แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 375 376 [377] 378 379 ... 534
5641


วันนี้ (20 ก.ค.) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)หรือ สซ. จัดแถลงข่าว”ซินโครตรอนกับการศึกษาสารต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพร”  โดยมีนายปลอดประสพ  สุรัสวดี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  เป็นประธานในการแถลงข่าวร่วมกับผู้บริหารและทีมวิจัย   


ศ.น.ท.ดร.สราวุธ  สุจิตจร  ผู้อำนวยการ สซ.  กล่าวว่า  งานวิจัยดังกล่าวเป็นโครงการวิจัยแบบบูรณาการ  จากโครงการวิจัยเพื่อสนองโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี   โดยมีคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น    คือ  ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา วีระปรียากูร  รศ.ดร.สหพัฒน์ บรัศว์รักษ์ และ น.ส.ศศิภาวรรณ  มาชะนา ร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน  คือ  ดร.วราภรณ์  ตัณฑนุช และ ดร.กาญจนา ธรรมนู  ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวจากสารสกัดพืชสมุนไพร  ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากงานวิจัยสำรวจพืชตามพฤกษศาสตร์พื้นบ้านของมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการแสงซินโครตรอน  ตั้งแต่ปี 2554  และได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง


ด้าน ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา  วีระปรียากูร   อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ ม.ขอนแก่น  หัวหน้าทีมวิจัย ฯ กล่าวว่าเนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประเทศ  แม้ปัจจุบันการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา และมีการดื้อยาเกิดขึ้น  จึงได้ศึกษาสารสกัดจากพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดการดื้อยา มาใช้เสริมยาเคมีบำบัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


“จากการศึกษาพืชสมุนไพรหลายชนิด พบว่า สารสกัดจากกิ่งของพืช 2 ชนิด คือ ติ้วขนและสนสามใบ ให้สารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว  โดยมีศักยภาพทำให้เซลล์มะเร็งค่อยๆ สลายตัวจากการทำลายตัวเองจากภายใน หรือเรียกว่าการตั้งโปรแกรมทำลายตัวเอง (Apoptosis)  ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากมีเพียงเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ตายลงไป ไม่มีผลต่อการทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ข้างเคียง ร่างกายจึงไม่เกิดการอักเสบขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงต่อการใช้ยา” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว


  ด้าน ดร.วราภรณ์  นักวิจัยจากสถาบันแสงซินโครตรอน กล่าวว่า  เพื่อให้ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แท้จริงของพืชสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ คณะผู้วิจัยได้ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อินฟราเรด จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เพื่อตรวจวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกที่เกิดขึ้นภายในเซลล์มะเร็ง    ซึ่งผลที่ได้พบว่าสารสกัดสมุนไพร ทั้ง 2 ชนิดนี้ ทำให้เซลล์มะเร็งตายและมีกลไกการออกฤทธิ์ของพืชทั้งสองชนิด แตกต่างจากการรักษาโดยใช้ยาเมลฟาเลนหรือยาเคมีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


ดร.วราภรณ์   กล่าวอีกว่า การใช้แสงซินโครตรอน ถือเป็นเทคนิคใหม่ในการวิจัยที่จะต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุลระดับเซลล์ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้สารเคมีใด ๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ จะนำไปสู่การนำพืชสมุนไพรไปใช้ประโยชน์จริงในอนาคต  และจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการศึกษาและพัฒนาหาสารออกฤทธิ์ต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ในการทำงานวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทย และยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชดั้งเดิม อีกด้วย

เดลินิวส์ 20 กรกฎาคม 2555

5642
  เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างเป็น 1 ใน 3 เทศกาลสำคัญของชาวจีน(อีก 2 เทศกาล ตรุษจีนและไหว้พระจันทร์) ที่ชาวจีนทั้งแผ่นดินใหญ่แล้วชาวจีนในประเทศต่างๆ ต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับเทศกาลนี้
       
       เทศกาลวันไหว้ขนมจ้าง (บ๊ะจ่าง) หรือเทศกาลตวนอู่เจี๋ย หรือเทศกาลตวงโหงว เป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เป็นการระลึกถึงวันที่คุกง้วน หรือ ชีหยวน หรือจูหยวน ขุนนางผู้รักชาติแห่งรัฐฉู่ นอกจากนี้ในประเทศจีน บริเวณแม่น้ำฉางเจียน(แยงซีเกียง), ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมีการละเล่นแข่งเรือมังกร ที่เป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในเทศกาลไหว้ขนมจ้าง
       
       บ๊ะจ่าง หรือ “ขนมจ้าง” คือข้าวห่อด้วยใบไม้ เป็นอาหารจีน ทำด้วยข้าวเหนียวใส่หมูหรือหมูแดงกับถั่วหรือเม็ดบัวและเครื่องปรุงต่างๆ ผัดแล้วห่อด้วยใบไผ่มัดเป็นทรงพีระมิดสามเหลี่ยม บางที่ก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้เชือกมัดแล้วนึ่งให้สุก ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะทำไส้แตกต่างกันไป โดยปกติบ๊ะจ่างจะมีการทำกันมากในเทศกาล วันไหว้ขนมจ้าง แต่ในปัจจุบันก็สามารถหาทานกันได้อย่างแพร่หลาย

       สำหรับที่มาของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง หรือบ๊ะจ่าง ตามตำนานว่า ชีหยวนเป็นขุนนางตงฉินที่มีความซื่อสัตย์ ยึดถือคุณธรรม กล้าพูดกล้าทำ ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาถูกเหล่าขุนนางกังฉินกลั่นแกล้งจนถูกปลดตำแหน่ง และเนรเทศออกจากแคว้นฉู่ รัฐฉินจึงถือโอกาสเข้าโจมตีรัฐฉู่จนล่มสลาย ชีหยวนมีใจรักชาติแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงกระโดดแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง) ตายในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นั่นเอง
       
       ชาวบ้านที่รู้เรื่องการตายของชีหยวน ระลึกถึงความดีของชีหยวน จึงได้ออกเรือเพื่อตามหาศพ ในขณะที่ค้นหาพวกเขาก็เตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำด้วย เพื่อล่อให้สัตว์น้ำมากิน จะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของชีหยวน หลังจากนั้นทุกปีเมื่อครบรอบวันตายของชีหยวน ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำเปาะล่อกัง เมื่อทำมาได้สองปี ก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝังเห็นชีหยวนที่มาในชุดอันสวยงาม และได้กล่าวขอบคุณชาวบ้านที่นำเอาอาหารไปโปรยเพื่อเซ่นไหว้ แต่ชีหยวนบอกว่าอาหารเหล่านั้นได้ถูกสัตว์น้ำกินเสียจนหมด เนื่องจากบริเวณนั้นมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชีหยวนจึงแนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่ หรือใบจากก่อนนำไปโยนลงน้ำ

       ในปีต่อมาชาวบ้านต่างก็ทำตามที่ชีหยวนแนะนำ ชีหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังโดนสัตว์น้ำแย่งไปกินได้ ชาวบ้านต้องการให้ชีหยวนได้กินอาหารที่พวกเขาเซ่นไหว้ไปให้อย่างอิ่มหนำสำราญ จึงได้ถามชีหยวนว่าควรทำเช่นไรดี จึงได้คำแนะนำว่าเวลาที่จะนำอาหารไปโยนลงแม่น้ำให้ตกแต่งเรือเป็นรูปมังกร เมื่อสัตว์น้ำทั้งหลายได้เห็นก็จะนึกว่าเป็นเครื่องเซ่นของพระยามังกร จะได้ไม่กล้าเข้ามากิน จึงทำให้เป็นที่มาของประเพณีการไหว้ขนมจ้าง(ขนมบ๊ะจ่าง)และประเพณีการแข่งเรือมังกร มาจนถึงปัจจุบัน
       
       สำหรับในปีนี้เทศกาลบ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 23 มิ.ย. 55 ซึ่งต่างก็มีการจัดงานเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกันในหลายพื้น โดยหนึ่งในงานใหญ่นั้นจัดขึ้นที่ “เยาวราช” ซึ่งทางเขตสัมพันธวงศ์และโรงแรมเซี่ยงไฮ้ แมนชั่น เยาวราช ได้จัดกิจกรรม “ท่องเที่ยวเยาวราช ชิมของดี เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เขตสัมพันธวงศ์” ขึ้นในวันที่ 22-23 มิ.ย. 55 ณ บริเวณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาฯ ภายในงานมีกลุ่มผู้ค้าบ๊ะจ่างมาออกร้านมากมาย อาทิ ร้านคุณสุพรรณี(เจ๊ตั่ว) ที่เป็นร้านค้า โอทอประดับ 3 ดาว และร้านอื่นๆอีกกว่า 20 ร้าน นอกจากนี้ยังมีการสาธิตทำบ๊ะจ่าง การแสดงทางวัฒนธรรม นิทรรศการเยาวราชและบ๊ะจ่าง และพบกับสุดยอดอาหารย่านเยาวราช และสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2227-9757

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 มิถุนายน 2555

5643
 ของหวานสีดำๆ เด้งดึงที่เคี้ยวหนึบหนับ และมีรสหวานจากน้ำเชื่อม รวมถึงความเย็นฉ่ำจากน้ำแข็งที่ใส่ผสมลงไป ทำให้ “เฉาก๊วย” นั้น กลายเป็นหนึ่งในของหวานยอดฮิตในช่วงหน้าร้อนมากๆ แบบนี้ แต่นอกจากความหวานเย็นที่กินแล้วสดชื่นขึ้นมาในทันใด เฉาก๊วยก็ยังมีสรรพคุณอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย
       
       เฉาก๊วยแท้ๆ จะทำมาจากต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ (พืชจำพวกสะระแหน่) พบได้มากในประเทศจีน จึงทำให้ขนมเฉาก๊วยมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน (แต้จิ๋ว) แต่ก็ยังมีการเรียกที่แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่นอีกด้วย อาทิ ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า เหลียงเฝิ่น หรือ เซียนเฉ่า ที่แปลว่า หญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์ จะเรียกว่า จินเจา เป็นต้น ส่วนภาษาไทยเราก็เรียกว่า เฉาก๊วย ตามอย่างภาษาจีนแต้จิ๋ว
       
       ความหนึบหนับของเฉาก๊วยนั้น มาจากกรรมวิธีการผลิตที่เริ่มจากนำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้มกับน้ำ จนยางไม้ และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ (ปัจจุบันบางร้านอาจมีการใส่สีลงไปผสมเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม) จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำไปผสมกับแป้ง ซึ่งตามตำรับโบราณนิยมใช้แป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง ตามสัดส่วน หรือตามสูตรของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ได้ความเหนียวหนึบนุ่มนิ่มที่แตกต่างกัน นิยมกินคู่กับน้ำตาลทรายแดง น้ำเชื่อม หรือจะใส่ส่วนผสมอื่นๆ ลงไปตามแต่ความชอบ
       
       สรรพคุณของเฉาก๊วยที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ก็คือ ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ นอกจากนี้แล้ว ยังช่วยขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อน ร้อนใน ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือหากว่านำเฉาก๊วยมาต้มให้เดือดแล้วนำน้ำเฉาก๊วยมาดื่มเป็นประจำจะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แต่ข้อควรระวังก็คือ น้ำตาลที่ใส่ผสมลงไปเพื่อให้มีรสชาติเพิ่มขึ้นนั้นต้องไม่มากเกินไปด้วย เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะได้ผลเสียจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 พฤษภาคม 2555

5644
“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” เห็นขึ้นต้นด้วยเสียงเพลงแบบนี้ “108 เคล็ดกิน” ไม่ได้จะพาไปร้องเพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด แต่อยากจะให้สังเกตดูว่าในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”
       
       ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “108 เคล็ดกิน” ก็เลยไปถามท่านผู้รู้ว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ ใช้ทำเมนูอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า “เห็ดตับเต่า” ก็คือเห็ดชนิดหนึ่งที่จะมีให้กินในเฉพาะช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
       
       เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ
       
       ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก
       
       ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5645
 สธ.ตั้ง 33 จุด รับยาเก่าแลกไข่ใหม่ในพื้นที่ กทม. เริ่ม 23-27 ก.ค.นี้ ยันแต่ละครอบครัวได้ไข่ไม่ต่ำกว่า 5 ฟอง
       
       วันนี้ (20 ก.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 23-27 กรกฎาคม 2555 นี้ สธ.จะเริ่มโครงการไข่ใหม่แลกยาเก่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังจากที่ดำเนินการในต่างจังหวัดได้ผลดี มีผู้นำยามาคืนกว่า 37 ล้านเม็ด ได้ให้โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่อยู่ในพื้นที่ กทม.10 แห่ง เปิดจุดรับคืนเฉพาะยาแผนปัจจุบันที่เป็นยาเม็ด หรือยาแคปซูลที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกกับไข่ ไม่รวมยาน้ำ ครีม และยาแผนโบราณ ที่โรงพยาบาล และขยายลงพื้นที่ชุมชนต่างๆ ใน 50 เขตของ กทม.เพื่อให้ประชาชนสามารถนำยามาคืนได้สะดวกและใกล้บ้านที่สุด อาทิ สถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า และชุมชน โดยในการรับแลกยาเก่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทีมเภสัชกร พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ให้คำแนะนำ และแจกเอกสารแผ่นพับให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องการใช้ยาด้วย เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ยาให้ถูกต้องต่อไป
       
       ด้านนายแพทย์ นิทัศน์ รายยวา รองปลัด สธ.กล่าวว่า จุดบริการที่เปิดรับแลกยาเก่าครั้งนี้ มีทั้งหมด 33 จุด ดังนี้
1.โรงพยาบาลราชวิถี
2.สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
3.กรมสารวัตรทหาร
4.โรงพยาบาลเลิดสิน
5.วัดยาง สุขุมวิท
6.โรงงานวาโก้ ถนนพระราม 3
7.โรงพยาบาลสงฆ์
8.วัดเทพลีลา รามคำแหง
9.วัดพรมวงศาราม (ดินแดง)
10.สถาบันประสาทวิทยา
11.ชุมชนบ้านครัว เขตราชเทวี
12.ชุมชนย่านถนนสุโขทัย
13.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
14.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 3
15.ห้างเซ็นทรัลพระราม 9
16.สถาบันโรคผิวหนัง
17.ชุมชนทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
18.ชุมชนศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา
19.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
20.ชุมชนวัดมะกอก เขตพญาไท
21.ชุมชนประชาระบือธรรม เขตดุสิต
22.สถาบันราชานุกูล
23.ศูนย์ 3 วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว เขตดินแดง
24.บริเวณตลาดดินแดง
25.สถาบันสุขภาพจิตสมเด็จเจ้าพระยา
26.ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
27.ห้างเซ็นทรัลพระราม 2
28.โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
29.ชุมชนภราดรพัฒนา เขตมีนบุรี ในวันที่ 23 ก.ค.
30.ชุมชนสุวรรณประสิทธิ เขตบึงกุ่ม ในวันที่ 24 ก.ค.
31.ชุมชนดารุลอินด๊ะ เขตคลองสามวา ในวันที่ 25-26 ก.ค.
32.ชุมชนสุเหร่าแดง เขตคันนายาว และ
33.แขวงทรายกองดินใต้ เขตคลองสามวาในวันที่ 27 ก.ค.2555
       
       ทั้งนี้ ประชาชนสามารถนำยาเก่ามาคืนได้ตลอดสัปดาห์รณรงค์ 23-27 กรกฎาคม 2555 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.โดยจะได้รับไข่ครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 5 ฟอง พร้อมเอกสารความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกวิธีด้วย โดย นายวิทยา จะเปิดโครงการรณรงค์อย่างเป็นทางการที่โรงพยาบาลราชวิถี ในวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2555 เวลา 14.00 น.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5646
 แพทย์จุฬาฯ ย้ำเชื้อมือเท้าปาก มีหลายสายพันธุ์ มีความรุนแรงต่างกัน เตือนเฝ้าระวังคนเป็นโรคสมองอักเสบ อาจติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสได้ ด้าน ผอ.โรคอุบัติใหม่ เผย ทุกกลุ่มอายุเสี่ยงเป็นมือเท้าปากหมด แต่ผู้ใหญ่มีภูมิต้านทานโรคมากกว่า ขอประชาชนอย่างตื่นตระหนก และเชื้อมาตรการของ สธ.
       
       จากการประชุมปรึกษาหารือ เรื่องโรคมือเท้าปาก ชนิดที่มีอาการรุนแรง โดยมี ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะที่ปรึกษากรมควบคุมโรค (คร.) เป็นประธาน พร้อมด้วย นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยา ไวรัสวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ รวมทั้งกุมารแพทย์จากทุกภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม ได้มีการพูดถึงวิวัฒนาการเชื้อไวรัสมือเท้าปาก รวมทั้งมาตรการป้องกันเชื้อในอนาคต
       
       ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีการเฝ้าระวังมือเท้าปากมาตลอด 10 ปี ซึ่งไวรัสนี้เป็นครอบครัวใหญ่ มี 4 กลุ่ม คือ A B C และ D โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำการเฝ้าระวังอย่างดีเยี่ยม ซึ่งภาวะมือ เท้า ปากนี้ ไม่ได้เกิดจากแค่เอนเทอโรไวรัส 71 เพียงอย่างเดียว แต่เกิดได้หลายสายพันธุ์ เช่น คอกซากี เอ็กซ์โค ทั้งนี้ สำหรับวิวัฒนาการของเชื้อ พบว่า รุนแรงขึ้นในลักษณะแตกต่างกัน โดยอาการที่รุนแรงสุด คือ อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก้านสมองอักเสบ แต่พบไม่มาก โดยปี 2517 ประเทศไทยได้เจอไวรัสเอนเทอโร 70 ที่มีอาการตาแดง แขนขาอ่อนแรง เหมือนโปลีโอ ซึ่งอาการเหล่านี้หากเป็นหมอทางสมองจะดูออกว่า เกิดจากเชื้อชนิดนี้ แต่หลังจากนั้น เชื้อเอนเทอโรไวรัส สายพันธุ์ 70 ได้พัฒนาไปกลายเป็นสายพันธุ์ 71
       
       ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า ความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์จะไม่เหมือนกัน โดยสายพันธุ์ 70 ทำลายไขสันหลัง ขณะที่สายพันธุ์ 71 ทำลายก้านสมองที่ส่งผลต่อระบบการทำงานสติสัมปชัญญะ การเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมไปการอุดน้ำไม่ให้รั่วไปที่ปอด ป้องกันน้ำท่วมปอด ซึ่งหากป้องกันไม่ได้จะทำให้ช็อก กล้ามเนื้อหัวใจไม่ปกติ แต่ที่ผ่านมา สธ.ควบคุมได้ดีเยี่ยม เพราะมือเท้าปาก ไม่ได้เกิดในปีนี้ปีแรก แต่เกิดขึ้นทุกปี โดยมีผู้ป่วยหลักพันถึงหลักหมื่น แต่ไม่มีอาการแทรกซ้อนเหมือนอย่างต่างประเทศ ทั้งที่ มาเลเซีย กัมพูชา และ จีน ซึ่งขณะนี้กำลังระบาดหนัก
       
       นอกจากนี้ อยากให้มีการเฝ้าระวังสมองอักเสบในผู้ใหญ่ ตั้งแต่คนอายุ 14 ปีขึ้นไป เนื่องจากพบว่าในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้เฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มนี้และเก็บส่งตรวจหาเชื้อเอนเทอโรไวรัสจำนวน 930 ราย ในจำนวนนี้เจอผู้ป่วยที่มีผลเป็นบวก 4 ราย ซึ่งมีจำนวนน้อย โดยทั้งหมดอาการไม่รุนแรง แต่ในทางระบาดจำเป็นต้องเฝ้าระวังทั้งหมด เพื่อติดตามวิวัฒนาการของเชื้อ
       
       นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ผู้อำนวยการสำนักติดต่อโรคอุบัติใหม่ คร.กล่าวว่า ประเด็นที่หลายคนวิตกเรื่องการติดเชื้อจากเด็กไปผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วเชื้อนี้โอกาสการติดเชื้อเท่ากันหมดทุกกลุ่มอายุ เพียงแต่ในผู้ใหญ่จะมีภูมิต้านทานโรคมากกว่า ดังนั้น โอกาสการติดเชื้อเป็นไปได้น้อย ส่วนกรณีที่มีรายงานพบผู้ใหญ่ 4 รายป่วยด้วยโรคดังกล่าว เรื่องนี้เป็นรายงานที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่รุนแรง โดยข้อมูลนี้เป็นรายงานเก่า จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนก ขอให้เชื่อมั่นมาตรการของ สธ.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5647
สวทช.เผยเครื่องซีดีสแกน 3 มิติผลงานนักวิจัยไทย 100% ให้ผลดีกว่าฉายเอกซ์เรย์แบบ 2 มิติ แต่มีปริมาณรังสีน้อยกว่า ใช้งานจริงในคลีนิคทันตกรรม ประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องนำเข้าจากเกาหลี ไต้หวัน แต่ราคาถูกกว่ากันเกือบครึ่ง พร้อมต่อยอดผลิตขายสู่เชิงพาณิชย์ และยังประยุกต์ในการวินิจฉัยใบหน้าและขากรรไกรได้
       
       สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมทางช่องปาก หรือเครื่องเดนทัลซีที (Dental CT) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.55 ณ ศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี โดยเป็นเครื่องซีทีเครื่องแรกสำหรับงานทันตกรรมที่นักวิจัยไทยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนาขึ้น
       
       ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. และหัวหน้าโครงการพัฒนาเครื่องมือนี้กล่าวว่า เครื่องเดนทัลซีทีนี้เป็นเครื่องพัฒนามาจากต้นแบบเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับงานทันตกรรมชื่อว่า “เดนตีสแกน” (DentiiScan) ซึ่งเริ่มพัฒนาเมื่อปี 2550 โดยนักวิจัยเอ็มเทคและเนคเทค ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2551 ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นสามารถประมวลภาพได้สำเร็จเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงมีการพัฒนาและทดสอบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ จนกระทั่งสำเร็จเมื่อปี 2554
       
       สำหรับการทำงานของเครื่องเดนทัลซีทีนี้จะใช้เครื่องกำเนิดรังสีเอกซ์ที่มีลำแสงแบบกรวยและฉากรับภาพรังสี ซึ่งอุปกร์ณทั้งสองจะตั้งอยู่ตรงข้ามกัน แล้วหมุนรอยบศรีษะผู้ป่วย 360 องศา จากนั้นจากที่ได้จากการฉายรังสีจะถูกส่งเข้าคอมพิวเตอรืประมวลผลออกมาเป็นภาพ 3 มิติ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและรักษาต่อไป ซึ่งเครื่องมือนี้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยเรื่องรังสีจากกองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และผ่านการทดสอบความลปอดภัยทางระบบไฟฟ้าจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
       
       ทพญ.ดร.สุธาสินี เกษมศานต์ ผู้อำนวยการศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี ผู้ร่วมโครงการและร่วมลงทุนวิจัยในการพัฒนาเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์นี้เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นมูลค่า 2 ล้านบาท กล่าวว่า เครื่องมือนี้ได้ผลิตขึ้นมาทั้งหมด 3 เครื่อง เป็นเครื่องต้นแบบ 1 เครื่องและอีก 2 เครื่องติดตั้งเพื่อทดสอบทางคลีนิก ณ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์ทันตกรรมเอสดีซี เมื่อกลางปี 2554
       
       ในการทดสอบเครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์จากทั้ง 2 แห่ง มีการถ่ายภาพอวัยวะภายในบริเวณช่องปากและใบหน้าของผู้ป่วยอาสาสมัคร เพื่อใช้ใรนการวางแผนผ่าตัดและวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น งานทันตกรรมรากฟันเทียม การผ่าตัดเพื่อทำหูเทียมและการผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็งกรามช้าง รวมทั้งสิ้น 170 ราย
       
