แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 649 650 [651] 652 653 654
9751
ผลพวง “ไพร่แดง” ป่วน รพ.จุฬาฯ สะเทือนใจทั้งผู้ป่วย อาการโคม่า และอยู่ระหว่างรักษาโรคมะเร็ง ต้องระเห็ดหนีไปรักษาตัวโรงพยาบาลอื่น ขณะที่พยาบาล รพ.จุฬาฯ สะอื้นน้ำตานอง ระบุ รพ.จุฬาฯ เปิดมาเป็นเวลา 100 ปี ทุกคนถูกปลูกฝังให้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์มาตลอด ชี้คืนวันอันโหดร้ายถึงขั้นต้องคอยหลบกระสุน คลานที่พื้นไปเปลี่ยนน้ำเกลือให้คนไข้ ย้ำไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์เท่านั้น

 วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย บริเวณอาคารคัคณางค์ติดกับตึกนวมินทราชินี ภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ว่า ทีมแพทย์และพยาบาลได้เร่งทำการเคลื่อย้ายผู้ป่วยไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมีทั้งผู้ป่วยที่อาการหนัก และผู้ป่วยที่พักรักษาตัวมาเพื่อรอดูอาการ โดยบรรยากาศการเคลื่อนย้ายในวันนี้เป็นไปด้วยความโกลาหล และท่ามกลางความรู้สึกเสียใจของแพทย์และพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยที่ย้ายออกไปนั้นบางรายมีอาการโคม่า แต่ต้องย้ายออกไปเพื่อความปลอดภัย
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวออกมาว่ามีผู้เสียชีวิต จำนวน 2 ราย เนื่องจากเหตุความวุ่นวายที่กลุ่มเสื้อแดงบุกเข้ามาภายในโรงพยาบาลนั้น ทาง รศ.นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาฯ ได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
       
       ด้าน นางอุไร จันทร์ทอง อายุ 29 ปี มาดาของ ด.ญ.กานชนิต์ พวงแก้ว อายุ 1 ปี กล่าวว่า ลูกสาวป่วยเป็นโรคตับ ม้ามโต ตาเหลือง ตัวเหลือง และเข้ามารักษาที่ รพ.จุฬาฯ ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่วันนี้ทางแพทย์ได้แจ้งว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่สงบ มีการชุมนุม อาจจะเกิดความไม่ปลอดภัย ให้พาลูกกลับไปรักษาตัวที่บ้าน และนัดมาตรวจอาการอีกครั้งในวันที่ 13 พ.ค. ซึ่งตนรู้สึกเป็นห่วงอาการของลูกสาวอย่างมาก ซึ่งเสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมมาให้ลูกต้องหาเสื้อตัวเก่ามาใส่ให้ก่อน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พยาบาลได้เข็นเตียงคนไข้เป็นเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ ชื่อ ด.ญ.อรนัท ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ลงมาจากอาคารคัคณางค์ โดยมารดาของ ด.ญ.อรนัท กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ลูกสาวป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว รักษาที่ รพ.จุฬาฯ มาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว ตนเสียใจมากที่ต้องพาลูกย้ายออกจากโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน เนื่องจากลูกสาวอาการไม่ค่อยดี กลัวว่าลูกจะแย่ลงกว่าเดิม จากนี้จะส่งตัวลูกไปรักษาต่อที่ รพ.ราชวิถี
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทีมแพทย์และพยาบาล รพ.จุฬาฯ ได้ออกมายืนรวมตัวกัน เพื่อถือป้ายแสดงจุดยืนขององค์กรและความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ว่า “รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย เป็นกลาง ยึดถือหน้าที่การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยไม่แบ่งแยก โปรดอย่ามารุกล้ำการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเรา”
       
