แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 374 375 [376] 377 378 ... 534
5626
บอร์ด สปสช.เห็นชอบบรรจุยาใหม่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 26 รายการ เข้าเป็นสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยบัตรทอง
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ (บอร์ด สปสช.) เคยมีมติเห็นชอบในหลักการเพิ่มยาที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการพิจารณาและเสนอบอร์ด สปสช.เพิ่มประกาศเป็นยาในสิทธิประโยชน์ และคณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์ มีมติเห็นชอบให้รายการยาที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยไม่ต้องรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำเสนอบอร์ด สปสช.เพื่อทราบและประกาศเป็นสิทธิประโยชน์ด้านยาเพิ่มเติมและให้มีผลในวันถัดหลังจากที่มีมติ
       
       นพ.วินัย กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา สปสช.จึงได้เสนอสรุปการเปลี่ยนแปลงรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี 2555 โดยมีรายการยาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณาเพิ่มเติมรายการยาทั้งหมด 26 รายการ เพื่อให้บอร์ด สปสช.รับทราบ ซึ่งเมื่อบอร์ดรับทราบและการดำเนินการเพิ่มเติมยาในบัญชียาหลักเรียบร้อย จะถือเป็นสิทธิประโยชน์ด้านยาของผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้รับยาใหม่ที่มีการเพิ่มเติมในบัญชียาหลักแห่งชาติทันที ไม่ต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดสปสช.เพื่อให้ความเห็นชอบแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ รายการยาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณาเพิ่มรายการยา 26 รายการ อาทิ ยาสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ ซี, ยาจอตาเสื่อมแบบเปียกในผู้สูงอายุและจอตาบวมในผู้ป่วยเบาหวาน, ยารักษาการติดเชื้อรา, ยาสำหรับการวินิจฉัยแยกโรคมะเร็งที่ต่อมไธรอยด์, ยารักษาพิษเฉียบพลันจากปรอท ทองแดง สารหนู, ยารักษาภาวะบูทูลิซึม, ยาใช้บำบัดพิษจากตะกั่ว, ยาใช้รักษาผ็ป่วยที่ติดสุรา, ยาฝังคุมกำเนิด, ยารักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง และยารักษาอาการตาแห้ง ร่วมกับการอักเสบของพื้นผิวกระจกตา เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

5627
ผลตรวจผักตลาดสดและหาบเร่ พบมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% ผักชีอันตรายสุด ที่ตลาดห้วยขวางพบสาร EPN เกินมาตรฐานยุโรป 102 เท่า มูลนิธิชีววิถีแนะปลูกผักกินเอง และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
       
       วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ แถลงผลการดำเนินการสุ่มตรวจผัก 7 ชนิด ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา โดยสุ่มเก็บจากตลาดสดทั่วไป 2 ตลาด ได้แก่ ตลาดห้วยขวาง และตลาดประชานิเวศน์ รวมถึงผักที่ขายในรถเร่ ไปวิเคราะห์หาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
       
       นายพชร แก้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงผลการตรวจ ว่า ผักในตลาดสดทั่วไปและรถเร่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% ใกล้เคียงกับผลการสุ่มตรวจผักที่มีตรามาตรฐาน Q ของกรมวิชาการเกษตรและผักที่ขายในห้างซึ่งพบว่ามีผักที่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 43% ทั้งๆ ที่ผักดังกล่าวมีราคาแพงมากกว่าผักที่ขายในตลาดสดตั้งแต่ 2-10 เท่า

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
   
นายพชร กล่าวอีกว่า ผักที่พบสารพิษตกค้างมากที่สุดและอันตรายที่สุด คือ ผักชี โดยพบสารตกค้างเกินมาตรฐาน 5 ชนิด ได้แก่ Carbofuran, Chlorpyrifos, EPN, Methidathion และ Methomyl โดยเฉพาะผักชีจากกูร์เมต์ มาร์เก็ต (สยามพารากอน) พบ Carbofuran เกินค่ามาตรฐาน 37.5 เท่า ผักชีตลาดประชานิเวศน์ พบ Carbofuran เกิน 56.5 เท่า ในขณะที่ตลาดห้วยขวาง พบ EPN เกิน 102 เท่า
       
       ด้าน น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า จากการตรวจสอบ ผักที่ไม่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ตกค้างเลย คือ ผักบุ้งจีน เนื่องจากเป็นผักที่มักมีศัตรูพืชน้อยกว่าผักประเภทอื่นๆ สำหรับกะหล่ำปลี และผักกาดขาว ซึ่งมีความเสี่ยงในการพบสารเคมีตกค้างค่อนข้างมากนั้น การสำรวจครั้งนี้ พบว่า มีการตกค้างของ Carbofuran และ Methomyl น้อยกว่ามาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (มกอช.) และของสหภาพยุโรปกำหนดไว้ ซึ่งอาจเกิดจากช่วงที่สุ่มเก็บตัวอย่างนั้น ยังไม่ใช่ฤดูกาลที่ศัตรูพืชของผักประเภทนี้ระบาดทำให้มีการใช้สารเคมีน้อยกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่หากได้รับบ่อยๆ ก็จะสะสมในร่างกายจนก่อให้เกิดอันตรายได้
       
       น.ส.ปรกชล กล่าวอีกว่า เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เตรียมยื่นเรื่องไปยังกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำเนินการควบคุมการส่งเสริมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของบริษัทสารเคมี และเกษตรกรให้เข้มงวดเท่าเทียมกับที่มีมาตรการที่ใช้กับผักส่งออก และให้การยกเลิกการขึ้นทะเบียนและห้ามมิให้มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่หลายประเทศห้ามใช้แล้วโดยทันที นอกจากนี้ จะยื่นเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้มีมาตรการในการสุ่มตรวจดูความปลอดภัยของผักและผลไม้ด้วย
       
       “สำหรับผู้บริโภคสามารถลดผลกระทบจากปัญหานี้ได้ โดยการเลือกซื้อ หรือบริโภคผักที่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชน้อย อาทิ ผักพื้นบ้าน ผักที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ หรือปลูกผักเพื่อบริโภคเอง โดยอาจหาข้อมูลเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องส่วน การลดสารเคมีตกค้างในผัก สามารถทำได้โดยการล้างน้ำหลายๆ ครั้ง หรือการใช้ด่างทับทิม แต่อาจไม่ได้ผลเสมอไป เพราะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดเป็นประเภทดูดซึม” น.ส.ปรกชล กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

5628
ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก เผยผลสำรวจล่าสุดจากทริปแอดไวเซอร์ อินดัสตรี อินเด็กซ์ (TripAdvisor Industry IndexTM) ซึ่งเป็นการสำรวจด้านโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการสำรวจนี้ได้รับคำตอบมากกว่า 25,000 คำตอบจากผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลก และกว่า 500 คำตอบจากประเทศไทยเพียงแห่งเดียว การสำรวจนี้ได้เผยผลสำรวจที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระแสอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน
       
จากผลสำรวจหลักๆ พบว่า ประเทศไทยติดอันดับ 3 ในฐานะประเทศที่สร้างอาชีพในสายงานโรงแรมมากที่สุดของโลก และมีผู้ประกอบการโรงแรมร้อยละ 31 คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า จากการสำรวจด้านธุรกิจโรงแรมปีละ 2 ครั้งของทริปแอดไวเซอร์ พบสิ่งที่น่าสนใจมากมายในอุตสาหกรรมบริการ เช่น การคาดการณ์ราคาห้องพักเมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน วิธีเข้าถึงนักเดินทางผ่านช่องทางออนไลน์และโทรศัพท์มือถือ และแผนให้บริการโปรแกรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
       
       ประเทศไทยและอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมสำหรับสายงานโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากผลสำรวจพบว่ามีจำนวนผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทย ร้อยละ 31 และอินโดนีเซีย ร้อยละ 30 วางแผนเพิ่มจำนวนพนักงาน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ร้อยละ 20 นิวซีแลนด์ ร้อยละ 9 และออสเตรเลีย ร้อยละ 8       

       แนวโน้มธุรกิจที่ดีสำหรับธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย จากคำตอบของผู้ร่วมการสำรวจต่อคำถามที่ประเมินการรับรู้สถานภาพทางธุรกิจของตนพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของโรงแรมในประเทศไทย (ร้อยละ 49) คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น
       
       เมื่อเทียบกันแล้ว ประเทศอินโดนีเซียเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีจำนวนโรงแรมร้อยละ 67 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า
       
       นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีผู้ประกอบการโรงแรมในภูมิภาคฯ ร้อยละ 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 48 จากผลการสำรวจครั้งก่อนในเดือนธันวาคม 2554
       
       ประเทศที่มีแนวโน้มธุรกิจโรงแรมที่เติบโตเร็ว :
       1. อินโดนีเซีย
       2. บราซิล
       3. รัสเซีย
       4. สหรัฐอเมริกา
       5. อินเดีย
       
       ประเทศที่มีแนวโน้มธุรกิจโรงแรมที่ขยายตัวช้า :
       1. นิวซีแลนด์
       2. ฝรั่งเศส
       3. สเปน
       4. อิตาลี
       5. กรีซ
       
       โรงแรมใหญ่กว่าทำกำไรได้ดีกว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 29 ของโรงแรมในประเทศไทยรายงานว่าสามารถทำกำไรได้ดีหรือดีมาก นอกจากนี้ ร้อยละ 37 ของโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 ห้องพัก) ชี้ว่าธุรกิจโรงแรมทำกำไรได้ดีหรือดีมากกว่า เมื่อเทียบกับร้อยละ 24 ของโรงแรมขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 50 ห้องพักลงไป)
       
       ภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศอินโดนีเซียและอินเดียทำกำไรช่วงต้นปีได้มากกว่า โดยร้อยละ 44 ของโรงแรมในอินโดนีเซีย และร้อยละ 35 ของโรงแรมในอินเดียรายงานว่าธุรกิจทำกำไรได้ดีหรือดีมาก
       
       การจัดอันดับราคาห้องพัก : ประเทศใดเพิ่ม/ลด ราคาห้องพักในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ประเทศที่มีราคาห้องพักต่ำ 5 อันดับ :
       1. กรีซ - 58%
       2. สเปน - 43%
       3. อิตาลี - 37%
       4. ออสเตรเลีย - 32%
       5. นิวซีแลนด์ - 29%
       
       ประเทศที่มีราคาห้องพักสูง 5 อันดับ :
       1. สหรัฐอเมริกา - 47%
       2. บราซิล - 42%
       3. รัสเซีย - 42%
       4. อินโดนีเซีย - 37%
       5. ตุรกี - 35%
       
