แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 373 374 [375] 376 377 ... 536
5611
ผู้เขียนได้เขียนเรื่องมหันตภัยหรือภัยอันร้ายแรงของระบบ 30 บาทที่มีต่อประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้ว
วันนี้จะเขียนต่อถึงมหันตภัยของระบบ 30 บาทที่มีต่อระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขและภัยต่องบประมาณแผ่นดิน
ซึ่งน่าจะต้องมองก่อนว่า ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลอะไรต่อระบบสาธารณสุขไทยบ้าง ดังต่อไปนี้

1.   กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจในการบริหารงบประมาณในการดำเนินงานตามภาระรับผิดชอบของตนเองอีกต่อไป
เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่ถูกส่งไปให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสปสช.ทำให้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขาดการพัฒนา
2.   โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขมีภาระงานในการดูแลรักษาผู้ป่วยมากเกินไป
3.   มาตรฐานการแพทย์ในระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขมีปัญหา
4.   สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนไม่ดีขึ้น
5.   งบประมาณแผ่นดินถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่า/สมเหตุผล
6.   อวสานของกระทรวงสาธารณสุข
เนื่องจากการขาดเอกภาพในการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของประเทศ
ซึ่งจะขอกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดมหันตภัยต่อระบบบริการสาธารณสุขดังนี้

1.กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจในการบริหารงบประมาณในการดำเนินงานตามภาระรับผิดชอบของตนเองอีกต่อไป

เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่ถูกส่งไปให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสปสช.ทำให้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขาดการพัฒนา ทั้งนี้ บทบัญญัติในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ม. 5ได้กำหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาจกำหนดให้บุคคลที่เข้ารับการบริการสาธารณสุขต้องร่วมจ่ายค่าบริการในอัตราที่กำหนดให้แก่หน่วยบริการในแต่ละครั้งที่เข้ารับการบริการ
เว้นแต่ผู้ยากไร้หรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไม่ต้องจ่ายค่าบริการ ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุขที่บุคคลจะมีสิทธิได้รับให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดและในมาตรา 38 กำหนดให้มีการจัดตั้ง "กองทุนหลักประกันสุภาพแห่งชาติ"มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ และในมาตรา 41
ให้คณะกรรมการกันเงินจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของเงินที่จะจ่ายให้แก่หน่วยบริการไว้เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ
โดยหาผู้กระทำผิดมิได้หรือหาผู้กระทำผิดได้แต่ยังไม่ได้รับค่าเสียหายภายในระยะเวลาอันสมควร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด และมาตรา 46 กำหนดว่าหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการและหน่วยบริการที่รับการส่งต่อผู้รับบริการมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการเป็นประจำทุกปีตามม.18(13)

  ฉะนั้นเมื่อมีการมอบงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกาบริการสาธารณสุขแก่ประชาชนในระบบ 30 บาทแล้ว รัฐบาลก็ไม่ได้จ่ายงบประมาณให้แก่กระทรวงสาธารณสุขโดยตรงอีกต่อไป กระทรวงสาธารณสุขมีช่องทางเดียวที่จะบอกให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทราบว่ามีเงินเพียงพอต่อการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนหรือไม่ โดยการเสนอความคิดเห็นในการประชุมประจำปีที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องจัดตามหน้าที่ในม.18(13)

  แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เคยจัดประชุมเลยและไม่เคยรับฟังความคิดเห็นว่าหน่วยบริการสาธารณสุขประสบกับปัญหาการขาดงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน แต่ปรากฏว่าสปสช.กล่าวหาว่ารพ.กระทรวงสาธารณสุขมีกำไรด้วยซ้ำไป!

 นอกจากนั้นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในม.18(3) ในการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตแต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ให้สปสช.โฆษณาประชาสัมพันธ์ไปทั่วประเทศว่า 30 บาทรักษาทุกโรคต่อมาก็ประกาศว่ารักษาฟรีอย่างมีคุณภาพใช้บัตรประชาชนใบเดียวไปรักษาได้ทุกโรงพยาบาล หรือในปัจจุบันก็ประกาศว่า 30 บาทเพื่อพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการโดยไม่ต้องพักเที่ยง และยกเว้นไม่ต้องจ่ายอีก 20ประเภท และประเภทที่ 21ไม่ต้องการจ่ายก็ได้สิทธิ์นั้นทันที

   การโฆษณาประชาสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าจะต้องได้รับการบริการสาธารณสุขอย่างดีที่สุด แต่ในเมื่อโรงพยาบาลไม่มีงบประมาณที่พอเพียงและคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพฯก็ไม่รับฟังความคิดเห็นเรื่องการขาดงบประมาณที่เหมาะสมจากหน่วยบริการและไม่แก้ไขการขาดแคลนนั้นจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถที่จะพัฒนาอาคารสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ และไม่มีเงินจ้างบุคลากร เพิ่มให้พอรองรับจำนวนผู้ป่วย จนมีปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องนอนเตียงเสริมเตียงแทรกตามระเบียง หรือปูเสื่อนอนตามพื้น และต้องเสียเวลารอคอยเป็นครึ่งค่อนวัน
กว่าจะได้รับการตรวจรักษาแต่ละครั้ง

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค นั้น กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับงบประมาณแผ่นดินในการบริหารจัดการในการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนโดยที่กระทรวงสาธารณสุขสามารถจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนั้น โรงพยาบาลยังได้รับเงิน  "ค่าบริการสาธารณสุข"จากผู้ป่วยที่ไปรับบริการสาธารณสุข เรียกว่า "เงินบำรุง"โรงพยาบาลซึ่งผู้อำนวยการมีอำนาจที่จะใช้เงินบำรุงในขอบเขตที่กำหนด เพื่อที่จะพัฒนาและปรับปรุงอาคารสถานที่ เครื่องมือ อุปกรณ์การแพทย์รวมทั้งจ้างเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขมาเพิ่มจากอัตราข้าราชการและลูกจ้างประจำเพื่อให้สามารถให้บริการที่สะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว แก่ผู้ป่วยได้

แต่เมื่อเริ่มมีระบบ 30 บาทกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณแผ่นดินที่จะจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลเลยและโรงพยาบาลก็เก็บเงินค่าบริการได้เพียงครั้งละ 30 บาทและต่อมาก็เก็บไม่ได้เลย ทำให้โรงพยาบาลขาดทั้งเงินงบประมาณแผ่นดิน และขาดเงินบำรุงโรงพยาบาล ทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินพัฒนาและปรับปรุงใดๆรวมทั้งไม่มีเงินจ้างบุคลากรที่ขาดแคลนอีกด้วยทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก และไม่มีความปลอดภัยในการไปรับบริการมากขึ้น

2.โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขมีภาระงานในการดูแลรักษาผู้ป่วยมากเกินไป

โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเป็นโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่ต้องรับภาระในการดูแลรักษาหรือให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่ของระบบ30 บาท เพราะเป็นภาระหน้าที่โดยตรงของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่นั้น ตอนแรกเมื่อเริ่มโครงการ 30 บาทก็เข้าร่วมให้บริการแก่ผู้ป่วยในระบบ 30 บาทด้วย
แต่ในระยะต่อมารพ.เอกชนส่วนใหญ่ก็ถอนตัวออกจากการร่วมโครงการนี้ ทำให้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขต้องรับภาระดูแลรับผิดชอบผู้ป่วยมากขึ้นหลายเท่าตัวมีผู้ป่วยไปรับบริการสูงถึง 200 ล้านครั้ง/ปีในปัจจุบัน แต่บุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขมีไม่พอเพียง อาคารสถานที่ก็คับแคบ และจำนวนผู้ป่วยก็มากขึ้น ทำให้มีสภาพผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลผู้ป่วยต้องเสียเวลาในการไปโรงพยาบาลเกือบทั้งวัน เพื่อจะมีเวลาได้พบหน้าแพทย์เพียง 2- 4 นาทีทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อความเสียหายหรือความเข้าใจผิดในสาระสำคัญที่แพทย์อธิบาย ผู้ป่วยขาดความเชื่อมั่นในการรักษา ได้ยาไปกินแล้วสองสามวันไม่หายก็เปลี่ยนโรงพยาบาล ไปรักษาที่อื่น ทำให้จำนวนผู้ป่วยยิ่งมากขึ้นและภาระงานของโรงพยาบาลก็มากขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด

3.มาตรฐานการแพทย์ในระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขมีปัญหา

จากการที่สปสช.จ่ายเงิน "ค่าบริการสาธารณสุข"ให้แก่หน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลต่างๆไม่เพียงพอ แต่สปสช.กลับเอาเงินที่ควรจะส่งให้รพ.ไปทำโครงการในการรักษาโรคบางอย่างเองโดยไม่ใช่หน้าที่ของสปสช.เช่นโครงการผ่าตัดต้อกระจก และโครงการอื่นๆอีกมากทำให้สปสช.จ่ายเงินค่ารักษาโรคทั่วไปน้อยลง และสปสช.จำกัดรายการยาและรายการรักษา
ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนไม่สามารถเลือกใช้ยาที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ผู้ป่วยได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานที่เหมาะสมและทันสมัยและในปัจจุบันนี้การจำกัดรายการยาแบบนี้กำลังจะถูกกรมบัญชีกลางนำไปใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการเพิ่มอีกด้วย การจำกัดรายการยาโดยอาศัยเพียงข้อจำกัดของงบประมาณจะทำให้ไม่มีการพัฒนาวิชาการทางการแพทย์ในระบบโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขอีกต่อไปทำให้ประชาชนที่พอมีเงิน ต้องหันไปรับบริการจากโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น จนมีรายงานในตลาดหลักทรัพย์ว่ากลุ่มโรงพยาบาลเอกชนมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 60% แต่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขตกต่ำ ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมากขึ้นทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือ และมีผลไปจนถึงการผลักดันให้มีการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข แทนที่จะป้องกันการเสียหาย โดยการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการบริการเพื่อทำให้ประชาชนปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้น การเกิดความเสียหายก็เป็นภัยต่ประชาชนส่วนการออกพ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯก็ทำให้เกิดการต่อต้านจากบุคลากร เพราะเกรงว่าจะทำให้เสี่ยงภัยจากการถูกฟ้องร้องมากขึ้นไปอีก