       ทางด้าน น.ส.สุภาภรณ์ ศรีตังศิริกุล พยาบาลประจำโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นองค์กรที่ปฏิบัติงานมาเป็นเวลา 100 ปี ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ทุกคนถูกปลูกฝังให้ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์มาโดยตลอด เมื่อคืนที่ผ่านมาตนเองก็ต้องคอยหลบกระสุน ต้องคลานที่พื้นไปเปลี่ยนน้ำเกลือให้คนไข้ ช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีการบริจาคอวัยวะและเลือดเยอะมาก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนไข้เสียโอกาสที่จะได้รับการเปลี่ยนอวัยวะ เพราะต้องย้ายโรงพยาบาล ตนไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์เท่านั้น พวกเราขอเพียงแค่ความปลอดภัยให้กับคนไข้ และความสะดวกในการทำงานเท่านั้น ซึ่งตนไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลา 5 วันแล้ว เนื่องจากต้องอยู่ประจำการเตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ประสานงานไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อจัดเตรียมห้องประทับให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยขณะนี้ทรงประทับอยู่ที่อาคารเพิ่มพูล ว่องวานิช ชั้น 8 และจะสเด็จออกจาก รพ.จุฬาฯ เพื่อไปประทับรักษาพระอาการที่ รพ.ศิริราช ในเวลาประมาณ 15.00 น.

9752
วันที่ 29 เม.ย.ไปที่กระทรวงคุณหมอ ของ ฯพณฯ “จุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเกิดอาการปรี๊ด! อารมณ์เสียอย่างหนัก หลังเกิดเหตุปะทะระหว่าง “โจรแดง” กับเจ้าหน้าที่ทหาร ทางสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้รายงานข้อมูลให้ “อู้ดด้า” ได้รับทราบ
       
       หลังจากได้ข้อมูลท่านจุรินทร์ ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อทันทีว่า ผู้ป่วยที่ รพ.ภูมิพล เป็นเพศหญิง ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นผู้ชาย งานนี้ท่านจุรินทร์ถึงกับสะกิด นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.ถามว่า สพฉ.รายงานผิดอีกแล้วหรือ พร้อมสั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลอีกรอบ
       
       “อู้ดด้า” ถึงกับ “เหวี่ยง” บอกว่า ที่ไม่อยากรีบแถลงต้องรอตรวจสอบให้มั่นใจก่อน ก็เพราะเป็นแบบนี้
       
       แถมที่ผ่านมาก็ช้าตลอด ตัวเลขยอดผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ผิดๆ ถูกๆ ล่าสุด แถมเหตุปะทะครั้งล่าสุด สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสอบถามสถานการณ์ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ได้รับคำตอบจาก “นพ.ชาตรี เจริญปิยกุล” เลขาธิการ สพฉ.ว่า อยู่ที่ระยอง สัมมนาการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
       
       งานนี้เลยไม่รู้ว่าจะมี สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติไว้ ทำไม?????

9753
 สธ.ดีเดย์ 1 มิถุนายน แจกสารอาหารเสริม “โฟเลท-ไอโอดีน” ให้หญิงตั้งครรภ์ พร้อมหนุนให้หญิงที่เตรียมตั้งครรภ์รับโฟเลท-ไอโอดีน ก่อน 6 สัปดาห์ ป้องกันเด็กไม่ครบ 32-เอ๋อ มีปัญหาเชาวน์ปัญญา คาด ใช้งบ 300-400 บาทต่อปี สั่งอภ.ผลิต พร้อมดันเข้าบัญชียาหลัก ให้ใช้ฟรีทั้ง 3 ระบบ ประกันสุขภาพ
       
       วันที่ 29 เมษายน ที่โรงแรมรามาการ์เด้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าว “โครงการลูกครบ 32 สมองดี เริ่มต้นที่ 6 สัปดาห์ก่อนตั้งครรภ์” ว่า จากการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ในแต่ละปีจะมีทารกแรกเกิดราว 800,000 คน โดยใน 10,000 คน จะพบเด็กที่มีภาวะโรคเอ๋อ 7 คน โรคภาวะหลอดประสาททารกในครรภ์เปิดอีก 4 คน และปัญหาปากแหว่ง เพดานโหว่อีก 20 คน หรือประมาณ 1,500 คนต่อปี สาเหตุสำคัญเนื่องจากแม่ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง ตั้งแต่เตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์จนถึงระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือน หรือ 6 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงสำคัญสำหรับการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก โดยสารอาหารที่จำเป็นในระยะนี้ คือ โฟเลท และไอโอดีน
       
