แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 653
6931
จะว่าไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดขึ้นจากความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างขึ้นมาให้เห็นและเป็นอยู่ แม้ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องในเมืองคอนกรีต ก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นดินที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นเช่นกัน แบบนี้ก็ชี้ให้ชัดได้แล้วว่า ธรรมชาตินั้นมีความสามารถสูงส่งเพียงใด
       
       หรืออย่างผืนทรายใต้น้ำทะเล ที่บางครั้งก็โผล่ขึ้นมาให้ได้ชมกันยามน้ำลด บางแห่งก็ทอดตัวเป็นเส้นทางยาวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เคียงคู่ไปกับผืนน้ำ ดังเช่น “ทะเลแหวก” ในหลายแห่งของเมืองไทย และความน่าพิศวงนี้ก็เป็นสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่า “ทะเลแหวก” นั้นเป็นเช่นไร
       
ทะเลแหวกเกาะไก่ จ.กระบี่
       ทะเลแหวกชื่อดัง หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์เมื่อปี พ.ศ.2546 ความน่าสนใจและน่าอัศจรรย์ใจอยู่ที่เมื่อยามน้ำทะเลลดต่ำลง สันทรายที่ทอดยาวก็จะปรากฏขึ้น กลายเป็นสะพานทรายทอดยาวเชื่อมเกาะ 3 เกาะเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะปอดะ
       
       ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปเดินทอดน่องบนสันทรายขาวเนียนกลางทะเลก็คือ ช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุดในแต่ละวัน โดยเฉพาะวันก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน และช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการไปท่องเที่ยวก็คือ ระหว่างเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม

ทะเลแหวกเกาะนางยวน จุดชมวิวที่สวยติดอันดับโลก
       ทะลแหวกเกาะนางยวน จ.สุราษฎร์ธานี
       เกาะนางยวนนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะเต่า บริเวณทะเลฝั่งอ่าวไทย และก็เป็นหนึ่งในความน่าอัศจรรย์ของเมืองไทยตรงที่มีทะเลแหวกเชื่อมต่อระหว่าง 3 เกาะ เป็นสันทรายสีขาวสะอาดเชื่อมต่อเกาะใหญ่และเกาะเล็กๆ อีก 2 เกาะไว้ด้วยกันตลอดเวลา
       
       ความงามของเกาะเล็กๆ อย่างเกาะนางยวนนั้น ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยติดอันดับโลก และยังมีโลกใต้ทะเลที่สวยงามให้ลงไปสัมผัสและแหวกว่าย นักท่องเที่ยวที่มาถึงเกาะเต่าแล้ว ก็มักจะไม่พลาดที่จะมายลความงามของทะเลแหวก ณ เกาะนางยวนแห่งนี้

ทะเลแหวกที่อ่าวแม่หาด บนเกาะพงัน
       ทะเลแหวกเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี
       ถ้าพูดถึงเกาะพงัน สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้ ฮาร์ฟมูนปาร์ตี้ และปาร์ตี้อื่นๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความนิยมอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความอึกทึกคึกโครมของปาร์ตี้ต่างๆ แล้ว ความสงบงามของธรรมชาติของทะเลไทยก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน
       
       ทะเลแหวกของเกาะพงันนั้น จะอยู่ที่อ่าวแม่หาด ซึ่งสันทรายทะเลแหวกจะเชื่อมต่อกับเกาะม้า สามารถเดินข้ามไปเดินเล่นบนเกาะม้า ดูโขดหิน หาที่นอนอาบแดด หรือนั่งตกปลาเงียบๆ ก็ยังได้ ถ้ามาในช่วงที่น้ำลง ก็จะเห็นเป็นสันทรายเชื่อมเกาะธรรมดา แต่หากมาในช่วงเหมาะ น้ำขึ้นสูงพอปริ่มๆ สันทราย แล้วลงไปเดินลุยเล่นๆ ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าลองเมื่อมาเที่ยวเกาะพงัน

แนวเสาไฟฟ้าที่คู่ขนานไปกับสันทรายสู่เกาะพิทักษ์
       ทะเลแหวกเกาะพิทักษ์ จ.ชุมพร
       เกาะพิทักษ์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก ยามที่น้ำลดจึงเกิดปรากฏการณ์ทะเลแหวกให้ได้เห็น สันทรายที่เห็นอยู่บริเวณหน้าเกาะจะเชื่อมกับชายฝั่ง แต่หากน้ำทะเลลดลงมากๆ ทะเลแหวกก็จะทอดยาวไปถึงฝั่งหลังสวน บริเวณอ่าวท้องครก จนสามารถเดินข้ามฝั่งได้อย่างสบาย
       
       ทะเลแหวกที่นี่ไม่ได้สวยงามขาวละเอียดเหมือนที่อื่น แต่ก็มีเสน่ห์ตรงวิถีชีวิตชาวบ้านที่พบเห็นได้ทั่วไป อย่างเช่นช่วงที่น้ำลด ก็จะมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาหาหอยบริเวณทะเลแหวก หรือหากต้องการข้ามมายังฝั่งเกาะพิทักษ์ ยามปกติก็จะต้องอาศัยเรือ แต่หากน้ำลดก็สามารถเดินข้ามมาได้เลย และยังมีเสาไฟฟ้าที่ทอดยาวคู่ขนานไปกับแนวสันทราย นำไฟฟ้าจากฝั่งเชื่อมไปยังผู้คนบนเกาะด้วย
       
       อีกสิ่งที่ทะเลแหวกเกาะพิทักษ์ไม่เหมือนใคร ก็คือกิจกรรมการวิ่งทะเลแหวกจากฝั่งข้ามไปยังเกาะพิทักษ์ ระยะทาง 14 กิโลเมตร เริ่มจากเรือจำลองจักรีนฤเบศร ปากน้ำหลังสวน ใช้เส้นทางเลียบชายทะเลและเข้าสู่เส้นชัยที่เกาะพิทักษ์ ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี

แนวสันทรายและสวนหินในอารมณ์แบบเซ็น ที่อ่าวลึก
       ทะเลแหวกอ่าวลึก จ.กระบี่
       ทะเลแหวกอ่าวลึก อยู่ในพื้นที่ของ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ แม้จะไม่สวยงามเหมือนหาดทรายขาวเนียนละเอียดในที่อื่นๆ แต่ก็ทรงเสน่ห์ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของกุ้งหอยปูปลา และเหตุที่เรียกอ่าวลึก ก็ไม่ใช่เพราะว่าเป็นทะเลน้ำลึก แต่เพราะที่ อ.อ่าวลึก มีพื้นที่อ่าวยื่นลึกกินแผ่นดินเข้ามา 
       
       ส่วนทะเลแหวกที่อ่าวลึก หรือที่เรียกกันว่า ทะเลแหวกสวนหินเซ็น จะเกิดเมื่อขึ้นน้ำลดระดับลงจนสุด จะเกิดแนวสันทรายและแนวหินโสโครกเล็กๆ ผุดขึ้นมาเห็นเป็นทรงรูปขวานคล้ายแผนที่ประเทศไทย โดยแนวสันทรายจะอยู่ที่ด้ามขวาน ส่วนใบขวานจะเป็นแนวโขดหินและสันทราย โดยรูปทรงจะเปลี่ยนไปตามจังหวะที่น้ำขึ้น-ลง และกระแสน้ำที่พัดผ่านสันทราย

สันทรายทะเลแหวกที่หาดมังกร
       ทะเลแหวกหาดมังกร จ.สตูล
       “หาดมังกร” เป็นชื่อที่ชาวชุมชนตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล เรียกขานเกาะแห่งหนึ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลอันดามัน เพราะเมื่อยามน้ำทะเลลดลง ก็จะปรากฏสันทรายโผล่ขึ้นมาเป็นเส้นทางคดเคี้ยวยาวกว่า 3 กิโลเมตร และยังสามารถเชื่อมไปยังอีกเกาะหนึ่งได้ และบนสันทรายนั้นก็เต็มไปด้วยซากเปลือกหอยหลายล้านตัวทับถมกันอยู่ และที่มาของชื่อหาดมังกรก็คือ สันทรายที่เปรียบเสมือนมังกรถลาลงเล่นน้ำ ให้เราได้เดินเล่นอยู่บนสันหลังมังกรที่พลิ้วไหวงดงาม
       
       ปรากฏการณ์ทะเลแหวกนี้ มิใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายๆ ต้องตั้งใจไปให้ถึงที่ ในช่วงวันและเวลาที่เหมาะสม ความน่าอัศจรรย์แบบนี้จึงจะปรากฏขึ้นให้เป็นที่ประทับใจไปอีกแสนนาน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มกราคม 2556

6932
 ไซอิ๋ว สามก๊ก ความฝันในหอแดง และซ้องกั๋ง หรือ วีรบุรุษเขาเหลียงซัน ได้รับการยกย่องจากเหล่าบัณฑิตให้เป็นสี่สุดยอดวรรณกรรมของจีน (四大名著) และถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์และหนังโรงมาหลายต่อหลายครั้ง
       
       ทุกวันนี้คนในวงการสื่อจีนยอมรับว่าการลงทุนกับการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์สักเรื่องเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะปัจจุบันอุปทานมากกว่าอุปสงค์ ผลงานมีมากกว่าความต้องการในตลาด ทำให้ในแต่ละปีมีละครโทรทัศน์ที่ถูกดองเค็มมากกว่าครึ่ง
       
       แต่การลงทุนสร้างสี่ยอดวรรณกรรมอมตะของจีนเป็นเรื่องยกเว้น เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ ลำพังแค่ขายลิขสิทธิ์การฉายก็สามารถคืนทุนได้อย่างสบาย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ในรอบหลายสิบปีนี้มีการนำวรรณกรรมทั้งสี่เรื่องมารีเมคใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
       
       โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ แต่ละเรื่องใช้งบประมาณการสร้างไม่ต่ำกว่า 100 ล้านหยวนเลยทีเดียว โดยสามก๊กฉบับของผกก.เกาซีซีลงทุน 160 ล้านหยวน, ซ้องกั๋งของจีว์เจี้ยวเลี่ยงใช้งบประมาณการถ่ายทำ 130 ล้านหยวน, ความฝันในหอแดงของหลี่เส้าหงลงทุน 118 ล้านหยวนและไซอิ๋วของจางจี้จง 120 ล้านหยวน
       
       โดยตอนนี้ที่จีนกำลังฉายเรื่องซ้องกั๋งและไซอิ๋วอยู่ ส่วนสามก๊กและความฝันในหอแดงนั้นฉายไปเมื่อปีที่แล้ว
       
       ส่วนที่ว่าชาวไทยจะมีโอกาสได้ดูทั้งสี่เรื่องหรือไม่นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นต่อไป เพราะขนาดนิยายกิมย้งที่ว่าสร้างแล้วสร้างอีกกี่เวอร์ชั่น ไทยเราก็ซื้อลิขสิทธิ์มาเรียบ แต่มังกรหยกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งปี 2008 ที่หูเกอ-หลินอีเฉินเล่นนี่ทำไมตกสำรวจ หรือสงสัยยังฝ่าด่านอรหันต์หนังเกาหลีมาไม่ได้ รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นมีใครเอามาฉายสักที จนตอนนี้มีมือดีหยิบไปใส่เสียงพากษ์โหลดลงเว็บเรียบร้อยแล้ว...
       
       สำหรับละครโทรทัศน์ทั้งสี่เรื่องที่ได้กล่าวมานั้น จะน่าดูมากน้อยเพียงไรขอเชิญรับชมตัวอย่าง...
       
