “เวทีสาธารณะ ปฏิญญาคลิตี้” เนื่องในโอกาสครบรอบ 14 ปี การต่อสู้ของประชาชนชาวคลิตี้ล่าง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อศึกษากรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ นำมาสู่การสรุปบทเรียนปัญหาการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตให้มีการประกอบกิจการเหมืองแร่ในประเทศไทย โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กรณีปัญหาในพื้นที่ต่างๆ เช่น การปนเปื้อนแร่ของสารแคดเมียม จากโรงแร่สังกะสี ต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก การปนเปื้อนสารไซยาไนด์ ปรอท และ ตะกั่ว จากเหมืองแร่ทองคำ ใน จ.เลย จนนำมาสู่การกำหนดปฏิญญา “14 ปี 14 ข้อปฏิญญาคลิตี้”
       
       ทั้งนี้ ประชาชนชาวคลิตี้ล่าง ที่ได้รับผลกระทบมาอย่างยาวนาน ได้ประกาศปฏิญญาหลักการสำคัญของปฏิญญาดังกล่าวระบุว่า “ในพื้นที่ศักยภาพแร่ ประชาชน ชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมต้องได้รับการพิจารณาคุ้มครองเป็นอันดับแรกก่อนการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการเหมืองแร่” ประกอบด้วย
       
       1.ชุมชนต้องได้รับการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เกี่ยวกับกิจกรรมเหมืองแร่ ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดพื้นที่ศักยภาพแร่ การสำรวจ การให้ประทานบัตร ระหว่างประกอบกิจการ และภายหลังการประกอบกิจการ อาทิ ขอบเขตพื้นที่ประทานบัตร ข้อมูลการใช้สารเคมีในการผลิตและมลพิษต่างๆ ที่เกิดจากการประกอบกิจการ การจัดการมลพิษต่างๆ และเอกสารอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ
       
       2.ประชาชนและชุมชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการอนุรักษ์จัดการและการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน ประกอบการพิจารณาและตรวจสอบการอนุญาต การดำเนินการและการต่ออายุประทานบัตรการทำเหมืองแร่ของรัฐ
       
       3.ประชาชนต้องสามารถตรวจสอบ และยกเลิกการประกาศแหล่งแร่ได้หากไม่เหมาะสม
       
       4.ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขพระราชบัญญัติแร่ เพื่อให้มีการตรวจสอบและคุ้มครองดูแลสิ่งแวดล้อมรวมทั้งสุขภาพอนามัย
       
       5.รัฐต้องดำเนินการแก้ไขและกำจัดมลพิษโดยทันทีเมื่อตรวจสอบพบการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน และหาผู้ก่อมลพิษเพื่อมามารับผิดชอบต่อไป
       
       6.รัฐต้องกำหนดค่ามาตรฐานสิ่งแวดล้อม เช่น ตะกอนดิน และสุขภาพอนามัย เช่น ปริมาณโลหะหนักในเลือด เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน
       
       7.รัฐต้องจัดให้มีกองทุนเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
       
       8.กำหนดให้มีการวางเงินประกันความเสี่ยงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เมื่อเกิดผลกระทบให้นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและเยียวยาสุขภาพโดยทันที
       
       9.ต้องมีการตรวจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่และชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการประกอบการเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานก่อนมีการดำเนินการตามประทานบัตร และมีการตรวจทุกปีเพื่อเป็นมาตรการในการป้องกันการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และก่อนการต่ออายุ การขยายพื้นที่ ประทานบัตร ต้องมีการตรวจสอบการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก่อน หากพบว่ามีผลกระทบต้องไม่อนุญาตจนกว่าจะแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นก่อน
       
       10.รัฐต้องคำนวณต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงต่อสุขภาพของชุมชนในการตัดสินใจอนุมัติอนุญาตการประกอบกิจการเหมืองแร่
       
       11.ควรกำหนดโทษอาญากับหน่วยงานรัฐและผู้ก่อมลพิษ ในกรณีมีการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการอนุมัติอนุญาตเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างร้ายแรง
       
       12.ต้องเปิดให้มีสถาบันการแพทย์ด้านอาชีวอนามัย และสุขภาพ ให้เพียงพอต่อการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม
       