       “การเสริมโฟลิกในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนตั้งครรภ์ในปริมาณ 400 ไมโครกรัมต่อวัน นอกจากจะลดโอกาสการเกิดความพิการแต่กำเนิดของหลอดประสาทแล้ว ยังสามารถลดโอกาสการเกิดปากแหว่งได้ประมาณ 1 ใน 3 ลดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดร้อยละ 25-50 ลดความผิดปกติของแขนขาร้อยละ 50 และยังลดความพิการของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะไม่มีรูทวารหนัก โดยรวมแล้วการเสริมวิตามินที่มีกรดโฟลิก จะสามารถลดความพิการแต่กำเนิดได้ร้อยละ 25-50” นายจุรินทร์ กล่าว
       
       นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรมอนามัยยังพบว่า หญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทยได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ โดยระหว่างปี 2549-2551 พบหญิงตั้งครรภ์มีค่าไอโอดีนในปัสสาวะน้อยกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร สูงถึงร้อยละ 71.8 61.3 และ 58.3 ตามลำดับ ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดต้องไม่เกินร้อยละ 50 โดยพบหญิงตั้งครรภ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับสารไอโอดีนน้อยที่สุด รองลงมาคือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ อย่างไรก็ตาม เด็กทารกที่ขาดสารไอโอดีน จะเป็นโรคเอ๋อ มีเชาวน์ปัญญาต่ำ โดยพบว่าจะมีค่าไอคิวลดลงโดยเฉลี่ย 13.6 จุด จากปกติที่ 90-110 จุด ซึ่งระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กไทยเมื่อปี 2545 มีค่า 88 จุด ในขณะที่ประเทศแถบยุโรป อเมริกาเหนือ และตะวันออกไกลมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 98-104 จุด
       
       “ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ สถานพยาบาลทุกแห่ง จะเริ่มให้สารอาหารประเภทโฟเลทที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ที่เติบโตรวดเร็ว และไอโอดีน โดยรวมอยู่ในเม็ดเดียวรับประทานง่าย เพื่อประโยชน์ต่อทารกในครรภ์ โดยจะสนับสนุนให้ผู้หญิงที่มีการวางแผนครอบครัว เตรียมความพร้อมที่จะตั้งครรภ์มารับวิตามินดังกล่าวก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 6 สัปดาห์ โดยคาดว่าภายในปีงบประมาณนี้จะต้องใช้งบประมาณไม่เกิน 100 ล้านบาท และคาดว่า น่าจะใช้งบประมาณปีละ 300-400 ล้านบาท นอกจากนี้ พยายามผลักดันให้สามารถผลิตได้เอง โดยมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) พิจารณาโอกาสในการผลิตสารอาหารดังกล่าว เมื่อผลิตสำเร็จจะผลักดันให้เข้าอยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อจะได้ ใช้ฟรีทั้ง 3 ระบบทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการข้าราชการ” นายจุรินทร์ กล่าว

9754
แพทยสภาออกแถลงการณ์เรียกร้องทุกฝ่าย ทุกสี เคารพการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์-พยาบาล ห่างจาก รพ.รัศมี 100 เมตร รักษาผู้ป่วยด้วยความมั่นใจ ปลอดภัย หวัง “เหวง” มีจิตสำนึก เตือนแดงอย่าขัดขวางการทำงานช่วยเหลือชีวิต ด้าน ผอ.จุฬาฯ ปิดรับคนไข้นอกต่ออีก 1 วัน รับเฉพาะฉุกเฉิน ย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว
       
       วันที่ 29 เมษายน นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า กรรมการบริหารแพทยสภา มีมติออกแถลงการณ์แพทยสภา เรื่อง ขอให้ทุกฝ่ายเคารพการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้ง นำมาซึ่งการสูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิตของประชาชนเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อการทำงานของโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สถานที่ชุมนุม 2 แห่ง คือ รพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.ตำรวจ โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีสติ หนักแน่นและเคารพหลักสากลในการดูแลผู้ป่วย และบาดเจ็บ
       
       นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ต้องรักษาจริยธรรมในวิชาชีพ ในการดุแลผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 2.โรงพยาบาลต้องมีความพร้อมและความสะดวกในการช่วยชีวิต ตลอดจนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน จึงขอให้ทุกฝ่ายถอยห่างจากพื้นที่โรงพยาบาลและละเว้นการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการปฏิบัติงาน และกีดขวางทางเข้า-ออก โรงพยาบาล และ 3.ขอให้ทุกฝ่ายละเว้นการใช้สถานที่ของโรงพยาบาลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการ เมือง
       