       สิทธิพิเศษและส่วนลด: โรงแรมในประเทศไทยเอาชนะใจแขกผู้เข้าพักได้อย่างไร
       สิทธิพิเศษยอดนิยม :
       1. ส่วนลดห้องพัก - 64%
       2. บริการสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ (เช่น ฟรี Wi-Fi) - 49%
       3. เข้าพักฟรีพร้อมบริการสำรองห้องพัก - 28%
       4. บริการที่จอดรถฟรี - 19%
       5. บริการรถรับ-ส่งในบริเวณใกล้เคียงฟรี - 17%
       
       มีโรงแรมในประเทศไทยเพียงร้อยละ 5 ที่ไม่ให้บริการสิทธิพิเศษใดๆ เลย
       
       บริการฟรี Wi-Fi มีแนวโน้มอย่างไร?
       ร้อยละ 81 ของผู้ร่วมตอบคำถามในการสำรวจบอกว่า โรงแรมของตนให้บริการฟรี Wi-Fi เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในห้องพัก และร้อยละ 41 ของผู้ที่ยังไม่ให้บริการฟรี Wi-Fi วางแผนให้บริการดังกล่าวในอีก 6 เดือนข้างหน้า
       
การจัดอันดับด้านสื่อออนไลน์พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ประเทศไทย (ร้อยละ 80) ได้อันดับ 6 ของโลกในฐานะประเทศที่ใช้สื่อออนไลน์ในการดึงดูดนักเดินทาง ตามหลังประเทศมาเลเซีย (ร้อยละ 89) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ 84) แต่ชนะประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ประเทศญี่ปุ่น (ร้อยละ 62) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 55) และนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 46)
       
       จากโรงแรมขนาดและประเภทต่างๆ ในประเทศไทย ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจกล่าวถึงเหตุผลหลักในการใช้สื่อออนไลน์ ดังนี้ การตลาดผ่านเว็บไซต์สังคมออนไลน์ (ร้อยละ 51) รายการและวิจัยของอุตสาหกรรมบริการ (ร้อยละ 41) และคำแนะนำของเพื่อน (ร้อยละ 24) สำหรับวิธีการใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์ ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ตอบว่าเพื่อลงข้อมูลสิทธิพิเศษ (ร้อยละ 68) โต้ตอบผลตอบรับจากแขก (ร้อยละ 66) และประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ (ร้อยละ 50)
       
       ในประเทศไทย โรงแรมขนาดใหญ่ทำการตลาดบนโทรศัพท์มือถือมากกว่าโรงแรมขนาดเล็ก (B&B)
       
       โรงแรมขนาดใหญ่ โรงแรมขนาดเล็ก (B&B)ความสามารถในการสำรองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมบนโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ “สำคัญมาก” 62% 51% การลงข้อมูลสิทธิพิเศษต่างๆ ให้ผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สายสามารถเข้าถึงได้เป็นเรื่องที่ “สำคัญมาก” 48% 33%ให้บริการที่จะเข้าถึงแขกผ่านอุปกรณ์ไร้สาย 35% 23% โปรแกรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : ดีต่องบประมาณโรงแรมและสิ่งแวดล้อม
       
ผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทย (ร้อยละ 75) ติดอันดับที่ 13 ของโลกในด้านการปฏิบัติการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชนะประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่าง ประเทศญี่ปุ่น (ร้อยละ 69) แต่ยังตามหลังประเทศนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 93) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 80) อินเดีย (ร้อยละ 80) และมาเลเซีย (ร้อยละ 76)
       
       โปรแกรมรักษาสิ่งแวดล้อมที่ใช้กันทั่วไปคือ การใช้หลอดประหยัดไฟ (ร้อยละ 66) การนำผ้าเช็ดตัว/ผ้าปูที่นอนกลับมาใช้ใหม่ (ร้อยละ 65) และโปรแกรมประหยัดพลังงาน (ร้อยละ 61)
       
       เมื่อถามถึงเหตุผลของการจัดโปรแกรมรักษาสิ่งแวดล้อม ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจให้เหตุผลหลักว่า เพื่อลดค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 69) และเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด (ร้อยละ 40)
       
       “การสำรวจทริปแอดไวเซอร์ อินดัสตรี อินเด็กซ์ เน้นย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการโรงแรมในอเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา มีแนวโน้มเป็นสองเท่า โดยประมาณว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีในช่วง 6 เดือนหลังนี้ เมื่อเทียบกับโรงแรมในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา” มิสคริสทีน ปีเตอร์เซน ประธานฝ่ายธุรกิจทริปแอดไวเซอร์ กล่าวว่า “สิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นคือ แรงฉุดลากที่โรงแรมต่างๆ กำลังปฏิบัติในส่วนของการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ สังคมออนไลน์ และโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ในปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจเพียง 1 ใน 4 ที่ให้บริการโปรแกรมเพื่อเข้าถึงผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สาย เราคาดว่าตัวเลขในส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้น”

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

5629


เวียนถึง/เรียน  พี่น้องสาธารณสุขเพื่อทราบและส่งต่อ


            ขณะนี้สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย       (สผพท.) ร่วมกับหลายองค์กร  รวมถึงตัวท่านหลายคน  ได้เข้าชื่อเสนอกฎหมายแยกตัวจาก ก.พ. จัดตั้ง ก.สธ.เพื่อการบริหารบุคลากรสาธาณสุขที่ดีกว่า    โดยใช้ฉบับยกร่างเบื้องต้นโดย พ.ญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล (หัวหน้าคณะทำงานเข้าชื่อเสนอกฎหมายเพื่อพัฒนาการสาธารณสุข) ได้จำนวน  112,502 รายชื่อ  และประธานสภาได้อนุญาตให้เข้าเสนอร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ.อาคารรัฐสภา ๑ ชั้น ๑  

            ในการนี้ สผพท. จะมี นายแพทย์ธงชัย ซึงถาวร ผู้ตรวจราชการเขต ๑๗ ( 081 3790940)ซึ่งเป็นผู้บริหารคนสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับชีวิตการทำงานของชาว สาธารณสุขทุกหมู่เหล่าจนเป็นที่ประจักษ์ชัดของคนทำงาน    เป็นผู้นำชาว สธ.ยื่นร่างกฎหมาย แยกตัวจาก ก.พ. หรือ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการและบุคลากรสาธารณสุข พ.ศ. .....

          จึงเรียนเชิญพี่น้องชาว สธ. และคนไทย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการแพทย์และการสาธารณสุขที่ดีกว่าเพื่อคนไทย  เข้าร่วมในวันประวัติศาสตร์นับ ๑ แยกตัวจาก ก.พ. / ปฏิเสธการบริหารแบบกดดันของ ก.พ.    พร้อมกันในวัน/สถานที่ดังกล่าว นัดรวมพล 10.00 น.(พบกันก่อนยื่นกฎหมาย)  แต่งกายชุดปฏิบัติงานหรือชุดสบายๆ พร้อมนำสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย


                            ประกาศ ณ.วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕

                    แพทย์หญิงเชิดชู  อริยศรีวัฒนา  ประธาน สผพท. 086 5659985

             แพทย์หญิงอรพรรณ์  เมธาดิลกกุล  หัวหน้าคณะทำงานเข้าชื่อฯ 083 2495151, 086 3635794

                นายแพทย์ฐาปนวงศ์  ตั้งอุไรวรรณ  หัวหน้า เครือข่าย คบส. 086 057284


5633
  เอเอฟพี - “กินรกเด็ก” ฟังดูช่างน่าสะอิดสะเอียน สยดสยองไม่น้อย
       
       แต่ตำราการแพทย์ในสมัยโบราณของจีนการันตีว่า นี่แหละคือแหล่งอาหารชั้นยอดสำหรับบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และในปัจจุบันสรรพคุณของรกเด็ก ซึ่งเป็นอวัยวะพิเศษ ที่สร้างขึ้นในมดลูกในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อทำหน้าที่ส่งอาหารและอ็อกซิเจนไปเลี้ยงทารก ก็เริ่มมีการพูดกันหนาหูในประเทศตะวันตก ซึ่งบางคนเชื่อว่า สามารถช่วยให้สตรีภายหลังคลอดบุตร ห่างไกลจากอาการซึมเศร้า คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้น และเพิ่มกำลังวังชา
       
       การกินรกเด็ก ภายหลังการคลอดบุตรเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะปกติธรรมดาบนแดนมังกรและคนจีนเชื่อมานานกว่า 2,000 ปีแล้วว่า มันมีสรรพคุณต่อต้านความชรา
       
       “ ตอนนี้มันอยู่ในตู้เย็นค่ะ ฉันรอให้แม่มาทำเป็นอาหารให้กิน พอล้างเสร็จแล้ว ก็เอามาเคี่ยวเป็นน้ำแกง ไม่เหม็นคาวเลย”
       
       นี่คือคำบอกเล่าของ"หวัง หลาน" คุณแม่ ซึ่งเพิ่งคลอดลูกสาว และอุ้มลูกน้อย พร้อมกับนำชิ้นส่วนรกในครรภ์ของเธอเองจากโรงพยาบาลกลับมาบ้าน เธอเชื่อว่า ถ้าได้กินรกนี้ก็จะช่วยให้เธอฟื้นตัวภายหลังคลอดได้เร็วขึ้น

แพทย์กำลังถือรกเด็กในห้องคลอดของโรงพยาบาลในกรุงปักกิ่ง ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2555 – เอเอฟพี
       กล่าวกันว่า ฉิน สื่อหวง หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรก ที่รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นทรงระบุเมื่อราว 2,200 ปีก่อนว่า รกในครรภ์มารดากินแล้วสุขภาพแข็งแรง และร่ำลือกันว่า ในช่วงราชวงศ์สุดท้ายของจีน พระนางฉือสี่ไท่โฮ่ว หรือซูสีไทเฮา ก็เสวยรกเด็ก เพื่อคงความเป็นสาวสองพันปี
       
       ตำราการแพทย์โบราณในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) กล่าวว่า “รกเด็กมีอาหารมากมาย” และ “หากกินเป็นระยะเวลานาน…ก็จะมีอายุยืนยาว”
       
       สื่อมวลชนจีนรายงานว่า ความนิยมกินรกเด็กกลับมาปรากฏในจีนอีกครั้งเมื่อ 10 ปีก่อน โดยโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองหนันจิงรายงานว่า คุณแม่ภายหลังคลอดราวร้อยละ 10 นำรกในครรภ์กลับติดมือไปด้วย
       
       นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนสูตรอาหารทำจากรกเด็กกันอย่างเอิกเกริกในอินเทอร์เน็ต เช่น ปรุงเป็นแกงจืด เอามาห่อกับแป้งทำเป็นเกี๊ยว ลูกชิ้น หรือนำไปผสมกับเครื่องยาจีน
       