       1. สามก๊ก (三国演义) เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของจีน ที่ประพันธ์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 สมัยราชวงศ์หยวน โดยนักเขียนชื่อ หลอกว้านจง จากการนำเค้าโครงเรื่องในจดหมายเหตุสามก๊ก (三国志) ซึ่งเป็นงานเขียนเชิงพงศาวดารของเฉินโซ่ว อดีตขุนนางของจ๊กก๊กมาประพันธ์เพิ่ม เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวการสงคราม กลศึก และการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นที่จีนแตกเป็นสามก๊กสามขั้วอำนาจ ได้แก่ ก๊กเว่ย (วุยก๊ก) ก๊กสู่ (จ๊กก๊ก) และก๊กอู๋ (ง่อก๊ก)
       
       โดยสามก๊กฉบับของเกาซีซีนั้นยืนเค้าโครงเรื่องหลักตามบทประพันธ์ แต่ได้มีการสอดแทรกมุมมองและการตีความใหม่ๆ เข้าไปด้วย

       ...

ขงเบ้ง กวนอู เตียวเสี้ยน ซุนซั่งเซียง และไต้เกี้ยว เสียวเีกี้ยว
       
รายชื่อนักแสดง
       เฉินเจี้ยนปิน เป็น โจโฉ
       ลู่อี้ เป็น ขงเบ้ง
       หยูเหอเหว่ย เป็น เล่าปี่
       จางป๋อ เป็น ซุนกวน
       เฉินห่าว เป็น เตียวเสี้ยน
       เหอยุ่นตง เป็น ลิโป้
       หลินซินหยู เป็น ซุนซั่งเซียง
       หวงเหวยเต๋อ เป็น จิวยี่
       เนี่ยหย่วน เป็น จูล่ง     
       
****************

       
       2. ความฝันในหอแดง (红楼梦) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1784) โดยเฉาเสี่ยว์ฉิน แต่น่าเสียดายที่เฉาเสี่ยว์ฉินยังแต่งไม่จบก็เสียชีวิตเสียก่อน ภายหลังมีนักเขียนมากมายแต่งต่อ แต่ฉบับที่เป็นที่ยอมรับก็คือของเกาเอ้อ เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวความรักชายหญิง ความลุ่มหลงในโลกียะของมนุษย์ และความเสื่อมของระบบศักดินาของจีนในสมัยราชวงศ์ชิง โดยสะท้อนผ่านครอบครัวสกุลเจี่ยที่มั่งคั่ง
       
       ความฝันในหอแดงถูกสร้างเป็นละครและหนังหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นชอว์บราเธอร์สของเล่อตี้ในปี ค.ศ.1962, เวอร์ชั่นที่หลินชิงเสียเป็นเจี่ยเป่าอี้ว์ในปีค.ศ. 1977 แต่ฉบับที่ได้รับความนิยมและถูกยกให้เป็นผลงานคลาสสิกไปแล้วก็คือ ฉบับปีค.ศ. 1987 ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี
       
       และสำหรับความฝันในหอแดงฉบับล่าสุดของหลี่เส้าหงถือเป็นเวอร์ชั่นที่ใช้งบลงทุนสูงมาก และการแต่งหน้าแต่งตัวค่อนข้างมีเอกลักษณ์ หลายคนเห็นภาพแล้วอาจจะเพลียเรื่องทรงผมบ้าง โดยเฉพาะเรื่องนี้ตัวละครหญิงค่อนข้างมาก พอทำผมขดเหมือนกันหมด จึงทำให้ค่อนข้างสับสนว่าใครเป็นใครบ้าง

ความฝันในหอแดงของหลี่เส้าหง
       ...
     
รายชื่อนักแสดง
       หยูเสี่ยวถง เป็น เจี่ยเป่าอี้ว์ (วัยรุ่น)
       หยางหยาง เป็น เจี่ยเป่าอี้ว์ (วัยหนุ่ม)
       เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย เป็น หลินไต้อี้ว์ (วัยรุ่น)
       หลี่ชิ่น เป็น ฉือเป่าไช (วัยรุ่น)
       ไป๋ปิง เป็น ฉือเป่าไช (วัยสาว)
       เหยาตี๋ เป็น หวังซีเฟิ่ง
       หยางมี่ เป็น ฉิงเหวิน

ความฝันในหอแดงฉบับเล่อตี้, ฉบับของซีซีทีวี และฉบับหลินชิงเสีย
       
****************

       
       3. ซ้องกั๋ง หรือวีรบุรุษเขาเหลียงซัน (水浒传) แต่งโดยซือไน่อัน (แต่บางตำราระบุว่าภายหลังได้รับการขัดเกลาสำนวนโดยหลอกว้านจง ผู้แต่งสามก๊ก) ซ้องกั๋งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งเหนือของซ่งฮุยจง กษัตริย์ผู้อ่อนแอ กล่าวถึงเรื่องราวของผู้กล้า 108 คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง จนหนีมารวมตัวกันที่เขาเหลียงซัน สาบานเป็นพี่น้องและร่วมมือกันปราบปรามความอยุติธรรมในใต้หล้า

ซ้องกั๋ง หรือ วีรบุรุษเขาเหลียงซัน
       ...
     
รายชื่อนักแสดง
       จางหันอี่ว์ เป็น ซ่งเจียง (ซ้องกั๋ง)
       หูตง เป็น หลินชง
       หวงไห่ปิง เป็น ไฉจิ้น
       เฉินหลง เป็น อู่สง
       หลี่เหลี่ยงเหว่ย เป็น เฉาไก้
       เหยียนข่วน เป็น ล่างจื่อเยี่ยนชิง
       อันอี่เซวียน เป็น หลี่ซือซือ
       กันถิงถิง เป็น พานจินเหลียน
       หย่วนหย่งอี๋ เป็น ภรรยาของหลินชง
       หยางจื่อ เป็น ฮ่องเต้ซ่งฮุยจง
       จางเถี่ยหลิน เป็น หงไท่เว่ย
       
****************

       
       4. ไซอิ๋ว (西游记) เป็นผลงานการประพันธ์ของอู๋เฉิงเอินในสมัยราชวงศ์หมิง ว่าด้วยเรื่องราวของซุนหงอคง ตือโป๊ยก่าย และซัวเจ๋ง คุ้มครองพระถังซำจั๋ง เดินทางไปอันเชิญพระไตรปิฏกยังชมพูทวีป ระหว่างทางต้องผจญอันตรายจากปีศาจมากมาย
       
       ที่ผ่านมามีการนำบทประพันธ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วหลายต่อหลายครั้ง อาทิ สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนเริ่มนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เมื่อปีค.ศ. 1982 หรือฉบับของทีวีบีเมื่อปี 1996 นำแสดงโดยจางเหว่ยเจี้ยน ซุนหงอคงภาคนี้ได้รับคำชมว่าหล่อเหลาที่สุด และได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ชมทั่วเอเชียรวมทั้งไทยด้วย
       
       นอกจากนี้ยังมีฉบับแปลกแหวกแนวอย่างไซอิ๋วภาคพิศดารเดี๋ยวลิงเดี๋ยวคนของโจวซิงฉือ และไซอิ๋วเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่นำแสดงโดย ชินโง คาโทริ สมาชิกวง Smap
       
       จนมาถึงไซอิ๋วภาคล่าสุดที่ได้เนี่ยหย่วนรับบทเป็นพระถังซำจั๋ง พร้อมทัพนักแสดงอีกคับคั้ง อาทิ หลิวเทา, อันอี่เซวียน, เฝิงเส้าเฟิง การันตีฝีมือการกำกับโดยจางจี้จง เจ้าพ่อรีเมคหนังกิมย้ง ที่เคยฝากผลงานปัดฝุ่นนวนิยายคลาสสิกของกิมย้งมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ มังกรหยกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้ง (หลี่ย่าเผิง-โจวซวิ่น), มังกรหยกเอี้ยก้วย-เซียวเล่งนึ้ง (หวงเสี่ยวหมิง-หลิวอี้เฟย), กระบี่ฟ้าดาบมังกร (เติ้งเชา-อันอี่เซวียน), อุ้ยเสี่ยวป้อ (หวงเสี่ยวหมิง)


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กันยายน 2554

6933
เว็บไซต์ china.org เปิดโผ 10 อันดับภาพยนตร์จีนอมตะ ที่คับแน่นด้วยเนื้อหา และเปี่ยมล้นด้วยเทคนิคถ่ายทำ โดยผ่านการรับประกันคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ศักยภาพการแข่งขันภาพยนตร์จีนสูงขึ้นอย่างต่อ ในฐานะสื่อสะท้อนสังคมจีนตลอดระยะเวลา 107 ปีที่ผ่านมา
       
       จีนมีประวัติการสร้างภาพยนตร์ที่น่าภูมิใจ ภาพยนตร์จีนเริ่มสร้างครั้งแรกในปี 1905 หลังการเกิดภาพยนตร์ในฝรั่งเศสเพียง 10 ปี  ในช่วง 20ปี ให้หลังมานี้ ภาพยนตร์จีนได้รับการยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ตามหัวเมืองใหญ่ของจีนเต็มไปด้วยบริษัทผู้สร้างมากกว่าร้อยแห่ง และเซี่ยงไฮ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ในทศวรรษที่ 30 และ 40 แม้ว่าจีนจะเข้าสู่ยุคความวุ่นวายทางการเมือง แต่วงการภาพยนตร์จีนก็มิได้หยุดเติบโต ช่วงเวลานั้นผู้สร้างต่างมีมุมมองในการผลิตไปในทางประจักษ์นิยมและเริ่มสร้างภาพยนตร์ในแนวทางวิพากษ์สังคม โดยมีเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์งาน ภาพยนตร์ในตำนานหลายเรื่องถูกสร้าง ณ เมืองท่าแห่งนี้ อาทิ Crossroads (1937),  Angles on the road (1937),  A spring river flows east(1947).
       
       ยุค 50  ฮ่องกงและไต้หวันเริ่มมีบทบาทในวงการมากยิ่งขึ้น เวลาต่อมาฮ่องกงกลายเป็นเมืองหลวงของวงการภาพยนตร์จีน หลายฝ่ายต่างกล่าวขานว่าฮ่องกงเป็น “ฮอลลีวูดแห่งโลกตะวันออก” เข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 90 ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางของวงการภาพยนตร์รองจากฮอลลีวูด ว่ากันว่าหนังฮ่องกงพบได้ทุกมุมโลกที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่
       
       กลับกันวงการภาพยนตร์จีนแผ่นดินใหญ่ยุค 50  การจัดสร้างและตลาดภาพยนตร์ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยรัฐ จนถึงปลายยุค 70 การสนับสนุนวงการภาพยนตร์โดยรัฐบาลได้ยุติลง ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปและเปิดกว้าง ผู้สร้างต่างหันมาสู่รูปแบบการพาณิชย์มากกว่าก่อน ประชาชนทั่วไปกลับสู่โรงภาพยนตร์อีกครั้ง ในปี 2011 ภาพยนตร์กว่า 560 เรื่องสร้างขึ้นบนจีนแผ่นดินใหญ่ มีรายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ามาตรฐานคุณภาพยังไม่ค่อยน่าพอใจนัก
       
       อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ยาวนานของวงการภาพยนตร์จีนได้สร้างผู้กำกับชั้นครูไว้หลายท่าน พวกเค้าสร้างพลงานที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา เช่นสิบอมตะภาพยนตร์ที่เวบไซต์ของทางการจีนจัดอันดับไว้ ดังต่อไปนี้
       
       อันดับ 10  วีรบุรุษ (Hero/英雄)

       กล่าวถึงยุคสงครามระหว่างรัฐ (ปี 475 - 221 ก่อนคริสตกาล) ประเทศจีนได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 อาณาเขต นานนับทศวรรษที่แคว้นต่างๆ ได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ยังผลให้เหล่าประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ในฐานะผู้ครองรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด ราชาแห่งรัฐฉินตกเป็นเป้าสังหาร ทำให้ต้องประกาศสอบหาจอมยุทธ์คู่ใจ ครั้นได้พบกับจอมยุทธ์นิรนามผู้เปี่ยมด้วยความสามารถถึงขั้นเอาชนะมือสังหารชั้นยอดได้ทั้ง 3 คน ก็ยังความสงสัยว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงใดหรือไม่จึงมายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เรื่องราวอบอวลไปด้วยตำนานแห่งความรัก ความจงรักภักดี และหน้าที่ ท่ามกลางการประลองด้วยเล่ห์เพทุบาย
       
       จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม จางอี้โหมว กลายเป็นบุคคลที่ต้องพูดถึงทุกครั้งที่สนทนาถึงภาพยนตร์จีน จาง สร้างวีรบุรุษ ซึ่งเป็นภาพยนตร์กำลังภายในเรื่องแรกของเขาภายใต้กระบวนการผลิตแบบฮอลลีวูด ทุ่มทุนสร้างกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหนังจีนที่ใช้ทุนสร้างมากสุดในเวลานั้น และเป็นแรงฉุดตลาดภาพยนตร์จีนให้กลับมาคึกคักในระดับนานาชาติ ทันทีที่เข้าฉายในปี 2002 วีรบุรุษก็ได้รับการตอบรับอย่างสวยงาม นักวิจารณ์และผู้จัดมั่นใจในศักยภาพของหนังว่าสามารถทำเงินได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สามารถเปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งในอเมริกาเหนือ มีรายรับกว่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่ใคร่ใส่ใจในส่วนของการ “เล่าเรื่อง” เท่าที่ควร แม้ว่าจะคว้าถึง 14 รางวัลจากภาพยนตร์ทองคำฮ่องกงในปี 2003 ก็ตาม
       
       อันดับที่ 9 ไซอิ๋ว ศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า (大话西游หรือ A Chinese Odyssey Duology)

       ภาพยนตร์ตลกฮ่องกง กำกับโดย Jeffrey Lau มี Stephen Chow, Karen Mok และ Man Tat Ng แสดงนำ ภาพยนตร์แบ่งออกเป็นสองภาค คือ “กล่องแสงจันทร์” (月光宝盒หรือ pandora‘s box)”กับ “เกือกบุพเพ” (仙履奇缘 หรือ Cinderella )Jeffrey และ Stephen ใช้พล็อตหลักจากหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนอย่าง “ บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก” (西游记หรือ Journey to the west) ซึ่งแต่งขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1590 ช่วงราชวงศ์หมิง ประพันธ์โดย หวู่ฉิงเอิน กล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางไปยังชมพูทวีป (อินเดีย) เพื่ออัญเชิญคัมภีร์พระพุทธศาสนาของพระเสวียนจั้ง (พระถังซัมจั๋ง) โดยมีสัตว์ 4 ตัวเป็นเพื่อน ได้แก่ วานรซุนวู่คง (ซุนหงอคง) สุกรจูปาเจี้ย (จูกังเลี่ย หรือ ตือโป๊ยก่าย) ปลาซาเหอซ่าง (ซัวเจ๋ง) และเสี่ยวป๋ายหลง (ม้ามังกรขาว) คณะศิษย์อาจารย์ทั้ง 5 ใช้เวลา 14 ปี ผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการ
       
       เมื่อครั้งเปิดตัวในปี 1995 ไม่มีใครคาดคิดว่าหนังเรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์อมตะเหนือการเวลา แต่เพราะจุดเด่นในการนำความรัก การเดินทาง และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ภายหลังเปิดตัวได้ 3-5 ปี หนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในหมู่วัยรุ่น สำนวนและรูปประโยคที่ตัวละครใช้ได้ถูกหยิบยืมมาใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่นักวิชาการเริ่มจัดหนังเรื่องนี้เป็นงานชิ้นเอกของ “การถอดรื้อหลังสมัยใหม่” (Post-modern deconstructionist classics) ทว่า เมื่อมองจากยุคปัจจุบันหลายคนอาจตำหนิในเรื่องเทคนิคการถ่ายทำที่ดูล้าสมัย แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันน่าตื่นตาเพียงไรในยุคที่ยังไม่สามารถดาว์นโหลดหนังได้ทางอินเตอร์เนต
       
       อันดับที่ 8 สองคนสองคม (无间道หรือ Infernal Affairs)

       ภาพยนตร์ฮ่องกงแนวแอ็คชั่น ดราม่า ออกฉายในปี 2002 กำกับโดย แอนดริว เลา และ อลัน มักเหลียงเฉาเหว่ย, เฉินฮุ้ยหลิน ตีแผ่วงการตำรวจอย่างถึงแก่น ผ่านการปะทะกันของมาเฟียหานเซิน (แสดงโดย เจิ้งจื่อเหว่ย) และสารวัตรหวง (แสดงโดย หวงซิวเซิน) โดยมีสายสืบจากผ่ายตำรวจ คือ เหริน (แสดงโดย เหลียงเฉาเหว่ย) และสายสืบจากฝ่ายมาเฟีย (แสดงโดย หลิวเต๋อหัว) เป็นตัวดำเนินเรื่อง สายสืบทั้งคู่ได้พบปะกันโดยที่ไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นสายให้ฝ่ายตรงข้าม ต่อมาจึงได้เอะใจ และหักเหลี่ยมเฉือนคมกัน โดยที่ต้องปิดบังสถานะที่แท้จริงของตัวเอง
       
       ด้วยเรื่องราวที่คลาสสิคหักมุม ทำให้ผู้ชมต้องประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้ง คับคั่งไปด้วยนักแสดงคุณภาพ ส่งผลให้ สองคนสองคม เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฮ่องกงและทุกประเทศที่เข้าฉาย รวมทั้งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาด้วย โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์มาเฟียฮ่องกงที่ดีที่สุด มีชั้นเชิงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี นับจาก โหด เลว ดี (A Better Tomorrow ) หนังเรื่องนี้ได้รับประกันคุณภาพอย่างมากมาย อาทิ 4 รางวัลชนะเลิศ จากภาพยนตร์ฮ่องกงยอดเยี่ยมครั้งที่ 22 6 รางวัลชนะเลิศจากม้าทองคำครั้งที่ 40 5 รางวัลชนะเลิศจากดอกชงโคทองคำ ครั้งที่ 8 นอกจากนี้ เพราะบทอาชญากรที่ชาญฉลาดทำให้ ฮอลลีวูดต้องนำมาทำซ้ำในรูปของ “The Departed” กำกับโดยมาร์ติน เสกาตส์ ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลวิช่วลแอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากออสการ์ ในปี 2007
       
       อันดับที่ 7 เสือซุ่ม มังกรซ่อน (卧虎藏龙 หรือ Crouching Tiger, Hidden Dragon)

       เสื่อซุ่ม มังกรซ่อน เป็นสุภาษิตจีน หมายความถึง บุคคลมีความสามารถแต่เก็บตัวหรือไม่ถูกค้นพบ ภาพยนตร์ที่กำกับโดยลูกครึ่งจีนอเมริกันอย่างอังลีเรื่องนี้ จึงเป็นการกล่าวถึงจอมยุทธ์หลี่มู่ป๋าย (แสดงโดย โจวเหวินฟา) บรรลุธรรมต้องการปลีกวิเวก จึงมอบหมายให้หยูซิ่วเหลียน (แสดงโดย หยางจื่อฉง) ส่งดาบคู่ใจส่งไปยังเมืองหลวง แทนสัญลักษณ์อำลาวงการ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ดาบกลับตกไปอยู่ในมือของหวางเหวินหลง (แสดงโดย จางจึหยี) หญิงสาวดุดันเอาแต่ใจเสียก่อน เรื่องราวดำเนินสลับไปมาระหว่างความแค้นที่รอวันชำระกับหนทางแห่งการดับทุกข์ด้วยการละโทสะวางอุเบกขา ทั้งสอดแทรกความรักที่ต้องจบลงด้วยการพลีชีพ
       
       นับแต่เข้าฉายในปี 2000 เสือซุ่ม มังกรซ่อน กวาดรายได้จากตั๋วที่ขายในอเมริกาเหนือมีมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ และดันจางจึหยี “โกอินเตอร์” ทั้งได้รับการรับประกันคุณภาพจากตะวันตกด้วย 4 รางวัลออสการ์ในปี 2001 ในทางประเทศจีนนั้น ผลงานกำกับของหลี่อัน นอกจากจะได้รับการยกย่องเรื่องเสื้อผ้า การแต่งกาย เทคนิคถ่ายทำ และเพลงประกอบแล้ว การทำประเด็นถวิลหาความสันโดษของจอมยุทธ์ให้ชัดขึ้น ยังเป็นจุดเด่นของเขาอีกด้วย แม้บางส่วนจะมองว่าทักษะการแสดงและการใช้ภาษาที่ยังไม่ตรงใจเท่าที่ควรเมื่อเทียบชั้นกับเจ้าพ่อวงการกำลังภายในอย่างเหลียงหยูเชิงหรือจินยงก็ตาม
       
       อันดับที่ 6 วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า (阿飞正传หรือ Days of Being Wild)

       บางคนมองว่าชื่อ阿飞正传 มาจากหนังสือเรื่อง阿Q正传 (ประวัติจริงของอาคิว) ที่หลู่ซวิ่นเขียนขึ้นมาเพื่อให้ชาวจีนหันมาตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตนเองในขณะที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ทว่า วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้าซึ่งกำกับและเขียนบทโดยเจ้าพ่อหนังอาร์ทจากเกาะฮ่องกง หว่องกาไว (หวังเจียเว่ย) เข้าฉายในปี 1990 นี้ กลับเป็นการพยายามพูดเรื่องถิ่นฐานที่ตัวละครอาศัยอยู่และผูกพัน โดยมียกไจ๋ (แสดงโดย เลสลี่ จาง) หนุ่มหน้าตาดี คารมเยี่ยม มีรถเก๋งขับ อยู่แฟลตส่วนตัว เป็นตัวเดินเรื่อง ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้ ทำให้ผู้หญิงหลายคนหลงรักไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะเป็นโซวไหล่เจิน (แสดงโดย จางม่านอวี้) พนักงานขายน้ำในสนามกีฬา หรือมี่มี่ (แสดงโดย หลิวเจียหลิง) นักเต้นในไนท์คลับ แต่เพราะเขาคิดเสมอว่าตัวเองเป็นนกไร้ขา ต้องการมีชีวิตอิสระ ที่หัวใจเรียกร้องให้ “บิน” ไปตลอดชีวิต หรือบางทีอาจจะตายไปแล้ว โดยไม่เคยบินไปไหน จึงไม่พร้อมมีพันธะในความสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับตำรวจหนุ่ม (แสดงโดย หลิวเต๋อหัว) ที่มีความฝันที่จะเป็นกะลาสีเรือ แต่เพราะมีแม่ที่ต้องดูแล เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริง และพร้อมที่เป็นกำลังใจให้ใครก็ตามโดยไม่คาดหวัง คล้ายกับแดนนี่ (แสดงโดย จางเซียะโหย่ว) ที่เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะแสดงความรักโดยไม่ยัดเยียดและถือครอง
       
       ความแปลกแยกของเนื้อหา การเจาะเน้นเรื่องราว ของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่อยู่ด้วยความสับสน และเปลี่ยวเหงา ภาวะจิตใจ ที่ไร้การยึดเหนี่ยวและการค้นหาตัวตน คือจุดเด่นของหว่องกาไว จึงทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลอาทิ นักแสดงยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการประกาศรางวัลภาพยนตร์ฮ่องกง ครั้งที่10 ในปี 1991 และถูกจัดให้เป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของฮ่องกงหลายครั้ง นอกจากนี้ การกำกับการแสดงของเขา ผสมฝีมือการกับภาพของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ เป็นเอกลักษณ์ที่พบในภาพยนตร์ของเค้าทั้งคู่อีกหลายเรื่องต่อมาไม่ว่าจะเป็น Chungking Express, Ashes of Time, Fallen Angels , Happy Together , In the Mood for Love และ "2046" ที่มีธงไชย แมคอินไตย์ ร่วมแสดงด้วย
       
       อันดับที่ 5 อาดูรแห่งแผ่นดิน (悲情城市หรือ A City of Sadness)