       “แพทยสภาไม่มีอำนาจบังคับแต่อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายจะเคารพในสิทธิของ โรงพยาบาลในฐานะพื้นที่ในการักษาดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ โดยไม่ขัดขวางการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และไม่ละเมิดโรงพยาบาล โดยการตรวจค้นหรือการเข้าไปรบกวนสร้างความวุ่นวายในโรงพยาบาล ซึ่งแม้แต่ในสงครามก็ไม่เคยมีเหตุในลักษณะนี้ รวมทั้งจะทำให้แพทย์ พยาบาล รู้สึกไม่ปลอดภัย และไม่สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจ ทั้งนี้ ขอให้ถอยห่างจากประตูเข้า-ออก รพ.ในรัศมีอย่างน้อย 100 เมตร เพื่อเปิดทางให้กรณีที่มีผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินช่วยเพิ่มโอกาสการรอด ชีวิตและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างสะดวก” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
       
       นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ หาก ไม่ได้รับความร่วมมือก็จะหารือกับ นพ.เหวง โตจิราการ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง และในฐานะแพทย์คนหนึ่ง น่าจะมีจิตสำนึก รู้ได้เอง ซึ่งแพทยสภาได้เตือนสติแล้ว เชื่อว่า ความเป็นแพทย์จะช่วยให้รู้ถูกผิดและเข้าใจการทำงานของแพทย์ รวมถึงการขัดขวางรถพยาบาลฉุกเฉินในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และการค้นรถพยาบาลฉุกเฉินก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ หากประชาชนบางส่วนยังไม่รู้กฎระเบียบ อะไรที่ทำได้ และทำไม่ได้ นั้น แพทยสภาก็ได้ชี้แจงแล้ว ดังนั้น จะบอกว่าไม่รู้หรือไม่บอกไม่ได้
       
       ด้าน นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ทุกสี ไม่เว้นแม้แต่ภาครัฐ หยุดใช้ประโยชน์จากพื้นที่ของโรงพยาบาลและถอยกำลังออกจากพื้นที่ของโรง พยาบาลและเคารพในฐานะพื้นที่ดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งนี้ เชื่อว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ไม่ว่าจะโรงพยาบาลใด คงไม่อยากให้มีผู้ที่มีกำลังอาวุธเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเข้ามาคุ้มครองหรือทำอะไรก็ตาม เพื่อให้การทำงานของแพทย์เป็นไปอย่างสะดวกตามหลักมนุษยธรรมและตามหลักสากล
       
       ด้าน ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล ว่า จากการประชุมได้ข้อสรุปว่าจะมีการปิดรับคนไข้นอกทั้งหมดเพิ่มเป็นถึงวันที่ 30 เม.ย.โดยจะรับเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ส่วนคนไข้ในในทยอยส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น ที่สามารถรับได้เพื่อให้เหลือผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด ซึ่งขณะนี้ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากอาคารที่อยู่บริเวณถนนราชดำริ และพื้นที่การชุมนุมแล้ว คือ ตึก สก.และตึก ภปร.ออกทั้งหมดแล้ว โดยทั้งหมดเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ซึ่งโรงพยาบาลจะพยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

9755
โรงพยาบาลของสเปน กล่าวแจ้งว่า ได้ผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าทั้งหน้า ให้กับผู้ชายซึ่งได้รับอุบัติเหตุ จนไม่ อาจจะกิน หายใจหรือพูดจาได้อย่างปกติ เมื่อ 5 ปีก่อน นับเป็นรายแรกของโลก

โรงพยาบาลลวอลล์ เฮบรอน ที่นครบาร์เซโลนาอ้างว่า การผ่าตัดปลูกถ่ายใบหน้า ที่ทำกันมาก่อนหน้านี้ ตลอดทั่วโลกรวม 11 แห่ง ล้วนแต่ทำกับบางส่วนของใบหน้าเท่านั้น