       แม้รัฐบาลจีนประกาศห้ามการค้าอวัยวะมนุษย์เมื่อปี 2548 แต่ยา ซึ่งทำจากผงรกเด็กก็มีการวางจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายตามร้านเภสัชในจีน แสดงว่า รกเด็กทิ้งแล้วไปตกอยู่ในมือของบริษัทผู้ผลิตยา และรกเด็กในรูปของเม็ดยาก็ขายดิบขายดีเสียด้วย
       
       ไม่เพียงแต่คุณแม่เท่านั้น ที่ต้องการกินรกในครรภ์ของตัวเอง คุณพ่อมือใหม่คนหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้เล่าว่า พวกญาติ ๆ ที่มาเยี่ยมก็อยากลิ้มลองเจ้าสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะนี้ด้วย
       
       “ผมกับภรรยายังอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย…พวกญาติ ๆ ก็กินรกเด็กกันแล้ว” เขากล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภค ที่มีมากมายทำให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลหลายแห่งแอบจับมือกับตลาดมืด หรือแม้แต่คนเป็นแม่เอง นำรกเด็กไปขาย ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
       
       เมื่อปีที่แล้ว ทางการเข้าสอบสวนโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองก่วงโจว หลังจากพบว่า มีการขายรกเด็กชิ้นละ 20 หยวน หรือราว 100 บาท
       
       “พวกพยาบาลได้เงินไปเป็นค่าอาหารเช้า” แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
       
       หนังสือพิมพ์จี๋หนันไทมส์รายงานเมื่อปีที่แล้วว่า ในพื้นที่อื่น ๆ เช่นเมืองจี๋หนัน พ่อค้าเรียกราคาสูงถึง300 หยวน แหล่งที่มาของรกเด็กส่วนใหญ่ก็มาจากโรงพยาบาลนี่เอง
       
       ขณะที่เมื่อเดือนที่แล้วเจ้าหน้าที่ศุลกากรของเกาหลีใต้สามารถยึดยาแคปซูลลักลอบนำเข้ากว่า 17,000 เม็ด ซึ่งดูเหมือนว่าทำจากเลือดเนื้อของทารก ที่ตายแล้ว และถูกบดป่นเป็นผง
       
       ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ยาเหล่านี้อาจทำมาจากรกเด็กจริงๆ ก็ได้ ซึ่งยิ่งก่อความวิตกกันว่า การค้ารกเด็กในจีนเริ่มระบาดกันในระดับอินเตอร์แล้ว
       
       ขณะที่ชาวจีนบางคนก็ไม่เห็นด้วยกับการกินรกเด็กเพื่อสุขภาพ
       
       “ ฉันทราบค่ะว่ามันดีต่อสุขภาพ แต่ความคิดที่จะกินเลือดเนื้อของมนุษย์เนี่ย มันน่าขนลุก ฉันทำไม่ได้” นางเกรซ เจียง สมุห์บัญชีในนครเซี่ยงไฮ้กล่าว
       
       ภายหลังจากคลอดบุตรชาย เธอสมัครใจทิ้งรกเด็ก ไม่เอาติดมือกลับบ้านมาด้วยอย่างเด็ดขาด


ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2555

5634
พบชายไทยนิยมเลเซอร์เพื่อความงามมากขึ้น 10-15% รักษาการ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง แนะคิดก่อนทำ โดยเฉพาะผู้มีอาการแพ้ง่าย ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน ด้านรองอธิบดีกรมการแพทย์ ติงหมอเปิดคลินิกความงามแข่งขันอย่างดุเดือด ผิดระเบียบแพทยสภา
       
       วันนี้ (25 ก.ค.) นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคผิวหนังเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่สถาบันโรคผิวหนังมากถึง 1.8 แสนคนต่อปี โดยอาการของโรคที่พบมากที่สุด คือ
1.อาการผื่นแพ้จากปูนซีเมนต์ หรือผงซักฟอก
2.ปัญหาสิว และ
3.ปัญหาเรื่องสีผิว
โดยปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มเข้ารับการรักษาโรคผิวหนังด้วยเลเซอร์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายที่เพิ่มมากขึ้น 10-15% สำหรับสัดส่วนในการรักษาโรคผิวหนังด้วยเลเซอร์ พบว่า ร้อยละ 95 เข้ารับการรักษาเนื่องจากความนิยมในเรื่องของความสวยงาม ได้แก่ การทำหน้าขาวใส ลบรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำผิวให้กระชับ กำจัดขน และรักษาอาการเส้นเลือดขอด ส่วนที่มารับการรักษาโรคจริงๆ อาทิ ปานแดง ปานดำ และเนื้องอกมีไม่ถึง และร้อยละ 5

       นพ.จินดา กล่าวอีกว่า ข้อควรระวังในการรักษาและเสริมสวยด้วยเลเซอร์ คือ ผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา ส่วนผู้ป่วยเบาหวานจะต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะจะมีผลต่อการหายจากโรค ที่สำคัญคือเมื่อทำการรักษาไปแล้วจะต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับโรคและเครื่องมือที่ใช้ในการรักษา
       
       “ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยเลเซอร์หรือไม่ เพราะอาการทางผิวหนังบางอย่างอาจหายไปเองได้ และหากมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ จะต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ต้องมีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหลังการรักษาว่าจะเกิดผลข้างเคียงอย่างไร และบางกรณีที่ไม่สามารถรักษาแล้วหายภายในครั้งเดียว อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง” นพ.จินดา กล่าว
       
       ด้าน นพ.จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อดีตผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ปัญหาผิวพรรณและผิวหน้าเป็นสิ่งใกล้ตัว ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดคลินิกเพื่อดูแลด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก และมีกลยุทธ์ในการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อชักจูงให้ประชาชนไปใช้บริการด้วยการจัดโปรโมชันลด แลก แจก แถม และจัดโปรแกรมการให้บริการ ซึ่งลักษณะอย่างนี้ถือว่าผิดระเบียบของแพทยสภา ที่แพทย์ไม่สามารถกระทำการอย่างนี้ได้
       
       นพ.จิโรจ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ประชาชนควรทำความเข้าใจ คือ การรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง เนื่องจากเลเซอร์แต่ละตัวมีข้อจำกัดในตัว เลเซอร์บางอย่างไม่สามารถใช้กับบางเรื่องได้ ฉะนั้น การทำเลเซอร์นอกจากต้องคำนึงถึงชนิด อาการ และเครื่องมือที่ใช้แล้ว ยังต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการในการรักษาด้วย ทั้งนี้ หากมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน เชื่อว่า สถาบันโรคผิวหนัง ซึ่งถือเป็นหน่วยงานราชการที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่องมือที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ จะทำให้มีผู้ป่วยต่างชาติมารับบริการมากขึ้น
       
       “ปัจจุบันมีการสร้างดีมานด์เทียม เช่น เรื่องขาวทั้งตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องการตลาดทั้งสิ้น และคลินิกบางแห่งก็มีการนำยาผิดกฎหมายเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองต่อค่านิยมที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยอาจรู้สึกชินกับการใช้ของที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้มาตรฐานของประเทศไทยตกต่ำในอนาคต” รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2555

5635
รพ.จุฬาฯ เจ๋ง คิดค้นอุปกรณ์ปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง โดยไม่ต้องผ่าตัดได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น แพทย์เผยส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยเด็กที่มีอาการหัวใจพิการแต่กำเนิด
       
       เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แถลงข่าว “ผลสำเร็จ การคิดค้นอุปกรณ์ปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง โดยไม่ต้องผ่าตัด” โดย รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ศูนย์โรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาเป็นผลสำเร็จในการคิดค้นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง โดยไม่ต้องผ่าตัด จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่สามารถเลือกการรักษาแทนการผ่าตัดได้ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้รวดเร็วขึ้น นับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ครั้งแรกโดยคนไทยที่สามารถผลิตอุปกรณ์เพื่อรักษาผู้ป่วยได้จริง
       
       รศ.นพ.พรเทพ เลิศทรัพย์เจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเด็ก ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ กล่าวว่า การคิดค้นอุปกรณ์ชิ้นนี้ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับปิดรูรั่วหัวใจห้องล่าง ซึ่งมีความพิเศษกว่าอุปกรณ์เดิม เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้ผลิตจากโลหะนิทินอล และเคลือบด้วยทองคำขาวจากนาโนเทคโนโลยี ซึ่งนอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นสูงกว่าอุปกรณ์เดิม เพื่อป้องกันไม่ให้นิเกิลทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อเหมือนอุปกรณ์เดิม ซึ่งจะช่วยลดอาการข้างเคียง อาทิ นิเกิลเข้ากระแสเลือด และการกดทับทางเดินเส้นประสาท และกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาภาวะหัวใจขัด (Heart Lock) ที่เกิดจากอุปกรณ์เดิม โดยภาวะดังกล่าวทำให้หัวใจห้องล่างเต้นช้ากว่าห้องบน ผู้ป่วยจึงต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นได้ร้อยละ 2-8

อุปกรณ์ปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง โดยไม่ต้องผ่าตัด
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะเป็นการนำลวดนิทินอล มาสานและขึ้นรูปเป็นอุปกรณ์ที่สามารถปิดรูรั่วได้ดี และเปลี่ยนโครงสร้างของแกนกลางทำให้เกิดแรงกดบนเนื้อเยื่อรอบข้างน้อยที่สุด และได้ออกแบบรูปร่างของอุปกรณ์เป็น 3 แบบ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะที่แตกต่างกันของรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง สำหรับการใช้งานนั้น แพทย์จะเจาะรู 2 รู บริเวณเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง ที่ขาหนีบ ซึ่งมีขนาดเพียง 2 มิลลิเมตร และใช้อุปกรณ์ใหม่นี้ใส่เข้าไปในลวดตัวนำ คล้ายๆ ท่อนำผ่านอุปกรณ์เข้าสู่หัวใจห้องล่างที่มีรูรั่ว และยิงอุปกรณ์ปิดรูรั่วนั้นๆ ซึ่งหลังการใส่อุปกรณ์แพทย์จะสังเกตอาการผู้ป่วย 1 คืนก็สามารถกลับบ้านได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าใช้จ่ายในการใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ ยังไม่ได้กำหนดราคา แต่จากการที่จุฬาฯ ร่วมพัฒนาได้ขอให้มีการกำหนดราคาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยในประเทศ ไม่ให้เดือดร้อน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอุปกรณ์เดิมอยู่ที่ 55,000 บาท
       
