แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 458 459 [460] 461 462 ... 653
6886
นักวิจัยดีเอ็นเอเผยโอกาสเกิดมะเร็งกว่าร้อยละ 90 มาจากพฤติกรรมการกินอยู่ สิ่งแวดล้อม และการรับสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย ส่งผลยีนกลายพันธุ์เพาะเชื้อมะเร็ง ชี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-ล้างพิษช่วยลดได้ ขณะคีโม-ฉายรังสีโอกาสหายมีน้อย เตือนใช้สเต็มเซลล์ยิ่งเร่งมะเร็งโต เผยมีเคสตัวอย่างดูดีแต่ภายนอก แต่ดีเอ็นเอพรุนหมด
       
       รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางเอเอสทีวี ดำเนินรายการโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ วันที่ 16 ก.พ. รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และกรรมการห้องปฏิบัติการฮาร์ท จีเนติกส์ แขกรับเชิญในรายการ ได้กล่าวถึงการทำงานของห้องปฏิบัติการฮาร์ท จีเนติกส์ว่า ได้ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยถอดรหัสดีเอ็นเอที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง เช่น หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และที่ทำอยู่ปัจจุบันคือคือการตรวจมะเร็งตั้งแต่ก่อนขั้นที่ 1 ซึ่งยังไม่ป่วยเลย การตรวจดีเอ็นเอผู้ป่วยมะเร็งที่ป่วยแล้วว่าหายป่วยหรือยัง การตรวจการตอบสนองของผู้ป่วยมะเร็งเพื่อวางแผนการรักษา การตรวจทั้งหมดจะใช้ฐานข้อมูลจีโนมมนุษย์ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศทางตะวันตกได้ร่วมกันวิจัยเอาไว้เป็นเวลา 13 ปี ใช้เงินมากกว่า 3 พันล้านเหรียญ โดยมีฐานข้อมูลจีโนมมนุษย์ 13 คน ให้เราใช้โดยไม่คิดมูลค่า
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวต่อว่า การเป็นมะเร็งนั้น มีทั้งติดตัวมาตั้งแต่เกิด เรียกว่าเป็นกรรมพันธุ์ เราสามารถเก็บเซลล์ในร่างกายมาถอดรหัสดีเอ็นเอเพื่อดูว่าเกิดมะเร็งที่ตรงไหน เมื่อตรวจพบก็สามารถก็เอาไปตรวจในคนที่ยังไม่ป่วยได้ เพื่อหาทางป้องกัน ซึ่งตำแหน่งที่ตรวจพบในชิ้นเนื้อของคนที่ป่วย สามารถบอกได้ว่าคนที่ยังไม่ป่วยจะป่วยเป็นมะเร็งอะไร และบางกรณีสามารถบอกได้ว่าจะป่วยภายในกี่ปี
       
       ส่วนสาเหตุการเกิดมะเร็งอีกสาเหตุหนึ่งคือการกลายพันธุ์ของยีน เรียกว่า ยีนโซมาติก ซึ่งเมื่อเราตรวจพบก็สามารถบอกได้เช่นกันว่าจะเป็นมะเร็งอะไร โดยการเกิดยีนโซมาติกนี้มาจากพฤติกรรมการกินอยู่ หรือการรับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เมื่อตรวจพบแล้วสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมและหยุดการเอาสิ่งแปลกปลอมจากข้างนอกเข้าไปในร่างกาย มีเคสที่เราตรวจพบยีนโซมาติกเพียงนิดเดียว ซึ่งแค่เปลี่ยนพฤติกรรมก็สามารถหยุดการเป็นมะเร็งได้ แต่เขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรม กลับไปเอาอะไรบางอย่างเข้าไปในร่างกาย ทำให้ขณะนี้มียีนโซมาติกเต็มไปหมด และถ้าทิ้งไว้จะเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะหากดีเอ็นเอส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันมะเร็งที่เรียกว่ายีนนางฟ้าไม่สามารถทำหน้าที่ได้ หรือยีนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมตัวเอง ทำงานไม่ได้ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งทันที
       
       การเกิดยีนโซมาติกนั้น เกิดได้ทั้งจากสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมการกินอยู่ และกรรมพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์มาจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมรวมทั้งการรับเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เมื่อเป็นแล้วต้องหาทางให้ภูมิคุ้มกันกลับคืนมา ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม และอย่าทำอะไรที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง มีกรณีศึกษาที่เราตรวจพบและแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีการกินอยู่ แต่เขาไม่ทำตาม กลับไปฉีดเอาอะไรบางอย่างเข้ามา คือ สเต็มเซลล์จากสัตว์ ซึ่งตอนนนี้เขากำลังจะป่วยเป็นมะเร็งแล้ว
       
       จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ มีผู้มะเร็งในไทยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 แสนคน เสียชีวิตปีละ 6 หมื่นคน หรือเฉลี่ยแล้วทุกวันมีผู้ป่วยมะเร็งใหม่ 11.5 คน เสียชีวิต 1 คนในทุกๆ 10 นาที โดยผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้น 9 คนพบว่า ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งมาก่อน อยู่ๆ ก็เป็น นั่นเพราะเกิดยีนโซมาติกจากพฤติกรรมการกินอยู่ ซึ่งหากยีนโซมาติกยังน้อยอยู่ก็สามารถแก้ไขได้
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสร กล่าวว่า การรักษามะเร็งด้วยการทำคีโมหรือการฉายรังสีนั้น สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่ก็ไปสร้างมะเร็งตัวใหม่ขึ้นมา หรือไปเลี้ยงให้มะเร็งอีกชนิดเติบโตขึ้นมาได้ ส่วนการฉีดสเต็มเซลล์นั้น เนื่องจากเป็นเซลล์อ่อน จึงแพร่กระจายไปทุกที่ในร่างกาย และไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งหรือไปเจอเซลล์ปกติในร่างกายที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น ไขกระดูกสันหลัง ก็จะเข้าไปแทรกกันอยู่
       
       ในร่างกายของเรานั้นมีกลไกการป้องกันอยู่แล้ว โดยมียีนที่เรียกว่า ยีนล้างพิษหรือยีนขับสารพิษ ยีนซ่อมยีน ยีนก่อมะเร็ง ยีนกำจัดเซลล์มะเร็ง และยีนของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแล็บของเราจะตรวจยีนล้างพิษหรือยีนขับสารพิษเป็นหลัก ถ้าตรวจแล้วพบว่ายังปกติอยู่ ก็แนะนำว่าอย่าไปทำอะไรที่เป็นพฤติกรรมแย่ๆ จนทำให้ยีนทำงานไม่ไหว อย่างไรก็ตาม บางคนที่ร่างกายอ่อนแอ อาจมียีนชนิดนี้น้อย ก็ยิ่งต้องระวังอย่ารับอะไรแปลกปลอมเข้ามา เช่น เป็นเด็ก หากไปฉีดวัคซีนอาจทำให้เป็นออทิสติก ซึ่งเมื่อตรวจเจอ พ่อแม่ก็ต้องระมัดระวังว่าหลังลูกคลอดต้องไม่ให้รับอะไรแปลกปลอมเข้ามา
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวอีกว่า ยีนโซมาติกสามารถทำให้หายได้ โดยมีงานวิจัยระบุว่า เวลาเรามีสมาธิร่างกายเราจะหลั่งสารภูมิคุ้มกันออกมา กรณีที่กลุ่มสันติอโศกทำการล้างพิษตับ ดื่มน้ำผักผลไม้ ดื่มน้ำด่าง ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ก็น่าจะเปลี่ยนยีนโซมาติกได้ เนื่องจากมีงานวิจัยของฝรั่งรองรับว่าการลดการรับประทานเนื้อแดงนั้นสามารถช่วยได้ เพราะเราลดการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เอาแต่สิ่งที่เป็นธรรมชาติเข้าไป ลดอาหาร พิษที่สะสมในร่างกายก็จะออกมา จึงลดยีนโซมาติกลงได้
       
       การรักษามะเร็งด้วยการใช้สารเคมีหรือฉายรังสีนั้น ไม่ใช่คำตอบ เว้นแต่จะโชคดีจริงๆ หากสารเคมีที่ใช้มีความสดคล้องกับเซลล์มะเร็งที่เป็น หากเปรียบเซลล์มะเร็งเป็นผู้ร้าย การใช้คีโมหรือฉายรังสีก็เหมือนกับตำรวจปิดตายิงผู้ร้าย ซึ่งนอกจากอาจจะยิงผู้ร้ายไม่โดนแล้ว ยังไปโดนคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้ร้ายด้วย
       
       สำหรับแล็บที่ทำอยู่ มีการตรวจมาแล้วประมาณเกือบ 1 พันตัวอย่าง เริ่มจากฐานข้อมูลเดิมที่เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจ ตอนหลังที่เราทำอยู่เป็นการตรวจหามะเร็ง ซึ่งเราสามรารถพัฒนายีนมาร์กเกอร์ของเราขึ้นมา และมียีนตัวอย่างของคนไทยเก็บไว้ เมื่อเราตรวจ เราสามารถมองเห็นเลยว่า มีการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอที่จะทำให้เราป่วยในอนาคตมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่รู้ตัว เวลามาหาแพทย์ก็รักษายากแล้ว เป็นถึงขั้นที่ 3 หรือ 4 แล้ว เพราะเราคิดว่า เราสบายดี ประวัติครอบครัวไม่มีใครเป็นมะเร็ง เราไม่กังวล และละเลยที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เมื่อมาตรวจเจอก็ป่วยเป็นมะเร็งแล้ว
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรย้ำว่า การลกความเสี่ยงของการเกิดยีนโซมาติกต้องแก้ที่พฤติกรรมการกินอยู่ ซึ่งการล้างพิษตับก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง มีสถิติที่โรงพยาบาลอุบลราชธานีทำไว้เป็นเวลากว่า 10 ปี โดยให้ผู้ป่วยมะเร็งเลือกเอาว่าจะรักษาแบบแผนปัจจุบัน หรือจะไปกินยาต้มยาหม้อ ปรากฏว่าผู้ป่วยที่กินยาต้มยาหม้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าพวกที่รักษาโดยใช้เคมี แต่งานวิจัยนี้ไม่ได้เผยแพร่ เพราะมีความขัดแย้งกันอยู่
       
       นอกจากนี้ อยากเตือนเรื่องการใช้สเต็มเซลล์ที่กำลังนิยมกัน ทั้งเพื่อความงามและรักษามะเร็ง การใช้สเต็มเซลล์จะมีดีเอ็นเอแปลกปลอมจากสัตว์เข้ามาในร่างกายของเรา เคยเจอบางคนที่ใช้สเต็มเซลล์แล้วดูดี ผ่องใสแต่ภายนอก แต่ดีเอ็นเอพรุนไปหมดจากการฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าไป
       
       รศ.ดร.คล้ายอัปสรกล่าวในตอนท้ายว่า การจะตรวจอีเอ็นเอหรือไม่ตรวจนั้น ถ้าเรามีพฤติกรรมดี พฤติกรรมที่ถูกต้อง ถ้ากลัวเรื่องสารพิษ เราก็มีทางเลือกแบบการล้างพิษ ซึ่งถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องตรวจ เพราะค่าตรวจแพง แต่ถ้าบางคนสงสัย ก็อาจต้องตรวจ โดยการตรวจอาจเปรียบเทียบกันก่อนกับหลังการล้างพิษ หรือล้างพิษแล้วมาตรวจก็จะชัดมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้สนใจตรวจเเอ็นเอ สามารถติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-8698870-71

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กุมภาพันธ์ 2556

6887
ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๕ โรงแรมเซ็นทรา อาคาร B ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

การลงทะเบียนช่วงเช้า  มี นพ.ชวน ชีพเจริญรัตน์ (รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์)เป็นผู้ดำเนินการ


นพ.เกรียงศักดิ์ พิมพ์ดา(รพ.อุดรธานี)  เป็นพิธีกรช่วงเช้า


พญ.สุธัญญา บรรจงภาค(รพ.นครปฐม) เป็นผู้ดำเนินการประชุมธุรการเลือกตั้งกรรมการบริหารสมาพันธ์วาระ ๒๕๕๖-๒๕๕๘


นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ (เลขาธิการแพทยสภา) ร่วมแสดงความคิดเห็น


ผู้เข้าร่วมประชุมช่วงเช้า


นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร(รพ.ราชบุรี) ดำเนินการอภิปราย Quality of Patient Care : เปิดโลกทรรศน์ “อะไรคือคุณภาพ”


เริ่มอภิปราย จาก พญ.เมธินี ไหมแพง (ผู้ช่วยประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ) ต่อด้วยนพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวง สธ. และนพ.เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ(ผอก.รพ.วชิระภูเก็ต)


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวง สธ.


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ พญ.เมธินี ไหมแพง


พญ.พจนา กองเงิน ที่ปรึกษาสมาพันธ์ฯ มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ.เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ โดยมีนพ.ศิริชัย ศิลปอาชา ร่วมแสดงความยินดี


บรรยากาศการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม เรื่องบทบาทและทิศทางของสมาพันธ์ฯ หลังอาหารมื้อเที่ยง


นพ.ภีศเดช สัมมานันท์(รพ.นครพิงค์ เชียงใหม่) กล่าวรายงานต่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สธ.


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สธ.กล่าวเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการภาคบ่าย และแสดงความคิดเห็นหลายประเด็น


บรรยากาศผู้เข้าร่วมประชุมช่วงบ่าย  Quality of work life : พวกเราชาว สธ. อยู่กันอย่างไร? หรือจะไปกันแบบนี้? ดำเนินการอภิปรายโดย นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร(รพ.ราชบุรี)


คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล สำนักงาน กพ. อภิปรายเป็นคนแรก


นพ. ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข) พูดถึงนโยบายของกระทรวงฯหลายเรื่อง และตอบคำถามของผู้เข้าร่วมประชุม


นพ. วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี (กรรมการแพทยสภา) พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพของพวกเรา


พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ(รพ.สุรินทร์) มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ. ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข)


พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ(รพ.สุรินทร์)มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล กพ.