หัวหน้าทีมแพทย์หมอโจน เปียร์ บาร์เรต แจ้งว่า ได้ระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 30 นาย ผ่าตัดเปลี่ยนกล้ามเนื้อ ผิวหนัง จมูก ริมฝีปาก ขากรรไกร ฟัน เพดาน และโหนกแก้ม ให้ใหม่ ในการผ่าตัด นาน 22 ชม. รับประกันได้ว่า ใบหน้าใหม่จะคล้ายกับใบหน้าเดิม "คนไข้จะมีแผลเฉพาะที่หน้าผากกับที่คอเท่านั้น แต่ต่อไปก็อาจจะแก้ไขให้ปิดซ่อนมิดชิดได้"

"เมื่อคนไข้เห็นใบหน้า ใหม่ของตนเอง จากการส่องกระจก หลังผ่าตัดไปได้ 1 อาทิตย์ เขาก็พอใจและยอมรับได้" หัวหน้าทีมหมอผ่าตัดกล่าว.

9756
“จุรินทร์”ขอร้อง เสื้อแดงอย่ายึดรถหวอ ชี้ทำให้หมอพยาบาลตระหนก เกรงกระทบหากเกิดเหตุฉุกเฉินจริง

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข   กล่าวถึงกรณีแกนนำคนเสื้อแดงประกาศจะยึดรถพยาบาลว่า   เราไม่มีนโยบายให้รถพยาบาลไปทำอย่างอื่น ชัดเจนว่า ที่ส่งไปในการดำเนินการโดยศูนย์ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาตินั้น มีความปรารถนาที่ต้องการเข้าไปช่วยดูแลผู้ป่วย  หรือผู้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ ถ้าเกิดกรณีเหตุฉุกเฉินขึ้น  เราไม่มีวัตถุประสงค์ให้ไปดำเนินการอย่างอื่น นอกจากวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และพยาบาล จึงเป็นที่มาที่ตนเคยร้องขอทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ชุมนุมไปก่อนหน้านี้ว่า  ขอความกรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กับรถพยาบาลที่จะเข้าไปดูแลผู้ ป่วย  หรือผู้บาดเจ็บถ้าเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นด้วย 
 “ผมไม่ทราบว่าจะยึด ไปเพื่อประโยชน์อะไร และจะทำไปเพื่ออะไร ไม่ควรที่จะทำ ถ้าคิดจะทำไม่อยากให้ไปทำอะไรไม่ถูกต้องต้องขอความกรุณาเพราะไม่เช่นนั้นจะ เกิดความตระหนกกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นแพทย์และพยาบาลซึ่งเขามีความปรารถนาดี ที่ตั้งใจจะเข้าไปดูแลผู้ป่วยจริงๆ  และถ้าเกิดกรณีเหตุฉุกเฉินขึ้นมามีผู้ป่วยผู้ได้รับบาดเจ็บที่สุดผลจะกระทบ กับผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บเอง” รมว.สธ.กล่าว

 นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ขณะนี้ยังไม่ได้สั่งเปลี่ยนแปลงแผนดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการการแพทย์ฉุก เฉินระดับชาติ   และถ้ามีความจำเป็นรถพยาบาลจะไปจอดสำหรับเตรียมรับในกรณีฉุกเฉินใกล้ที่ ชุมนุม  ส่วนการปรับแผนหากเกิดความไม่ปลอดภัยกับแพทย์พยาบาลนั้น  จะปรับตามความเหมาะสมแล้วแต่ช่วงเวลา ซึ่งขณะนี้มีการเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่  24 ชั่วโมง เนื่องจากผู้ชุมนุมมีการเปลี่ยนแผนตลอดเวลาและจะปรับแผนตามความเหมาะสม เพื่อเป้าหมายคือต้องการดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บไม่มีอย่างอื่น 