       ผู้อำนวยการศูนย์ทันตกรรมเอสดีซีกล่าวว่า เครื่องมือนี้สามารถถ่ายภาพที่ให้รายละเอียดทั้งลักษณะฟันและชั้นเคลือบฟันซึ่งมีความหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แต่นอกจากการใช้งานทางด้านทันตกรรมแล้ว เครื่องมือนี้ยังสามารถใช้วินิจฉัยโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรได้ทั้งหมด ซึ่งอาจประยุกต์ใช้กับการรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุได้ และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานกับเครื่องมือที่นำเข้าจากจีน ไต้หวันหรือเกาหลีแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากันแต่มีราคาเพียง 5.5 ล้านบาท ขณะที่เครื่องนำเข้ามีมูลค่านับสิบล้านบาท


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2555

5648
 หลายคนอาจะยังไม่ทราบว่าดาราศาสตร์ยุคใหม่ได้เข้ามาถึงเมืองไทยตั้งแต่สมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” และยุคนั้นเรายังมี “หอดูดาว” อันทันสมัย อีกทั้งมีความร่วมมือในโครงการดาราศาสตร์ระดับโลกในฐานะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลการเกิดสุริยุปราคาด้วย
       
       อ.ภูธร ภูมะธน นักศึกษาประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวว่าเขาได้ศึกษาข้อมูลในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมานานนับ 40 ปี และทราบว่าพระองค์ทรงสนพระทัยดาราศาสตร์มาก ซึ่งเมื่อได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับ นายอารี สวัสดี จากสมาคมดาราศาสตร์ไทยก็ยิ่งสนใจในเรื่องดาราศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มากขึ้น นอกจากนี้เมื่อได้รับทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสก็พยายามสืบค้นข้อมูลด้านดาราศาสตร์กับสมเด็จพระนารายณ์
       
       ข้อมูลที่ได้จากฝรั่งเศสส่วนหนึ่งคือภาพวาดบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระนารายณ์ แต่ด้วยความไม่เข้าใจในเรื่องดาราศาสตร์มากนัก อ.ภูธรจึงเสนอในที่ประชุมของสมาคมดาราศาสตร์ไทยว่าเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา หากแต่ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์อาวุโสได้แย้งว่าน่าจะเป็นภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2231 และ ดร.ขาว เหมือนวงศ์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้คำนวณและพบว่าปีดังกล่าวเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาขึ้นจริง
       
       “รูปนี้เป็นรูปเก่าแก่ที่สุด แต่เพราะไม่มีข้อมูลเลยคิดว่าเป็นจันทรุปราคา แต่ อ.ขาว เหมือนวงศ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นคำนวณออกมาว่ามีปรากฏการณ์สุริยุปราคาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2231 ซึ่งตรงกัน” อ.ภูธรกล่าว
       
       สมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสทรงอุปถัมภ์นักดาราศาสตร์ให้ไปเก็บข้อมูลการเกิดอุปราคาทั่วโลก และเมื่อปี 2225 เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่ง อ.ภูธรกล่าวว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้มีนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสเดินทางมาเก็บข้อมูลการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาที่เมืองไทยและส่งกลับไปยังฝรั่งเศส นับว่าเมื่อ 330 ปีก่อนไทยก็มีส่วนร่วมในโครงการระดับโลกแล้ว และเมื่อค้นไปเรื่อยๆ ยังได้พบว่าสมเด็จพระนารายณ์ได้รับสั่งให้ฝรั่งเศสส่งนักดาราศาสตร์มาเมืองไทยและสร้างหอดูดาวให้
       
       ปัจจุบันหอดูดาวดังกล่าวคือ “วัดสันเปาโล” ที่ จ.ลพบุรี และเหลือซากปรักหักพังเพียง 1 ใน 4 ของส่วนที่เป็นหอดูดาว ส่วนอาคารล้อมรอบนั้นพังทลายหมดแล้ว และทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ได้ “ปักหมุด” ให้สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่สำคัญทางดาราศาสตร์
       
       อ.ภูธรกล่าวอีกว่า สมเด็จพระนารายณ์ทรงสนพระทัยและติดตามความก้าวหน้าทางด้านดาราศาสตร์อย่างใกล้ชิด เมื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอิ นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีค้นพบวัตถุต่างๆ ในระบบสุริยะ เช่น จุดมืดบนดวงอาทิตย์ สัณฐานของดวงจันทร์ เป็นต้น ก็ทรงติดตามและศึกษาสิ่งเหล่านั้นอย่างสนพระทัย แม้กระทั่งเรือค้าขายประจำรัชกาลยังมีชื่อว่า “เนปจูน”
       
       ความสนพระทัยดาราศาสตร์ในสมเด็จพระนารายณ์นั้น อ.ภูธรอธิบายว่า เพราะในยุคนั้นจักรพรรดิจีนสนใจในดาราศาสตร์และไทยก็ได้รับอิทธิพลจากจีน อีกทั้งในยุคนั้นไทยยังมีกองเรือพาณิชย์นาวีที่ทำการค้าขายไกลถึงอาหรับซึ่งพระองค์มีพระราชดำริว่าการเดินเรือให้ปลอดภัยนั้นต้องอาศัยการดูดาวที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังเป็นการสานสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจและยังเป็นความสนพระทัยส่วนพระองค์ หากแต่หลังเสด็จสวรรคตและนโยบายประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป
       
       จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและเห็นถึงความเกี่ยวโยงทางด้านดาราศาสตร์กับพระมหากษัตริย์ไทย อ.ภูธรจึงได้ร่วมถ่ายทอดความรู้ลงหนังสือชุด “พระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทย” เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) และ วิษณุ เอื้อชูเกียรติ นักวิชาการร่วมจัดทำหนังสือชุดดังกล่าว
       
       หนังสือในชุดพระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทยมีทั้งหมด 3 เล่ม คือ 1.สมเด็จพระนารายณ์มหาราช: พระมหากษัตริย์ผู้สนพระทัยและองค์อุปถัมภ์การศึกษาดาราศาสตร์ตะวันตกในสยามพระองค์แรก 2. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว: จากความสนพระทัยในวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นพระมหากษัตริย์นักดาราศาสตร์ และ 3.รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ: ยุคทองของดาราศาสตร์ไทย โดยวางจำหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และร้านหนังสือชั้นนำ ในราคาชุดละ 750 บาท
       
       ทั้งนี้ อ.ภูธรรับผิดชอบการจัดทำเนื้อหาเกี่ยวข้องกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วน ศ.ดร.ไพรัช และ รศ.บุญรักษารับผิดชอบเนื้อหาเกี่ยวข้องกับรัชกาลปัจจุบัน โดยผู้อำนวยการ สดร.กล่าวว่า ในปัจจุบันถือเป็น “ยุคทอง” ของวงการดาราศาสตร์ไทย ซึ่งมีหอดูดาวแห่งชาติที่มีกล้องขนาด 2.4 เมตร และมีหอดูดาวภูมิภาคที่กำลังดำเนินการอยู่ 5 แห่ง อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ยังสนพระทัยด้านดาราศาสตร์อย่างยิ่ง
       
       รศ.บุญรักษา ยกตัวอย่างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จเยือนคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีการถวายงานให้ทรงกล้องโทรทรรศน์ทอดพระเนตรวัตถุบนท้องฟ้า หรือเมื่อครั้งเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงวันที่ 20 มิ.ย.2498 ซึ่งเกิดคราสเต็มดวงยาวนานที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือยาวนานเกือบ 7 นาทีนั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฬนา กรหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ได้เสด็จทอดพระเนตรปรากฏการณ์ดังกล่าว ณ พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
       
       ด้าน ศ.ดร.ไพรัชกล่าวว่า ในยุคนี้มีความพร้อมทางด้านกายภาพครบถ้วน ก้าวต่อไปคือการวางระบบและการพัฒนาคน และบอกอีกว่าความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ในปัจจุบันนั้นเป็นผลจากพระมหากรุณาธิคุณในพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงสนพระทัยในดาราศาสตร์และยังเสด็จทอดพระเนตรความก้าวหน้าดาราศาสตร์ของประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศมักจัดสิ่งที่ดีสุดทูลเกล้าฯ ถวาย ทำให้ผู้ติดตามมีโอกาสได้เห็นความก้าวหน้าเหล่านั้นด้วย รวมถึงเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศตามมาอีกมาก
       
       พร้อมกันนี้ สดร.ได้มอบหนังสือชุดพระมหากษัตริย์กับดาราศาสตร์ไทยจำนวน 84 ชุด แก่กรุงเทพมหานคร เนื่องในวาระที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกเลือกกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองหนังสือโลก 2556 และมีพิธีมอบหนังสือเมื่อวันที่ 18 ก.ค.55 ณ จตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ตึกจามจุรีสแควร์

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5649
เลขาฯ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ แอบอ้างใช้ชื่อผู้บริหารสาวเปิดบัตรเครดิต ปลอมแปลงเอกสาร พร้อมทั้งศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า-เหลาคางให้แหลม ทำให้มีรูปใบหน้าคล้ายกับผู้บริหารสาวเพื่อใช้ในการหลอกลวงธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน 9 แห่ง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 5.3 ล้านบาท
       
       วันนี้ (19 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.30 น. สมาคมธนาคารไทยได้นำตัวแทนธนาคารธนชาต, กรุงเทพ, กรุงศรีอยุธยา, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์, ยูโอบี, ซิตี้แบงก์, เอชเอสบีซี และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ น.ส.น้อง (ขอสงวนนาม) อายุ 34 ปี เลขานุการส่วนตัวของผู้บริหารสาว ฝ่ายการตลาดของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ในความผิดเกี่ยวกับบัตรเครดิต และปลอมและใช้เอกสารสิทธิของผู้อื่น
       
       สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อประมาณปี 2554 น.ส.น้อง ซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวที่ทำงานให้กับผู้บริหารสาวคนนี้มานานหลายปี และเก็บรักษาเอกสารสำคัญของผู้บริหารรายนี้เอาไว้ได้นำบัตรประชาชน และสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินไปขอเปิดใช้บัตรเครดิต 9 ใบจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน 9 แห่ง ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งก็อนุมัติบัตรเครดิตให้
       
       ต่อมาเมื่อสถาบันการเงินแต่ละแห่งทวงหนี้บัตรเครดิตไปยังผู้บริหารสาวรายนี้ก็ถูกปฏิเสธการชำระหนี้ โดยอ้างว่าไม่เคยขอใช้บัตรเครดิตแต่อย่างใด ทำให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ กระทั่งพบว่าเลขานุการสาวรายนี้เป็นผู้ดำเนินการยื่นเอกสารและปลอมลายมือชื่อผู้บริหารสาวเพื่อขอมีบัตรเครดิตทั้งหมด และกระทำลักษณะเดียวกันนี้กับธนาคารและสถาบันการเงินที่เหลืออีก 8 แห่งด้วย สมาคมธนาคารไทยจึงประสานรวบรวมข้อมูลทั้งหมดก่อนจะพากันมาแจ้งความในครั้งนี้
       
       ตัวแทนธนาคารแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้นำบัตรเครดิตทั้ง 9 ใบไปสลับกันรูดซื้อสินค้าและบริการนับร้อยครั้งมีทั้งซื้อสินค้าทั่วไป กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม จองห้องพักโรงแรม รูดใช้บริการเสริมความงาม และศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า โดยเหลาคางให้แหลม และทำให้มีรูปใบหน้าคล้ายกับผู้บริหารสาวคนนี้ทำให้บางครั้งเวลาเดินทางไปทำธุรกรรมที่ธนาคารก็ทำให้พนักงานธนาคารคิดว่าเป็นตัวผู้บริหารสาวมาเองจึงอำนวยความสะดวกให้ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2554 ถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 5.3 ล้านบาท ส่วนตัวผู้บริหารสาว หลังทราบว่าถูกเลขานุการคนสนิทนำชื่อและเอกสารส่วนตัวไปขอมีบัตรเครดิตจนได้รับความเสียหายก็ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง ให้ดำเนินคดีต่อเลขานุการสาวคนนี้แล้วอีกทางหนึ่ง
       
