แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 579 580 [581] 582 583 ... 654
8701
 อนุ กก.คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เร่งหารือแนวทางลดปัญหาบังคับตรวจเชื้อเอชไอวี หลังพบไทยเป็นปัญหาในองค์กรของรัฐ 1-2% ถูกบังคับให้ตรวจเชื้อเอดส์
       
       วันนี้ (4 ต.ค.) กรมควบคุมโรค พญ.เพชรศรี ศิรินิรันดร์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจัดการปัญหาเอดส์แห่งชาติ กรมควบคุมโรค กล่าวในการสัมมนา เรื่อง “การตรวจการติดเชื้อเอชไอวีโดยไม่สมัครใจ : ผลกระทบและแนวทางแก้ไข” ซึ่งจัดโดยคณะอนุกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ และ คร.ว่า จากข้อกำหนดของสหประชาชาติ (UNAIDS) ซึ่งมียุทธศาสตร์หนึ่งเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ที่ระบุว่า ประเทศที่มีการบังคับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ควรมีมาตรการ หรือแนวทางใดๆ เพื่อลดการบังคับสิทธิดังกล่าว ซึ่งนานาประเทศได้มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาโดยตลอด ประเทศไทยก็เช่นกัน ที่ผ่านมา มูลนิธิได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ติดเชื้อถึงสถานการณ์ปัญหาการละเมิดสิทธิ เนื่องจากมีการบังคับตรวจหาเชื้อเอดส์ และเมื่อพบกลับมีการไล่ออก ซึ่งถือเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชน ด้วยเหตุนี้คณะอนุกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ จึงได้ประชุมหารือถึงสถานการณ์ปัญหา รวมไปถึงการหาแนวทางการดำเนินการลดปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ โดยจะหารืออย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 26 ต.ค.นี้
       
       ด้าน นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนั้น หากไม่มีการป้องกันการละเมิดสิทธิ ย่อมส่งผลเสียต่อผู้ติดเชื้ออย่างมาก ดังนั้น การตรวจหาเชื้อเอดส์จะมีประโยชน์ หากเป็นไปด้วยความสมัครใจ มีการเก็บความลับของผู้ติดเชื้อ ไม่นำไปเผยแพร่ในแง่เสียหาย และมีการส่งต่อไปสู่การดูแลรักษาอย่างเหมาะสม แต่ที่ผ่านมาไม่เป็นเช่นนั้น มีการบังคับให้ตรวจเชื้อก่อนทำงาน หรือระหว่างทำงาน อย่างการตรวจสุขภาพประจำปี สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการลิดรอนสิทธิอย่างมาก
       
       นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดี คร.กล่าวว่า แม้ผู้ถูกตีตราจากการบังคับให้ตรวจเชื้อ
       เอดส์จะไม่มากนัก แต่ก็ยังเป็นปัญหาการละเมิดที่ควรเร่งแก้ไข โดยข้อมูลที่ผ่านมา พบว่า ภาครัฐ และเอกชนบางแห่งยังคงบังคับลักษณะนี้อยู่ โดยภาครัฐมีไม่มาก ราวร้อยละ 1-2 ขณะที่เอกชนมีประมาณร้อยละ 5-10 โดยผู้ที่ตรวจพบเชื้อบ้างก็ถูกไล่ออก ถูกรังเกียจ ซึ่งตัวเลขที่ชัดเจนยังคงเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ เมื่อถูกละเมิดจะไม่กล้าออกมาดำเนินคดี ทำให้ไม่มีตัวเลขแน่ชัด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน คร.ได้ร่างแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ ระหว่างปี 2555-2559 ขึ้น ซึ่งเป้าหมายหนึ่ง คือ ลดปัญหาการริดลอนสิทธิดังกล่าว โดยจะขับเคลื่อนในเรื่องการไม่ให้สถานที่ทำงานในรัฐ หรือเอกชนมีเงื่อนไขการรับลูกจ้างปลอดเชื้อเอชไอวี ทั้งการให้ไปตรวจหาเชื้อก่อน หรือ การให้แสดงหลักฐานยืนยันว่าปลอดเชื้อ ส่วนแนวทางการดำเนินการตามยุทธศาสตร์จะมีการหารือในรายละเอียดกับภาคส่วนต่างๆ ต่อไป
       
       อนึ่ง ภายในงานได้เปิดเผยผลการชี้วัดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีปี 2552 ซึ่งจัดทำโดยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย สนับสนุนโดยโครงการร่วมโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ โดยสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อ 233 คน แบ่งเป็นชาย 57 หญิง 148 โดยสำรวจการกีดกันเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมพบว่าร้อยละ 34.33 ไม่ได้รับเชิญหรือถูกกีดกันไม่ให้ร่วมงาน โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากรังเกียจที่พวกเขาติดเชื้อถึงร้อยละ 57.84 นอกจากนี้อีกร้อยละ 19.47 ยังถูกปฏิเสธเข้ารับบริการทางการแพทย์ กรณีที่พบบ่อย คือ การทำฟัน การวางแผนครอบครัว ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้ร้อยละ 63.95 รู้สึกละอาย ร้อยละ 47.64 รู้สึกผิด ร้อยละ 16.74 อยากฆ่าตัวตาย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 ตุลาคม 2554

8702
 “หมอเชิดชู” โร่! ทูลเกล้าฯถวายฎีการ้องทุกข์กรณี ครม.ตั้งผู้บริหาร สธ.เปื้อนมลทินเข้ารับตำแหน่ง โอดร้อง
รมว.สธ.แล้ว แต่ไม่ได้รับความเอาใจใส่
       
       วันนี้ (4 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) ได้เดินทางเข้าทูลเกล้าฯถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สำนักพระราชวัง ภายในวัดพระแก้ว เพื่อร้องทุกข์กรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2554 เห็นชอบแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งอธิบดี และรองปลัดกระทรวงในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 9 คน
       
       โดย พญ.เชิดชู กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบว่า 1 ในผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีในครั้งนี้ มีความไม่เหมาะสม เนื่องจากถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลความผิดทุจริตโครงการการจัดซื้อรถพยาบาล 232 คัน มูลค่า 340 ล้านบาท เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน โดยเป็นคณะกรรมการกำหนดคุณลักษณะรถพยาบาล ซึ่ง สตง.ชี้ว่า คุณลักษณะรถพยาบาลที่คณะกรรมการกำหนดสเปกปรับปรุงใหม่มีลักษณะเอื้อประโยชน์แก่ผู้เสนอราคา คือ บริษัทเสนอขายรถยนต์
       
       โครงการนี้จึงพบมูลความผิดทุจริต และได้ให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และถูกชี้มูลความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ สธ.ไม่ได้ดำเนินการใดๆ มิหนำซ้ำยังแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารระดับสูงถึงตำแหน่งอธิบดี ที่ผ่านมาพวกเราได้มีการทักท้วงไปยังนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สธ.แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการใส่ใจ
       
       “นอกจากนี้ ยังได้ถวายฎีกาเพื่อร้องทุกข์กรณีที่เห็นว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่จริงจังในการแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังอยู่ในภาวะอันตราย เพราะขาดแคลนบุคลากรโรงพยาบาลขาดทุน ขาดสภาพคล่อง และปัญหาเรื่องค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น”พญ.เชิดชู กล่าว
       
       อนึ่ง ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก ครม.9 คน ประกอบด้วย
1.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ รองปลัด สธ.เป็น อธิบดีกรมควบคุมโรค
2.นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองปลัด สธ.เป็น อธิบดีกรมสุขภาพจิต
3.นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็น รองปลัด สธ.
4.พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็น อธิบดีกรมการแพทย์
5.นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็น อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
6.นพ.นิทัศน์ รายยวา ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็น รองปลัด สธ.
7.นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นรองปลัด สธ.
8.นพ.สมชัย นิจพานิช สาธารณสุขนิเทศก์ เป็น รองปลัด สธ.และ
9.นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 ตุลาคม 2554

8703
 งานวิจัยพบเด็กใต้นิยมบริโภคผัก-ผลไม้อย่างเพียงพอมากสุด ขณะเด็กอีสานยังกินผักน้อย
       
       วันนี้ (3 ต.ค.) รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552 ในส่วนของพฤติกรรมการบริโภค ว่า จากการศึกษาประชากรทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา ยังปริโภคผักผลไม้ ต่ำกว่าเกณฑ์ ในการสำรวจได้สำรวจประชากร อายุ 2 ปี ขึ้นไป ใน 4 ภาค รวมทั้ง กทม.โดยมาตรส่วนที่เป็นปริมาณแนะนำ คือ ผัก 1 ส่วน เท่ากับ ผักปรุงสุก 1 ทัพพี หรือ ผักสด 2 ทัพพี ส่วนผลไม้ 1 ส่วนมาตรฐาน เท่ากับ มะละกอ แตงโม หรือสัปปะรด 6-8 คำ หรือ กล้วยน้ำว้าผลเล็ก หรือ กล้วยหอมผลกลาง ครึ่งผล หรือ ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่ หรือ 2 ผลกลาง หรือ เงาะ 4 ผล