 ด้านนพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล  เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (เลขาธิการสพฉ.) กล่าวว่า  ได้มอบหมายให้นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย  ผู้ช่วยเลขาธิการสพฉ.  เข้าไปเจรจาทำความเข้าใจกับนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มนปช.  ว่า การปฏิบัติการทางการแพทย์ไม่เคยมีวัตถุประสงค์อื่นแม้แต่การขนอาวุธ  ได้สอบถามไปทางแกนนำก็ยืนยันไม่ได้ว่ารถคันไหนของรพ.ใด แต่การพูดอย่างนี้มีจะเกิดปัญหาในการทำงานของแพทย์ ทั้งที่เราเป็นกลางช่วยเหลือทุกฝ่าย  อย่างไรก็ตามรถพยาบาลทุกคันตอนนี้ยังไม่ถูกยึด และได้สั่งให้รถพยาบาลทุกคันถอยออกห่างจากพื้นที่ชุมนุมจากจุดเดิม  เช่นเคยอยู่ตรงแยกไหนก็ให้ถอยออกมา 2-3 แยก ให้พอได้รับคำสั่งแล้วเห็นจุดเข้าไปรับส่งได้ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังให้มากขึ้นแล้ว

 นพ.ชาตรี กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่กู้ชีพฉุกเฉินร้องขออุปกรณ์ในการเข้าปฏิบัติงานช่วง สลายการชุมนุมว่า ทราบว่ามีการร้องขอมาที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการแพทย์ให้สนับสนุนแล้ว ส่วนสิ่งที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพร้องขอ อาทิ อุปกรณ์ป้องกันน้ำกรด อุปกรณ์ป้องกันแก๊สน้ำตา  ผ้าก๊อก ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ   ซึ่งทราบว่าทางกรมการแพทย์พร้อมช่วยเหลือ

 ผู้สื่อข่าวรายงาน  เจ้าหน้าที่กู้ชีพฉุกเฉิน ได้ทำหนังสือมาถึงกระทรวงสาธารณสุข ขอสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตัวเพิ่มเติมสำหรับใช้ปฏิบัติงาน เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีสลายการชุมนุมขึ้นอีก ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมพร้อมอนุมัติให้กรมการแพทย์ส่งอุปกรณ์ ต่างๆไปสนับสนุนตามที่มีการร้องขอเข้ามา

9757
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่อนุมัติอัตราการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายหัวตามโครงการหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า ประจำปีงบประมาณ 2554 ว่า

สำหรับงบประมาณเหมาจ่าย รายหัวที่ไม่ลงตัว เนื่องจากสำนักงบประมาณเห็นว่าสูงเกินไป โดย สปสช.เสนอไปที่ 2,814.75 บาทต่อหัวประชากร แต่สำนักงบตัดเหลือ 2,525 บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วย เพราะตัวเลขน้อยไป ไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน จึงมอบหมายให้ไปเจรจาอีกครั้งและนำเข้าที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า (27 เม.ย.) ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้คำนวณอัตราค่าเหมาจ่ายรายหัวตัวเลขใหม่อยู่ที่ 2,600 บาท

 “สปสช.คำนวณตามความเป็นจริง เพราะอย่าลืมว่าแต่ละปีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งหลังจากใช้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าพบว่า อัตราการให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานพบ ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นจากเดิมเข้ารักษาเพียง 1-2 ครั้งต่อปี เป็น 3 ครั้งต่อปี ตัวเลขการเข้าบริการที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าจำนวนงบประมาณการรักษาพยาบาล ย่อมสูงขึ้นด้วย” นพ.วินัยกล่าว

 อนึ่งงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวตั้งแต่ปี 2546 เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยปี 2546 อยู่ที่ 1,202.4 บาท ปี 2547 อยู่ที่ 1,308.5 บาท ปี 2548 อยู่ที่ 1,396.3 บาท ปี 2549 อยู่ที่ 1,659.2 บาท ปี 2550 อยู่ที่ 2,089.20 บาท ปี 2551 อยู่ที่ 2,100 บาท ปี 2552 อยู่ที่ 2,202 บาท และ ปี 2553 อยู่ที่ 2,401.33 บาท

9758
 เมื่อแพทย์ชนบทออกมาตี แผ่ว่าโครงการไทยเข้มแข็งของสธ.ในส่วนที่จะได้รับการจัดสรรตามพ.ร.บ.ให้ อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ จำนวน 7.5 หมื่นล้านบาท มีการส่อทุจริต แม้จะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพราะเงินงบประมาณยังไม่ได้รับการจัดสรร เนื่องจากพ.ร.บ.ยังไม่ผ่านสภา แต่ก็มีการเตรียมการ ทั้งในประเด็นการจัดซื้อครุภัณฑ์หลายรายการและการตั้งค่าราคาประเมินสิ่งก่อสร้างสูงเกิน จนทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของสธ. ที่มีนพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ที่สรุปว่ามีการส่อเจตนาทุจริต และส่งผลให้นายวิทยา แก้วภราดัย ในฐานะรมว.สาธารณสุข ต้องลาออกจากตำแหน่ง