       13.ลดอายุการให้ประทานบัตรจากเดิม 25 ปี เป็น 10 ปี
       
       14.ให้กรมควบคุมมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้อย่างเร่งด่วน โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของชุมชนคลิตี้ล่าง และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แหล่งน้ำ ตะกอนดินและห่วงโซ่อาหารปลอดจากการปนเปื้อนสารตะกั่ว และชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำได้ดังเดิม
       
       ด้าน นายสุรพงษ์ กองจันทึก กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความและ ในฐานะประธานศูนย์กระเหรี่ยงศึกษาและการพัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อมูลตรงกันแล้วว่า มีมลพิษที่เป็นตะกอนตะกั่วอยู่ในลำห้วยคลิตี้จริง ดังนั้น ต้องเอามลพิษตรงนี้ออก ทั้งนี้ ไม่ควรมีการถามว่าจะเอาไปตะกอนไปทิ้งที่ไหน เพราะทางวิชาการทั่วโลกมีหลายวิธีที่สามารถกำจัดตะกอนตะกั่วแบบนี้อยู่แล้ว โดยการฟื้นฟูที่เกิดขึ้นผู้ก่อมลพิษต้องมาร่วมฟื้นฟูด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาะภาษีของประชาชน ทั้งนี้ รายงานของ ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า การฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้เป็นเรื่องที่ทำได้โดยใช้งบประมาณเพียง 40 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เป็นการซื้อชีวิตของคนคลิตี้เท่านั้น แต่เป็นการช่วยชีวิตประชาชนทั้งประเทศ เพราะลำห้วยคลิตี้เป็นต้นน้ำของแม่น้ำแม่กลอง ดังนั้นการฟื้นฟูต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
       
       นางสุนีย์ ไชยรส รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า การแก้ปัญหาเหมืองแร่ต้องใช้คนเป็นตัวตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการให้มีการดูดตะกอนตะกั่วออกจากลำห้วยคลิตี้ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาแต่หากลงมือปฏิบัติจริง เชื่อว่า จะไม่นานเท่ากับ 14 ปีที่ชาวบ้านต้องเดือดร้อน กรมควบคุมมลพิษควรเลิกอ้างได้แล้วว่าไม่รู้ว่าจะเอาตะกอนไปทิ้งที่ไหน หรือกลัวว่า ตะกอนจะฟุ้งกระจาย เพราะเป็นข้ออ้างที่ซ้ำซาก เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางออกทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้ลงมือทำตามข้อเสนอของชาวบ้านที่ขอให้ดูดตะกอนออก ส่วนตัวเชื่อว่า ชาวบ้านคลิตี้ยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นหากตะกอนจะมีการฟุ้งกระจายระหว่างการขุดลอก เพราะพวกเขาทนทุกข์ทรมานนานกว่าสิบปีแล้ว
       
       นายพลาย ภิรมย์ ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการทำอุตสาหกรรมเหมืองล้วนส่งผลกระทบให้เกิดการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม ในแหล่งน้ำดังเช่น กรณีห้วยคลิตี้ และการที่กรมควบคุมมลพิษได้สรุปเบื้องต้นว่าการฟื้นฟูการปนเปื้อนไม่สามารถทำได้นั้น ก็หมายความว่า แหล่งน้ำทุกที่ที่อยู่บริเวณการทำเหมืองหรือโรงงานแต่งแร่ย่อมมีเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปนเปื้อนสารพิษ และก็จะไม่สามารถแก้ไขหรือฟื้นฟูให้กลับมาเป็นสภาพเดิมได้ ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุคือหนทางเดียวที่จะสามารถปกป้องแหล่งน้ำและรักษาทรัพยากรอันมีค่าของเราทุกคนได้ กรมควบคุมมลพิษจึงควรต้องมีจุดยืนที่จะปกป้องทรัพยาธรรมชาติโดยการคัดค้านไม่ให้มีการทำเหมืองแร่มากกว่าการที่จะยืนอยู่ข้างอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และคอยเป็นผู้รับผิดชอบในการฟื้นฟูมลพิษหรือเก็บกวาดให้กับผู้ก่อมลพิษหรือนายทุนที่คอยหากินกับการใช้ทรัพยากรของคนไทยทุกคน
       
       นายสุรชัย ตรงงาม ประธานโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ได้ระบุว่าแล้วว่าให้กรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่ฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับสู่สภาพเดิม อยากทราบว่าปัญหาเกิดขึ้นมานานแล้วกรมควบคุมมลพิษมีแผนงานในการฟื้นฟูห้วยคลิตี้บ้างหรือไม่ ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า การฟื้นฟูที่จะเกิดขึ้นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย
       
       นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา ตัวแทนชุนชนคลิตี้ล่าง กล่าวว่า ชาวบ้านพูดเรื่องนี้มานานกว่า 14 ปี แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งชาวบ้านรู้สึกท้อมากว่าจะต้องทนอยู่กับสารพิษแบบนี้ไปนานเท่าใด เหมือนกับชีวิตต้องตายผ่อนส่ง โดยในกว่าสิบปีที่ผ่านมามีชาวบ้านที่เสียชีวิตเพราะมีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่า 20 คน ทางกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้งดใช้น้ำและกินปลาในลำห้วยชั่วคราว แต่ผ่านมาแล้ว 14 ปี ปัญหาก็ไม่ดีขึ้นและแย่ลงกว่าเดิม และชาวบ้านยังต้องใช้น้ำในลำห้วยอยู่ดี เพราะพวกเรายากจนอยู่ในป่าไม่มีทางเลือก นอกจากต้องจับปลาในลำห้วยกิน อีกทั้งน้ำประปาก็ไม่เพียงพอ ดังนั้น ถึงนาทีอยากจะขอให้ลำห้วยคลิตี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้น เพราะไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานต้องประสบชะตากรรมเดียวกันอีก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤษภาคม 2555

5728
ศิริราช คาดเปิดบริการ “สถาบันสยามินทราธิราช” ได้ปลายปีนี้ พร้อมเร่งศึกษางานวิจัยยารักษาโรค-วัคซีน พร้อมสานต่อนวัตกรรมรักษามะเร็งด้วยระบบนาโน โวทำลายมะเร็งที่เล็กที่สุดได้ เชื่อทำสำเร็จคนไทยได้ใช้แน่

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
   
       วันนี้ (29 พ.ค.) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวในการแถลงข่าว “โครงการสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช” ที่ศิริราชพยาบาล กทม.ว่า ขณะนี้ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการดังกล่าวเริ่มชัดเจนขึ้น โดยคาดว่า น่าจะเปิดบริการได้ภายในปลายปี 2555 โดยมีโครงการหลัก 5 ส่วน ได้แก่ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โครงการศูนย์วิจัยการแพทย์ศิริราช การแพทย์แผนไทยประยุกต์ศิริราช สวนเฉลิมพระเกียรติ และพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน เพื่อยกระดับการพัฒนาการแพทย์ที่มีประโยชน์ต่อการยกระดับประชาชนไทย โดยส่วนของศูนย์วิจัยการแพทย์ฯ นั้นแล้วเสร็จราว 70% แล้ว และจะเร่งพัฒนาศักยภาพในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับระบบบริการสุขภาพ ตลอดจนเรื่องของนวัตกรรมทางการแพทย์ และผลงานวิชาการที่เป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ต่อเนื่อง จากเดิมที่เคยมีการศึกษาและเผยแพร่ผลงานวิจัยมาแล้วกว่า 800 เรื่อง ทั้งการวิจัยในส่วนของนักวิจัยไทยและความร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อรองรับระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่เจริญก้าวหน้าขึ้น แต่ปัญหาที่เผชิญขณะนี้ คือ ยังติดขัดเรื่องงบประมาณการวิจัย ที่รัฐบาลจัดสรรให้น้อยมาก เพียงแค่ปีละ 100 ล้านบาท หรือ 0.2% ของค่า GDP เท่านั้น เมื่อเทียบกับอัตราประชากรไทยที่มีมากถึง 66 ล้านคน ถือว่ายังต่ำอยู่ ดังนั้น หากประชาชนต้องการมีส่วนร่วมสามารถติดต่อขอบริจาคผ่าน ศิริราชมูลนิธิ หรือ กองทุนสยามินทราธิราช ได้ทุกวัน ที่ รพ.ศิริราช
       