       “ผู้ป่วยที่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยเด็กที่มีอาการหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งปัจจุบันตัวเลขเด็กที่มีปัญหาหัวใจพิการแต่กำเนิดอยู่ที่ 8 ต่อหนึ่งพันราย ส่วนเด็กที่มีรอยรั่วหัวใจจะมีอัตราส่วนร้อยละ 30 ของเด็กที่มีหัวใจพิการแต่กำเนิด และอาจมีหลายปัจจัยร่วมด้วย อาทิ หัวใจตีบตัน รูรั่วหัวใจบน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดในการใช้ คือ แพทย์จะพิจารณาถึงตำแหน่ง และขนาดของรูรั่ว หากตำแหน่งอยู่ใกล้กับทางเดินเส้นประสาท และขนาดรูรั่วใหญ่เกิน แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัด สำหรับในเด็กนั้น หากมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 8 กิโลกรัม แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเช่นเดียวกัน” นพ.พรเทพ กล่าว
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า สำหรับการคิดค้นอุปกรณ์ดังกล่าว ไม่ใช่อุปกรณ์ชิ้นแรกในโลก เพราะมีการใช้มาร่วมกว่า 30 ปี เพียงแต่ผลไม่ค่อยดี เนื่องจากมีผลข้างเคียง จึงมีการพัฒนาอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้น ซึ่งมีการใส่อุปกรณ์ชิ้นนี้ไปแล้ว 16 ราย สามารถทำการปิดรูรั่วสำเร็จ 12 ราย โดย 2 ราย ใส่ไปแล้ว แต่เกิดปัญหาภาวะแทรกซ้อน อุปกรณ์ปิดไม่สนิท เส้นเลือดแดงแตก ส่วนอีก 2 ราย เกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจหลังการผ่าตัด และเม็ดเลือดแดงแตก จึงต้องหยุดทำทันที และแนะนำให้ทำการผ่าตัดแทน ทั้งนี้ จากการติดตามผู้ป่วยภายหลังการใส่อุปกรณ์ พบว่า ผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้น และไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจากการใส่อุปกรณ์แต่อย่างใด
       
       รศ.นพ.สุพจน์ ศรีมหาโชตะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ฝ่ายอายุรศาสตร์ กล่าวว่า นอกจากการรักษาผู้ป่วยที่มีผนังกั้นหัวใจพิการแต่กำเนิดแล้ว ในผู้ใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งในบางรายกล้ามเนื้อบริเวณผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีการเปื่อยยุ่ยและทะลุ เกิดเป็นรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว การรักษาที่เป็นมาตรฐาน คือ การผ่าตัดเย็บปิดรูรั่ว แต่เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดสูงมาก การรักษาด้วยการใช้อุปกรณ์ปิดผนังกั้นหัวใจที่รั่วนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ศูนย์โรคหัวใจได้ทำการรักษาผู้ป่วยรายแรกที่มีอาการหอบเหนื่อย และมีภาวะหัวใจล้มเหลวจากโรคดังกล่าวด้วยอุปกรณ์ชนิดใหม่นี้ เมื่อหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ภายหลังการปิดรูรั่วด้วยอุปกรณ์ พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับยารักษาโรคหัวใจอย่างต่อเนื่องและป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ควบคุมไขมันในเลือด หยุดการสูบบุหรี่ รักษาความดันโลหิตสูงและเบาหวาน เพื่อป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจ
       
       ผศ.พญ.สมนพร บุณยะรัตเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด ฝ่ายอายุรศาสตร์ กล่าวว่า ขั้นตอนของการปิดรูรั่วด้วยอุปกรณ์ดังกล่าว ต้องมีการประเมินขนาดและตำแหน่งของรูรั่วว่าเหมาะสมที่จะปิดด้วยอุปกรณ์หรือไม่ ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการตรวจประเมินโดยใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ หรือ Echo ทั้งแบบผ่านผนังทรวงอกและบางรายอาจต้องกลืนสายเพื่อตรวจผ่านหลอดอาหาร เพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้น การทำงานประสานกันของทีมผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งพัฒนาการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจสามมิติในการตรวจแสดงภาพ เป็นผลให้สามารถเลือกวิธี ชนิด และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ในขณะปิดรูรั่ว แพทย์จะใช้ข้อมูลจากการสวนหัวใจร่วมกับข้อมูลจาก Echo ในการวางตำแหน่งอุปกรณ์ และประเมินผลการปิดรูรั่ว ส่วนการติดตามผลในระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญมาก นอกจากการตรวจพื้นฐานแล้ว แพทย์จะตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจเป็นระยะ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลได้ดี ไม่มีรังสี สามารถตรวจซ้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย และค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
       
       นายสุดศิลป์ ศรีสุวรรณ อายุ 57 ปี ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และมีผนังหัวใจรั่ว กล่าวว่า ก่อนจะรับการผ่าตัด มีอาการเหนื่อยง่าย แม้จะเดินเข้าห้องน้ำยังต้องหยุดพักอย่างน้อย 2-3 ครั้ง แต่หลังรับการผ่าตัดไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมา สามารถทำงานได้ตามปกติ เดินขึ้นบันไดได้ และไม่พบภาวะแทรกซ้อนใดๆ


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2555

5636
ตีแผ่ปมปัญหาโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จากรัฐบาลทักษิณ ถึง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ผ่านมา 10 ปี กลับพบความห่วยของระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น วงการแพทย์สุดทนแฉ! เหตุงบรายหัว 30 บาทถูกตัด ส่งผลให้ต้องลดคุณภาพยา-สั่งหมอรักษาต่อรายห้ามเกิน 700 บาท กระทั่งส่งต่อผู้ป่วยให้เป็นภาระโรงพยาบาลขนาดเล็ก ระบุธรรมาภิบาลของผู้บริหาร โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด ติดลบ ใช้วิธีคุมงบด้วยการส่งต่อคนไข้และเป็นต้นเหตุผู้ป่วยตาย! ขณะที่ สปสช. ดึงงบรักษาไปใช้ผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เชื่อไม่เกิน 10 ปีหลักสูตรนี้ล้มเหลว!
       
       ถ้าถามว่าปี 2544 นโยบายอะไรที่โด่งดัง จนทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย คงหนีไม่พ้นนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ที่ยึดหลักการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกันของประชาชนไทยโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสทางสังคม นโยบายนี้ถูกเรียกว่าเป็น “นโยบายประชานิยม” ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของผลทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอย่างมาก
       
       แต่หลังจากมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 19 พ.ย. 2545 ผลปรากฏว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค มีปัญหากระท่อนกระแท่นมาโดยตลอด
       
       จวบจนวันนี้ผ่านมาแล้ว 10 ปี โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็ยังมีปัญหาที่หนักหน่วง
       
       โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงสุขภาพที่ไม่ได้คุณภาพ และโรงพยาบาลบางแห่งถึงกับมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลอย่างหนัก แม้กระทั่ง “หมอ” เองก็รับไม่ได้กับปัญหาในขณะนี้!
       
       ปัญหาบางอย่าง ประชาชนที่เข้ารับบริการ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่มีทางที่จะรู้ว่ากำลังได้รับบริการที่ไม่เหมาะสม แถมปัญหาหลายๆ อย่างกำลังเป็นปัญหาที่หนักที่ยังคงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       30 บาทระส่ำ มีปัญหาทุกระดับ
       
       โดยแพทย์จากโรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมีปัญหาในทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ ตัวคนไข้, นโยบายรัฐ, แพทย์ และโรงพยาบาล
       
       สำหรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น เป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลจำนวนมาก เพราะคิดว่าถ้ามาโรงพยาบาลอย่างไรก็จะได้ยารักษาโรคง่ายๆ ทำให้ประชาชนไม่ดูแลสุขภาพ เมื่อรับยาได้ง่ายๆ ก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของยา มีการใช้ยาอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ
       
       จึงเรียกได้ว่านโยบายป้องกันสุขภาพของทางรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง คือประชาชนไม่สนใจป้องกันสุขภาพ ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลแม้จะเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก การรักษาจึงเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เมื่อเกิดความผิดพลาดก็เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลจะถูกต่อว่าว่ามีการบริการไม่ดี มีความแออัด
       
       “นโยบายป้องกันโรคล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลต้องการให้เห็นภาพคนในโรงพยาบาลมีจำนวนไม่เยอะ แต่สุดท้ายมันเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะแค่กระจายคนไข้ไปหน่วยอื่นๆ คนไข้เท่าเดิม หมอก็เท่าเดิม แค่เดินทางไปสถานที่อื่นเท่านั้น”
       
       กรณีนี้เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน พอมาในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการมีนโยบายให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือสถานีอนามัยเก่า นั่นเอง
       
       “เบาหวาน-ความดัน”ต้องไปรพ.ปฐมภูมิก่อน
       
       โดยแนวคิดนั้นเป็นแนวคิดที่ดี ที่จะให้คนไข้ไปรักษาที่หน่วยปฐมภูมิและมีการคัดกรองคนไข้ให้ลดลงก่อนที่จะส่งมาโรงพยาบาลทุติยภูมิ และตติยภูมิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รพ.สต.นั้นปัญหาคือไม่มีแพทย์ประจำ คนไข้จะต้องไปเฉพาะวันที่แพทย์เข้าเวรเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ หรือคนไข้ที่เป็นโรคทั่วๆ ไป จะให้พยาบาลเป็นผู้รักษาเบื้องต้น
       
       “ปัญหาคือคนป่วยที่เป็นโรคต่อเนื่องอย่างเบาหวาน ความดัน ก็ต้องออกมารักษาที่ รพ.สต.ทั้งคนไข้เก่าและคนไข้ใหม่ หากอาการหนักถึงจะมีการส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้น แต่ผลปรากฏว่าได้ผลไม่ดีนัก เพราะแพทย์ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง ซึ่งคนไข้เดิมนั้นรักษากับแพทย์เฉพาะทางอยู่ แต่พอต้องออกมารักษา รพ.สต. ที่แพทย์จะผลัดเวรกันมา รวมกับจำนวนผู้ป่วยที่มารักษาโรคในระดับปฐมภูมิที่มีจำนวนมากอยู่แล้ว ทำให้การรักษาแบบตรวจละเอียด โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ต้องเจาะเลือดนั้น ทำได้ไม่เต็มที่”
       
       ในส่วนของแพทย์เองนั้น พบว่าแพทย์ก็ไม่ได้อยากมาประจำที่ รพ.สต.เนื่องจากแพทย์ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในเวลานี้ส่วนมากเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
       
