แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 456 457 [458] 459 460 ... 653
6856
1."สุขุมพันธุ์" คว้าชัย ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.ต่ออีกสมัย ด้วยคะแนน 1.2 ล้านเสียง ทิ้งห่าง "พงศพัศ" 1.7 แสนคะแนน พร้อมทุบสถิติยุค "สมัคร"!

       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พูดถึงการลงพื้นที่ช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายว่า มีคนบอกว่าห้ามแพ้การเลือกตั้ง เพราะจะทำให้ประเทศไทยไม่เหลืออะไร แสดงว่ามีคนที่เป็นห่วงเรื่องการกินรวบประเทศอยู่พอสมควร นายอภิสิทธิ์ ยังแฉด้วยว่า ขณะนี้มีการใช้อำนาจรัฐถึงขั้นที่ว่า หากทราบว่าใครสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะติดตามถ่ายรูป เรียกตัวเขามาสอบ และดำเนินการอีกหลายอย่าง แต่ไม่เป็นอะไร พวกตนพร้อมสู้ และหวังว่า คน กทม.จะให้คำตอบว่าการใช้อำนาจรัฐแบบนี้ จะเจอกับอะไร
       
       ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. ขอให้ตรวจสอบการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยหาเสียง เนื่องจากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 60 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 พร้อมกันนี้กลุ่มกรีนได้นำหลักฐานและเอกสารการถอดเทปคำปราศรัยของนายกฯ และ ครม.ที่ขึ้นปราศรัยหาเสียงมอบให้ กกต.กทม.ตรวจสอบด้วย
       
       ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเปิดใจทั้งน้ำตาเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ว่า “ที่ผ่านมาถือเป็นความฝันอันสูงสุดที่ได้ทำงานรับใช้ประชาชน ถ้าจะหยุดหายใจนาทีนี้ คิดว่าชีวิตของตัวเองก็คุ้มค่าแล้ว เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยคิดว่าจะไปทำงานที่อื่น” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังบอกด้วยว่า ตนอาจจะไม่หล่อ พูดไม่เป็น แต่เรื่องทุ่มเทไม่มีปัญหา เพราะเอาคนกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งในการทำงาน มีความซื่อตรงในสายเลือด มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นเสาหลักในชีวิต พร้อมย้ำว่า 4 ปีที่ผ่านมา ตนได้พิสูจน์แล้วว่า ทำงานปกป้องผลประโยชน์คนกรุงเทพฯ ได้
       
       ด้านนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัด กทม.พูดถึงการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า หลังปิดหีบในเวลา 15.00น.แล้ว หากไม่มีการร้องคัดค้านหรือการประท้วงใดใด น่าจะทราบผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลาประมาณ 19.00น.
       
       ล่าสุด เมื่อเวลา 20.00น. วันที่ 3 มี.ค.ทราบผลการนับคะแนนทั้ง 50 เขต ครบ 100% แล้ว ปรากฏว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัย ด้วยคะแนน 1,256,231 เสียง ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้ 1,077,899 เสียง ส่วนผู้ที่ตามมาอันดับสาม คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ ได้ 166,582 เสียง อันดับสี่ นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระ ได้ 78,825 เสียง และนายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระ ได้ 28,640 เสียง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ทำให้โพล 4 สำนักหน้าแตก ประกอบด้วย สวนดุสิตโพล ,กรุงเทพโพล ,เอแบคโพลล์ ,บ้านสมเด็จโพล เพราะสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีเพียงสำนักเดียวที่ผลโพลถูกต้อง คือ นิด้าโพล ที่ระบุว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 43.16 ต่อ 41.45
       
       อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ สามารถทำลายสถิติคะแนนเลือกตั้งเกิน 1 ล้านเสียงที่นายสมัคร สุนทรเวช ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย เคยได้ 1,016,096 คะแนน เมื่อปี 2543
       
       สำหรับยอดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 2,715,640 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 4,244,465 คน หรือคิดเป็น 63.98% โดยเขตทวีวัฒนามีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 72% ขณะที่เขตดุสิตมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยสุด 56.85%
       
       2.รัฐบาล-สมช.บินมาเลเซียลงนามเจรจา “บีอาร์เอ็น” หวังยุติไฟใต้ ด้าน “ถวิล” ติง ผลีผลามยกระดับปัญหา!

       หลังโจรใต้ก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่า ล่าสุด สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ของไทยได้ลงนามเพื่อเปิดการเจรจากับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่เชื่อว่าเป็น 1 ในกลุ่มที่ก่อเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ,พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.สฤษดิ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เพื่อร่วมพิธีลงนามความเห็นพ้องทั่วไปเพื่อร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับแกนนำขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี(กลุ่มบีอาร์เอ็น) ประกอบด้วย นายฮัสซัน ตอยิบ หรือนายอาแซ เจ๊ะหลง รองเลขาธิการฯ และหัวหน้าสภาการเมืองของกลุ่มบีอาร์เอ็น ,นายอาแว ยะบะ เลขานุการฝ่ายต่างประเทศ ,นายอับดุลเลาะห์ มาหะมะ ระดับนำฝ่ายอูลามา และนายอับดุลเลาะห์มาน ยะบะ ระดับนำฝ่ายการเมือง โดยมี พล.อ.ตันสรี ดาโต๊ะสรี บิน โมฮัมเหม็ด ซิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน โดยการลงนามครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปประชุมที่มาเลเซียในช่วงสายวันเดียวกัน
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยรัฐมนตรีหลายคน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 (บน.6) เพื่อไปร่วมประชุมประจำปีระหว่างไทยและมาเลเซีย ผู้สื่อข่าวได้ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกระแสข่าวเลขาธิการ สมช.ไปลงนามข้อตกลงกับแกนนำบีอาร์เอ็นจริงหรือไม่ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบคำถาม โดยบอกแค่ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) 2 ฉบับ คือ ความร่วมมือเรื่องข้ามแดน และความร่วมมือด้านกีฬา
       
       กระทั่งหลังหารือทวิภาคีกับนายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งสองฝ่ายได้เปิดแถลงร่วมกัน โดยนายนาจิบ แถลงว่า มีความยินดีที่จะอำนวยความสะกวกให้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างเจ้าหน้าที่ของไทยกับผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าหลังจากนี้จะนำไปสู่การพูดคุย พร้อมแสดงความยินดีที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยได้หารือกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นและมีการลงนามในกระบวนการเจรจาเพื่อยุติปัญหา นอกจากนี้นายนาจิบยังแสดงความชื่นชมนายกรัฐมนตรีไทยที่ผลักดันให้เกิดการเจรจาได้
       
       นายนาจิบ ยังบอกอีกว่า อยากเห็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาและเติบโต พร้อมคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองฝ่าย นายนาจิบ ยังขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีส่วนในการประสานให้เกิดการเจรจาครั้งนี้ด้วย
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กลับมาแถลงข่าวอีกครั้งในประเทศไทย โดยยืนยันว่า มาเลเซียไม่สนับสนุนให้ผู้ก่อความไม่สงบใช้ความรุนแรงและแบ่งแยกดินแดน รวมถึงการใช้พื้นที่ประเทศมาเลเซียในการหลบหนี และว่า ครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นพูดคุยก่อนไปถึงการเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนหนึ่งที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ
       
       ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ให้สัมภาษณ์ โดยยอมรับว่า ตนเป็นผู้นำคณะในการลงนามกับกลุ่มตัวแทนบีอาร์เอ็น 4 คน โดยมีข้อตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อนำไปสู่สันติสุข และว่า หลังจากนี้จะมีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นบนเวทีเพื่อให้เกิดสันติภาพ
       
       ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตเลขาธิการ สมช. ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงการลงนามสันติภาพระหว่างเลขาธิการ สมช.กับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ทำถูกคนหรือไม่ แกนนำดังกล่าวเป็นตัวแทนของกลุ่มที่ก่อความไม่สงบจริงหรือไม่ เพราะทราบดีว่ามีหลายกลุ่ม และการพูดคุยกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอันตรายเกินไป ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าการเจรจากับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วเรื่องจะจบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลดำเนินการแบบรวดเร็ว และยกระดับผลีผลามเกินไป น่าจะสร้างมาตรฐานการไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรัฐบาลและ สมช.ไปลงนามสันติภาพกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าวจึงถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า นายกฯ เพิ่งไปหารือที่มาเลเซียเพียงวันเดียว ก็เกิดเหตุการณ์จักรยานยนต์บอมบ์ที่ จ.นราธิวาส ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รีบออกตัวว่า การเริ่มพูดคุย ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหยุดเหตุได้ทันที พร้อมอ้างว่า เหตุไม่สงบที่เกิดขึ้น เกิดตามปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่การตอบโต้การเจรจาสันติภาพกับแกนนำบีอาร์เอ็นแต่อย่างใด
       
       3.ป.ป.ช. อายัดทรัพย์สิน “พล.อ.เสถียร” อดีตปลัด กห. 65 ล้าน ฐานร่ำรวยผิดปกติ รอเจ้าตัวชี้แจงใน 30 วัน!

       เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม(กห.) ร่ำรวยผิดปกติ แถลงว่า ป.ป.ช.ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร เนื่องจากไต่สวนพบว่า พล.อ.เสถียร มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีการโอน ยักย้าย หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ น.ส.ณิชาพัฒน์ เพิ่มทองอินทร์ บุตรบุญธรรม เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินแทน
       
       นอกจากนี้ยังพบว่า มีการทำนิติกรรมอำพรางในชื่อบุคคลอื่นด้วย โดยอนุกรรมการไต่สวนพบว่า สมัย พล.อ.เสถียรเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเงินไหลเข้าบัญชีกว่า 10 ล้านบาท และเงินไหลเข้าบัญชีนางณัฐนิชาช์ ภริยา และ น.ส.ณิชาพัฒน์ กว่า 100 ล้านบาท ในปี 2553 รวมทั้งมีการซื้อขาย โอนที่ดินจำนวนมาก เกินกว่าฐานะที่ภริยาและบุตรบุญธรรมจะพึงมี จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลเข้าดังกล่าวน่าจะมาจากเงินของ พล.อ.เสถียร “การไต่สวนยังพบว่า มีการนำเงินไปฝากไว้กับนายสมบัติ จันทรวงษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของ น.ส.ณิชาพัฒน์ ในการทำปริญญาเอก จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งนายสมบัติได้นำเงินไปฝากที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.4 บัญชี โดยยอมรับว่า ภริยา พล.อ.เสถียรนำเงินมาฝากไว้ อ้างว่ามีปัญหาครอบครัว ขอนำเงินมาฝากไว้ชั่วคราว จึงยอมรับฝากเงินไว้ เท่ากับว่านายสมบัติเป็นนอมินี”
       
       ป.ป.ช.จึงมีมติให้อายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เสถียร ไว้ชั่วคราวจำนวน 65 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มีบัญชีเงินฝาก 18 ล้านบาท ที่นายสมบัติฝากไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.ด้วย ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือแจ้งให้ พล.อ.เสถียร ทราบและเข้าชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช.
       
       นายวิชา ยังเผยด้วยว่า สำหรับนอมินีที่ถือครองทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร นอกจากนายสมบัติแล้ว ยังพบว่ามีบุคคลอื่นร่วมเป็นนอมินีด้วย โดย ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบว่ามีใครบ้าง นายวิชา ยังยืนยันด้วยว่า คดีนี้ถือเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ที่ตรวจสอบพบความผิดปกติในบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร จึงไปติดตามตรวจค้น ไม่ได้มีใครร้องเรียนมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบแต่อย่างใด
       
       นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ตรวจสอบพบ พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ สมัยดำรงตำแหน่งกรรมการองค์การคลังสินค้า ปี 2550-2551 รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 14 ล้านบาท ป.ป.ช.จึงได้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ เพื่อไม่ให้ พล.อ.เสถียรดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี และให้ลงโทษทางอาญาด้วย
       
       ทั้งนี้ 2 วันต่อมา(28 ก.พ.) นายสมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.กรณีถูกกล่าวหาเป็นนอมินีรับฝากเงินจากนางณัฐนิชาช์ ภริยา พล.อ.เสถียร 18 ล้านบาท โดยยอมรับว่า รับฝากเงินจากนางณัฐณิชาช์จริง แต่ไม่รู้จัก พล.อ.เสถียร เป็นการส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่รับฝากเงิน เนื่องจากนางณัฐณิชาช์อ้างว่า มีปัญหาครอบครัว เมื่อปี 2554 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.เสถียรยังไม่ได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม จึงไม่เอะใจว่าเงิน 18 ล้านมาจากอะไร เพราะสนิทกันมาก รู้จักกันมา 7-8 ปี ซึ่งต่อมา นางณัฐณิชาช์ได้ถอนเงินคืนไปซื้อที่ดิน โดยใช้ชื่อตนเป็นหุ้นส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องสินสมรส เมื่อขายที่ดินได้ 27 ล้าน นางณัฐณิชาช์ได้นำเช็คสั่งจ่ายในนามบริษัท สยามโกลบอล เฮาส์ จำกัด มาให้ตน เพราะมีชื่อเป็นหุ้นส่วนอยู่ จึงนำไปฝากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ. เพราะสะดวกที่สุดที่จะนำเงินสดมาคืนให้ โดยทยอยถอนเงินสดคืนนางณัฐณิชาช์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
       นายสมบัติยังได้ขอให้ ป.ป.ช.ยกเลิกการอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัวของตนที่มีเงินอยู่ 6 แสนกว่าบาทด้วย พร้อมเผยว่า จะแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นอาจารย์ต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ แต่ให้มีผลสิ้นเดือน เม.ย. เพื่อจัดการคะแนนสอบของนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน
       
       ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. พูดถึงกรณีที่นายสมบัติขอให้ ป.ป.ช.ถอนอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัว 6 แสนกว่าบาทว่า ป.ป.ช.ได้ถอนการอายัดให้ เพราะนายสมบัติสามารถชี้แจงที่มาของเงินจำนวนนี้ได้ และว่า นายสมบัติให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ดีมาก เบื้องต้นถือว่าบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่มีข้อมูลชี้ว่ามีความผิดอะไร ทั้งนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างรอ พล.อ.เสถียรเข้าชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกอายัด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.อ.เสถียร อยู่ระหว่างเดินทางไปกับคณะแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ยังไม่ทราบกำหนดกลับ
       
       4.ศาล ยกฟ้อง “สนธิ-แกนนำพันธมิตรฯ” คดี “ทักษิณ” ฟ้องหมิ่น ออกปฏิญญาปี ’51 ชี้ เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม!

       เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ศาลจังหวัดมีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท
       
       คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันหมิ่นประมาท โดยประกาศปฏิญญาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2551 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุทำนองว่า โจทก์บริหารประเทศโดยไม่สุจริต กดขี่ ข่มเหง เข่นฆ่าประชาชน และไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
       
       ขณะที่จำเลยทั้งหกนำสืบว่า สาเหตุที่ต้องประกาศปฏิญญาร่วมกัน เนื่องจากขณะนั้นรัฐบาลซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคบางคนถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้ง และแก้ไขมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ตรวจสอบและชี้มูลความผิดโจทก์และพวกพ้อง คำปฏิญญาดังกล่าวจึงมีขึ้นเพื่อตักเตือนรัฐบาลนายสมัคร ไม่ให้เป็นหุ่นเชิดของโจทก์ เนื่องจากพฤติกรรมของโจทก์สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง โดยหลอกลวงประชาชนว่าจะแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปภายใน 6 ปี แต่นอกจากความยากจนจะไม่หมดไปแล้ว โจทก์กับพวกกลับร่ำรวยมากขึ้น ซึ่งภายหลังทรัพย์ของโจทก์และพวกได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ นอกจากนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ยังได้พิพากษาจำคุกโจทก์ 2 ปี ฐานกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
       
       ไม่เท่านั้น โจทก์ยังใช้นโยบายปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแข็งกร้าว โดยรายงานของวุฒิสภาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวประมาณ 2,600 คน นอกจากนี้ยังมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนและพวกพ้องของโจทก์ ขณะที่ คตส.ได้ตรวจสอบพบการทุจริตของโจทก์และพวกพ้องหลายโครงการ
       
       ด้านศาลพิจารณาข้อนำสืบของจำเลยแล้วเห็นว่า สมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์บริหารประเทศไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง ทำให้โจทก์และพวกร่ำรวยขึ้น แม้โจทก์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ให้ริบทรัพย์สินของโจทก์กับพวกฐานร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ก็แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติกรรมบริหารประเทศส่อไปในทางไม่สุจริตจริง ส่วนข้อความที่กล่าวหาโจทก์ว่า กดขี่ ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนั้น สืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของโจทก์ที่แข็งกร้าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวถึง 2,600 คน
       
       ส่วนข้อความที่กล่าวหาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ศาลเห็นว่า จากการนำสืบของจำเลย แสดงให้เห็นว่า หลังจากโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศหลายแขนงอย่างต่อเนื่องว่า “ตนเองเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง” และ “บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อถือในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย” พฤติกรรมของโจทก์ย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้โจทก์ยังแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการสนับสนุนคนใกล้ชิดกับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูง ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า โจทก์อยู่เบื้องหลังการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
       
       การที่จำเลยที่ 1-4 นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์มาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นวิสัยของประชาชนที่ทำได้ เพราะโจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะ การวิพากษ์วิจารณ์ของจำเลยเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ในฐานะประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 1-4 ไม่ผิด จำเลยที่ 5-6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ย่อมไม่มีความผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
       
       5.ศาลแพ่ง สั่ง “เทเวศประกันภัย” จ่ายชดเชย “เซ็นทรัลเวิลด์” 3.7 พันล้าน กรณีถูกเผาช่วงเสื้อแดงชุมนุม ด้านเทเวศฯ ยัน ไม่กระทบสถานะบริษัท!

เหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ (19 พ.ค.53)
       จากกรณีที่ได้มีการเผาบ้านเผาเมืองระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็น 1 ในสถานที่ที่ถูกเผา ได้ยื่นฟ้องบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากอัคคีภัย แต่เทเวศประกันภัยต่อสู้ว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งกรมธรรม์ไม่คุ้มครองนั้น
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลแพ่งได้พิพากษาว่า เทเวศประกันภัยต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ เพราะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่ใช่กรณีก่อการร้าย แต่อยู่ในข่าย “จลาจล”ซึ่งเป็นภัยที่ได้รับการคุ้มครองจากกรมธรรม์ ดังนั้น ศาลจึงพิพากษาให้เทเวศประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 2,719,734,979.29 บาท และชดเชยความเสียหายต่อธุรกิจอีกจำนวน 989,848,850.01 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 31 มีนาคม 2554 จนกว่าจะชำระครบถ้วน รวมทั้งค่าทนายความอีก 60,000 บาท
       
        ด้านบริษัท เทเวศประกันภัย ได้ออกคำชี้แจงหลังทราบคำพิพากษาของศาล โดยยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยด้วยหลักธรรมาภิบาลเสมอมา และเคารพในคำวินิจฉัยของศาล แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด และในการรับประกันภัยตามกรมธรรม์นี้ บริษัทได้กระจายความเสี่ยง โดยจัดให้มีการประกันภัยต่อ ไปยังบริษัทรับประกันภัยทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องปรึกษาและประสานงานกับบริษัทรับประกันภัยต่อ เพื่อขอแนวทางในการดำเนินการต่อไป
       
       ทั้งนี้ บริษัท เทเวศประกันภัย ยืนยันด้วยว่า ฐานะการเงินของบริษัทยังคงมีความมั่นคง และเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดหากบริษัทต้องชำระเงินตามคำพิพากษาดังกล่าว บริษัทจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้รับประกันภัยต่อตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อ ดังนั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและสถานะทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มีนาคม 2556

6857
1. สะพัด ตั้ง “พระพายัพ” เป็นพระครูปลัดฯ ทั้งที่เพิ่งบวชแค่ 10 วัน ด้าน อ.กรมศาสนา ยัน แค่ฉายา ขณะที่ “สนธิ” ซัด “พระพยอม” สอพลอ “ชินวัตร”!

       เมื่อวันที่ 17 ก.พ. มีรายงานข่าวว่า นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้เดินทางไปบวชที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยได้รับฉายาว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ” และมีกำหนดลาสิกขาในวันที่ 11 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ได้แต่งตั้งพระพายัพให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์”
       
       ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เผยว่า การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ไม่เหมาะสม เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมต้องบวชมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา
       
       ด้านนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย รีบออกมาชี้ว่า การตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ เป็นสิทธิและอำนาจของสมเด็จพระธีรญาณมุนี ไม่เกี่ยวกับ พศ. ส่วนเหตุผลในการแต่งตั้งเป็นวิจารณญาณของสมเด็จพระธีรญาณมุนี “เชื่อว่าท่านคงมีเหตุผลในการตั้ง ที่ผ่านมาท่านเคยแต่งตั้งพระรูปอื่นเป็นพระฐานานุกรม เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะทำงาน แต่ไม่มีใครสนใจ แต่คราวนี้พระพายัพ นามสกุลชินวัตร เลยถูกจับตามองจากสังคม”
       
       ขณะที่พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว พูดถึงการตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ว่า การตั้งพระฐานานุกรม มีการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 2 ข้อ 1.ต้องอุปสมบทมาหลายพรรษา และ 2.ต้องมีผลงานการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา และว่า เห็นข่าวว่า พระพายัพมีผลงานการสร้างโบสถ์ หากเป็นเช่นนั้นจริง พระพายัพก็มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ “ปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพ ไม่ได้เป็นน้องชายของคนชื่อทักษิณ” ส่วนกรณีที่หลักการกำหนดให้พระที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม ต้องบวชหลายพรรษานั้น พระพยอม บอกว่า “เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย”
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงการตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ โดยตั้งคำถามว่า หากมีใครบวชแค่ไม่กี่วัน แล้วไม่ได้นามสกุลชินวัตร จะได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดฯ หรือไม่ และถ้ายึดหลักที่พระพยอมบอกว่า พระพายัพได้ทำคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างโบสถ์ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดทำไมตอนที่ตนบวชที่วัดป่าบ้านตาด จึงไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูปลัดฯ ทั้งที่ตนเคยซื้อที่เกือบ 100 ไร่ให้วัดกุดโพนทันของหลวงพ่อญา ทั้งนี้ นายสนธิ ชี้ว่า การแปลพระวินัยเข้าข้างตัวเองของพระพยอม เข้าข่ายสอพลอคฤหัสถ์ เพราะความดีที่ทำตอนเป็นคฤหัสถ์ไม่สามารถนำมาต่อยอดให้กับความเป็นพระได้
       
       นายสนธิ ยังข้องใจการบวชของพระพายัพด้วยว่า หากบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศล แค่บวชอย่างเดียวก็น่าจะจบ ถ้าไม่ต้องการตำแหน่งก็ปฏิเสธได้ นี่แสดงว่าเจตนาการบวชของพระพายัพไม่ได้ต้องการรักษาพรหมจรรย์ในฐานะที่จะเป็นพระภิกษุ หรือว่าพวกชินวัตรจะเข้าวงการไหน ต้องใหญ่หมด และที่น่าอับอายขายหน้ามาก พระมหาเถระก็ยอมที่จะทำลายพระธรรมวินัยด้วย และที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่พระพยอมพูดแก้ตัวให้พระพายัพว่า ควรเลิกนับถือพรรษากันได้แล้ว แสดงว่าคนอย่างพระพยอมยังไม่เข้าใจพระธรรมวินัยเลย ถ้าพระพยอมจะสอพลอพวกชินวัตร ก็สอพลอไป แต่ไม่ควรมาจาบจ้วงพระธรรมวินัย
       
       ทั้งนี้ หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ ปรากฏว่า นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมายืนยันว่า ไม่ได้มีการแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระฐานานุกรมแต่อย่างใด โดยบอกว่า เมื่อพระพายัพบวช พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด” ซึ่งเป็นเพียงแค่ฉายาเท่านั้น และว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรม จะต้องผ่านการบวชมาไม่น้อยกว่า 10 พรรษา ต้องเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น สมณศักดิ์ของพระจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องมีการปฏิบัติเช่นข้าราชการทั่วไป โดยกรณีของพระพายัพยังไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำยืนยันเรื่องนี้จากสมเด็จพระธีรญาณมุนีและพระพายัพ ที่มีกำหนดเดินทางกลับจากอินเดียในวันที่ 23 ก.พ.แต่อย่างใด
       
       2. สารพัดวิชามารหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ตัดต่อภาพดาราหนุนเบอร์ 9 ด้าน “พงศพัศ” ยัน เปล่าทำ!

       ความเคลื่อนไหวก่อนโค้งสุดท้ายในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ออกมาย้ำว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ พ.ศ.2545 ไม่ใช่ 90 วันตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ส่วนที่มีข่าวว่า มีการย้ายประชาชนจากต่างจังหวัดเข้าทะเบียนบ้าน เพื่อให้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ นายสมชัย บอกว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การโอนย้ายดังกล่าวไม่ใช่เพื่อใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เพื่อสิทธิประโยชน์ด้านอื่น เช่น การรักษาพยาบาล หรือสิทธิในการเข้าเรียนของบุตร และว่า การย้ายช่วงนี้เป็นการย้ายตามปกติ แต่ถ้าใครพบว่ามีการย้ายคนเข้ามาในทะเบียนบ้านแบบผิดปกติ โดยที่เจ้าบ้านไม่อนุญาต จะมีความผิด ผู้พบเห็นสามารถยื่นร้องมาที่นายทะเบียนประจำสำนักงานเขต และนายวีระ ยี่แพร ผู้อำนวยการ กกต.กทม.ได้ทันที
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งใกล้โค้งสุดท้าย ก็เริ่มมีการใช้วิชามารในการหาเสียง โดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ได้มีการเผยแพร่ภาพตัดต่อของดาราชื่อดังหลายคนบนเฟซบุ๊กเพื่อให้ผู้ที่เห็นเข้าใจผิด คิดว่า ดาราคนนั้นสนับสนุน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย โดยดาราที่ถูกตัดต่อภาพ ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องชื่อดัง ,ณเดชน์ คูกิมิยะ ดารานักแสดงชื่อดัง และบัวขาว ป.ประมุข นักมวยชื่อดัง ซึ่งภายหลัง มีผู้เล่นเฟซบุ๊กจับได้ว่า คนที่โพสต์ภาพตัดต่อของบัวขาวคือ กลุ่มเสื้อแดง-นปช. โดยผู้ที่จับได้ โพสต์ข้อความว่า “ไอ้หยา คาหนังคาเขา ! จับได้แล้วใครแอบอ้างดารา เชียร์ พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ลงสมัคร เลือกตั้งผู้ว่า พรรคเพื่อไทย !! ที่แท้ ... ผีโม่แป้งคือ เว็บไซด์เฟสบุ๊ก "เสื้อแดงคลับ Red club" โดยมีโลโก้ นปช. และมีข้อความเชิญชวนชัดเจนว่า "นักชกบัวขาว ก็ยังเชียร์ เบอร์ 9 อิอิ ^__^"
       
       ขณะที่เฟซบุ๊ก Bird Thongchai ของนักร้องชื่อดัง เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ได้โพสต์ข้อความยืนยันว่า ภาพของตนถูกตัดต่อ "ช่วงนี้ถ้าใครเห็นรูปพี่เบิร์ดไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนตัวบุคคลที่เข้ามาชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ขอให้ทราบกันว่าเป็น "ภาพตัดต่อลงไปบนโทรศัพท์มือถือ" พี่เบิร์ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนบุคคลใดๆทั้งสิ้นครับ ขอบคุณครับ"
       
       ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรวจสอบการตัดต่อภาพดารา เพราะอาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นสนับสนุนผู้สมัครคนดังกล่าว และลงคะแนนให้ได้ ถือว่าส่อผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น
       
       ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ รีบออกมาบอกว่า ยังไม่ทราบต้นตอที่มาที่ไปและยังไม่เห็นภาพดังกล่าว และว่า ในการหาเสียง ตนได้ยึดตามประกาศของ กกต.มาโดยตลอด และพร้อมจะไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับ กกต.ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ตนไม่ได้เป็นคนโพสต์
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจากกรณีตัดต่อภาพดังกล่าวแล้ว ยังมีกรณีนักวิชาการคนหนึ่งไม่ชอบพรรคเพื่อไทย จึงนำสติ๊กเกอร์ไปติดที่ป้ายหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ มีข้อความว่า “เผาบ้านเผาเมือง” และ “ไม่เลือกผู้ว่าฯ สร้างภาพ” ทราบชื่อคือ นายหทัยวุฒิ สายทอง อายุ 45 ปี นักวิชาการศึกษา 5 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน จับกุมขณะเตรียมนำสติ๊กเกอร์ไปติดที่ป้ายหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ ทั้งนี้ นายหทัยวุฒิ สารภาพว่าเป็นผู้ติดสติ๊กเกอร์ดังกล่าวจริง และเป็นผู้จัดทำสติ๊กเกอร์ด้วยตัวเอง สาเหตุที่ทำ เพราะไม่ชอบพรรคเพื่อไทยเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร พร้อมยืนยัน ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มการเมืองใดใด
       
       ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มร้องเรียน กกต.ว่ามีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะซื้อเสียงประชาชน ช่วยเหลือผู้สมัครบางพรรค โดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสัญญา จันทรรัตน์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เขตวังทองหลาง ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต.กลางและ กกต.กทม.ขอให้ตรวจสอบกรณีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำแบบสำรวจข้อมูลครัวเรือนเพื่อการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม ไปทำสำรวจกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน กทม. โดยมีการอ้างกับประชาชนว่า หากประชาชนให้ข้อมูลในแบบสอบถามแล้ว จะได้รับเงินชุดละ 1 พันบาทหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จึงได้นำเอาวิดีโอบันทึกภาพ พร้อมเอกสารถอดเทปการพูดคุยระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับผู้ทำแบบสอบถามมาให้ กกต.เป็นหลักฐาน ด้าน กกต.กทม.อ้างว่า คำร้องดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ดังนั้นจะต้องเรียกผู้ร้องมาให้ถ้อยคำเพิ่ม
       
       ส่วนการทำโพลของสำนักต่างๆ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังระบุว่า คน กทม.เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย มากกว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจพบว่า ร้อยละ 46.69 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะที่ร้อยละ 32.99 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ส่วนนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) สำรวจพบความนิยมของผู้สมัครทั้ง 2 พรรคค่อนข้างสูสีกัน โดยร้อยละ 26.80 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะที่ร้อยละ 25.86 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ส่วนอีกร้อยละ 36.84 ยังไม่ตัดสินใจ
       
       3. โจรใต้ บึ้มป่วนไม่เลิก เชื่อตอบโต้วิสามัญ 16 ศพ ขณะที่ รบ.เล็งใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ม. 21 เปิดช่องคนหลงผิดมอบตัว!

       สัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า เป็นการตอบโต้หลังผู้ก่อความไม่สงบบุกโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กองทัพเรือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ และถูกวิสามัญฆาตกรรมไปรวม 16 ศพ
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ได้เกิดระเบิดขึ้นที่หน้าร้านกาแฟ บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา ปากทางเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี แรงระเบิดทำให้อาสาสมัครเสียชีวิต 3 คน ประกอบด้วย อส.วิโรจน์ จันทศิริ ,อส.มะกรี ดือเระ และ อส.อธิพล อาแช
       
       ต่อมาวันที่ 19 ก.พ. ได้เกิดเหตุคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ขว้างระเบิดเข้าใส่กลุ่มทหาร ร้อย ร.5032 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 ขณะเล่นฟุตบอลในฐานปฏิบัติการภายในวัดหลักห้า อ.เมือง จ.ยะลา ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 8 นาย
       
       ต่อมาวันที่ 22 ก.พ. คนร้ายได้ยิงเอ็ม 79 ถล่ม สภ.กะพ้อ จ.ปัตตานี จำนวน 3 ลูก โดยกระสุนตกระหว่าง สภ.กะพ้อกับแฟลตตำรวจ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 7 นาย นอกจากนี้ช่วงเช้าวันเดียวกัน คนร้ายยังได้กดชนวนระเบิดขณะทหารร้อย ร.2514 ฉก.ปัตตานี 24 กำลังดูแลความปลอดภัยครูอยู่ในโรงเรียนบ้านเกาะตา ริมถนนสาย 419 หมู่ 3 ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ แรงระเบิดทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 นาย
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ได้เกิดระเบิดขึ้นอีกบริเวณถังขยะหน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ซึ่งอยู่ตรงข้ามกองบังคับการกรมทหารพรานที่ 45 เขตเทศบาล ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.อ.จิระเดช พระสว่าง ผู้กำกับการ สภ.ระแงะ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า ได้เกิดระเบิดขึ้นอีก 1 ครั้ง บริเวณรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำมาจอดทิ้งไว้ที่หน้าประตูทางเข้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย เป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนที่ว่าการ อ.ระแงะ ขณะที่ผู้กำกับการ สภ.ระแงะ รอดตายหวุดหวิด
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลเริ่มมีแนวคิดจะแก้ปัญหาความไม่สงบด้วยการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 21 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุที่หลงผิดเข้ามอบตัว แต่ยังไม่สรุปว่าจะใช้หรือไม่ ซึ่งนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลใช้มาตรา 21 โดยบอกว่า เรื่องนี้ สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยใช้มาก่อนแล้ว เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่หลงผิดเข้ามอบตัวต่อรัฐ และนำคนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการอบรม 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยความเห็นชอบของศาลด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้ผลดีมาก
       
       ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศปก.กปต.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งอดีต ส.ส.กลุ่มวาห์ดะ 9 คนเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา 2.นายเด่น โต๊ะมีนา 3.นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ 4.นายซูการ์โน มะทา 5.นายนัจมุดดิน อูมา 6.น.ส.เพชรดาว โต๊ะมีนา 7.นายอับดุลเราะห์มาน อับดุลสมัด 8.นายสุธิพันธ์ ศรีริกานนท์ และ 9.นายสุดิน ภูยุทธานนท์ โดยบุคคลทั้ง 9 มีหน้าที่ให้คำปรึกษา เสนอความเห็น วิเคราะห์ และเสนอแนะงานด้านต่างๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
       
       4. พม่า เตรียมปิดซ่อมแท่นผลิตก๊าซยาดานา 5-14 เม.ย. ส่งผลไทยเจอวิกฤตพลังงาน ขณะที่ กทม.-ภาคใต้ส่อไฟดับบางโซน!

       เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า พม่าจะหยุดจ่ายก๊าซในแหล่งยาดานา เนื่องจากแท่นผลิตทรุด จึงจะหยุดเพื่อซ่อมระหว่างวันที่ 4-12 เม.ย. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของไทย ที่ปกติต้องได้รับก๊าซดังกล่าวมาผสมให้ค่าความร้อนเหมาะสม ต้องหยุดดำเนินการลงด้วย ทำให้ก๊าซหายไปจากระบบ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งจะกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าฝั่งตะวันตกของไทย ให้หายไปอย่างน้อย 4,100 เมกะวัตต์ “พม่าแจ้งมาที่จะหยุดซ่อมช่วง 4-12 เม.ย. เราเองก็พยายามจะเจรจาให้เลื่อนไปช่วงสงกรานต์ เพราะโรงงานอุตสาหกรรมหยุดมาก จะได้หรือไม่...”
       
        ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) บอกว่า การหยุดซ่อมแท่นผลิตก๊าซของพม่าครั้งนี้ ต่างจากแผนหยุดซ่อมทั่วไปตรงที่ความต้องการใช้ไฟของไทยสูงขึ้น แต่สำรองไฟฟ้าพร้อมใช้(ฮอต สแตนบาย) ต่ำผิดปกติ เหลือเพียง 600 เมกะวัตต์ จากมาตรฐานที่ 1,200 เมกะวัตต์ ประกอบกับช่วงเดือน เม.ย.จะมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(พีค) โดยประเมินว่า ปีนี้ปริมาณการใช้ไฟน่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นเมกะวัตต์ มากกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ ขณะที่กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของไทยอยู่ที่ 3.2 หมื่นเมกะวัตต์ ดังนั้นหากการใช้ไฟสูงกว่าที่คาดไว้ ก็อาจเสี่ยงไฟดับบางพื้นที่ แต่ยังไม่ถึงขั้นไฟดับทั่วประเทศ และว่า พื้นที่ที่ไฟฟ้าอาจดับมี 2 จุด คือ บางส่วนของกรุงเทพฯ และบางส่วนของภาคใต้ เพราะทั้งสองแหล่งรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทางภาคตะวันตก
       
        ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ได้หารือกรณีพม่าจะหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งยาดานาช่วงเดือน เม.ย. ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกันนี้ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยราชการทั้งหมดรณรงค์ประหยัดไฟฟ้า โดยนำทุกมาตรการที่มีอยู่มาใช้ และขอความร่วมมือประชาชนในการช่วยกันประหยัดไฟด้วย
       
       ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า การที่พม่าจะหยุดจ่ายก๊าซในเดือน เม.ย. จะส่งผลกระทบให้คนไทยต้องจ่ายค่าเอฟทีเพิ่ม เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันเตา ส่วนค่าเอฟทีจะเพิ่มเท่าไร ต้องรอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นผู้กำหนด และว่า ความเสี่ยงครั้งนี้ เกิดจากการที่ไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป คือ มีสัดส่วนกว่า 70% จึงควรกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ถ่านหินสะอาด และเอทานอล
       
       ขณะที่นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ไม่เห็นด้วยหากจะมีการปรับขึ้นค่าเอฟที โดยชี้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรับภาระนี้แทน
       
       ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. เพื่อรับมือวิกฤตพลังงานช่วงเดือน เม.ย. ที่พม่าจะหยุดซ่อมแท่นผลิตก๊าซว่า หลังจากได้เจรจากับบริษัท โททาล ผู้ผลิตก๊าซในแหล่งยาดานาของพม่าแล้ว สรุปว่า พม่าจะเลื่อนการหยุดซ่อมประจำปีออกไป 1 วัน จากวันที่ 4-12 เม.ย. เป็น 5-14 เม.ย.แทน แต่ไทยยังต้องเฝ้าระวังวันที่ 5 เม.ย. เพราะเป็นวันที่คาดว่าอุณหภูมิจะสูงสุดของปี ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่ต่ำกว่า 26,000 เมกะวัตต์ แต่จะถึง 27,000 เมกะวัตต์ หรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ “วันที่ 5 เม.ย. กระทรวงฯ จะจัดงานรณรงค์ให้ข้าราชการ ประชาชน และเอกชนลดการใช้ไฟทั่วประเทศช่วง 14.00น.เป็นต้นไป ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันเรื่องปัญหาไฟดับได้ แต่หากโรงไฟฟ้าใดเกิดปัญหา อาจทำให้พื้นที่ภาคใต้และกรุงเทพฯ บางส่วนไฟดับได้”
       
        ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าเอฟทีนั้น นายพงษ์ศักดิ์ ยังคงยืนยันว่า ค่าไฟขึ้นแน่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) รายงานว่า ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีหลังอาจต้องปรับเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2.20 สตางค์ต่อหน่วย โดยคำนวณจากค่าเชื้อเพลิงน้ำมันเตาและดีเซล ซึ่งเดิม กกพ.คิดจากการใช้ไฟช่วงที่พม่าปิดซ่อมประจำปีตามปกติ 1.70 สตางค์ต่อหน่วย แต่เมื่อพม่าหยุดซ่อมเร็วกว่าปกติ จึงต้องบวกเพิ่มอีก 0.48 สตางค์ต่อหน่วย
       
        วันต่อมา(21 ก.พ.) นายพงษ์ศักดิ์ ได้หารือกับนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และคณะ เพื่อหาทางรับมือวิกฤตพลังงานช่วงเดือน เม.ย. โดยนายพงษ์ศักดิ์ได้เสนอให้ภาคอุตสาหกรรมหยุดทำการผลิตหรือหยุดงานในวันที่ 5 เม.ย. และไปทำงานในวันที่ 7 หรือ 11 เม.ย.แทน ซึ่ง ส.อ.ท.จะกลับไปหารือกับสมาชิกทั้ง 42 กลุ่มอุตสาหกรรมอีกครั้งว่าจะหยุดงานในวันดังกล่าวได้หรือไม่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 กุมภาพันธ์ 2556

6858
ผ่าโครงสร้างใหม่กระทรวงหมอ ดึง สสส. สพฉ. สปสช.มาดูแลเอง

การจัดโครงสร้างใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามที่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข มอบหมายให้นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) จัดทำแผนปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงสธ. เพื่อแก้ปัญหาด้านภาระการเงินการคลังของโรงพยาบาล ปัญหาด้านกำลังคน รวมถึงกำหนดบทบาทใหม่ทั้งในฐานะของผู้ให้บริการและในฐานะผู้กำหนดหลักเกณฑ์ แล้วเสร็จลงเมื่อวันที่6 มี.ค.ที่ผ่านมา

เบื้องต้นได้กำหนดให้มีการประสานงานระหว่างกรมในสังกัด สธ. และกลุ่มงานในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เช่น กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพให้มากขึ้น โดยให้ประสานความร่วมมือกับกลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์และประเมินผล กลุ่มภารกิจบริหารกองทุนและกลุ่มภารกิจสนับสนุนเครือข่ายผู้ให้บริการ สปสช. ส่วนการตั้งสำนักงานเขตสุขภาพ 12 เขต ก็จะประสานกับสำนักงาน13 เขตของ สปสช.อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกลุ่มของหน่วยงานที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกัน ได้แก่งานการจัดทำมาตรฐาน ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และสถาบันการแพทย์เฉพาะทางอยู่กับกรมการแพทย์กรมสุขภาพจิต กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ขณะที่งานการส่งเสริมสุขภาพ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อยู่กับกรมควบคุมโรค กรมอนามัย และให้สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) อยู่กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

สำหรับข้อมูลกลางในระบบประกันสุขภาพ ได้มอบหมายให้ สปสช. ดูแลทั้งประชาชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และที่อยู่ในระบบกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

พร้อมกันนี้ ยังให้มีคณะกรรมการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ร่วมกัน คณะกรรมการรณรงค์การลดใช้ยา และคณะกรรมการวางระบบติดตามประเมินผล 3 กองทุน

ขณะที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลนั้น จะให้ สรพ. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจัดทำมาตรฐานโรงพยาบาลสำหรับประเมินคุณภาพ