       รศ.นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ส่วนการกินผัก พบว่า เด็กอายุ 2-14 ปี กินผักเฉลี่ยวันละ 0.7 ส่วน โดยเด็กอายุ 2-5 ปี ทั้งชายและหญิงกินผักน้อยกว่า เด็กอายุ 6-14 ปีเล็กน้อย และไม่พบความแตกต่างระหว่างเด็กในและนอกเขตเทศบาล แต่พบว่าเด็กในภาคใต้ ทานผักมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคเหนือ, กทม.ส่วนเด็กภาคอีสาน ทานผักน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบความเพียงพอในการปริโภคพบว่า เด็ก 6-14 ปี ที่กินผักเพียงพอตามข้อแนะนำต่อวัน มีเท่ากับ 5% เมื่อสำรวจปริมาณการบริโภคผลไม้ พบว่า เด็กอายุ 2-14 ปี กินผลไม้โดยเฉลี่ยต่อวัน 1.3 ส่วน เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการบริโภคต่อวัน พบว่าเด็ก 1 ใน 2 ทานผลไม้ปริมาณน้อยกว่า 1 ส่วนต่อวัน ดังนั้น จึงควรรณรงค์ให้เด็กเห็นถึงคุณค่าการบริโภคผักและผลไม้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2554

8704
​"วิทยา" ​เตรียม​เสนอ 2 รายชื่อ สรรหากรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิ บอร์ด สปสช.​แทน "หมอพิพัฒน์" ยัน​แต่งตั้งบอร์ด​เสร็จ​เร็ว ​ไม่ยืด​เยื้ออย่างที่คิด พร้อม​เ​ก็บ 30 บาท​ได้​ใน​เดือนตุลาคมนี้​แน่ ย้อน​เอ็นจี​โอ​แต่งตั้ง​ไม่​โปร่ง​ใสตรง​ไหน

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐ มนตรีว่า​การกระทรวงสาธารณ สุข กล่าวว่า ​ใน​การประชุมคณะกรรม​การหลักประกันสุข ภาพ​แห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) วันที่ 5 ตุลาคมนี้ มี​เพียงวาระ​การพิจารณา​การประ​เมินผล งาน​เลขาธิ​การ สปสช.​เท่านั้น ​ไม่มีวาระ​การพิจารณาอื่น ​ซึ่ง ​ในส่วนของ​การสรรหากรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิ​ในบอร์ด สปสช. 1 ตำ​แหน่ง ​เพื่อ​แทน นพ.พิพัฒน์ ยิ่ง​เสรี ​เลขาธิ​การคณะกรรม​การ อาหาร​และยา (อย.) ที่ดำรงตำ ​แหน่งคณะกรรม​การควบคุมคุณภาพ​และมาตรฐานบริ​การสาธารณสุข สปสช.อยู่​แล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอน​การดำ​เนิน​การ ​โดย​ได้มี​การ​เสนอรายชื่อ​ผู้​เหมาะสม 2 คน ​เพื่อรับ​การสรรหา​แล้ว ​ซึ่งคงจะมี​การนัดประชุมบอร์ด สปสช. ​เพื่อ​ทำ​การลงคะ​แนนคัด​เลือกต่อ​ไป

นายวิทยากล่าวว่า ยืน ยันว่า​การดำ​เนิน​การ​แต่งตั้งบอร์ด สปสช.ชุด​ใหม่นี้ จะ​แล้ว​เสร็จ​โดย​เร็ว หลังจากนั้นจะสามารถพิจารณา​เรื่อง​การจัด​เ​ก็บ​เงินสมทบ 30 บาท​ได้ ​โดยจะมี​การพิจารณา​ในรายละ​เอียด ขั้นตอน​การดำ​เนิน​การต่างๆ ​ซึ่งจะ​ให้​แล้ว​เสร็จภาย​ใน​เดือนตุลาคมนี้​แน่นอน ​และจะสามารถ​เริ่มจัด​เ​ก็บ 30 บาทตามน​โยบาย​ได้​ใน​เดือนพฤศจิกายนต่อ​ไป

ส่วนกรณีที่ทางกลุ่ม​เอ็น จี​โอระบุว่าจะยื่นต่อศาลปกครอง ​เนื่องจาก​เห็นว่ากระบวน​การสรร หา​ผู้ทรงคุณวุฒิบอร์ด สปสช. มีปัญหานั้น นายวิทยากล่าวว่า ​การสรรหาที่ผ่านมา​เดิน​ไปตามกระบวน​การถูกต้อง​และ​เปิด​เผย ต้องถามว่าตรง​ไหน​ไม่​โปร่ง​ใส.


ไทย​โพสต์ 4 ตุลาคม 2554

8705
รณรงค์หญิง​ไทย​ให้ 'กล้า-มั่น​ใจ-คุม' ชีวิตตน​เองมุ่งสร้างสังคมปราศจากภาวะท้อง​ไม่พึงประสงค์อย่างยั่งยืน

สภาวิชา​การคุมกำ​เนิด​แห่งภาคพื้น​เอ​เชีย​แปซิฟิก ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ​และ​ไบ​เออร์ ​เฮลธ์​แคร์ ​แผนก​เวชภัณฑ์ จัดกิจกรรมรณรงค์วันคุมกำ​เนิด​โลกปี 2554 ​ในวันที่ 26 กันยายนของทุกปี

​โดย​ในปีนี้มีพันธกิจที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจาก​การตั้งครรภ์อัน​ไม่พึงประสงค์ ภาย​ใต้​แนวคิด "​เรียนรู้ชีวิต ​เรียนรู้สิทธิ ​เรียนรู้​การคุมกำ​เนิด" ผ่านกิจกรรม​เสวนา "สอนหญิงมั่น คุมรักอย่างชาญฉลาด" ​เพื่อ​เปิด​เผยผล​การสำรวจล่าสุด​ใน 9 ประ​เทศ​เอ​เชีย​แปซิฟิก​เกี่ยวกับ "​ความรู้​และ​การ​เข้า​ถึง​แหล่งข้อมูลด้าน​การคุมกำ​เนิด" พร้อมกิจกรรมละคร​เวที "สงครามดอกรัก...รักนี้คุม​ได้" ​เพื่อที่​ผู้หญิงยุค​ใหม่จะสามารถ​ใช้ชีวิต​ได้​โดย​ไม่ต้องกังวลกับ​การตั้งครรภ์อัน​ไม่พึงประสงค์​และ​แท้ง​ในวัย​เรียน

ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ​และ​ในฐานะ​ผู้​แทนสภาวิชา​การคุมกำ​เนิด​แห่งภาคพื้น​เอ​เชีย​แปซิฟิกประจำประ​เทศ​ไทย (APCOC) ​เปิด​เผยว่า "ปัจจุบัน​ผู้หญิงมี​ความกล้าคิดกล้า​แสดงออก ​และกล้าที่จะต่อสู้​เพื่อ​ความต้อง​การของตัว​เองมากขึ้น ​ทั้ง​ในด้าน​การ​ทำงาน ​และ​เรื่องชีวิตส่วนตัว ​โดย​เฉพาะ​เรื่อง​ความรักที่​ผู้หญิง​ไม่​ได้รอ​เพื่อ​เป็นฝ่ายถูก​เลือกอีกต่อ​ไป ​แต่​ก็มี​ผู้หญิงจำนวนอีก​ไม่น้อยที่พลาด​ใน​เกม​ความรัก​ทำ​ให้ชีวิตพัง ​เนื่องจาก​ไม่คุมกำ​เนิด"

จากผล​การสำรวจล่าสุด​เกี่ยวกับ "​ความรู้​และ​การ​เข้า​ถึง​แหล่งข้อมูลด้าน​การคุมกำ​เนิด" ​โดยจี​เอฟ​เค (GFK-Growth from Knowledge) ​และ​ไบ​เออร์ ​เฮลธ์​แคร์ ฟาร์มา ​ทำ​การสำรวจกลุ่มตัวอย่าง​ทั้งชาย​และหญิงอายุระหว่าง 20-35 ปี ​ในประ​เทศกลุ่ม​เอ​เชีย​แปซิฟิก 9 ประ​เทศ ​ได้​แก่ จีน ​เกาหลี​ใต้ ​ไทย สิงค​โปร์ อิน​โดนี​เซีย อิน​เดีย ปากีสถาน ​ไต้หวัน ​และมา​เล​เซีย ​แบ่ง​เป็น​เพศชายประ​เทศละ 100 คน ​และ​เพศหญิงประ​เทศละ 100 คน ผ่าน​การตอบ​แบบสอบถาม​แบบออน​ไลน์ ยก​เว้นปากีสถาน​ซึ่งตอบ​แบบสอบถาม​แบบตัวต่อตัว ​ใน​เดือนกรกฎาคม 2554 พบว่า ชาว​ไทยต้อง​การมีบุตรคน​แรก​เมื่ออายุ 31 ปีขึ้น​ไป ​และอีกร้อยละ 19 ​ไม่ต้อง​การมีบุตร​เลย สิ่งที่น่า​เป็นห่วงพบว่าหญิง​ไทยกว่าร้อยละ 52 ​ไม่​เคยพบสูตินรี​แพทย์

สิ่งที่น่ากังวล​เป็นอย่างมากจากผลสำรวจอีกอย่างหนึ่งพบว่าร้อยละ 77 ของหญิง​ไทย​เคย​ไม่ป้องกัน​และคุมกำ​เนิด​เมื่อมี​เพศสัมพันธ์กับคู่นอน​ใหม่ ​โดยร้อยละ 23 ของหญิง​ไทย​ให้​เหตุผลว่าตน​ไม่มี​ความ​เสี่ยง​ใน​การตั้งครรภ์ ​และคู่นอน​ไม่ต้อง​การ​ใช้อุปกรณ์ป้องกัน อีกร้อยละ 10 ตอบว่าขณะนั้น​ไม่มี​ความพร้อม​ใน​เรื่องอุปกรณ์ป้องกัน ​และตน​ไม่ชอบ​ใช้อุปกรณ์ป้องกัน

จาก​แบบสอบถามยังพบ​เรื่องที่น่าประหลาด​ใจว่า ร้อยละ 49 ของกลุ่มตัวอย่างชาว​ไทยตอบว่าตนสบาย​ใจ
ที่จะปรึกษา​เรื่อง​การคุมกำ​เนิดกับ