       หลังรับเรื่อง พ.ต.อ.ประสพโชคได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พงส.(สบ 4) บก.ป. และพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. รับเรื่องสอบปากคำตัวแทนธนาคารทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป


ทีมข่าวอาชญากรรม    19 กรกฎาคม 2555

5650
  เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ดมิตรี อิตส์คอฟ นักธุรกิจหนุ่มหัวใสชาวรัสเซีย วัย 31 ปี สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ด้วยการออกมาประกาศเปิดตัวโครงการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการนำเสนอ “ชีวิตอมตะ” แก่บรรดามหาเศรษฐีทั่วโลก ผ่านทางการปลูกถ่ายสมองของบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักที่สนใจ เข้าไปยังร่างกายของหุ่นยนต์
       
        อิตส์คอฟซึ่งเป็นผู้นำโครงการวิจัยสุดล้ำที่ใช้ชื่อโครงการว่า “อวตาร” ออกมายอมรับว่า เขาได้เริ่มทำการติดต่อมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกบ้างแล้ว เพื่อยื่นข้อเสนอการมีชีวิตเป็นอมตะให้ โดยยืนยัน เขาจะเป็นผู้ดูแลกระบวนการสร้างความเป็นอมตะดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง แลกกับค่าตอบแทนเป็นวงเงินที่ไม่มีการเปิดเผยโดยอิตส์คอฟ ซึ่งทุ่มเงินจ้างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำกว่า 30 คนมาทำงานในโครงการดังกล่าว ยืนยัน มีเป้าหมายที่จะปลูกถ่ายสมองของมนุษย์เข้าไปในร่างกายของหุ่นยนต์ให้ได้ภายใน 10 ปี
       
        “นับจากนี้ คุณจะมีโอกาสได้ยืดชีวิตของตัวคุณเองออกไปสู่ความเป็นอมตะ เรื่องที่ผมพูดมันไม่ได้เป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป มันเป็นอำนาจของพวกคุณที่จะทำให้เป้าหมายนี้กลายเป็นความจริงในช่วงชีวิตของคุณเอง” เนื้อหาส่วนหนึ่งในจดหมายที่อิตส์คอฟ ส่งไปให้กับมหาเศรษฐีหลายราย ระบุ
       
        รายงานข่าวระบุว่า อิตส์คอฟและทีมงานของเขา กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมเปิดสำนักงานที่นครซานฟรานซิสโก ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯในช่วงซัมเมอร์ปีนี้ และยังเตรียมเปิดตัวเครือข่ายโซเชียล มีเดียของโครงการวิจัยสุดล้ำนี้เพื่อเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน นอกจากนั้น พวกเขายังเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับหนทางไปสู่ความเป็นอมตะของมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน
       
        “การวิจัยของพวกเรามีศักยภาพมากพอที่จะปลดปล่อยผู้คนทั้งหลายบนโลกของเรา ให้หลุดพ้นจากการเจ็บป่วย การแก่ชรา และแม้แต่ความตาย” อิตส์คอฟกล่าว
       
        ทั้งนี้ “เป้าหมายสูงสุด” ของโครงการวิจัยดังกล่าวมิได้หยุดอยู่แค่เพียงการนำสมองของลูกค้าไปปลูกถ่ายในร่างกายใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์เท่านั้น แต่อิตส์คอฟยืนยันว่า พวกเขาต้องการสร้างรูปแบบชีวิตแบบ “ฮอโลแกรม” ให้ได้ภายในปี ค.ศ.2045 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะสามารถทำการ “อัปโหลด” จิตใจ สมอง และความทรงจำต่างๆ ของบุคคลไปยังร่างใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการ “ผ่าตัด” อีกต่อไป และร่างกายแบบ “ฮอโลแกรม” ดังกล่าวยังจะสามารถเดินทะลุกำแพง รวมถึงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในระดับเดียวกับแสง ได้ด้วยเช่นกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5651
 เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- รายงานผลสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของพลเมืองสหราชอาณาจักรในต่างแดนของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ระบุในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวชาวเมืองผู้ดีโดยเฉลี่ย 10 รายที่ต้องถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีสภาพอากาศอบอุ่นซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าดินแดนเหล่านี้ต่างมี “จุดดึงดูดสำคัญ” ที่นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะบรรดานักเดินทางวัยหนุ่มสาวต้องการมากที่สุด นั่นคือ แสงแดด หาดทราย เซ็กซ์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูก และยาเสพติด โดยที่ประเทศไทยติดอันดับ 3 ในฐานะดินแดนที่ชาวอังกฤษถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด
       
       รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมาซึ่งนับจากเดือนเมษายนปีที่แล้วจนถึงเมษายนปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรถึง 3,739 ราย ที่ไปประสบอุบัติเหตุหรือก่อความเสียหายในรูปแบบต่างๆ ในต่างประเทศ โดยในจำนวนดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอย่างหนัก ขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวหญิงที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากสถานทูต สถานกงสุลอังกฤษทั่วโลกเพราะถูก “ข่มขืน” ในรอบปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 127 ราย เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปีก่อนถึง 10 เปอร์เซ็นต์
       
       ขณะที่จำนวนพลเมืองสหราชอาณาจักรที่เสียชีวิตในต่างแดนในรอบปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ จาก 5,972 ราย เป็น 6,237 ราย และอีกมากกว่า 6,000 คนต้องถูกคุมขังในเรือนจำต่างประเทศ เนื่องจากกระทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รวมถึงความผิดฐานพกพายาเสพติดเข้าประเทศ ซึ่งสัดส่วนของชาวอังกฤษที่ถูกจับเข้าคุกในต่างแดนนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 เปอร์เซ็นต์
       
       นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังพบข้อมูลว่า ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษประสบปัญหา และต้องขอความช่วยเหลือจากสถานทูต สถานกงสุลมากที่สุด คือ สเปน (5,405 ราย) รองลงมา คือ สหรัฐฯ (1,822 ราย) และฝรั่งเศส (1,319 ราย)
       
       ขณะที่สเปนยังคงครองแชมป์ในฐานะดินแดนที่ชาวอังกฤษถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด (1,105 ราย) ตามมาด้วยกรีซ (494 ราย) และประเทศไทย (217 ราย)
       
       ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมามีชาวเมืองผู้ดีเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างแดนมากกว่า 56 ล้านคน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2555

5652
สธ.คลอดนโยบายพัฒนาคุณภาพมาตรฐานอาหารผู้ป่วยไทยพุทธ และมุสลิม ในโรงพยาบาลในสังกัด 824 แห่งทั่วประเทศ จัด 6 เมนูอาหารผู้ป่วยเฉพาะโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคไต เพิ่มครัวอาหารฮาลาลในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดทั่วประเทศ 19 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นไข้เร็วขึ้น

       วันนี้ (14 ก.ค.)นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดครัวฮาลาลต้นแบบ ที่โรงพยาบาลลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายคุ้มครองความปลอดภัยอาหาร เพื่อให้ประชาชนไทย มีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย โดยให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดตรวจสอบสถานที่แหล่งผลิต จำหน่ายอาหาร หน่วยบริการอาหาร 7 ประเภทที่เน้นเป็นพิเศษ ต้องผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ 1.โรงงานผลิต/แปรรูปอาหาร 2.ตลาดค้าส่ง 3.ตลาดสด 4.ตลาดนัด 5.ร้านอาหาร/แผงลอย 6.โรงพยาบาล และ 7.โรงอาหารของศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน และสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชน และให้เข้มการตรวจสอบความปลอดภัยตามมาตรการทางกฎหมายในอาหาร 6 ประเภท ได้แก่ 1.น้ำมันทอดซ้ำและน้ำมันที่จำหน่ายแต่ไม่มีฉลาก อย.2.สารปนเปื้อน 6 ชนิด ได้แก่ บอแรกซ์ สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน สารกันรา สารกำจัดศัตรูพืชค้างและสารเร่ง เนื้อแดง 3.น้ำดื่ม น้ำแข็ง 4.อาหารและสมุนไพรเพื่อสุขภาพ 5.นมโรงเรียน และ 6.เส้นก๋วยเตี๋ยว
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในส่วนของโรงพยาบาล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยนอนพักรักษา จำนวน 824 แห่ง ซึ่งให้การดูแลผู้เจ็บป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลปีละ 16 ล้านกว่าราย หรือมีเฉลี่ยวันละ 40,000 ราย ให้ปรับปรุงเมนูสุขภาพเป็นหมวดหมู่เฉพาะโรค เพื่อบำรุงสุขภาพ ช่วยเสริมการบำบัดรักษาผู้ป่วยทุกโรคของแพทย์ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น หรือช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นไข้ได้เร็วขึ้น ประชาชนสามารถนำไปปฏิบัติต่อได้ที่บ้าน และจัดพิมพ์เมนู แยกเป็นเล่มแยกเป็นรายโรค เพื่อแจกจ่ายให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในปีแรกเน้น 6 ประเภท ได้แก่

1.เมนูอาหารสุขภาพหรืออาหารทั่วไป
2.เมนูอาหารโรคเบาหวาน
3.เมนูโรค ความดันโลหิตสูง
4.เมนูอาหารโรคหัวใจและปลอดเลือด
5.เมนูอาหารโรคไต และ
6.เมนูอาหารโรคมะเร็ง
       
       นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาการให้บริการอาหารฮาลาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมกับโรค แก่ชาวไทยมุสลิมที่เจ็บป่วยตามหลักศาสนาบัญญัติ ซึ่งขณะนี้มีชาวไทยที่เป็นมุสลิมประมาณ 4 ล้านคนทั่วประทศ โดยให้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด โดยมีเมนูอาหารสุขภาพฮาลาล พัฒนายกระดับมาตรฐาน โรงครัวของโรงพยาบาล 19 แห่ง เป็นโรงครัวฮาลาล ตั้งแต่กระบวนการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร หลักโภชนาการ หลักสุขาภิบาลความสะอาด และความปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยและญาติ เกิดความเชื่อมั่น
       
       โรงพยาบาล 19 แห่ง ได้แก่ รพ.หาดใหญ่ รพ.นครพิงค์ รพ.แม่สอด รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.วชิระภูเก็ต รพ.ระนอง รพ.กระบี่ รพ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช รพ.ยี่งอ จ.นราธิวาส รพ.ยะหริ่ง รพ.ปะนาเระ รพ.มายอ รพ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี รพ.สะเดา จ.สงขลา รพ.คลองท่อม จ.กระบี่ รพ.ตะโหมด จ.พัทลุง สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี และในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และจะขยายไปยังโรงพยาบาล ที่มีความพร้อมในการผลิตอาหารฮาลาล และตั้งอยู่ในชุมชนมุสลิม เช่นที่รพ.ลาดบัวหลวง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีชาวไทยมุสลิมร้อยละ 40 ของประชากรทั้งอำเภอ และมีผู้ป่วยในที่เป็นชาวไทยมุสลิม พักรักษาร้อยละ 10 ของผู้ป่วยทั้งหมด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กรกฎาคม 2555

5653
สธ.จับมือตำรวจภูธรภาค 3 เปิดช่องจราจรให้รถพยาบาลฉุกเฉิน นำส่งผู้ป่วยอาการหนัก ส่งรักษาต่อระหว่างโรงพยาบาล นำร่อง 8 จังหวัดอีสาน เล็งขยายผลในจังหวัดใหญ่ๆ รวม กทม.ด้วย
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ริเริ่มเปิดโครงการเส้นทางบุญสู่โรงพยาบาล เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับรถพยาบาลฉุกเฉินที่นำส่งผู้ป่วยที่ป่วยหนัก หรือมีอาการสาหัสจากโรงพยาบาลไปรักษาต่อระหว่างโรงพยาบาลตามระบบบริการการส่งต่อของกระทรวงสาธารณสุข ได้อย่างทันท่วงที มีการประสานงานกันระหว่างโรงพยาบาลต้นทางและปลายทาง กับสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่นั้นๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสานไปยังลูกข่าย เพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางผ่าน จนกว่าจะถึงโรงพยาบาลปลายทาง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้การส่งผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่นคล่องตัว ผู้ป่วยถึงมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างปลอดภัย และรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการรักษาพยาบาล ลดการพิการซ้ำซ้อน และเสียชีวิตจากการถึงโรงพยาบาลล่าช้า