4.สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนไม่ดีขึ้น
ถึงแม้ว่าประชาชนจะ "เข้าถึง"บริการมากขึ้น แต่ความจำกัดเรื่องงบประมาณต่างๆดังกล่าว ประกอบกับประชาชนไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรเลยไม่มีการกำหนดกฎกติกา ว่าจะไปรับบริการสาธารณสุขได้ปีละกี่ครั้งจะไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ปีละกี่ครั้ง
จะต้องไปพบแพทย์ทั่วไปก่อนจึงจะไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ จะต้องมีหน้าที่สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอย่างไรถ้าเจ็บป่วยเพราะพฤติกรรมไม่ดี เช่นดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้ป่วยบ่อยต้องไปรพ.มากกว่าปีละกี่ครั้งจะต้องจ่ายเงินค่ายาในการรักษาด้วย
ถ้าไม่ป่วยเลยในปีนั้นๆก็อาจจะได้รางวัลหรือประกาศเกียรติคุณกันบ้างและควรให้ผู้ป่วยที่ไม่ยากจนต้องจ่ายค่ายยาตามอัตราส่วนเช่น10-20%ของมูลค่ายา ไม่ใช่ไม่จ่ายเลยหรือจ่ายแค่ครั้งละ 30 บาทซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก การที่ให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ายาก็เพื่อให้ตระหนักใน"มูลค่า"ที่ต้องจ่ายไปในการที่จะได้ยาเพราะคนไทยมักจะมองว่าของที่รัฐบาลให้นั้นมันฟรีไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งว่ามันก็มาจากเงินภาษีของทุกคนจึงใช้ของฟรีอย่างทิ้งๆขว้างๆโดยรัฐมนตรีก็ส่งเสริมการใช้ยาแบบทิ้งๆขว้างๆโดยการเอายามาแลกไข่ไปกินได้อีก (โดยยาที่แลกมาก็ต้องทิ้งไปเพราะไม่แน่ใจในชนิดและคุณภาพของยา)แต่สำหรับประชาชนที่ยากไร้และสมควรได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูล(เช่นพิการ)ก็ควรจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงิน

5.งบประมาณแผ่นดินถูกใช้ไปอย่างไม่เหมาะสม และเป็นภาระหนักแก่งบประมาณแผ่นดิน

การจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำให้มีการตั้งสำนักงาน มีกรรมการ อนุกรรมการและบุคลากรประจำสำนักงานสปสช.มากมาย และไปประจำทุกพื้นที่ของประเทศ มีการจัดสรรงบประมาณบริหารสำนักงาน
เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงแก่บุคลากร กรรมการและอนุกรรมการมากมายทั้งๆที่มีหน้าที่เพียงแค่ บริหารกองทุน แต่ทำให้ต้องจ่ายเงินจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและกรรมการส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการประจำที่ได้รับเงินเดือนประจำอยู่แล้ว
ก็มารับเงินเบี้ยประชุมอีกทำให้งบประมาณแผ่นดินถูกจ่ายซ้ำซ้อนและสิ้นเปลือง โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข แต่เป็นกรรมการจากกลุ่มเอกชน ที่มีความใกล้ชิดกับสปสช.
และเรียกร้องสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรัฐบาลก็พยายามจำกัดงบประมาณ แต่ไม่กล้าที่จะบอกประชาชนว่าคุณภาพที่ดีๆนั้นหาไม่ได้จากราคาถูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพทย์ปัจจุบันก้าวหน้าไปทุกเวลา แต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะบังคับให้ใช้แต่ยาเดิมๆซึ่งไม่สามารถรักษาโรคร้ายแรงบางอย่างได้

  นอกจากนั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพฯยังไม่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอย่างแท้จริง
หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาสุขภาพก็แยกออกไปเป็นองค์กรอิสระนอกเหนือการควบคุมของนักการเมืองและราชการ
แต่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ในการทำงานโดยมีอำนาจการบริหารจากคณะกรรมการในรูปแบบเดียวกับสปสช. และบุคคลในกลุ่มเดียวกันซึ่งน่าจะเป็นการมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง   ในการเป็นคณะกรรมการในองค์กรต่างๆเหล่านี้ เช่น สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)ซึ่งมีองค์กรลูกอีกมากมายหลายองค์กร เช่น สรพ.(สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานพยาบาล)
สพตร.(คณะกรรมการพัฒนาการตรวจสอบระบบการรักษาพยาบาล) ซึ่งสพตร.นี้ก็ไปตรวจสอบการสั่งยาของแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆและระบุว่าแพทย์"ยิงยา"กล่าวคือสั่งยาโดยไม่ถูกต้องเพราะมีประโยชน์จากบริษัทยา พร้อมทั้งส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบ  ซึ่งก็พบว่าส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีการทุจริตแต่อย่างใดกลายเป็นว่าสพตร.ที่มีแพทย์เพียงคนเดียว ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทุกโรคกลับไปเป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ สมควรหรือไม่?) ซึ่งสำนักงานต่างๆเหล่านี้ ต่างก็ตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.เฉพาะได้รับงบประมาณแผ่นดินในการบริหารงาน แต่การดำเนินการต่างๆไม่ได้รับการตรวจสอบจากรัฐบาลว่าได้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าหรือไม่

6.อวสานกระทรวงสาธารณสุข

เนื่องจากการบริการสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุขนั้นขาดเอกภาพ กล่าวคือมีแต่ภาระงาน  ไม่มีงบประมาณ ไม่สามารถทำตามนโยบายใดๆได้ต้องทำตามคำสั่งและมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกอย่างตลอดไปจนการสั่งยาของแพทย์
จึงเท่ากับว่าไม่มีอำนาจใดๆในการทำงาน ต้องตกเป็น "เมืองขึ้น"ของสปสช. ที่เป็นผู้ผลักดันให้เกิดองค์กรตระกูลส.ต่างดังกล่าวแล้ว ได้แก่สวรส.(และองค์กรลูกอีก 6 องค์กร) สสส. สช. และสปสช. ได้มองว่าการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากเขาได้บอกว่า ในอนาคตนั้น "ระบบสุขภาพ"นั้นจะไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาล(รัฐมนตรี)และระบบราชการส่วนกลาง(ปลัดกระทรวง)เลย เพราะเขาบอกว่า สช.จะเป็นฝ่ายกำหนดนโยบายผ่านการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติและรัฐบาลต้องทำตามเพราะบัญญัติไว้แล้วในพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2550

 สสส.จะเป็นผู้จัดการให้ความรู้ในการสร้างเสริมสุขภาพ สปสช.จะเป็นฝ่ายควบคุมการบริหารงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดจะเป็นผู้จัดบริการสาธารณสุข ข้อสุดท้ายนี้ ก็คือมหันตภัยอันยิ่งใหญ่ต่อระบบบริการสาธารณสุข
และกระทรวงสาธารณสุขจะถึงกาลอวสาน  (ไม่ต้องมีอยู่อีกต่อไป)

   พร้อมกับการอวสานของการบริหารราชการแผ่นดินโดยผู้แทนราษฎร(สส) และอวสานของมาตรฐานการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขเพราะกลุ่มองค์กรอิสระเหล่านี้ อ้างผลประโยชน์ประชาชนบังหน้า แต่แท้ที่จริงแล้ว จำกัดงบประมาณในการรักษาทำให้จำกัดมาตรฐานการบริการแต่ใช้งบประมาณตอบแทนพวกพ้องจนร่ำรวยไปตามๆกัน

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
4 กันยายน 2555

5612
 อาชีพการเลี้ยงวัว-ควายเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ควายไทยให้คงอยู่ แต่ปัจจุบันปริมาณวัว ควายไทยลดลงอย่างมากเนื่องจากมีการส่งออกไปขายต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ด่านพรมแดนสากลมุกดาหารพบว่าปริมาณการส่งออกวัว ควายเพิ่มขึ้น ปัจจุบันส่งออกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 200 ตัว/วัน
       
       อาชีพการเลี้ยงโค กระบือเพื่อใช้งานและขายบริโภคภายในประเทศเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยอนุรักษ์โค กระบือไทยให้คงอยู่ ที่สำคัญยังสร้างรายได้เลี้ยงชีพครอบครัวเกษตรกร โดยกรมปศุสัตว์ได้มีการจัดทำโครงการรวมใจภักดิ์อนุรักษ์ควายไทย พร้อมจัดตั้งเป็นธนาคารโค-กระบือตามแนวพระราชดำริฯ สนับสนุนทั้งวัคซีนและเชื้อผสมพันธุ์ฟรีแก่เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงควาย
       