       ด้าน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา รองอธิบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า หลังจากที่ศูนย์วิจัยเปิดใช้อย่างเป็นทางการ ทางศูนย์จะเร่งศึกษางานวิจัยที่มีประโยชน์ โดยเน้นที่การวิจัยระบบยารักษาโรค วัคซีน ที่เป็นทั้งการพัฒนาต่อเนื่องจากงานวิจัยเดิมและการริเริ่มงานวิจัยใหม่ โดยมีกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ การศึกษาวิจัย เรื่องสาเหตุและการรักษาโรคไข้เลือดออก ที่แยกผู้ป่วยรุนแรง กับทั่วไปออกจากกัน ช่วยให้ประเทศไทยลดอัตราการป่วย เสียชีวิตจาก 20% เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหลือเพียง 0.12 ในปีนี้ และยังมีเรื่องนวัตกรรมการรักษาโรคธาลัสซีเมีย ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ที่ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสานต่อเรื่องนวัตกรรมใหม่ที่ ศิริราช ยังไม่ได้เผยแพร่ อาทิ เรื่องนวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยระบบนาโน ที่เรียกว่า Cancer Nanomedicine ที่เป็นการประสานความร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่กำลังคิดค้นระบบทำลายเซลล์มะเร็งที่เล็กที่สุด ด้วยเทคโนโลยีนาโน โดยจะเน้นที่การพัฒนายามุ่งเป้า (Target therapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เสีย โดยนวัตกรรมดังกล่าวผ่านการทดลองในสัตว์แล้ว ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของประสิทธิภาพการรักษาในคน และผลข้างเคียง โดยหากกระบวนการแล้วเสร็จจะรับอาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมดังกล่าว ซึ่งเหตุผลที่ต้องเร่งพัฒนาระบบดังกล่าวด้วยการเลือกโรคมะเร็ง เป็นเพราะปัจจุบัน พบว่า คนไทยป่วยโรคดังกล่าวมาก จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยรองรับปัญหาสุขภาพด้วย
       
       ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการผสมผสานแพทย์แผนไทยกับแพทย์แผนปัจจุบันด้วย โดยขณะนี้ทางทีมวิจัยกำลังเร่งศึกษาสมุนไพรไทย ที่สามารถกระตุ้นการหลั่งน้ำนมของมารดาได้ด้วย โดยต้องรอยืนยันผลทางเภสัชที่แน่นอน ก่อนประกาศรายชื่อสมุนไพรที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการดื่มนมแม่ของ กระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม ทางทีมวิจัยของศิริราช เชื่อว่า การดำเนินการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพ หรือการรักษาย่อมเกิดประโยชน์สูงสุดกับคนไทยแน่นอน
       
       “ทั้งนี้ เรื่องงบประมาณของการส่งเสริมงานวิจัยนั้น เคยทราบมาว่า รัฐบาลมีแนวโน้มจะเพิ่มงบให้ แต่เนื่องจากเผชิญวิกฤตน้ำท่วมก่อน จึงชะงักไป คาดว่า ในปีต่อๆ ไปอาจจะดีขึ้น และสามารถเทียบเท่าต่างประเทศได้ เพราะขณะนี้ประเทศใกล้เคียง อาทิ สิงคโปร์ ก็ได้รับงบ วิจัยมากถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ มาเลเซีย มีการส่งสริมโดยจัดงบฯ มากกว่า 2% แล้ว และเชื่อว่า หากงบประมาณเพียงพอ ก็จะช่วยส่งเสริมงานวิจัยเชิงลึกที่สามารถเผยแพร่ได้มากขึ้นด้วย” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 พฤษภาคม 2555

5729
พบเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญชี้เฉพาะยาฆ่าเชื้อปอดอักเสบ เลือดเป็นพิษพบดื้อ 80% ถึงขั้นวิกฤต สวรส.เล็งถกแนวทางควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่ม ด้าน ศิริราช ศึกษาพบไก่สดแพ็กขายกว่า 56% ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียก่อโรค เผย 40% เป็นเชื้อดื้อยา จี้รัฐคุมเข้ม หวั่นประชาชนรับเชื้อ
       