ทั้งนี้ การจัดกลุ่มบริหารโดยดึงหน่วยงานอิสระ อาทิ สปสช. สพฉ. สสส. เข้ามาทำงานร่วมกับหน่วยงานของ สธ.นั้น จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรองปลัด สธ.ตามที่ นพ.ประดิษฐ ได้แบ่งภารกิจไว้

หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 8 มีนาคม 2556

6859
คณะเภสัชฯ มอ.ค้นพบสารชนิดใหม่ใน "ใบชะมวง" ออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง นับเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก พร้อมตั้งชื่อว่า "ชะมวงโอน" ระบุใช้เป็นสารต้นแบบที่นำไปพัฒนาโครงสร้างสู่ยาต้านมะเร็งในอนาคต

    รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิ พาณิชยปการนันท์ ผอ.สถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (มอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับนายอภิรักษ์ สกุลปักษ์ นักศึกษาทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ ทำการศึกษาวิจัยคุณสมบัติมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารจาก "ใบชะมวง" ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก หลังจากใช้เวลาศึกษาค้นคว้านานกว่า 2 ปี ซึ่งผลงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Food Chemistry ซึ่งเป็นวารสารที่ได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการอย่างกว้างขวาง

    สำหรับการวิจัยดังกล่าวได้เก็บรวบรวมผักพื้นบ้านจำนวน 22 ชนิด มาทำการสกัดและทดสอบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Helicobacier pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารหรือไม่ โดยพบว่าชะมวงเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีที่สุด จึงนำมาแยกสารที่ต้องการจนสามารถได้สารซึ่งมีฤทธิ์ในระดับดีมาก เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ หรือ MIC ประมาณ 7.8 ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน โดยตั้งชื่อว่า "ชะมวงโอน" (Chamuangone) เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการค้นพบในประเทศไทย

    ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่พบบ่อยในภาคใต้ โดยสารชะมวงโอนสามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ได้ดี จึงนำชะมวงโอนไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอด และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว จนพบว่าสารชะมวงโอนมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ดี

    "ความสำเร็จจากงานวิจัยที่ได้โครงสร้างใหม่ของสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งจากชะมวงโอนครั้งนี้ สามารถนำไปใช้ดัดแปลงพัฒนาต้านมะเร็งที่ออกฤทธิ์ดีขึ้น และลดอาการข้างเคียงต่อเซลล์ปกติ แม้ว่าขั้นตอนการนำสารดังกล่าวไปใช้รักษาโรคมะเม็งยังต้องมีกระบวนการวิจัยเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอน เพื่อการรักษาที่ได้ผลมากขึ้น หรือลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา" รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิกล่าว.

ไทยโพสต์  11 มีนาคม พ.ศ. 2556

6860
โฆษกศาลยุติธรรมเผยเตรียมพิจารณาทบทวนการตรวจสุขภาพจิตผู้พิพากษาทุก 5 ปี ชี้ที่ผ่านมาได้แต่ตรวจสุขภาพทางร่างกายอย่างเดียวจนไม่รู้ว่าคนไหนมีอาการป่วยทางจิต เผยหากตรวจพบถือเป็นผู้ป่วยแต่ไม่ต้องถึงกับให้ออกเพราะไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่
       
       วันนี้ (8 มี.ค.) นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายกิติ ปิ่นงาม ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ใช้อาวุธปืนยิงตัวตายภายในบ้านพัก สาเหตุจากโรคซึมเศร้า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ตามปกติแล้วก่อนสอบเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาจะต้องมีการตรวจร่างกายและตรวจอาการทางจิตโดยจิตแพทย์ มีบางคนสอบไม่ผ่านการตรวจทางจิต แต่เมื่อเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาแล้วทำงานต่อเนื่องไปจนถึงศาลฎีกา จะมีการตรวจสุขภาพร่างการกายเพียงอย่างเดียว ไม่มีการตรวจอาการทางจิต ดังนั้นจะรู้เพียงว่าผู้พิพากษาคนใดเจ็บป่วยทางกาย แต่จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่านใดมีอาการป่วยทางจิต หากจะถามตนว่าทำไมจึงไม่มีการตรวจอาการทางจิต ส่วนตัวมองว่าหากดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงก็จะไม่กระทบสุขภาพจิตใจ และไม่กระทบการทำงานของผู้พิพากษา การป่วยทางจิตน้อยคนนักที่จะเป็นและตรวจพบยาก ไม่เหมือนการเจ็บป่วยทางร่างกายที่พบเห็นได้ อาการทางจิตหลบซ่อนอยู่ภายใน ถ้าไม่ได้เข้ารับการตรวจกับหมอเฉพาะทางไม่มีทางรู้ได้ อย่างกรณีของท่านกิติ เท่าที่ตนทราบทางภรรยาของท่านกิติก็ไม่ทราบมาก่อน และเมื่อได้สอบถามไปยังเพื่อนร่วมรุ่นผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่นที่ 29 และเพื่อนผู้พิพากษาในแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ทราบว่าท่านกิติเป็นปกติ ไม่มีอาการเก็บเนื้อเก็บตัว ร่าเริง ไม่มีอาการส่อไปในทางที่จะป่วยทางจิต ซึ่งบรรดาผู้พิพากษาและเพื่อนๆ รู้สึกตกใจมากที่ต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่า ท่านกิติเป็นผู้พิพากษาที่ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย อาจป่วยแบบเฉียบพลัน ซึ่งไม่ใช่คนแรกที่กระทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
       
       นายสิทธิศักดิ์กล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้มีผู้พิพากษาที่มีอาการเจ็บป่วยทางจิตอยู่ในศาลบ้าง แต่ทางคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ (ก.ต.) ก็ไม่จำเป็นต้องให้ออกจากราชการ เนื่องจากถือว่าเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่กรณีทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ก็จะให้ทำงานเบาๆ แล้วไปรักษาตัว จะไม่ปล่อยให้ผู้พิพากษาที่ป่วยทางจิตไม่ปกติไปตัดสินคดีชี้เป็นชี้ตาย หรือตัดสินข้อพิพาทต่างๆ หากไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถทำงานได้ก็สามารถลาป่วยไปรักษาได้ ถ้ารักษาหายเป็นปกติและสามารถพิสูจน์ตัวเองเขียนคำพิพากษาได้ ปฏิกิริยา ปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นปกติ ก็สามารถที่จะรับราชการต่อและได้รับการเลื่อนชั้นได้
       
       อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าอาจจะต้องนำกรณีของท่านกิติ เสนอนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา นำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดผู้บริหาร หารือทบทวนเรื่องการตรวจสุขภาพจิต ส่วนตัวเห็นว่าอาจจะมีการกำหนดให้ตรวจทุกๆ 5 ปี หรือก่อนเลื่อนตำแหน่ง อาจจะต้องทำการทดสอบสุขภาพจิต โดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาเบื้องต้นก็พอจะทราบได้ เพราะปัจจุบันผู้พิพากษาทำงานท่ามกลางความขัดแย้งของคู่ความ เผชิญความเครียดทุกวัน เปรียบเสมือนทำงานท่ามกลางมลภาวะค่อยๆ สะสมเข้าไปในร่างกาย ถึงจุดหนึ่งก็จะปรากฏอาการ ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของตนเองว่ามีมากน้อยเพียงใด งานผู้พิพากษาบั่นทอนสุขภาพ ร่างกาย อายุผู้พิพากษาให้เจ็บป่วยมากขึ้น อายุยืนน้อยลง ผู้้พิพากษาศาลชั้นต้นต้องสืบพยานก็เครียด เขียนคำพิพากษาก็เครียด ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็ต้องตัดสินคดีเดือนละกว่า 10 คดี ก็อาจเกิดอาการเครียดไม่รู้ตัว ซึ่งผู้พิพากษาทุกคนเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าขององค์กรศาลยุติธรรม

ทีมข่าวอาชญากรรม    8 มีนาคม 2556
http://www.manager.co.th

6861
สธ.ปรับระบบบริการเป็น 12 เขตพื้นที่ หวังลดการกระจุกตัวของผู้ป่วยในโรงพยาบาลขนดใหญ่ เล็งกระจายการผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าตัดทำคลอดจาก รพศ./รพท.สู่ รพช.30 แห่ง พร้อมให้แพทยสภาทำความเข้าใจโรงพยาบาลขนาดเล็กผ่าตัด หลังกังวลการฟ้องร้อง
   
       วันนี้ (11 ธ.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการเตรียมพร้อมปรับรูปแบบการบริการสาธารณสุขในปี 2556 ว่า เดิมระบบบริการของสถานพยาบาลในสังกัด สธ.จะแยกส่วนกันชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทั้งๆ ที่ควรกระจายอย่างเหมาะสม รมว.สาธารณสุขจึงมีนโยบายจัดระบบใหม่ โดยทำเป็นแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) โดยแบ่งเป็นพวงบริการ 12 เขตพื้นที่ ซึ่งแต่ละพื้นที่จะพัฒนาการบริการออกเป็น 10 สาขา คือ 1. การพัฒนาการบริการรักษาหัวใจและหลอดเลือด 2. มะเร็ง 3. อุบัติเหตุ 4. ทารกแรกเกิด 5. จิตเวช 6. ตาและไต 7. การบริการ 5 สาขา ทั้งสูตินรีเวช ศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวช และออร์โธปิดิกส์ 8.ทันตกรรม 9. การบริการปฐมภูมิทุติยภาพองค์รวม และ 10.การบริการโรคไม่ติดต่อ ซึ่งทั้งหมดมีการเตรียมพร้อมตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
       
       นพ.ณรงค์กล่าวอีกว่า เบื้องต้นจะเริ่มการบริการ 5 สาขาหลัก เน้นการกระจายการผ่าตัดผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบออกจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไปยังโรงพยาบาลในเครือข่ายที่แต่ละ 12 เขตพื้นที่บริการเป็นผู้กำหนด โดยจะต้องดำเนินการให้ได้ร้อยละ 50 ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ แผนดังกล่าวเนื่องจากเดิมทีการผ่าตัดส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าตัดทำคลอด ทำให้เกิดการกระจุกตัว ทั้งๆที่โรงพยาบาลขนาดเล็กบางแห่งสามารถทำได้ แต่ปัญหาคือ ด้วยข้อจำกัดของบุคลากร และความกังวลในเรื่องการฟ้องร้อง ทำให้ที่ผ่านมาไม่มีการผ่าตัดในโรงพยาบาลขนาดเล็ก
       
       “การผ่าตัดไส้ติ่ง ผ่าตัดทำคลอด จะให้โรงพยาบาลชุมชน(รพช.) ขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรทางการแพทย์ประจำอยู่ราว 10 คนขึ้นไป มากสุดพบถึง 30-40 คน อาทิ รพช.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร รพช.บางละมุง จ.ชลบุรี รพช.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยจะให้รพช.ทำหน้าที่ตรงนี้ รวมไปถึงกรณีผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งป่วยเรื้อรังก็จะมีการพิจารณาให้รพช.ดูแล สำหรับตัวเลข รพช. ที่มีศักยภาพในการทำหน้าที่ดังกล่าว เบื้องต้นมีประมาณ 30 แห่งจากทั่วประเทศ โดยแนวทางการบริหารรูปแบบนี้จะมีความชัดเจนในวันที่ 14 ธันวาคม จากนั้นในเดือนมกราคม 2556 จะมีการพิจารณาในเรื่องแผนกำลังคน และการใช้งบประมาณ” นพ.ณรงค์กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรกรณีบุคคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลขนาดเล็กอาจไม่ต้องการทำหน้าที่ผ่าตัด เนื่องจากกังวลหากมีปัญหากับคนไข้ นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ได้มีการหารือกับทางแพทยสภา ในฐานะกำกับดูแลแพทย์ว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นภาระหน้าที่ของแพทย์ทุกระดับทุกคน ทั้งนี้ มีการหารือด้วยว่าจะมีการอบรมให้กับบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลขนาดเล็กด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะหารือในรายละเอียดอีกครั้ง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2555

6862
ฮือฮา “หมอเณร” หมอสมุนไพรชื่อดังเมืองกาญจนบุรี ลงทุนแต่งเพลง-ร้องเอง เนื้อหาประชดรัฐ เผยแพร่ทาง “ยูทิวบ์” พร้อมฝากถึงรัฐบาล “ปู-ยิ่งลักษณ์” หันมาสนใจในเรื่องของสมุนไพร และให้การสนับสนุน เพราะสมุนไพรของไทยสามารถรักษาโรคร้ายให้หายขาดได้ เชื่อถ้านายกฯ สนับสนุนยาสมุนไพรไทยก็จะเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติแน่นอน และชาวโลกจะต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทยที่ทรงคุณค่ามหาศาล
       
       เมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ (6 มี.ค.) นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร หมอยาสมุนไพรชื่อดัง เปิดเผยว่า ตนคลุกคลีอยู่กับวงการยาสมุนไพรมานานกว่า 30 ปี สามารถผลิตคิดค้นยาสมุนไพรตามตำราที่มีอยู่ด้วยตนเองจนสามารถนำยาสมุนไพรชนิดต่างๆ ให้ผู้ป่วยนำไปรับประทานจนหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหัวใจรั่ว หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ที่เคยระบาดอย่างหนักในห้วงหลายปีก่อน จนทำให้ไม่สามารถผลิตยาสมุนไพรเพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยแทบไม่ทัน
       
       อีกทั้งผู้ป่วยที่เดินทางมาให้ตนรักษาต้องยอมรับว่า มาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยชาวต่างชาติก็มีมาก และต้องยอมรับว่า ผู้ป่วยแต่ละรายที่มารับยาสมุนไพรนั้นต่างก็มีอาการป่วยที่หนักหนาสาหัสทั้งนั้น และทุกคนที่ป่วยได้ผ่านการรักษาจากโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของประเทศไทยมาด้วยกันทั้งนั้นเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายญาติได้นำพามาที่สวนสมุนไพรเพราะเห็นว่ายาสมุนไพรเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา ที่อาจจะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ผู้ป่วยจำนวนมากหลังจากได้รับประทานยายาสมุนไพรตามขั้นตอน ก็ได้หายป่วยจนเป็นปกติ ชาวบ้านต่างก็ทราบกันดี
       