       แต่ในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมากลับพบว่าปริมาณการเลี้ยงโค กระบือไทยเพื่อใช้งานมีจำนวนลดลง จากข้อมูลจังหวัดมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ.2551 พบว่ามีเกษตรกรผู้เลี้ยงควาย 5,046 ครัวเรือน จำนวนควาย 20,539 ตัว เป็นควายที่สามารถใช้แรงงานได้เพียง 257 ตัว หรือประมาณ ร้อยละ 1.25 ของจำนวนควายทั้งหมด ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าควายไทยที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งานและการอนุรักษ์หายไปไหน
       
       จากคำบอกเล่าของเกษตรกร พบว่าสาเหตุที่ปริมาณวัว ควายไทยลดลงก็เนื่องมาจากความนิยมในปัจจุบันเปลี่ยนจากการใช้แรงงานควายมาเป็นการใช้เครื่องจักรในการทำนา นอกจากนี้ มูลเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประชากร “ควายไทย” ลดลงจนใกล้สูญพันธุ์ คือการส่งออก
       
       นางสาวพรพิมล สัตยาภินันท์ นายด่านศุลกากรมุกดาหาร กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่บริเวณด่านพรมแดนมุกดาหาร พบว่าปริมาณการส่งออกวัว ควายไปลาว เวียดนาม และจีนมีมากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2555 จนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีปริมาณวัว ควายที่ส่งออกรวมแล้ว 8,370 ตัว ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมากต่อการสูญพันธุ์ของวัว ควายไทย
       
       ดังนั้น แม้ภาครัฐจะให้ความสำคัญในเรื่องของการอนุรักษ์ควายไทยอยู่แล้วก็ตาม หากยังมีนายทุนที่มุ่งหวังรายได้จากการส่งออกเพื่อการค้า การส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ย่อมไม่ได้ผล ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่ออนุรักษ์ควายไทยไม่ให้หายไปเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
       
       ปัจจุบันการส่งออก โค และกระบือที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 มุกดาหาร-แขวงสะหวันนะเขตแต่ละวัน มีการส่งออกไปแขวงสะหวันนะเขตประมาณ 200-400 ตัว โดยจะมีรถบรรทุกโค กระบือ มาจอดถ่ายโค กระบือที่ทางเข้าด่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มุกดาหาร เป็นจำนวนมากโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล และไม่มีการกักกันเพื่อรอตรวจหาโรคติดต่อที่มากับโค และกระบือ
       
       นางสาวพรพิมลระบุว่า โค กระบือที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศไม่แน่ใจว่ามีการตรวจสอบการแพร่ระบาดของโรคหรือไม่ เพราะโค กระบือส่วนใหญ่ได้นำมาจากต่างจังหวัด หลายจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งการส่งออกที่จังหวัดมุกดาหารเห็นได้ว่าไม่มีการกักกันแต่อย่างใด เพราะรถบรรทุกที่ขนโค กระบือ จะมาขนถ่ายกันที่ถนนทางเข้าด่านสะพาน แล้วก็วิ่งผ่านด่านไปยังแขวงสะหวันนะเขต หากเป็นเช่นนี้วัว ควายในประเทศไทยคงจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กันยายน 2555

5613
  เอเอฟพี - กลุ่ม ส.ส.เกาหลีใต้ 20 คนเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายตัดองคชาติผู้กระทำผิดคดีทางเพศซ้ำซาก วันนี้ (5) หลังเกิดคดีอาชญากรรมทางเพศติดต่อกันหลายครั้ง ซึ่งทำให้ชาวเมืองกิมจิรู้สึกโกรธแค้น
       
       หากร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ศาลจะสามารถสั่งลงโทษตัดอวัยวะเพศผู้กระทำผิดคดีทางเพศที่การอบรมพฤติกรรมหรือฉีดสารเคมีเพื่อระงับอารมณ์ใคร่ใช้ไม่ได้ผล
       
       เมื่อปี 2010 รัฐสภาเกาหลีใต้ได้ออกกฎหมาย “ตอนทางเคมี” สำหรับอาชญากรที่ก่อคดีทางเพศต่อผู้เยาว์ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีซ้ำหลายครั้ง ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้ก็เริ่มใช้วิธีฉีดสารเคมีเพื่อปรับฮอร์โมนให้ชายวัย 45 ปีคนหนึ่ง ซึ่งรับโทษจำคุกมาแล้ว 10 ปีฐานพยายามข่มขืนเด็กหญิงวัย 10 ขวบ
       
       อย่างไรก็ดี แพทย์หญิง ปาร์ก อิน-ซุก ซึ่งเป็นหนึ่งใน ส.ส. 20 คนที่เสนอกฎหมายตัดอวัยวะเพศชี้ว่า การฉีดสารเคมีนั้นให้ผลเพียงชั่วคราว และผู้ต้องหาจะกลับไปมีความต้องการทางเพศในระดับเดิมหากหยุดการรักษา
       
       “เราต้องใช้วิธีที่เด็ดขาดกว่านั้น เช่น การตอนทางร่างกาย เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาทำผิดได้อีก” ปาร์กให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
       
       ปาร์ก จอง-วอน ผู้ช่วยของแพทย์หญิงปาร์ก อธิบายว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐสภาอีกหลายชุด ก่อนจะมีการลงมติขั้นสุดท้ายในที่ประชุมสภาแห่งชาติ ซึ่งเขาเชื่อว่า “มีความเป็นไปได้สูง” ที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกส่วนใหญ่
       
       รัฐบาลกรุงโซลกำลังเผชิญแรงกดดันจากสังคมให้ออกมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเพศ หลังเกิดคดีสะเทือนขวัญหลายคดีในช่วงไม่นานมานี้
       
       เดือนที่แล้ว ประธานาธิบดี อี มย็อง-บัก ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้ออกมาแถลงขอโทษประชาชนหลังเกิดกรณีเด็กหญิงวัย 7 ขวบคนหนึ่งถูกลักพาตัวไปจากบ้านและข่มขืนอย่างทารุณ ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายวัย 20 กว่าๆ ได้
       
       เมื่อเดือนสิงหาคมเช่นกัน ชายผู้ก่อคดีทางเพศจนถูกทางการติดตั้งอุปกรณ์ตามตัว ได้พยายามเข้าไปข่มขืนผู้หญิงที่ผับแห่งหนึ่ง ก่อนจะก่อเหตุแทงชายคนหนึ่งเสียชีวิต และทำร้ายอีก 4 คนได้รับบาดเจ็บ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กันยายน 2555

5614
ผบช.น.เปิดโครงการ “หมอบนถนน” จัดอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือคนท้องที่ติดอยู่ในรถบนถนนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด สั่งเตรียมพร้อม 24 ชม.
       
       วันนี้ (5 ก.ย.) เวลา 15.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. แถลงถึงการจัดทำโครงการ “หมอบนถนน” เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงใกล้คลอดที่ไม่สามารถไปทันโรงพยาบาลได้เนื่องจากการจราจรติดขัดว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ทำคลอดหญิงในรถเก๋งบนทางคู่ขนานลอยฟ้าขาเข้า แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ปรากฏว่าได้ลูกแฝดเป็นเพศชายทั้ง 2 คน จนเกิดปัญหาจราจรติดขัด เพราะปริมาณรถยนต์เยอะมาก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่
       
       พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้มองในส่วนกรณีที่มีการทำคลอดเร่งด่วน ได้กำชับให้ผู้รับผิดชอบเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถที่จะเรียกเจ้าหน้าที่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประชาชนอาจจะไปโรงพยาบาลไม่ทันเพราะการจราจรติดขัด โดยจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกลางไปนำรถออกมาเพื่อไปให้ทันเวลาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่ถ้าฉุกเฉินไม่สามารถไปได้ทันเวลา เจ้าหน้าที่จะมีอุปกรณ์ในการทำคลอดเตรียมพร้อมไว้อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการอบรมในโครงการพระราชดำริและจะมีอุปกรณ์ชนิดนี้ติดรถทุกคัน พร้อมที่จะช่วยเหลือทำคลอดตลอดเวลา
       
       “ถ้าประชาชนอยู่ที่บ้านพักแล้วกำลังปวดท้องคลอด ซึ่งหากออกมาไม่ทันสามารถเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกลางมาได้เลยจะออกไปให้บริการทันที ทางด้านตำรวจจราจรกลางจะมีการอบรมทุกปี แต่ความเชี่ยวชาญขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่ได้ทำการคลอดเป็นประจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะประจำทั่วกรุงเทพ ประมาณ 70 คน” พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าว
       
       สำหรับชุดการช่วยคลอดฉุกเฉิน ประกอบด้วย ลูกยางแดง ไว้ดูดเอาน้ำเมือก น้ำคล้ำ ออกจากปากหรือจมูกของเด็ก, ผ้าที่ใช้ห่อเด็กหรือซับเลือดของแม่ที่เบาะรถ, ถุงมือ,สำลี, ยาเบทาดีน, แคมป์หนีบ เจ้าหน้าที่จะไม่ตัดสายสะดือแต่จะเอาแคมหนีบไว้ หากมีความจำเป็นต้องตัด คือ กรณีที่เด็กหายใจไม่ดี จะใช้มีดฆ่าเชื้อตัดสายสะดือออก ซึ่งใน 1 ปีถ้าใช้อุปกรณ์ไม่หมดทางโรงพยาบาลกรุงเทพจะนำไปอบฆ่าเชื้อใหม่ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเหลือคนเจ็บ คนแก่ เพียงแค่ให้แจ้งมาเหมือนกัน
       
       พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวอีกว่า ส่วนเบอร์โทรศัพท์ที่แจ้งเข้ามาได้ตลอด เช่น เบอร์ 191, 1197, 1255, สวพ. 91, จส.100 หรือเบอร์โทรศัพท์วิทยุในโครงการพระราชดำริ คือ 0-2354-6177 หรือ 0-2354-6324 และจะทำสติกเกอร์ติดเพื่อประชาสัมพันธ์ตามสี่แยกต่างๆ เพราะหากเด็กเกิดไปคลอดบนรถแล้วเสียชีวิตขึ้นมามันทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น

manager.co.th  5 กันยายน 2555

5615
 วันนี้ (5 ก.ย.) นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ขณะนี้การผลิตยาซิลเดนาฟิลเพื่อแก้ไขอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนของ อย.แล้ว โดยเตรียมการแถลงข่าว และวางจำหน่ายใน 15 ตุลาคม 2555 นี้ โดยการผลิตยาดังกล่าวก็เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของยาปลอม ประกอบกับสังคมไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้กลุ่มยาดังกล่าวเป็นที่นิยม การที่ยามีราคาแพง ทำให้ยากต่อการเข้าถึงการรักษา ทั้งนี้ จะจำหน่ายยาดังกล่าวในขนาด 50 มิลลิกรัม และ 100 มิลลิกรัม โดยขนาด 50 มิลลิกรัม ตกราคาเม็ดละ 25 บาท และมีความเหมาะสมกับคนไทย สำหรับยาไวอะกร้าที่มีการจำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่ตกเม็ดละ 200 บาท
       
       ส่วนความเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทาง อภ.ได้ปรับปรุงโรงงานผลิตยาที่รังสิตให้ได้มาตรฐาน PICS ทำให้ยาได้มาตรฐานระดับเดียวกับอาเซียน โดยมีการกำลังกายผลิต 5,000 ล้านเม็ด และเตรียมรุกตลาดยาอาเซียน ใน 5 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ในกลุ่มยารักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเอดส์ พร้อมยอมรับการรุกตลาดยาในประเทศอินโดนีเซียลำบาก เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมายในอินโดเนียบังคับให้ต้องมีฐานการผลิตยาในประเทศเท่านั้น จึงจะสามารถจำหน่ายยาได้ ทำให้เตรียมนำยากึ่งสำเร็จ เข้าไปบรรจุและจำหน่ายแทน

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กันยายน 2555

5616
  เปิดมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ “นวดไทย มรดกไทย สู่มรดกโลก” เน้นเผยแพร่นวดไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งไทยและเทศ หลังยูเนสโกขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำโลก ด้าน “วิทยา” สั่งเร่งผลิตแพทย์แผนไทยประจำ รพ.สต.400 แห่งในปี 2556 พร้อมเปิดโรงพยาบาลรักษาด้วยแพทย์แผนไทย เชื่อช่วยลดการใช้ยา
       
       วันนี้ (5 ก.ย.) ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 9 ภายใต้แนวคิด “นวดไทย มรดกไทย สู่มรดกโลก” และการประชุมการแพทย์พื้นบ้านแม่น้ำโขง ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ก.ย.2555 ว่า ที่ผ่านมา ภาพรวมของตลาดสินค้าสมุนไพร ยาแผนดั้งเดิม อาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพร ในประเทศไทยในปี 2554 มีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2558 ซึ่งประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมูลค่าอุตสาหกรรมแปรรูปสมุนไพรสูงถึง 30,000 ล้านบาท รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญในการส่งเสริม คุ้มครอง อนุรักษ์ภูิมิปัญญาไทย และส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับ

       นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในปี 2556 ได้วางแผนพัฒนาด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร 4 เรื่อง ได้แก่
1.เร่งผลิตแพทย์แผนไทยส่งไปประจำในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้ได้ 400 แห่ง
2.พัฒนาโรงพยาบาลตรวจรักษาดูแลด้วยการแพทย์แผนไทยต้นแบบ โดยจะเปิดให้บริการ 14 แห่ง ซึ่งจะมีบริการนวดเพื่อการรักษาและนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งสามารถช่วยลดการใช้ยาแก้ปวด และยาคลายเครียดได้มาก
3.จัดทำราคากลางอ้างอิงยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อให้สถานบริการจัดซื้อในราคาที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ราคากลางมีเฉพาะยาแผนปัจจุบัน และ
4.เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ได้ 100 รายการ ซึ่งปัจจุบันมีแล้ว 71 รายการ ซึ่งจะทำให้มียาสมุนไพรที่มีคุณภาพและความปลอดภัย รักษาอาการเจ็บป่วยมากขึ้น
       
       “การนวดไทยถือเป็นการบำบัดอาการปวดเมื่อยที่ได้ผลดีมากและให้ผลทางจิตใจ โดยจะมีการรวบรวมและพัฒนาองค์ความรู้การนวดอย่างเป็นระบบ ให้เป็นที่ยอมรับและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ และนำเข้าสู่ระบบการรักษาอาการปวดเมื่อย เนื่องจากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนนานาชาติจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก ได้มีการรวบรวมความรู้ต่างๆ ของไทยหลายหมวด จารึกลงบนแผ่นหินอ่อนจำนวน 1,360 แผ่น และหนึ่งในนั้นเป็นหมวดที่ว่าด้วยเรื่อง อนามัย ตำรายา ตำราแพทย์แผนไทย และมีการปั้นรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่างๆ จำนวน 80 ท่า เพื่อใช้อธิบายประกอบตำรับตำรา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดประชุมการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขงครั้งที่ 5 เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว เมียนมาร์ ไทย และ เวียดนาม ซึ่งได้มีการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง ร่วมกันพัฒนาและอนุรักษ์การแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขงต่อไป
       
       ทั้งนี้ นายวิทยา ยังได้มอบรางวัลหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ.2555 แก่ พ่อหมอสง่า พันธุ์สายศรี หมอพื้นบ้านเหยียบเหล็กแดง แห่งตำบลพะยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวิธีการช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยด้วย
       
       สำหรับกิจกรรมภายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 9 อาทิ การแสดงวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ การประชุมวิชาการประจำปี มีการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “แผนยุทธศาสตร์การนวดไทย มรดกไทยสู่มรดกโลก พ.ศ.2555-2559” การประกวดผลงานวิชาการ การฝึกอบรมระยะสั้น 50 หลักสูตร พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การนวดตนเองด้วยอุปกรณ์โบราณ การตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน สวนสมุนไพรกว่า 100 ชนิด ซึ่งจะมีการแจกต้นไม้วันละกว่า 3,000 ต้น และหนังสือบันทึกของแผ่นดิน 5 สมุนไพร เป็นต้น

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กันยายน 2555

5617
 1. ศาลเยาวชนฯ พิพากษาจำคุก “แพรวา” 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี พร้อมห้ามขับรถจนกว่าจะอายุ 25 ปี!

       เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.แพรวา อายุ 18 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
       
       คดีนี้ อัยการฯ ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2553 เวลากลางคืน จำเลยได้ขับรถฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ มุ่งหน้าถนนดินแดงด้วยความเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำการประมาท โดยปราศจากความระมัดระวัง เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขนช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเลยได้เปลี่ยนช่องทางไปมา จากขวาสุดไปซ้าย และเปลี่ยนกลับมาขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถของจำเลยพุ่งเข้าชนรถตู้โดยสาร ทะเบียน 13-7795 กรุงเทพมหานคร ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับ ทำให้รถตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์ พลิกคว่ำพังเสียหาย ขณะที่คนขับรถตู้และผู้โดยสารกระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 รายและบาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง ส่วนรถของจำเลยแฉลบเลยจากรถตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถด้วย โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์ของจำเลย อย่างไรก็ตามในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา
       
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานเป็นผู้เสียหายที่โดยสารมากับรถตู้ รวมทั้งมีพยานเป็นพนักงานขับรถยกของท่าอากาศยานดอนเมืองที่ขับรถตามมาก่อนเกิดเหตุ ภาพวงจรปิดบนทางด่วน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี ในความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย แต่คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี นอกจากนี้ให้คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน ให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะอายุ 25 ปี ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถนั้น ศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่ เพราะอยู่ในรถ
       
       หลังฟังคำพิพากษา นางยุวดี เยี่ยงยุกดิ์สากล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า จะยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลไม่รอลงอาญาจำเลยหรือไม่ รวมทั้งอุทธรณ์ข้อหาจำเลยใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ ต้องขอคัดคำพิพากษาไปปรึกษาอธิบดีอัยการฝ่ายคดีเยาวชนฯ ก่อน อย่างไรก็ตาม นางยุวดี บอกว่า ตามข้อกฎหมายแล้ว ห้ามอุทธรณ์ข้อหาใช้โทรศัพท์ เพราะมีโทษแค่ปรับเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการรับรอง และว่า หากโจทก์ร่วมต้องการยื่นอุทธรณ์คดี ก็สามารถทำได้ทันทีภายใน 1 เดือน นางยุวดี ยังพูดถึงคำพิพากษาของศาลด้วยว่า “คดีนี้ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคดีเยาวชนที่มุ่งเน้นแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเยาวชน”
       
       ด้านนางถวิล เช้าเที่ยง มารดาของนายศาสตรา หรือ ดร.เป็ด นักวิจัย อดีตนักเรียนทุน ก.พ. ซึ่งเสียชีวิตจากกรณีแพรวาซิ่งซีวิคชนรถตู้ บอกว่า พอใจคำพิพากษา ส่วนจะอุทธรณ์หรือจะดำเนินคดีทางแพ่งอย่างไร ต้องปรึกษาทนายความอีกครั้ง และว่า หลังจากนี้ จะไปบอกลูกชายว่าศาลพิพากษาลงโทษและได้ภาคทัณฑ์จำเลยแล้ว
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.แพรวา จำเลย ได้เดินทางมาศาลพร้อมพ่อ-แม่และทนายความ โดยหลังรู้ผลคำพิพากษาว่าจำคุก แต่รอลงอาญา น.ส.แพรวาและครอบครัวได้เดินออกจากห้องพิจารณาด้วยสีหน้าที่แสดงอาการโล่งใจ
       
       2. “สุกำพล” ยัวะถูกร้องเรียนล้วงลูกย้ายทหาร สั่งเด้งฟ้าผ่าปลัด กห. ด้าน “ปชป.”ซัด ลุแก่อำนาจ ขณะที่ “ประยุทธ์”ปัดวิจารณ์!