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวอีกว่า จากสถิติของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในปี 2553 มีผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปยังหน่วยบริการทุกระดับเพื่อรักษาต่อในภาพรวมทั้งประเทศ รวมจำนวน 289,253 ครั้ง เฉลี่ยวันละ 66 ครั้ง โดยเป็นการส่งผู้ป่วยจากโรงพยาบาลชุมชนไปโรงพยาบาลจังหวัด หรือโรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลอื่นๆ มากที่สุดปีละ 220,510 ครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการคลอดปกติ
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวนี้ ได้นำร่องใน 8 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี โดยร่วมมือกับสำนักงานตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว ในการอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางจราจรจนไปถึงโรงพยาบาลปลายทาง
       
       “มีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ โดยมีตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ประจำป้อมจุดสี่แยกแห่งหนึ่ง ได้รับการประสานว่า จะมีรถพยาบาลผ่านมาเพื่อส่งตัวคนไข้หนักไปส่งโรงพยาบาล นายตำรวจผู้นั้นได้คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้ ทำให้รถพยาบาลผ่านไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย คนป่วยไปถึงโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงทีและทราบในภายหลังว่าคนป่วยที่อยู่ในรถพยาบาลฉุกเฉินที่อำนวยความสะดวกให้ในวันนั้น เป็นมารดาของตนเอง ทำให้นายตำรวจผู้นั้นเกิดความรู้สึกต้องการบำเพ็ญประโยชน์แบบเดียวกันนี้กับคนอื่นด้วย” รมช.สาธารณสุข กล่าว
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับขั้นตอนในการปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต้นทางจะประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรในพื้นที่ ว่าจะมีการนำส่งผู้ป่วยเวลาใด ใช้เส้นทางไหน จุดหมายอยู่ที่ใด เพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ประสานไปยังลูกข่ายในพื้นที่ที่จะมีการผ่านของรถพยาบาลฉุกเฉินเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรได้รับไฟเขียวผ่านตลอดเส้นทาง ไม่มีไฟแดง โครงการเส้นทางบุญสู่โรงพยาบาลนี้ ถ้าได้รับการตอบรับจากประชาชนก็จะมีการขยายโครงการนี้ไปยังพื้นที่อื่นๆอีกต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะตามจังหวัดใหญ่ที่การจราจรคับคั่ง เช่น เชียงใหม่ กทม.เป็นต้น มั่นใจว่า จะทำให้ระบบการส่งต่อผู้ป่วยรวดเร็วขึ้น ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือมีอาการสาหัส จะถึงมือแพทย์อย่างรวดเร็ว มีโอกาสรอดชีวิตสูง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 กรกฎาคม 2555

5654
1. “ในหลวง” ทรงเครื่องแบบทหารเสด็จฯ ทุ่งมะขามหย่อง พสกนิกรนับแสนเฝ้ารับเสด็จ เผย ใกล้เสด็จฯ ออกจาก รพ.ได้แล้ว!
       
           เมื่อวันที่ 25 พ.ค. เวลาประมาณ 16.30น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช  เพื่อไปพักผ่อนพระอิริยาบถและติดตามงานตามพระราชอัธยาศัย ณ ทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการแก้มลิงและเป็นสถานที่ตั้งพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย และที่สำคัญ เป็นพื้นที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จฯ ไปทรงเกี่ยวข้าว ณ ทุ่งมะขามหย่อง เมื่อปี 2539
       
           ทั้งนี้ ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ มีประชาชนจากทุกสารทิศจำนวนนับแสนคนพร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองและชมพูไปเฝ้ารอรับเสด็จเพื่อชื่นชมพระบารมี  ขณะที่สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ประชาชนชาวไทยจำนวนมากมารอเฝ้ารับเสด็จตามท้องถนนตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปจนถึงพระนครศรีอยุธยา เพื่อชื่นชมพระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด นับเป็นการเสด็จฯ ออกจากกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
       
       โอกาสนี้  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ทรงมีพระพักตร์สดใส และทรงโบกพระหัตถ์ พร้อมแย้มพระโอษฐ์ให้กับประชาชนตลอดเส้นทาง ขณะที่ประชาชนพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยกกล้องส่วนพระองค์ขึ้นมาฉายรูปประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จด้วย
       
       หลังรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนถึงพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และครอบครัว ได้ทูลเกล้าฯ ถวายโฉนดที่ดินแปลงนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเกี่ยวข้าวเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2539 ขณะที่นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัด ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
       
       จากนั้น ได้เสด็จฯ ไปยังศาลากลางน้ำ เพื่อทอดพระเนตรการแสดงแสงสีเสียง “ทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดินทองแห่งพระมหากรุณาธิคุณ” ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวว่า เมื่อปี 2534 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำรอบพระราชานุสาวรีย์พระสุริโยทัย เพื่อนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในหน้าแล้ง และในปี 2538 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ พระองค์ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ จ.พระนครศรีอยุธยา ปล่อยน้ำเข้าพื้นที่พระราชานุสาวรีย์ เพื่อบรรเทาปัญหาแก่ราษฎรที่เดือดร้อนจากอุทกภัย และนำน้ำไปใช้ในการเกษตรต่อไป
       
       ทั้งนี้ หลังการแสดงต่างๆ จบลง ประชาชนต่างลุกขึ้นยืนจุดเทียนชัยถวายพระพรและพร้อมใจกันร้องเพลงสดุดีมหาราชา 2 รอบ ก่อนเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องและยาวนานทั่วทั้งทุ่งมะขามหย่อง กระทั่งเวลา 19.25น. จึงเสด็จฯ ไปยังพระตำหนักสิริยาลัย และเสวยพระกระยาหารค่ำตามพระราชอัธยาศัย ก่อนประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ กลับโรงพยาบาลศิริราช
       
       ด้านนายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง เผยว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปยังทุ่งมะขามหย่องครั้งนี้ เพื่อติดตามการดำเนินงานของอ่างเก็บน้ำทุ่งมะขามหย่อง หลังประสบอุทกภัยเมื่อปี 2554 ซึ่งพระองค์ทรงอยากให้ประชาชนได้รู้ถึงประโยชน์ของน้ำท่วม หากบริหารจัดการน้ำได้ดี จะเกิดประโยชน์
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยดีขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ได้บอกข่าวดีกับประชาชนระหว่างลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชได้ในเร็ววันนี้ เนื่องจากพระพลานามัยดีขึ้นมากแล้ว
       
       2. “บิ๊กบัง” ดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสภา -“ขุนค้อน” รีบชงเข้าวาระ 31 พ.ค. ด้าน “ปชป.” ซัด ทำเพื่อ “ทักษิณ” คนเดียว!

       เมื่อวันที่ 24 พ.ค. มีข่าวแพร่สะพัดว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งในเวลาต่อมา นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้ออกมายอมรับว่า พล.อ.สนธิ ได้ยื่นญัตติด่วนเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเพื่อให้ที่ประชุมสภาพิจารณาจริง ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน และตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างถูกต้อง จึงบรรจุเข้าระเบียบวาระแล้ว น่าจะพิจารณาได้ในวันที่ 30-31 พ.ค.
       
           นายเจริญ เผยด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองมีทั้งสิ้น 8 มาตรา สำหรับผู้ที่จะได้รับอานิสงส์จากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีประมาณ 3 กลุ่ม 1.ผู้ชุมนุมทางการเมือง 2.ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของคณะปฏิวัติ และ 3.นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิเลือกตั้งจากกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ไม่เพียงให้มีการนิรโทษกรรมความผิดจากการกระทำระหว่างการชุมนุม แต่ยังมีการลบล้างคดีความและคำพิพากษาต่างๆ เสมือนว่าบุคคลนั้นไม่เคยทำผิดหรือต้องคำพิพากษามาก่อน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดา จะได้รับอานิสงส์โดยตรง ซึ่งอาจรวมถึงคดียึดทรัพย์ด้วย
       
       ทั้งนี้ มาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุให้การกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.2548 ถึงวันที่ 10 พ.ค.2554 ไม่ถือเป็นความผิด หากมีการกระทำใดผิดกฎหมาย ก็ให้พ้นผิดโดยสิ้นเชิง  มาตรา 4 ระบุว่า หากคดีใดอยู่ระหว่างสอบสวน ก็ให้ยุติการสอบสวน หากอยู่ระหว่างฟ้องร้อง ให้ระงับการฟ้องร้อง ถ้าอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี หากศาลตัดสินไปแล้ว ก็ให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาดังกล่าว และหากบุคคลใดอยู่ระหว่างรับโทษ ก็ให้ปล่อยตัวบุคคลนั้นทันที
       
       ขณะที่มาตรา 5 ระบุว่า บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 หรือได้รับผลกระทบจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) หรือได้รับผลกระทบจากองค์กรหรือคณะบุคคลที่แต่งตั้งตามประกาศ คปค. ก็ไม่ต้องเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้กระทำผิด ส่วนมาตรา 6 ระบุให้การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค สิ้นผลทันที โดยให้ถือว่ากรรมการบริหารพรรคนั้นไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยมาตราดังกล่าวระบุเหตุผลว่า เพื่อความปรองดอง
       
       ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พูดถึงการยื่นญัตติด่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ของ พล.อ.สนธิว่า ถ้าเป็นเรื่องด่วน ก็สามารถเลื่อนวาระขึ้นมาพิจารณาในวันที่ 31 พ.ค.ได้ โดยการพิจารณารับหลักการ ใช้เวลาเต็มที่ 1 วัน ก็น่าจะจบได้ หรือจะขยายเพิ่มอีก 1 วันก็ไม่มีปัญหา  ผู้สื่อข่าวถามว่า การนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสภา จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือไม่ นายสมศักดิ์ ชี้ว่า บ้านเมืองถึงเวลาต้องปรองดองกันแล้ว ยุคนี้ใครไม่ปรองดองก็บ้าแล้ว
       
       หลัง พล.อ.สนธิ ยื่นร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสภา ปรากฏว่า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ออกมาซัด พล.อ.สนธิ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า การที่รองประธานสภาฯ บรรจุร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เป็นเรื่องด่วนเข้าสู่ระเบียบวาระ ถือเป็นการลักไก่แบบเงียบเชียบ จึงสะท้อนข้อเท็จจริง 3 ข้อ คือ 1.การอ้างจัดสานเสวนาก่อน ตามข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้า เป็นแค่กลวิธีลับ ลวง พราง หลอกประชาชน 2.การขยายสมัยประชุมสภาออกไป เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การเร่งออกกฎหมายเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อคนคนเดียว และ 3.มีคนบอกว่า เสื้อแดงมาส่งถึงฝั่งแล้ว ต่อไปก็จะหาพาหนะใหม่ขึ้นเขาเองนั้น วันนี้ชัดเจนแล้วว่า พาหนะใหม่ก็คือ คนที่ช่วยเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้ นายจุรินทร์ ยังชี้ด้วยว่า จากนี้ไป บ้านเมืองจะตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความปั่นป่วนมากขึ้น
       
       ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เช่นกัน โดยตั้งข้อสังเกตว่า ความจริงแล้ว กฎหมายปรองดองก็คือกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดง เพียงแต่พ่วงพันธมิตรฯ และกรณีตำรวจ ทหารเข้าไปด้วย “ขอเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิชี้แจงประชาชนให้ชัด 1.ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากกฎหมายนิรโทษกรรม 2.พล.อ.สนธิไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาจริงหรือไม่ ตกลงเงื่อนไขอะไร ถึงยอมเป็นผู้เสนอกฎหมายฉบับนี้ 3.นายกฯ อยู่ในฐานะ ส.ส. หัวหน้ารัฐบาล เจ้าของพรรคเพื่อไทย และเป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องแถลงท่าทีให้ชัด เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ อย่าบอกว่าเป็นเรื่องของสภา และ 4.พรรคเพื่อไทยจะมีท่าทีอย่างไร เพราะถ้ากฎหมายนี้ออกมา จะมี ส.ส.อย่างน้อย 20 คนได้ประโยชน์”
       
      3. แกนนำพันธมิตรฯ นัดรวมพลต้าน กม.ปรองดองล้างผิด “ทักษิณ” 30 พ.ค.นี้ ที่ลานพระรูปฯ ด้าน “สนธิ” ประกาศขอสู้ครั้งสุดท้าย!