       “อย่างแพทย์ศัลยกรรมกระดูก ก็ไม่อยากไปเข้าเวรที่ รพ.สต. เพราะเมื่อไปเข้าเวร ตัวเองเป็นแพทย์กระดูก แต่ต้องไปรักษาโรคพื้นฐานทั่วไปก็ไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง อีกทั้งให้แพทย์เฉพาะทางอย่างแพทย์กระดูกไปตรวจเป็นแพทย์ทั่วไป ตรงนี้ก็เป็นการหลอกประชาชน ถือเป็นความยากลำบากในการบริหารจัดการแพทย์ทั้งระบบ เพราะคนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดก็มีน้อยอยู่แล้ว”
       
       สั่งหมอรักษาต่อหัวไม่เกิน700บาท-ลดคุณภาพยา
       
       นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาสำคัญที่สุดตั้งแต่มีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คือเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณที่โรงพยาบาลต่างๆ จะต้องบริหารเอง ในส่วนนี้มีทั้งโรงพยาบาลที่ดี และโรงพยาบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล
       
       “ค่าใช้จ่ายรายหัวกำลังเป็นปัญหามาก เพราะค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลให้คิดเป็นรายหัว ไม่ได้คิดตามการรักษาเป็นครั้งๆ ดังนั้นเมื่อเหมาจ่ายไปแล้ว ถ้าคนไข้มารักษาแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก บ่อยๆ โรงพยาบาลก็ขาดทุน โรงพยาบาลก็ต้องพยายามดึงคนให้มาอยู่ในเขตการรักษาให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มงบบริหารจัดการของโรงพยาบาล”
       
       ทั้งนี้ จากการที่เคยเป็นแพทย์อยู่ในหลายท้องที่ กลับพบปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ ตัวเลขประชาชนที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ ก็พบว่าเป็นตัวเลขหลอก
       
       “ตัวเลขหลอกคืออย่างในบางพื้นที่ เช่นภาคอีสาน มีจำนวนคนอยู่ในเขตนี้จำนวนมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายรายหัวกระจุกตัวอยู่มาก แต่คนไปรักษาพยาบาลจริงน้อย เพราะคนภาคอีสานไม่ได้อยู่ในถิ่นฐานมากนัก ไม่เหมือนกับภาคอื่นๆ โดยเฉพาะภาคกลาง ที่มีจำนวนคนอยู่จริงในพื้นที่พอๆ กับตัวเลขที่แท้จริง ปัญหาก็เลยเกิดว่าโรงพยาบาลในภาคกลางนั้นมีสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินต่ำ เรียกว่ายิ่งคนไข้ visit มากยิ่งขาดทุนมาก”
       
       ปัญหานี้ทำให้โรงพยาบาลต้องปรับตัวแก้ปัญหาเอง โรงพยาบาลที่ดีมีจรรยาบรรณก็จะพยายามรักษาคนไข้ให้ดีที่สุดในงบประมาณตึงตัว แต่หลายโรงพยาบาลกลับพบว่าไม่ได้รักษาจรรยาบรรณ โดยมีทั้งการลดคุณภาพยา การผลักไสคนไข้ให้กลับไปรักษาโรงพยาบาลต้นทางแทน
       
       “โรงพยาบาลดีๆ ก็จะยอมขาดทุนโดยเอายาคุณภาพดีๆ มารักษาคนไข้ แต่หลายโรงพยาบาลทำน่าเกลียด โดยที่รู้มาโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลศูนย์ได้มีคำสั่งภายในให้หมอรู้กันเองว่า ถ้าคนไข้คนไหนมีค่ารักษาพยาบาลเกินหัวละ 700 บาทเมื่อไร ให้กลับไปรับยาที่เหลือในโรงพยาบาลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิแทน แทนที่คนไข้จะได้รับยาจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ 1 เดือนก็ได้ยาไม่ถึง 1 เดือน ตรงนี้เป็นเทคนิคที่มีการทำกันมาก”
       
       รพ.ในกทม.จ่ายยาคุณภาพต่ำกว่าต่างจังหวัด
       
       ส่วนคนไข้ที่โรงพยาบาลทั่วไปรักษาไม่ได้ เมื่อส่งไปให้โรงพยาบาลศูนย์ผ่าตัดเสร็จ ก็มีการให้กลับไปรับยาในโรงพยาบาลที่เล็กกว่า หรือโรงพยาบาลเดิมในแม่ข่าย เพื่อที่โรงพยาบาลใหญ่จะได้ประหยัดงบประมาณรายหัว เป็นต้น
       
       “มันไปเสียหายที่คนไข้ บางคนได้ยาไปแค่ 2 เม็ด เสร็จแล้วต้องไปขอยาโรงพยาบาลเล็กกว่าแทน ลักษณะนี้เป็นการบริหารจัดการภายในเมื่อเห็นว่าจะขาดทุน ก็ใช้เทคนิคในการหลบเลี่ยง”
       
       อย่างไรก็ดี แม้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะมีข้อจำกัด แต่กลับพบว่าปัญหาโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครน่าเป็นห่วงมากกว่า
       
       “พื้นที่ในเขต กทม.นั้น มีการกระจายการรักษาที่น้อยกว่า มีการกระจุกตัวมากกว่า การเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำได้น้อยกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ที่สำคัญเนื่องจากคนไข้มีจำนวนมากและกระจุกตัวตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทำให้มาตรฐานคุณภาพยาที่ให้คนไข้ยิ่งต่ำกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด”
       
       ฟันธง“เวชศาสตร์ครอบครัว”อีก 10 ปีล่ม
       
       
       ขณะเดียวกันการที่กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ประชาชนไปรักษาพยาบาลที่หน่วยปฐมภูมิมากขึ้นนั้น เป็นเพราะมีการผลักดันหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อให้แพทย์เหล่านี้ที่จบออกมาไปดูแลโรงพยาบาลในชุมชน ตามหลักการแล้วเป็นเรื่องที่ดี มีหน้าที่หลักในการแนะนำประชาชนให้รู้จักป้องกันโรค แต่ข้อเสียก็มีเพราะ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวถ้าเจอเคสที่ยากๆ อาจจะได้แค่วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นโรคร้าย แต่ก็ไม่สามารถตรวจอย่างละเอียดได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ต้องส่งคนไข้ให้แพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เป็นผู้วินิจฉัยอีกที
       
       ดังนั้น หากแพทย์ดังกล่าวเจอคนไข้ที่เป็นเคสร้ายแรง ก็อาจจะทำการรักษาไม่ทันการได้เช่นกัน ซึ่งปัญหานี้น่าเป็นห่วง
       
       โดยหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวนี้ เป็นหลักสูตรอบรมแพทย์ที่เรียนจบแพทย์มา 6 ปีแล้วมาต่อยอดเรียนเป็นหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัวอีก 3 ปี ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าทดแทน และหลังเรียนจบต้องไปปฏิบัติงานที่หน่วยบริการปฐมภูมิ โดยมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวรายใหม่ปีละ 200 ราย เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะสามารถเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวได้ 1,000 คน
       
       ที่สำคัญแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มจากที่ได้รับในระบบปกติ ปีที่หนึ่ง 10,000 บาท/คน/เดือน ปีที่สอง 20,000 บาท/คน/เดือน และปีที่สาม 30,000 บาท/คน/เดือน และต้องกลับไปใช้ทุนที่ต้นสังกัดเดิมอย่างต่ำ 3 ปี โดยหลักสูตรนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552
       
       ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข พบว่า หลักสูตรนี้มีปัญหาใหญ่คือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นวิธีการที่ผิด ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งเป็นการฝืนธรรมชาติของคนที่เป็นหมอ
       
       “รพ.สต.ปัจจุบัน ให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจรักษาคนไข้ในโรคพื้นฐานได้อยู่แล้ว ถ้ารักษาไม่ได้ก็ส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น แต่ทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา ก็ปรากฏว่าไม่มีคนเรียน เพราะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนที่เป็นหมอ”
       
       แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข อธิบายอีกว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคได้มีการจัดระบบการบริการสุขภาพเป็น 3 ระดับ คือ ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ โดยแต่เดิมสถานีอนามัยนั้นถือเป็นหน่วยงานที่ต้องรักษาคนไข้ที่ไม่มีภาวะซับซ้อน ไม่มีภาวะวิกฤต ถ้าไม่ไหวค่อยส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น และถ้าไม่หายก็จะมีการเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นระยะ เช่นอาทิตย์ละ 1-2 วัน ที่เหลือให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจไปได้
       
       เมื่อมีการปรับมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบาล (รพ.สต.) จึงได้มีการดึงหมอไปอยู่กับคนไข้ที่ไม่ได้มีเคสที่ป่วยหนักทุกวัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
       
       ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์ เพราะแพทย์ทุกคนอยากพัฒนาสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่นถ้าเปรียบเทียบกับเวชศาสตร์ครอบครัวกับเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา เรียน 3 ปีเท่ากัน หมอก็อยากเรียนในหลักสูตรเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา มากกว่า เพราะถ้าไม่มีเวลาก็ทำงานไป สามารถสอบขึ้นทะเบียนและเรียนทางไกลได้ แต่ถ้าหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว เหมือนให้หมอมาเริ่มต้นเรียนใหม่ เสียเวลา แถมผลิตได้ปีละแค่ 50 คน
       
       “ซ้ำยังมีการให้เงินเดือนคนละ 10,000-30,000 บาทต่อคนต่อเดือน ตามชั้นปีที่เรียน เงินจำนวนนี้ก็คือเงินจูงใจให้มาเรียน แต่กลับพบว่าเป็นเงินในกองทุนหลักประกันสุขภาพนั่นแหละ แทนที่โรงพยาบาลต่างๆ จะเอางบส่วนนี้ไปบริหารได้ ก็ต้องแบ่งสันมาให้แพทย์เรียนหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งดูแลไม่เกิน 10 ปี หลักสูตรนี้จะต้องพัง เพราะมันหลงทาง” แหล่งข่าวระบุ

ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต
       ตัดค่าใช้จ่ายรายหัว-ไม่หนุนงบเครื่องมือแพทย์
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานแพทย์ชนบท กล่าวว่า เห็นด้วยกับการแบ่งการรักษาเป็น 3 ระดับคือการรักษาแบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ โดยจะมีการส่งต่อโดยให้ผู้ป่วยไปหาหมอที่สถานีอนามัยช่วยกลั่นกรองคนไข้ที่อาการไม่หนัก เป็นการแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือในต่างจังหวัดก็เป็นโรงพยาบาลตำบล โรงพยาบาลอำเภอหรือโรงพยาบาลชุมชนก่อน ถ้ารักษาไม่ได้ค่อยส่งต่อไปโรงพยาบาลชุมชน แล้วส่งต่อไปโรงพยาบาลจังหวัด หรือโรงพยาบาลศูนย์ประจำภูมิภาคนั้นๆ
       