​เพื่อน ​ซึ่งขัด​แย้งกับผลสำรวจที่พบว่ากลุ่มตัวอย่าง​เดียวกันนี้ร้อยละ 48 คิดว่า​เพื่อน คือ​แหล่งข้อมูลที่​ให้ข้อมูลผิดพลาด ​และ​ไม่ถูกต้องมากที่สุด ​โดยสา​เหตุมาจาก​ความอาย ​และกลัวพ่อ​แม่รวม​ถึงคน​ใกล้ชิดจะรู้

​เมื่อสอบถาม​ถึงวิธี​การป้องกัน​การตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพ หญิง​ไทยร้อยละ 56 ​เลือกยา​เม็ดคุมกำ​เนิด ​และร้อยละ 54 ​เลือกยาคุมกำ​เนิดฉุก​เฉิน ​ซึ่งนั่นหมาย​ความว่าหญิง​ไทย​ในปัจจุบันยัง​ไม่มี​ความรู้ ​ความ​เข้า​ใจ​ถึงอันตรายของยาคุมกำ​เนิดฉุก​เฉิน​เพียงพอ ​ซึ่ง​เป็น​เรื่องที่น่า​เป็นห่วงมาก ​เนื่องจากยาคุมกำ​เนิดฉุก​เฉินมีผลข้าง​เคียงคือ คลื่น​ไส้ อา​เจียน ปวดท้อง มี​เลือดออกกะปริบกะปรอย ​หรือมี​เลือดออกมากระหว่างมีประจำ​เดือน ​และหาก​ใช้ติดต่อกัน​เป็น​เวลานาน จะ​ทำ​ให้​เกิดภาวะระดับฮอร์​โมนสูง​ในร่างกาย ส่งผล​ให้​เกิด​ความผิดปกติที่รัง​ไข่ ​เยื่อบุ​โพรงมดลูก รวม​ทั้ง​เพิ่ม​ความ​เสี่ยง​ใน​การตั้งครรภ์นอกมดลูก ​ซึ่ง​โดย​เฉลี่ย​แล้ว​ไม่ควรทานยาคุมฉุก​เฉิน​เกิน 2 ครั้งต่อ​เดือน

น.พ.กิตติพงศ์ ​แซ่​เจ็ง ​ผู้อำนวย​การสำนักอนามัย​เจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ​เปิด​เผยว่า "​ในปัจจุบันมีหญิง​ไทยจำนวนมากที่ต้อง​เผชิญกับภาวะ​การตั้งครรภ์​ไม่พึงประสงค์ รวม​ถึงสถาน​การณ์ที่บีบบังคับ​ให้ต้อง​ทำ​แท้ง ด้วย​เหตุนี้​จึง​ทำ​ให้กรมอนามัยต้อง​การรณรงค์​ให้​ผู้หญิง​ไทยรู้จักวิธีป้องกัน​การคุมกำ​เนิดอย่างถูกต้อง​และมีประสิทธิภาพ ​เพื่อ​การ​ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ นอกจาก​การ​ให้​ความรู้ที่ถูกต้อง​แล้ว ​การสร้างทัศนคติ​และค่านิยมที่ถูกต้อง​เกี่ยวกับ​การมี​เพศสัมพันธ์ ​และ​การคุมกำ​เนิด​เพื่อป้องกัน​การตั้งครรภ์อัน​ไม่พึงประสงค์​ก็​เป็นสิ่งที่ขาด​ไม่​ได้​เช่นกัน ​เพราะสิ่งต่างๆ ​เหล่านี้จะ​ทำ​ให้​ผู้หญิงสามารถควบคุมชีวิตตัว​เอง​ให้​เป็น​ไปตามที่วาง​แผน​ไว้ ​เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้​การคุมกำ​เนิดยัง​เป็นส่วนสำคัญ​ใน​การลดอัตรา​การตั้งครรภ์อัน​ไม่พึงประสงค์​และอัตรา​การ​ทำ​แท้งอีกทางหนึ่งด้วย"

ดังนั้น "วันคุมกำ​เนิด​โลก 54" ​จึง​เป็นกิจกรรม​เพื่อรณรงค์​การคุมกำ​เนิดที่สามารถกระตุ้น​ความสน​ใจ​ให้คน​ในสังคมหันมา​เห็น​ถึง​ความจำ​เป็น​ใน​การคุมกำ​เนิด ​แม้ว่า​ผู้หญิง​ในปัจจุบันจะมี​ความกล้า ​และ​ความมั่น​ใจ​ใน​การควบคุมชีวิตของตัว​เองมากขึ้น ​ไม่ว่าจะ​เป็น​ในด้านของหน้าที่​การงาน​ในอาชีพต่างๆ ​ก็จะมี​ผู้หญิง​เก่งประดับวง​การอยู่​เสมอ ​ผู้หญิง​ในปัจจุบันมี​ความกล้ามากขึ้นที่จะ​ใช้ชีวิตตาม​ความปรารถนาของตน​เอง ​แต่​ก็มีหลายคนที่พลาด​ใน​เรื่อง​การคุมกำ​เนิด ​ทำ​ให้ชีวิตต้องหัก​เห​ไปจาก​เส้นทางชีวิตที่วาง​แผน​ไว้ ร่วม​เรียนรู้วิถี​การต่อสู้​เพื่อ​ความรักของลูก​ผู้หญิงอย่างชาญฉลาดผ่านละคร​เวที "สงครามดอกรัก...รักนี้คุม​ได้" ​โดย 3 ดาราสาวตัว​แทน​ผู้หญิง​แกร่งยุค​ใหม่ ​เบนซ์-พรชิต ณ สงขลา ​เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร ​และจิ๊บ-ปกฉัตร ​เทียมชัย ที่จะมา​เป็นภาพสะท้อนของ​ผู้หญิง 3 ส​ไตล์ที่มีวิธี​การต่อสู้​เพื่อ​ความรัก​ในรูป​แบบต่างๆ กัน​เพื่อมัด​ใจชายหนุ่ม ​ซึ่ง​ได้ บอย-พิษณุ นิ่มสกุล มาร่วม​แสดง ​ใน​ผู้หญิง 3 คนนี้ คนหนึ่งมี​เพศสัมพันธ์​โดย​ไม่ป้องกัน อีกคน​เลือกที่จะ​ใช้ยาคุมกำ​เนิดฉุก​เฉินอย่างต่อ​เนื่อง ​และอีกคนหนึ่งนั้น​เลือก​ใช้ยา​เม็ดคุมกำ​เนิด​เพื่อป้องกัน​การตั้งครรภ์ ​ซึ่ง​เป็นวิธีที่ชาญฉลาด​และปลอดภัยที่สุด ​และ​แน่นอนว่า​ทั้ง 3 คนย่อม​เผชิญชะตากรรมชีวิตที่ต่างกัน​ไปตามทางที่ตัว​เอง​เลือก บางคนอาจต้องลาจากจากคนที่ตัว​เองรัก บางคนต้อง​เผชิญหน้ากับ​โรคร้าย ​และบางคนต้อง​แลก​ทั้งหมดด้วยชีวิตของตน​เอง

วันคุมกำ​เนิด​โลกนี้จัดขึ้น​เป็นประจำทุกปี ​เพื่อรณรงค์​ให้​ผู้หญิงมีคุณภาพชีวิตที่ดี ​และ​เพื่อผลักดัน​ให้​ผู้หญิงตระหนัก​ถึง​ความสำคัญของ​การคุมกำ​เนิด ​และรู้จักประ​โยชน์ของยา​เม็ดคุมกำ​เนิด​เพิ่มมากขึ้น ​โดยหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงานนั้นต่างพร้อม​ใจกัน​เดินหน้า​เพื่อ​เผย​แพร่​ความรู้​และสร้าง​ความ​เข้า​ใจ​เกี่ยวกับวิธีคุมกำ​เนิด​และยา​เม็ดคุมกำ​เนิดที่ถูกต้อง​ให้​แก่​ผู้หญิง​ไทย ​เพื่อ​ให้​ผู้หญิง​ไทยสามารถจัด​การ​และควบคุมชีวิต​ได้ดั่ง​ใจ ​และร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจาก​การตั้งครรภ์อัน​ไม่พึงประสงค์อย่างยั่งยืน

บ้าน​เมือง  3 ตุลาคม 2554

8706
ยศยาคลินิก ​ผู้​เล่นหน้า​ใหม่​ในตลาดศัลยกรรม​ความงาม​และดู​แลผิวพรรณ ​โดดขึ้นสัง​เวียนชนคู่​แข่ง ทุ่มงบ กว่า 30 ล้านบาท นำร่องสาขา​แรกที่รัชดา ชูจุดขาย​ทำกับศัลย​แพทย์ตก​แต่ง​โดยตรง​ในราคาต่ำกว่าคู่​แข่ง 50% มั่น​ใจ 5 ​เดือนสุดท้ายปิดราย​ได้ที่ 15 ล้านบาท ก่อน​เติบ​โต 100% ​ในปี 2555