นพ.เพิ่มบุญ จิรยศบุญศักดิ์(รพ.สงขลา) มอบของที่ระลึกแสดงความขอบคุณ นพ. วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี (กรรมการแพทยสภา)


ถ่ายรูปร่วมกับ ปลัดกระทรวงฯ หลังปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๕๖ ของสมาพันธ์

6888
  “หมอสมศักดิ์” นั่งเก้าอี้นายกแพทยสภา สมัยที่ 2 เครือข่ายผู้ป่วยกังวลเอื้อเอกชน     
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เชิญคณะกรรมการแพทยสภา วาระใหม่ พ.ศ. 2556-2558 มาประชุมพร้อมกันเป็นครั้งแรก เพื่อเลือกคณะผู้บริหารแพทยสภา ผลการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ได้มีมติเลือกและแต่งตั้งทีมผู้บริหารแพทยสภาใหม่ ดังนี้
1.นายกแพทยสภา ได้แก่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา 
2.อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 ได้แก่ ศ.นพ.สิน อนุราษฎร์
3.อุปนายกแพทยสภา คนที่ 2 ได้แก่ พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนต์พงษ์ 
4.เลขาธิการแพทยสภา ได้แก่ นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์
5.รองเลขาธิการแพทยสภา ได้แก่ น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ 
6.เหรัญญิกแพทยสภา ได้แก่ นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยกุล  และ
6.โฆษกแพทยสภา ได้แก่ พญ.ชัญวลี ศรีสุโข 
ซึ่งรายนามทีมผู้บริหารแพทยสภาทั้งหมด จะมีประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป           
       
       นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหาย ทางการแพทย์ กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับรายชื่อดังกล่าว สิ่งที่กังวล ก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้มีความพยายามในการคัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ.... มาตลอด และเชื่อว่า จะสนับสนุนการเดินหน้าของโรงพยาบาลเอกชนตามนโยบายเมดิคัลฮับ หากเป็นเช่นนั้น ประชาชนจะได้รับผลกระทบแน่นอน อย่างไรก็ตาม มองว่า หากฝ่ายการเมืองเห็นถึงประชาชนเป็นสำคัญ ก็ควรเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ไม่ใช่หยุดชะงักเช่นนี้ เนื่องจากเครือข่ายฯยังคงติดตาม ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะผลักดันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว  เนื่องจากเรียกร้องมานานนับสิบปีแล้ว แต่ปัญหาคือ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเป็นวาระค้างพิจารณาอยู่ในสภา ซึ่งสภาฯ ได้ส่งกลับให้ สธ.พิจารณาใหม่ให้เหมาะสมเพื่อนำกลับเข้าสภาฯ อีกครั้ง แต่จนบัดนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ           
       
       “เท่าที่ทราบ สธ.ได้ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงร่างกฎหมายตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 เพื่อยกร่าง พ.ร.บ.หลักฯ จนถึงวันนี้เกือบครบ 1 แล้ว ยังไม่มีการปรับปรุงร่างกฎหมายแม้แต่มาตราเดียว แต่กลับมีการตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณาว่าควรมีหรือไม่ควรมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทำให้เครือข่ายมีความวิตกกังวล ว่า ตราบใดที่กระทรวงไม่ส่งร่างหลักเข้าสภา ทางสภาก็จะไม่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้” นางปรียนันท์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กุมภาพันธ์ 2556

6889
ในเวลานี้หลายประเทศทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญจัดทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เนื่องจากเป็นนโยบายที่ส่งผลชัดเจนต่อประชาชน ช่วยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ และถือเป็นวาระเร่งด่วนในการผลักดันเพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม โดยวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2556 นี้ จะมีการจัดประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจัดโดยองค์การอนามัยโลกและธนาคารโลก มีการเชิญ 20 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และผลักดันการจัดทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า จากการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศริเริ่มด้าน Global Health and Foreign Policy ทั้งหมดเจ็ดประเทศ ได้แก่ ประเทศบราซิล ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย นอร์เวย์ เซเนกัล แอฟริกาใต้ และประเทศไทย ได้ร่วมกันเสนอร่างมติ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือ "Universal Health Coverage" เข้าพิจารณาในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ มีประเทศร่วมให้การสนับสนุนร่างมตินี้ถึง 91 ประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจต่อปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญหนึ่งในมตินี้ คือ การพิจารณาให้มีการจัดประชุมระดับผู้นำประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันนโยบายนี้อย่างจริงจัง และผลักดันให้ "หลักประกันสุขภาพ" เป็นหนึ่งในเป้าหมาย สหัสวรรษ  หลังปี ค.ศ.2015

ขณะที่ ดร.วลัยพร พัชรนฤมล  นักวิชาการอาวุโส สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่าการจัดประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นับเป็นการประชุมที่มีความพิเศษ เพราะนอกจากเป็นการหารือร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของแต่ละประเทศเข้าร่วม เนื่องจากมองว่าการจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องร่วมมือกันหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงการคลังผู้ถืองบประมาณประเทศ กระทรวงสาธารณสุขผู้พัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ผู้รับผิดชอบหลักประกันของผู้ใช้แรงงาน หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหล่านี้เข้าใจและเห็นชอบ จะทำให้มีแนวโน้มประสบความสำเร็จได้มาก ดังนั้นการจัดประชุมดังกล่าวจึงถือเป็นสัญญาณที่ดี

อย่างไรก็ตามเมื่อดูความก้าวหน้าการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ดร.วลัยพร บอกว่ามีหลายประเทศที่ดำเนินนโยบายนี้แล้ว บางประเทศทำมาแล้วหลายปี เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย กำลังดำเนินการ มีเป้าหมายสำเร็จในปี 2559 และ 2562 ตามลำดับ ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถจัดระบบประกันสุขภาพครอบคลุมถึง 95% ของจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคนเมื่อเร็วๆ นี้

ขณะที่ประเทศไทยนั้น ได้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 โดยประชากรกว่า 98% ได้รับการคุ้มครองจากหลักประกันสุขภาพ 1 ใน 3 สิทธิที่มีอยู่ ได้แก่ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือเรียกกันทั่วไปว่าบัตรทอง

ส่วนความคืบหน้าความร่วมมือผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในอาเซียน ดร.วลัยพร บอกว่า จากผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขของกลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 5 เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2555 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ภูเก็ตนั้น รัฐมนตรีสาธารณสุขต่างเห็นด้วยกับการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และให้มีการจัดตั้งเครือข่ายหลักประกันสุขภาพของประเทศในกลุ่มอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three UHC Network) โดยมีการร่างข้อตกลงร่วมกัน (Term of Reference: TOR) มีเนื้อหาหลักคือ ความร่วมมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การวิจัยร่วมกันเพื่อสร้างความรู้ในระบบมากขึ้น และการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพของกลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม ขณะนี้อยู่ระหว่างรอแต่ละประเทศส่งความเห็นต่อร่างข้อตกลงนี้กลับมา ซึ่งมีหลายประเทศให้ความเห็นชอบแล้ว และได้มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบในการเป็นแกนนำของเครือข่ายด้วย

"ในกลุ่มอาเซียนบวกสามมีความแตกต่าง กัน ในการจัดทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อยู่มาก โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะมีระบบ รองรับ อย่าง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ บรูไน และเกาหลี ใต้ แต่อาจแตกต่างกันไป เช่น เกาหลีใต้ แม้ว่าจะมีการดำเนินนโยบายนี้แต่ยังมีปัญหาการครอบคลุมสิทธิประโยชน์การรักษา มาเลเซียกำหนดการบริการรักษาฟรีเฉพาะที่โรงพยาบาลรัฐ และยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงการรักษา" ดร.วลัยพร กล่าวและว่า ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีการตั้งเป้าหมายการดำเนินงานอย่างชัดเจน เช่น อินโดนีเซียกำหนดเริ่มในปี 2557 และครอบ คลุมประชากรในปี 2562, ฟิลิปปินส์ตั้งเป้าหมายบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2559, เวียดนาม กฎหมายกำหนดให้ต้องบรรลุเป้าหมายในปี 2557 แต่ในทางปฏิบัติคงให้ครอบคลุมประชากร 80% ก่อนในพ.ศ. 2563 และลาวกำหนดเป้าหมายในปี 2563 กัมพูชายังไม่มีการระบุเวลาอย่างชัดเจน ขณะที่พม่ามีนโยบายเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเช่นกัน แต่จะเดินหน้าให้ประชาชนเข้าถึงยาก่อน”

ทั้งนี้ หากทำให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนบวกสามซึ่งมีประชากรราว 2,000 ล้านคน มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมทุกประเทศ เท่ากับว่าเราสามารถทำให้ประชากร 1 ใน 3 ของโลกมีระบบหลักประกันสุขภาพที่รองรับเมื่อเจ็บป่วย ทั้งส่งผลดีหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ใน การเชื่อมโยงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของแต่ละประเทศด้วย

ดร.วลัยพร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ทั่วโลกกำลังตื่นตัวตอบรับกระแส "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ทั้งในระดับสากล ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ประเทศไทยในฐานะที่เราบรรลุหลักประกันสุขภาพมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2545 นับเป็นเวลาสิบปีเศษแล้ว บทพิสูจน์นี้ทำให้ประชาคมโลกรู้ว่า "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" นั้นเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จได้ แม้จะไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย

ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับการจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั้งจากกลุ่มประเทศอาเซียนและเวทีโลก เนื่องจากเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่สามารถจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติภายใต้งบประมาณที่จำกัด ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาทั่วถึง ทั้งช่วยให้ประชาชนไม่ต้องเป็นหนี้หรือล้มละลายจากการรักษาพยาบาลอย่างในอดีต นอกจากนี้ยังครอบคลุมสิทธิประโยชน์การรักษา ทำให้ประเทศไทยไม่แต่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ยังได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพของไทยประสบความสำเร็จ คือเรามีรากฐานระบบสาธารณสุขภาครัฐที่ดี โดยเฉพาะระบบบริการปฐมภูมิ เมื่อมีการประกาศนโยบายก็สามารถทำได้

นพ.วินัย บอกอีกว่า สำหรับความร่วมมือในการผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในกลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม เรามีความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้การจัดทำระบบ โดย สปสช สามารถเป็นศูนย์การเรียนรู้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งการผลักดันนโยบาย การจัดทำระบบ ทั้งนี้หากทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีระบบหลักประกันสุขภาพรองรับจะเป็นผลดีกับทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะภายหลังการเปิดเสรีอาเซียนที่จะกำลังจะมาถึงนี้

กรุงเทพธุรกิจ  5 กุมภาพันธ์ 2556

6890
แม้เป้าหมายการเป็น "ศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพนานาชาติ" หรือ เมดิคัล ฮับ (Medical Hub) ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศไทยเพิ่งจะผลักดัน แต่เมื่อมีความชัดเจนในการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ความพยายามผลักดันไทยสู่จุดหมายดังกล่าวจากทั้งภาครัฐและผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ ดูจะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น

สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายกังวลตลอดมา นั่นคือปัญหา"สมองไหล" จากการเปิดเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพแพทย์อย่างเสรี เมื่อมีการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะทำให้ไทย "ไม่พร้อม" กับการเป็น เมดิคัลฮับ ในที่สุด

สมศักดิ์ โล่เลขา ประธานที่ปรึกษาอนุกรรมการแพทยสภา ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ปัญหาสมองไหลในวิชาชีพแพทย์ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะการกำหนดคุณสมบัติใน MRA ของวิชาชีพแพทย์ ระบุไว้แล้วว่าผู้จะเคลื่อนย้ายได้จำเป็นต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 5 ปี ไม่ใช่ใครๆ ก็ย้ายได้

"ที่สำคัญ แต่ละประเทศยังมีข้อกำหนดและวิธีคัดกรองแพทย์เข้าประเทศเพิ่มเติม ซึ่งแตกต่างกันเช่น ประเทศที่แพทย์ได้เงินเดือนสูงกว่าหรือใกล้เคียงเราอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย แม้จะไม่มีการสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ แต่ดูคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษาที่จบมา ซึ่งมาเลเซียไม่รับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์ของไทยด้วยซ้ำ ส่วนสิงคโปร์ก็มีตำแหน่งงานน้อยมาก"

ขณะที่ประเทศซึ่งรายได้แพทย์ปกติน้อยกว่าไทยเช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา ก็ต้องสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นภาษาของเขา เรียกได้ว่ามีการกีดกันพอสมควร ขณะที่แพทย์เวียดนามกำลังพยายามเรียนภาษาไทย และไทยก็ถือว่ามีข้อกีดกันน้อยกว่าประเทศอื่นๆดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นตรงกันข้าม คือสมอง "ไม่ไหลออก" กลับ "ไหลเข้า" ด้วยซ้ำ

สมศักดิ์ ย้ำว่า หากเทียบในอาเซียน มั่นใจว่าไทยยังเป็นที่หนึ่งด้านการแพทย์ เพราะมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีแพทย์เฉพาะทางมากกว่าประเทศอื่นๆจึงทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นเมดิคัล ฮับ ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเร่งแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาในอีกหลายเรื่องเพื่อให้ได้มาตรฐานที่เป็นสากลมากขึ้น โดยอาจดูตัวอย่างจากมาตรฐานแพทย์สหรัฐ

เรื่องแรกที่ต้องดำเนินการคือการแก้ไขระเบียบการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมชั่วคราวสำหรับคนต่างชาติ เพื่อมาสอนคนไทย

"วิธีที่น่าสนใจ คือการนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐเข้ามาสอนคนไทย โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้นำเข้ามา เพื่อไม่กระทบต่องบประมาณภาครัฐวิธีนี้จะช่วยให้คนไทยเก่งขึ้น มีความรู้มากขึ้น ประเทศที่การแพทย์เจริญแล้วก็เริ่มต้นจากวิธีการนี้"