       ควบคุมการสร้างโดยโหวเซี่ยวเสียน ปรมาจารย์จอเงินแห่งไต้หวัน เข้าฉายในปี 1989 โหวใช้ศิลปะการแสดงแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลังในการเล่าเรื่องเหตุการณ์ความตระหนกสีขาว (白色恐怖หรือ White Terror) ในยุคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ไต้หวัน ผ่านการฉายภาพโศกนาฏกรรมของครอบครัวหนึ่งที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างคนท้องถิ่นไต้หวันและรัฐบาลคณะชาติจากจีนใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสะท้อนผลกระทบของเหตุการณ์ที่มีต่อปัจเจกชนหรือคนกลุ่มเล็กๆ อันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่พูดถึงเหตุการณ์ 28/2 ในปี 1947 ที่มีบรรดา นักศึกษา ทนายความ แพทย์ ผู้นำชุมชน ถูกสังหารหมู่ไปนับหมื่นคน ส่วนที่เหลือหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่า บ้างถูกจับและจับกุมคุมขังอยู่จนกระทั่งกลางยุค 80
       
       นักวิเคราะห์หนังเจอรี่ ไวท์ กล่าวว่า จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ คือ เทคนิคการเสกโศกนาฏกรรมจากความว่างเปล่า อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของโหวเซี่ยวเสียน เขาใช้การส่งสัญญาณ บอกใบ้ แก่คนดูผ่านฝีภาพยาว (long take) บ้าง ภาพวิถีไกล (long shot) ของตัวเมืองรกร้างบ้าง เพื่อแสดงความวิปโยคของภาวะสงครามกลางเมืองแทนที่เสียงกระสุนหรือกองเลือด ทำให้คนดูอาจขาดอารมณ์ร่วม และถูกจัดวางในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งสุขุมเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรางวัลสิงโตทองคำ (The Golden Lion) พร้อมกับรับรางวัล UNESCO จากงานเทศกาลหนังนานาชาติเวนิส ( Venice International Film Festival) ในปี 1989 นับเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้
       
       อันดับ 4 หนึ่งหนึ่ง (一一หรือ A One and a Two)

       ภาพยนตร์ดราม่าไต้หวันจากผลงานการกำกับของเอ็ดเวิร์ด ยาง ในปี 2000 เล่าเรื่องราวของครอบครัวชนชั้นกลางแห่งไทเป 3 ช่วงอายุคน คือ ช่วงปลาย ช่วงกลาง และช่วงต้น ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยด้วยปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ผ่านตระกูลเจียนซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ คุณย่าที่ต้องเผชิญกับความร่วงโรยของวัย พ่อและแม่ที่ต้องเผชิญกับภาระหน้าที่การงานและสมานความสัมพันธ์ครอบครัว ลูกสาวและลูกชายที่ต้องเผชิญกับภาระการเรียน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างครูและเพื่อนฝูง หนังดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ จนดูเหมือนว่าจะขาดจุด “climax” ไป ราวกับการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
       
       การใช้ตัวหนังบอกเล่าทัศนคติของตัวเองที่มีต่อผู้คนด้วยความเป็นกลาง ไม่พิพากษาตัดสิน ส่งผลให้ยาง ได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก อาทิ รางวัลกำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลหนังคานส์ ในปี 2000 รางวัลภาพยนตร์ต่างชาติยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ฝรั่งเศส ในปี 2001 รางวัลจากสมาคมวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส ในปี 2000 และรางวัลจากวงการณ์วิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ค ในปี 2000 และนอกจากจะถูกจัดอันดับเป็นหนัง 1 ใน 10 ภาพและเสียงยอดเยี่ยมในรอบ 25 ปีแล้ว หนึ่งหนึ่งยังได้รับการกล่าวขานในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2001 จากหลายสำนักพิมพ์ อาทิ USA Today, the New York Times, Newsweek and Film Commentและ the British Film Institute's magazine ในปี 2002
       
       อันดับ 3 หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจ ก็ไม่ลืม (霸王别姬หรือ Farewell My Concubine)

       ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1993 เรื่องนี้ใช้ชื่อเดียวกับการแสดงอุปรากรจีน (京剧หรือ Peking Opera ) ชุดหนึ่ง เกี่ยวกับการรบเมื่อ 202 ปีก่อนคริสตกาล การสถาปนาราชวงศ์ฮั่น และศาลาโบตั๋น โดยปรับบทจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Lilian Lee อันเป็นงานเขียนต้องห้ามของพรรคคอมมิวนิสต์ กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตที่ขึ้นลงของ 2 นักแสดงอุปรากรจีนชายคือ เฉิงเตี้ยอี้ (แสดงโดย เลสลีจาง) ที่ได้รับการฝึกฝนให้รับบทเป็นตัวนาง กับต้วนเสี่ยวโหลว (แสดงโดย จางเฟิงอี้) เพื่อนรุ่นพี่ที่คอยปกป้องเขามาตั้งแต่เด็ก พร้อมปมความสัมพันธ์แบบสามเส้าเมื่อมีตัวละครนางโลมจูเสียน (แสดงโดย กงลี่) เพิ่มขึ้นมา ภาพยนตร์จบลงที่โศกนาฎกรรมจากความตายของเฉิงเตี้ยอี้ที่ใช้ดาบเชือดคอตัวเอง
       
       นอกจากการนำเสนอห้วงวันเวลาที่อลหม่านของสังคมและการเมืองระหว่างปี 1920 ถึง1970 นับแต่ยุคสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง การพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น การโค่นล้มพรรคก๊กมินตั๋งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่งิ้วกลายเป็นสิ่งต้องห้าม จนมาถึงยุคปัจจุบัน เรื่องราวความรักที่ผิดจารีตประเพณีซึ่งหาได้ยากยิ่ง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นทั้งเพชรยอดมงกุฎของวงการหนังจีน และเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประจำปี 1993 นับเป็นความภาคภูมิใจของผู้กำกับชื่อก้อง เฉินข่ายเก๋อ
       
       อันดับ 2 รอวันรัก…3 หัวใจ (小城之春หรือ Spring in a Small Town)

       ผลงานเรื่องล่าสุดของ เถียนจวงจวง และทีมผู้สร้างเสือซุ่ม มังกรซ่อน กำกับโดย เฟ่ยมู่ เข้าฉายในปี 1984 อิงจากเรื่องราวของหลี่เทียนจี้ ถ่ายทอดความรักสามเส้า บอกเล่าความสับสนในมิตรภาพระหว่างเพื่อน การโหยหาคนรักที่ใฝ่ฝัน และบทบาทหน้าที่ทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะปราศจากโครงเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็ได้รับการชื่นชมว่าตัวละครสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกในสถานการณ์ที่เปราะบางออกมาได้เป็นอย่างดี และถูกยกย่องเป็นหนังภาษากวีรุ่นบุกเบิก
       
       ภาพยนตร์ได้รับรางวัลทั้งในและต่างประเทศ เช่น ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังอมตะตลอดกาล จากคณะกรรมการภาพยนตร์จีน ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังจีนที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมา จากสมาคมจัดอันดับภาพยนตร์ฮ่องกง ในปี 2005 ถูกจัดเป็น 1 ใน 10 สุดยอดหนังจีนจากหนังสือพิมพ์แคนนาดา Winnipeg Free Press ในปี 2012 หรือแม้แต่ผู้กำกับชื่อก้อง จางอี้โหมวก็ยังกล่าวว่าเป็นหนังที่เค้าชื่อชอบที่สุด
       
       อันดับ 1 แม่น้ำฤดูใบไม้ผลิไหลสู่ทิศตะวันออก (江春水向东流หรือ A Spring River Flows East)

       ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างในปี 1947 เขียนบทและกำกับโดยไช่ฉู่เซิง และเจิ้งจุนลี่เรื่องราวยาวกว่า 3 ชั่วโมงถูกแบ่งเป็นสองตอน คือ พรัดจากแปดปี (八年离乱) กับวันฟ้าสว่าง (天亮前后) กล่าวถึงเรื่องราวของหวางซู่เฟิน พนักงานโรงงานทอผ้าพบรักกับอาจารย์หนุ่มจางจงเหลียง ซึ่งสอนอยู่ที่การศึกษานอกโรงเรียน ทั้งคู่ตกลงใจแต่งงานกัน ทว่า เหตุการณ์ต่อต้านญี่ปุ่น 813 ทำให้ครอบครัวแตกกระสานซ่านเซน จางจงเหลียงต้องไปช่วยผู้บาดเจ็บที่เซี่ยงไฮ้ ส่วนหวางซู่เฟินพาลูกชายและแม่สะใภ้กลับบ้านนอก พ่อสะใภ้ถูกทหารญี่ปุ่นทารุณกรรมจนเสียชีวิต หวางซู่เฟินจึงตัดสินใจพาแม่สะใภ้กลับเซี่ยงไฮ้เพื่อรอคอยการกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง แม้จะต้องอยู่อย่างรันทดเพียงใดก็ตาม ในขณะที่พระเอกซึ่งถูกทหารญี่ปุ่นขับไล่ไปอยู่ฉงชิ่ง ด้วยสภาพแวดล้อมที่ยั่วยวน ตกเป็นสามีจำแลงของหวางลี่เจิน ลูกสาวโรงงานส่งออก ต่อมาจางจงเหลียงย้ายไปประจำที่สำนักพิมพ์พี่เขยของหวางลี่เจิน พบกับหวางซู่เฟินที่มาเป็นพนักงานรับใช้ที่บังเอิญ แต่เพราะความโลภในสมบัติจึงไม่ยอมรับในสถานะและกลบมาใช้ชีวิตครอบครัวเหมือนกัน ทำให้หวางซุ่เฟินเศร้าโศรกเสียใจจนปลิดชีวิตลงที่แม่น้ำแยงซี
       
       ด้วยศิลปะในการผสมผสานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กับการถ่ายทอดโศกนาฏกรรมจากชีวิตจริง ผ่านการพรักพรากที่ปวดร้าวและกระแสคอรัปชั่นขายชาติในช่วงสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ณ เมืองเซี่องไฮ้ในยุคทศวรรษ 30 และ 40 ทำให้ภาพยนตร์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและฉายอยู่นานกว่า 3 เดือนทันทีที่ออกฉาย ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ กล่าวกันว่ามีผู้ชมมากว่า 700,000 คน และ เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเมือง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2555

6934
หลังจาก "เหรินไจ้จย่งถูจือไท่จย่ง(人再囧途之泰囧)" หรือ Lost in Thailand ภาพยนตร์จีนแนว road movie ฟอร์มเล็กที่ลงจอฉายในจีนเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2012 ได้ทุบสถิติรายได้สูงสุดของหนังสัญชาติจีน แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง "ฮว่าผี ภาค2 (画皮2)" หรือ Painted Skin 2 : The Resurrection ในขณะที่เพิ่งเข้าฉายได้เพียง 2 สัปดาห์ เมื่อวันอาทิตย์(12 ม.ค.) ที่ผ่านมา และได้สร้างความแปลกใจให้วงการภาพยนตร์อีกครั้ง ด้วยการขึ้นแท่นอันดับหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์บ็อกซ์ออฟฟิศ แซงหน้าหนังฮอลลีวู้ด แชมป์เก่าอย่าง Titanic 3D ด้วยรายได้ณห้องขายตั๋วกว่า 1,200 ล้านหยวน (6 พันล้านบาท)