นางสาวกานต์ณพิชญ์ กุณามา ​ผู้จัด​การฝ่าย​การตลาด “ยศยาคลินิก” กล่าวว่า “ยศยาคลินิก” ​ให้บริ​การ​ทั้ง​ในด้าน​การดู​แลผิวพรรณ​และ​ความงาม ​และ​การ​ทำศัลยกรรมตก​แต่ง ด้วยงบลงทุนกว่า 30 ล้านบาท ​เพิ่งจะ​เปิดสาขา​แรกที่ถนนรัชดาภิ​เษกนำร่องมา​เกือบ 2 ​เดือน​แล้ว ​โดย​เรามั่น​ใจว่าศักยภาพของ​ทำ​เลย่านรัชดาภิ​เษก ​เป็นย่านที่มีกลุ่ม​เป้าหมายจำนวนมาก ​เนื่องจากมีอาคารสำนักงาน บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนสถานศึกษา​และสถานบัน​เทิงจำนวนมาก สำหรับจุดขายสำคัญที่ยศยาคลินิกถือ​เป็น​ไม้​เด็ด​ใน​การครอง​ใจลูกค้าคือ​การมีศัลย​แพทย์ตก​แต่งที่จบสาขานี้มา​โดยตรง ​ทำ​ให้มีองค์​ความรู้​และมี​ความ​เชี่ยวชาญ​เฉพาะด้าน ​แตกต่างจากคลินิกทั่ว​ไปที่มักจะ​เป็น​แพทย์ศัลยกรรม ​แต่อาจจะ​ไม่​ได้​เรียนมาทางด้านศัลย​แพทย์ตก​แต่ง​โดยตรง ​เพราะ​ใน​แต่ละปี​ไทยสามารถผลิต​แพทย์ที่จบสาขาศัลย​แพทย์ตก​แต่ง​เพียงจำนวนประมาณ 12-15 คน ​ทำ​ให้ปัจจุบันมี​แพทย์กลุ่มนี้​เพียง 250 — 300 คน ​ซึ่ง​แน่นอนว่า​ไม่​เพียงพอกับ​ความต้อง​การของตลาดศัลยกรรมที่มี​การขยายตัวอย่างต่อ​เนื่อง

“​เรามองว่าตลาดศัลยกรรมยังคง​เติบ​โตต่อ​เนื่อง ​ในปีนี้คาดว่ามูลค่ารวมของปีนี้น่าจะอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท สังคม​ไทย​และคน​ไทย​เปิดกว้าง​และยอมรับ​การศัลยกรรมมากขึ้น อาจจะด้วยอิทธิพลของคนดัง ดารา-นักร้อง-นัก​แสดงที่มักจะสวยด้วย​แพทย์​ทั้งสิ้น ประกอบกับกระ​แสของ​เค-ป๊อป​และวัฒนธรรมบัน​เทิงที่มาจากประ​เทศ​เกาหลี ​เป็นตัวกระตุ้น​ให้สังคม​ไทยหันมานิยม​ทำศัลยกรรมมากขึ้น ​โดย​แนว​โน้มของ​ผู้ที่​เริ่ม​ทำศัลยกรรมมีอายุน้อยลง จาก​เดิม 18 ปีขึ้น​ไป มา​เป็นตั้ง​แต่ 15 ปีขึ้น​ไป สำหรับ​เทรนด์ศัลยกรรม​เกาหลีที่มา​แรงนี้ ทางยศยาคลินิก​ก็ถือ​เป็นจุดขายสำคัญอีกอย่าง​เพราะ​ได้ส่งศัลย​แพทย์ตก​แต่ง​ไป​เรียนรู้​และอบรม​เพิ่ม​เติมกับ ศัลย​แพทย์ตก​แต่งที่ประ​เทศ​เกาหลี ​เรานำ​เข้าวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆทางด้านศัลยกรรมมาจาก​เกาหลี ​เพราะต้องยอมรับว่านวัตกรรม​และ​เครื่อง​ไม้​เครื่องมือของ​เกาหลีมีคุณภาพ บางอย่างมีต้นทุนสูงกว่าที่นำ​เข้าจากยุ​โรป​และอ​เมริกา ​แต่สามารถ​เข้ากับคน​เอ​เชีย​ได้ดีกว่า ​เช่นซิลิ​โคนสำหรับ​ทำจมูก ​เป็นต้น”

​ผู้จัด​การฝ่าย​การตลาดคลินิกยศยา ​เปิด​เผยว่า ​เพื่อ​ให้​เกิด​การตัดสิน​ใจซื้อที่​เร็วขึ้น ทางคลินิก​ได้มี​การกำหนดราคา​การ​ให้บริ​การที่ต่ำกว่าคู่​แข่งประมาณ 50% ​เมื่อ​เทียบกับค่าบริ​การ​ทำศัลยกรรมประ​เภท​เดียวกันของคู่​แข่ง ​เช่น ​การ​ทำจมูก ​เทคนิค​เกาหลี มีราคาที่ 30,000 บาท ขณะที่คู่​แข่งที่จับลูกค้าระดับบีบวก​ถึงมีราคา​เริ่มต้นที่ประมาณ 55,000 บาท

“​เรา​เน้น​ทำราคา​ให้ต่ำกว่าคู่​แข่งอย่างน้อย​ก็​เป็น​เวลาประมาณ 3 ปี ​เพื่อสร้าง​การจดจำ​แบรนด์​และ​แนะนำฝีมือ​แพทย์​ให้​เป็นที่รู้จัก​ในวงกว้างก่อน ผ่าน​การบอกต่อของลูกค้า​เป็นหลัก ​เพราะปัจจัย​แรกที่จะ​ทำ​ให้​เกิด​การตัดสิน​ใจ​ทำศัลยกรรม คือ ​ความ​เชื่อมั่น​ในตัว​แพทย์ ที่มาจาก​การบอกต่อของคน​ใกล้ชิด ​โดย ราคา ​และ สถานที่​เป็นปัจจัยรองลงมาตามลำดับ ​โดยคลินิก​ได้​ใช้งบประมาณ​การตลาด​ใน 5 ​เดือนหลังของปีนี้ 5 ล้านบาท​ใน​การ​ทำ​โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางหลักๆ ​เช่น หนังสือพิมพ์ ​โซ​เชียล​เน็ต​เวิร์ค ​เรามั่น​ใจว่า​ในช่วง 5 ​เดือนสุดท้ายปีนี้​เราจะสามารถ ​เ​ก็บยอดขาย​แบบสบายๆที่ 15 ล้านบาท ​แต่จะขยายตัว​แบบ​เต็มที่​แบบก้าวกระ​โดด 100% ​ในปี 2555 ​และ​ในอนาคต ภาย​ใน1-2 ปีนี้ คลินิก​ก็มี​แผนจะขยายสาขา​เพิ่มอีก 1-2 ​แห่ง ​โดย​เล็งพื้นที่​ในห้างสรรพสินค้า ​เพื่อ​เป็นสาขาที่​เน้น​การ​ทำทรีต​เมนต์ต่างๆ พร้อมกับ​เป็นสาขาหน้าร้านที่จะ​เรียกลูกค้า​ทำศัลยกรรมกลุ่ม​ใหม่​ให้มา​ใช้บริ​การที่สาขา​แรก คาดว่าจะ​ใช้งบอีก 5-10 ล้านต่อสาขา

ThaiPR.net  3 ตุลาคม 2554

8707
5 ​โรงพยาบาล​เอกชนชั้นนำของ​เมือง​ไทย ประกอบด้วย รพ.กรุง​เทพ รพ.สมิติ​เวช รพ.​เปา​โล รพ.พญา​ไท ​และ รพ.บี​เอ็น​เอชผนึกกำลังจัดประชุมทางวิชา​การ​เพื่อ​เฉลิมพระ​เกียรติพระบาทสม​เด็จพระ​เจ้าอยู่หัว ​เนื่อง​ใน​โอกาสพระราชพิธีมหามงคล​เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ​เป็น​การนำ​เสนอ​ความรู้ตลอดจนวิทยา​การ​เทค​โน​โลยีที่ทันสมัยประยุกต์อย่าง​เหมาะสม ​เพื่อ​การรักษา​และ​การสร้าง​เสริมสุขภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตอันจะก่อ​ให้​เกิดประ​โยชน์ต่อ​ผู้ป่วย​และประชาชนทั่ว​ไป

​โดยสม​เด็จพระ​เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ​เสด็จฯ ​เป็นองค์ประธาน​ในพิธี​เปิดงาน ณ อาคาร​เฉลิมพระบารมี ​แพทยสมาคม​แห่งประ​เทศ​ไทย ซ.ศูนย์วิจัย

​ใน​การนี้​ได้ทรงมีพระราชดำรัส​เกี่ยวกับ​การประชุมตอนหนึ่งว่า "​ในปัจจุบัน​เทค​โน​โลยี ​และ​เทค​โน​โลยีทางด้าน​การ​แพทย์ที่​เจริญก้าวหน้าอย่าง​ไม่หยุดยั้ง ​ผู้ปฏิบัติงานทางด้าน​การ​แพทย์​จึงจำ​เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประสานงาน​เพื่อหาข้อมูล​ความรู้​เพื่อนำ​ไปปรับ​ใช้​ในวง​การ​แพทย์​และวง​การสาธารณสุข​ให้​เจริญ อันจะก่อ​ให้​เกิดประ​โยชน์​ใน​การพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชน​ให้อยู่อย่างผาสุก​โดยทั่วหน้ากัน"