       จากกรณีที่ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ส.ค. โดยขออนุญาตเข้าพบเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหมประจำปี 2555 เนื่องจากเห็นว่าการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมได้กำหนดไว้
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่แทน พล.อ.เสถียร ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.นี้ แต่ พล.อ.เสถียร ไม่เห็นด้วย เพราะยังมีนายพลคนอื่นที่อาวุโสสูงกว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ ประกอบกับมีรายงานว่า พล.อ.เสถียร เห็นว่า พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม มีความเหมาะสมกับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมมากกว่า พล.อ.เสถียร จึงทำหนังสือขอเข้าพบนายกฯ เพื่อร้องเรียนเรื่องดังกล่าว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ให้เข้าพบ โดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ บอก(26 ส.ค.)ว่า หนังสือของ พล.อ.เสถียรที่ทำถึงนายกฯ อยู่ที่ตน โดยจะแจ้งกลับไปว่า นายกฯ ไม่สามารถให้เข้าพบได้ เพราะอาจถูกมองว่านายกฯ เข้าไปแทรกแซงการทำงานของกองทัพ ดังนั้น พล.อ.เสถียร และ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องไปหารือกันเอง
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอก(26 ส.ค.)ว่า จะคุยกับ พล.อ.เสถียรถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะคุยวันไหนยังตอบไม่ได้ต้องดูอีกที พร้อมยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(27 ส.ค.) พล.อ.อ.สุกำพลได้มีคำสั่งเด้งฟ้าผ่าให้ พล.อ.เสถียรไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้ไปรายงานตัวตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.-30 ก.ย. พร้อมกันนี้ยังมีคำสั่งให้ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเช่นกัน โดยให้ไปรายงานตัวตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้แต่งตั้งให้ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหมคนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.เสถียร ส่วน พล.ร.อ.รุ่งรัตน์ บุณยรัตพันธุ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.ชาตรี และ พล.ท.ชาญ โกมลหิรัญ รองเจ้ากรมเสมียนตรา ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.พิณพาษณ์
       
       ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล เผยเหตุที่มีคำสั่งย้าย พล.อ.เสถียรไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมว่า เพื่อให้การทำงานภายในกระทรวงคล่องตัวขึ้น เพราะที่ผ่านมาการทำงานไม่ไหลลื่น “ผมยืนยันว่า การย้าย พล.อ.เสถียร ไม่ใช่การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทหาร แต่การทำหน้าที่ของ พล.อ.เสถียร ถือว่าทำไม่ถูกต้อง ที่นำเรื่องภายในกระทรวงกลาโหมออกไปพูด ทำให้เกิดผลกระทบต่อกระทรวง”
       
       ด้าน พล.อ.เสถียร บอกว่า ตนยังไม่เห็นคำสั่ง พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ตนทำ ทำไปตามความถูกต้อง ทำตามตัวบทกฎหมาย เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ยอมรับสภาพ แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา ไม่เป็นไร พล.อ.เสถียร ยังบอกด้วยว่า เมื่อตนโดนแบบนี้ อีกหน่อยผู้บัญชาการเหล่าทัพก็โดนเหมือนกัน ดูตนเป็นตัวอย่าง ส่วนจะมีการฟ้องร้องหรือไม่ พล.อ.เสถียรปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
       
       ขณะที่ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม บอกว่า ยังไม่ทราบเหตุผลที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ แต่ยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2555 เพราะเป็นแค่ 1 ในแคนดิเดตที่ถูกเสนอให้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่านั้น “การย้ายผมไปช่วยราชการ หากไม่เป็นธรรม ก็ต้องขอหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายก่อน ...ยังไม่เห็นเอกสาร จึงไม่อยากเอป็นผู้ร้าย ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายไปฝ่ายเดียวดีกว่า...”
       
       ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพล โดยนายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้โจมตี พล.อ.อ.สุกำพลและรัฐบาลว่า ลุแก่อำนาจแทรกแซงโผทหาร เมื่อถูกจับได้ว่าทำผิดขั้นตอน กลับไม่ปรับปรุง แต่ใช้อำนาจสั่งย้ายเข้ากรุ และว่า การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพลเป็นการทำลายองค์กรทหาร และทำลายอนาคตของนายทหารดีดีคนหนึ่ง ทั้งที่ พล.อ.เสถียรควรจะเกษียณอย่างสง่างามในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมที่เหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ได้ออกมายืนยันว่า เป็นสิทธิและอำนาจของตนที่จะสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ ส่วนที่ พล.อ.ชาตรี เตรียมฟ้องร้องขอความเป็นธรรมนั้น พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า จะให้ความเป็นธรรม ถ้า พล.อ.ชาตรีเดินมาหามาคุย ตนก็คุยด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.อ.สุกำพล เปิดทางพร้อมคุยกับผู้ที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ ปรากฏว่า พล.อ.พิณพาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ได้ทำหนังสือขอเข้าพบเพื่อขอขมา พล.อ.อ.สุกำพล เมื่อวันที่ 29 ส.ค. หลัง พล.อ.อ.สุกำพลอนุญาตให้เข้าพบที่ห้องทำงานภายในกระทรวงกลาโหม พล.อ.พิณพาษณ์ได้นำดอกไม้ ธูปเทียน มาไหว้ขอขมา โดยยอมรับผิดทุกประการ พร้อมยืนยันว่า คำสั่งของ พล.อ.อ.สุกำพลที่ให้ไปช่วยราชการนั้นถูกต้องแล้ว ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า เมื่อขอโทษแล้วก็ต้องให้อภัยกัน เพราะเป็นพี่น้องกัน เมื่อผิดก็ต้องยอมรับผิด และว่า ต่อไปนี้ไม่มีอะไรติดใจต่อกัน ส่วนคำสั่งที่ออกไปนั้น ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
       
       ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแฉพฤติกรรมของรัฐบาลที่พยายามทุกวิถีทางที่จะล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารและผลักดันคนของตัวเองให้ได้ตำแหน่ง โดยเฉพาะการผลักดัน พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ โดยมีเจ๊ “ด.” อยู่เบื้องหลัง “มีข้อมูลว่า พล.อ.ทนงศักดิ์มีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกับเด็กคนหนึ่งของเจ๊ “ด.” ผู้กว้างขวางทางภาคเหนือ ขาใหญ่ดูแลนักการเมืองหลายระดับใช่หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพลไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ถ้ายังทำงานรับคำสั่งจากผู้มีบารมีนอกพรรค คิดว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการจะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก”
       
       หลังนายองอาจพาดพิงถึงเจ๊ “ด.” ปรากฏว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหรือปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวที่มีการร้องเรียนเรื่องทุจริต และว่า ตั้งแต่พ้นโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ตนก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายการเมืองอีก “ดิฉันไม่อยากให้เล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป เพราะทำให้เกิดความเสียหาย...”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์กรณี พล.อ.อ.สุกำพลสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ โดยบอกว่า การย้าย การลงโทษและการให้ความดีความชอบ เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ไม่ขอวิจารณ์ แต่ยืนยันว่า พล.อ.เสถียรยังคงเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมอยู่ เพียงแต่ไปช่วราชการเท่านั้น ซึ่งคงต้องคุยกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด “ผมทราบข่าวก็ไม่สบายใจ แต่ก็เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา เพราะทหาร คำว่าผู้บังคับบัญชาสำคัญที่สุด...”
       
       3. “ทักษิณ-สุริยะ” รอด ป.ป.ช. ไม่ฟ้องคดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ อ้าง หลักฐานไม่พอ ขณะที่ 6 จนท.รัฐส่อไม่รอด ถูกตั้งอนุ กก.ไต่สวน!

       เมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องตรวจจับระเบิด(ซีทีเอ็กซ์ 9000) และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แถลงความคืบหน้าของคดีกรณีคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ตั้งข้อหาผู้เกี่ยวข้อง 2 ข้อหา คือ 1.บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่(บทม.) ว่าจ้างบริษัทกิจการค้าร่วมค้าไอทีโอ จัดหาระบบสายพานลำเลียงฯ โดยไม่ชอบด้วยยกฎหมายหรือไม่ 2.บทม.ออกหน้าเป็นตัวแทนบริษัทนายหน้าจัดซื้อเครื่องตรวจสอบซีทีเอ็กซ์เสียเองหรือไม่
       
       ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า สำนวนของ คตส.จำนวน 560 แผ่น และเอกสารอื่นๆ ยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณา ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรม ป.ป.ช.จึงได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา(เอฟบีไอ) ได้ส่งเอกสารเพิ่มมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจำนวน 5,000 แผ่น แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า หลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดโดยปราศจากข้อสงสัย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ,นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฯลฯ
       
       อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า เอกสารบางส่วนแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง 6 คนในคดีนี้น่าจะมีมูลความผิด แต่ คตส.ไม่ได้ไต่สวนไว้ ประกอบด้วย นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธาน บทม. ,พล.อ.สมชัย สมประสงค์ รองประธาน บทม. ,นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ,นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ ,นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ และ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขะพงศ์ กรรมการ บทม. ซึ่งทั้งหมดเป็นกรรมการ บทม. และได้เดินทางไปดูงานที่นครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีหลักฐานเป็นใบเสร็จแสดงค่าใช้จ่ายว่าบริษัทตัวแทนขายเครื่องซีทีเอ็กซ์จ่ายค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าเล่นกอล์ฟให้ นอกจากนี้ยังพบว่า กรรมการบางคนได้พาภรรยาและครอบครัวไปด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ และมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 6 คนดังกล่าวว่าเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ นอกจากนี้หากพบว่ามีหลักฐานใหม่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาคดีทุจริตจัดซื้อและติดตั้งเครื่องซีทีเอ็กซ์ ก็สามารถหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
       
       ทั้งนี้ นายวิชัย ยืนยันว่า การพิจารณาคดีนี้ของ ป.ป.ช.ไม่ใช่มวยล้ม เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การจะไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีเหตุผล พร้อมย้ำว่า ข้อมูลที่ได้มาก็ไม่ได้ถูกตัดตอน จนไม่สามารถเอาผิดผู้ถูกกล่าวหาได้ และที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยื้อคดีแต่อย่างใด เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการพิจารณาคดีซีทีเอ็กซ์ครั้งนี้ ไม่มีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นอดีต คตส. ร่วมพิจารณาด้วยแต่อย่างใด
       
       4. “ปลอดประสพ” เตรียมซ้อมปล่อยน้ำเข้ากรุงทดสอบระบบระบายน้ำ 5 และ 7 ก.ย.นี้ ด้าน “สุขุมพันธุ์” ลั่น หากเกิดอุบัติเหตุ รบ.ต้องรับผิดชอบ!

       เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.) เผยว่า ในวันที่ 5 และ 7 ก.ย.นี้ จะมีการทดสอบการระบายน้ำและขีดความสามารถของการระบายน้ำในคูคลองในกรุงเทพฯ เพื่อทดสอบความพร้อมในการรับมือน้ำเหนือที่จะลงมากรุงเทพฯ ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการทดลองโมเดลระบบระบายน้ำใหม่ครั้งแรกในพื้นที่จริง โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กบอ.กับกรมชลประทาน กองทัพเรือ และกรุงเทพมหานคร(กทม.)
       
        ทั้งนี้ นายปลอดประสพ บอกประชาชนว่าอย่าตกใจกับการทดสอบครั้งนี้ เพราะน้ำที่จะระบายลงมากรุงเทพฯ มีปริมาณไม่มาก “การทดสอบปล่อยน้ำครั้งนี้ จะปล่อยไม่เกิน 20 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาที โดยวันที่ 5 ก.ย. จะทดสอบในฝั่งตะวันตก บริเวณคลองทวีวัฒนาและคลองอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และวันที่ 7 ก.ย. จะทดสอบฝั่งตะวันออก บริเวณคลองระพีพัฒน์และคลองลาดพร้าว... ยืนนยันว่าการทดสอบจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำที่ใช้ในการเกษตรด้วย และหากเกิดสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะหยุดการทดสอบทันที”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายไม่มั่นใจว่าการทดสอบระบบการระบายน้ำดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนตามที่นายปลอดประสพยืนยัน ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาช่วยนายปลอดประสพการันตีว่า พี่น้องประชาชนที่อยู่ริมคลองสบายใจได้ ไม่ต้องห่วง เพราะการทดสอบการระบายน้ำครั้งนี้ทำด้วยความระมัดระวัง หากมีผลกระทบ พร้อมที่จะหยุดทันทีอยู่แล้ว
       
        ทั้งนี้ ในส่วนของ กทม.ค่อนข้างเป็นห่วงกลัวว่าการทดสอบระบบระบายน้ำครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชน โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการทดสอบระบบระบายน้ำของ กบอ.ในวันที่ 5 และ 7 ก.ย.นี้ เพราะเดือน ก.ย.เป็นเดือนที่ฝนตกหนักมากที่สุดในรอบปี ซึ่งจากข้อมูลการพยากรณ์อากาศในช่วงนี้ จะมีฝนตกถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการก่อตัวของพายุในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเคลื่อนเข้าไทยในที่สุด
       
        ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกด้วยว่า แม้ไม่เห็นด้วยกับการทดสอบระบบระบายน้ำ แต่เมื่อเป็นเจตนาของรัฐบาล กทม.ก็พร้อมร่วมมือ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะเดิมพันครั้งนี้คือคนและบ้านเรือนของประชาชน “กบอ.พูดว่า ถ้ามีปัญหาจะยกเลิกการทดสอบทันที แต่เรากำลังพูดถึงน้ำธรรมชาติไม่ใช่น้ำก๊อก ในฝั่งตะวันตกผมไม่ห่วงมาก จะมีบ้างก็ในส่วนของคลองมหาสวัสดิ์ที่ขณะนี้การก่อสร้างเขื่อมริมแม่น้ำของ กทม.ยังไม่แล้วเสร็จดี ซึ่งตรงนี้ได้เตรียมมาตรการเร่งด่วนไว้โดยเสริมกระสอบทราย แต่ที่ผมมีความเป็นห่วง คือคลองลาดพร้าวที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รับดำเนินการขุดลอก ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ขุดลอกเลย ก็ขอให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปได้ด้วยความระมัดระวัง หากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่ต้องฟังใคร ขอให้ฟังผมคนเดียว”

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กันยายน 2555

5618

 "นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์" อธิบดีกรมสุขภาพจิต ขึ้นตำแหน่งปลัดสธ. "หมอพรเทพ"อกหักแพ้เส้นใหญ่กว่า  ขรก.สธ.ขานรับเชื่อทำหน้าที่บริหารได้ดี
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ (28 ส.ค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการนำรายชื่อ โยกย้ายข้าราชการระดับซี 11 ประจำสธ.เข้าสู่ครม. โดยมี ชื่อของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ในตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข แทนที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการลง อย่างไรก็ตาม โผก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าแคนดิเดตอย่าง นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) มีแนวโน้มมาแรงที่สุดนั้น มีนายวิทยา ให้การสนับสนุนอยู่ ขณะเดียวกัน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ก็เป็นรายชื่อที่มีคนระดับบิ๊กในพรรคเพื่อไทย เจาะจงเลือกมา ทำให้นายวิทยา ไม่สามารปฏิเสธได้
       
       ทั้งนี้ หลังจากที่ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ กล่าวว่า งานด้านสาธารณสุขที่จะดำเนินการสานต่อ และขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลแล้ว จะเน้นเรื่องของคุณภาพและการบริการในสถานบริการ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมการส่งเสริมสุขภาพตามกลุ่มอายุ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดีเหมาะสมกับวัย รวมถึงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
       
       ด้านนพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ต้องการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ สร้างความสมดุลระหว่างโรงพยาบาลขนาดใหญ่และเล็ก เรื่องของการแก้ไขปัญหากำลังคน และเดินหน้าโครงการงบประมาณเงินกู้ (ดีพีเอล) อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่า ประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายบริหารมาก่อน จะทำให้ไม่มีปัญหาในการบริหารงาน
       
       พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยินดีมาก เนื่องจากเห็นคนที่มีความสามารถที่สุดแล้ว และมีความเป็นผู้นำสูง เป็นคนที่มีความรอบรู้ในการบริหารกระทรวงต่อไปทุกคน เนื่องจากขณะที่เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในการบริหารจัดการทั้งในระดับจังหวัดและนอกกระทรวงสาธารณสุข
       
       สำหรับประวัติ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ มีดังนี้
       
       ประวัติการศึกษา/อบรม
       
       แพทย์ศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2521
       หลักสูตรนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง รุ่นที่ 11 กสธ. พ.ศ. 2537
       หลักสูตรนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 38 สำนักงาน ก.พ พ.ศ. 2545
       สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2548
       การป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 21 พ.ศ. 2551
       
       ประวิติการทำงาน
       
       1. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร พ.ศ 2536-2542
       2. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี พ.ศ 2542-2544
       3. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ 2544-2545
       4. รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พ.ศ.2545 - พ.ศ 2550
       5. ผู้ตรวจราชการกระทรวง พ.ศ 2550 - พ.ศ 2553
       6. รองปลัดกระทรวง (ด้านบริหาร) พ.ศ 2553 - พ.ศ 2554
       7. อธิบดีกรมสุขภาพจิต ตุลาคม 2554 ถึงปัจจุบัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์   28 สิงหาคม 2555

5619
 “วิทยา” สั่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองติดตามดูแลสุขภาพนักเรียนจังหวัดระยอง 82 ราย ที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน และให้เร่งค้นหาต้นตอปัญหาทั้งโรงเรียน บ้านแหล่งน้ำ และ อากาศ เพื่อแก้ไขป้องกันเป็นการด่วน โดยพบสูงมาก 2 ราย โดย 1 รายมีเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ผลล่าสุดระดับลดลงแล้ว โดยให้ตรวจเลือดนักเรียนที่ตะกั่วในเลือดเกินซ้ำอีกในเดือน ต.ค.นี้
       