       เหรินไจ้จย่งถูจือไท่จย่ง(人再囧途之泰囧) หรือ Lost in Thailand เป็นหนังภาคต่อของ เหรินไจ้จย่งถู(人再囧途 : Lost On Journey) ปี 2553 ซึ่งกำกับและนำแสดงโดย สูเจิง (徐峥) พร้อมดาวตลกคู่หู หวัง เป่าเฉียง (王宝强) และ ฮวาง ปั๋ว (黄渤) เช่นเคย หนังตลกผจญภัยเรื่องนี้พาผู้ชมชาวจีนเดินทางออกจากแผ่นดินใหญ่สู่เมืองไทย ผ่านเรื่องราวของสองผู้จัดการหนุ่มที่มีความเห็นไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับงานวิจัยผลิตภัณฑ์ประหยัดน้ำมันที่บริษัทคิดค้นขึ้น คนหนึ่งต้องการขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทในฝรั่งเศส ขณะที่อีกคนต้องการวิจัยต่อเพื่อหวังผลระยะยาว แต่ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร คือ ประธานบริษัทที่พักผ่อนอยู่ในเมืองไทย ทั้งสองจึงต้องเดินทางมาเมืองไทยเพื่อแข่งกันเสนอความคิดและโน้มน้าวท่านประธาน และในระหว่างนี้เองที่ทั้งสองจะได้พบกับชีวิตที่หลุดกรอบ ทั้งบู๊กับมวยไทย ผจญภัยกับช้าง เพลินกายกับนวดแผนไทย เพลินตากับสาวไทย และเพลินใจกับสาวประเภทสอง ฯลฯ

       

       

       

       ด้วยพล็อตขายความฮาที่ไม่ซับซ้อน บวกกับรายชื่อของนักแสดงนำที่ไม่ใช่ระดับซูเปอร์สตาร์ ทำให้หนังต้นทุนต่ำ เพียง 30 ล้านหยวน (146 ล้านบาท) เรื่องนี้ถูกประเมินตั้งแต่ก่อนเข้าฉายว่าอย่างดีที่สุดไม่น่าจะทำรายได้เกิน 500 ล้านหยวน (2,500 ล้านบาท) ทว่า นับแต่เข้าฉายในวันที่ 12 ธ.ค. 2012 กลับสร้างความตะลึงให้กับวงการภาพยนตร์จีน ด้วยการทุบสติอย่างต่อเนื่อง เพียงสองสัปดาห์ที่เข้าฉายก็ทำรายได้แชงหน้าแชมป์เก่าอย่าง ฮว่าผี ภาค 2 (画皮2) หรือ Painted Skin 2 : The Resurrection และเพียงหนึ่งเดือนให้หลัง (12 ม.ค. 2013) ก็ทำรายได้กว่า 1,200 ล้านหยวน (6 พันล้านบาท) ด้วยจำนวนผู้เข้าชมสูงสุดเป็นประวัติกาลถึง 380 ล้านคน ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งประวัติศาสตร์การโกยรายได้ที่หน้าห้องขายตั๋ว หรือบ็อกซ์ออฟฟิศ แซงหน้าหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Titanic 3D ที่ทำรายได้เพียง 970 ล้านหยวน (4,850 ล้านบาท) ไปแล้ว

       ต่อความสำเร็จครั้งนี้ หนังสือพิมพ์รายวันเศรษฐกิจจีน《经济日报》วิจารณ์ว่า ในฐานะหนังตลกโปกฮา Lost in Thailand ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความบันเทิงในชั้นต้น หากเป็นเสมือนหนึ่งภาพสะท้อนระบบคุณค่าในชีวิตจริง ที่ช่วยให้ผู้ชมได้ระบายความอัดอั้นตันใจผ่านการปล่อยเสียงหัวเราะ
       
       จาง อี้อู ศาสตราจารย์มหาลัยปักกิ่งกล่าวว่า “ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ตัวละครหลักเผยให้เห็นความวิตกกังวลที่มีอยู่ในหมู่คนชั้นกลาง ความทะเยอทะยานในเรื่องความสำเร็จที่จับต้องได้ ทั้งนี้คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งก็เริ่มสับสนอ่อนล้า อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ได้เดินหลงทางในประเทศไทยแต่เป็นการหลงทางชีวิตของกลุ่มคนเมือง
       
       ส่วนคณะผู้จัดมองว่า แม้ว่าจะเป็นความบังเอิญที่น่าฉงนของเลข 12 ที่เริ่มจากเข้าฉายในวันที่ 12 ธ.ค. 2012 (12-12-12) และทำรายได้ 1,200 ล้านหยวน ในวันที่ 12 ม.ค. 2013 แต่ก็ไม่อยากให้ประชาชนงมงาย เพราะมีอีกหลายปัจจัยประกอบ ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนของเนื้อหา ความร่วมมืออันดีของทีมงาน การกำหนดเวลาที่ออกฉาย และกลยุทธ์ในการโฆษณา เป็นต้น
       
       สู เจิง กล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ทั้งนี้การเข้าถึงความต้องการตลาด คือ ที่มาของความสามารถในการกระชากใจคนดู แม้ตัวผมเองก็ยังมีความสุขตลอดการถ่ายทำ รวมถึงทีมงานทุกคน แค่เขาเห็นผม หวาง เป่าเฉียง ฮวางปั๋ว อยู่ด้วยกันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้ว” หวาง เป่าเฉียง เสริมว่า “ตัวผมเองก็ภูมิใจกับความสำเร็จครั้งนี้ การได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับสู และพี่ปั๋ว มันยอดเยี่ยมมาก สภาพแวดล้อมที่เราไปถ่ายทำ รวมถึงทีมงานที่อบอุ่น ทำให้ผมบันเทิงใจเป็นอย่างมาก” ฮวาง ปั๋ว มองว่า “เวลา สถานที่ ทีมงาน ล้วนเป็นปัจจัยเสริม แต่เนื้อหาที่ชัดเจน คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ”

ภาพการ์ตูนล้อเลียนจากสื่อฮ่องกง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ บทสนทนา "แกว่า ทำไม หนัง Lost in Thailand ถึงได้ฮิตระเบิดขนาดนี้?" "บางที มันช่วยให้ชีวิตสดใสขึ้น หลังจากที่ "Lost in Beijing" กัน สะบักสะบอม"

       ประเด็นที่น่าจับตามอง คือ Lost in Thailand กระตุ้นการท่องเที่ยวประเทศไทยของชาวจีนให้กระเตื้องขึ้นอย่างมาก ในโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพการท่องเที่ยวตามรอยหนังอย่างแพร่หลาย ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนทั้งแบบกรุ๊ปทัวร์และแบบ “แบ็คแพ็ก” ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงยอดจองในช่วงตรุษจีน มียอดเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากปีที่แล้ว หลายบริษัททัวร์จัดโปรแกรมทัวร์ตามรอยแหล่งท่องเที่ยวในภาพยนตร์ อาทิ จัดโปรแกรมให้นักท่องเที่ยวพักที่โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฉากเปิดในภาพยนตร์ รวมทั้งจัดกิจกรรมอย่างการปล่อยโคม นั่งรถตุ๊กตุ๊ก และดูการแสดงช้าง เป็นต้น
       
       ทว่า ความโชคดีครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสโกยทรัพย์ตลาดใหญ่ที่อาจเพิ่มขึ้นจนตาลาย หรือจะเป็นเพียงแค่กระแสที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อยู่ที่ความพร้อมของประเทศไทย เพราะอย่าลืมว่ากระแสอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วปานจรวด สามารถสร้างความ “นิยมไทย” ได้ในพริบตา แต่ก็สามารถ “ทำลายความเป็นไทย” ได้ในพริบตาเช่นกัน

โดย น้ำทิพย์ อรรถบวรพิศาล    16 มกราคม 2556
http://www.manager.co.th

6935
 คืบหน้าทุจริตยาซูโดฯ สั่งเด้งข้าราชการ สธ.ผิดวินัยร้ายแรง 5 ราย ฟันผิดไม่ร้ายแรง 18 ราย โทษตั้งแต่ลดเงินเดือน ตัดเงินเดือน ภาคทัณฑ์ ไปจนถึงเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วน ผอ.รพ.ทองแสนขัน อยู่ระหว่างการสอบ
       
       นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบรายงานการดำเนินการทางวินัย กรณีการจัดซื้อยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เปิดเผยถึงผลสอบสวนทางวินัยบุคลากรสาธารณสุขกรณีการทุจริตยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ว่า หลัง ปลัด สธ.และผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรงแก่เภสัชกร เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และผู้อำนวยการโรงพยาบาล จำนวน 9 แห่ง ผลการสอบล่าสุด พบว่า มีข้าราชการที่เกี่ยวข้องและมีความผิดทางวินัยทั้งหมด 23 ราย โดยอยู่ระหว่างสอบสวนทางวินัยร้ายแรงอีก 1 ราย
       
       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า มีข้าราชการที่ผิดวินัยร้ายแรงจนต้องไล่ออก 5 ราย คือ 1.เภสัชกรชำนาญการ รพ.อุดรธานี ซึ่งเป็นรายที่ยังหลบหนีอยู่ 2.เภสัชกรชำนาญการ รพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ 3.เภสัชกรชำนาญการ รพ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู 4.เจ้าพนักงานเภสัชกรรมชำนาญงาน รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ และ 5.เภสัชกรชำนาญการ รพ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ส่วนอีกรายอยู่ระหว่างสอบสวนทางวินัยร้ายแรง คือ ผู้อำนวยการ รพ.ทองแสนขัน ซึ่งมี รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ซึ่งเมื่อได้ข้อสรุปจะเสนอเข้าสู่คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อพิจารณาลงโทษต่อไป
       
       นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า ส่วนผลสอบวินัยไม่ร้ายแรงมีข้อสรุป ดังนี้

1.กรณี รพ.อุดรธานี ลงโทษลดเงินเดือนร้อยละ 2 จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรเชี่ยวชาญ ลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 3 เดือน จำนวน 1 ราย คือ ผอ.รพ.อุดรธานี และลงโทษว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรจำนวน 3 ราย คือ นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการพิเศษ นายแพทย์เชี่ยวชาญ และรองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์

2.กรณี รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ สั่งลงโทษลดเงินเดือนร้อยละ 2 จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ และลงโทษภาคทัณฑ์จำนวน 1 ราย คือ ผอ.โรงพยาบาลฯ

3. กรณี รพ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ลงโทษภาคทัณฑ์จำนวน 1 ราย คือ ผอ.โรงพยาบาลฯ

4.กรณี รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ลงโทษลดเงินเดือนร้อยละ 2 จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรชำนาญการ และลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 1 เดือน จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรชำนาญการ นอกนั้น เป็นการลงโทษภาคทัณฑ์ มีเจ้าพนักงานเภสัชกรรมปฏิบัติงาน จำนวน 2 ราย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีก 1 ราย
       
5.กรณี รพ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ สั่งลงโทษลดเงินเดือนร้อยละ 5 จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรปฏิบัติงาน

6.กรณี รพ.เสริมงาม จ.ลำปาง สั่งลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรจำนวน 1 ราย คือ ผอ.โรงพยาบาลฯ

7.กรณี รพ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 3 เดือน จำนวน 1 ราย คือ เจ้าพนักงานเภสัชกรรมปฏิบัติงาน และลงโทษภาคทัณฑ์จำนวน 1 ราย คือ ผอ.โรงพยาบาล และ

8.กรณี รพ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เสนอลงโทษลดเงินเดือนร้อยละ 2 จำนวน 1 ราย คือ เภสัชกรชำนาญการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาต่อไป


ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 มกราคม 2556

6936
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหน่วยงานหลักในการที่ให้การดูแลทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง โดยให้เป็นไปตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับที่ สธ. จะได้กำหนดร่วมกับกระทรวงแรงงาน (รง.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมุนษย์ (พม.) ในการที่ให้การดูแลการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และอนามัยเจริญพันธุ์ในแรงงานต่างด้าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอ

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงสาธารณสุข เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาว่า

1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (12 มิถุนายน 2555) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติและผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชาที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 เพื่อเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จ โดยให้ สธ. ดำเนินการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้มีประกาศเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาว กัมพูชา และพม่า ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว โดยยกเว้นไม่ขึ้นทะเบียนกรณีเป็นลูกจ้างของกิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมิได้ใช้ลูกจ้างตลอดปีและไม่มีงานลักษณะอื่นรวมอยู่ด้วย กรณีเป็นลูกจ้างและนายจ้างที่จ้างไว้เพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจรหรือเป็นไปตามฤดูกาล กรณีลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งงานที่ลูกจ้างทำนั้นมิได้มรการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย กรณีเป็นลูกจ้างของนายจ้างซึ่งประกอบการค้าเร่หรือการค้าแผงลอย กรณีเป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย

2. นโยบายรัฐบาลด้านแรงงานเกี่ยวกับการให้การคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย โดยให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยในการทำงานและสวัสดิการแรงงาน และดูแลหลักประกันความมั่นคงในการทำงานแก่ผู้ใช้แรงงาน การปรับปรุงแนวทางการขยายความคุ้มครอง และส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจและเห็นประโยชน์ในการประกันตนของแรงงานนอกระบบรวมทั้งการเตรียมการรองรับการเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 โดยเน้นระบบบริหารจัดการเพื่อจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ จัดระบบอำนวยความสะดวก และมาตรการการกำกับดูแล ติดตามการเข้าออกของแรงงานทุกประเภท สธ. จึงเห็นความจำเป็นของการจัดการดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ และสามารถป้องกันควบคุมโรคที่มากับแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี)  15 มกราคม 2556

6937
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้วางทิศทางการทำงานของ สธ. ตามโครงสร้างใหม่ 11 บทบาท ได้แก่

1.การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์บนฐานความรู้ เป็นนโยบายการสร้างสุขภาพของประเทศ
2.การสร้างและจัด การความรู้สุขภาพ
3.การประเมินเทคโนโลยี เช่น เครื่องมือแพทย์วัคซีน เพื่อตัดสินใจทางนโยบาย
4.การพัฒนากำหนดมาตรฐานกฎ เกณฑ์ รวมทั้งการรับรองมาตรฐานบริการต่างๆ เช่น ห้องคลอด ศูนย์เด็กเล็ก การฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ เป็นต้น
5.พัฒนาระบบกลไกการเฝ้า ระวังโรคและภัยสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ
6.การพัฒนากลไกด้านกฎหมายเป็น เครื่องมือดูแลสุขภาพประชาชน
7.การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประ เทศ
8.กำกับ ดูแล ติดตาม ประเมินผลของภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน เช่น ติดตาม กำกับคลินิกเถื่อน
9.การเงินการคลังด้านสุข ภาพของประเทศ
10.การพัฒนาข้อมูลข่าว สารให้เป็นระบบเดียว และ
11.กำหนดนโย บายและยุทธศาสตร์กำลังคนด้านสุขภาพร่วมกับสภาวิชาชีพ สถาบันการผลิตบุคลากรต่างๆ รวมทั้งกำหนดมาตรการธำรงรักษากำลังคนและการกระจายที่เป็นธรรม

ไทยโพสต์ 16 มกราคม 2556

6938
 อนาถ! ผลสำรวจไอคิว-อีคิวเด็กไทย ต่ำกว่ามาตรฐานทั้งคู่ พบอีสานไอคิวน้อยสุดที่ 95.99 จุด ขณะที่ระดับอีคิวนักเรียนทั่วประเทศถอยหลังลงคลองทุกปี สธ.ก้นร้อนเตรียมขยายมาตรการพัฒนา เชื่อสำรวจอีกครั้งปี 2559 คะแนนฉลุยผ่านเกณฑ์แน่
   
       นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากผลสำรวจความฉลาดทางสติปัญญา (ไอคิว :IQ) ของนักเรียนไทยทั่วประเทศ เมื่อปี 2554 พบเด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ย 98.59 จุด ต่ำกว่าค่ากลางมาตรฐานสากลยุคปัจจุบันคือ 100 จุด
โดยในเขตกรุงเทพมหานคร มีระดับไอคิวเฉลี่ยสูงสุด 104.5 จุด
รองลงมาคือภาคกลาง 101.29 จุด
ภาคเหนือ 100.11 จุด
ภาคใต้ 96.85 จุด และ
ภาคอีสานน้อยที่สุดคือ 95.99 จุด

ดังนั้น ปี 2556 สธ.จึงมีนโยบายส่งเสริมให้เด็กมีไอคิวสูงขึ้น โดยเน้นพื้นที่ดำเนินงาน 3 ส่วน คือ
1.คลินิกเด็กสุขภาพดีโรงพยาบาลทั่วประเทศ
2.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กประมาณ 20,000 แห่งทั่วประเทศ และ
3.สอนพ่อแม่ให้มีความรู้และทักษะในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ซึ่งจะทำให้พ่อแม่มีส่วนร่วมดูแลเสริมสร้างไอคิวลูก สามารถสังเกต เฝ้าระวังความผิดปกติ หรือพัฒนาการที่ล่าช้าของลูก เพื่อเร่งแก้ไขให้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ โดยในปี 2559 สธ.จะทำการสำรวจไอคิวเด็กไทยอีกครั้ง มั่นใจว่าไอคิวของเด็กไทยจะเข้าสู่มาตรฐานสากลคือ 100 จุด
       
       ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สธ.ได้ทำการสำรวจการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว :EQ) เมื่อปี 2554 พบว่า

เด็กนักเรียนไทยอายุ 6-11 ปี ค่าคะแนนอีคิวเฉลี่ยพื้นฐานระดับประเทศอยู่ที่ 45.12 ซึ่งระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ โดยเด็กที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนอีคิวพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 50 ขึ้นไป มีเพียงร้อยละ 28 โดยมีเด็กที่มีคะแนนต่ำกว่าปกติ จำเป็นต้องได้รับการพัฒนามีร้อยละ 80 เพื่อให้ครบองค์ประกอบ 3 ด้านคือ ดี เก่ง สุข ประเด็นที่น่าเป็นห่วง และพบว่ามีคะแนนต่ำที่สุดคือ มุ่งมั่นพยายามและกล้าแสดงออก อย่างละร้อยละ 43 และรื่นเริงเบิกบาน ร้อยละ45
       
       นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า เมื่อนำผลรวมของคะแนนอีคิว ที่ได้มาจากการประเมินของครูฉบับเดียวกันในปี 2545 และปี 2550 พบว่า คะแนนดิบอีคิวของเด็กไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในปี 2554 อยู่ที่ 170 ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งได้ 180 และในปี 2545 ได้ 186 และมีค่าคะแนนอีคิวทั้งองค์ประกอบด้านดี เก่ง สุข และด้านย่อยทุกด้านนั้นปี 2554 ต่ำสุดเช่นกัน ดังนั้นในปี 2556 กรมสุขภาพจิต จึงเร่งเสริมสร้างความมุ่งมั่นพยายามให้กับเด็กทั้ง 3 กลุ่มวัยคือ เด็กปฐมวัย เด็กวัยเรียน และวัยรุ่น ที่อยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เพื่อนำเด็กไทยก้าวสู่ประชาคมอาเซียน คาดหวังว่าอีคิวเด็กไทยจะดีขึ้นเมื่อสำรวจอีกครั้งในปี 2559

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 มกราคม 2556

6939
กรณีแพทย์ประจำรัฐสภาปฏิเสธนำรถฉุกเฉินส่งนายสกล สนธิรัตน ช่างภาพเครือเนชั่น ที่ป่วยกะทันหันด้วยโรคประจำตัวส่งโรงพยาบาล ต่อมา นายสกลถูกส่งตัวไปรักษาที่รพ.กลาง และเข้าผ่าตัดเนื่องจากมีเลือดออกที่ก้านสมอง เมื่อวันที่ 10 มกราคมนั้น

เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่รัฐสภา นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร นพ.สามารถ ตันอริยกุล ผอ.สำนักการแพทย์ กทม. และ พล.ต.นพ.ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ ผอ.รพ.พระมงกุฎเกล้า ร่วมกันแถลงข่าว

นายวัฒนากล่าวว่า ในนามรัฐสภารู้สึกเสียใจ ขอโทษต่อประชาชนและสื่อมวลชนยืนยันว่าโรงพยาบาลที่มาประจำที่รัฐสภา ได้มอบหมายให้ดูแลสมาชิกทั้ง ส.ส. ส.ว.ข้าราชการและประชาชนที่มาติดต่องานที่สภาเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเกิดความผิดพลาดทางข้อมูล

นพ.สามารถกล่าวว่า มีการประสานมาว่ามีช่างภาพป่วยเป็นความดัน เวียนศีรษะ เมื่อมาถึง รพ.กลาง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงถึง 180 พบปากเบี้ยวเล็กน้อย สายตาผิดปกติ แต่แขนขาปกติ แพทย์ให้ยาลดความดันพร้อมเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันมีเลือดออกที่ก้านสมอง ปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว จึงให้ยาลดความดันพร้อมยาลดอาการสมองบวม แต่มีช่วงหนึ่งชีพจรหยุดเต้นและมีเลือดออกที่ก้านสมองเพิ่มขึ้น จึงตัดสินใจผ่าตัดในเวลาประมาณ 20.00 น. จนแล้วเสร็จเวลา 02.00 น. ของวันที่ 11 มกราคม ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ ส่วนอนาคตยังตอบไม่ได้ ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาคนที่ 1 กล่าวว่า เบื้องต้นอาจขอความร่วมมือไปยัง นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ให้ดูแลเรื่องดังกล่าวอีกทาง หากพบว่าปัญหาดังกล่าวยังเกิดขึ้นอีก การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปีหน้าอาจมีการปรับลดงบประมาณลง

มติชน  13 ม.ค. 2556

6940
สพฉ.เดินหน้าวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ประสานชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น รายงานสาเหตุเพิ่ม หวังลดอุบัติเหตุ และอัตราการบาดเจ็บ เสียชีวิต พบจักรยานยนต์เสี่ยงสุด ไม่สวมหมวกกันน็อกเกือบครึ่ง เผยผู้ป่วยฉุกเฉินที่ได้รับการช่วยเหลือด้วยทีมกู้ชีพที่ถูกวิธีผ่านสายด่วน 1669 มีอัตรารอดชีวิตถึงร้อยละ 96.76

นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รักษาการเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมอบให้ สพฉ.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วิเคราะห์ข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 เพื่อนำมาปรับปรุงการป้องกันและลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตทาง สพฉ. ได้จัดประชุมเพื่อหาแนวทางในการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติจากที่เกิดเหตุแล้ว

"เบื้องต้นได้ประสานให้ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (FR) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครมูลนิธิ หรือทีมกู้ชีพจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเก็บข้อมูล เนื่องจากเป็นทีมกู้ชีพที่เข้าไปถึงที่เกิดเหตุเป็นทีมแรก ประกอบกับจะนำข้อมูลที่ได้จากศูนย์สื่อสารและสั่งการ 1669 มาวิเคราะห์ร่วมด้วย เพื่อให้มีความครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในประเด็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ เมาสุรา หลับใน หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันน็อก การนั่งท้ายรถกระบะ หรือปัญหาถุงลมนิรภัย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต จะลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ลดลงตามเป้าที่ต้องการ โดยเฉพาะในวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นช่วงที่มีการเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บ และเสียชีวิต เพิ่มเป็นเท่าตัว ดังนั้น สพฉ.จะต้องหาแนวทางพัฒนาในประเด็นนี้ต่อไป         

"นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าสนใจคือ เห็นได้ชัดว่า ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้บาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือจากการโทรแจ้งสายด่วน 1669 จะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้มากถึงร้อยละ 96.76 เพราะการช่วยเหลือ และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บที่ถูกวิธี จะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้น หรือช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตนั้น ส่วนหนึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุร้อยละ 53.50 ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของ สพฉ. ที่จะต้องเร่งดำเนินการต่อจากนี้ คือ เร่งรณรงค์ให้ประชาชนใช้บริการจากสายด่วน 1669 มากขึ้น" นพ.ประจักษวิช กล่าว