ประ​เด็นหลักๆ ตลอด​การประชุม​ทั้ง 3 วัน มีหัวข้อ​การสัมมนา​เชิงวิชา​การที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชาชีพทางด้าน​การ​แพทย์ ​โดยวิทยากร​ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย​การบรรยาย 16 ​เรื่อง สัมมนา 29 ​เรื่อง หัวข้อที่น่าสน​ใจ ​เช่น "ภาวะ​การ​เป็นหนุ่ม​เป็นสาวก่อนวัย Approach in children

growing puberty too early or rapidly" ​โดย ศ.​เกียรติคุณ นพ.กิตติ อังศุสิงห์ ​การ​แพ้​โปรตีนนมวัว​ในวัย​เด็ก ​โดย รศ.พญ. บุษบา วิวัฒน์​เวคิน รศ.นพ.สุวัฒน์ ​เบญจพลพิทักษ์ ​และ รศ.พญ.อุมาพร สุทัศน์วรวุฒิ ​การรักษา​โรคทางกระดูก​และข้อ​โดย​ใช้กล้องส่องสำหรับกระดูกสันหลัง ​โดย รศ.นพ.ประกิต ​เทียนบุญ ​และ รศ.นพ.กีรติ ​เจริญชลวานิช ​การประชุม​เฉลิมพระ​เกียรติฯ ทางทันต​แพทย์ ​เรื่อง "รากฟัน​เทียม​ในพระราชดำริ พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อคุณภาพชีวิต​ผู้สูงอายุ" ​เป็นต้น นอกจาก​แพทย์​ผู้ทรงคุณวุฒิ บุคลากรทางด้าน​การ​แพทย์จากสถาบันชั้นนำทั่วประ​เทศ ​เข้าร่วมกว่า 1,000 คน ​ในปีนี้ "ศ.​เกียรติคุณ นพ.​เกษม วัฒนชัย" องคมนตรี ​ได้​ให้​เกียรติมา​แสดงปาฐกถาพิ​เศษ​ในหัวข้อ "พระบาทสม​เด็จพระ​เจ้าอยู่หัวกับ​การพัฒนาด้าน​การ​แพทย์​และ​การสาธารณสุข" ​เพื่อระลึก​ถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์​ไทยที่​ได้ทรงมีคุณูป​การต่อวง​การ​แพทย์​ไทยอย่างต่อ​เนื่องมาตั้ง​แต่อดีตจน​ถึงปัจจุบัน

​โดย​เฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสม​เด็จพระ​เจ้าอยู่หัว​ซึ่งทรงบำ​เพ็ญพระราชกิจ​เป็นอ​เนกประ​การ ​ทั้ง​ในด้าน​การ​แพทย์ ​การสาธารณสุข ​และพระราชกรณียกิจน้อย​ใหญ่ที่​เกื้อกูลส่ง​เสริมกิจ​การ​ทั้งปวง อัน​เกี่ยวกับ​การพัฒนาสุขภาพอนามัยประชาชน ​ซึ่งยังประ​โยชน์มหาศาล​แก่ปวงชนชาว​ไทยทุกหมู่​เหล่า ​ซึ่ง น.พ.​เกษม ​ได้กล่าว​โดยสรุป​ไว้อย่างน่าสน​ใจว่า...

"​ในสมัยพระ​เจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันตั้ง​แต่ปี 2489 ทรงพระราชทาน​โครง​การตาม​แนวพระราชดำรินับพัน​โครง​การ ถ้า​ได้พิจารณา​โครง​การพระราชดำริ​เหล่านั้นอย่างถ่อง​แท้ ​โดยดูคราวละ 10 ปี ที่พระองค์ท่านทรงครองราชย์ จน​ถึงปัจจุบัน ​เราจะ​เห็นวิวัฒนา​การทางด้าน​การ​แพทย์​และสาธารณสุขที่สำคัญยิ่ง พระองค์ท่านจะค่อยๆ ทรง​ทำทีละขั้น ​ไม่ว่าจะ​เป็น​เรื่อง​โรคระบาด ​เช่น อหิวาตก​โรค ​โรค​เรื้อน วัณ​โรค ​โปลิ​โอ ฯลฯ ทรงทุ่ม​เท​และสนับสนุนอย่างมาก​เพื่อหาวิธี​การป้องกันรักษา​ให้​โรค​เหล่านี้หาย​ไปจากประ​เทศ​ไทย จากนั้นสม​เด็จย่า​ก็​ได้ทรงก่อตั้งหน่วย​แพทย์ พอ.สว. สม​เด็จพระบรมราชชนก​เสด็จฯ ​ไปทรงงานที่​โรงพยาบาล​แมคคอมิค​เชียง​ใหม่ นอกจากนี้ราษฎรที่ประสบภัย​ทั้งหลาย จะทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วย​เหลือ​เขา​เหล่านั้น​ในทันทีทุกครั้ง​ไป

ยังทรงสนับสนุนด้าน​การศึกษา ด้าน​การค้นคว้าวิจัยทางด้าน​การ​แพทย์ ​โดย​การตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้น​เมื่อปี 2498 นอกจากนี้ยังพระราชทานพระราชทรัพย์​ให้สภากาชาดสร้าง "อาคารมหิดลวงศานุสรณ์" ​เพื่อ​ใช้สำหรับผลิตวัคซีน VCG ​ใช้ฉีดป้องกันวัณ​โรคตั้ง​แต่ปี 2496 ​แล้ว​เด็ก​ไทยรวม​ทั้งพวก​เราทุกคน ​ก็​ได้รับวัคซีนป้องกันวัณ​โรคตั้ง​แต่นั้น​เป็นต้นมา

ยังมี​โครง​การอีก​เป็นจำนวนมากที่พระบาทสม​เด็จพระ​เจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน​แก่พสกนิกรของพระองค์ ​เพื่อช่วย​ให้​เข้า​ถึง​การรักษาพยาบาลอย่างถูกวิธี​โดยทั่ว​ถึงกัน พระองค์ท่าน​จึง​เป็น​แรงบันดาล​ใจ​ให้กับหมอ พยาบาลอีก​เป็นจำนวนมากที่ต้อง​การอุทิศชีวิต​ให้กับวง​การ​แพทย์​เพื่อ​เจริญรอยตาม​แนวพระราชดำริของพระบาทสม​เด็จพระ​เจ้าอยู่หัวสืบ​ไป​ในอนาคต...

บ้าน​เมือง  3 ตุลาคม 2554

8708
"วิทยา" ฝันค้าง ​เ​ก็บ 30 ยัง​ไม่​ได้ ​เหตุบอร์ด สปสช.ชุด​ใหม่ยัง​แต่งตั้ง​ไม่ครบ "วินัย" คาดปัญหาบอร์ด​ใหม่​ไม่จบง่ายๆ ​เหตุ​เอ็น จี​โอจ้องรื้อ​ใหม่ มอง​การคัด​เลือก​ไม่​โปร่ง​ใส

นพ.วินัย สวัสดิวร ​เล ขาธิ​การสำนักงานหลักประ กันสุขภาพ​แห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า คณะกรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ชุด​เดิมจะ​ทำหน้าที่บอร์ดรักษา​การระหว่างที่มี​การสรรหาบอร์ดชุด​ใหม่ครบตามกำหนดระยะ​เวลา 90 วัน ​ในวันศุกร์ที่ 7 ต.ค.นี้ ​แต่หากยัง​ไม่สามารถดำ​เนิน​การจัดตั้งบอร์ด สปสช.ชุด​ใหม่​ได้ จะถือว่าอยู่​ในช่วงสุญญากาศที่ตัวองค์กรสามารถดำ​เนิน​การ ต่างๆ ​เช่น ​การจัดส่ง​เงินบำรุงยังสามารถ​ทำ​ได้​เช่น​เดิม ​แต่จะ​ไม่สามารถพิจารณางานต่างๆ ​ได้ รวม​ถึงกรณีที่นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่า​การกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าจะสามารถ​เ​ก็บ​เงินสมทบ 30 บาท ภาย​ใน​เดือน ต.ค. ​ก็จะยัง​ไม่สามารถ​ทำ​ได้​เช่นกัน

​เลขาธิ​การ สปสช.กล่าวต่อว่า ส่วนตัว​แล้ว​เห็นว่า​การตั้งบอร์ด สปสช.จะยัง​ไม่​เรียบร้อย​ใน​เร็วๆ นี้อย่าง​แน่นอน ​เพราะมีกลุ่ม​เอ็นจี​โอ​เรียกร้อง ​ให้มี​การคัด​เลือกคณะกรรมการ​ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช.​ใหม่​ทั้งหมด ​เพราะ​เห็นว่า​การคัด​เลือก​ไม่​โปร่ง​ใส ​ซึ่งหาก​ไม่ดำ ​เนิน​การจะ​เดินหน้าฟ้องศาลปกครอง ขณะที่ รมว.สธ.​เมื่อ​ได้รับ​เรื่อง​แล้วยืนยันว่าจะ​ทำ ​การคัด​เลือก​ใหม่​เพียง 1 คน ​แทน นพ.พิพัฒน์ ยิ่ง​เสรี ​เล ขาธิ​การคณะกรรม​การอาหาร ​และยา (อย.) ​ซึ่งมี​การดำรงตำ​แหน่ง​ในคณะกรรม​การควบคุมคุณภาพ​และมาตรฐานบริ​การสาธารณสุขอยู่​แล้ว​จึง ไม่สามารถดำรงตำ​แหน่ง​ผู้ทรงคุณวุฒิ สปสช.นั้น ​เบื้องต้นยัง​ไม่​ได้รับข้อมูลจาก​ทั้ง 2 ฝ่าย

นพ.วินัยกล่าวต่อว่า อย่าง​ไร​ก็ตาม หากมี​การฟ้อง ศาลปกครองจริงๆ ​แล้วศาลรับฟ้องจะต้องมาดูอีกครั้งว่าศาลจะพิจารณาคำสั่ง​ให้ สปสช. ปฏิบัติอย่าง​ไร ​ซึ่ง​เรา​ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ส่วน​เรื่อง​การคัด​เลือก​ผู้ทรงคุณวุฒิ​ใหม่ 1 คน ตามที่ รมว.สธ.กล่าวนั้น ตนยัง​ไม่​ได้รับคำสั่ง​ให้ดำ​เนิน​การ​ใดๆ ส่วนตน​เห็นว่า​การคัด​เลือก​ใหม่​ไม่น่าจะทัน​การประชุมบอร์ดครั้งหน้า​ในวันที่ 5 ต.ค.นี้อย่าง​แน่นอน ​เพราะ​การประชุมที่จะ​ถึงนี้มีวาระ​เดียวคือ​เรื่อง​การประ​เมินผล​การ​ทำ งานของ​เลขาธิ​การ สปสช. ​ซึ่ง​ก็คือตน ​เพียงวาระ​เดียว​เท่านั้น.