       แต่ปัจจุบัน ตนต้องมาต่อสู้เพียงลำพัง ต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับยาสมุนไพร หรือสมุนไพรไทยที่ต่อสู้กับหน่วยงานเหล่านี้ ก็เพื่อต้องการให้หน่วยงานภาครัฐหันมาใส่ใจสนใจ หันมาทำความเข้าใจ หันมาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของสมุนไพรไทยให้ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ และหันมาให้การสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการคิดค้น และผลิตยาสมุนไพรจากตำราโบราณที่เขามีอยู่ แต่ปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ต่างก็มีทีท่าว่าจะให้การสนับสนุน แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นได้แค่เพียงนโยบายลมๆ แล้งๆ นอกจากไม่สนับสนุนแล้ว ยังมากีดกัน และกลั่นแกล้งกันอีก
       
       นายชัยรัตน์ ยังได้กล่าวฝากไปถึงรัฐบาลให้ช่วยหันมาสนใจในเรื่องของสมุนไพร และให้การสนับสนุนด้วยจะได้ไม่ต้องไปซื้อเครื่องกระตุ้นหัวใจ และหัวใจเทียมจากต่างประเทศปีละนับพันล้านบาท เพราะสมุนไพรของไทยเรานั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ และอย่าไปเชื่อนักวิจัยให้มากจนเกินไป เพราะว่าเพิ่งจะมาทำกันเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ส่วนสมุนไพรยาโบราณนั้นมีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ถ้านายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนผลงาน และยาสมุนไพรไทยก็จะเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติแน่นอน และชาวโลกจะต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทยที่ทรงคุณค่ามหาศาล
       
       ส่วนที่ชาวบ้านเรียกตนว่า “หมอเณร” นั้น ก็เพระว่าตนเคยบวชเป็นเณรมาก่อน ซึ่งตนเป็นคนจังหวัดปทุมธานี แต่ได้ย้ายมาซื้อที่ดินเพื่อปลูก และสร้างสวนสมุนไพรที่ จ.กาญจนบุรี ที่สวนจะมีสมุนไพรกว่าร้อยชนิด บางชนิดไม่มีขายกันในท้องตลาด เช่น หำรอด คองแมว สมุนไพร 2 ชนิดนี้ จะใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นยาสูตรมีทั้งยาหม้อ ยาผง ไม่ใช่ยาเดี่ยวจึงต้องใช้สมุนไพรหลายชนิด จึงต้องไปหาเพิ่มเติมมาจากที่อื่นๆ
       
       ครั้งอดีตตนได้ดำเนินการเรื่องส่งยาสมุนไพรไปจำหน่ายยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทวีปแอฟริกา ครั้งนั้นได้รับการสนับสนุนจากสมาคมแพทย์แผนไทย ให้ช่วยรับรองตัวยาสมุนไพร ต่อมา ได้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลจากประเทศลาว มาสั่งซื้อสมุนไพรจากตน เพื่อนำไปรักษาคนไข้ที่ป่วย และรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันไม่หาย ถึงแม้ว่าตนจะไม่ได้รับใบประกอบโรคศิลปะ แต่ทว่าความรู้ความสามารถของตนที่มีอยู่ก็สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดตายจากโรคแปลกๆ จำนวนมากแล้ว โดยตนรับรักษาคนไข้ด้วยยาสมุนไพรไทยที่ได้ศึกษามาจากบรรพบุรุษมาตั้งแต่อายุ 15 ปี มีชื่อเสียงทั้งใน และต่างประเทศมาตลอด และหากว่ายาสมุนไพรที่มีอยู่นั้นไม่มีคุณภาพดีจริง คนป่วยที่มารักษากับตนคงไม่หายจากอาการป่วยอย่างแน่นอน หรือไม่ตนก็คงถูกประชาชนประณามไปนานแล้ว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อเพลงที่หมอเณรร้อง และเผยแพร่ลงทาง YouTube (ยูทิวบ์) ทั้งหมดนั้น หมอเณรแต่งขึ้นมาเอง และร้องเอง โดยแต่งเพลงขึ้นมาจากสถานการณ์ความเป็นจริงในปัจจุบัน โดยหมอเณรให้เหตุุผลว่า ที่แต่งเพลงขึ้นมาเผยแพร่เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ค่อยให้การสนับสนุนวงการแพทย์แผนโบราณที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปี และยิ่งนับวัน สมุนไพรไทยก็เริ่มจะหดหายไปจากวงการ หากหน่วยงานรัฐยังนิ่งเฉยอย่างนี้อยู่ต่อไป และหากยังเป็นเช่นนี้ตนก็จะประกาศขายสวนสมุนไพรที่มีอยู่ประมาณ 100 ไร่ทิ้ง แล้วกลับไปอยู่บ้านแบบสบายๆ จะดีกว่า
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากเพลงของหมอเณรถูกเผยแพร่ลงทาง YouTube (ยูทิวบ์) ได้ไม่นานปรากฏว่า ได้มีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาสอบถามเกี่ยวกับคลิปที่หมอเณรนำไปเผยแพร่จนได้รับความสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่เคยมารักษาที่สวนสมุนไพร โดยหมอเณรได้เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจเผยแพร่คลิปดังกล่าวเมื่อประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมาโดยใช้ชื่อว่า “มรดกไทย หมอเณร” หรือ http://www.youtube.com/watch?v=OtIKpdSjqhg

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มีนาคม 2556

6863
6 ประเด็นใหญ่คนไข้สิทธิบัตรทองร้องเรียน “คลินิกชุมชนอบอุ่น” โดยเฉพาะเรื่องการไม่ยอมส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐ ด้าน ผอ.สปสช. เขต 13 กทม.แจง ได้มีการพัฒนาระบบโดยการตั้ง “กองทุนระบบส่งต่อ” ช่วยลดภาระคลินิก เชื่อลดปัญหาการไม่ส่งตัวคนไข้สู่รพ.รัฐได้ พร้อมเผยหลักการประเมินการส่งต่อ ใครมีปัญหาร้อง สปสช.ทันที ขณะที่ยอดคนไข้บัตรทองเข้าใช้บริการคลินิกอบอุ่นจริงเพียง 40-50% จากยอดเหมาจ่ายรายหัว!
       
       ความแออัดของคนไข้ในโรงพยาบาลรัฐที่เดินทางมารอรับการรักษามีอยู่เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่ต้องรอคิวเป็นเวลากว่าครึ่งวันจึงจะได้พบแพทย์ บางคนมาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเข้ารับการรักษาในช่วงบ่าย หรือตอนเย็น อันเกิดจากบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อปริมาณคนไข้ในแต่ละวันนั่นเอง ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐต้องหาทางออก ในการลดความแออัด และการบริการที่ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อมุ่งให้ประชาชนมีคุณภาพร่างกายที่ดียิ่งขึ้น
       
       “คลินิกชุมชนอบอุ่นเป็นกลไกที่สำคัญในระบบบริการของสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่เข้ามามีบทบาทในการแบ่งเบาความแออัด และการบริการของโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ ให้ทันต่อความต้องการของประชาชน เนื่องจากบุคลากรของรัฐมีจำนวนไม่เพียงพอ” นายแพทย์รัฐพล เตรียมวิชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร กล่าว
       
       อย่างไรก็ดี แม้จุดประสงค์หลักของการเกิดคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งถือเป็นหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิในการตรวจรักษาโรคพื้นฐาน และคัดกรองโรคเบื้องต้น แต่หากพบว่าคนไข้เป็นโรคที่เกินความสามารถในการรักษาก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลรัฐ กลับพบว่ามีประเด็นความขัดแย้งระหว่างคลินิกชุมชนอบอุ่น และคนไข้ให้เห็น โดยเฉพาะกรณีส่งตัว
       
       จากข้อมูลสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร พบมีเรื่องร้องเรียนในพื้นที่ กทม.ในปีงบประมาณ 2553 จำนวนทั้งหมด 3,409 เรื่อง ปีงบประมาณ 2554 มีจำนวน 3,519 เรื่อง และปีงบประมาณ 2555 (9 เดือน) มีจำนวน 2,753 เรื่อง (ตารางประกอบ)

       6 ประเด็นคนไข้ร้องเรียน
       
       นายแพทย์รัฐพล เตรียมวิชานนท์ ผอ.สปสช.เขต 13 ระบุว่า จากข้อมูลการร้องเรียนคลินิกชุมชนอบอุ่นที่ผ่านมา สามารถแบ่งเป็น 2 แบบคือ กรณีที่มีมูล คือเกิดจากคลินิก กับไม่มีมูล คือความเข้าใจผิด โดยมีประเด็นหลักดังนี้
       
       1. คลินิกไม่ยอมออกใบส่งตัวให้เมื่อเกินความสามารถของทางคลินิก หรือมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรง
       2. เรียกเก็บเงินโดยไม่มีเหตุที่จะเก็บได้
       3. คาดหวังการบริการ เช่น คนไข้คาดหวังว่าบริการของทางคลินิกจะสะดวกสบาย มีความสามารถสูง สามารถรักษาได้ทุกอย่าง รวมถึงพฤติกรรมการบริการของเจ้าหน้าที่ไม่เหมาะสม
       4. คาดหวังให้ส่งตัว ทั้งๆ ที่บางโรคคลินิกรักษาได้ แต่คนไข้ไม่เชื่อว่าคลินิกจะทำได้ ทั้งๆ ที่เป็นโรคง่ายๆ โรคพื้นฐาน เช่น ไข้หวัด เบาหวาน ความดัน โรคพวกนี้ต้องรักษาต่อเนื่อง พอคนไข้บางรายเห็นคลินิกเล็ก ก็คิดว่าไม่อยากรักษา อยากไปโรงพยาบาล เพื่อไปพบอาจารย์หมอ หรือต้องการไปหาหมอที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
       5. เรื่องของเวลาเปิด-ปิดของคลินิกบางแห่งอยู่ในเวลาที่คนไข้ทำงาน ทำให้คนไข้ไม่สะดวกเข้ารับการรักษา ซึ่งทาง สปสช.กทม.พยายามแก้ไขอยู่ โดยคาดหวังให้คลินิกเปิดถึง 20.00 น. ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
       6. กรณีที่คนไข้เข้าใจผิดว่าบางบริการ หรือยาบางชนิดอยู่ในสิทธิบัตรทอง คิดว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่จริงๆ แล้วไม่อยู่ในสิทธิบัตรทอง เช่น เสริมความงาม
       
       “ผมมองว่าการร้องเรียนเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องมีกระบวนการพิจารณา เมื่อคนไข้ร้องเรียนเข้ามา ก็ต้องจับประเด็นให้ได้ว่าร้องเรื่องอะไร”

       “กองทุนระบบส่งต่อ” ช่วยคลินิก-ลดปัญหาการส่งตัว
       
       ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ประเด็นการไม่ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลรัฐมีจำนวนมาก ทำให้ทาง สปสช.กทม.หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจัดตั้งเป็นกองทุนระบบส่งต่อขึ้น เพื่อจะเข้ามารับภาระช่วยให้คลินิกจ่ายเงินน้อยลง รับผิดชอบแค่บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากเวลาส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลจะมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI อยู่ที่ประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อครั้ง เมื่อมีกองทุนระบบส่งต่อจะให้คลินิกรับผิดชอบแบบเหมาในอัตรา 1,400 บาทต่อครั้งต่อการส่งตัวเท่านั้น
       
       การจัดการในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้คลินิกไม่ลำบากใจเวลาต้องส่งตัวคนไข้ เพราะหากคลินิกต้องรับผิดชอบคนไข้ครั้งละ 10,000 บาท แค่วันละ 10 ราย หลายๆ วัน ก็คงอยู่ไม่ไหว พอตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาเรื่องร้องเรียนก็ค่อยๆ ลดลง
       
       นอกจากกองทุนระบบส่งต่อที่เข้ามาช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคลินิก กับคนไข้แล้วนั้น หากคนไข้เกิดความไม่สบายใจในการบริการของคลินิกที่ตนมีชื่ออยู่ก็สามารถขอย้ายได้จำนวน 4 ครั้งต่อปี ยังสำนักงานเขตที่อยู่ตามทะเบียนบ้านอีกด้วย
       
       การถอดถอน “คลินิกชุมชนอบอุ่น” ยาก
       
       จากปัญหาที่ผ่านมา สปสช.ได้มีการถอดถอนคลินิกชุมชนอบอุ่นใน กทม.เพียงแห่งเดียว เพราะไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในเรื่องของความสะอาดที่ไม่ดูแลเรื่องการติดเชื้อให้ได้ตามมาตรฐาน จึงต้องถอดออกไปจากโครงการในที่สุด
       
       “การจะถอดถอนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องดูจนแน่ใจว่าสิ่งที่คลินิกทำไม่มีมาตรฐานจริงๆ และต้องยอมรับว่าคลินิกก็มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่ผิดจริงก็จะดำเนินเรื่องสอบสวน โดยส่วนหนึ่งจะดูที่เจตนาของคลินิก หากคลินิกมีเจตนาที่ดีในการให้บริการ ก็อยู่ในวิสัยที่ปรับปรุงได้”
       
       อย่างไรก็ตาม การเข้ามาช่วยของภาคเอกชนในรูปแบบของการเข้าร่วมโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นการลงทุนและจัดการด้วยภาคเอกชนเอง ดังนั้นในบางมิติของภาคเอกชนย่อมมีความมุ่งหวังเรื่องกำไร เป็นเรื่องธรรมดา

 สปสช.แจง หลักการประเมินการส่งต่อคนไข้
       
       อย่างไรก็ดี ในการประเมินการส่งต่อคนไข้นั้น หากมีการร้องเรียนเข้ามาทาง สปสช.เขต 13 จะทำหน้าที่ประเมินว่าคนไข้มีความจำเป็นหรือไม่ โดยดูจากเรื่องที่ยื่นคำร้องมา ถ้าดูแล้วแพทย์ให้เหตุผลไม่ชัดเจนว่าทำไมถึงคิดว่ารักษาได้ แต่หากทางสำนักงานฯ ประเมินว่าความสามารถไม่ถึง จะใช้อำนาจของสำนักงานฯ ตามข้อสัญญาบังคับให้ส่งต่อ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาตรงนี้
       