คมชัดลึก 12 ม.ค. 2556

6941
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556 เว็บไซต์ theblaze.com รายงานเรื่องราวสุดน่ารักของแม่ลูกชาวอเมริกันคู่หนึ่ง โดยนางเจเนล ฮอฟฟ์แมน ผู้เป็นแม่ ได้มอบ iPhone รุ่นล่าสุดให้แก่ เกร็ก ฮอฟฟ์แมน ลูกชายวัย 13 ปี เพื่อเป็นของขวัญในวันคริสต์มาส พร้อมกับแนบกฎเหล็กในการใช้โทรศัพท์เอาไว้อย่างชาญฉลาดถึง 18 ข้อด้วยกัน เพื่อให้ลูกชายรู้จักใช้โทรศัพท์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และมีความรับผิดชอบ ดังนี้

เจ๋ง! กฎเหล็ก 18 ข้อ เมื่อคุณแม่ให้ iPhone กับลูกชาย

           1. มันเป็นโทรศัพท์ของแม่ แม่เป็นคนซื้อ แม่เป็นคนจ่าย แม่ให้ลูกยืมใช้ เพราะฉะนั้นแม่มีสิทธิ์สูงสุด

           2. แม่จะต้องรู้พาสเวิร์ดทั้งหมด

           3. ถ้าแม่โทรเข้า ต้องรับ มันคือโทรศัพท์ ให้ทักทายอย่างสุภาพ ห้ามเมินเมื่อมีคำว่า"Mom" หรือ "Dad" โชว์บนหน้าจอโดยเด็ดขาด

           4. ส่งโทรศัพท์ให้พ่อหรือแม่ในเวลา 19.30 น. ในวันที่มีเรียน และ 21.00 น. ในวันหยุด ซึ่งมันจะถูกปิดจนกระทั่งเปิดอีกครั้งตอน 7:30 น. เช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าลูกไม่ยอมใช้โทรศัพท์บ้านโทรหาเพื่อนก็ไม่ต้องโทรไป ลูกต้องเคารพพ่อแม่ของเพื่อน เหมือนอย่างที่ต้องการให้เพื่อนเคารพพ่อและแม่ของลูก

           5. แม่จะไม่ให้ลูกพกมันไปโรงเรียน ลูกต้องคุยสื่อสารกับเพื่อนด้วยปาก ซึ่งเป็นทักษะการเข้าสังคม รู้จักมีสังคมปกติบ้าง **หากเรียนแค่ครึ่งวัน, มีทริปออกนอกสถานที่ หรือหลังจากที่ทำกิจกรรมที่โรงเรียนเสร็จแล้ว จะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะให้ลูกใช้โทรศัพท์หรือไม่**

           6. ถ้ามันหล่นลงในโถส้วม ตกพื้น หรือหายไป ลูกจะต้องเป็นคนจ่ายค่าซ่อมหรือค่าซื้อใหม่ ด้วยการใช้เงินออมที่ได้รับจากวันเกิด หรือรับจ้างทำงานพิเศษ เช่น พี่เลี้ยงเด็ก ตัดสนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ลูกควรจะเตรียมตัวเอาไว้

           7. ห้ามใช้เทคโนโลยีในการโกหก หลอกลวง หรือแกล้งคนอื่น ห้ามร่วมวงสนทนาที่ให้ร้ายผู้อื่น ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี และอยู่ห่าง ๆ จากคนทะเลาะกัน

           8. ห้ามส่งอีเมล ข้อความผ่าน iphone ถ้าลูกไม่คิดจะพูดมันออกมาด้วยปาก

           9. ห้ามส่งอีเมล ข้อความ หรือพูดอะไรกับใคร ในสิ่งที่คุณคิดว่าพ่อแม่ของเขาคงโมโหถ้าได้ยินเข้าเด็ดขาด

           10. ห้ามดูหนังโป๊ แต่ใช้เพื่อหาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ

           11. ปิดมันหรือปิดเสียงมัน เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร โรงหนัง หรือตอนที่กำลังพูดกับคนอื่นอยู่ ลูกไม่ใช่คนหยาบคาย อย่าให้ iphone เปลี่ยนชีวิตลูก

           12. ห้ามรับ-ส่งรูปภาพของลับของลูก หรือของคนอื่น ห้ามหัวเราะ สักวันลูกจะถูกแบล็คเมล์ด้วยเรื่องนี้ หรือกระทั่งโดนเอาไปปล่อยต่อ ซึ่งไม่มีทางที่จะตามลบได้หมด

           13. ห้ามถ่ายรูปหรือวิดีโอจนเมมเต็ม ลูกไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกอย่างเก็บไว้ แต่ให้เก็บมันเอาไว้ในความทรงจำแทน

           14. ให้วาง iphone ไว้ที่บ้านบ้างบางครั้ง ไม่ต้องพกติดตัวออกไปข้างนอก เรียนรู้ที่จะอยู่โดยไม่มีมัน ก้าวข้ามความรู้สึก FOMO (fear of missing out)

           15. ให้ฟังเพลงใหม่ ๆ หรือเพลงคลาสสิก หรือเพลงที่แตกต่างจากที่คนอื่นเขาฟังกัน สมัยนี้รุ่นลูกสามารถเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ง่าย ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน

เจ๋ง! กฎเหล็ก 18 ข้อ เมื่อคุณแม่ให้ iPhone กับลูกชาย

           16. ให้เล่นเกมที่เกี่ยวกับ words puzzle หรือเกมลับสมองต่าง ๆ

           17. ตื่นตัว มองโลกรอบตัวเอง มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟังเสียงนกร้อง ออกไปเดินเล่น พูดคุยกับคนแปลกหน้า ให้หาข้อมูลโดยไม่ใช้กูเกิล

           18. ถ้าทำผิดกฎแม้เพียงข้อเดียว แม่จะยึดโทรศัพท์ของลูก และเราจะมานั่งจับเข่าคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเราพร้อมที่จะเริ่มสัญญาให้ยืม iphone ใหม่อีกครั้ง ลูกและแม่พร้อมที่จะเรียนรู้ แม่อยู่ข้างเดียวกับลูก เราสองคนอยู่เรือลำเดียวกัน

          นอกจากนี้ ในสัญญาดังกล่าว นางเจเนล ฮอฟฟ์แมน ผู้เป็นแม่ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายในสัญญาด้วยว่า แม่อยากให้ลูกยอมรับและทำตามกฎนี้ เพราะข้อปฏิบัติเหล่านี้ไม่ใช่สามารถนำมาใช้กับ iPhone ได้อย่างเดียว แต่ยังนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของลูกได้ด้วย หวังว่าลูกจะมีความสุขและสนุกไปกับ iPhone เครื่องใหม่ สุขสันต์วันคริสต์มาสจ้ะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

6942
ครม.ไฟเขียวโครงการเงินกู้ DPL ตามที่ สธ.เสนอ 4 โครงการวงเงิน 3,273 ล้านบาท จัดหาซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์หนุนสถานพยาบาลแต่ละระดับ พร้อมเห็นชอบหลักการ สธ.เสนอขอใช้วงเงินเหลืออีก 152 ล้านบาท พัฒนาศักยภาพกรมวิชาการ 3 กรม ด้าน ปลัด สธ.เผยพร้อมกระจายการจัดสรรครุภัณฑ์ฯไปยัง 12 เครือข่ายบริการไม่ให้มีการกระจุกตัว
       
       วันนี้ (8 ม.ค.) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ว่า ครม.มีมติเห็นชอบโครงการของ สธ.ที่เสนอของบ DPL ใน 2 ส่วน วงเงิน 3,273 ล้านบาท จำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการระดับทุติยภูมิหรือโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ ประมาณ 747 ล้านบาท 2.โครงการระดับตติยภูมิหรือโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ ประมาณ 399 ล้านบาท 3.โครงการระดับศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ประมาณ 1,111 ล้านบาท และ 4.โครงการระดับพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนทั่วไป ประมาณ 1,015 ล้านบาท ซึ่ง สธ.จะส่งวงเงินดังกล่าวเสนอสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อโอนให้จังหวัดต่างๆ ดำเนินการจัดซื้อในพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นครุภัณฑ์วงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ ขณะนี้ได้เตรียมจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีไว้พร้อมแล้ว สามารถเซ็นตสัญญาจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
   
       "แต่เดิม สธ.เสนอวงเงินที่ 3,426 ล้านบาท ซึ่ง ครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว แต่เมื่อ สธ.นำกลับมาทบทวนอีกครั้ง โดยมีการตั้งคณะทำงานซึ่งมีตัวแทนจากโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน ชมรมแพทย์ชนบท และส่วนกลาง ทบทวนความจำเป็นและต่อรองราคาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 เป็นต้นมา พบว่ามีวงเงินเหลืออีกประมาณ 152 ล้านบาท ซึ่ง สธ.ได้เสนอกลับเข้า ครม.ไปใหม่ เพื่อดำเนินการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อพัฒนาศักยภาพของกรมวิชาการ 3 กรม โดยจะต้องเริ่มดำเนินการใหม่ทั้งหมดตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง และเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง เพื่อเสนอ ครม.อนุมัติต่อไป ซึ่งขณะนี้ ครม.ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว" ปลัด สธ. กล่าว
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า งบประมาณทั้งสองส่วนนี้เป็นงบประมาณสำหรับการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยในส่วนของวงเงิน 3,273 ล้านบาท จะนำไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์มากถึง 3,290 รายการ แบ่งเป็น
1.ระดับทุติยภูมิ จะเน้นซื้อเครื่องดมยา เครื่องตรวจอวัยวะภายใน (อัลตราซาวนด์) เครื่องเอ็กซ์เรย์ เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ และโคมไฟผ่าตัด เป็นต้น
2.ระดับตติยภูมิ จะเน้นซื้อเตียงผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า เป็นต้น
3.ระดับศูนย์ความเป็นเลิศฯ จะเน้นซื้อเครื่องสวนหัวใจระนาบเดี่ยว เครื่องสวนหัวใจชนิดความถี่สูง เครื่องผ่าตัดกระโหลกศีรษะ เป็นต้น และ
4.ระดับพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน จะเน้นซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิตเด็กแรกเกิด เครื่องอบ และเครื่องนึ่ง เป็นต้น

ส่วนวงเงิน 152 ล้านบาท จะเน้นจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ให้แก่หน่วยงาน 3 ส่วนคือได้แก่
1.โครงการจัดซื้อเครื่องมือตรวจสารเสพติดในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 60 ล้านบาท
2.โครงการพัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางสาขาต่างๆ กรมการแพทย์ในวงเงิน 75 ล้านบาท และ
3.พัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลชุมชนเพิ่มเติม ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 17 ล้านบาท
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า ในการจัดสรรครุภัณฑ์ทางการแพทย์ครั้งนี้ ได้กระจายไปยังเครือข่ายบริการ 12 เครือข่าย เพื่อไม่ให้มีการกระจุกตัว และเป็นไปตามแผนพัฒนาระบบบริการที่ต้องการให้ประชาชนทุกพื้นที่ได้รับบริการที่มีคุณภาพตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงศูนย์เชี่ยวชาญของแต่ละเครือข่ายบริการ เช่น
เครือข่ายบริการที่ 1 ในภาคเหนือ 8 จังหวัด เช่น เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน ได้รับงบ 337 ล้านบาท
เครือข่ายบริการที่ 6 ในภาคกลาง 8 จังหวัด เช่น ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ชลบุรี ได้รับ 353 ล้านบาท
เครือข่ายบริการที่ 8 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด เช่น บึงกาฬ อุดรธานี ได้รับ 328 ล้านบาท
เครือข่ายบริการที่ 11 ในภาคใต้ 7 จังหวัด เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี ได้รับ 316 ล้านบาท


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 มกราคม 2556

6943
สาธารณสุขนิเทศ 12 เขตพื้นที่บริการ ตรวจพบโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องในไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2555 มากถึง 175 แห่ง ขาดสภาพคล่องต่อเนื่อง 3 ไตรมาสหรือแบบเรื้อรัง 41 แห่ง เร่งสอบสาเหตุพร้อมหาแนวทางแก้ไข สธ.นัดประชุมติดตามปัญหา 14 ม.ค.นี้

นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการการตรวจสอบปัญหาขาดสภาพคล่องในโรงพยาาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องว่า ที่ผ่านมาได้ให้คณะกรรมการย่อยในแต่ละเขตของ 12 พื้นที่บริการ ซึ่งมีสาธารณสุขนิเทศทำหน้าที่ตรวจสอบปัญหาทางการเงินของโรงพยาบาลต่างๆ เบื้องต้นพบว่า โรงพยาบาลในสังกัด สธ.กว่า 900 แห่ง มีปัญหาขาดสภาพคล่องในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2555 จำนวนทั้งสิ้น 175 แห่ง ในจำนวนนี้เมื่อย้อนดูทั้ง 3 ไตรมาสของปีงบประมาณ 2555 พบว่า มีโรงพยาบาล 41 แห่งที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องแบบเรื้อรัง ตรงนี้ได้ให้สาธารณสุขนิเทศแต่ละเขตไปตรวจสอบว่า มีปัญหาจริงหรือไม่ เกิดจากสาเหตุใด และจะมีหทางแก้ไขอย่างไร
      
       “สาเหตุหลักของการขาดสภาพคล่องอาจมาจากโรงพยาบาลมีต้นทุนสูง แต่ได้รับเงินน้อย เช่น รพ.บนเกาะหรือบนเขา นอกจากนี้ อาจมาจากระบบการบริหารที่ขาดประสิทธิภาพ ตรงนี้ต้องไปตรวจสอบว่าเกิดจากอะไร ซึ่งจะหาทางแก้ไขต่อไป เบื้องต้นได้นัดประชุมเพื่อติดตามเรื่องนี้ในวันที่ 14 ม.ค.นี้” รองปลัด สธ.กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 มกราคม 2556

6944
มื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 8 ม.ค. พล.อ.ต. นพ.การุณ เก่งสกุล ประธานอนุกรรมการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาวาระพ.ศ. 2556-2558 ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้มีการปิดหีบเวลา 11.00 น. และเปิดหีบนับคะแนนในเวลา 13.00 น. ทั้งนี้แพทยสภามีสมาชิกประมาณ 41,000 คนมีแพทย์ลงคะแนนประมาณ 12,000 คน คิดเป็นประมาณ 30% มีบัตรเสีย 200 กว่าใบ จากจำนวนตำแหน่งที่มีได้คือ 26 คน โดยผู้สมัครที่มีคะแนนนำ 26 อันดับแรกจะเป็นกรรมการแพทยสภาวาระ 2556-2558 โดยไม่ต้องประกาศหรือรับรอง และในวันที่ 10 ม.ค.จะเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของคณะกรรมการแพทยสภาชุดเดิมจะมีการแจ้งให้ที่ประชุมทราบในเรื่องนี้

พล.อ.ต.นพ.การุณ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการประท้วงผลการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยืนยันว่าคณะอนุกรรมการฯตอบได้ทุกปัญหา หากจะมีการพึ่งกระบวนการทางกฎหมายทางอนุกรรมการฯก็ไม่หนักใจพร้อมที่จะชี้แจง ยืนยันว่าจัดการเลือกตั้งครั้งนี้รักษาความเป็นกลางมากที่สุด เมื่อถามว่ามีแพทย์บางกลุ่มระบุว่ารหัสเลือกตั้งของแพทย์ซึ่งเป็นรหัสลับรั่วไหล พล.อ.ต.นพ.การุณ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้มีการป้องกันความลับของแพทย์โดยใช้รหัสเลือกตั้งแทนตัวแพทย์ ไม่ได้ระบุชื่อและเลขที่ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมในบัตรลงคะแนน อย่างไรก็ตามรหัสดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด และได้มีการชี้แจงไปแล้ว

สำหรับผลการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาวาระ 2556-2558 ผู้ได้รับการเลือกตั้ง 26 คนจากผู้สมัครทั้งหมด 64 คน มีดังนี้

1.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา 9,106 คะแนน
2.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ 8,058 คะแนน
3.นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ 6,279 คะแนน
4.นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ 5,905 คะแนน
5.นพ.อิทธพร คณะเจริญ 5,811 คะนน
6.นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ 5,609 คะแนน
7.พญ.ชัญวลี ศรีสุโข 5,576 คะแนน
8.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ 5,476 คะแนน
9.นพ.วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ 4,980 คะแนน
10.นพ.พินิจ หิรัญโชติ 4,937 คะแนน
11.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร 4,841 คะแนน
12.นพ.สิน อนุราษฎร์ 4,739 คะแนน
13.นพ.กัมมันต์ พันธุมจินดา 4,665 คะแนน
14.นพ.วิรุณ บุญนุช 4,589 คะแนน
15.นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยะกุล 4,588 คะแนน
16.นพ.เกรียง อัศวรุ่งนิรันดร์ 4,555 คะแนน
17.นพ.สุจริต สุนทรธรรม 4,536 คะแนน
18.นพ.บุญส่ง พัจนสุนทร 4,521 คะแนน
19.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธ์ 4,390 คะแนน
20.นพ.ไพฑูรย์ ณรงค์ชัย 4,259 คะแนน
21.นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี 4,229 คะแนน
22.นพ.เพิ่มบุญ จิรยศบุญยศักดิ์ 4,194 คะแนน
23.นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ 4,153 คะแนน
24.นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ 4,138 คะแนน
25.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ 4,107 คะแนน และ
26.นพ.ณรงค์ ธาดาเดช 4,023 คะแนน

ทั้งนี แพทย์ที่ชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นชุดเดิมและเป็นผู้สมัครจากชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ (ชพพ.) ที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุด 20 คน นำทีมโดย นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา และนพ.อำนาจ กุลลานันท์.

เดลินิวส์ 8 มกราคม 2556

6945
เพียงไม่กี่อึดใจ สังคมไทยจะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมือง หลังจากเข้าสู่ยุคประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในแวดวงการบริการสาธารณสุขเกรงว่าหลังเปิดประชาคมอาเซียน ต่างชาติอาจแย่งชิงรับบริการสุขภาพคนไทย อีกทั้งบุคลากรทางด้านสารณสุขก็ขาดแคลน!!

นพ.ภูษิต ประคองสาย ผอ.สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) กล่าวในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2555 ว่า ปัจจุบันไทยให้บริการสุขภาพแก่ประชาชน 65 ล้านคน แต่หากมีประชาคมอาเซียนจะต้องเตรียมพร้อมการบริการให้แก่คนถึง 575 ล้านคน ซึ่งตรงนี้จะมีปัญหามาก หากไม่มีความพร้อมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะประเด็นข้อตกลงที่มีการหารือถึงการอนุญาตให้กลุ่มประเทศสมาชิกสามารถถือหุ้นในธุรกิจบริการได้สูงสุดร้อยละ 70 ของบริการภาพรวม ซึ่งรวมถึงบริการสาธารณสุขด้วย ตรงนี้ต้องระวัง เพราะจะส่งผลกระทบต่อคนไทยอย่างแน่นอน โดยปัจจุบันมีการควบคุมไว้ไม่ให้ต่างชาติลงทุนในประเทศเกินร้อยละ 50 จากบริการทั้งหมด แต่ก็มีพวกนอมินีใช้ชื่อคนไทยแทน และเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเมื่อใดจะยิ่งลำบาก เพราะยังไม่มีกฏหมายรองรับ

นพ.ภูษิต บอกด้วยว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่น่าจะเป็นปัญหาในอนาคต คือปัจจุบันโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ทั้งโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช ก็มีการยกระดับขึ้นอยากให้โรงเรียนแพทย์เหล่านี้คำนึงถึงปรัชญาเดิมที่ตั้งขึ้นเพื่อคนไทย แม้จะยกระดับเป็นเมดิคัล ฮับแต่ขอให้ยึดประชาชนคนไทยเป็นหลักด้วย ไม่เช่นนั้นต้องมีการแยกหน่วยออกไป นอกจากนี้ การเปิดเมดิคัล ฮับ สำหรับแรงงานต่างด้าวและชาวต่างชาติ อาจส่งผลกระทบต่อคนชั้นกลาง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครื ซึ่งจะหาโรงพยาบาลเข้ารักษาตัวยาก ฉะนั้นกระทรวงสาธารณสุขต้องทำงานในเชิงรุก ต้องมีการวางแผนการผลิตบุคลากรทางด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ ไม่ใช่วางแผนสำหรับคนไทยเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดปัญหาการดึงบุคลากรทางการแพทย์ไปทำงานที่ปประเทศมาเลเซียซึ่งมีการจ่ายค่าจ้างที่แพงกว่าประเทศไทยเท่าตัว ซึ่งประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับ ผศ.จริยา วิทยะศุภร ผอ.โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มองว่า ขณะนี้ไทยถือว่ายังขาดแคลนพยาบ่าลเป็นอย่างมาก แม้โรงเรียนแพทย์แต่ละแห่งจะมีการผลิตพยาบาลเพิ่มอบ่างต่อเนื่องก็ตาม โดยปัจจุบันอัตราส่วนของพยาบาลกับผู้ป่วยอยู่ที่ 1 ต่อ 600 ถือว่ายังไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน ขณะที่สหรัฐอเมริกา ปและมาเลยเซีย อยู่ที่ 1 ต่อ 200 ซึ่งอย่างน้อยไทยควรมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 500 แต่ยังทำไม่ได้ หากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 อาจจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพยาบาล

ขณะที่ พญ.ภาวนา อังคสิทธิ์ รองผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า เรื่องปัญหาพยาบาลขาดแคลนนั้น กระทรวงสาธารณสุขกำลังหาทางแก้ไขอยู่แต่การไหลออกของพยาบาลวิชาชีพเป็นเรื่องที่กังวลกันมากกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากจากสถิติที่มีอยู่พยาบาลไทยจะไปทำงานทางแถบยุโรปมากกว่าทางแถบเอเชีย

"ปัจจุบันประเทศที่ผลิตพยาบาลส่งออกไปมาที่สุดในโลกคือฟิลิปปินส์ เชื่อว่าหลังเปิดประชาคมอาเซียนพยาบาลฟิลิปปินส์จะกระจายไปทั่ว ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเขาได้เปรียบพยาบาลไทยเรื่องการสื่อสาร เรื่องภาษา หลายๆ ประเทศน่าจะจ้างเขามากกว่า ขณะที่พยาบาลไทยได้เรื่องทักษะและบริการ" พญ.ภาวนา กล่าว

ด้าน น.ต. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรรัตน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพมีภารกิจในการพัฒนาศักยภาพและความพร้อมของระบบสนับสนุนบริการสุขภาพของประเทศไทยพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  ในปี 2558 โดยกำหนดเป็นนโยบายและยุทธศาสตร์ 8 ข้อ ด้วยกันคือ 1.การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าบริการการค้าและการลงทุน 2.การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการคุ้มครองทางสังคม 3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ 4.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 5.การพัฒนากฏหมายกฏและระเบียบ 6. การสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน 7.การเสริมสร้างความมั่นคง 8.การเพิ่มศักยภาพของเมืองเพื่อเชื่อมโยงโอกาสของอาเซียน

"ตอนนี้เรามีการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้ามาของคนรอบๆ ประเทศเชื่อว่าโรงพยาบาลที่อยู่ตามแนวชายแดน และช่องผ่านแดนทุกที่สามารถรองรับการเปิดประตูอาเซียนได้ แต่ที่มีความพร้อมมากที่สุดตอนนี้คือทางภาคใต้ แต่ที่มีความพร้อมมากที่สุดตอนนี้คือทางภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา มีศักยภาพเป็นเมืองรักบริการสุขภาพ เมืองชายแดนเพื่อการลงทุน เมื่อท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ การเพิ่มศักยภาพของเมืองเพื่อเชื่อมโยงโอกาสของอาเซียนมีประชากรรวม 602 ล้านคน เมื่อมีการจัดตั้งเออีซีแล้ว บริการทางการแพทย์จะมีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับไทยเป็นศูนย์กลางการให้บริการการรักษาพยาบาลของอาเซียนได้

คมชัดลึก วันที่ 1 มกราคม 2556

หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 653