 ขณะที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดสธ. มีการแต่งตั้งคณะกรรมการทบทวนความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง และมีคณะอนุกรรมการพิจารณาถึง 8 ชุด อาทิ คณะอนุกรรมการทบทวนรายการและราคาของครุภัณฑ์ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง, คณะอนุกรรมการกำหนดรายการสิ่งก่อสร้างของโรงพยาบาลชุมชนใหม่, คณะอนุกรรมการพิจารณาความเหมาะสม และทบทวนการจัดสรรของหน่วยบริการปฐมภูมิ, คณะอนุกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและทบทวนการจัดสรรของโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปหรือบริการตติยภูมิ

 แต่ดูเหมือนบรรดาหมอๆ จะเถียงกันไม่จบ โดยเฉพาะประเด็นราคาประเมินสิ่งก่อสร้าง เมื่อฝ่ายแพทย์ชนบทพยายามจี้ให้มีการลดระดับราคาลง ส่วนฝ่ายกระทรวงเห็นว่าราคาที่ตั้งและมีการลดลงมาบ้างแล้วนั้น ไม่สามารถลดต่ำลงได้อีก เนื่องจากอาจเป็นราคาที่ต่ำเกินไป ทำให้สถานพยาบาลไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จนต้องสำรองเงินของสถานพยาบาล สมทบ จึงส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณฟันธงราคา ระหว่างนั้นครม.ก็มีมติให้ทุกกระทรวงนำงบประมาณเดิมของไทยเข้มแข็งในส่วน พ.ร.บ. มารวมกับงบปกติประจำปี 2554 เพื่อเสนอในคราวเดียวกัน

 "ครม.ให้นำงบประมาณที่ตั้งไว้ในงบฯโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของพ.ร.บ.มา ปรับตั้งเป็นงบประมาณปกติประจำปี 2554 แทน ซึ่งในส่วนของสธ.จะพิจารณาคงโครงการที่มีความจำเป็นมากที่สุดไว้เพื่อดำเนินการในปี 2554" นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.สาธารณสุข กล่าว 

 ล่าสุด ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขที่มีนายจุรินทร์เป็นประธานเมื่อวัน ที่ 19 เมษายน 2553 เห็นชอบ โครงการไทยเข้มแข็งที่อยู่ในส่วนของพ.ร.บ. ปี 2554 เป็นจำนวน 19,295.728 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณก่อสร้าง 8,257 ล้านบาท งบครุภัณฑ์ 6,563 ล้านบาท งบในการผลิตและพัฒนาบุคลากร 1,112 ล้านบาท งบชายแดนภาคใต้ 531.73 ล้านบาท และงบกรมการแพทย์ 2,316.63 ล้านบาท ตัดทอนจากเดิมที่วางไว้ 7.5 หมื่นล้านบาทถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท

 ทั้งที่ หากเป็นไปตามแผนเดิมที่จะได้รับจัดสรรงบฯเต็มเม็ดเต็มหน่วย 7.5 หมื่นล้านบาท จะใช้เฉพาะส่วนการก่อสร้างปรับปรุงสถานพยาบาลทั้งโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป ประมาณ 60% หรือกว่า 4 หมื่นล้านบาท, จัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 27% คิดเป็นราว 1.5 หมื่นล้านบาท จะเห็นว่าเฉพาะงบฯก่อสร้างถูกตัดหายไปถึง 3 หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนงบฯครุภัณฑ์หายไปเกือบ 1 หมื่นล้านบาท

 "ในการพิจาณางบฯ มีการตัดครุภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมออกไป 7 รายการ อาทิ เครื่องตรวจชีวเคมีในเลือด หรือออโต้เมท เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือยูวีแฟน และมีการปรับราคาลง ทั้งงบฯ สิ่งก่อสร้าง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ โดยงบฯ สิ่งก่อสร้างจะถือราคาของคณะกรรมการทบทวนฯ และสำนักงบประมาณเป็นหลัก ส่วนครุภัณฑ์ทางการแพทย์ปรับราคาให้ต่ำลงจากเดิมราวร้อยละ 10-15 หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังให้มีการกระจายการใช้งบเพิ่ม จากเดิมกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ 11 จังหวัดเท่านั้น” นายจุรินทร์ กล่าว