       โดยที่ผ่านมามีอยู่หลายครั้งที่ทาง สปสช.กทม.บังคับให้คลินิกส่งต่อเลย โดยไม่ต้องออกใบส่งตัว และให้โรงพยาบาลรักษาได้เลย โดยหักเงินของคลินิกให้ แต่ก็ต้องรอให้ผู้ป่วยร้องเรียนเข้ามาก่อน ได้ทั้งตัวผู้ป่วย และโรงพยาบาลที่รับการส่งต่อ หากพบว่าคลินิกควรส่งตัวคนไข้มารักษานานแล้ว ทั้งนี้เรื่องการไม่ส่งต่อถือเป็นเรื่องร้ายแรง ทางสำนักงานฯ ก็มีอำนาจจัดการ
       
       “หากระบบทำให้คนไข้เสียหายแล้ว ไม่ว่าจากอะไรก็ตามจะมีกระบวนการเยียวยา ช่วยเหลือเบื้องต้น จะมีคณะกรรมการช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งเคยเจอกรณีระบบผิดพลาด ทำให้คนไข้ไม่ได้รับการรักษา ช้าไประยะหนึ่ง โรคมีโอกาสลุกลาม ทำให้เกิดผลเสีย อันนี้ก็ชดเชยความเสียหาย โดยไม่เพ่งเล็งว่าคลินิกหรือหมอผิด เพราะหน้าที่ของเราคือ การช่วยเหลือเบื้องต้น การจ่ายชดเชย หาทางแก้ไขเชิงระบบ”
       
       คนไข้บัตรทองเข้ารักษาจริงเพียง 40-50%
       
       ส่วนเรื่องการรับจำนวนคนไข้ของคลินิกนั้น สปสช.มีสัดส่วนคนไข้ที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 10,000 คนต่อคลินิก มากสุดไม่เกิน 12,000 คนต่อคลินิก ส่วนคลินิกขนาดใหญ่อาจเพิ่มโควตาเป็น 20,000 คนต่อคลินิก ไม่เกิน 24,000 คนต่อคลินิก โดยพบยอดการเข้ารับการรักษาประมาณ 40-50% แต่ยังมีส่วนของการสร้างเสริมสุขภาพด้วย โดยมีทั้งรูปแบบของการลงพื้นที่ ไปเยี่ยมตามบ้าน และส่งเสริมในหน่วยบริการ เช่น ฉีดวัคซีน การคัดกรองความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม เป็นต้น
       
       สำหรับคลินิกที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นระบบคุ้มครองความเสี่ยงร่วมกัน แบบเหมาจ่าย โดยทั่วไป สปสช.จะจ่ายให้คลินิกที่เข้าร่วมโครงการอยู่ที่ 800 บาทต่อคนต่อปี โดยมีการหักค่ากองทุนส่งต่อไปแล้ว และความเสี่ยงต่ำสุดอยู่ที่ 681 บาทต่อคนต่อปี อีกทั้งยังมีเงินค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มให้อีก เช่น ค่าส่งเสริมสุขภาพ เงินพัฒนา ดังนั้นค่าหัวโดยประมาณจากความเสี่ยงต่ำสุดอยู่ที่ 681 บาทต่อคน มาเป็น 1,000 บาทต่อคน ในอัตราเหมาที่ 800 บาท จะมาเป็นที่ประมาณ 1,200 บาท โดยวัดความเสี่ยงจากหลายปัจจัย เช่น คลินิกนั้นมีคนไข้ที่เป็นโรคยากๆ, มีความเสี่ยงสูง, มีคนไข้เรื้อรัง เป็นต้น อีกทั้งยังมีสูตรคำนวณอายุ เช่น คนแก่จะได้ค่าน้ำหนักเยอะ วัยรุ่นจะได้น้อย เป็นต้น
       
       หากคำนวณอัตราคนไข้ที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 10,000 คนต่อคลินิก กับค่ารายหัวคนไข้โดยประมาณในระบบเหมาจ่ายที่ประมาณ 1,200 บาทต่อคน จะพบอัตรางบที่คลินิกชุมชนอบอุ่นได้รับอยู่ที่ประมาณ 12,000,000 ล้านบาทต่อปี และเมื่อเทียบการเข้ารับการรักษาประมาณ 50% ของจำนวนโควตาผู้ป่วย ทำให้มีส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 6,000,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ส่วนต่างยังไม่รวมค่าความเสี่ยงที่เกิดจากกรณีที่ต้องส่งผู้ป่วยต่อยังโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งหากมีผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อจำนวนมากก็จะทำให้มีรายจ่ายและความเสี่ยงที่เยอะขึ้น
       
       “ขณะนี้ยังไม่มีคลินิกไหนถอนตัวออกจากโครงการ จึงเห็นว่าคลินิกส่วนใหญ่ไม่น่าจะขาดทุน แต่คิดว่าคลินิกคงไม่ได้กำไรมากมายนัก มีรายได้เพียงเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น เนื่องจากการกำหนดอัตรา 10,000 คนต่อคลินิก ถือว่าเป็นอัตราที่มีการคำนวณความเสี่ยงไว้แล้ว”

       แนะคนไข้ตรวจสอบสิทธิ
       
       ทั้งนี้ การเข้ารับบริการของประชาชนในสิทธิบัตรทองของแต่ละคลินิกจะมีสถิติการบริการส่งเข้ามาที่สำนักงานฯ ส่วนคลินิกที่มีคนไข้น้อยส่วนหนึ่งเพราะคนไข้แข็งแรงดีไม่ไปใช้บริการ จะได้รับเงินค่าหัวต่ำกว่าคลินิกที่มีคนไข้เยอะ อาจเกิดจากฐานประชากรที่เป็นวัยหนุ่มสาว มีร่างกายแข็งแรง เช่น คลินิกใกล้มหาวิทยาลัยหรืออาจเป็นเพราะประชาชนไม่รู้จักคลินิกที่ตนสังกัดก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะคลินิกบางแห่งที่ตั้งไม่สะดวกเท่าที่ควร อีกทั้งยังพบว่ามีคนไข้บัตรทองจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าตนมีสิทธิบัตรทอง
       
       “ประชาชนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่ 1330 หรือเข้า bkk.nhso.go.th และอยากขอให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทองช่วยกันตรวจสอบการให้บริการของคลินิก หากพบไม่ดีก็ขอให้ร้องเรียนมาที่ สปสช.ได้เลย" ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 ระบุ

       เพิ่มดูแลฟันเด็ก 20% พร้อมบูรณาการข้อมูล
       
       นอกจากดูแลสุขภาพของประชาชนในสิทธิบัตรทองแล้ว ทาง สปสช.กทม.ยังมีโครงการทันตกรรมในเด็ก โดยผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 บอกว่า ในปีนี้ทาง สปสช.กทม.จะเพิ่มเป้าหมายการตรวจสุขภาพฟันของเด็กให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิมที่มีเด็กประมาณ 30,000-40,000 ราย ยังไม่มีข้อมูลในการดูแล ซึ่งทาง สปสช.กทม.จะเน้นความร่วมมือกับทางสำนักอนามัย กทม. รวมถึงสมาคมทันตแพทยศาสตร์ศึกษา และสมาคมทันตแพทย์เอกชนเข้าไปดูแลให้ทั่วถึง
       
       ทั้งนี้ ระบบการจัดการเรื่องทันตกรรมถือเป็นงานใหญ่ ทาง สปสช.กทม.กำลังพัฒนาระบบ และมองว่าจะทำอย่างไรการเข้าถึงบริการถึงจะดีขึ้น มีการพยายามจัดการระบบ เพื่อให้คนไข้เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน
       
       “ทาง สปสช.กทม.จะให้ความสำคัญด้านงานป้องกันที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า ซึ่งอยากขอความร่วมมือให้ทางคนไข้ โดยเฉพาะพ่อแม่จะต้องช่วยดูแลบุตรหลาน เช่น ต้องทราบว่าเวลาไหนควรพาบุตรหลานไปตรวจเช็กสุขภาพฟัน รวมถึงสอนหลักการดูแลฟันให้แก่เด็ก” นพ.รัฐพลกล่าว


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มีนาคม 2556

6864
น.ส.ช่อทิพย์ วิเศษพงษ์พันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสมรรถนะธุรกิจ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สพว.) กล่าวถึงกรณีแพทยสภาเสนอให้รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงศัลยกรรมตกแต่งของเอเชีย ด้วยการเปิดการทำทัวร์ศัลยกรรมทั้งระบบ ว่า ปัจจุบันเมืองไทยมีจุดแข็งเรื่องการท่องเที่ยว และทางการแพทย์อยู่แล้ว หากนำจุดแข็งทั้งสองเรื่องมาผนวกกันก็จะทำให้เกิดจุดแข็งใหม่ของประเทศขึ้น ซึ่งหากมีการทำทัวร์ศัลยกรรมจริง สพว.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการสุขภาพ

"การจัดทำทัวร์ศัลยกรรมเชื่อว่า สธ.มีความพร้อมในการดำเนินการอยู่แล้ว สพว.พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ช่วยให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น และหากเปิดเออีซี ก็เชื่อว่าคนในประชาคมอาเซียนจะเดินทางเข้ามารักษาตัวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องเร่งจัดความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการก่อนเพื่อรองรับการเปิดเออีซี" น.ส.ช่อทิพย์กล่าว

น.ส.ช่อทิพย์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ สพว.ได้จัดโครงการ AEC Ready เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลเฉพาะทาง คลินิกเสริมความงาม สปา เอเยนซี่ทัวร์ การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวกับยานพาหนะทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับ AEC ในด้านต่างๆ โดยเปิดอบรมฟรีในเดือนมี.ค.นี้ โดยวันที่ 6-7 มี.ค. อบรมที่จ.ชลบุรี วันที่ 8-9 มี.ค. อบรมที่กรุงเทพฯ วันที่ 16-17 มี.ค. อบรมที่ จ.อุดรธานี วันที่ 20-21 มี.ค. อบรมที่ จ.เชียงใหม่ และวันที่ 22-23 มี.ค. อบรมที่ จ.สงขลา หมดเขตรับสมัครภายในวันที่ 1 มี.ค. นี้

ข่าวสด ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2556

6865
สธ.จับมือ บก.ปคบ.บุกตรวจ “นิติพล-วุฒิศักดิ์” ย่านสยามสแควร์ พบขายยารักษาสิวโดยไม่ใช่แพทย์ และโฆษณาเกินจริง มีการลดแลกแจกแถม เบื้องต้นแจ้งข้อหาทั้งสองคลินิกแล้ว
       
       วันนี้ (25 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ศูนย์การค้าสยามสแควร์ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สุชาติ เลาบริพัตร ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ.และเจ้าหน้าที่ สบส.ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกสถานเสริมความงาม นิติพล คลินิกเวชกรรม สาขาสยามสแควร์ หลังมีผู้ร้องเรียนว่าสถานบริการดังกล่าวทำการจำหน่ายยารักษาสิวให้ลูกค้าโดยที่ไม่ใช่แพทย์
       
       นายพสิษฐ์ กล่าวว่า การเข้าจับกุมในครั้งนี้เป็นการขยายผลจากการที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามาทาง สบส.ว่า สถานบริการดังกล่าวมีการจ่ายยาโดยไม่ใช่แพทย์ ทั้งนี้ จากการล่อซื้อของเจ้าหน้าที่พบว่ามีการกระทำผิดจริง โดยในสถานที่เกิดเหตุสามารถจับผู้กระทำความผิดได้ 3 ราย เป็นแพทย์ผู้ควบคุม 1 ราย และพนักงานประจำร้านอีก 2 ราย ซึ่งหนึ่งใน 2 รายนั้นเป็นพนักงานที่ทำการจำหน่ายยา 1 ราย จึงได้ให้ทางเจ้าหน้าที่รวบรวมไว้เป็นหลักฐาน และทำการประสานทางเจ้าของสถานบริการมารับทราบข้อมูล ทั้งนี้ สถานเสริมความงามหรือแม้กระทั่งสถานพยาบาลต่างๆ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในการจำหน่ายยาเท่านั้น เนื่องจากจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่เข้ามาทำการรักษา สธ.เองได้มีการกำชับให้มีการกวดขันในการรักษาโรคอย่างถูกต้อง แม้กระทั่งเรื่องของการรักษาของความงามก็มีความสำคัญควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกต้อง เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และประกอบทำกิจการอื่นในสถานพยาบาล
       
       นายพสิษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ทำการตรวจสอบ สถานเสริมความงาม วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม สาขาสยามสแควร์ ด้วย ซึ่งพบว่ากระทำความผิดฐานมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น เป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ที่มีดารามาใช้บริการมากที่สุด ใช้แล้วทำให้ผิวกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และการยกกระชับผิวหน้าด้วยทองคำบริสุทธิ์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังร่วมไปถึงมีการโฆษณาลดแลกแจกแถมสินค้าอีกด้วย ซึ่งตามหลักแล้วไม่สามารถทำได้ จึงได้แจ้งความผิดฐานโฆษณาโอ้อวดเกินจริง พร้อมสั่งให้ปลดป้ายโฆษณา และมีการเปรียบเทียบปรับ 2 หมื่นบาท ทั้งนี้ หากพบมีการฝ่าฝืนอีกก็จะปรับเป็นเงินวันละ10,000 บาท
       
       “ทั้ง 2 กรณีถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง โดยเฉพาะกรณีจำหน่ายยาโดยไม่มีการตรวจวินิจฉัยโรคก่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผิวได้ เนื่องจากผิวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เช่น บางรายสามารถใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางตัวได้ แต่ในผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกันก็สามารถทำให้อีกคนแพ้ได้ ซึ่งเรื่องการแพ้ยาหรือผลิตภัณฑ์ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางรายอาจถึงขั้นเป็นฝ้าถาวร หน้าเกิดอาการบวมแดงจากการแพ้ หรืออาจถึงขั้นเสียโฉมได้ ดังนั้น การจำหน่ายยาหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามทุกครั้งจะต้องมีแพทย์ควบคุม ซึ่งในเรื่องดังกล่าวตนก็จะนำรายงานให้แพทสภาทราบเพื่อทำการตรวจสอบรายละเอียดต่อไป” นายพสิษฐ์ กล่าว
       
       ด้าน พ.ต.อ.ล้ำพันธุ์ พรรธนประเทศ ผกก.4 ปคบ.กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 2 คลินิกมีการกระทำความผิดจริง ดังนั้นเบื้องต้นคลินิกทั้ง 2 แห่ง จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยคลินิกแรกจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเกี่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยไม่มีแพทย์ควบคุม มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่ 2 เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 กุมภาพันธ์ 2556