เรื่องที่2 คือการผลักดันหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งเคยถูกคัดค้านมาตลอด เพราะหลายฝ่ายกังวลว่า จะทำให้แพทย์ไทยหันไปรักษาคนต่างชาติหรือทำงานในต่างประเทศมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะควบคุมได้ส่วนเรื่องนักศึกษาต่างชาติก็จะเปิดให้เข้ามาเรียนด้วย แต่กำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้แย่งที่นั่งนักศึกษาไทย

เรื่องที่3 คือการจัดอันดับโรงเรียนแพทย์ในไทยซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนแพทย์ไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้นสามารถทราบได้ว่าแต่ละแห่งมีความพร้อมด้านเครื่องมือและบุคลากรมากเพียงใด และเมื่อต่างชาติอยากเข้ามาเรียนในไทย หรือไทยออกไปทำงานในต่างชาติก็ใช้อ้างอิงถึงกันได้หมด นอกจากนี้จะช่วยกระตุ้นให้โรงเรียนแพทย์ไทยพัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้อันดับที่ดี

เรื่องที่4 คือการปรับปรุงหลักสูตรและการสอบ ต่อจากนี้การสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 3 ส่วน ส่วนที่ 1 และ 2 อาจปรับเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จากเดิมที่มี 2 ภาษาคละกัน แต่ยังคงส่วนที่ 3 ที่เป็นการสื่อสารให้สอบเป็นภาษาไทย

เรื่องที่5 คือการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าจำนวนแพทย์เพราะการส่งต่อผู้ป่วยในขณะนี้ยังขาดประสิทธิภาพ  ต่อไปจะต้องมีการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ดี เพื่อไม่ให้งานไปหนักอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนกลาง

สมศักดิ์ มองว่า ทั้ง 5 เรื่องคือภารกิจของแพทยสภาที่จะต้องทำให้สำเร็จ สู่เป้าหมายเมดิคัลฮับและรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างไรก็ตาม เขาไม่หนักใจเลยกับการเตรียมตัวก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

โพสต์ทูเดย์  5 กุมภาพันธ์ 2556

6891
ที่โรงแรมเลยพาเลซ อ.เมือง จ.เลย นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาเป็นประธาน พิธีเปิดการดำเนินงานตามโครงการประชุมพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ครั้งที่ 1 ปีงบประมาณ 2556 โดยมีนายฐานิศร์ น้อยเพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ร่วมเป็นเกียรติ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศและตัวแทน จำนวน 77 คน พร้อมด้วยบุคลากรด้านสาธารณสุขรวม 100 คน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แต่ละปีจะมีการประชุมเพื่อมอบนโยบายด้านสาธารณสุขแก่บุคลากรเป็นประจำ โดยจะหมุนเวียนไปตามภาคต่างๆ ตามความเหมาะสม ครั้งต่อไปจะประชุมกันที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งนอกจากจะเป็นการประชุมแล้วยังเป็นการตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด และให้กำลังใจพร้อมรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากบุคลากรในพื้นที่  และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลต้องการให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยการร่วมบริหารจัดการ การใช้บุคลากร ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 ให้เป็นไปตามระบบหลักประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าว

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า ต้องยกระดับการรักษา ไม่ใช่ให้การรักษาจากเดิมเป็นการรักษาแบบปฐมภูมิ แล้วส่งต่อ เช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรักษาแบบผู้เชี่ยวชาญ ให้จบเรียบร้อยในสถานที่เดียว เพื่อบริการให้แก่ประชาชน ไม่ต้องลำบากเดินทางไปยังสถานพยาบาลอื่น ซึ่งจะได้เรียกผู้บริหารมาดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย

เดลินิวส์  6 ก.พ. 2556

6892
ตามคาด! สิทธิข้าราชการใช้บริการฉุกเฉิน 3 กองทุน มากสุด 49% พบขาประจำ 1 ราย ใช้บริการสูงสุด 15 ครั้ง สปสช.เผย จ่ายเงินชดเชยแล้ว 254 ล้านบาท พร้อมสำรองจ่ายแทน สปส.และกรมบัญชีกลางอีก 121 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้เงินคืนเหตุติดกฎระเบียบ
       
       นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการรายงานผลการดำเนินงานระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของ 3 กองทุน ในที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า มีสิ่งที่น่าสนใจ 4 ส่วน คือ
1.ประชาชนประมาณร้อยละ 40 ไม่เข้าใจสิทธิประโยชน์อย่างชัดเจนถึงคำว่าเจ็บป่วยฉุกเฉิน ทำให้มีปัญหาเบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้ ตรงนี้ต้องมีการแก้ไขให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น
2.อัตราค่าเบิกจ่าย แม้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก แต่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาต้นทุน
3.ให้โรงพยาบาลแจ้งสิทธิให้ผู้ป่วยทราบ หากพบว่าผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิกรณีฉุกเฉินได้ เพื่อลดปัญหาประชาชนไม่ทราบสิทธิ และต้องจ่ายเงินไปก่อนแล้วมาขอคืนทีหลัง ซึ่งบางครั้งอาจเรียกคืนได้ไม่เท่าจำนวนที่จ่ายไป และ
4.การส่งต่อผู้ป่วยกรณีพ้นภาวะวิกฤต จะมีการสำรองเตียงไว้ในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ แต่ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงจะติดต่อประสานงานให้โรงพยาบาลสังกัด กทม.มีการสำรองเตียงด้วย เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการหลักในเขต กทม.
       
       ด้าน ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำเสนอผลการดำเนินงานระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของ 3 กองทุน ในการประชุมบอร์ด สปสช.ว่า ผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-31 ธ.ค.2555 พบว่า มีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 14,525 คน 15,708 ครั้ง แยกเป็น

สิทธิสวัสดิการข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ 7,731 ครั้ง หรือร้อยละ 49
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 6,878 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 44
ประกันสังคม 1,063 ครั้ง หรือร้อยละ 7
และอื่นๆ 36 ครั้ง

ทั้งนี้ มีผู้ป่วยที่เข้ารับบริการมากกว่า 5 ครั้ง จำนวน 10 ราย โดยผู้ป่วยที่เข้ารับบริการมากสุด คือ 15 ครั้ง จำนวน 1 ราย รองลงมา 14 ครั้ง จำนวน 1 ราย 9 ครั้ง จำนวน 1 ราย 7 ครั้ง จำนวน 3 ราย และ 6 ครั้ง จำนวน 4 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยกลุ่มอาการหลักที่เข้ารับบริการ 6 อันดับแรก คือ โรคระบบทางเดินหายใจ อาการฉุกเฉินปวดท้องรุนแรง ถ่ายท้อง ลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ อาการฉุกเฉินอื่นๆ เช่น หมดสติ ไม่หายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด อาการฉุกเฉินไข้สูง อ่อนเพลียมาก และโรคระบบสมอง ระบบประสาท
   
       ภญ.เนตรนภิส กล่าวอีกว่า สำหรับการเบิกชดเชยค่าบริการฉุกเฉินของ 3 กองทุน มีการจ่ายเงินชดเชยไปแล้วราว 254 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31 จากจำนวนค่ารักษาที่เรียกเก็บเข้ามาประมาณ 813 ล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะในส่วนของการเรียกเก็บจากสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม โดยภาพรวม สปสช.ได้สำรองค่าใช้จ่ายให้กับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและประกันสังคมไปแล้ว 121 ล้านบาท ยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลาง เนื่องจากอยู่ระหว่างการรอปรับแก้กฎระเบียบ ส่วนโรงพยาบาลที่ได้รับการชดเชยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ รพ.รามคำแหง จ่ายชดเชยประมาณ 18 ล้านบาท รพ.ธนบุรี ราว 10 ล้านบาท และ รพ.เกษมราษฎร์รัตนาธิเบศร์ ประมาณ 7 ล้านบาท
       
       “ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องติดตามแก้ไข ประกอบด้วย การทำความชัดเจนเกี่ยวกับนิยามการเจ็บป่วยฉุกเฉิน การจัดการปัญหาประชาชนถูกเรียกเก็บเงิน การจัดระบบสำรองเตียงโดยเฉพาะในเขตกทม.และปริมณฑล เพื่อแก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเมื่อพ้นภาวะวิกฤต และทบทวนอัตราจ่ายตามข้อเสนอของโรงพยาบาลเอกชน” ผช.เลขาธิการ สปสช.กล่าว
       
       อนึ่ง การเจ็บป่วยฉุกเฉิน หมายถึงการได้รับอุบัติเหตุหรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของอวัยวะ จำเป็นต้องได้รับการประเมิน การจัดการ และการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือการรุนแรงขึ้นของการบาดเจ็บ หรืออาการเจ็บป่วยนั้น โดยมีระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 2 ระดับ ได้แก่ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ หรือ สีแดง และผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน หรือ สีเหลือง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2556

6893
  บอร์ด สปสช.มีมติปรับเพิ่มเงินช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียหายจากการบริการสาธารณสุขเทียบเท่าผู้รับบริการ กรณีเสียชีวิตรับสูงสุด 4 แสนบาท เสียอวัยวะ 2.4 แสนบาท บาดเจ็บไม่เกิน 1 แสนบาท ชี้ หากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยรับเพิ่ม 2 เท่าจากอัตราใหม่
       
       วันนี้ (4 ก.พ.) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมบอร์ด สปสช. ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่อง “การทบทวนและปรับปรุงอัตราการจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ตามมาตรา 18(4)” ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีระบบการชดเชยความเสียหายทางการแพทย์ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 โดยในมาตรา 18(4) ได้ให้การคุ้มครองผู้ให้บริการ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เนื่องจากที่ผ่านมามีแพทย์ พยาบาล ได้รับความเสียหายจากการรักษาผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการติดเชื้อโรคจากเหตุสุดวิสัย จึงต้องมีการช่วยเหลือเบื้องต้นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน ส่วนในมาตรา 41 เป็นการชดเชยให้แก่ผู้รับบริการหรือประชาชน เพื่อช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งได้มีการปรับอัตราการจ่ายเงินชดเชยเพิ่มไปแล้วในวงเงิน 2 เท่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2555
   
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ บอร์ด สปสช.จึงมีมติเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้ สปสช.เสนอการปรับปรุงข้อบังคับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ให้บริการ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เพิ่มอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ให้บริการเท่ากับผู้รับบริการ และกรณีพื้นที่เสี่ยงภัยจะเพิ่มอัตราการจ่ายเป็น 2 เท่าของอัตราใหม่ หรือ 4 เท่าจากอัตราเดิม เช่น 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นต้น ที่ผ่านมาในกรณีพื้นที่เสี่ยงภัยตั้งแต่ปี 2547-2555 มีการพิจารณาจ่าย 4 ราย เป็นเงิน 160,000 บาท
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า การปรับอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ให้บริการใหม่เป็นดังนี้

1.กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิตและมีผลกระทบรุนแรงต่อการดำรงชีวิต จากเดิมจ่ายไม่เกิน 200,000 บาท ปรับเป็น 240,000-400,000 บาท

2.สูญเสียอวัยวะหรือพิการที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต จากเดิมจ่ายไม่เกิน 120,000 บาท ปรับเป็น 100,000-240,000 บาท และ

3.บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จากเดิมจ่ายไม่เกิน 50,000 บาท ปรับเป็นไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งหลังจากนี้ สปสช.จะจัดทำร่างข้อบังคับเสนอประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาลงนามต่อไป
       
       อนึ่ง การปรับอัตราจ่ายเงินชดเชยผู้รับบริการทางการแพทย์ ซึ่งมีมติเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา มีดังนี้

1.กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้จ่ายเงินช่วยเหลือ 240,000-400,000 บาท

2.กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ให้จ่ายเงินช่วยเหลือ 100,000-240,000 บาท และ

3.กรณีบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง ให้จ่ายเงินช่วยเหลือไม่เกิน 100,000 บาท


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2556

6894


เรื่องพื้นที่พิเศษ



๑. มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน และตรวจสอบได้
๒. ไม่ใช้ความรู้สึกหรือดุลยพินิจในการพิจารณา
๓. เปิดเผยข้อมูลในการจัดพื้นที่ตามหลักเกณฑ์อย่างละเอียด ไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงใจของทุกฝ่าย
๔. การเป็นโรงพยาบาลระดับใด(รพช. รพท. รพศ.)ต้องไม่เป็นเหตุ หรืออุปสรรคในการที่จะได้ หรือไม่ได้ค่าตอบแทน

ค่าตอบแทนตามภาระงาน



๑. ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันทั้งประเทศ (ไม่ใช่ให้แต่ละโรงพยาบาลไปทะเลาะกันเอง สร้างความขัดแย้งระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกันเอง)

๒. วงเงินขึ้นกับวงงาน (ไม่ใช่ตามฉบับ๗ หรือรายรับของโรงพยาบาล จึงจะเป็นการจ่ายตามภาระงานอย่างแท้จริง และถึงจะเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตามวัตถุประสงค์ของการจ่ายค่าตอบแทน)

๓. สัดส่วนของแต่ละวิชาชีพ ขึ้นกับสัดส่วนของงาน (ขึ้นกับคุณค่าของงานที่ผู้บริหารกระทรวงฯจะให้ ไม่ใช่ให้แต่ละวิชาชีพไปแย่งชิงกันเอง เป็นการทำลายความสามัคคีระหว่างวิชาชีพ ระหว่างเพื่อนร่วมงาน)

๔. หลักการคิดต้องไม่ซับซ้อนยุ่งยาก และเป็นภาระจนเกินไป (ให้พวกเราใช้เวลาทำงานดูแลผู้ป่วย และทำตามนโยบายใหม่ๆของกระทรวงฯดีกว่า)

ที่ผ่านมาแนวคิดของคณะทำงานของกระทรวงฯไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานคาดหวัง และไม่เคยเปลี่ยนแนวคิดเลย แม้จะมีความคิดเห็น ข้อทักท้วง ข้อห่วงใย จากการหลายๆฝ่ายตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้ากระทรวงฯต้องการพัฒนางาน ปรับเปลี่ยนหลายๆเรื่อง(อย่างที่กำลังทำกันอยู่) ก็ต้องอาศัยความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่ายทุกวิชาชีพ ต้องพึ่งความสามัคคีในการทำงาน ต้องได้ใจของบุคลากร ดังนั้นเรื่องค่าตอบแทนต้องโปร่งใส เป็นธรรม และเหมาะสมอย่างแท้จริง

ข้อเสนอให้พิจารณา

๑. พิจารณาปรับเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลาราชการ (ฉบับ ๕)

๒. พิจารณาปรับเพิ่ม เงิน พตส.