       วันนี้ (29 พ.ค.) ศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาระบบการควบคุมและป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวภายหลังการประชุม “เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ:ภาวะวิกฤตต่อสุขภาพคนไทย” ที่ โรงแรมสยามซิตี้ กทม.ว่า ยาปฏิชีวนะ เป็นยาฆ่าเชื้อโรคที่มีความจำเป็นและช่วยชีวิตคนได้มาก แต่ด้วยการใช้ที่มากขึ้นและเกินความจำเป็น ขาดการควบคุมที่ถูกต้อง ทำให้ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้น และดื้อต่อยาหลายขนาน โดยพบว่า คนไทยมีอาการติดเชื้อดื้อยากลุ่มนี้ถึง 100,000 คน อยู่โรงพยาบาลนานขึ้นมากกว่า 1 ล้านวัน และพบว่า เสียชีวิตมากกว่า 30,000 ราย โดยทั้งหมดล้วนมาจากการใช้ยาเกินความจำเป็น สามารถหาซื้อได้ง่าย เห็นได้จากมูลค่าการผลิตและนำเข้ายากลุ่มนี้สูงถึง 10,000 ล้านบาททีเดียว อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า เชื้อดื้อยาที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งพบได้ทั้งในโรงพยาบาล (รพ.) และนอก รพ.หรือในชุมชนนั้น พบว่า เชื้อดื้อยาที่พบมากใน รพ.คือ เชื้ออะซินีโตแบคเตอร์ บอมานีไอ หรือ เอ บอม (Acinetobacter baumannii) ซึ่งเป็นเชื้อก่อให้เกิดติดเชื้อในกระแสเลือด โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ ซึ่งเดิมทีใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มคาร์บาพีแนมส์ (Carbapenems) ซึ่งเป็นกลุ่มยาด่านสุดท้ายที่ใช้ฆ่าเชื้อดื้อยา แต่ 10ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2543-2554 พบว่า เชื้อกลุ่มนี้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะกลุ่มคาร์บาพีแนมส์ถึงร้อยละ 80 แล้ว

   
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
       ศ.นพ.วิษณุ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการดื้อคาร์บาพีแนมส์มากขึ้น ทำให้มีเชื้อฝีหนอง หรือ สแตฟ ออเรียส (Staph aureus) รวมทั้งเชื้ออีโคไล (E.coli) พบได้ทั้งใน รพ.และในชุมชน โดยเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อในช่องท้อง การติดเชื้อในกระแสเลือด มีการดื้อยามากขึ้นเช่นกัน เห็นได้ว่า หากไม่ดำเนินการอะไรจะยิ่งเป็นปัญหายิ่งขึ้น สุดท้ายอาจไม่มียาใช้อีก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลวิชาการ และทำเป็นคำแนะนำในการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยจะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้มีการพิจารณาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ สปสช.อาจเพิ่มเงินจากเหมาจ่ายรายหัวให้กับ รพ.ที่มีการดำเนินการควบคุมการใช้ยาตัวนี้ รวมทั้งมีมาตรการควบคุมการติดเชื้อที่ดี นอกจากนี้ จะมีการหารือกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับการเพิ่มเกณฑ์คุณภาพสถานพยาบาล หรือค่า HA โดยให้มีแนวทางการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะด้วย คาดว่า ทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
       
       นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการ สวรส.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอว่าควรห้ามขายยากลุ่มนี้ในร้านขายยาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ต้องพิจารณาหลายด้าน เพราะการเข้าถึงยาใน รพ.อาจไม่ทั้งหมด ยาบางชนิดก็ยังต้องมีการซื้อหาเอง แต่ปัญหาอยู่ที่การควบคุม โดยอาจต้องพิจารณาว่าควรอนุญาตให้ขายในร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำเต็มเวลาหรือไม่ เรื่องนี้ต้องหารือก่อนเสนอรัฐบาล
       
       นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางการวิจัยและพัฒนาระบบยา สวรส.กล่าวว่า สำหรับแนวทางการป้องกันเชื้อดื้อยามี 3 เรื่องหลัก คือ
1.ต้องควบคุมการติดเชื้อในคนและในสัตว์ เพราะหากคุมได้ก็จะไม่มีปัญหาต้องทานยาฆ่าเชื้อก็จะไม่ดื้อยา
2.ต้องควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะให้ใช้เท่าที่จำเป็น ยิ่งใช้น้อยโอกาสดื้อยาก็จะน้อย เช่น หากเป็นไข้หวัดธรรมดาไม่จำเป็นต้องทานยา พักผ่อนก็จะหายได้เอง
3. ควรควบคุมการดื้อยาในสัตว์ด้วย เนื่องจากหากสัตว์ติดเชื้อ และคนบริโภคเข้าไปย่อมส่งผลให้ติดเชื้อได้ รวมทั้งหากสัตว์ พวกหมู เนื้อไก่ เนื้อวัวมีเชื้อดื้อยาจะกระทบการส่งออกด้วย
       