6866
  "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" เป็นคำที่คนไทยตั้งแต่ในอดีตได้เตือนว่า อาหารส่วนใหญ่ที่มีรสหวานมาก็จะเป็นโรคได้ ส่วนยาไทยที่เอาไว้รักษาโรคนั้นต่างก็มีรสขมทั้งสิ้น
       
        คนทั่วไปส่วนใหญ่ชอบรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน โดยที่อาจไม่เคยรู้เลยว่าความหวานนี่แหละที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย และถ้าเราลดเรื่องอาหารที่มีรสหวานได้ เราก็จะหยุดได้หลายโรค
       
        นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ คุณหมอที่จบแพทย์แผนปัจจุบันแต่มีความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการ โดยปัจจุบันได้ให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยแทนการใช้ยา นพ.เปี่ยมโชค ด้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ทำไมคุณถึงป่วย? อีกมุมหนึ่งของความรู้สุขภาพที่หมอของคุณอาจไม่เคยบอกคุณมาก่อน" ข้อมูลที่เขียนนี้ถือได้ว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่านเพราะได้รวบรวมงานเขียนและงานวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศ โดยมีความบางตอนที่น่าสนใจและผู้อ่านหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะดังนี้
       
        จากหนังสือ "Lick the sugar habit" ที่เขียนโดย Nancy Appleton ตีพิมพ์ ปี 1992 เธอเป็นปริญญาเอกทาง Clinical nutrition ในหนังสือเล่มนี้ได้สรุปไว้ว่า มีโรคและอาการกินหวานอยู่ถึง 110 ชนิด จะเรียกได้ว่าโรคที่เรานิยมเป็นอยู่ในยุคนี้มีสาเหตุมาจากน้ำตาลมาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ทำให้ฟันผุ, ให้กระดูกผุ, ทำให้แก่เร็ว, ทำให้อ้วน, ทำให้หลั่งอดรีนาลีนอย่างรวดเร็วในเด็ก, ทำให้เกิดหอบหืด, ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้, ทำให้เด็กเป็นโรคผิวหนัง เอ็กซีม่า, ทำให้ปวดศีรษะไมเกรน, ทำให้เกิดโรคข้ออักเสบ, ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร, ทำให้เป็นต้อกระจก, ทำให้สายตาสั้น, ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า, ทำให้ไขมันในตับเพิ่มขึ้น, ทำลายตับอ่อน, ทำให้เป็นโรคเบาหวาน, ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง, ทำให้เกิดนิ่วในไต, เพิ่มโอกาสที่จะเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร, เพิ่มโอกาสมะเร็งลำไส้ใหญ่, เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งถุงน้ำดี ฯลฯ
       
        ที่น่าสนใจคือ น้ำตาลทำให้เกิดสมาธิสั้น ความวิตกกังวล อารมณ์แปลกประหลาดในเด็ก โดยมีตัวอย่างจากหนังสือ alternative medicine ฉบับเดือนกันยายน 2004 หน้า 24 ชื่อ the real reason sweets make kids jumpy บทความนี้เป็นงานวิจัยที่ทำในอังกฤษ พบว่า:
       
        ความหวานและสีผสมอาหารที่มีอยู่ขนมหวาน ลูกอม และน้ำอัดลม มีส่วนในการทำให้เด็กที่กินของเหล่านี้เข้าไปเกิดอาการสมาธิสั้น เป็นการศึกษาในเด็กอายุ 3 ขวบ จำนวน 277 คน โดยการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กเหล่านี้ในช่วงเวลาที่เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหาร และอาหารที่ไม่มีความหวาน ไม่มีสีผสมอาหาร
       
        ซึ่งพบว่า ในช่วงที่เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหารและอาหารที่ไม่มีความหวาน ไม่มีสี พฤติกรรมของสมาธิสั้นลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง กลุ่มที่ทำงานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะว่าการลดปัญหาของอาการสมาธิสั้นคือ ให้เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหารลดลง โดยเน้นที่อาหารและขนมสำเร็จรูปทั้งหลาย ขนมหวาน ลูกอม และน้ำอัดลม ขนมถุงจำพวกขบเคี้ยวทั้งหลายด้วย
       
        นอกจานี้บางคนอาจะไม่รู้ว่า น้ำตาลสามารถกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้ (Sugar suppress lymphocyte) พูดง่ายๆก็คือกดการทำงานของภูมิต้านทานนั่นเอง จากหนังสือของนายแพทย์ James Braly ปี 1992 ชื่อ DR.BRALY'S FOOD ALLERTY & NUTRITION - REVOLUTION หน้า 242 เรื่อง "How to eat" มีข้อความแปลเป็นไทยว่า
       
        "ในบางคนน้ำตาลกดการทำงานของเม็ดเลือด โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวหลักของภูมิต้านทาน (เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่สำคัญคือคอยทำลายเชื้อโรค และปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณกินน้ำอัดลม 1 กระป๋อง หรือกาแฟใส่น้ำตาล 1 ถ้วย แล้วตามด้วยขนมหวานอีก 1 ชิ้น เม็ดเลือดขาวของคุณจะทำงานลดลง 75 เปอร์เซนต์ และจะเป็นอย่างนี้อยู่นาน 6-8 ชั่วโมง กว่าจะกลับมาทำงานตามปกติ"
       
        จากหนังสือ Low Carb Energy ฉบับเดือน มีนาคม 2005 หน้า 87 ชื่อเรื่อง "SUGAR a Serious addiction you can break" รายงานนี้เขียนโดยแพทย์หญิง Christine Horner คุณหมอคริสติน บรรยายเรื่องหวานกดภูมิต้านทานแปลเป็นไทยได้ว่า
       
        "นักวิจัยพบว่าการกินหวานกดภูมิต้านทาน โดยไปกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า T lymphocyte ยกตัวอย่าง ถ้ากินขนมหวานชิ้นใหญ่ซัก 1 ชิ้น ความหวานจะกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวประมาณ 50-94 เปอร์เซนต์ นาน 5 ชั่วโมง"
       
        นอกจากนี้ในหนังสือ Improving genetic expression in the prevention of the diseases of aging โดย Jeffery S. Bland, Ph.D. และ institute for functional medicine ปี 1998 หน้า 69 แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ได้ง่ายขึ้น และมากขึ้นภายในหลอดเลือด และอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะทำลายผนังหลอดเลือดทั่วไปหมด และทำลายทุกอย่างที่เลือดวิ่งไปถึงทุกเซลล์ของร่างกาย
       
        โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งก็ควรจะทราบด้วยว่า ในรายงานของ Gordon Research Institute USA มีข้อความว่า "เซลล์มะเร็งมี Glucose receptor หรือ จุดสำหรับดูดซึมน้ำตาลเข้าเซลล์มากกว่าเซลล์ปกติถึง 24 เท่า แสดงให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งมีความสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วมากและจำนวนมาก เพราะฉะนั้นคนไข้มะเร็งที่กินหวานก็เท่ากับส่งเสบียงให้เซลล์มะเร็งโดยตรง
       
        แม้ความหวานและน้ำตาลจะอันตรายและก่อให้เกิดโรคและปัญหามากมาย แต่บางคนต่อให้รู้ก็อาจจะเลิกยากเพราะมีงานวิจัยระบุว่าน้ำตาลอาจเป็นสารเสพติดอีกชนิดหนึ่ง !?
       
        จากหนังสือของนายแพทย์ James Braly ปี 1992 ชื่อ Dr. Braly's Food Allergy & Nutrition-Revolution หน้า 455 เรื่อง "Corn Syrup" ซึ่งน้ำตาลจากข้าวโพดนี้เป็นสารให้ความหวานที่ผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูป เกือบทุกชนิด ตั้งแต่ขนมถุง ลูกอม ยันน้ำอัดลม "เป็นสารเสพติดและก่อให้เกิดภูมิแพ้อย่างแรง"
       
        จากหนังสือ Low Carb Energy ฉบับเดือน มีนาคม 2005 หน้า 86 ชื่อเรื่อง "SUGAR A Serious addiction you can break" รายงานนี้เขียนโดยแพทย์หญิง Christine Horner ได้บรรยายเอาไว้ว่า คนอเมริกันกินน้ำตาลเฉลี่ย 60 กิโลกรัม/คน/ปี และตัวเลขที่น่ากลัว คือ โดยเฉลี่ย เด็กกินเป็น 2 เท่าของผู้ใหญ่ และในหนังสือเล่มนี้ก็เขียนไว้ทำนองเดียวกับหนังสือ LICK THE SUGAR HABIT ก็คือ ความหวานเพิ่มโอกาสการเป็นโรคร้ายหลายชนิด เช่น ลำไส้ใหญ่เป็นแผลอักเสบเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ไมเกรน ซึมเศร้า โรคเหงือก ฟันผุ เบาหวาน อ้วน กระดูกผุ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ฯลฯ
       
        ในหนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องการเสพติดไว้ดังนี้ ความหวานกระตุ้นสมองที่ตำแหน่งเดียวกับ มอร์ฟีน เฮโรอีน และ โคเคน และยังอ้างถึงวารสาร NEURO IMAGE ฉบับเดือนเมษายน 2004 ที่รายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เสตท ว่า เวลาเราอยากกินหวานๆ สมองจะมีปฏิกิริยาเหมือนเราอยากเสพมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน และเวลาเราได้กินหวานๆ สมองจะมีปฏิกิริยาเหมือนเรา ได้เสพมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน
       
        ทั้งนี้มีการทดลองในหนู โดยให้หนูกินอาหารและน้ำหวาน เมื่อเวลาผ่านไปหนูกินน้ำหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกินอาหารลดลง และเมื่อหยุดน้ำหวาน หนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือ ปากสั่น ตัวสั่น และเมื่อให้กินน้ำหวานอาการเหล่านี้ก็จะหายไป
       
        คราวนี้แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้น้ำหวาน กลุ่มที่สองให้มอร์ฟีน โดยเริ่มจากกลุ่มแรกให้หนูกินน้ำหวาน พอหยุดน้ำหวานหนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือ ปากสั่น ตัวสั่นอีก แต่คราวนี้ให้ยาชื่อ naloxone พบว่า หนูหายจากอาการปากสั่น ตัวสั่น (ยา naloxone เป็นยาที่ใช้ช่วยในการเลิกยาเสพติดพวกมอร์ฟีนและเฮโรอีน)
       
        หลังจากนั้นเริ่มให้มอร์ฟีนหนูอีกกลุ่มหนึ่ง จนหนูติดมอร์ฟีนแล้วหยุดให้มอร์ฟีน หนูเกิดอาการลงแดงทันที ปากสั่น ตัวสั่น เค้าก็ให้ยา naloxone หนูก็หายลงแดงทันที ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกัน
       
        ดังนั้นเมื่อได้ทราบข้อมูลข้างต้นแล้ว ต่อไปใครอยากจะอร่อยปากด้วยความหวาน ให้ใคร่ครวญให้ดีว่าเราอยากจะหายจะโรคที่เราเป็นด้วยการหยุดกินหวานได้แล้วหรือยัง?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    22 กุมภาพันธ์ 2556

6867
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นพ.ประดิษฐ สิน ธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) กล่าวภายหลังประชุมเพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครเพื่อแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สพฉ.ว่า ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก เลขาธิการ สพฉ. ภายใต้ พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 มีจำนวน 5 ราย คือ
1.นายภวัต เลิศสุธน
2.นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร
3.ศ.ดร.กิติพงษ์ เกิดฤทธิ์
4.พ.อ.(พิเศษ) นพ.โชคชัย ขวัญพิชิต และ
5.พ.อ.นพ.สุรจิต สุนทรธรรม

โดยภายหลังการประชุมลับ ผลปรากฏว่า นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร ได้รับคัดเลือกเป็นเลขาธิการ สพฉ. คะแนนเอกฉันท์  งดออกเสียง 2 คน ซึ่งเป็นกรรมการผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าประชุม ทั้งนี้ เลขาธิการ สพฉ.คนใหม่นี้จะมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉินแห่งชาติ ที่จะเข้ารับผิดชอบการบริหารงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้เป็นไปตามข้อนโยบายของ กพฉ.ที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนได้รับการบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี

นพ.อนุชากล่าวว่า ปัจจุบันระบบการแพทย์ฉุกเฉินมีการพัฒนาที่เป็นระบบมากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าจะต้องมีการพัฒนาในอีกหลากหลายด้าน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสำคัญ คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินจะต้องได้รับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม จากนี้ไปจะเน้นการพัฒนามาตรฐาน ความปลอดภัย และการคุ้มครอง ผู้ให้บริการโดยมีเป้าหมาย 5 ค. คือ ครอบคลุมการบริการผู้ป่วยฉุกเฉิน คล่องแคล่ว ด้วยการเพิ่มจำนวนหน่วยกู้ชีพให้ครอบคลุมพื้นที่บริการครบ 24 ชั่วโมง มีคุณภาพ

ทั้งนี้ นพ.อนุชา จบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประวัติการทำงาน เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมสาขาศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุวรรณคูหา จ.อุดรธานี เป็นหัวหน้าศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จ.อุดรธานี ตั้งแต่ปี 2548 รวมทั้งเคยได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นด้านอุบัติเหตุ ของสมาคมแพทย์อุบัติเหตุแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2544

หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556

6868
เป็นประเด็นร้อนและยืดเยื้อมานานสำหรับการยกเลิกขึ้นทะเบียนสารเคมีการเกษตร 4 ชนิด ได้แก่ คาร์โบฟูราน, เมโทมิล, อีพีเอ็น และไดโครโตฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่หมดอายุลงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตรายฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2551 ที่ได้กำหนดให้ขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรประมาณ 27,000 รายการต้องขึ้นทะเบียนใหม่ และสารเคมีทุกชนิดจะมีอายุ 6 ปี หลังการขึ้นทะเบียน

ขณะนี้สารเคมีทั้ง 4 ชนิดนี้ยังสามารถวางขายตามตลาดได้ แต่ไม่สามารถนำเข้าเพิ่มเติมได้ เนื่องจากการอนุโลมของกรมวิชาการเกษตรที่อนุโลมให้สินค้าที่นำเข้าก่อนวันที่ 22 สิงหาคม 2554 สามารถวางจำหน่ายได้อีก 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2556