๓. เข้าใจว่าผู้บริหารต้องการใช้ ค่าตอบแทนตามภาระงานเป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่อยากให้ผู้บริหารรับทราบว่าขณะนี้บุคลากรหลายวิชาชีพ หลายสาขา หลายพื้นที่ หลายแห่ง มีภาระงานมากเกินไป ค่าตอบแทนทั้งหมดของบุคลากรต่ำกว่าภาคเอกชนมาก ขอให้ผู้บริหารลดช่องว่างให้แคบลงก่อน แล้วค่อยเติมส่วนที่กระตุ้นประสิทธิภาพ ไม่งั้นไม่สามารถรักษาคนดีคนเก่งให้อยู่ในระบบได้

ทุกๆคนอยากเห็น การจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม และเป็นธรรม เสียที.......

6895
ไม่น่าเชื่อว่าโลกสีน้ำเงินกลมๆ ใบนี้จะมีผู้หญิงเผชิญปัญหาการทำแท้งมากถึงปีละกว่า 20 ล้านคน เสียชีวิตจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย 80,000 คน หรือตกชั่วโมงละ 9 คน!!

       ขณะที่ประเทศไทยเองก็มีข่าวเกี่ยวกับการทำแท้งปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อบ่อยครั้ง อย่างกรณีพบซากทารกที่ถูกทำแท้งจำนวน 2002 ศพในวัด 3 แห่งในกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ย. 2553 สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย และไม่มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากการสำรวจพบว่า เมื่อปี 2554 ผู้หญิงไทยมีอัตราการแท้งสูงถึง 30,389 ราย ตายจากการแท้งที่ไม่ปลอดภัย 4 ราย และใช้ค่ารักษาพยาบาลกว่า 154 ล้านบาท
       
       สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงไทยในวัยเจริญพันธุ์ (15-49 ปี) ซึ่งมีจำนวนมากถึง 16 ล้านคน เผชิญหน้ากับปัญหาการทำแท้งก็คือ “การตั้งครรภ์ไม่พร้อม” ซึ่งปัจจัยหลักนั้น นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผอ.สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างการประชุมนานาชาติ “สุขภาพสตรีและการทำแท้งไม่ปลอดภัย” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าเกิดจาก 1. ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และ 2. การเข้าไม่ถึงบริการคุมกำเนิด ซึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติที่มองว่าผู้หญิงที่รู้จักการป้องกันตนเองเป็นคนใจแตก
       
       “ที่เห็นได้ชัดคือ ผู้หญิงวัยทำงานที่ยังใช้คำนำหน้าว่า “นางสาว” หรือยังไม่มีสามี เมื่อมาขอใช้บริการคุมกำเนิดตามสถานพยาบาล เช่น ใส่ห่วง หรือฉีดยา ผู้ให้บริการมักมองว่ามีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ เรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้งการขูดมดลูกซึ่งมีอัตราการตาย ตกเลือด และติดเชื้อสูง รวมไปถึงความล่าช้าของการดำเนินการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายอาญามาตรา 305 และข้อบังคับแพทยสภานั้น ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์จำนวนมากหันไปทำแท้งเถื่อนแทน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาด้วยตัวเองที่ไม่ถูกต้องและไม่ปลอดภัย เป็นผลให้เกิดปัญหาสุขภาพกาย จิตใจ ครอบครัว และสังคมตามมาอีกมากมาย” นพ.กิตติพงศ์กล่าว
   
       สำหรับมาตรการแก้ปัญหาเบื้องต้น แว่วว่ามีการเสนอให้ทุกสถานพยาบาลดำเนินการยุติตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยตามวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ 1.ยกเลิกการขูดมดลูก โดยให้หันมาใช้เครื่องดูดมดลูกแทน ซึ่งมีความปลอดภัยกว่า และ 2.การรณรงค์ให้ทุกประเทศขึ้นทะเบียนยา Mifepristone และ Misoprostol เพื่อใช้ในการยุติการตั้งครรภ์กรณีที่อายุครรภ์น้อยกว่า 63 วันหรือ 9 สัปดาห์ ซึ่งเป็นยาที่องค์การอนามัยโลกได้บรรจุลงในบัญชียาหลัก ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศกำหนดนั้น อาจไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาที่ครอบคลุมนัก เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการท้องไม่พร้อม
       
       อย่างไรก็ตาม นพ.กิตติพงศ์เปิดเผยว่า การจะแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการทำแท้งไม่ปลอดภัย ต้องเร่งผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ.... ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกฤษฎีกา ให้มีผลบังคับใช้โดยไว เพราะร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะช่วยให้ทุกภาคส่วนจัดบริการการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและดำเนินการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้เข็มแข็งขึ้น
       
       “อย่างปัญหาทัศนคติแง่ลบต่อผู้หญิงที่มาขอรับบริการคุมกำเนิดหรือยุติการตั้งครรภ์นั้น พ.ร.บ.ดังกล่าวก็จะไปช่วยสนับสนุนให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนแพทย์และพยาบาลให้มีความเข้าใจการบริการตรงนี้มากขึ้น ลดทัศนคติที่ไม่ดีตรงนี้ออกไป เพื่อให้สามารถเปิดกว้างในการให้คำปรึกษาการวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด และการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยได้” นพ.กิตติพงศ์กล่าว
       
       นพ.กิตติพงศ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะช่วยในเรื่องของการส่งเสริมการมีลูกเมื่อพร้อม การเข้าถึงการวางแผนครอบครัว การให้ความรู้ด้านเพศศึกษาแก่เด็ก ตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน การรู้จักปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ การรู้จักปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ การป้องกันหรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย รวมไปถึงพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขและพัฒนาบุคลากรให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีการคุมกำเนิด การยุติการตั้งครรภ์ เพิ่มทักษะการให้คำปรึกษา ซึ่งตรงนี้อาจช่วยเปลี่ยนใจให้คนอยากทำแท้งเลิกทำแท้งได้ รวมไปถึงสนับสนุนให้มีการจัดบริการด้านสังคมด้วย เช่น การเปิดให้ศึกษาต่อ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไปทำแท้งเพราะต้องการที่จะเรียนต่อ จึงจะมีการเปิดโอกาสตรงนี้ด้วย
       
       พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์จึงเป็นกฎหมายที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมี เพื่อลดภาวะการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และเพิ่มการเข้าถึงบริการอนามัยเจริญพันธุ์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ช่วยขจัดปัญหาและสางปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการยุติการตั้งครรภ์ไม่ปลอดภัย เป็นแนวทางในการประกันพัฒนาการและความมั่นคงในชีวิตและสุขภาพของสตรี!

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2556

6896
 สธ.ตั้งคณะกรรมการติดตามการบริหารงบลงทุนก่อสร้าง และจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ จากโครงการเงินกู้ดีพีแอลวงเงินกว่า 3,400 ล้านบาท และงบค่าเสื่อมในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 4,800ล้านบาทของ รพ.ทั่วประเทศ ย้ำให้เกิดความโปร่งใส และจัดซื้อตามความต้องการในพื้นที่จริง
       
       นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมาตรการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2556 ว่า สธ.มีนโยบายกระจายอำนาจในการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อเป็นไปตามโครงการพัฒนาบริการสาธารณสุขที่แบ่งเป็น 12 เครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถจัดบริการทางการแพทย์ได้ตามมาตรฐานเดียวกัน ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และเกิดความชัดเจนในการดำเนินการที่โปร่งใส เป็นธรรม เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะงบลงทุนจากงบเงินกู้ดีพีแอล วงเงิน 3,426 ล้านบาท และงบค่าเสื่อมในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า วงเงิน 4,858 ล้านกว่าบาท เพื่อก่อสร้างอาคารบริการต่างๆ และจัดซื้อคุรุภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ได้มอบนโยบายว่าจะต้องเป็นไปตามความต้องการของพื้นที่ ไม่มีการยัดเยียดซื้อไปจากส่วนกลางอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ถูกต้องแล้ว ยังไม่เป็นประโยชน์กับพื้นที่
       
       ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การบริหารงบค่าเสื่อมในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ได้รับจัดสรร 4,858 ล้านกว่าบาทในปีนี้ ได้แบ่งงบเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย
1.ระดับประเทศร้อยละ 10 ซึ่งพิจารณาอนุมัติรายการโดย สธ.วงเงิน 485 ล้านกว่าบาท
2. ระดับเขต ร้อยละ 20 วงเงิน 971 ล้านกว่าบาท
3. ระดับจังหวัด ร้อยละ 20 วงเงิน 971 ล้านกว่าบาท และ
4.ระดับหน่วยบริการร้อยละ 50 วงเงิน 2,429 ล้านกว่าบาท

การบริหารจัดการในระดับประเทศ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการบริหารจัดการ 1 ชุด มี นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ส่วนระดับเขตให้คณะกรรมการพิจารณาระดับเขตในเบื้องต้น โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่กำกับดูแลให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณางบค่าเสื่อมและเกณฑ์การจัดสรร และสอดคล้องกับการแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยให้ส่งให้คณะอนุกรรมการพัฒนาการบริหารจัดการงบค่าเสื่อมฯ พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ภายในวันที่ 18 ก.พ.นี้
       
       ทั้งนี้ สธ.ได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณางบค่าเสื่อมและเกณฑ์การจัดสรรไว้ดังนี้ คือ
1.ชดเชยค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ทดแทนส่วนขาด และซ่อมบำรุงสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพหรือถดถอย หรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิม และ
2. การขอสนับสนุนงบค่าเสื่อมในสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ จะต้องไม่เป็นการนำไปสู่การเพิ่มต้นทุน และทำให้เกิดภาระในการดูแลรักษาที่มีผลกระทบกับสถานการณ์ด้านการเงินการคลังของหน่วยบริการนั้นๆ โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรได้กำหนดหากเป็นรายการครุภัณฑ์ ต้องมีราคาต่อหน่วยไม่มากกว่า 10 ล้านบาท กรณีสิ่งก่อสร้าง ต้องมีราคาต่อหน่วยไม่มากกว่า 40 ล้านบาท หากเกินวงเงินที่กำหนด ต้องมีเงินสมทบจากพื้นที่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2556

6897
สธ.เผยมะเร็ง อันดับ 1 คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละ 7.6 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่ 12.7 ล้านคน ส่วนคนไทยคาดมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละกว่า 100,000 ราย เสียชีวิตกว่า 6 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแนวโน้มเพิ่มขึ้น เร่งตรวจคัดกรองคนอายุ 50 ปี - 70 ปี เพื่อผลักดันเป็นนโยบายประเทศ ลดการป่วยและเสียชีวิต
   
       นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า 4 ก.พ.ของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากล กำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) เพื่อบรรเทาปัญหาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย ปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของโลก ในปี 2551 องค์การอนามัยโลกรายงานทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการตรวจวินิจฉัย 12.7 ล้านราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7.6 ล้านราย หรือร้อยละ 13 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ส่วนในปี 2573 หรืออีก 17 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยใหม่ 21.3 ล้านคน และจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านคน โดยในปีนี้ได้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ว่า มะเร็ง-คุณรู้แค่ไหน (Cancer - Did you know?) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจโรคมะเร็งอย่างถูกต้อง โดยมะเร็งร้อยละ 30-40 สามารถป้องกันได้ด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และหากได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสม จะสามารถป้องกันและได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
       
       สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี ล่าสุดในปี 2554 มีผู้เสียชีวิต 61,082 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย เป็นชาย 35,437 ราย และหญิง 25,645 ราย องค์การอนามัยโลกคาดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 118,600 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุดได้แก่มะเร็งตับ ปอด ลำไส้และทวารหนัก ต่อมลูกหมาก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิงได้แก่มะเร็งเต้านม ตับ ปากมดลูก ปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตแบบคนเมือง นิยมกินแต่เนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เตรียมผลักดันการเพิ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นนโยบายของประเทศเช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยได้มอบให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และสถาบันวิจัยและประเมินเทคโลยีทางการแพทย์ หรือไฮแทป ศึกษาความเป็นไปได้ คาดจะเสร็จภายในกลางปีนี้ เพื่อเสนอต่อครม. ซึ่งการตรวจคัดกรองจะเป็นการค้นหาคนที่เริ่มมีความผิดปกติของลำไส้ เพื่อเข้าสู่ระบบการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาได้เร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสหายมีมาก การเสียชีวิตลดลง
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยยังมีความเชื่อผิดๆเรื่องโรคมะเร็งว่าเป็นโรคเคราะห์กรรม หรือเชื่อว่าเป็นแล้วต้องตาย รักษาไม่ได้ จึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะป้องกันหรือเข้ารับการตรวจคัดกรองตามที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้เวลาก่อตัวนานและไม่แสดงอาการใดๆ ให้รู้ ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ประมาณร้อยละ 70-80 อยู่ในระยะเซลล์ลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว โอกาสหายมีน้อยมาก ทำให้สถิติการเสียชีวิตติดอันดับ 1 กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไข โดยพัฒนาระบบการป้องกันด้วยการรณงค์ลดพฤติกรรมเสี่ยง 5 สาเหตุหลักคือบุหรี่ เหล้า เพิ่มการกินผักผลไม้ การออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนักตัว และบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี เริ่มตั้งในเด็กแรกเกิด ฉีด 4ครั้งจนถึงอายุ 6 เดือนเพื่อป้องกันมะเร็งตับ และเพิ่มระบบการตรวจคัดกรองมะเร็งที่พบบ่อยคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม
       