       โดยคิดง่ายๆ แบ่งหมอเป็น 3 ระดับ ได้แก่ หมอจบปริญญาตรี หมอจบปริญญาโท และหมอจบปริญญาเอก จะอยู่ในโรงพยาบาลที่ต่างกัน หมอจบปริญญาตรีก็ควรอยู่ในหน่วยปฐมภูมิ เพื่อรักษาคนไข้อาการพื้นฐาน ส่วนหมอจบปริญญาโทก็ดูแลคนป่วยในเคสที่ยากขึ้นไปอีก เช่น อายุรศาสตร์ทางยาทั่วไป เช่นโรคหัวใจ สูตินรีเวช เด็ก กระดูก และหมอระดับปริญญาเอกรักษาโรคอายุรศาสตร์โรคเฉพาะทาง เช่นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคระบบประสาททางด้านสมอง เป็นต้น ซึ่งหมอระดับปริญญาเอกก็จะอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์เป็นหลัก
       
       “ระบบนี้เป็นระบบกลั่นกรองคนไข้ ไม่ให้คนไข้มากระจุกตัวอยู่กับหมอ หรืออาจารย์หมอเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบที่ดี”
       
       ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นห่วงคือการดูแลเรื่องงบประมาณด้านสุขภาพของรัฐบาล โดยทุกวันนี้ต้องยอมรับว่างบประมาณรายหัวของประชากรในระบบ 30 บาทนั้น ถือว่าคิดตามความเป็นจริงมากกระทั่งเกิดความตึงตัวในการบริหารงบประมาณของโรงพยาบาลหลายๆ แห่ง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับงบในการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่ตกอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาทต่อหัว ซึ่งมากกว่าระบบ 30 บาทกว่า 4 เท่า
       
       “โรงพยาบาลพอเห็นว่าเป็นเงินจากกองทุนข้าราชการ ก็จะมีการคิดราคาเกินความเป็นจริง เพื่อเอางบมาไว้ที่โรงพยาบาลจำนวนมาก ก็ไม่เคยมีใครตรวจสอบราคาการรักษาที่แท้จริง ทำให้มีงบประมาณการรักษาที่แพงเกินจริงไปมาก”
       
       ขณะที่งบประมาณรายหัวของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีการคำนวณกันอย่างดี แต่กลับถูกรัฐบาลปรับลดเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายรายหัวที่รัฐบาลอนุมัติให้ในปี พ.ศ. 2556 นั้นจะอยู่ที่ 2,755.60 บาท ถูกปรับลดจากปี พ.ศ. 2555 ไป 141 บาทต่อหัว ทั้งๆ ที่ในปี 2556 นั้นมีการคำนวณจากค่ายา รวมทั้งค่าเงินเฟ้อที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 2,939.73 บาทต่อหัวประชากร
       
       ส่วนนี้ทำให้เกิดปัญหาการจัดบริการ ทำให้คนที่ต่อต้านระบบ 30 บาทอยู่แล้วยิ่งต่อต้านไปอีก เพราะงบประมาณเป็นไปในลักษณะจำกัดจำเขี่ยมากเกินไป
       
       “รัฐบาลไม่น่าจะปรับเงินค่าใช้จ่ายรายหัวลดลง เพราะทำให้เกิดแรงต้านสูงมากโดยเฉพาะจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่พองบฯ ไม่พอก็ใช้วิธีส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นๆ ซึ่งเกินความจำเป็น และเป็นเหตุให้คนไข้เสียชีวิตก็มีมาก”
       
       นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดงบการลงทุนด้านสาธารณสุขเลย ทั้งการลงทุนอาควร สถานที่ รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาลต่างๆ มีเครื่องมือแพทย์ที่เก่าและล้าสมัยมาก ตรงนี้ไม่สอดคล้องกับนโยบายดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ต้องการให้มีความเท่าเทียม และมีการเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโรงพยาบาลใหญ่ๆ ไม่พอ แถมยังกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงเสียอีก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2555

5638
กรมทางหลวงคลอด พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายใหม่ "บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี" ระยะทาง 98 กม.รับท่าเรือน้ำลึกทวาย ดึงเอกชนลงทุน 4.5 หมื่นล้าน แนวเส้นทางตัดผ่าน 27 ตำบล 7 อำเภอ 4 จังหวัด "นนทบุรี-นครปฐม-ราชบุรี-กาญจนบุรี" ยอดผู้ถูกเวนคืน 3,727 ราย ที่ดิน 6,805 ไร่ เผยที่ดินหมู่บ้าน-ตระกูลดัง-แบงก์แจ็กพอตเพียบ

นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างเร่งรัดออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินบริเวณที่จะก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี ระยะทางรวม 98 กม. หลังกระทรวงคมนาคมได้รายงานความพร้อมของโครงการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ ช่วงที่มีการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.กาญจนบุรี ช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นโครงข่ายเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯและจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันตก รวมถึงรองรับการคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อท่าเรือน้ำลึกทวาย ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในอนาคตด้วย

"โครงการนี้มีแบบพร้อมแล้วเหลือแค่ออก พ.ร.ฎ.เวนคืนฯ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนนับจากนี้ไป รูปแบบการลงทุนกรมเสนอให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP โดยเอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดเก็บรายได้ค่าผ่านทาง รัฐลงทุนเฉพาะค่าเวนคืนที่ดิน หรือให้เอกชนลงทุนทั้ง 100% แล้วรัฐจ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยหลังปีที่ 5 เป็นต้นไป อยู่ที่ ครม.จะเลือกรูปแบบไหน"

ลงทุน 4.5 หมื่นล้าน

นายวันชัยกล่าวว่า ทั้งโครงการมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-นครปฐม-เมืองกาญจน์ ใช้เงินลงทุน 45,886 ล้านบาท แยกเป็นค่าเวนคืนที่ดิน 4,851 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง 40,495 ล้านบาท ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 540 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3-4 ปี ตามแผนภายในปีนี้หาก ครม.มีมติอนุมัติแผน จะเปิดประมูลหาเอกชนมาลงทุนทันที โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการเวนคืนที่ดินเพื่อให้โครงการแล้วเสร็จเร็วขึ้น จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างและเวนคืนที่ดินได้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป

มอเตอร์เวย์สายใหม่ - กรมทางหลวงกำลังนำโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-นครปฐม-เมืองกาญจน์ มาปัดฝุ่นก่อสร้าง จุดเริ่มต้นโครงการอยู่บริเวณจุดตัดระหว่างถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกกับถนนรัตนาธิเบศร์ ใกล้ตลาดบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

รูปแบบก่อสร้างเป็นถนน 4-6 ช่องจราจร ควบคุมการเข้าออก พร้อมด่านเก็บเงินค่าผ่านทางในระบบปิด (คิดตามระยะทาง) มีที่พักริมทาง โดยถนนในช่วงบางใหญ่-นครปฐมมีขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 51 กม. และช่วงนครปฐม-กาญจนบุรี 4 ช่องจราจร ระยะทาง 47 กม.

"ต่อไปเราจะขยายจากเมืองกาญจน์ไปถึงชายแดนไทย-พม่า ที่บ้านพุน้ำร้อนอีก 70 กม. เพื่อเชื่อมกับโครงการท่าเรือทวาย เป็นถนน 4 ช่องจราจร ล่าสุด กำลังจะว่าจ้างที่ปรึกษามาศึกษาความเหมาะสมโครงการ" อธิบดีกรมทางหลวงกล่าว

เวนคืน 6.8 พันไร่ 3.7 พันราย

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวงเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปี 2552 ที่ผ่านมา กรมได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเก็บข้อมูลการเวนคืนที่ดินในแนวเส้นทางมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี แนวเส้นทางจะพาดผ่านพื้นที่ประมาณ 27 ตำบล 7 อำเภอ ใน 4 จังหวัดคือ นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี มีผู้ถูกเวนคืน 3,727 ราย คิดเป็นเนื้อที่ 6,808.5 ไร่ เนื่องจากเป็นถนนตัดใหม่จะต้องเวนคืนที่ดินจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นที่ดินส่วนบุคคล และมีบางแปลงไม่มีชื่อเจ้าของ

"ราคาที่ดินช่วงที่เก็บข้อมูล ราคาสูงสุดอยู่ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง และ อ.บางใหญ่ เฉลี่ย 1-8 หมื่นบาท/ตร.ว. ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ไล่จาก จ.นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี ราคาจะไม่แพงมากนัก มีตั้งแต่ระดับ 100 บาทจนถึงหลายพันบาท/ตร.ว."

บางใหญ่-บางบัวทองโดนเพียบ

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับพื้นที่ถูกเวนคืน ประกอบด้วย 1) จ.นนทบุรี มี 2 อำเภอคือ อ.บางใหญ่ ในพื้นที่ ต.บางรักพัฒนา เสาธงหิน บางแม่นาง บ้านใหม่ ผู้ถูกเวนคืน อาทิ ที่ดินจัดสรรสหพร, ที่ดินบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ 10 ไร่, บจ.เทพเทียนทองการก่อสร้าง, รุ่งโรจน์สโตร์, นายชนินทร์ ล่ำซำ, นายภูวนัย ผึ่งผาย 22 ไร่, นายสิภูมิ นาคฉัตรีย์ บุตรชายนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย, บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, ตระกูลคล้ายสอน, นายสมบูรณ์ สินธุโรจน์ 83 ไร่, ตระกูลจิตรังษี, นางจำปา แก้วงาม, คุณหญิงธีราณี กรรณสูต 20 ไร่, ธนาคารเกียรตินาคิน และพื้นที่เวนคืน อ.บางบัวทอง ใน ต.บางรักพัฒนา อาทิ ที่ดินโรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ 6 ไร่, บิ๊กดีเวลลอปเม้นท์, บางใหญ่เรียลเอสเตท, บางใหญ่ โกลเด้นแลนด์, ที่ดินจัดสรรสหพร 35 ไร่ เป็นต้น