       จากกรณีข่าวคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สุ่มตรวจร่างกายนักเรียนใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง 5 โรงเรียน ตามโครงการศึกษาผลกระทบจากการสัมผัสมลพิษต่อสุขภาพประชาชนในจังหวัดระยอง ผลพบนักเรียนมีสารโลหะหนักปนเปื้อนในเลือดหลายราย มากที่สุดที่โรงเรียนวัดปทุมาวาส จำนวน 34 รายนั้น
       
       ในวันนี้ (28 ส.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การตรวจพบโลหะหนักในเลือดนักเรียนที่จังหวัดระยอง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ต้องเร่งดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้พื้นที่จังหวัดระยองมีความปลอดภัย น่าอยู่ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์ เจษฎา โชคดำรงสุข ผู้ตรวจราชการที่ดูแลพื้นที่จังหวัดระยอง ติดตามแก้ไขปัญหานี้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และสั่งการให้สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โดยศูนย์พัฒนาวิชาการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ลงไปตรวจสอบ ให้คำแนะนำเพื่อการป้องกัน ในโรงเรียน ทั้งครู นักเรียน และผู้ปกครองที่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องน้ำดื่ม น้ำใช้ รวมทั้งภาชนะใส่อาหารที่อาจมีสารตะกั่ว และให้ติดตามดูแลสุขภาพของนักเรียนทั้งจังหวัดระยอง รายใดที่มีความผิดปกติรีบรักษาให้เป็นปกติ เนื่องจากฤทธิ์ของตะกั่วจะมีผลในการทำลายระบบประสาท สมอง เม็ดเลือด และกระดูก
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง เรื่องผลการตรวจเลือดนักเรียนทั้งหมด 907 ราย ในโรงเรียน 22 แห่งที่อยู่ใน 4 อำเภอ คือ บ้านค่าย บ้านฉาง ปลวกแดง และนิคมพัฒนา เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า มีเด็ก 82 ราย ในโรงเรียน 15 แห่ง ที่มีค่าตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน คือ 10 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ในจำนวนนี้มีเด็กหญิง 2 รายที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานกว่า 4 เท่าตัว แต่ขณะนี้ระดับลดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ เก็บตัวอย่างน้ำคลอง น้ำใต้ดิน น้ำผิวดิน และตรวจคุณภาพอากาศเพื่อดูการปนเปื้อนของตะกั่ว จะทราบผลในเดือนกันยายนนี้ และให้ตรวจเลือดเด็กนักเรียนที่พบค่าตะกั่วเกินซ้ำอีก ในเดือนตุลาคม 2555 นี้
       
       ด้านนายแพทย์ กฤษณ์ ปาลสุทธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวว่า เด็ก 2 รายที่มีค่าตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานมาก รายแรกสูง 48.33 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ได้ติดตามตรวจอีก 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อ 18 พฤษภาคม 2555 ลดลงเหลือ 17.89 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร โดยพบมีเม็ดเลือดแดงผิดปกติเล็กน้อย ส่วนรายที่ 2 พบค่าตะกั่ว 48.98 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ล่าสุด ลดเหลือ 19.17 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ไม่มีภาวะซีด การทำงานของไตปกติ ระดับไอคิวปกติ และกระดูกปกติ ซึ่งระดับตะกั่วในเลือดดังกล่าวร่างกายจะสามารถกำจัดออกได้เองทางปัสสาวะ
       
       สำหรับนักเรียนที่ตรวจพบตะกั่วเกินค่ามาตรฐานทั้งหมด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่ได้มีการปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อสุขภาพ ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน โดยได้ส่งทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้ที่โรงเรียน และค้นหาสาเหตุของการปนเปื้อนสารตะกั่วครั้งนี้ว่ามาจากแหล่งใด ซึ่งผลการตรวจยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือพื้นที่ต้นเหตุได้ เพราะยังไม่มีข้อมูลชี้ชัด สาเหตุน่าจะเกิดกระจัดกระจาย โดยได้ทำการตรวจสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ภาชนะใส่อาหารในโรงครัว น้ำดื่ม ตรวจเลือดครู ผู้ปกครอง และตรวจสิ่งแวดล้อมที่บ้าน ไม่พบค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ได้ให้คำแนะนำทั้งผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งในจังหวัดระยอง รวมทั้งผู้ปกครองเด็ก ให้หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่มีความเสี่ยงอาจมีสารตะกั่วปนเปื้อนได้ เช่น เครื่องกรองน้ำที่มีรอยบัดกรี เตาปิ้งใส้กรอกที่เป็นเหล็ก หม้อหุงข้าวมือสองที่มีรอยอุดรูรั่ว เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ ผลการตรวจนักเรียนที่มีค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน 82 รายล่าสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 พบยังเหลือนักเรียนที่มีค่าตะกั่วเกินมาตรฐาน 40 ราย ไม่มีนักเรียนที่มีค่าตะกั่วสูงเกินมาตรฐานระดับมาก มีเกินมาตรฐานเล็กน้อย 34 ราย และระดับปานกลาง 6 ราย ทั้งนี้ ได้แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อขับตะกั่วออกจากร่างกาย และได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่บ้านของนักเรียนกลุ่มนี้เพิ่มอีก พบว่า บางรายผู้ปกครองได้ทาสีเขาควายที่บ้าน บางรายยังนำหม้อเก่ามาปะอุดรอยรั่วใช้ต่อ ซึ่งอาจมีตะกั่วปนได้ ได้แนะนำให้เลิกใช้เพื่อความปลอดภัย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 สิงหาคม 2555

5620
ครม.อนุมัติแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ พ.ศ.2556 - 2559
       
       นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ.2556-2559) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไปโดยแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ.2556-2559) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว/ยุทธศาสตร์ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์ และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค/ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา/ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และยุทธศาสตร์การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่
       
       ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนและบริหารจัดการแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานภาครัฐร่วมกับภาคส่วนเพื่อความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพนั้น จะให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติเป็นกลไกระดับชาติในการขับเคลื่อน ใช้กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนในภาครัฐ โดยบูรณาการวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และมาตรการตามแผนยุทธศาสตร์เข้ากับภารกิจตามอำนาจ หน้าที่ และกฎระเบียบของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางระดับจังหวัด และกลุ่มจังหวัดใช้กระบวนการขับเคลื่อนกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 ยุทธศาสตร์โรคติดต่ออุบัติใหม่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและกรอบความร่วมมือในปฏิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นกลไกเสริมการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลโดยคณะกรรมการอำนวยการฯ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมบทบาทและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคมทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อบูรณาการการดำเนินงานตามภารกิจของตนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ใช้การจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) เป็นกลยุทธ์เร่งรัดการเรียนรู้และพัฒนาบทบาทของหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมรับมือโรคติดต่ออุบัติใหม่และภัยพิบัติต่าง ๆและใช้ระบบการติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการ เป็นกลไก กำกับ ติดตาม และประเมินผลการทำงานตามแผนยุทธศาสตร์ในภาครัฐ ส่วนการติดตามและประเมินผลในภาคส่วนอื่นๆ สามารถทำได้โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องหรือแหล่งข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 สิงหาคม 2555

5621
ผ่านมากว่า 20 ปี ไทยยังคงครองแชมป็ “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” กางๆ หุบๆ หลบรถไฟกว่า 8 เที่ยว/วัน ตลาดแห่งนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
       
       สื่อจีนรายงาน (16 ส.ค.) ผ่านไปอย่างไรก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ตลาดแม่กลอง ในอ.แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ยังคงครองตำแหน่ง “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” มาโดยตลอด ด้วยต้องหลบรถไฟวันละถึง 8 เที่ยว
       
       ภายในตลาดแม่กลองเต็มไปด้วยร้านค้ามากกว่า 300 ร้าน เลียบทางรถไฟยาวกว่า 500 เมตร พอรถไฟผ่านมาจะชะลอความเร็ว วิ่งด้วย 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนพ่อค้าแม่ค้ารีบเก็บร้าน และหุบร่มของตน เมื่อขบวนรถผ่านไป จึงจะกางร่ม ซึ่งระยะห่างระหว่างรถไฟกับแผงร้านค้ายังไม่ถึง 2 เมตร ในประเทศไทยจึงเรียกตลาดแห่งนี้ว่า “ตลาดร่มหุบ”
       
       ชมภาพบรรยากาศ “ตลาดร่มหุบ” ในประเทศไทยที่ผ่านหลายปี สื่อจีนยังคงสมญานามว่า “ตลาดหวาดเสียวที่สุดในโลก” นอกจากจะไม่เหมือนตลาดที่ใดในโลกแล้ว ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมด้วย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 สิงหาคม 2555

5622

มติชนสุดสัปดาห์ 24-30 ส.ค. 2555

5623

มติชนสุดสัปดาห์ ฉ.1671 ... 24-30 ส.ค. 2555

5624
 อึ้ง! เด็กไทย 50% กินแต่นมผง ไม่กินนมแม่ ชี้ เสี่ยงป่วยมากกว่า 3-5 เท่า ทั้งท้องเสีย ปอดบวม ลำไส้อักเสบ ภูมิแพ้ เหตุ บ.นมผง ทำการตลาดรุกหนัก มูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ-สสส.หนุนมติ ครม.ห้าม บ.นมผง ทำการตลาดนมทารกทุกรูปแบบ เผยนมแม่อาหารวิเศษพบสารอาหารกว่า 200 ชนิด ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
       
       วันนี้ (26 ส.ค.) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เป็นประธานในการเปิดงานสัปดาห์นมแม่โลก 2555 “ช่วยเด็กไทยให้ได้กินนมแม่” จัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งองค์การพันธมิตรโลกเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีสมาชิกว่า 120 ประเทศทั่วโลก กำหนดให้วันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี ให้เป็น “สัปดาห์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โลก” เพื่อรณรงค์ให้แม่ทั่วโลกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกมากขึ้น ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 20 แล้ว
   
       พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร รองประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนา “สิ่งดี ที่มีเฉพาะในนมแม่… แต่ใคร… ทำให้เด็กไทยไม่ได้กิน?” ว่า ปัจจุบันการโฆษณานมผงในประเทศไทยทำการตลาดรุนแรงมาก โดยอ้างว่ามีการเติมสารอาหารต่างๆ ให้เทียบเท่าสารอาหารจากนมแม่ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในนมแม่มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด อาทิ เซลล์ภูมิคุ้มกัน สารปกป้องต่างๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว สารไลโซซายม์ สาร Lactoferrin สาร secretary Ig A สาร Probiocit สาร Prebiotic และสาร Glycan สารเหล่านี้เป็นตัวอย่างสารในระบบภูมิคุ้มกัน จึงไม่มีทางที่นมผงผสมจะเติมสารอาหารครบสูตรได้ นอกจากนี้ การโฆษณานมผง ที่ระบุว่า เพิ่มสาร DHA AA ก็เป็นการโฆษณาเกินจริง ซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศว่าเชื่อถือไม่ได้
       
       พญ.ศิราภรณ์ กล่าวว่า เด็กที่กินนมแม่ จะไม่ป่วยบ่อย สมองมีโอกาสพัฒนาต่อเนื่อง ที่สำคัญยังป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม 3-5 เท่า เช่น โรคท้องเสีย ปอดบวม โรคลำไส้เล็กอักเสบ โรคภูมิแพ้ ภาวะอ้วน และการเสียชีวิต บางโรคทำให้ป่วยน้อยกว่า 20 เท่า และมีผลต่อการเสริมสร้างพัฒนาการและเชาว์ปัญญาที่ดี ที่สำคัญ ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังน้อยกว่าพ่อ แม่ เช่น โรคเบาหวาน มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอ้วน รวมทั้งพ่อแม่ที่เป็นพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ยังต้องขาดงานสูงกว่ากลุ่มพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประมาณ 3 เท่า ซึ่งจากการสำรวจของกรมอนามัย พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 29% ในปี 2552 เพิ่มจากปี 2548 อยู่ที่ 5.4% ในขณะที่การเลี้ยงลูกด้วยนมผสมอย่างเดียวมีมากกว่า 50% หรือราว 4 แสนคนต่อปี
       
       พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขานุการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่ทำให้เด็กไม่ได้กินนมแม่คือ การทำการตลาดของนมผง โดยที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกได้มีมติรับรองให้มี “หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็ก” ตั้งแต่ปี 2524 เพื่อคุ้มครองให้เด็กได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งประเทศไทยได้นำมาปฏิบัติใช้ในปีเดียวกัน เพื่อควบคุมการตลาดของบริษัทประกอบธุรกิจอาหารทารกและเด็กเล็ก แต่ยังพบการละเมิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การแจกตัวอย่างนมผงและชุดของขวัญให้แม่เด็กทำให้แม่ทดลองใช้นมผงมากขึ้น มีผลต่อการสร้างนมแม่ลดลงการบริจาคนมผงให้โรงพยาบาลเพื่อใช้เลี้ยงทารกแรกเกิด ทำให้เด็กเสียโอกาสได้รับหัวน้ำนม การโฆษณนมผงเทียบเท่านมแม่ทำให้แม่เข้าใจผิดว่าใช้แทนนมแม่ได้ ซึ่งนมแต่ละยี่ห้อก็มีสารอาหารแตกต่างกัน แต่นมแม่มีสารครบถ้วนกว่า
       
       นางพรธิดา พัดทอง ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการศึกษาผลกระทบการทำการตลาดนมผงในโรงพยาบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 1,239 แห่ง ใน 20 รัฐ เมื่อปี 2554 พบว่า โรงพยาบาลในรัฐที่มีกฎหมายห้ามบริษัทนมผงทำการตลาด ห้ามแจกตัวอย่างนมผง มีอัตราการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 81.5% มากกว่าโรงพยาบาลในรัฐที่ไม่มีกฎหมายห้าม ซึ่งมีอัตราการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียง 67% สอดคล้องกับอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ 6 เดือนของโรงพยาบาลที่ห้ามการแจกตัวอย่างนมผง มีถึง 52.7% ขณะที่โรงพยาบาลที่ยอมให้มีการแจกตัวอย่างนมผงมีเพียง 37% ทำให้จำเป็นต้องควบคุมการทำการตลาดอาหารสำหรับเด็กอย่างจริงจัง
       
       ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวา ดีใจที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการจัดสัปดาห์นมแม่โลก และเน้นที่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กไม่ได้รับนมแม่ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สาเหตุหลัก คือ 1.แม่ไม่ได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น เช่น แม่มีนมไม่พอจึงต้องใช้นมผงผสมแทน 2.พฤติกรรมการตลาดของบริษัทนมผงผสมที่ละเมิดต่อกฎเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีที่ ครม.มีมติเห็นชอบ มาตรการกำกับการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก ในสถานบริการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งมติ ครม. ดังกล่าวได้คุ้มครองสถานพยาบาลทั้งรัฐ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร จะช่วยปกป้องไม่ให้บริษัทนมผงทำการตลาดในสถานที่ดังกล่าวได้ ซึ่งบริษัทนมผงลงทุนเพียง 1 กระป๋อง แต่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยาวนาน

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

5625
 สปสช.ชูกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติช่วยคนไทยไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย เผย 10 ปี ประหยัดค่าใช้จ่ายยาและเวชภัณฑ์กว่า 4 พันล้านบาท ฟุ้งนานาชาติยกย่องเป็นต้นแบบ อ้างผลวิจัยนิด้าประชาชนพอใจโครงการ 30 บาทสูงสุด
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการเสนอผลงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในงาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต” ระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรายละเอียดของโครงการ และกองทุนต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการ รู้วัตถุประสงค์โครงการ หลักเกณฑ์ในการใช้สิทธิ และได้ใช้ประโยชน์จากกองทุน 5 กองทุน ประกอบด้วย 1.กองทุนตั้งตัวได้ 2.กองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน 3.กองทุนหมู่บ้าน 4.กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสำหรับผู้หญิงทั่วประเทศ และ 5.กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหนึ่งในผลงานที่จะมีการนำเสนอในงานดังกล่าวด้วย
   
       นพ.วินัย กล่าวอีกว่า กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเริ่มต้นจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขตั้งแต่สร้างสุขภาพ ป้องกันโรค และการรักษาพยาบาล โดยผลดำเนินการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า คนไทยได้รับการคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลส่งผลให้ ประชาชนกว่า 100,000 ครัวเรือน ไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย เพราะมีประชาชนได้รับความครอบคลุมหลักประกันสุขภาพถึงร้อยละ 99 อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2555 และ 2556 ได้รับการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 2,755.60 บาท/คน/ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ถึงรายละ 209.12 บาท ครอบคลุมประชากร 48,333,000 คน คิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศ
       
       “ในปี 2555 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญของการป้องกันการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นการจัดให้บริการสุขภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด และจะให้ประชาชนร่วมจ่ายค่าธรรมเนียมบริการ 30 บาทต่อครั้งเฉพาะกรณีที่รับยา ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ ทั้งรัฐและเอกชนที่ร่วมโครงการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป” เลขาธิการ สปสช.กล่าว
       
       นพ.วินัย กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนล่าสุดของนิด้าโพลล์ โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความสำเร็จของนโยบายเร่งด่วน 1 ปีแรก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบว่า ประชาชนร้อยละ 84.70 เห็นว่า นโยบายพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคประสบความสำเร็จมากที่สุด และเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพให้คนไทยยังได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนสุขภาพตำบลครอบคลุมทุกพื้นที่ ขณะนี้มีกองทุนสุขภาพแล้วจำนวน 7,700 กว่าแห่งทั่วประเทศ โดย สปสช.สนับสนุนเงินปีละกว่า 2,200 ล้านบาท และจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีกประมาณ 800 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันโรคดูแลสุขภาพเชิงรุกตามสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ และกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ ในส่วนการบริหารจัดการกองทุนนั้น พบว่า 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า สปสช.สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้ถึง 4,083 ล้านบาท จากการซื้อยารวมด้วยระบบ VMI ซึ่งแนวทางนี้กำลังจะขยายไปสู่กองทุนประกันสังคมและกองทุนสวัสดิการข้าราชการ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคแบบมีส่วนร่วม
       
       “จากความสำเร็จดังกล่าวนำส่งผลให้ ก.คลัง คัดเลือกสปสช.ให้เป็นอันดับ 1 ด้านผลการดำเนินงานดีเด่นรางวัลทุนหมุนเวียนปี 54 ทำให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นหน่วยงานที่มีนโยบายเด่นของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” นพ.วินัย กล่าว
       
       ทั้งนี้ ภายในงานจะมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารความรู้ต่างๆ เช่น นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น นโยบาย 30 บาทยุคใหม่ เพิ่มคุณภาพ นโยบาย SMARTH HEALTH มีหมอใกล้บ้านใกล้ใจ มียาดีใช้เพียงพอ ไม่ต้องรอรักษานาน มีการจัดการโรคเรื้อรัง รวมถึงการให้บริการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลผ่านระบบออนไลน์แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนบริการเปลี่ยนหน่วยบริการด้วย

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2555

หน้า: 1 ... 373 374 [375] 376 377 ... 536