ไทย​โพสต์  3 ตุลาคม 2554

8709
หนังสือเชิญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล


หนังสือเชิญประธานองค์กรแพทย์

8710
เด็กที่อาศัยอยู่ในรัฐพิหารทางภาคเหนือของอินเดีย เสียชีวิตมากกว่า 100 คนนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยคาดว่ามีสาเหตุมาจากโรคไข้สมองอักเสบที่กำลังระบาดหนัก

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่นเปิดเผยว่า เด็กที่ป่วยจะมีอาการไข้สูง หมดสติเป็นระยะ และมีอาการชักอย่างรุนแรง และเด็กที่เสียชีวิตส่วนมากเป็นผู้ยากไร้

จนถึงตอนนี้ยังมีเด็กอีกกว่า 220 คนที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคไข้สมองอักเสบและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเด็กกว่า 20 คนจากทั้งหมดกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 สำนักข่าวอินโฟเควสท์  2 ตุลาคม 2554

8711

สุรวงษ์ * นักวิชาการห่วงโลกร้อน เปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่งผลกระทบเกิดวิกฤติด้านสุขภาพในไทย ชี้ไทยยังลงทุนกับสุขภาพน้อย เสี่ยงบุคลากรหัวกะทิของไทยไหลเข้าประเทศพัฒนา หากไม่เร่งสปีด อีก 5-10 ปี มีสิทธิ์ตามหลังเวียดนาม เบื้องต้นเตรียมสรุปข้อเสนอส่งกระทรวงสาธารณสุข
 
ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ในฐานะประธานจัดการประชุม กล่าวว่า การประชุมวิชาการระดับชาติวิทยาศาสตร์ สาธารณสุขครั้งที่ 11 มีแนวคิดเรื่องวิกฤติด้านสาธารณสุข ความท้าทายและการแก้ไขปัญหา โดยขณะนี้พบว่ามีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ และก่อให้เกิดวิกฤติอาหารและสุขภาพตามมาเป็นวงจร โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาวที่พบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคเมืองร้อนมากขึ้น และที่น่าเป็นห่วงคือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดตามมาจากความไม่แน่นอนของธรรมชาติ

คณบดีฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจที่ส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น จะทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีประ โยชน์ โดยเฉพาะโปรตีน ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และเสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยต่างๆ ตามมา

ศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า ในปี 2558 จะเกิดประชาคมอาเซียน ซึ่งไม่มีขอบเขตของการ ตลาด มีการเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม จะนำมาซึ่งวิกฤติด้านสุขภาพที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการไหลเวียน ของบุคลากรสาธารณสุขไปยังประเทศที่มีความเจริญมากกว่า เพราะปัจจุบันตนเห็นว่าแม้วิทยาการทางการแพทย์ของประ เทศไทยพัฒนาไปมาก แต่ในเรื่องการลงทุนด้านสุขภาพยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประ เทศสิงคโปร์ และป ระเทศมา เลเซีย เพราะฉะนั้นหากประ เทศไทยยังไม่มีการพัฒนามาก กว่านี้ คาดว่าประมาณไม่เกิน 5-10 ปี วงการสาธารณสุขของประเทศไทยอาจจะด้อยกว่าประ เทศเวียดนาม

"วิกฤติที่เกิดขึ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งหาทางแก้ไข ซึ่งที่ผ่านมากระทรวง สาธารณสุข และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้วางแนว ทางแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างกว้างขวาง" ศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าว และว่า หลังการประชุมในครั้งนี้จะ เร่งดำเนินการสรุปความเห็นและแนวทางแก้ไขปัญหา เสนอ ไปยังผู้บริหารกระทรวงสาธารณ สุขเพื่อพิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.นี้.

ไทยโพสต์ 1 ตค. 2554

8712
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เผยโครงการนำร่อง ปรับภาพลักษณ์โรงพยาบาลรัฐด้วยเทคโนโลยี ดึงโซลูชันเครือข่ายของซิสโก้ เพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการและเชื่อมต่อข้อมูล...

นอกจากประโยชน์ด้านการสื่อสาร ปัจจุบันเทคโนโลยียังถูกนำมาใช้เสริมศักยภาพด้านอื่นๆ อาทิ การบริหารจัดการ การเชื่อมต่อข้อมูล รวมถึงด้านการแพทย์ ถือเป็นความน่ายินดีที่ล่าสุดโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หน่วยงานใหม่ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ร่วมกับบริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ จำกัด นำโซลูชันและเทคโนโลยีด้านโมบิลิตี้ ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบเสียงและวีดิโอ พัฒนาการบริหาร บริการ และมาตรฐานทางการแพทย์ให้เทียบเท่าโรงพยาบาลเอกชน เตรียมความพร้อมสู่การเป็นโรงพยาบาลแห่งอนาคต...



นายแพทย์วิโรจน์ จงกลวัฒนา รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อธิบายว่า โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีจากหลายบริษัท ข้อจำกัดของระบบต่างๆที่แยกจากกัน ทำให้เกิดอุปสรรคและการดำเนินงานไม่ต่อเนื่อง โจทย์ของโรงพยาบาลคือการให้บริการที่เป็นเลิศและมีมาตรฐานการแพทย์ที่ได้การยอมรับระดับสากล โซลูชันครบวงจรที่เป็นเครือข่ายเดียวจึงเป็นสิ่งสำคัญ

นายแพทย์วิโรจน์ ให้รายละเอียดด้วยว่า โรงพยาบาลมีกำหนดเปิดบริการช่วงต้นปี 2555 พร้อมเพิ่มความสามารถในการรองรับบริการผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาและการบริการในโรงพยาบาลรัฐ



ด้านนายธัชพล โปษยานนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ จำกัด ชี้แจงว่า เทคโนโลยีและระบบเครือข่ายถือเป็นรากฐานสำคัญ เนื่องจากมีการใช้ข้อมูล วีดิโอและภาพวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งต้องมีระบบจัดเก็บอย่างปลอดภัย นอกจากนี้สิ่งสำคัญของผู้ให้บริการทางการแพทย์คือ ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลทุกที่ทุกเวลา

ทั้งนี้โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้ติดตั้งสถาปัตยกรรมเครือข่ายไร้พรมแดนของซิสโก้ ทำให้เพิ่มเซิร์ฟเวอร์รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จำนวนมาก ประกอบกับเทคโนโลยีโทรศัพท์ของซิสโก้ โซลูชันวีดิโอ และแอคเซสพอยท์ไว-ไฟทั่วโรงพยาบาล ทำให้การดำเนินงานของบุคลากร การให้ความรู้เรื่องสุขภาพผ่านหน้าจอ การค้นหาข้อมูลแบบบริการตนเอง และความสามารถในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของโรงพยาบาลได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมและทั่วถึง นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแอปพลิเคชั่นและการแชร์วีดิโอสำหรับการเข้าถึงหลักสูตรและติดต่อกันระหว่างนักศึกษาแพทย์และอาจารย์ผู้สอนอีกด้วย

ส่วนนายสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดเมนชั่น ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า บริษัทเป็นผู้ออกแบบติดตั้งและดำเนินการให้บริการเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของโรงพยาบาล เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างในภูมิภาคเอเชียในการให้บริการข้อมูล และการรักษาผู้ป่วยด้วยเทคโนโลยีทางด้านวีดิโอและโซลูชัน ซึ่งทำงานประสานกัน

ถือเป็นโอกาสดีที่ประชาชนไทยจะได้มีบริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพลิกโฉมการให้บริการของโรงพยาบาลภาครัฐได้รวดเร็วและทันสมัยยิ่งขึ้น หากสัมฤทธิผลและเกิดขึ้นจริงก็เปรียบเป็นการปฏิวัติภาพลักษณ์วงการแพทย์ ด้วยการบริหารจัดการและประสิทธิภาพของเทคโนโลยี ทั้งยังสามารถเป็นโครงการต้นแบบนำร่องแก่โรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อประโยชน์แก่บริการทางการแพทย์ไทยต่อไป.

thairath.co.th

8713
นักศึกษามหาวิทยาลัยยังยกนิ้วให้กูเกิลเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยมีสิ่งจูงใจหลายอย่าง อาทิ วัฒนธรรมด้านนวัตกรรม บรรยากาศสบายๆ ไม่กดดัน เพื่อนร่วมงานที่เก่งและผลตอบแทนนอกเหนือจากค่าจ้างที่มากกกว่าบริษัทอื่นๆ


 บลูมเบิร์กอ้างผลการสำรวจของยูนิเวอร์ซัม บริษัทวิจัยจากสวีเดนว่า นอกจากเสิร์ชเอนจิ้นชื่อก้องซึ่งครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2552 แล้วยังมีบริษัทด้านเทคโนโลยีอีกหลายแห่งพาเหรดกันเข้ามาอยู่ในลิสต์ ขณะที่ธนาคารและองค์กรธุรกิจแบบดั้งเดิมเสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ


 แม้ว่า 5 อันดับแรกของบริษัทในดวงใจของนักศึกษาปริญญาตรีจะคล้ายคลึงกับเมื่อปีกลาย คือ กูเกิล, เคพีเอ็มจี, ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส, เอิร์นสต์แอนด์ยัง และเดอลอยต์ แต่ 5 อันดับถัดไปมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เช่น แอปเปิลซึ่งกระโดดจากที่ 18 เมื่อปีก่อนมาเป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ส่วนโคคาโคลาร่วงจากที่ 8 เมื่อปีกลายไปอยู่ที่ 12 ส่วนอันดับ 6 ตกเป็นของไมโครซอฟท์ ตามมาด้วยพร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล, เจพีมอร์แกนคว้าอันดับ 8  นำหน้าคู่แข่งอย่างโกลด์แมน แซคส์ที่ได้อันดับ 10
 
 แม้ว่าภาคการเงินและการธนาคารจะเสื่อมมนต์ขลังไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก แต่บริษัทด้านบัญชียังได้รับความนิยมมาก เพราะยังคงจ้างงานเพิ่มอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ มอบความมั่งคงด้านอาชีพให้กับผู้จบใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาว่างงานสูง อาทิ เอิร์นสต์แอนด์ยังที่ไม่ได้ลดจำนวนพนักงานใหม่เลยในช่วงวิกฤตการเงิน 2551-2552

 ทั้งนี้ผลการสำรวจทั้งกล่าวได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาจบใหม่ด้านวิศวกรรมหรือธุรกิจ 1.6 แสนคน จาก 12 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากจีดีพี

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

8714
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นแนะไทยเรียนรู้จากญี่ปุ่น  เร่งสร้างมาตรการรองรับ ก่อนสังคมไทยจะมีคนสูงอายุจำนวนมาก  การจัดการสังคมสูงอายุเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อมระยะยาว และสร้างรูปแบบเฉพาะสำหรับสังคมไทย

เมื่อเร็ว ๆ นี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรมหาวิทยาลัยนิฮอน(NUPRI) ได้จัดสัมมนาเรื่องบัญชีเงินโอนประชาชาติ (NTA) สำหรับประเทศไทย  โดยมี ศาสตราจารย์ นาโอะฮิโร โอกาวา จาก NUPRI ผู้คร่ำหวอดในการศึกษาการจัดการสังคมสูงอายุในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 50 ปี  กล่าวปาฐกถาเรื่องผลการศึกษา NTA ในประแถบเอเชีย และถ่ายทอดประสบการณ์จากญี่ปุ่นถึงประเทศไทย

ศ.โอกาวา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากรอย่างฉับพลัน ที่ทุกปีจะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อัตราการเกิดและวัยแรงงานมีน้อยลง  ซึ่งการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางสังคมและภาระในการดูแล เนื่องจากในปัจจุบันคนมีอายุยืนยาวมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมรองรับ ซึ่งประเทศสามารถเรียนรู้บทเรียนและเตรียมความพร้อมได้จากประสบการณ์ของญี่ปุ่นที่ผ่านช่วงการปันผลทางประชากรช่วงที่สอง หรือสังคมสูงอายุมาแล้ว

บัญชีเงินโอนประชาชาติ (National Transfer Accounts: NTA) เป็นการศึกษาเศรษฐศาสตร์ชั่วคน ที่ทำให้เห็นวงจรชีวิตทางเศรษฐกิจและระบบการโอนทรัพยากรระหว่างประชากรวัยต่าง ๆ โดยเป็นบัญชีรายได้ประชาชาติอีกแบบหนึ่งที่มีการวัดรายละเอียดด้านประชากรโดยเฉพาะรายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อการบริโภค และการโอนทรัพยากรระหว่างวัยต่างๆตั้งแต่เด็กจนกระทั่งสูงอายุอย่างเป็นระบบ 

ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบบัญชีเงินโอนประชาชาติใน 30 กว่าประเทศทั่วโลก  โดยในทวีปเอเชียมี NUPRI เป็นศูนย์กลางการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ   การใช้กรอบคิดเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ข้ามรุ่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายที่จะมาจัดการกับสังคมที่มีคนสูงอายุมากขึ้นอย่างเช่น ในประเทศไทย

 ยกตัวอย่างการจัดการในญี่ปุ่น  หลังสงครามโลกครั้งที่สองคนญี่ปุ่นมีลูกน้อยลง 50%  ซึ่งคาดได้ว่าในอนาคตสังคมญี่ปุ่นจะมีแต่คนแก่ ตอนนั้นไม่มีใครสนใจ เพราะกำลังยินดีกับการมีวัยแรงงานมาก เศรษฐกิจเติบโต  และญี่ปุ่นก็มีระบบประกันสังคมมาตั้งแต่ปี 1961  รัฐบาลก็สัญญาว่าจะรับภาระดูแลเรื่องผู้สูงอายุ  คนญี่ปุ่นจึงใช้ชีวิตกันอย่างสบาย ๆ  ไม่ใส่ใจ  คือตอนเศรษฐกิจดี รัฐบาลก็สัญญาอะไรได้สารพัด แต่หลังจากนั้นจะเป็นปัญหา เมื่อพบว่าสัญญาที่ใช้ไว้เป็นเรื่องยากมากที่จะปฏิบัติตามสัญญา

ในญี่ปุ่นตอนเริ่มทำประกันถ้วนหน้าเราระมัดระวังมาก ค่อย ๆ ทำไปทีละขั้น ให้ทีละนิด ไม่ให้อย่างใจป้ำเหมือนประเทศตะวันตก ที่ประกาศจะเป็นรัฐสวัสดิการในช่วงปี 1950  ซึ่งญี่ปุ่นก็เลียนแบบ   สิบปีให้หลังจึงรู้ว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้  เพราะญี่ปุ่นก็มีปัญหาวิกฤติการเงินและวิกฤติน้ำมัน  จึงต้องเปลี่ยนระบบจากเน้นสวัสดิการมาเน้นเรื่องการจ้างงาน และประกันสังคม

ที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีได้สร้างรูปแบบการจัดการของตัวเองขึ้นมา  โดยหลังจากวิกฤติการเงิน เกาหลีก็ใช้ประกันสังคมปี 1999  แล้วบอกว่าจะไม่เลียนแบบญี่ปุ่นจะเน้นให้สวัสดิการ แต่มีเงื่อนไขบังคับให้คนทำงานด้วย ซึ่งเรียกว่าเป็นระบบ Workfare   ศ.โอกาวาแนะว่า ประเทศไทยก็น่าจะพัฒนาโครงการหรือมีนโยบายการคุ้มครองทางสังคม  ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเองขึ้นมา โดยคำนึงถึงจุดเด่นของครอบครัวไทยเป็นครอบครัวที่มีคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกัน

 ประเทศไทยมาถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการพัฒนา  ทำอย่างไรจะกระตุ้นการลงทุนและการตักตวงรายได้จากการปันผลทางประชากรครั้งที่สองนี้ โดยเฉพาะผลจากการลงทุนด้านการศึกษาซึ่งที่ผ่านมาไทยทุ่มงบประมาณจำนวนมากไปกับเรื่องนี้  ไปกับคนรุ่นใหม่ที่มีลูกน้อยลงแต่ต้นทุนการศึกษาสูงขึ้น  บทเรียนจากญี่ปุ่นในอดีตความผิดพลาดของญี่ปุ่นคือไม่เข้มงวดในเรื่องการศึกษามากนัก ให้เด็กเรียนกันสบาย ๆ ทำให้เกิดปัญหาตามมา  ความสามารถของเด็กญี่ปุ่นลดลง    ประเทศไทยควรทำหลักสูตรของตัวเองให้สร้างหลักประกันคุณภาพว่าเด็กจะมีทักษะที่เหมาะสมจะแข่งขันได้ในสังคมโลกาภิวัฒน์  นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยเรียนรู้ได้จากญี่ปุ่น หากไม่อยากให้เป็นการลงทุนที่สูญเปล่าก็ควรเน้นคุณภาพให้มาก
             
“ประเทศไทยยังมีโอกาสเตรียมความพร้อมเพราะเพิ่งเริ่มต้นที่จะเป็นสังคมผู้สูงอายุ  ซึ่งตัวอย่างในญี่ปุ่นตอนนี้มีคนแก่อายุ 100 ปีขึ้นไปมากถึง 44,000 คน  เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่มีเพียง 153 คน การเพิ่มขึ้นทุกปีของกลุ่มสูงอายุ ทำให้ต้องมาดูว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแล  เมื่อโครงสร้างประชากรและการโอนย้ายทรัพยากรข้ามรุ่นที่เคยดูแลกันได้ในอดีตนั้น ปัจจุบันพึ่งได้ยาก   ประเทศไทยต้องคิดว่าใครจะมาเป็นผู้มีบทบาทหลักในการดูแลประชากรผู้สูงอายุในอนาคตอันใกล้  ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนระยะยาว  คอยติดตามและมีนโยบายที่สอดคล้องกับค่านิยมของคนในสังคม
 
นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนเพื่อการออมและการวิธีบริหารจัดการ เพราะในญี่ปุ่นคนส่วนใหญ่กว่า 70% ไม่รู้เรื่องการลงทุน จนในปี ค.ศ.2007 รัฐบาลผ่านกฎหมายที่กำหนดให้การลงทุนในสถาบันการเงินของผู้สูงอายุต้องมีการสัมภาษณ์สมาชิกในครอบครัวด้วย  ให้รับรู้และเข้าใจตรงกัน เพราะคนแก่ในญี่ปุ่นมีเงินแต่มีปัญหาหลงลืมกันมาก  ตอนนี้ญี่ปุ่นมีคนแก่มากกว่า 2 ล้านคนที่หลงลืม ดังนั้นการจัดการเรื่องผู้สูงอายุจึงใหญ่มากสำหรับญี่ปุ่น 
 
 สำหรับประเทศไทย อาจเป็นเรื่องตลกร้ายที่ตอนนี้ในเมืองมีปัญหารถติดแต่ในอนาคตอันใกล้เมื่อเข้าสู่สังคมสูงอายุเราจะพบว่ามีคนขับรถหลงทางหรือผิดทางมากขึ้น(เป็นเรื่องปกติในญี่ปุ่น)  ดังนั้นโครงสร้างทางอายุประชากรที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เฉพาะเรื่องการโอนทรัพยากรข้ามรุ่น แต่รวมถึงกฎระเบียบทางสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมทุก ๆ ด้านเพื่อที่จะมาจัดการกับสังคมสูงอายุที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ต้องวางแผนระยะยาวและทำอย่างจริงจัง เพราะการจัดการกับสังคมสูงอายุนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ลำพังกลไกที่มีอยู่น่าจะยังไม่เพียงพอ.