นครปฐมตระกูลดังเพียบ

2) พื้นที่เวนคืน จ.นครปฐม มี 3 อำเภอคือ อ.พุทธมณฑล มี ต.คลองโยง ผู้ถูกเวนคืน อาทิ ตระกูลสุริยประภาดิลก 44 ไร่, นางวาสนา เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา 1 ไร่, ที่ดินจัดสรรสหพร, น.ส.ธฤษวรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา อ.นครชัยศรี มี ต.ดอนแฝก อาทิ น.ส.พบพร บุษรานนท์ 52 ไร่, ตระกูลโกทองเจริญ, ตระกูลสิทธิชัย, ตระกูลธงศรีทอง, ตระกูลยอดศรีคำ 42 ไร่, นางจุไรรัตน์ บานขำ และนายหรั่ง กรรณวัฒน์ 72 ไร่, ตระกูลเสาะคำ, ตระกูลมาชมสมบูรณ์, ตระกูลจังตระกูลชัย, นายสุทธิชัย ศรีเฟื่องฟุ้ง 4 ไร่ บริเวณ ต.วัดละมุด อาทิ ตระกูลสุนทรีวิจิตร, ตระกูลหวังนิยม, ต.ศรีมหาโพธิ เช่น บ.นครชัยศรีฟาร์ม ต.แหลมบัว อาทิ ตระกูลตรงต่อศักดิ์, บ.ประมวลผล 80 ไร่, ตระกูลรังษีธรรมปัญญา, บจ.บริหารสินทรัพย์เพทาย 41 ไร่, ตระกูลอยู่ในธรรม, นางกัญรัตน์ กรรณสูต พื้นที่ ต.ศรีษะทอง และ ต.ท่าพระยา อาทิ ที่ดิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย, บ.ปาร์คโฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท, บ.เซ็นทรัลกอล์ฟ แปลงที่ดินต่อเนื่องถึงบางระกำ 157 ไร่ พื้นที่ ต.สัมปทาน อาทิ ที่ดินบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย 15 ไร่

และ อ.เมืองนครปฐม มี ต.สามควายเผือก อาทิ ที่ดินของตระกูลจุลนิพิฐวงษ์, ตระกูลพิชัยมณีโชติ, ที่ดินเครือลัดดาโฮลดิ้ง พื้นที่ ต.ทุ่งน้อย อาทิ ตระกูลหอมละออ, ตระกูลพรมรักษา, ตระกูลคล้ายสถาพร พื้นที่ ต.มาบแค อาทิ ตระกูลจิตสงบ ต.นครปฐม ต.วังตะกู และ ต.หนองปากโล่ง อาทิ ตระกูลเถาตระกูล ต.โพรงมะเดื่อ อาทิ ตระกูลวังตาล ต.บ้านยาง อาทิ ตระกูลจนรื่น ฯลฯ

ตระกูลวังตาล โดน 200 ไร่

3) จ.ราชบุรี มี อ.บ้านโป่ง ต.กรับใหญ่ อาทิ ที่ดิน พ.ต.ท.วีระพงษ์ วังตาล กว่า 200 ไร่, ตระกูลเรืองจินดา, ตระกูลว่องกุศลกิจ ฯลฯ 4) จ.กาญจนบุรี มี อ.ท่ามะกา พื้นที่ ต.สนามแย้ เช่น ที่ดินตระกูลวังตาล นอกจากนั้นมี ต.ดอนชะเอม ต.ตะคร้ำเอน ต.ทุ่งทอง ต.หนองขาว อาทิ ตระกูลของหอมขจร ฯลฯ

สำหรับแนวเส้นทางจะมีจุดเริ่มต้นบริเวณต่างระดับบางใหญ่ จะเชื่อมกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก จากนั้นจะตัดผ่านที่ดิน อ.พุทธมณฑล อ.นครชัยศรี อ.เมืองนครปฐม อ.บ้านโป่ง อ.ท่ามะกา และไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 324 (ถนนกาญจนบุรี-อู่ทอง) บริเวณ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

 21 มิ.ย. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

5639
โปรเจ็กต์เมกะเวนคืนอีก 1 โครงการ "สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและถนนเชื่อมต่อบริเวณ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ-จ.สมุทรสาคร" ทาง "ทช.-กรมทางหลวงชนบท" เพิ่งจะหยิบมาปัดฝุ่นศึกษาลงทุนรอบใหม่ มูลค่าคราวนี้ประเมินอยู่ที่เกือบ 2 หมื่นล้านบาททีเดียว

เวนคืน 3 จังหวัดรวด

"ชาครีย์ บำรุงวงศ์" ผู้อำนวยการ กลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักแผนงาน ทช.ระบุว่า โครงการนี้ทาง "ไจก้า-องค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น" ศึกษาไว้หลายสิบปี ครั้งนี้

ใช้งบประมาณ 9 ล้านบาท จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา 2 ราย "กลุ่ม บ.เทสโก้ + บ.โชติจินดาฯ" ศึกษาความเหมาะสมโครงการ ตามสัญญาจะต้องส่งมอบผลการศึกษา พ.ย.นี้

ข้อเสนอเดิมของไจก้าคือ สร้างสะพาน 2 แห่งบริเวณ "แม่น้ำท่าจีน" ใกล้อ่าวมหาชัย สมุทรสาคร กับบริเวณ "แม่น้ำเจ้าพระยา" ใกล้อ่าวไทย สมุทรปราการ

"ทช.มาสานต่อโครงการนี้ ซึ่งอยู่ในแผนแม่บทของกระทรวงที่จะต้องสร้างอยู่แล้ว วงเงินลงทุนเบื้องต้นประเมินไว้กว่า 1.9 หมื่นล้านบาท"

เปิดพิมพ์เขียวแนวเส้นทาง

"ผอ.ชาครีย์" เปิดข้อมูลรายละเอียดแนวเส้นทางโครงการ จะตัดผ่านพื้นที่ 3 จังหวัด 1 เขต 3 อำเภอ 1 แขวง 17 ตำบลคือ 1) กรุงเทพมหาคร แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน 2) จ.สมุทรปราการ

2 อำเภอคือ อ.เมืองสมุทรปราการ อ.พระสมุทรเจดีย์ และ 9 ตำบลคือ ต.เทพารักษ์ แพรกษาใหม่ แพรกษา ท้ายบ้านใหม่ ท้ายบ้าน ในคลองบางปลากด แหลมฟ้าผ่า บ้านคลองสวน และนาเกลือ

3) สมุทรสาคร 1 อำเภอคือ อ.เมืองสมุทรสาคร และ 8 ตำบลประกอบด้วย ต.พันท้ายนรสิงห์ โคกขาม บางหญ้าแพรก โกรกกราก ท่าฉลอม มหาชัย บางกระเจ้า และท่าจีน

ทั้งโครงการมีระยะทางประมาณ 40 กม. จุดเริ่มต้นเป็นถนนตัดใหม่ขนาด 4-6 ช่องจราจร 8 กม. อยู่ใน จ.สมุทรปราการ เชื่อมกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ จุดกึ่งกลางระหว่างด่านเทพารักษ์-ด่านศรีนครินทร์

จากนั้นจะเบี่ยงมาทางบ้านคลองใหม่ บ้านคลองหนองรี บ้านคลองขวาง บ้านคลองล้าหมู บ้านแพรกษา วัดแพรกษา โรงเรียนแพรกษา บ้านคลองตาตุ่ม ข้ามถนนสุขุมวิทสายเก่า ตัดผ่านมาทางโรงเรียนบ้านคลองหง บ้านคลองศาลาแดง บ้านคลองสรรพสามิต พื้นที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ออกแบบเป็นสะพานขึง 4-6 ช่องจราจร

แนวเส้นทางจะผ่านถนนสุขสวัสดิ์แล้ววิ่งมาตาม ถ.คลองสรรพสามิต ซึ่งเป็นบนถนนเดิม 2 ช่องจราจร จะปรับปรุงใหม่โดยขยายถนนเพิ่มเป็น 4-6 ช่องจราจร และสร้างถนนตัดใหม่บริเวณวัดศรีคงคาราม บ้านหัวท่อ ก่อนเข้าพื้นที่เขตบางขุนเทียน

เนื่องจากถนนขาดช่วงยังมีสภาพเป็นลูกรัง

การออกแบบจะวิ่งตัดลงมาไปตามแนว ถ.คลองสหกรณ์ ซึ่งเป็นถนนเดิม 2 ช่อง จะปรับปรุงใหม่เป็น 4-6 ช่องจราจรในพื้นที่เขตบางขุนเทียน ผ่านโรงเรียนพิทยาลงกรณ์พิทยาคม บ้านคลองสหกรณ์

ก่อนจะเข้า จ.สมุทรสาคร ผ่านโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์วิทยา วัดโฆสิตาราม บ้านคลองพระราม บ้านสหกรณ์ เบี่ยงขึ้นไปทางบ้านกำพร้า บ้านโกรงกราง โดยจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนบริเวณท่าฉลองขนาด 4-6 ช่องจราจร รูปแบบเป็นสะพานขึง

จากนั้นจะเป็นถนนตัดใหม่ระยะทางประมาณ 3-4 กม. แนวเส้นทางจะไปทางวัดหลังศาลประสิทธิ์ แล้วไปบรรจบกับถนนพระรามที่ 2

ปรับแนวใหม่ ลดผลกระทบ

"จุดสร้างสะพานข้ามม.ท่าจีนอยู่ระหว่างปรับแนวใหม่ เพราะปัจจุบันเป็นพื้นที่หนาแน่น อาจจะขยับลงมาทางป่าชายเลนตรงช่วงบ้านสหกรณ์ แนวใหม่จะตัดตรงข้ามแม่น้ำท่าจีนไปยังบริเวณบ้านบางหญ้าแพรกเพราะมีที่ดินว่างอยู่มาก ตรงบ้านหลังศาลลงมาผ่านไปบ้านชีฟ้าขาว วัดเจริญสุขารามเชื่อมถนนพระรามที่ 2 บริเวณที่จะต่อเชื่อมกับถนนบ้านแพ้ว-นครปฐมพอดี ทำให้โครงข่ายสมบูรณ์ขึ้น"

ทั้งนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจ "ผอ.ชาครีย์" ระบุว่า แผนเวนคืนที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณถนนตัดใหม่ช่วงจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ รวมถึงจุดที่ตั้งสร้างสะพานทั้ง 2 แห่ง ส่วนถนนเดิมนั้นมีเขตทางเดิมอยู่บ้างแล้ว หากไม่พอจะต้องเวนคืนเพิ่ม โดยภาพรวมโครงการประมาณ 80-90% จะใช้ถนนเดิม

22 มิ.ย. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

5640
เปิดแนวเวนคืนที่ดินมอเตอร์เวย์สายใหม่ "บางปะอิน-โคราช" 196 กิโลเมตร ผ่า 3 จังหวัด 12 อำเภอ "พระนครศรีอยุธยา-สระบุรี-โคราช" กรมทางหลวงขีดแนวเวนคืนกว้าง 400-2,500 เมตร คาดประกาศในราชกิจจาฯสิงหาคมนี้ เผยมีตระกูลดัง-นายทุนกรุงเทพฯ ซื้อที่ปากช่องติดโผตรึม ทั้ง "กฤตย์ รัตนรักษ์" เจ้าของแบงก์กรุงศรีฯ ที่ดินซีพี โบนันซ่า วังน้ำเขียวรีสอร์ท ตระกูลพรประภา-เปี่ยมพงษ์ศานต์-อดิเรกสาร-กลิ่นประทุม จับตามหา"ลัยสงฆ์ "มหาจุฬาฯ ราชวิทยาลัย-โฮมโปร" มีลุ้น เตรียมจ้างเอกชนเวนคืนให้เสร็จใน 8 เดือน เริ่มสร้างปี"56

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. ใกล้เป็นจริงแล้ว ล่าสุดอยู่ระหว่างเสนอร่าง พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ หลังจากผ่านขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ประมาณสิงหาคมนี้

แนวเวนคืนกว้างสุด 2.5 กม.