       ขณะที่ ผศ.ดร.นพ.ชาญวิทย์ ตรีพุทธรัตน์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการศึกษาของภาควิชาจุลชีววิทยา ด้วยการตรวจสอบเนื้อไก่สดที่แพ็กขายในซูเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่ใกล้เคียง รพ.ศิริราช ในตัวอย่าง 200 แพ็ก โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย 2 ชนิด คือ เอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในลำไส้ใหญ่ของคนทั่วไป แต่บางตัวก่อโรคได้ อาทิ โรคอุจจาระร่วง และ ซัลโมเนลลา เอนเตอโรติก้า (Salmonella enteritica ) ผลการศึกษา พบว่า มีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าวเกินค่ามาตรฐานอยู่ที่ 500 ตัว ต่อ 25 กรัมของเนื้อสัตว์ ถึง 56.7% หากแยกเป็นรายเชื้อ ปนเปื้อนเชื้อเอสเชอริเชีย โคไล 53% และซัลโมเนลลา เอนเตอโรติก้า 18.7% ที่น่าห่วงคือ พบเป็นเชื้อดื้อยาถึง 40% ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับเชื้อแบบไม่รู้ตัว รัฐจึงต้องเร่งคุมเข้มมาตรฐานด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 พฤษภาคม 2555

5730
โรงพยาบาลพหลฯ จ.กาญจน์ ยกฐานะจาก รพ.ระดับทุติยภูมิระดับสูง เป็นระดับตติยภูมิ มีศักยภาพให้บริการทางการแพทย์ครอบคลุมตามมาตรฐานระบบบริการทุติยภูมิ และตติยภูมิ รองรับการให้บริการผู้ป่วยในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ทั้ง 13 อำเภอ
       
       วันนี้ (25 พ.ค.) นพ.สมเจตน์ เหล่าลือเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา กล่าวว่า โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 440 เตียง ได้รับการยกฐานะจากโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิระดับสูงเป็นระดับตติยภูมิ มีศักยภาพให้บริการทางการแพทย์ครอบคลุมตามมาตรฐานระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ รองรับการให้บริการผู้ป่วยในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ทั้ง13 อำเภอ
       
       ปัจจุบัน มีประชากรรวมทั้งจังหวัด 83,6807 คน คนต่างด้าว และแรงงานต่างด้าว ประมาณ 334,187 คน รวม 1,170,994 คน และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดกาญจนบุรีอีกประมาณ 4,583,630 คนต่อปี ปัจจุบัน ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 1,511 ราย อัตราการครองเตียงเฉลี่ย 104.02%
       
       โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาได้จัดทำแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan ปี 2555-2559) สอดคล้องกับ Service Plan ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี เพิ่มเติมในสาขาหลัก/สาขารอง สาขาเฉพาะทาง และศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูง สาขาอุบัติเหตุและฉุกเฉิน สาขาโรคหัวใจและหลอดเลือด สาขาโรคมะเร็ง สาขาทารกแรกเกิด สาขาอาชีวอนามัยสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับตติยภูมิในภาวะภัยพิบัติ
       
       โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา มีการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการให้การรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อนในระดับเชี่ยวชาญ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและมีราคาแพง รองรับการเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายในการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยภายในจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดข้างเคียง โดยการพัฒนาด้านคุณภาพบริการ การสรรหาบุคลากร การจัดหาครุภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการให้บริการสาขาเฉพาะทางที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มอาคารผู้ป่วย และอาคารสนับสนุนบริการ เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนผู้มารับบริการที่เพิ่มขึ้น
       
       ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2556 เมื่อตึก “100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช” สร้างแล้วเสร็จ โรงพยาบาลจะมีเตียงเพิ่มขึ้น 318 เตียง รวมเป็น 700 เตียง และเพิ่มศักยภาพการบริการเป็นศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน (Trauma Center) ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์ส่องกล้องอวัยวะภายในเพื่อการวินิจฉัยและรักษา ศูนย์ผ่าตัดด้วยกล้องโรคกระดูกสันหลัง ศูนย์จักษุวิทยา ศูนย์ให้บริการโสต ศอ นาสิก ลาริงซ์วิทยา
       
       การพัฒนาดังกล่าว จะสามารถรองรับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย สหภาพพม่า ซึ่งคาดว่าในอนาคต จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน และนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดกาญจนบุรีอีกเป็นจำนวนมาก
       
       โครงการยกระดับโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ที่ได้มีโอกาสรับบริการสุขภาพที่มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 พฤษภาคม 2555

หน้า: 1 ... 380 381 [382] 383 384 ... 534