การดำเนินการขอขึ้นทะเบียนสารเคมี กว่า 10,000 ชนิด ดำเนินการควบคู่ไปกับการยื่นคัดค้านการขึ้นทะเบียน สารเคมีที่เป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกาย โดยมีคาร์โบฟูราน, เมโทมิล, อีพีเอ็น และ ไดโครโตฟอส เป็นเป้าหลัก ทั้งฝ่ายขอ ขึ้นทะเบียนและฝ่ายคัดค้านการขึ้นทะเบียนต่างหาข้อมูลเหตุผลสนับสนุนทุกทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

เป็นเรื่องเป็นราวกันอยู่นาน กรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้น เหตุผลหนึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการทำงานตามระบบราชการต้องเป็นไปตามกระบวนการซึ่งล่าช้ามาก จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฝ่ายยื่นคัดค้านการขึ้นทะเบียนนำไปโจมตีว่า "บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์กระเป๋าหนัก จ่ายเยอะ...ซื้อเวลาได้นาน"

จากอธิบดีคนเก่าที่เกษียณอายุไปในปลายเดือนกันยายน 2555 ส่งไม้ต่อมาที่ นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนใหม่ ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งด้วยท่าทีขึงขัง ให้ความหวังว่าเรื่องน่าจะดำเนินไปเร็วกว่าเดิม โดยการให้ข่าวว่าจะจัด ประชาพิจารณ์ในเร็ว ๆ นี้ จนเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด และตอบคำถามว่า "ตั้งใจจะจัดในเดือนธันวาคม 2555 แต่ติดปัญหาบางอย่างจึงต้องเลื่อนไปหลังปีใหม่ 2556"

ผ่านปีใหม่มาเดือนกว่ายังไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าใด ๆ ออกมา จนกระทั่งเหตุเกิดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้ยกเลิกใช้สารเคมีทั้ง 4 ชนิด พร้อมกับให้เหตุผลว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายจากสารเคมีจำนวนมาก และตรวจพบสารตกค้างในเลือดของเกษตรกรและผู้บริโภคจำนวนมากเช่นกัน อีกทั้งได้ทวงถามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า "เมื่อไหร่เรื่องจะถึงบทสรุป จะต้องให้ประชาชนล้มตายไปอีกเท่าใดจึงจะเลิกใช้"

นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตอบกระทรวงสาธารณสุขไปว่า เห็นด้วยที่ว่าสารเคมีเป็นพิษต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ควรจะยกเลิกให้เร็วที่สุด แต่ติดที่ว่าการจะยกเลิกต้องเป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด โดยกฎหมายที่ควบคุมดูแลเรื่องนี้อยู่คือ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2551 ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่สำคัญคือการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หลังจาก นั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯจึงได้สั่งการไปยังกรมวิชาการเกษตรให้เร่งดำเนินการ

นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ เปิดเผยว่า การพิจารณาว่าจะอนุญาตขึ้นทะเบียนหรือยกเลิกการใช้ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมวิชาการเกษตร แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ความคืบหน้า ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทำหนังสือยื่นไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงประเด็นที่ว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นได้หรือไม่ เพื่อพิจารณายกเลิกใช้สารเคมี 4 ชนิดได้โดยเร็ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอมา แต่ยังไม่มีหนังสือตอบกลับมาแต่อย่างใด กรมจึงจะทำประชาพิจารณ์ตามกระบวนการเดิมที่วางแผนไว้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556

ดังนั้นต้องติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดว่า ผลการประชาพิจารณ์ใน วันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้จะออกมาเป็นอย่างไร และฝ่ายคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะดำเนินการอย่างไร หลังจากการประชาพิจารณ์ได้ข้อสรุปแล้ว

หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 - 20 ก.พ. 2556

6869
ปรากฏการณ์ก้นหอยเกิดขึ้นในวิชาชีพพยาบาลมาพักหนึ่งแล้ว และยังคงมีแนวโน้มเกิดขึ้นต่อเนื่องหากยังไม่มีการแก้ปัญหา

วิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาการพยาบาลอธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้คือปัญหาขาดแคลนพยาบาล ทำให้พยาบาลต้องรับภาระหนัก เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่ควรและเมื่อเหนื่อยมากสุดท้ายก็ลาออก ทำให้ยิ่งขาดแคลนพยาบาลมากขึ้น มองดูเหตุการณ์รวมๆ แล้ววาดภาพได้เป็นรูปก้นหอยพอดี

ปัญหาดังกล่าวเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องบรรยากาศ ค่าตอบแทน สวัสดิการ และความมั่นคงของอาชีพ แม้สภาการพยาบาลทำโครงการพยาบาลคืนถิ่น เพื่อกระจายพยาบาลให้เพียงพอทุกพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2544 ไม่สำเร็จเท่าที่ควร

"เราดึงเด็กเรียนดีจากชนบทมาเรียนพยาบาล แล้วให้กลับไปทำงานในต่างจังหวัด แม้ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มเป็น 150-200 คนต่อปี แต่เมื่อทำงานสักพักหนึ่งไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ ไม่มีสวัสดิการ ต้องทำงานหนัก ทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นในที่สุด"

ขณะเดียวกันการเคลื่อนย้ายวิชาชีพพยาบาลอย่างเสรี ก็ไม่น่าจะช่วยให้ไทยมีพยาบาลนำเข้าเพิ่มขึ้นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดได้ เพราะกลุ่มประเทศอาเซียนใหม่เช่น กัมพูชา ลาวพม่า เวียดนาม ยังขาดแคลนพยาบาลมากกว่าไทย และไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อย่างเต็มที่ไทยจึงไม่สามารถนำเข้าพยาบาลจากประเทศกลุ่มดังกล่าวได้

ส่วนประเทศอื่นๆเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไนพยาบาลก็มีรายได้มากกว่าไทย จึงไม่น่าจะสนใจย้ายมามากนัก ด้านฟิลิปปินส์ที่ส่งออกพยาบาลจำนวนมาก ก็กลายเป็นประเทศที่จำนวนพยาบาลในประเทศไม่เพียงพอเสียเอง

นอกจากเรื่องจำนวนบุคลากรวิชาชีพแล้ววิจิตรกล่าวว่า เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนพยาบาลไทยต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของคนไข้แต่ละชาติด้วย เพราะพยาบาลต้องทำงานใกล้ชิดกับคนไข้มาก จึงต้องเอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อไม่ทำสิ่งที่คนไข้ไม่ชอบ นอกจากนี้ทักษะเฉพาะทางก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพยาบาลในอนาคต

สภาการพยาบาลจึงทยอยดำเนินการสร้างความพร้อมของวิชาชีพมุ่งสู่ประชาคมอาเซียนทั้งขอความสนับสนุนจากภาครัฐและดำเนินการเองรวม 9 เรื่องได้แก่

1.เร่งผลิตบุคลากร โดยให้สถาบันการศึกษาพยาบาลของรัฐ 53 แห่ง ผลิตพยาบาลเพิ่มอีก2,500 คนต่อปี แต่ละปีจึงผลิตได้ 1.05 หมื่นคน รวมระยะเวลา 4-5 ปี โดยรองบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ 5,000 ล้านบาทปัจจุบันมีผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพพยาบาลและการผดุงครรภ์ทั้งสิ้น1.67 แสนคน มีผู้ยังคงทำงานในวิชาชีพราว1.3 แสนคน ส่งผลให้สัดส่วนพยาบาลต่อคนไข้ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ15 : 10,000 แต่ในอนาคตต้องการให้สัดส่วนอยู่ที่ 1 : 400

2.เรียกร้องให้ภาครัฐปรับปรุงโครงสร้างค่าตอบแทนของพยาบาลให้เหมาะสมกับภาระงาน เพื่อดึงดูดให้พยาบาลอยู่ในประเทศและไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น

3.ดึงดูดพยาบาลที่สำเร็จปริญญาโทเข้ามาเป็นอาจารย์ โดยกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสม และจัดสรรทุนพัฒนาอาจารย์ใหม่ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกระดับละ 250 ทุนต่อปี เป็นเวลา 3 ปีต่อเนื่องเพื่อทดแทนอาจารย์ที่กำลังจะเกษียณในช่วง10 ปีนี้จำนวน 30% โดยจะของบสนับสนุน 4,186 ล้านบาท

4.ให้ความรู้และเสริมสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับคนต่างชนชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม โดยอนาคตอาจบรรจุความรู้เหล่านี้ในการสอบวิชาชีพพยาบาลด้วย

5.จัดฝึกอบรมเฉพาะทางให้แก่พยาบาลไทยและพยาบาลต่างชาติ

6.เสริมสร้างจิตใจรักบริการให้แก่บุคลากรทุกระดับ

7.ปรับปรุงโครงสร้างโรงพยาบาลให้น่าอยู่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร

8.ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่นักศึกษาและอาจารย์พร้อมพัฒนาหลักสูตรพยาบาลเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียน และเพิ่มทักษะภาษาให้แก่พยาบาลด้วย

หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556

6870
ผลวิจัยชี้ บริษัทยาข้ามชาติแห่ขอสิทธิบัตรแบบไม่มีวันตายเพียบ สหรัฐฯขอมากสุดถึง 736 ราย อึ้ง! ยา 59 รายการที่มียอดการใช้สูงในไทยมีการผูกขาดยาวนาน ผลาญงบกว่า 8,400 ล้านบาท ย้ำใช้ยาชื่อสามัญช่วยเพิ่มการเข้าถึงยาของประชาชนได้ เสนอรัฐบาลแก้ พ.ร.บ.สิทธิบัตรสกัด
       
       วันนี้ (21 ก.พ.) ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภญ.อุษาวดี มาลีวงศ์ นักวิจัยของเครือข่ายวิจัยระบบยา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวระหว่างการนำเสนอผลวิจัย “สิทธิบัตรยาที่มีลักษณะไม่มีวันสิ้นสุดในประเทศไทยและการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น” ว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จำกัดความของการขอรับสิทธิบัตรยาแบบ Evergreening Patent หรือการขอรับสิทธิบัตรที่มีลักษณะแบบไม่มีที่สิ้นสุดว่า เป็นกลยุทธ์ขยายเวลาสิทธิบัตรให้ผู้ผลิตผูกขาดยาได้นานขึ้น ที่สำคัญมักพบพฤติกรรมการขอสิทธิบัตรแบบ Evergreening หลังจากยาต้นแบบออกสู่ตลาด โดยเฉพาะยาที่มียอดขายสูง ส่วนในประเทศไทยจากการวิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543-2553 มีคำขอรับสิทธิบัตรแบบ Evergreening มากถึงร้อยละ 84 จากจำนวน 2,188 คำขอ เป็นคำขอของบริษัทยาไทยเพียง 12 ราย ที่เหลือเป็นของบริษัทยาต่างชาติทั้งหมด โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ขอมากถึง 736 ราย ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติไปแล้ว 31 ฉบับ ทำให้ผู้ได้รับสิทธิบัตรได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 20 ปี หรืออาจชั่วชีวิตของยานั้น
   
       ภญ.อุษาวดี กล่าวอีกว่า การขอสิทธิบัตรยาแบบ Evergreening พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงตำรับยาสูตรผสม ขนาดการใช้ยา การเปลี่ยนแปลงสารเคมี วิธีการรักษา หรือวิธีการใช้ใหม่ แต่ไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการบริโภคยาและตลาดยาของประเทศ สอดคล้องกับการวิจัยในขั้นตอนสุดท้ายเรื่องผลกระทบค่าใช้จ่ายด้านยาและการเข้าถึงยา ซึ่งได้เลือกรายการยาที่มียอดการใช้สูงสุด 59 รายการมาวิเคราะห์พบว่า เป็นคำขอรับสิทธิบัตรแบบ Evergreening ที่ส่งผลให้มีการผูกขาดตลาดตั้งแต่ปี พ.ศ.2539-2571 คิดเป็นมูลค่าสะสมประมาณ 8,477.7 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2539-2553 พบว่า ประเทศไทยเสียโอกาสในการประหยัดงบประมาณไปแล้วถึง 1,177.6 ล้านบาท
       
       “ถ้าหากกรมทรัพย์สินทางปัญญานำแนวทางการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรฉบับใหม่มาใช้ เพื่อป้องกันการเกิดสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ถึง 8,500 ล้านบาทโดยประมาณ ภญ.อุษาวดี กล่าวและว่า นอกจากนี้ ในการประเมินความคุ้มค่าการใช้ยาของยาต้านไวรัสเอดส์ โรคมะเร็ง และโรคกระดูกพรุน ระหว่างยาต้นแบบและยาชื่อสามัญ พบว่ายารักษามะเร็งไม่มีความคุ้มค่าในด้านต้นทุน อรรถประโยชน์ เมื่อเปรียบเทียบเกณฑ์ความคุ้มค่าที่แนะนำโดย WHO เนื่องจากยาต้นแบบมีราคาแพง แต่หากมีการทดแทนด้วยยาชื่อสามัญในผู้ป่วยทุกรายพบความคุ้มค่าในการใช้ยามากขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านยาลดลง และในเวลา 10 ปีของการรักษาทั้ง 3 โรค พบว่าการทดแทนยาต้นแบบด้วยยาชื่อสามัญทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.9 ในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ร้อยละ 21.7 ในผู้ป่วยโรคเอดส์ และร้อยละ 9.3 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
       
       รศ.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะคณะวิจัย กล่าวว่า งานศึกษานี้มีข้อเสนอ 4 ประเด็น ดังนี้ 1.ให้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมยาแห่งชาติ และแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตรให้กำหนดรายละเอียดขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น 2.แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำหน้าที่พิจารณา วินิจฉัย และดำเนินการเกี่ยวกับสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์ 3.แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตรให้กำหนดขั้นตอนรายละเอียดการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และ 4.มาตรการเร่งด่วน โดยการออกประกาศกรมทรัพย์สินทางปัญญาใช้คู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ทางยา นอกจากนี้ ควรประกาศให้สาธารณชนรับทราบข้อมูลบรรณานุกรมของแต่ละคำขอสิทธิบัตร ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้ พัฒนาระบบการรายงานสถานะการดำเนินงานของแต่ละคำขอรับสิทธิบัตรให้ถูกต้องทันสมัย และพัฒนาระระบบการประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรที่ชัดเจนถูกต้องตรวจสอบได้

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 กุมภาพันธ์ 2556

หน้า: 1 ... 456 457 [458] 459 460 ... 653