       ในด้านการรักษาผู้ป่วย ได้พัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคมะเร็งให้มีประจำใน 12 เครือข่ายบริการ ตามแผนพัฒนาะบบบริการสุขภาพ โดยมีสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ เทคโนโลยีชั้นสูงในการตรวจวินิจฉัยและรักษา นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังได้ตั้งเป้าหมายใน 5 ปี จังหวัดในภาคอีสาน 20 จังหวัด มีไข่พยาธิใบไม้ตับน้อยกว่าร้อยละ 10 และภายใน 3 ปี สตรีไทยมีการตรวจเต้านมจนสามารถพบมะเร็งในระยะ 1-2 ซึ่งเซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในปี 2557 ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 และคิวรอการฉายแสงรักษามะเร็งลดลงกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งให้โรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณภาพ สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
       
       นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ สถาบันมะเร็งฯ จะจัดกิจกรรมเสวนาสำหรับประชาชน เนื่องในวันมะเร็งโลก ที่โรงแรมรามาการ์เดนท์ กทม. เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องลบล้างตำนานความเชื่อแบบผิดๆ ในเรื่องโรคมะเร็งแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้ ยังได้จัดการประชุมระดมสมองโดยมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้บริหาร ร่วมกันปรับแผนป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาของประเทศในปัจจุบันมากขึ้น
       
       ส่วนการศึกษาความเป็นไปได้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สถาบันมะเร็งฯ ได้จัดทำโครงการศึกษานำร่องที่จังหวัดลำปางตั้งแต่ปี 2553 ในกลุ่มประชาชนอายุ 50 - 70 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบผู้ป่วยมากที่สุด โดยตรวจคัดกรองจำนวน 78,000 ราย ด้วยการใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายราคาประมาณ 60 บาท เพื่อตรวจหาเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ ผลปรากฎตรวจพบร้อยละ 1.1 หรือ 858 ราย และได้ส่งต่อไปรับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ผลจากการส่องกล้องของผู้ป่วยจำนวน 561 ราย พบผู้ป่วยมะเร็ง 26 ราย มีติ่งเนื้อที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง 153 ราย ได้ส่งตัวเข้ารักษาทันที ซึ่งการตรวจคัดกรองนี้ถือว่าได้ผลดี มีต้นทุนต่ำมากเพียง 60 บาท และหากพบผู้ป่วยจะสามารถนำเข้าระบบการรักษาได้เร็ว เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม แต่หากตั้งรับรอรักษาผู้ป่วยเมื่อมีอาการลุกลามไปแล้ว โอกาสหายมีน้อยมากและค่ารักษาสูงนับแสนบาท
       
       หากโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้รับการประกาศเป็นนโยบายชาติ จะเป็นผลดีกับประชาชนอย่างมาก และการปฏิบัติไม่ยุ่งยาก โดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย ตรวจได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และให้เครือข่ายอสม.ที่มีกว่า 1 ล้านคนรณรงค์ให้ประชาชน อายุ 50 ปี 55 ปี 60 ปี 65 ปี และ70 ปี ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน เก็บตัวอย่างอุจจาระมาตรวจ หากพบมีเม็ดเลือดแดงแฝง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจมีความผิดปกติของลำไส้ จะส่งต่อไปรับการตรวจวินิจฉัยในโรงพยาบาลและให้การรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป
       
       ทั้งนี้ สัญญาณอันตรายของมะเร็ง 7 ประการ ได้แก่

1.ระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะผิดปกติ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
2.กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียดแน่นท้องเป็นเวลานาน
3.มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง
4.มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น
5.เป็นแผลรักษาไม่หาย
6.ก้อนหูดหรือไฝตามร่างกายโตขึ้น และ
7.มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ขอให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยละเอียดต่อไป

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2556

6898
1. คณะแพทย์ ขอ “ในหลวง”ทรงงดพระราชกิจ หลังทรงอ่อนเพลีย-เจ็บพระชานุ ด้าน รพ.ศิริราช เลื่อนเปิดสถาบันการแพทย์ฯ !

       เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรายงานว่า พระองค์ทรงมีพระปรอทต่ำๆ ในบางช่วงเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เสวยได้น้อยลง และทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระวรกายทุกวันตั้งแต่ทรงมีพระปรอท ไม่พบอาการเจ็บที่พระวรกาย การเต้นของพระหทัยเป็นปกติ การหายพระทัยเร็วกว่าธรรมดาเล็กน้อย ความดันพระโลหิตปกติ การถวายตรวจพระอุระปรากฏว่า เป็นปกติ ผลการตรวจพระบังคนเบาและพระบังคนหนักเป็นปกติ
       
       ต่อมา วันที่ 30 ม.ค. ทรงมีอาการเจ็บพระชานุ(เข่า) เมื่อเคลื่อนไหว แพทย์ได้ถวายตรวจและพบว่า พระชานุทั้งสองข้างบวมอักเสบ จึงได้ขอพระราชทานถวายตรวจพระโลหิตเพื่อหาสาเหตุของพระอาการผิดปกติดังกล่าว ผลตรวจพระโลหิตไม่ได้แสดงว่ามีอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย จึงได้ถวายพระโอสถเสวย รักษาอาการอักเสบของพระชานุ ทั้งนี้ ทรงบรรทมได้ แต่ยังเสวยพระกระยาหารได้น้อยกว่าปกติ และยังทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์จึงกราบบังคมทูลขอให้ทรงงดพระราชกิจสักระยะหนึ่ง
       
       ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวหลังสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต้องของดกำหนดการซ้อมใหญ่พิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุ้มสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ในวันที่ 30 ม.ค. รวมทั้งวันที่ 1 ก.พ.ที่ตามหมายกำหนดการ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ และสถาบันการแพทย์ฯ ก็ต้องงดไว้ก่อน โดยคณะแพทย์ต้องการให้พระองค์ทรงพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนจะมีพิธีเปิดในวันใด ต้องรอดูพระอาการของพระองค์ต่อไป
       
       2. ศาล รธน.มีมติ 6 : 3 “วราเทพ” ไม่ขาดคุณสมบัติ รมต. เหตุไม่เคยถูกจำคุกจริง ด้านเจ้าตัว รีบขอบคุณตุลาการเสียงข้างมาก-นายกฯ !

       เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา และคณะรวม 24 คน ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 และ 92 ขอให้ศาลวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 (3) และ (5) ประกอบมาตรา 174 (5) หรือไม่ เนื่องจากนายวราเทพพ้นโทษจำคุกในคดีหวยบนดินยังไม่ครบ 5 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อปี 2552
       
       ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพ ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 (3) และ (5) ประกอบมาตรา 174 (5) เนื่องจากมาตรา 182 (3) และ (5) จะใช้ก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่ และศาลมีคำพิพากษาตัดสินให้จำคุก แต่กรณีของนายวราเทพ ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จึงค่อยมารับตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่มาตรา 174 (5) จะใช้ในกรณีต้องโทษและให้มีการจำคุกจริง แต่กรณีของนายวราเทพอยู่ระหว่างรอการลงโทษ(รอลงอาญา) จึงไม่เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง
       
       สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 3 คน ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล ,นายนุรักษ์ มาประณีต และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
       
       ด้านนายวราเทพไม่ได้เดินทางมาฟังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยแต่อย่างใด แต่ได้เผยความรู้สึกหลังทราบผลคำวินิจฉัย โดยขอบคุณตุลาการเสียงข้างมากที่ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ให้เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งจะทำให้การทำหน้าที่รัฐมนตรีของตนไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป “ขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากที่ยึดหลักการในเรื่องของการตีความรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยข้อขัดแย้งในรัฐธรรมนูญโดยตรงอย่างเคร่งครัด และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้กรุณาเลือกผมเข้ามาในตำแหน่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว โดยเชื่อมั่นว่าคุณสมบัติครบถ้วน” นายวราเทพ ยังอ้างด้วยว่า กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกตนในคดีหวยบนดินนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องการทุจริต แม้จะมีข้อกล่าวหาว่าทุจริตก็ตาม
       
       3. ตร.กองปราบฯ บุกรวบตัว “กำนันเป๊าะ” คาด่านมอเตอร์เวย์ ย่านพัฒนาการ ด้านศาล ออกหมายรวมโทษจำคุก 30 ปี 4 เดือน!

       เมื่อวันที่ 30 ม.ค. เวลา 11.00น.ตำรวจกองปราบปรามได้นำกำลังตำรวจคอมมานโด ชุดจู่โจม 30 นายพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมตรวจสอบรถยนต์ต้องสงสัยยี่ห้อเลกซัส รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีดำ ทะเบียน ฎฎ 9579 กรุงเทพมหานคร ที่กำลังขับเข้ามายังด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ -ชลบุรี ขาออก เขตลาดกระบัง กทม. หลังสืบทราบว่า รถคันดังกล่าวมีนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ บิดานายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2555 ข้อหาร่วมกันใช้ จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อยู่ภายในรถด้วย
       
       จากการตรวจค้น พบมีผู้อยู่ในรถรวม 4 คน ประกอบด้วย คนขับ ,นายวินัย พ้นภัยพาล กำนัน ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี ,นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ และแพทย์ประจำตัวของนายสมชาย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายจับ ก่อนนำตัวทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุมที่กองปราบฯ ซึ่งนายสมชายไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดและไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
       
       นอกจากนี้ภายในรถ ยังพบถุงใส่กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 6 นัด ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ ซึ่งนายวินัย บอกว่า เป็นกระสุนที่หลงเหลือ ตกหล่นอยู่ในรถนานแล้ว ตนลืมนำออกมา และไม่ได้นำไปใช้ก่อเหตุใดใด ส่วนบริเวณกระโปรงหลังรถ เจ้าหน้าที่พบถุงยาจำนวนหนึ่งของโรงพยาบาลสมิติเวช สาขาศรีนครินทร์ และใบเสร็จค่ายาในชื่อ “นายกิม แซ่ตั้ง”
       
       ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม บอกว่า จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลดังกล่าวว่า นายสมชายได้เดินทางเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้งแค่ไหน รวมทั้งจะตรวจสอบประวัติคนไข้ที่ชื่อ นายกิม แซ่ตั้ง ซึ่งคาดว่าเป็นชื่อปลอมของนายสมชายที่ใช้ในการเข้ารักษาพยาบาลด้วย
       
       ขณะที่ พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม เผยว่า การจับกุมนายสมชายได้ครั้งนี้ เนื่องจากมีประชาชนให้เบาะแสกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางว่า นายสมชาย ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทยและใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะถูกศาลออกหมายจับก็ตาม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จึงสั่งให้ พล.ต.ต.สุพิศาลและตนลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่านายสมชายอยู่ในบ้านพักชื่อบ้านแสนสุข ที่ จ.ชลบุรี จึงเฝ้าติดตามมาประมาณ 2 เดือน กระทั่งวันดังกล่าวนายสมชายเดินทางเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าติดตามจึงวางแผนเข้าจับกุม
       
       ทั้งนี้ หลังทำบันทึกการจับกุมแล้ว ตำรวจคอมมานโด กองปราบปราม ได้นำตัวนายสมชายไปยังศาลอาญา จากนั้นศาลได้ออกหมายจำคุกนายสมชายคดีใช้จ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร เมื่อปี 2546 แต่จำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 12 มี.ค.2555 โดยให้จำคุกนายสมชายเป็นเวลา 25 ปี บวกโทษจำคุกคดีทุจริตซื้อที่ดินกำจัดขยะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ที่ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาจำคุก 5 ปี 4 เดือน รวมจำคุกนายสมชาย 30 ปี 4 เดือน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายสมชายขึ้นรถตู้ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์มาอารักขาด้วยปืนยาวอัตโนมัติ เอชเค 33 ร่วมกับรถกองปราบปราม เพื่อป้องกันการแย่งชิงตัว
       
       ด้านนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา บอกว่า นายสมชายไม่สามารถขอประกันตัวได้ เพราะคดีของนายสมชาย ศาลฎีกาพิพากษาแล้ว จึงถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว
       
       ส่วนท่าทีของนายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บุตรชายนายสมชาย หรือกำนันเป๊าะ ต่อกรณีที่บิดาถูกจับนั้น นายสนธยา บอกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ยืนยันว่า จะไม่นำตำแหน่งรัฐมนตรีไปแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมเชื่อว่า การจับกุมบิดาตนไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และจะไม่กระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีของตน
       
       4. ASTVผู้จัดการ ออกแถลงการณ์ยันทำหน้าที่ต่อ แม้เป็นสื่อที่ถูกคุกคามหนักสุดในประวัติศาสตร์ ด้าน “เฉลิม” ปัด เอี่ยวคนร้ายยิงรถข่าว ASTV!

       ความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบยิงรถข่าว ASTV จำนวน 4 คัน และยิงใส่อาคารอนุรักษ์ ซึ่งเป็นสำนักบริหารของ ASTV ด้วย โดยกล้องวงจรปิดของบ้านเจ้าพระยา สามารถจับภาพชายต้องสงสัยได้ 1 ราย ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกว่า เบื้องต้นมองสาเหตุกว้างๆ ทั้งเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว การสร้างสถานการณ์ หรือมือที่สาม พร้อมยืนยัน จะจับคนก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้นั้น
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สรุปความว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุข่มขู่คุกคาม ASTVผู้จัดการ เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้ง ASTVผู้จัดการมา ได้เผชิญกับการช่มขู่คุกคามมาโดยตลอด เช่น สมัยที่ผู้จัดการเพิ่งก่อตั้ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นสื่อเดียวที่กล้าเปิดโปงอิทธิพลอำนาจเถื่อนของเจ้าพ่ออย่าง แคล้ว ธนิกุล ที่ใหญ่คับฟ้า กระทั่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกแคล้วสั่งให้เข้าพบ เพื่อให้ยุติการเสนอข่าว เมื่อสนธิปฏิเสธ ทำให้ถูกข่มขู่คุกคามหมายเอาชีวิตในเวลาต่อมา หรือแม้แต่ช่วง “พฤษภาทมิฬ” ปี 2535 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เป็นสื่อที่กล้าต่อสู้กับเหล่าเผด็จการ ด้วยการนำเสนอความจริงยืนหยัดกับประชาชนที่ถูกปิดหูปิดตา
       
       กระทั่งปี 2548 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน เมื่อผู้จัดการเข้าร่วมกับมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ ทั้งเปิดโปงเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน การรวบอำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน ASTVผู้จัดการ ก็ถูกข่มขู่คุกคามต่างๆ นานา ทั้งสำนักงานถูกปาระเบิด ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม M79 เรียกได้ว่า ASTVผู้จัดการเป็นสื่อเดียวในประเทศไทยที่ถูกอาวุธสงครามยิงถล่มหนักที่สุดในประวัติศาสตร์
       
       มาถึงวันนี้ ASTVผู้จัดการ ได้พิสูจน์ให้สังคมประจักษ์แล้วว่า หากเป็นเรื่องที่ถูกต้องและทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้ว ASTVผู้จัดการ พร้อมเสมอ ไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคาม แม้แต่กระสุน 200 นัด ที่ตั้งใจจะฆ่าสนธิ ตั้งใจจะหยุด ASTVผู้จัดการ ก็ไม่สามารถหยุดได้
       
       แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังระบุด้วยว่า นอกจากการข่มขู่คุกคามจะทำอะไร ASTVผู้จัดการไม่ได้แล้ว ASTVผู้จัดการ ยังจะเดินหน้าทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์แบบตามที่ควรจะทำต่อไป เพราะ ASTVผู้จัดการไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ได้มีวันนี้เพราะพี่ให้ หรือใครให้ แต่เป็นสื่อของประชาชน
       
       ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือ ASTVผู้จัดการ พูดถึงคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังกรณีลอบยิงรถข่าว ASTV โดยมั่นใจว่า ไม่ใช่ฝีมือทหาร เพราะทหารแม้จะชอบแสดงพลังเอาใจนาย แต่ก็ต้องดูสัญญาณจากนาย ซึ่งเรื่องราวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กับASTVผู้จัดการ จบไปแล้วอย่างลูกผู้ชายทั้งสองฝั่ง “แต่งานนี้คนที่น่าสงสัยคือ “ไอ้ปื๊ด” ลูกน้องผู้มีอิทธิพลมากกว่า ไม่รู้จะใช่คนเดียวกับสมัยคลับทเวนตี้หรือไม่ ตอนนี้ไอ้ปื๊ดคงเปลี่ยนนายใหม่แล้ว รู้แต่ว่าตอนนี้ไอ้ปื๊ดคอยคุมเด็กแว้นอยู่ ว่ากันว่านายไอ้ปื๊ดใหญ่สุดๆ ชั่วโมงนี้ ยอมเป็นขี้ข้าคนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนเกือบทั้งประเทศ ผมว่าระดับ ผบ.ตร.หรือ ผบช.น.ยังไม่กล้าหือละกัน”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังซีอีโอเครือ ASTVผู้จัดการ สงสัย “ไอ้ปื๊ด” อยู่เบื้องหลังลอบยิงรถข่าว ASTV ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ร้อนตัว รีบออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบยิงรถข่าว ASTV เพราะตนกับสนธิเป็นเพื่อนรักกัน ตนไม่เคยคิดร้ายกับนายสนธิ “ผมยืนยันไม่เคยคิดร้ายกับนายสนธิ ถ้าพรรคพวกนายสนธิคิดแบบนั้นคิดผิด และสนธิก็รู้ว่าผมเป็นคนขี้ปอดขี้กลัวจะตาย ไปไหนมาไหนกลัว ไม่ใจร้ายหรอกผม จริงๆ หนูไปบอกสนธิจากเพื่อนรักถึงเพื่อนรัก”
       
       ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมายืนยันเช่นกันว่า ทางกองทัพไม่ได้
       เกี่ยวข้องกับกรณีลอบยิงรถข่าว ASTV เพราะต่างคนต่างต้องเคารพซึ่งกันและกัน และที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมย้ำว่า ตนไม่สนับสนุนเรื่องการใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ม.ค. เวลา 03.30น. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชาญวัชร์ บริรักษ์กุล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้จำลองสถานการณ์เพื่อหาวิถีกระสุนที่คนร้ายลอบยิงรถข่าว ASTV โดยนำอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งขาตั้งกล้อง เครื่องวัดองศา เลเซอร์ มาช่วยคำนวณหาวิถีกระสุน เพื่อดูว่าคนร้ายนั่งยิงหรือยืนยิง
       
       พล.ต.ต.วิชาญวัชร์ เผยว่า กองพิสูจน์หลักฐานคาดว่าคนร้ายน่าจะใช้อาวุธปืนยิงมาจากบริเวณหน้าทางเข้าชุมชนตรอกเขียนนิวาสน์ ตรอกไก่แจ้ แต่อาจจะยิงมาจากบนรถยนต์ รถกระบะ ริมถนน หรือบนฟุตปาธ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังพบร่องรอยกระสุนปืน 7 นัด ซึ่งอาจจะเป็นปืนสั้นหรือปืนยาวก็ได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานก่อน โดยยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้
       
       5. “ราตรี” พ้นคุกกัมพูชา-บินกลับไทยแล้ว เผย ดีใจได้อิสรภาพ แต่เสียใจที่ “วีระ” ยังถูกขัง!

       เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งเป็นวันแรกจากทั้งหมด 7 วันของพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ปรากฏว่า ชาวกัมพูชาหลายแสนคนได้หลั่งไหลมาต้อนรับขบวนแห่พระศพสมเด็จฯ สีหนุ ณ บริเวณปะรำพิธีชั่วคราว ท้องสนามหลวง ด้านข้างพระราชวังจตุรมุขมงคล พระบรมมหาราชวังของกัมพูชาในกรุงพนมเปญ
       
       ช่วงเย็นวันเดียวกัน(1 ก.พ.) น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งถูกจำคุกอยู่ในกัมพูชาพร้อมกับนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ หลังถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 ปี และ 8 ปี ในความผิดฐานรุกล้ำเขตแดนและโจรกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญนี้พร้อมกับนักโทษรายอื่นๆ อีกกว่า 400 คน ส่วนนายวีระไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ได้รับการลดโทษ 6 เดือน
       
       ทั้งนี้ น.ส.ราตรี เผยความรู้สึกหลังได้รับการปล่อยตัวว่า ดีใจที่ได้รับอิสรภาพ แต่เสียใจที่นายวีระยังคงถูกคุมขัง หลังได้รับอิสรภาพ น.ส.ราตรีได้เดินทางกลับประเทศไทยในคืนวันเดียวกัน(1 ก.พ.) โดยมีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและสันติอโศกไปรอต้อนรับที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 200 คน น.ส.ราตรี บอกว่า ดีใจที่ได้กลับประเทศไทย พร้อมขอบคุณประชาชนและเพื่อนๆ ที่มารอรับ พร้อมเผยว่า ความเป็นอยู่ในเรือนจำเขมรนั้นลำบาก น้ำหนักตนลงไป 5 กก. และว่า ก่อนเดินทางกลับมา ไม่ได้คุยกับนายวีระ เพราะอยู่กันคนละแดน น.ส.ราตรี บอกด้วยว่า สิ่งแรกที่อยากทำเมื่อมาถึงไทยแล้วก็คือ กลับไปกราบเท้าพ่อแม่ และพบญาติพี่น้อง พร้อมยืนยัน ตัวเองไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้มีกลุ่มเพื่อนคนไทยที่เคยถูกจำคุกที่เรือนจำเปรยซอร์ของกัมพูชาพร้อมกับ น.ส.ราตรีและนายวีระ มารอต้อนรับ น.ส.ราตรีที่สนามบินด้วย เช่น นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์, ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม น.ส.นฤมล จิตรวะรัตนา และนายกิชพลธรณ์ ชุสนะเสวี
       
       โอกาสนี้ ร.ต.แซมดิน เผยว่า ตนได้พูดคุยกับนายวีระผ่านมารดาของนายวีระที่เดินทางไปเยี่ยมทุกสัปดาห์ และรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายวีระออกจากเรือนจำเปรยซอร์ให้ได้ ยืนยันว่า ทุกคนที่ถูกกัมพูชาจับกุมและควบคุมตัวไป ไม่เคยรับว่ารุกล้ำเข้าไปในแผ่นดินกัมพูชา ไม่ว่าจะขั้นตอนใดก็ตาม ไม่เคยยอมรับว่าทำผิด มีแต่รัฐบาลสมัยนั้นที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวว่า ทั้ง 7 คนรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันที่จะปกป้องรักษาแผ่นดิน 4.6 ตร.กม.ต่อไป ขอให้นายวีระสบายใจว่า มีคนไทยจำนวนหนึ่งสนใจดูแลผืนแผ่นดินนี้อยู่
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ น.ส.ราตรีได้รับการปล่อยตัวว่า ดีใจกับสิ่งที่หลายคนพยายามเรียกร้องและรอคอยมานาน แต่ยังมีนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติอีกคนที่ทุกคนต้องพยายามหาทางช่วยเหลือต่อไป พร้อมชี้ว่า เรื่องการปล่อยตัว น.ส.ราตรีไม่ควรจะมีผลต่อคดีปราสาทพระวิหาร เพราะไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เป็นข้อพิพาท
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายวีระให้สัมภาษณ์ที่กัมพูชาว่า รู้สึกดีใจกับ น.ส.ราตรีที่ได้รับการปล่อยตัว ส่วนตนยืนยันจะใช้ช่องทางโอนตัวไปรับโทษต่อที่ประเทศไทย และเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2556

6899
1. “ในหลวง-พระเทพฯ” เสด็จฯ เปิดสถาบันศิริราช 1 ก.พ. ทีวีพูลถ่ายทอดทั่วประเทศ!
       
       เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยหลังประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า วันที่ 1 ก.พ.นี้ เวลา 17.00น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(สถานีรถไฟธนบุรีเดิม) โดยจะมีพิธีสงฆ์เป็นเวลา 40 นาที จากนั้นจะทรงกดปุ่มเปิดลานพลับพลาพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และทรงกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ขณะที่คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษาแพทย์จำนวน 125 คน จะร่วมกันร้องเพลงศิริราชถวาย พร้อมอ่านกลอนเพื่อแสดงถึงปณิธานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลว่า จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนชาวไทย ภายใต้ร่มพระบารมี
       
       ทั้งนี้ วันงาน จะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยไปทั่วประเทศ
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม เผยด้วยว่า วันดังกล่าวจะมีการแสดงละครลิงตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยากทอดพระเนตรด้วย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ว่า อยากจะทอดพระเนตรละครลิงกับผมถึง 2 ครั้ง ทางคณะแพทย์จึงได้ถวายให้ทอดพระเนตรในวันที่เสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช โดยได้ติดต่อคณะประกิต ศิษย์พระกาฬ ซึ่งเป็นคณะละครลิงชื่อดังที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเพียงคณะเดียว โดยได้ทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงต้องการทอดพระเนตรแบบเป็นเรื่องราวหรือแบบตลกขบขัน พระองค์รับสั่งตอบว่า อยากดูแบบตลกๆ โดยการแสดงละครลิงจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมระยะเวลาที่เสด็จฯ ทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที”
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวถึงพระอาการทั่วไปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยว่า ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นปกติแล้ว ทรงพระดำเนินได้ดี เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
       
       2. มือมืด คุกคามสื่อ บุกยิงรถข่าว ASTV 4 คันรวด แถมยิงอาคารสำนักบริหาร ขณะที่กล้องวงจรปิดจับภาพชายต้องสงสัยได้!

       เมื่อเวลาประมาณ 03.25น.ของวันที่ 26 ม.ค. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถข่าว ASTV จำนวน 4 คัน เป็นรถโตโยต้าอัลติสสีบรอนซ์เงิน 2 คัน สีบรอนซ์ทอง 2 คัน โดยจอดอยู่หน้าบ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักข่าวเครือ ASTV 2 คัน ส่วนอีก 2 คันจอดอยู่บริเวณหน้าสวนสาธารณะสันติชัยปราการ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 15 เมตร ส่งผลให้รถทั้ง 4 คันได้รับความเสียหายบริเวณกระจกรถ
       
       ทั้งนี้ หลังตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้รับแจ้งเหตุในช่วงเช้า จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นได้รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมาสังเกตการณ์ด้วย
       
       ที่เกิดเหตุ พบรถ ASTV ถูกยิงที่กระจกหน้ารถ 2 คัน คันละ 1 นัด ส่วนอีก 2 คันถูกยิงที่กระจกประตูหน้าฝั่งคนขับ คันละ 1 นัด เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะใช้ปืนลูกโม่ขนาด .22 มม. นอกจากนี้ยังพบว่า กระจกอาคารอนุรักษ์ ซึ่งเป็นสำนักบริหารของ ASTV ถูกกระสุนปืนด้วย 2 นัด
       
       จากการสอบสวน นายรุ่งโรจน์ ขาวประเสริฐ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบ้านเจ้าพระยา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนได้จัดระเบียบจอดรถข่าวริมถนนชิดฟุตบาธ เนื่องจากที่จอดรถด้านในเต็ม จึงต้องให้รถข่าว 4 คันจอดด้านนอก โดยมีรถของชาวบ้านรวมอยู่ด้วย ซึ่งจอดเป็นปกติทุกวัน ก็ไม่มีปัญหาอะไร กระทั่งเวลาประมาณ 03.25น.ตนจะไปเข้าห้องน้ำ จึงให้เพื่อน รปภ.อีกคนมาอยู่ที่ป้อมหน้าทางเข้าแทน โดยระหว่างเดินไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงคล้ายปืน 4 นัด แต่ไม่ได้เอะใจอะไร เนื่องจากคืนก่อนก็มีเจ้าหน้าที่มาติดตั้งป้ายจราจร กระทั่งออกเวรตอนเช้า ทีมนักข่าวจะเอารถไปทำงาน จึงพบว่ารถข่าวถูกยิงได้รับความเสียหาย
       
       ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดของบ้านเจ้าพระยา สามารถจับภาพชายต้องสงสัยได้ 1 ราย โดยชายดังกล่าวใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีขาว เดินเอื่อยๆ อยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามบ้านเจ้าพระยาเมื่อเวลา 03.26 นาที 42 วินาที จากนั้นเวลา 03.26 นาที 52 วินาที กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพรถข่าว ASTV ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถูกกระสุนปืนยิงเข้าบริเวณกระจกหน้ารถฝั่งคนขับได้อย่างชัดเจน ต่อมาเวลา 03.28น. ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพชายคนเดิมเดินผ่านกลับมา แล้วเดินเข้าตรอกข้างบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งตรอกดังกล่าวสามารถทะลุไปยังถนนหลายแห่งในย่านบางลำภู
       
       ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ บอกว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่คนร้ายยิงรถข่าว ASTV เบื้องต้นยังมองกว้างๆ ทั้งเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว การสร้างสถานการณ์ หรือมือที่สาม ส่วนจะเป็นการคุกคามสื่อหรือไม่ ต้องหารือกับทาง ASTV ก่อน “ยืนยันว่า จะทำงานอย่างเต็มที่และจับคนก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดี พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดของ กทม.อีกหลายตัวในที่เกิดเหตุ เพราะอาจจะเห็นผู้ต้องสงสัยชัดเจนมากกว่านี้ ส่วนอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุน่าจะเป็นขนาด .22 มม. เพราะเป็นปืนขนาดเล็ก สังเกตได้จากรูกระสุน ประกอบกับเสียง พยานที่เป็น รปภ.บอกว่าได้ยินไม่ชัดเจน เสียงค่อนข้างเบา ดัง แป๊ะๆ 4 ครั้ง ส่วนรูกระสุนที่ชั้น 2 ของอาคารก็น่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน”
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาจี้ให้เจ้าหน้าที่เร่งหาคนที่ก่อเหตุยิงรถข่าว ASTV มาลงโทษโดยเร็ว เพราะเป็นการคุกคามสื่อ และว่า สื่อมวลชนต้องนำเสนอข้อเท็จจริงต่างๆ จึงอาจกระทบกับคนหลายวงการ ดังนั้นต้องช่วยกันปกป้องให้สื่อทำหน้าที่ด้วยความมั่นใจ
       
       ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกรณีมือมืดบุกยิงรถข่าว ASTV โดยชี้ว่า เป็นการกระทำที่อุกอาจ มุ่งข่มขู่คุกคามสื่อมวลชนโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเร่งจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคมไทย
       
       3. ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม.เปิดฉากแล้ว มีผู้สมัครทั้งสิ้น 25 คน “พงศพัศ” คว้าเบอร์ 9 ขณะที่ “สุขุมพันธุ์” ได้เบอร์ 16 !

       เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก สำหรับผู้ที่เดินทางมาลงทะเบียนเป็นคนแรก คือ นายวรัญชัย โชคชนะ ซึ่งมาตั้งแต่เวลา 05.16น. จากนั้นเวลาประมาณ 08.30น. นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้จับสลากรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิจับหมายเลขผู้สมัครก่อนหลังตามลำดับ โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 18 คน แต่ขาดคุณสมบัติ 1 คน และไม่มารายงานตัว 1 คน จึงเหลือ 16 คน
       
       ซึ่งผลการจับสลากของผู้สมัคร ปรากฏว่า นายวิละ อุดม ได้หมายเลข 1 ,นายวรัญชัย โชคชนะ หมายเลข 2 ,ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ หมายเลข 3 ,นายโสภณ พรโชคชัย หมายเลข 4 ,นายสมิตร สมิทธินันท์ หมายเลข 5 ,นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง หมายเลข 6 ,นายณัฏฐ์ดนัย ภูเบศอรรถวิชญ์ หมายเลข 7 ,นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล หมายเลข 8 , พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย(พท.) หมายเลข 9 ,นายโฆสิต สุวินิจจิต หมายเลข 10 , พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หมายเลข 11 ,ศ.จงจิตร์ หิรัญลาภ หมายเลข 12 ,นายวศิน ภิรมย์ หมายเลข 13 ,นายประทีป วัชรโชค หมายเลข 14 ,นางจำรัส อินทุมาร หมายเลข 15 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) หมายเลข 16 จากนั้น มีผู้มาสมัครเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายสุหฤท สยามวาลา หมายเลข 17 และนางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ หมายเลข 18
       
       ทั้งนี้ หลังปิดรับสมัครในวันที่ 25 ม.ค.แล้ว ปรากฏว่า มีผู้สมัครเพิ่มอีก 7 คน รวมเป็น 25 คน โดยผู้ที่มาสมัครเพิ่ม ประกอบด้วย นายสุขุม วงประสิทธิ์ หมายเลข 19 ,นายกฤษณ์ สุริยผล หมายเลข 20 ,นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ หมายเลข 21 ,นายศุภชัย เกษมวงศ์ หมายเลข 22 ,น.ส.รวิวรรณ สุทธิวีรสรรค์ หมายเลข 23 ,นายวิทยา จังกอบวัฒนา หมายเลข 24 และ พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ โกษะโยธิน หมายเลข 25
       
       ด้านนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร บอกว่า วันที่ 1 ก.พ.จะประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลังจากนั้นวันที่ 5 ก.พ.จะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
       
       สำหรับความรู้สึกของผู้สมัครกับหมายเลขที่ได้รับนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ บอกว่า การได้หมายเลข 9 ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะเลข 9 เป็นเลขมงคล และจะขอทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งจับได้หมายเลข 16 เผยว่า รู้สึกโล่งอกที่ได้หมายเลข 16 เพราะถ้าจับได้เลขสวยๆ อาจทำให้ข้าราชการ กทม.ถูกครหาว่าไม่มีความเป็นธรรมได้ และว่า การได้เลข 16 อาจเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 16 อีกสมัย อีกทั้งเลข 16 ก็ถือเป็นเลขดี เพราะเมื่อปี 2544 ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ก็ได้หมายเลข 16 และชนะการเลือกตั้งด้วย
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง พูดถึงการป้องปรามการซื้อสิทธิขายเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า ได้เตรียมชุดป้องปรามลงพื้นที่ทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ พร้อมชุดสืบสวนสอบสวน และว่า ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการซื้อเสียง เนื่องจาก กทม.มีเขตพื้นที่ใหญ่มาก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีมากถึง 4 ล้านกว่าคน ถ้าซื้อเสียง ต้องใช้เงินจำนวนมาก คงทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ ได้เตือนผู้สมัครว่า หาก กกต.จับได้ว่ามีการซื้อเสียง ผู้สมัครที่โดนใบแดงต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เตรียมกำลังตำรวจไว้สอดส่องการกระทำผิดในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 18,884 นาย
       
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไฟเขียวให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ทุกรายเข้าไปหาเสียงในค่ายทหารได้ โดยขอให้ติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ ซึ่งเริ่มมีการติดต่อเข้ามาบ้างแล้วและได้อนุญาตไป พร้อมย้ำว่า กำลังพลมีอิสระที่จะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ได้ ไม่มีการบังคับ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย กรณีหาเสียงเรื่องลดค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักร และค่าโดยสารรถเมล์ฟรี เรือข้ามฟากฟรีว่า อาจเข้าข่ายหาเสียงเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ เพราะสิ่งที่หาเสียงไม่ได้อยู่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม. และว่า กกต.จะต้องดูแล เพราะโดยหลักไม่น่าจะทำได้
       
       ด้าน พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม.ได้ออกมาบอกว่า ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนการหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศเข้ามา พร้อมพูดเหมือนเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า หากร้องเรียนเท็จต่อ กกต.ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้สมัคร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7-10 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี แต่หากผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิรวบรวมรายชื่อ 30,000 รายชื่อยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอให้ถอดถอนบุคคลนั้นออกจากตำแหน่ง เพื่อให้ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่
       
       ส่วนกรณีที่วันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.(3 มี.ค.) ตรงกับวันทดสอบแบบวัดความถนัดทั่วไป(GAT) และการทดสอบแบบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ(PAT) ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เด็กที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ต้องสอบ GAT - PAT ครั้งที่ 2-2556 ระหว่างวันที่ 2-5 มี.ค. ซึ่งมีประมาณ 6 พันคน ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ได้นั้น นายสัมพันธ์ พันธุ์ฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) บอกว่า ได้หารือกับนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) แล้ว เห็นตรงกันว่า จะไม่มีการเลื่อนสอบ GAT-PAT แต่จะใช้วิธีเพิ่มเวลาพักกลางวันเฉพาะวันที่ 3 มี.ค.อีก 1 ชั่วโมง จากเดิมพักหลังสอบตั้งแต่เวลา 11.30น.-13.00น. เป็น 11.30น.-14.00น. เพื่อให้เด็กไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกลับมาสอบช่วงบ่ายได้ทัน โดยจะเสนอเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุม สทศ.เห็นชอบอีกครั้งในวันที่ 30 ม.ค. “กลุ่มนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบคือ ผู้ที่ต้องเข้าสอบ 2 วิชา ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ซึ่งมีจำนวน 2,821 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ใกล้สนามสอบ เพื่อขอความร่วมมือโรงเรียนที่เป็นสนามสอบจัดรถรับส่งนักเรียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อไป”
       
       4. ศาล พิพากษาจำคุก “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” 10 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง พร้อมไม่อนุญาตประกันตัว เหตุมีพฤติการณ์หลบหนี!

       เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ (VOICE OF TAKSIN) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 ก.พ.-13 มี.ค.2553 จำเลย ซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือน ก.พ.2553 ที่ตีพิมพ์บทความคมความคิดของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่อง แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น โดยเนื้อหาบทความสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง
       
        หลังจากนั้น ระหว่างวันที่ 1-15 มี.ค.2553 จำเลยยังจัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก เดือน มี.ค.2553 ที่พิมพ์บทความคมความคิดของ จิตร พลจันทร์ อีก เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 โดยเนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง และทรงมีพฤติการณ์ในการควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของประเทศไทยหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริง ทั้งนี้ อัยการขอให้ศาลนำโทษที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลยในคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร มาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย
       
        ด้านจำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีว่า ตนเป็นเพียงลูกจ้างในนิตยสารดังกล่าวและไม่ได้มีเจตนา พร้อมอ้างว่า เจ้าของนามปากกา จิตร พลจันทร์ ที่เขียนบทความ คือนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เขียนบทความส่งมายังนิตยสารดังกล่าวเป็นประจำและได้มีการตีพิมพ์หลายครั้ง จำเลยยังอ้างด้วยว่า ตนอ่านบทความแล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น และเป็นการกล่าวเตือนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
       
        ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหาษัตริย์ ด้วยการจัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณที่มีบทความดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่จำเลยสู้ว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มีบทบัญญัติยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ซึ่งในฐานะบรรณาธิการไม่ต้องรับผิด ดังนั้นจำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยพ้นผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 เท่านั้น ส่วนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ถูกยกเลิกโดยผลของกฎหมายดังกล่าว
       
        ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่ใช่ผู้เขียนบทความดังกล่าว ศาลเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ด้วยการจัดพิมพ์ จำหน่ายนิตยสารที่มีบทความดังกล่าว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่ใช่การกระทำที่ถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม ศาลมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งโจทก์มีพยานเป็นลูกจ้างของนิตยสาร 4 ปาก เบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยเป็นบรรณาธิการนิตยสารขณะที่มีการตีพิมพ์ฉบับที่ 4-20 และจำเลยเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาลงบทความแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งดูแลการเงิน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่รับจ้างทำแม่พิมพ์และผู้รับจัดจำหน่ายนิตยสาร เบิกความด้วยว่า ในการจัดจำหน่ายได้มีการติดต่อกับตัวจำเลยเอง รวมทั้งมีนายทหาร 2 นาย ,นายธงทอง จันทรางศุ และบรรณารักษ์ ที่ได้อ่านบทความดังกล่าว และเบิกความทำนองเดียวกันว่า บทความสื่อถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีการย้อนไป 200 กว่าปี ซึ่งสอดคล้องเชื่อมโยงกับบันทึกในพระราชพงศาวดารและที่มีการเรียนรู้ทั่วไปเกี่ยวกับราชวงศ์ ซึ่งทำให้เข้าใจว่าบทความสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
       
        ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า แม้บทความทั้ง 2 ฉบับจะไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต และสามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงมีอำนาจเหนือรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือน และเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความรุนแรง คำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยที่เป็นนักวิชาการที่อ้างว่าไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ แต่หมายถึงกลุ่มอำมาตย์ จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
       
        นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า จำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีรัฐศาสตร์ เคยทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน และเป็นถึงบรรณาธิการบริหาร รวมทั้งสื่อมวลชน ย่อมต้องวิเคราะห์เนื้อหาก่อนที่จะเผยแพร่ การที่จำเลยนำบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ จึงมีเจตนาหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และเมื่อมีการจัดพิมพ์บทความในนิตยสารดังกล่าวถึง 2 ฉบับ จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงพิพากษาลงโทษเป็นกระทงความผิดไป โดยให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวม 10 ปี และบวกโทษอีก 1 ปีในคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ที่ศาลพิพากษาแล้ว รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายคารม พลพรกลาง 1 ในทีมทนายความของนายสมยศ บอกว่า โทษที่ศาลพิพากษาจำคุกกระทงละ 5 ปี ถือว่าสูงกว่าโทษขั้นต่ำ แต่ยังไม่สูงมาก โดยมาตรา 112 กำหนดอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี ดังนั้น 5 ปีที่ศาลพิพากษา จึงอยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของอัตราโทษสูงสุด พร้อมย้ำว่า จำเลยจะสู้คดีต่อไป โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเสื้อแดงบางส่วนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ศาลลงโทษนายสมยศหนักกว่านายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก รวมทั้งกรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายสมยศ ซึ่งนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกมาชี้แจงว่า เหตุที่ศาลพิพากษาจำคุกนายสมยศหนักกว่านายยศวริศ เนื่องจากได้พิจารณาถึงความหนักเบาของพฤติการณ์ของจำเลยแล้ว เห็นว่า การปราศรัยของนายยศวริศมีความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ต่อสถาบันน้อยกว่านายสมยศ ส่วนสาเหตุที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายสมยศ เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนี โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะกำลังหลบหนีออกนอกประเทศ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มกราคม 2556

6900
1.“ประยุทธ์” ขอโทษสังคม-ASTVผู้จัดการที่วีนใส่ ยัน แม้ตนเสียงดัง แต่ใจดี ด้าน “สนธิ” ลั่น ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดตรวจสอบ!