       เมื่อวันที่ 26 พ.ค. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดงานคอนเสิร์ต “เมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษ” ที่สวนลุมพินี เพื่อรำลึกในโอกาสครบรอบ 4 ปีการเริ่มต้นชุมนุม 193 วันเมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551  ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการเดี่ยวไมโครโฟนโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทางแกนนำพันธมิตรฯ ได้แถลงความคืบหน้าการเดินสายให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย รวมทั้งผลการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ นักธุรกิจ และประชาชน จนสามารถประกาศเป็น “ร่างหลักการปกครองประเทศไทย” เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยในแนวทางของพันธมิตรฯ โดยหลังจากนี้จะมีการนำร่างหลักการปกครองประเทศไปทำประชาพิจารณ์ และปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป
       
           ทั้งนี้ ร่างหลักการปกครองประเทศในแนวทางของพันธมิตรฯ เน้นการลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน ซึ่งมี 15 ข้อ ได้แก่ หลักการปกครองประเทศต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ,หลักการปกครองประเทศต่อระบบพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องขจัดเผด็จการที่มาจาการเลือกตั้งโดยทุนสามานย์ที่ครอบงำประเทศทุกรูปแบบ ฯลฯ
       
           นอกจากนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ยังมีมติเอกฉัท์นัดชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ในวันที่ 30 พ.ค.นี้ เวลา 09.00น. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก่อนเคลื่อนมวลชนไปยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคัดค้านและขอให้ระงับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ รวมทั้งให้ผู้เสนอ ถอนวาระออกจากที่ประชุมสภาฯ
       
           พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า หากไม่มีการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ออกจากสภา กลุ่มพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวต่อไป เพราะร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวทำลายชาติ แม้พันธมิตรฯ จะได้ประโยชน์จากกฏหมายดังกล่าวก็ตาม แต่ถือว่าไม่จำเป็น เพราะประโยชน์ของชาติสำคัญกว่า
       
           ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศขอสู้เป็นครั้งสุดท้ายวันที่ 30 พ.ค.นี้ “นับแต่ปี 2548 มาถึงวันนี้ 7 ปีเต็ม ...สำหรับคนๆ หนึ่ง เดินทางมา 7-8 ปีแบบนี้ โดนคดีความ โดนคดีที่ผู้พิพากษาท่านมีความสุขมากกับการที่ผมผิด 1 เจตนา ท่านเปลี่ยนไปเป็น 8 เจตนา แล้วจำคุกผม 85 ปี ท่านมีความสุขปล่อยให้ท่านมีความสุขไป ผมไม่ว่า แล้วยังผ่านลูกปืนอีก 200 นัด ยังขึ้นศาล แล้ววันที่ 30 นี้ยังจะต้องออกถนนอีกแล้ว พี่น้องครับ สำหรับคนๆ หนึ่ง อายุ 65 ปี สู้ให้ชาติบ้านเมืองจนถึงวันนี้ สิ่งที่ผมทำมากเกินกว่าพอแล้วพี่น้อง ออกครั้งนี้ผมจะออกครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าแพ้จะต้องตายคาลูกปืนผมจะตาย ถ้าชนะเมื่อไหร่ผมจะล้างมือ แล้วผมจะขอลาออกจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปใช้ชีวิตที่เงียบๆ ไม่ต้องให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาหลอกใช้ผมอีกต่อไป”
       
           นายสนธิ ยังเผยด้วยว่า ทุกวันนี้ตนมีชีวิตอยู่ได้เพราะสวดมนต์ภาวนา และถามตัวเองว่า ทำให้ชาติมากพอหรือยัง ซึ่งตอบได้ว่ายัง ต้อง 30 พ.ค.นี้ก่อน ดังนั้นหากพ้น 30 พ.ค.นี้แล้ว จะแพ้หรือชนะ หรือจบอย่างไรก็ตาม ตนต้องปล่อยให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ให้อำมาตย์ ให้หลายคนที่หลอกใช้ตนอยู่ และให้พรรคการเมืองบางพรรคที่เคยหลอกใช้ตน ให้รับแผ่นดินนี้เอาไปดูแลต่อไป
       
       4. รบ. จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากการชุมนุมแล้วล็อตแรก 465 ราย - เมิน “ปชป.” ร้อง ป.ป.ช.จ่ายเงินไม่มี กม.รองรับ!

           เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลได้จัดพิธีมอบเงินเยียวยาแก่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 10 ม.ค. และ 6 มี.ค.2555 ที่อนุมัติเงินเยียวยา 2,000 ล้านบาท
       
           ทั้งนี้ ตามกำหนดการเดิม น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีมอบเงินเยียวยาดังกล่าว โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 แต่ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แจ้งยกเลิกหมายดังกล่าว และให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) เป็นประธานแทน ซึ่งนายยงยุทธ บอกว่า นายกฯ ติดภารกิจที่ภาคเหนือ กลับมาไม่ทัน จึงให้ตนเป็นประธานแทน
       
           สำหรับยอดผู้ได้รับเงินเยียวยาล็อตแรกนี้มีจำนวน 524 ราย แบ่งเป็น เสียชีวิต 44 ราย ,ทุพพลภาพ 6 ราย ,บาดเจ็บสาหัส 58 ราย ,บาดเจ็บ 177 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 239 ราย รวมยอดเงินเยียวยา 577,663,079 บาท อย่างไรก็ตามมีผู้มาลงทะเบียนรับเงินเยียวยาล็อตแรกแค่ 465 ราย  ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้มาลงทะเบียน ได้แก่ ญาติของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ,ญาติของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ เป็นต้น
       
           ด้านนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า เผยเหตุที่ยังไม่ได้ไปลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ว่า ไม่ได้ปฏิเสธการรับเงิน แต่เป็นเพราะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) เรียกประชุมตรงกันพอดี ประกอบกับต้องใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ
       
           สำหรับตัวเลขเงินเยียวยาล็อตแรกนี้ นายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เผยว่า แบ่งเป็น 5 ประเภท 1.เสียชีวิต ได้รับเงิน 7.75 ล้านบาท แต่หากมีการรักษาและเสียชีวิตภายหลังจะได้เพิ่มอีก 200,000 บาท รวมเป็น 7.95 ล้านบาท 2.ทุพพลภาพ ได้รับเงิน 7.9 ล้านบาท 3.บาดเจ็บสาหัส ได้รับเงิน 1.75 ล้านบาท 4.บาดเจ็บไม่สาหัส ได้รับเงิน 695,000 บาท และ 5.บาดเจ็บเล็กน้อย ได้รับเงิน 235,000 บาท
       
           อย่างไรก็ตาม เงินเยียวยา 7.75 ล้านบาทนั้น นายปกรณ์ บอกว่า พม.จ่ายเป็น 2 ลักษณะ โดยจ่ายเป็นเงินสด 3.25 ล้านบาท ส่วนอีก 4.5 ล้านบาท ให้เป็นสลากออมสินแทน นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขว่า ผู้ที่รับเงินเยียวยา จะต้องยุติการฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากรัฐ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน อีกทั้งเงินเยียวยา นำมาจากภาษีประชาชน และรัฐบาลได้พยายามเยียวยาตามหลักมนุษยธรรมอย่างเต็มที่แล้วเพื่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิตและอยากให้เกิดความปรองดอง  สำหรับผู้ที่ยอมถอนฟ้องทางแพ่งเพื่อรับเงินเยียวยา ได้แก่ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา ที่อยู่สายเสื้อแดง โดยนางพะเยาว์ พูดทำนองเสียใจที่ต้องถอนคดีแพ่ง แต่ยืนยันว่าคดีอาญาที่ตนฟ้องจะเดินหน้าต่อไป
       
           ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ออกมาขู่จะร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หากรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยา 7.75 ล้านแก่ผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า ทุกอย่างทำตามขั้นตอน มีการตรวจสอบ ตั้งคณะกรรมการ และเสนอเรื่องผ่านที่ประชุม ครม. พร้อมชี้ว่า ที่ผ่านมาก็เคยมีการจ่ายเงินชดเชยในลักษณะนี้มาแล้ว รัฐบาลก็ใช้ระเบียบคล้ายๆ เดิม ไม่ต่างกัน
       
      5. ป.ป.ช. ชี้ “สุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ ส่ง อสส.ดำเนินคดี พร้อมเสนอยึดทรัพย์ 18 ล้าน ด้านเจ้าตัว ลาออกจากราชการแล้ว!

       เมื่อวันที่ 24 พ.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณากรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยรายการสำนักนายกรัฐมนตรี ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ซึ่งคณะอนุกรรมการไต่สวนชุดที่มีนายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน ได้แยกทรัพย์สินของนายสุพจน์ออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.เงินสดกว่า 18 ล้านบาท และทองรูปพรรณหนัก 10 บาท ที่คนร้ายปล้นไปจากบ้านนายสุพจน์เมื่อคืนวันที่ 12 พ.ย.2554 แล้วตำรวจยึดกลับคืนมาได้ โดยเก็บเป็นของกลางในคดี 2.เงินฝากในบัญชีธนาคาร ที่ดิน รถยนต์ อาคาร และสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ที่นายสุพจน์ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไว้ และ 3.ทรัพย์สินอื่นบางรายการ เช่น รถยนต์
       
        ทั้งนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินในส่วนที่ 1 คือเงินสดกว่า 18 ล้านบาท เป็นของนายสุพจน์จริง แม้นายสุพจน์จะต่อสู้ว่าเงินดังกล่าวเป็นของตัวเองเพียง 5,068,000 บาท โดยแยกเป็นเงินสินสอดงานแต่งงานของบุตรสาว 2 ล้านบาท ,เงินที่บิดาของคู่สมรสของบุตรสาวมอบให้เป็นทุนในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่ 2.5 ล้านบาท และเงินรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่ 568,000 บาท แต่ ป.ป.ช.พบพิรุธว่า เงินของกลาง 18 ล้านบาทที่ตำรวจยึดมาจากคนร้ายอยู่ในสภาพที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ไม่มีสายคาดจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต่างจากเงินสินสอดที่นายสุพจน์นำภาพมาชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นธนบัตรใหม่และมีสายคาดของ ธปท. ดังนั้น เงินของกลางที่ยึดได้ จึงไม่มีเงินสินสอดจากงานแต่งงานของบุตรสาวนายสุพจน์ ส่วนเงินที่บิดาของคู่สมรสของบุตรสาวให้เป็นทุนนั้น ก็ไม่มีพยานรู้เห็น การอ้างว่าเป็นการให้แบบฉุกละหุกและไม่เปิดเผย จึงไม่มีเหตุผลและผิดวิสัยของการมอบเงิน จึงเชื่อว่าไม่มีการมอบเงินดังกล่าวจริง ส่วนเงินรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่ มีพยานหลักฐานของผู้มอบให้ จึงเชื่อว่าน่าจะมีการมอบให้จริง และอาจรวมอยู่ในเงินดังกล่าว
       
        เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว ป.ป.ช.จึงมีมติว่า นายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ เพราะมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติจำนวน 17,553,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท จึงมีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด(อสส.) ดำเนินคดีและขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
       
        สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสุพจน์นั้น ล่าสุด ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมแล้วตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า เหตุที่ลาออกไม่ใช่ถอดใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ต้องการเปิดทางให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่แทน ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้อนุมัติใบลาออกแล้ว และเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้า
       
        ส่วนความคืบหน้าการติดตามจับกุมคนร้ายที่ร่วมกันปล้นบ้านนายสุพจน์นั้น พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) ยืนยันว่า ในส่วนของผู้ต้องหา 3 คนที่ยังหลบหนี ประกอบด้วย นายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี ,นายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย และนายพงษ์ศักดิ์ หรือเจี๊ยบ นามวงศ์ ทาง บช.น.ยังไม่ละทิ้งการติดตาม พร้อมยืนยันว่า ผู้ต้องหายังหลบหนีอยู่ที่ประเทศลาว โดยมีพวกค้าไม้ให้ความช่วยเหลืออยู่ ส่วนผู้ต้องหาที่จับกุมได้แล้ว 9 คน พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 9 ต่อศาลแล้ว ซึ่งศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกวันที่ 29 ม.ค. 2556

ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 พฤษภาคม 2555

5655
1. สภาฯ เลื่อนถก กม.ปรองดองออกไปไม่มีกำหนด ด้านพันธมิตรฯ ประกาศพักชุมนุม ขณะที่ “ผู้การแต้ม” ถูกเด้งเข้ากรุ คาด ไม่ยอมสลายม็อบ!