โดยแนวเวนคืนที่ดินที่อยู่ระหว่าง 400-2,500 เมตร แนวเส้นทางจะเริ่มต้นบริเวณจุดเชื่อมต่อบางปะอินกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก ด้านข้างแนวรั้วมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผ่านศูนย์การค้าโฮมโปร จากนั้นผ่านพื้นที่โล่ง

เมื่อแนวเส้นทางผ่านหินกองจะเบนไปทางทิศตะวันออกตัดกับทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แล้วซ้อนทับและใช้เขตทางร่วมกับทางเลี่ยงเมืองสระบุรีด้านตะวันออก ก่อนแยกออกจากแนวเลี่ยงเมืองตรงไปผ่านบ้านห้วยแห้ง แล้วขนานด้านใต้กับแนวทางหลวงหมายเลข 2 ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 3222 (แก่งคอย-บ้านนา) ผ่านบ้านโคกกรุง ด้านเหนือของวิทยาลัยเกษตรสงเคราะห์สระบุรี เข้าสู่เขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองทับกวาง แล้วเข้าเขตพื้นที่อำเภอมวกเหล็ก

จากนั้นตัดผ่านพื้นที่บ้านคั่นตะเคียน บ้านกลางดง ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 2222 ทางเข้าวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ตรงไปยัง จ.นครราชสีมาบริเวณบ้านหนองน้ำแดง ผ่านพื้นที่ทหาร ซ้อนทับกับถนนมิตรภาพช่วงเลียบเขื่อนลำตะคอง ตัดข้ามถนนมิตรภาพ บริเวณบ้านคลองไผ่ จะอยู่ด้านเหนือถนนมิตรภาพโดยตลอด มาสิ้นสุดที่วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา

ตัดผ่าน 3 จังหวัด 12 อำเภอ

ตลอดแนวเส้นทางจะตัดผ่านพื้นที่ 3 จังหวัด 12 อำเภอคือ 1) จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ อ.บางปะอิน วังน้อย อุทัย 2) จ.สระบุรี ที่ อ.หนองแค เมืองสระบุรี แก่งคอย มวกเหล็ก 3) จ.นครราชสีมา ที่ อ.ปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมืองนครราชสีมา

ยอดเวนคืนแยกเป็นที่ดินประมาณ 2,187 แปลง สิ่งปลูกสร้างประมาณ 370 ราย และต้นไม้ยืนต้นประมาณ 98 รายการ รวมเป็นเงินค่าชดเชยกว่า 5,302 ล้านบาท แต่เนื่องจากกรมธนารักษ์เพิ่งปรับราคาประเมินใหม่ จะต้องมีการปรับค่าชดเชยเพิ่มตามไปด้วย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 20% ทำให้ค่าชดเชยที่ดินคาดว่าจะปรับวงเงินขึ้นเป็น 7,200 ล้านบาทโดยประมาณ จากทั้งโครงการจะใช้เงินลงทุนกว่า 69,100 ล้านบาท

"พื้นที่เราจะเวนคืนมีทั้งที่ดินเอกชนและส่วนราชการ ทั้งที่ราชพัสดุ ทหาร ที่ดิน ส.ป.ก. ในส่วนของชาวบ้านจะมีทั้งที่ดินมรดกและ น.ส.3 ที่น่าสนใจคือบริเวณปากช่องที่ดินถูกเวนคืนส่วนใหญ่จะเป็นนายทุนจากกรุงเทพฯซื้อที่ดินไว้"

ซีพี-ตระกูลดังแจ็กพอต

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจเบื้องต้นสำหรับผู้เข้าข่ายถูกเวนคืน พบว่ามีทั้งที่ดินที่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์จากกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่ ในช่วงบางปะอิน-ปากช่อง อาทิ ตระกูลนัยศิริ, บ.กรุงเทพผลิตผลอุตสาหกรรมการเกษตร, บ.เจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี), นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์ศานต์, บ.บางปะอินกอล์ฟ, นายชาย งามอัจฉริยะกุล, ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์, บ.แมนดารินโฮเต็ล, นายอิสริยา พรประภา, พันเอกทวิชาติ ชวกุล, ตระกูลอรุณโรจศิริ, บ.โสสุโก้ เซรามิค (หนองแค)นางพรพรรณ เผ่าเหลืองทอง, บ.ปอแก้ววิศวกรรม, ตระกูลผิวขำ, ตระกูลเฉลิมเชื้อ, ตระกูลอินทรไพศาล, นางพรศรี

สัจจพงษ์, บ.เอสเคฟู้ด, บ.มหาชัยฟูดโปรเซสซิ่ง, นายปรัชญา หงสกุล, ตระกูลนิ่มนคร, บ.บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์, ร้อยตรีวีระพล อดิเรกสาร, บ.ทีพีไอโพลีน, ตระกูลมหาแก้ว, ตระกูลกลิ่นประทุม

มหา"ลัยสงฆ์...อยู่ในข่าย

บ.แหลมทองฟาร์ม, บ.บริหารสินทรัพย์พญาไท, ปูนนครหลวง, ตระกูลรังคะภูมิ, ตระกูลคำชู, นางอำไพ กลิ่นสุคนธ์, บ.บริหารสินทรัพย์กรุงศรีอยุธยา, นายสมศักดิ์ ฮุนตระกูล, พลเอกพงษ์

ปุณณกันต์, บ.ปูนซิเมนต์ (แก่งคอย), นายสุทธิวัสส์ ฮุนตระกูล, พันจ่าอากาศเอกสุวรรณ ธรรมสมพงษ์, น.ส.กัณฑรีย์ บุญประกอบ, ตระกูลรุจิวรรณ บ.บัวบานการเกษตร, บ.เฟื่องเดชเรียลเอสเตท, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ห้างโฮมโปร, บ.พราวแอสเซท, ร.อ.สมนึก ศรีอนันต์, ตระกูลวงศ์สุวรรณ, บ.จารุวรรณ, ตระกูลเซ็นเสถียร, บ.ไทคอนโลจิสติกส์พาร์ค, ตระกูลนาคสุข, ตระกูลพรรณปัญญา, ตระกูลพรรณสากร

รัตนรักษ์-โบนันซ่า โดนเต็ม ๆ

ส่วนแนวเวนคืนช่วงปากช่อง-นครราชสีมา อาทิ ที่ดินตระกูลกุลจันทร์, ตระกูลเบ็ญจวิไลกุล, นายปรีชา ชัยชนะสงคราม, นายบุญทวี วิบูลย์ลาภ, นายอนันต์ กาญจนลักษณ์, นายถนอม เพียรปรุ, นางวิไล บุญมี, ตระกูลลาภกิจ, นายกฤตย์ รัตนรักษ์, ตระกูลขุนสูงเนิน

นางปราณี จามจันทึก, บ.โนนันซ่า พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนต์, ตระกูลมหิทร์กร, ตระกูลกิจสมัย, ตระกูลคำลา, นายศิริพงษ์ รุ่งโรจน์เสถียร, นายดำรง รัตนพานิช, นายเริงชัย เอกจรรยา, ตระกุลสิงข์แก้ว, บ.แหลมทองฟาร์ม, ตระกูลอ่อนอากาศ, ตระกูลปิ่นสันเทียะ, บ.เงินทุนเกียรตินาคิน, ตระกูลดาวสันเทียะ, นายพลกฤษณ์ หงษ์ทอง, บมจ.พันธ์สุกรไทย, ที่ดินราชพัสดุ (สถานผลิตชีวพันธ์), ป่าดงพญาเย็น, เรือนจำกลางคลองไผ่, นายพงศธรและนายอัศวิน เปรมรัตนชัย

พ.อ.หลอม ดิษฐ์พลขันธ์, ตระกูลพุทธรังษี, ตระกูลจันทรโณทัย, ตระกูลวงศ์พินิจ, นายเสกสรร สีหวงษ์, อ่างเก็บน้ำวิทยาเกษตรและเทคโนโลยีนครราชสีมา, ป่าโครงการรถไฟสีคิ้ว-สูงเนิน-โคกกรวด, ที่ดิน ส.ป.ก., บ.ทีเอสแสงตะวัน, ตระกูลโหม่งสูงเนิน, ตระกูลวังสูงเนิน, สหกรณ์การเกษตรขามทะเลสอ, ตระกูลกาญจนกาศ, ตระกูลทรัพย์เจริญมาก, ตระกูลภูวดลไพโรจน์, ตระกูลริ้วสถาพร, ตระกูลเทียมเสวก, บ.มิตซูปัฐพีทอง, บ.วังน้ำเขียวรีสอร์ท, นายบุญชัย พรหมนะกิจ, นายประกิต ตันติวงศ์ ฯลฯ

เร่งเวนคืนเสร็จใน 8 เดือน

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลัง พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดินบังคับใช้แล้ว กรมจะจ้างบริษัทที่ปรึกษามาเวนคืนที่ดินตลอดแนวเส้นทาง ทั้งสำรวจพื้นที่จริงพร้อมประเมินราคาอีกครั้ง เนื่องจากข้อมูลที่กรมมีเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น โดยได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว 70 ล้านบาท และเพื่อความรวดเร็วแบ่งงานเป็น 4 ตอน

ตอนที่ 1 จากจุดเชื่อมต่อบางปะอินถึงสุดเขตพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา บริเวณ กม.ที่ 24+500 ระยะทาง 24 กม.

ตอนที่ 2 ระหว่าง กม.24+500 ถึง กม.83+550 สุดเขตพื้นที่ จ.สระบุรี 59.05 กม. ตอนที่ 3 ระหว่าง กม.83+500 ถึง กม.98+345 และ กม.102-กม.142 ระยะทางรวม 54 กม. อยู่พื้นที่ จ.นครราชสีมา

และตอนที่ 4 กม.142-กม.195+942 ระยะทางรวม 53.94 กม. ในพื้นที่นครราชสีมา โดยจะใช้เวลาเวนคืนประมาณ 8 เดือน เพื่อให้ทันกับแผนก่อสร้างที่จะเริ่มในปี 2556 นี้ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2559

23 ก.ค. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หน้า: 1 ... 374 375 [376] 377 378 ... 534