มติชนออนไลน์ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

8715
ขรก.เฮเงินเดือนใหม่-ปวช.ได้หมื่นกว่า
ปรับระบบ กว่า2ล.คน เริ่มมค.55

ข้าราชการรอเฮ ก.พ.-คลังเคาะแล้วปรับเงินเดือนทั้งระบบ ให้สอดคล้องเงินเดือนใหม่วุฒิปริญญาตรี 15,000 บาท เริ่ม 1 ม.ค.2555
ปวช.ทำงาน 1 ปีภายใน 2 ปี ได้เงินเดือน 10,690 อายุงาน 10 ปี รับ 17,110
ปวส.รับ 12,010 ถึง 19,810
ปริญญาตรีรับ 16,310 ถึง 23,810
ปริญญาโท 18,710 ถึง 26,610
ปริญญาเอก 24,810 ถึง 33,210
โดยปีแรกใช้งบเพิ่มอีก 8 พันล้าน ปีที่ 2 ใช้อีก 15,000 ล้าน เพิ่มเติมจากปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ที่ใช้งบ 18,800 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และผู้เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่างๆ เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปร่วมกันถึงการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการที่มีวุฒิปริญญาตรีเข้าใหม่ เดือนละ 15,000 บาท ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติไปเมื่อ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ที่ประชุมจะนำเสนอแนวทางการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบเข้าสู่การพิจารณาของครม. วันที่ 4 ต.ค.นี้ ซึ่งไม่ใช่การปรับขึ้นแค่ 6% ตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพราะการขึ้น 6% เป็นตัวเลขของการปรับขึ้นเงินเดือนทั้งระบบราชการในแต่ละปี

สำหรับแนวทางการปรับฐานเงินเดือนนั้น ทางก.พ.จะเสนอครม.ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบในช่วง 2 ปี เริ่ม 1 ม.ค. 2555 เหมือนกับข้าราชการปริญญาตรีเข้าใหม่ คาดว่าปีแรกใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 8,000 ล้านบาท เหตุที่ใช้น้อย เพราะเหลือปีงบประมาณเพียง 9 เดือน ส่วนปีที่ 2 ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 15,000 ล้านบาท ตรงนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมจากการปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ที่ใช้งบประมาณ 18,800 ล้านบาท

"ตอนแรกแนวคิดในการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบจะดำเนินการ 4 ปี เหมือนข้าราชการปริญญาตรีเข้าใหม่ แต่จะปรับเปลี่ยนใหม่ให้เหลือ 2 ปี เพื่อให้เห็นผลเร็ว และเป็นการซื้อใจข้าราชการทั้งระบบกว่า 2 ล้านคน แต่การปรับขึ้น 2 ปีจะเป็นภาระงบประมาณมากกว่า หากเป็นการปรับขึ้นในช่วง 4 ปี ปีแรกจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท ปีที่ 2 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ปีที่ 3 อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท และปีที่ 4 อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท" รายงานข่าวระบุ

สำหรับข้อเสนอการปรับฐานเงินเดือนนี้จะเริ่มตั้งแต่ข้าราชการวุฒิปวช.-ปริญญาเอก โดยในส่วนข้าราชการวุฒิปวช.ที่มีเงินเดือนต่ำสุดของข้าราชการที่ทำงานมา 1 ปี คือ 6,400 บาท และต่ำสุดของที่ทำงานมา 10 ปี คือ 14,000 บาท โดยขั้นตอนของการปรับฐานเงินเดือนสำหรับ
ผู้ทำงานมา 1-3 ปี ในวันที่ 1 ม.ค.2555 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นปีแรกจะได้ปรับขึ้นเงินเดือน 1,200 บาท ในปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,380 บาท .
ที่ทำงานมา 3-4 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,000 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,000 บาท
ทำงานมา 5-6 ปี ปีแรกปรับขึ้น 800 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 700 บาท
ทำงานมา 7-8 ปี ปีแรกปรับขึ้น 600 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 400 บาท
ทำงานมา 9-10 ปี ปีแรกปรับขึ้น 400 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 100 บาท

รายงานข่าวเปิดเผยอีกว่า ส่วนกลุ่มวุฒิปวส.นั้น เงินเดือนต่ำสุดของข้าราชการที่ทำงานมา 1 ปี คือ 7,670 บาท และต่ำสุดของที่ทำงานมา 10 ปี คือ 16,710 บาท โดยขั้นตอนของการปรับฐานเงินเดือนคือ
หากทำงานมา 1-2 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,290 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,590 บาท
ทำงานมา 3-4 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,000 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,200 บาท
ทำงานมา 5-6 ปี ปีแรกปรับขึ้น 800 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 900 บาท
ทำงานมา 7 ปี ปีแรกปรับขึ้น 600 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 600 บาท
ทำงานมา 8 ปี ปีแรกปรับขึ้น 400 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 300 บาท
ทำงานมา 9-10 ปี ปีแรกปรับขึ้น 200 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 100 บาท

ส่วนกลุ่มวุฒิปริญญาตรี เงินเดือนต่ำสุดของข้าราชการที่ทำงานมา 1 ปี คือ 9,140 บาท และต่ำสุดของที่ทำงานมา 10 ปี คือ 19,910 บาท โดยขั้นตอนของการปรับฐานเงินเดือนคือ
หากทำงานมา 1 ปี ปีแรกปรับขึ้น 2,540 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 3,320 บาท
ทำงานมา 2-3 ปี ปีแรกปรับขึ้น 2,100 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 2,800 บาท
ทำงานมา 4 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,700 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 2,300 บาท
ทำงานมา 5-6 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,300 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,800 บาท
ทำงานมา 7-8 ปี ปีแรกปรับขึ้น 900 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,300 บาท
ทำงานมา 9 ปี ปีแรกปรับขึ้น 500 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 800 บาท
ทำงานมา 10 ปี ปีแรกปรับขึ้น 100 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 300 บาท

สำหรับกลุ่มวุฒิปริญญาโท
เงินเดือนต่ำสุดของข้าราชการที่ทำงานมา 1 ปี คือ 12,600 บาท และต่ำสุดของที่ทำงานมา 10 ปี คือ 23,110 บาท โดยขั้นตอนของการปรับฐานเงินเดือนคือ
หากทำงานมา 1 ปี ปีแรกปรับขึ้น 2,700 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 2,300 บาท
ทำงานมา 2 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,800 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 2,000 บาท
ทำงานมา 3-4 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,500 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,700 บาท
ทำงานมา 5 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,200 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,400 บาท
ทำงานมา 6 ปี ปีแรกปรับขึ้น 900 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,100 บาท
ทำงานมา 7 ปี ปีแรกปรับขึ้น 600 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 900 บาท
ทำงานมา 8 ปี ปีแรกปรับขึ้น 300 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 600 บาท
ทำงานมา 9-10 ปี ปีแรกปรับขึ้น 100 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 300 บาท

ส่วนกลุ่มวุฒิปริญญาเอก
เงินเดือนต่ำสุดของข้าราชการที่ทำงานมา 1 ปี คือ 17,010 บาท และต่ำสุดของที่ทำงานมา 10 ปี คือ 28,110 บาท โดยขั้นตอนของการปรับฐานเงินเดือนคือ
หากทำงานมา 1-2 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,690 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,800 บาท
ทำงานมา 3-5 ปี ปีแรกปรับขึ้น 1,200 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 1,200 บาท
ทำงานมา 6-8 ปี ปีแรกปรับขึ้น 800 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 600 บาท
ทำงานมา 9-10 ปี ปีแรกปรับขึ้น 400 บาท ปีที่ 2 ปรับขึ้น 600 บาท

ทั้งนี้หลังจากปรับฐานเงินเดือนในปีที่ 2 แล้วนั้น ข้าราชการเก่าที่
จบปวช.ที่ทำงานมา 1 ปี เงินเดือนจะอยู่ที่ 10,690 บาท ส่วนที่ทำงานมา 10 ปี อยู่ที่ 17,110 บาท
วุฒิปวส.ที่ทำงานมา 1 ปี เงินเดือนจะอยู่ที่ 12,010 บาท ส่วนที่ทำงานมา 10 ปี จะอยู่ที่ 19,810 บาท
วุฒิปริญญาตรี ที่ทำงานมา 1 ปี เงินเดือนจะอยู่ที่ 16,310 บาท ส่วนที่ทำงาน 10 ปี จะอยู่ที่ 23,810 บาท
วุฒิปริญญาโท ที่ทำงานมา 1 ปี เงินเดือนจะอยู่ที่ 18,710 บาท ส่วนที่ทำงาน 10 ปี จะอยู่ที่ 26,610 บาท
วุฒิปริญญาเอก ที่ทำงานมา 1 ปี เงินเดือนจะอยู่ที่ 24,810 บาท ส่วนที่ทำงาน 10 ปี จะอยู่ที่ 33,210 บาท

ข่าวสด 30 กันยายน พ.ศ. 2554

หน้า: 1 ... 579 580 [581] 582 583 ... 654