       ความคืบหน้าหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ได้รีบบรรจุเข้าสู่วาระเพื่อพิจารณาในวันที่ 30-31 พ.ค. ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วย ประกาศนัดชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและหน้ารัฐสภาในวันที่ 30 พ.ค.เช่นกัน เพื่อเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเป็นกฎหมายที่มุ่งล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น
       
       ปรากฏว่า พล.อ.สนธิ ได้ออกมายืนยันว่า การเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองฯ เป็นความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ตนคนเดียว พร้อมย้ำ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นเพียงถนนเส้นหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง และว่า อะไรก็ตามที่ทำให้เกิดการแก้ปัญหาหรือสร้างความปรองดองได้เร็ว ต้องรีบทำ อย่ารอช้า เพราะบ้านเมืองรอไม่ได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ มีมากถึง 4 ร่าง คือ 1.ร่างของ พล.อ.สนธิ 2.ร่างของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ ส.ส.กลุ่มเสื้อแดงในพรรค ซึ่งเนื้อหาคล้ายกับร่างของ พล.อ.สนธิ ต่างกันตรงที่ร่างของนายณัฐวุฒิ ไม่ให้ลบล้างความผิดผู้ที่สั่งการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เพราะทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก 3.ร่างของนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และ 4.ร่างของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับร่างของ พล.อ.สนธิ
       
       ด้านแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากระเบียบวาระ พร้อมเผยจุดยืนของพรรคว่า จะคัดค้านการนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสภา รวมทั้งจะรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วประเทศว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม ทำลายระบอบการปกครอง พร้อมขอให้ประชาชนที่รักความถูกต้อง ออกมาแสดงการคัดค้านในรูปแบบต่างๆ ภายใต้กรอบของกฎหมาย
       
       ขณะที่นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้ว่า หากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ดังกล่าวผ่านสภา จะเป็นครั้งแรกที่ระบบตุลาการถูกแทรกแซง โดยอำนาจตุลาการจะถูกยกเลิกแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งต่างจากในต่างประเทศที่จะไม่มีการยกเลิกอำนาจตุลาการ
       
       สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ปรากฏว่า มีมวลชนมาร่วมด้วยจำนวนมาก ขณะที่กลุ่มเสื้อหลากสีของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ก็ออกมาร่วมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เช่นกัน จากนั้นพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนมวลชนไปหน้ารัฐสภา และยื่นหนังสือต่อนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 1 โดยให้เหตุผลที่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมุ่งลบล้างความผิดของบุคคลต่างๆ ทั้งที่บางคดีมีคำพิพากษาของศาลฎีกาจนถึงที่สุดแล้ว,กฎหมายฉบับนี้ไม่มีความชัดเจน กินความกว้าง และกระทบหลายองค์กร,มีการก้าวล่วงล้มล้างคำพิพากษาของศาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ,กฎหมายปรองดองฉบับนี้เป็นการทำผิดต่อกฎหมายอาญาหลายมาตรา ฯลฯ จึงขอให้สภาฯ ระงับร่างกฎหมายดังกล่าว
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่พันธมิตรฯ ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ อยู่หน้าสภาฯ ปรากฏว่า บรรยากาศในสภาเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระเรื่องร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ซึ่งอยู่ลำดับที่ 27 ขึ้นมาพิจารณาก่อนเป็นลำดับแรก ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทักท้วงว่า ก่อนพิจารณาว่าควรเลื่อนเรื่องดังกล่าวขึ้นมาหรือไม่นั้น ควรพิจารณาก่อนว่า ร่างฯ ดังกล่าวเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ เพราะอาจเกี่ยวพันกับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท ที่จะมีการคืนเงินหรือไม่ ซึ่งหากเป็นกฎหมายการเงิน ต้องให้นายกรัฐมนตรีเซ็นรับรองก่อน จึงจะบรรจุเข้าสภาได้ โดยควรถามไปยัง พล.อ.สนธิ ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม หรือไม่ก็เรียกประชุมคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาฯ ทั้ง 35 คณะให้เป็นผู้วินิจฉัยเรื่องนี้
       
       ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ พยายามย้ำอยู่หลายครั้งว่า เป็นอำนาจของตนในการวินิจฉัยว่าเรื่องใดเป็นเรื่องด่วนหรือไม่ พร้อมอ้างว่า ที่ตนบรรจุร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา เพราะโพลต่างๆ บอกว่าประชาชนทั่วประเทศต้องการความปรองดอง ทั้งนี้ บรรยากาศเริ่มตึงเครียด โดย ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้านต่างโห่โต้ตอบกันไปมา จากนั้น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ตะโกนขึ้นว่า “ประธานคนเดียวจะวินิจฉัยได้อย่างไร ถ้าบ้านเมืองฉิบหายแตกแยก จะรับผิดชอบกันอย่างไร ช่วยเป็นกลางหน่อย อย่าทำเพื่อทักษิณ ที่นี่ไม่ใช่สภาทาส...” ด้านนายสมศักดิ์ ได้ตัดบทด้วยการสั่งพักการประชุม
       
       เมื่อการประชุมเริ่มขึ้นอีกครั้ง ก็เกิดความวุ่นวายอีก เมื่อนายสมศักดิ์พยายามให้ที่ประชุมพิจารณาเรื่องเลื่อนญัตติร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ขึ้นมาพิจารณา ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า ประธานกำลังทำผิดรัฐธรรมนูญ เพราะยังไม่ได้ข้อสรุปว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ พร้อมส่งเสียงโห่นายสมศักดิ์ ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นมาด่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ขณะที่นายสมศักดิ์ ยังพยายามเดินหน้าจะให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเลื่อนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ วิ่งกรูกันไปที่หน้าบัลลังก์ประธานสภาฯ ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยรีบวิ่งกรูไปคุ้มกันนายสมศักดิ์ ขณะเดียวกันตำรวจรัฐสภากว่า 20 นาย รีบเข้ามาอารักขานายสมศักดิ์บนบัลลังก์เช่นกัน ด้านนายสมศักดิ์ เมื่อหายตกใจรีบสั่งพักการประชุม
       
       ทั้งนี้ ระหว่างพักประชุม เหตุการณ์ยังคงวุ่นวาย โดย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนได้ตะโกนต่อว่าสภาเผด็จการ พร้อมชูป้าย “ปรองดองต้องไม่ฟอกผิดเป็นถูก” ขณะที่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ พยายามขึ้นไปลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ลงจากบัลลังก์ แต่ถูกนางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย และ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นำทีม ส.ส.หญิงของพรรค บุกขึ้นไปยื้อแย่งเก้าอี้ประธานคืน หลังเหตุการณ์คลี่คลาย น.ส.รังสิมา เผยเหตุที่ต้องไปลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ว่า เพราะประธานทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง หากยังมีเก้าอี้ไว้ตรงนั้น เดี๋ยวประธานก็จะกลับมานั่งอีก จึงต้องการลากไปไว้ด้านหลัง
       
       หลังไม่พอใจการทำหน้าที่ประธานของนายสมศักดิ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้พากันล่ารายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนนายสมศักดิ์ออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ โดยได้ยื่นต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เตรียมฟ้อง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ข้อหาใช้กำลังประทุษร้ายนายสมศักดิ์ ทั้งนี้ หลังเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าว ส่งผลให้นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต้องทำหน้าที่ประธานฯ แทนนายสมศักดิ์ โดยได้สั่งปิดประชุม และนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 31 พ.ค.
       
       สำหรับการประชุมสภาฯ วันที่ 31 พ.ค.ก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีก โดยก่อนประชุม ได้มีการประชุมประธาน กมธ.สามัญประจำรัฐสภาทั้ง 35 คณะ เพื่อพิจารณาว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ ก่อนมีมติ 22 ต่อ 1 ว่าไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ทั้งนี้ ก่อนลงมติ กมธ.ซีกฝ่ายค้านได้วอล์กเอาต์ ไม่ยอมลงมติ
       
       จากนั้นเมื่อมีการประชุมสภาฯ นายสมศักดิ์ได้แจ้งมติของ กมธ.ให้ที่ประชุมทราบ ก่อนตัดบทด้วยการให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเลื่อนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ตามข้อเสนอของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนได้แสดงความไม่พอใจการทำหน้าที่ของนายสมศักดิ์ ด้วยการขว้างหนังสือข้อบังคับการประชุมสภาไปที่บัลลังก์ประธาน ขณะที่ผลการลงมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมเห็นด้วยให้เลื่อนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ขึ้นมาพิจารณาก่อนด้วยคะแนน 272 ต่อ 2 เสียง งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1 จากนั้นนายสมศักดิ์ได้สั่งปิดประชุมทันที พร้อมนัดประชุมครั้งต่อไปวันที่ 1 มิ.ย.
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด สภาฯ ไม่สามารถเปิดการประชุมได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำแท่นปูนและลวดหนามไปขวางตามแยกต่างๆ ของถนนที่มุ่งหน้ารัฐสภา คาดว่าเพื่อขวางไม่ให้มวลชนมาชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ประกอบกับผู้ชุมนุมบางส่วนได้ไปปักหลักตามแยกต่างๆ ที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ ส.ส.ไม่สามารถเดินทางเข้าสภาได้ นายสมศักดิ์ จึงได้แจ้งเลื่อนการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ออกไปเป็นวันที่ 6-7 มิ.ย.แทน ขณะที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศพักการชุมนุมชั่วคราวเช่นกัน โดยนัดชุมนุมอีกครั้งวันที่ 5 มิ.ย.เวลา 15.00น.ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พร้อมบอกว่า คราวนี้จะเป็นการชุมนุมแบบปักหลักพักค้าง และพร้อมเคลื่อนไปยังสถานที่ต่างๆ ตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด(2 มิ.ย.) ประธานสภาฯ ได้สั่งงดการประชุมสภาในวันที่ 5-7 มิ.ย.แล้ว พันธมิตรฯ จึงได้ประกาศงดการชุมนุมในวันที่ 5 มิ.ย. แต่ขอให้แนวร่วมเฝ้าระวังในที่ตั้ง และพร้อมเคลื่อนมวลชนทันทีที่มีแถลงการณ์จากแกนนำพันธมิตรฯ
       
       ทั้งนี้ หลังสภาไม่สามารถพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ตามกำหนดได้ เพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯ ส่งผลให้ตำรวจระดับสูงถูกเด้ง 2 นาย คนแรกคือ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผ.บชน.) โดยถูก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเวลา 30 วัน แล้วให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มารักษาราชการ ผ.บชน.แทน ซึ่งมีการประเมินกันว่า เหตุที่โยก พล.ต.ท.วินัย ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สามารถเปิดทางกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าสภาได้ ก็อาจเป็นเพราะต้องการป้องกันไม่ให้ พล.ต.ท.วินัยต้องเปลืองตัวหรือมือเปื้อนเลือดหากมีการสลายม็อบ เพราะ พล.ต.ท.วินัย เป็นหลานเขยคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       ส่วนตำรวจอีกนายที่โดนเด้ง ก็คือ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยถูกโยกไปช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 30 วันเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่ถูกโยกคาดว่าเป็นเพราะรัฐบาลต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ชุมนุม แต่ตำรวจไม่ทำ เนื่องจาก พล.ต.ต.วิชัย เป็นคนที่ประนีประนอม เน้นการเจรจาเป็นหลัก
       
       2. ศาล รธน.มีมติรับวินิจฉัยร่างแก้ไข รธน. ขัด กม.หรือไม่ พร้อมสั่งสภาฯ ชะลอโหวตวาระ 3 ด้าน “ทักษิณ” เหิม อัดศาลปล้นอำนาจ!

       เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมพิจารณากรณีมีผู้ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) ,รัฐสภา ,พรรคเพื่อไทย ,พรรคชาติไทยพัฒนา ,นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ,นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา และคณะ ได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ซึ่งมีผู้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญถึง 5 คำร้อง ประกอบด้วย 1. คำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และคณะ 2.นายวันธงชัย ชำนาญกิจ 3.นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ 4.นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา และนายบวร ยสินทร และคณะ
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าประชุมครั้งนี้มี 8 คน ขาดไป 1 คน คือ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ที่ขอลาประชุม โดยที่ประชุมมีมติ 7 : 1 ว่า ให้รับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยกรณีที่มีการร้องว่ามีการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้จากบุคคลที่ทราบถึงการกระทำดังกล่าว ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย 1 เสียง ก็คือ นายชัช ชลวร ซึ่งเห็นว่า มาตรา 68 ให้อำนาจอัยการสูงสุดเท่านั้นที่จะเป็นผู้ยื่นคำร้องกรณีดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
       
       ด้านนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติรับคำร้องทั้ง 5 ไว้พิจารณา โดยให้รวมพิจารณาคำร้องไปในคราวเดียวกัน เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดี พร้อมกันนี้ ศาลยังได้มีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งให้รัฐสภาชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย นอกจากนี้ให้ผู้ที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด ประกอบด้วย ครม. ,รัฐสภา ,พรรคเพื่อไทย ,พรรคชาติไทยพัฒนา ,นายสุนัย จุลพงศธร และคณะ ,นายภราดร ปริศนานันทกุล และคณะ ส่งหนังสือชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ โดยศาลจะนัดคู่กรณีไต่สวนในวันที่ 5-6 ก.ค.เวลา 09.30น.
       
       นายพิมล ยังบอกด้วยว่า คณะตุลาการได้มีหนังสือแจ้งไปยังเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขึ้นอยู่กับรัฐสภาว่าจะชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 ในวันที่ 5 มิ.ย.หรือไม่ ซึ่งตามกฎหมาย หากรัฐสภายังเดินหน้าก็ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร แต่การดำเนินการต่อไป อาจเป็นการแสดงเจตนาว่า มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญในลักษณะตามคำร้องจริง
       
       ทั้งนี้ ล่าสุด นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ได้ประกาศงดการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 ในวันที่ 5 มิ.ย.แล้ว พร้อมกับงดประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ในวันที่ 6-7 มิ.ย. โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะประชุมครั้งต่อไปเมื่อใด
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ออกมากล่าวหาว่า การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัย เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เพราะมาตราดังกล่าวให้อำนาจอัยการสูงสุดเท่านั้นที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ นายพร้อมพงศ์ ยังขู่ด้วยว่า ตุลาการฯ ที่รับคำร้องดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และอาจถูกยื่นถอดถอนได้
       
       ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้โฟนอินมายังเวที “ครึ่งทศวรรษความจริงวันนี้” ของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เมืองทองธานี(2 มิ.ย.) โดยโจมตีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดกฎหมายหรือไม่ ไว้วินิจฉัย “ขบวนการปล้นอำนาจกำลังเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ชะลอไว้ไม่ให้โหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่านักการเมือง นักประชาธิปไตยระหว่างประเทศบอกมีด้วยหรือการละเมิดประชาธิปไตยข้ามสาย ผมก็ตกใจ สืบไปสืบมา ศาลรัฐธรรมนูญเขียนเอง ...ต้องบอกประชาชนว่าจะปล่อยให้กระบวนการปล้นอำนาจเกิดขึ้นอีกหรือ ตกลงจะยอมรับอำนาจที่ไม่มีอำนาจหรือไม่”
       
       พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างด้วยว่า ก่อนที่ตนจะเข้ามาเล่นการเมืองมีเงิน 8.6 หมื่นล้านบาท เมื่อเข้ามาเล่นการเมืองมีแต่เงินหายไป ส่วนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกยึดไป ก็เป็นเงินของตนที่ถูกปล้นไป
       
       3. ศาล พิพากษาจำคุก “พล.อ.ธรรมรักษ์” 3 ปี 4 เดือน คดี ทรท.จ้างพรรคเล็ก ด้านเจ้าหน้าที่ กกต.รับสินบนแก้ข้อมูล เจอคุก 5 ปี!

       เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย(ทรท.) ,นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ,นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย ,นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 และ 11
       
       ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 2-7 มี.ค.2549 พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับนายชวการ จำเลยที่ 3 จ้างวานให้นายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงาน กกต.เป็นเงิน 30,000 บาท ให้ตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่เป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วันตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้
       
       ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายอมรวิทย์เป็นคนเดียวที่มีรหัสผ่านเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรค ซึ่งหลังเกิดเหตุนายอมรวิทย์ได้สารภาพกับเจ้าหน้าที่ของ กกต.ว่าเป็นผู้ไปรับแบบเอกสารแจ้งเปลี่ยนข้อมูลสมาชิกพรรคพร้อมแผ่นบันทึกข้อมูลจากนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 เพื่อมาแก้ไขข้อมูล โดยไม่ผ่านขั้นตอนการลงรับเอกสารงานสารบรรณ และไม่มีการเสนอเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น โดยคิดว่าสามารถทำได้ เพราะปรึกษาเพื่อนร่วมงานแล้ว ซึ่งศาลเห็นว่า นายอมรวิทย์ทำงานมา 2 ปีเศษ ต้องรู้กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ การกระทำของจำเลยจึงสะท้อนถึงเจตนาอันมิชอบอย่างชัดแจ้ง
       
       ส่วน พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายชวการ ได้ใช้ให้นายอมรวิทย์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่ ศาลเห็นว่า นายชวการเคยให้การไว้ว่า ได้รับการติดต่อจากนายทวี สุวรรณพัฒน์ คนสนิท พล.อ.ธรรมรักษ์ว่า พล.อ.ธรรมรักษ์อยากพบ จากนั้นได้เดินทางไปพบที่พรรคไทยรักไทยช่วงปลายเดือน ก.พ.2549 ต่อมาวันที่ 3 มี.ค.2549 ได้ไปพบที่กระทรวงกลาโหม โดยได้รับเงินมา 50,000 บาท เพื่อนำไปจ่ายให้นายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 เพื่อชำระค่าลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพัฒนาชาติไทย จากนั้นวันที่ 6 มี.ค.2549 นายทวีก็ได้นำเงินมาให้นายชวการอีก 760,000 บาท เพื่อแบ่งให้ผู้สมัคร ส.ส. จากนั้นวันที่ 8 มี.ค.2549 นายทวีได้นำเงินมาให้อีก 140,000 บาท เพื่อโอนเข้าบัญชีของนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ซึ่งนายสุขสันต์ เคยเบิกความยอมรับว่า เมื่อได้รับการติดต่อจากนายชวการแล้ว ก็ไปหาผู้สมัคร พร้อมยอมรับว่า นายบุญทวีศักดิ์ได้นำแผ่นบันทึกข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยและรายชื่อบุคคลที่จะลงสมัคร ส.ส.มาให้ตนแก้ไข
       ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ที่พรรคฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง โดยมีเพียงพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กเท่านั้นที่ส่งผู้สมัคร จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่า หากพรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว โดยเฉพาะใน 14 จังหวัดภาคใต้ พรรคไทยรักไทยย่อมไม่มีโอกาสได้รับเลือกเกิน 20% ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการที่นายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 4 จัดส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งโดยเน้นจังหวัดภาคใต้ จึงสมประโยชน์ของพรรคไทยรักไทย
       
       ขณะที่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหรือหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลจึงพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำผิดจริง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ,3 ,4 และ 5 คนละ 3 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน พร้อมทั้งให้ริบเงินสดของกลาง 30,000 บาท
       
       หลังฟังคำพิพากษา พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 และนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 ได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลอนุญาต โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท
       
      4. “ซูจี” ออกนอก ปท.ครั้งแรกในรอบ 24 ปี ประเดิมมา “ไทย” พร้อมปลุกแรงงานพม่าให้รัก ปทท. หยอด อีก 10-15 ปี ได้กลับ ปท.!

       เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ค. นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของพม่า ได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อร่วมประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกว่าด้วยเอเชียตะวันออก 2012 (World Economic Forum 2012) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งจะมาเยี่ยมแรงงานพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย สำหรับการเดินทางออกนอกประเทศของนางซูจีครั้งนี้ ถูกจับตามองจากทั่วโลก เนื่องจากเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี ซึ่งที่ผ่านมา นางซูจีปฏิเสธที่จะเดินทางออกนอกประเทศมาตลอด เนื่องจากเกรงว่าหากเดินทางออกมาแล้ว รัฐบาลทหารพม่าจะไม่อนุญาตให้เธอกลับเข้าประเทศอีก
       
       ทั้งนี้ นางซูจีและคณะได้เดินทางไปดูวิถีชีวิตของแรงงานพม่าที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีชาวพม่านับหมื่นคนมารอต้อนรับ โอกาสนี้ นางซูจีได้ขอให้แรงงานพม่าให้เกียรติประเทศไทยและคนไทย อย่าได้สร้างปัญหาให้กับประเทศไทย ต้องทำงานให้ดี ถ้ามีอะไรก็ให้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ไทย “อยู่เมืองไทยต้องรู้รักษาความสงบภายในบ้านเมืองของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้รักประเทศไทยเหมือนกับรักประเทศพม่า การทำงานก็ต้องทำให้เต็มที่ ช่วยกันดูแลเมืองไทยให้ดี และอีก 10-15 ปีข้างหน้า สถานการณ์ในประเทศพม่าก็จะดีขึ้น แรงงานทุกคนก็จะได้กลับประเทศ”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างอยู่ในไทย ไม่เพียงนางซูจีจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนแรงงานพม่าในจังหวัดต่างๆ แต่ยังได้พบหารือกับนักการเมืองของไทยด้วย เช่น หารือเป็นการส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เผยในเวลาต่อมาว่า เป็นการหารือเรื่องทั่วไป ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจในพม่า การปรับปรุงระบบกฎหมายในพม่า เพื่อให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนได้สะดวก
       
       นอกจากนี้นางซูจียังได้เข้าพบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องปัญหาของแรงงานพม่าในไทย ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า แรงงานพม่าในไทยมีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน แต่ลงทะเบียนไว้เพียง 8 แสนคน อีก 1.2 ล้านคนอยู่ระหว่างพิสูจน์สัญชาติ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้รัฐบาลพม่าตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติใน 5 จังหวัดที่มีแรงงานพม่าจำนวนมาก ได้แก่ ภูเก็ต ,สุราษฎร์ธานี ,สมุทรสาคร ,สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร โดยแรงงานที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนพม่าแล้วลงทะเบียนตามกฎหมาย จะได้รับค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาทเท่ากับแรงงานไทย นอกจากนี้ยังจะได้รับสวัสดิการต่างๆ และได้เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่เท่านั้นรัฐบาลไทย-พม่า ยังได้เตรียมทำบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) เพื่อให้คนพม่าได้เรียนโรงเรียนไทยด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มิถุนายน 2555

หน้า: 1 ... 375 376 [377] 378 379 ... 534