       ความคืบหน้าหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ถูกผู้สื่อข่าวซักถามเรื่องกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะชุมนุมใหญ่วันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจผิดคิดว่าพันธมิตรฯ จะชุมนุม พร้อมเกิดอาการเหวี่ยงวีน กล่าวหาว่าสื่อเครือผู้จัดการเขียนข่าวห่วย กระทั่งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงพร้อมถามกลับว่า ASTVผู้จัดการ เขียนข่าวห่วย หรือผู้บัญชาการทหารบกที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ห่วยกันแน่ จากนั้นได้มีทหารตบเท้าบุกสำนักงานผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ 2 วันซ้อน เพื่อแสดงความไม่พอใจ พร้อมเรียกร้องให้ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อทุกรูปแบบ พร้อมขอให้ ผบ.ทบ.รับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนบ้าง
       
        ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวระหว่างให้โอวาทกำลังพลเนื่องในวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี โดยขอโทษสังคมที่ตนหงุดหงิดไปหน่อยในช่วงที่ผ่านมา “ผมต้องขอโทษสังคมว่า อาจแสดงกิริยาหงุดหงิดไปหน่อย แต่ผมพูดแบบทหาร พูดแรงไปนิดหน่อย ต้องรู้จักนิสัยผม ส่วนทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์ ASTVผู้จัดการนั้น ก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป ไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป”
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบโต้ พร้อมถือโอกาสขอโทษ ASTVผู้จัดการด้วย โดยบอกว่า ขอโทษด้วยถ้ารู้สึกว่า ดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ตนควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่า แม้ตนเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี ...อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่าจะจิกตีกันไปทำไม ตนไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นตนออกมานอกเข่งดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้มีการห้ามนักข่าว ASTVผู้จัดการเข้าทำข่าวในกองทัพบก
       
        ด้าน ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป พร้อมชี้ว่า ทางออกของการคลี่คลายปัญหา ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง เพราะ ASTVผู้จัดการไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคามนั้น และว่า ASTVผู้จัดการ จะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพและผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปอย่างตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรงเต็มกำลัง และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน “เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่ กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาหารทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
       
        แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึงกำลังพลในกองทัพด้วยว่า “ASTVผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น”
       
        ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขอโทษสังคมและ ASTVผู้จัดการว่า ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดทำหน้าที่หาความจริงมาให้ประชาชน “ผมก็ต้องขอขอบคุณที่คุณประยุทธ์ขอโทษขอโพยมา ไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษ ไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือการหาความจริงมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไรสังคมไม่ได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใส และไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์ นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้”
       
       2. ศาล สั่งจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก” 3 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง ไม่รอลงอาญา ก่อนอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวสู้คดีชั้นอุทธรณ์!

       เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 ,8 และ 12
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2553 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ยุบสภาของอภิสิทธิ์นี่มันยากเพราะอะไร เพราะปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอม ผมก็ไม่รู้ ไม่กล้าพูด แต่พี่น้องอยู่ที่นี่ (นายยศวริศใช้มือจับปากของตัวเองและกิริยาที่สื่อให้ผู้ฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ... เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่ง-เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สอง-พรรคร่วมรัฐบาล สาม-ทหาร สี่-สุเทพ ห้า-เนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” ซึ่งคำพูดของจำเลยย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อยู่เบื้องหลังไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ พร้อมขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีก่อการร้ายด้วย ซึ่งตอนแรกจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธและสู้คดี
       
        ด้านศาล พิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่า คำพูดของจำเลยที่บอกว่า “จะมีเหนือกว่านั้น ผมก็ไม่รู้ หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม ผมก็ไม่ทราบ” อาจทำให้ประชาชนเข้าใจว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง พล.อ.เปรม เป็นองคมนตรี จึงมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เข้าใจว่า พระองค์ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่
       
        ขณะที่จำเลยระบุว่า เหตุที่ต้องกล่าวโจมตีและเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เพราะเชื่อว่า พล.อ.เปรม มีส่วนร่วมกับคณะรัฐประหาร และเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนพระมหากษัตริย์ ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนคำพูดที่ว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม” นายยศวริศ อ้างว่า เป็นการพูดเชิงตลก ทำให้เกิดความครึกครื้น โดยไม่ได้หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนคำพูดที่ว่า “และอาจมีเหนือกว่านั้น” นายยศวริศ ก็อ้างว่า หมายถึงสิ่งของ ไม่ใช่บุคคล
       
        ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คำปราศรัยของจำเลยจะไม่ได้ระบุถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง แต่เมื่อดูพฤติการณ์ของจำเลยขณะกล่าวคำปราศรัยที่ใช้มือจับปากตัวเอง สื่อให้เห็นว่า ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่าหรืออยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม ซึ่งผู้นั้นต้องมีศักดิ์ฐานะที่สูงอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นจำเลยต้องระบุชื่อบุคคลเหล่านั้นออกมาแล้ว นอกจากนี้ตำแหน่งประธานองคมนตรี ของ พล.อ.เปรม นั้น เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจแปลเจตนาจำเลยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากมีเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 112 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตาม ในทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงมีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายยศวริศมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมเงินสด 5 แสนบาทไว้ยื่นประกันตัว หาก 5 แสนไม่พอ ได้เตรียมใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของนายณัฐวุฒิด้วย นายยศวริศ ยังยืนยันด้วยว่า ตนมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่ผ่านมาเคยเป็นคณะกรรมการจัดงานฉลองพระเกียรติเฉลิมพระชนมพรรษามา 20 ปี ขาดไปแค่ 2 ปีเท่านั้นที่ตนไม่ได้เป็นผู้จัดงาน
       
        ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท
       
        ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. อ้างว่า การที่ศาลพิพากษาจำคุกนายยศวริศคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แสดงให้เห็นว่า มาตรา 112 เป็นปัญหาต่อคนวงกว้างในสังคมไทย และว่า ยิ่งมีคนโดนคดีตามมาตรา 112 มาก ยิ่งไม่ดี จะส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
       
       3. กกต.เปิดรับสมัครผู้ว่าฯ กทม.21-25 ม.ค. ขณะที่ พท.มีมติส่ง “พงศพัศ” ด้าน ตร.อ้าง ปชต.เก็บตำแหน่งไว้ให้ เผื่อพ่ายเลือกตั้ง!

       เมื่อวันที่ 13 ม.ค. คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้มีมติเอกฉันท์ส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนที่ พล.ต.อ.พงศพัศ จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในวันต่อมา(14 ม.ค.) และแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 15 ม.ค.
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 ม.ค. เพื่ออำลาตำแหน่งราชการและลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. โดย พล.ต.อ.พงศพัศ เผยว่า ได้บอกกับนายกฯ ว่า แม้ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ แต่มีใจเต็มร้อยในการทำงาน และว่า นายกฯ ได้ให้นโยบายการทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ และให้บอกกับประชาชนว่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนนโยบายอย่างไร
       
        จากนั้นวันที่ 15 ม.ค. พล.ต.อ.พงศพัศ ได้ไปอำลาตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. ซึ่งวันเดียวกัน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยังไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อไปลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แต่อย่างใด
       
       อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(16 ม.ค.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบออกมายืนยันว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.แล้ว และมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา และว่า ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง จะยังไม่ตั้งใครมาแทน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากมีบุคลากรสมัครใจจะไปเลือกตั้งก็สามารถไปได้ โดยมีนโนบายว่า หากไม่ได้รับการเลือกตั้ง ก็จะรับกลับมาในตำแหน่งเดิมทันที ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส.นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ บอกว่า ต้องรอหารือกันอีกครั้ง
       
        ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค เผยว่า นายกฯ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรค จะใช้เวลาก่อนและหลังราชการลงพื้นที่ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงเลือกตั้ง
       
        ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า สิ่งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค มีความเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นและจะทำให้คน กทม.เลือกก็คือ ประสบการณ์การทำงาน ทั้งยังเคยเป็น ส.ส.และผู้ว่าฯ กทม.มาก่อน คลุกคลีกับประชาชน มองเห็นลู่ทางและเข้าใจปัญหาใน กทม.ดี
       
        ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้กำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค.ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 08.30น.-16.30น. และเลือกตั้งในวันที่ 3 มี.ค.
       
       ทั้งนี้ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.ประจำกรุงเทพมหานคร เตือนว่า ในวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้สมัครสามารถจัดกองเชียร์ไปสนับสนุนได้ แต่ต้องระวังไม่ให้เข้าข่ายการจัดมหรสพ รื่นเริง พร้อมห่วงเรื่องการหาเสียงใส่ร้าย จึงอยากให้ผู้สมัครศึกษากฎหมายให้ดี และต้องอบรมผู้ช่วยหาเสียงให้รู้จักกฎหมายเลือกตั้งด้วย เพราะหากผู้ช่วยหาเสียงกระทำผิดขึ้นมา ผู้สมัครจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ กกต.จะสั่งให้เลือกตั้งใหม่หรือใบเหลือง นอกจากนี้ กกต.ยังเปิดโอกาสให้ผู้สมัครหาเสียงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทุกประเภท แต่หากมีการโพสต์ใส่ร้ายผู้สมัคร นอกจากจะทำให้ผู้สมัครที่ตนเองสนับสนุนถูกใบเหลืองใบแดงแล้ว ผู้โพสต์ยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 118 ซึ่งมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท ยังไม่รวมความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย
       
       ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาว่าต้องคดีขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา และมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อรับพระราชทานยศ พล.ต.ต.นั้น เจ้าตัวได้เข้ายื่นเอกสารต่อ กกต.แล้วเมื่อวันที่ 16 ม.ค. โดยยืนยันว่า ผลการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งให้ยุติเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2543 ผลสรุปว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเปลี่ยนชื่อนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ชี้แจงว่า ตนได้ติดยศ พ.ต.อ.ตั้งแต่ปี 2538 ในชื่อ พ.ต.อ.ไพรัช พงษ์เจริญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พล.ต.ต.ในปี 2540 ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมอยู่ กระทั่งปี 2541 เห็นว่าเรื่องร้ายๆ ที่เจอผ่านพ้นไปแล้ว ภรรยาจึงขอให้เปลี่ยนชื่อ จึงได้เปลี่ยนมาเป็น พงศพัศ
       
       พล.ต.อ.พงศพัศ ยังพูดเหมือนขู่ไม่ให้ใครนำประเด็นเรื่องขโมยวิทยุและเรื่องเปลี่ยนชื่อมากล่าวหาตนอีก “ผมถูกให้ร้ายมานับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรมาก แต่เผอิญขณะนี้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาอยู่ว่ามีบางจุดที่เป็นปัญหา ผมขอว่าไม่ให้พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะนำมาให้กับ กกต.เอง เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะเป็นห่วงสื่อมวลชนและน้องๆ ที่ไปโพสต์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์กโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า อาจจะถูกดำเนินคดีได้”
       
        ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้วางกำหนดการปราศรัยใหญ่เพื่อหาเสียงให้ พล.ต.อ.พงศพัศแล้ว โดยวันที่ 21 ม.ค. หลังเข้าสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว จะมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. หลังจากนั้นวันที่ 25 ม.ค. ปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ ,15 ก.พ.ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 ,22 ก.พ.ที่การเคหะฯ บางกะปิ และ 2 มี.ค.ปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายที่สวนลุมพินี
       
        ขณะที่ กกต.ได้ออกมาเตือนข้าราชการห้ามช่วยผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หาเสียง โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า “กกต.อยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความเป็นกลาง จึงขอให้มีการกำชับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงข้าราชการการเมืองที่ไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน จะหาเสียงเป็นคุณเป็นโทษให้กับผู้สมัครไม่ได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา กกต.กลางเคยมีหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทยขอให้มีการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่พบว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้สมัครมาแล้ว”
       
       4. วุฒิสภา ไม่เห็นชอบ “อุดม มั่งมีดี” นั่ง ป.ป.ท. เหตุไม่เป็นกลาง-เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงมาก่อน!

       เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาวาระให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายอุดม มั่งมีดี ผู้ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ท.แล้วเสร็จ
       
        ทั้งนี้ หลังที่ประชุมซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ได้ใช้เวลาประชุมพิจารณาและลงคะแนนลับเรื่องดังกล่าวกว่า 2 ชั่วโมง ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบให้นายอุดมเป็นกรรมการ ป.ป.ท. ด้วยคะแนน 67 ต่อ 51 ไม่ออกเสียง 3 คะแนน
       
        นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.สามัญตรวจสอบประวัติฯ เผยว่า หลังจากนี้ วุฒิสภาจะแจ้งผลลงมติดังกล่าวให้ ครม.ทราบ เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาใหม่ ส่วนที่ ส.ว.ไม่เห็นชอบนายอุดมนั้น นายอนุรักษ์ เชื่อว่า เป็นการใช้ดุลพินิจอย่างอิสระของ ส.ว.แต่ละคน และว่า กรณีของนายอุดม นับเป็นครั้งแรกที่วุฒิสภาลงมติไม่เห็นชอบตามที่ ครม.เสนอ
       
        ทั้งนี้ นายอุดมเป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และเคยขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดงมาก่อน ซึ่งในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านเคยท้วงติงเรื่องความไม่เป็นกลางของนายอุดมแล้ว แต่สภาเสียงข้างมากเห็นชอบให้เสนอชื่อนายอุดม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถผ่านความเห็นชอบในชั้นวุฒิสภาได้

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 มกราคม 2556

หน้า: 1 ... 458 459 [460] 461 462 ... 653