 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นผลจากใครหรืออะไร ท้ายที่สุด ผู้ที่เสียโอกาสและประโยชน์ที่จะได้ใช้บริการสาธารณสุขที่ดี ก็คือ ชาวบ้านตาดำๆ ที่ทุกวันนี้ยามไปโรงพยาบาลแทบจะไม่มีที่ให้นอน เตียงผู้ป่วยล้นถึงทางเดิน ไม่เว้นแม้แต่หน้าห้องน้ำ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งบางแห่งไร้การก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่มานานนับสิบปี ขณะที่ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นภายหลังมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และใช้บริการในโรงพยาบาลเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นถึง 160%

9759
มติ สปสช.สำรองยาที่มีอัตราการใช้ต่ำ โดยไม่มียาอื่นมาใช้ทดแทนได้ และมีปัญหาการขาดแคลน แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพื่อวินิจฉัย บรรเทา บำบัด ป้องกัน หรือรักษาโรคที่พบได้น้อย หรือโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง กลุ่มยาต้านพิษ 6 รายการ ใช้งบ 5 ล้าน เป็นทุนหมุนเวียน หลังพบผู้ป่วยรับพิษจากนิคมอุตสาหกรรม-โรงงาน
       
       วันนี้ (19 เม.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เรื่อง การเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มต้านพิษในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ว่า
       
       “ยา กำพร้า” หมายถึง ยาที่มีอัตราการใช้ต่ำโดยไม่มียาอื่นมาใช้ทดแทนได้ และมีปัญหาการขาดแคลน แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพื่อวินิจฉัย บรรเทา บำบัด ป้องกัน หรือรักษาโรคที่พบได้น้อย หรือโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง หรือโรคที่ก่อให้เกิดความทุพพลภาพอย่างต่อเนื่อง
       
       โดยได้มีมติให้ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท เป็นทุนหมุนเวียน และเริ่มดำเนินการในยากลุ่มต้านพิษ 6 รายการ ในจำนวนยากำพร้ากลุ่มต้านพิษ 36 รายการ ซึ่งเป็นยาที่มีความจำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉินอย่างทันท่วงที โดยคาดว่าจะสามารถกระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ภายใน 3-6 เดือน
       
       “ปัญหาที่ผ่านมา คือ ยากลุ่มดังกล่าวบริษัทผลิตยาได้กำไรน้อย จึงมีการทยอยเลิกผลิต แต่ยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ต้องการใช้ยาดังกล่าว หากไม่รับจะทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องมีการสำรองยา โดยให้องค์การเภสัชกรรมและสภากาชาดไทยเป็นผู้จัดหา โดยการผลิตหรือนำเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งในงบประมาณที่กำหนด ซึ่งนอกจากผู้ป่วยบัตรทองแล้ว ยังเป็นการสำรองเผื่อให้ผู้ป่วยในระบบประกันสังคม และข้าราชการได้ใช้ด้วย” นายจุรินทร์กล่าว
       
       นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ยังมีมติให้เสนอคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณารายการยาดัง กล่าวเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ หมวดยากำพร้า เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงยา ส่งผลให้การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
       
       ผศ.สำลี ใจดี ประธานอนุกรรมการคัดเลือกยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นและมีปัญหาการเข้าถึงยา กล่าวว่า ยากำพร้าที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน 6 รายการ ได้แก่
1.Dimercaprol inj (BAL)
2.Sodium nitrite inj
3.Sodium thiosulfate inj
4.Methylene blue inj
5.Glucagon inj
6.Succimer cap (DMSA)
ซึ่งจะใช้ในผู้ป่วยผู้ได้รับพิษในกรณีที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ประชาชนทั่วไป เช่น ในกรณีเกิดไฟไหม้ หรืออุบัติเหตุในครัวเรือน ประชาชนที่เกิดพิษ หรือเป็นโรคจากการทำงานในภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม และชุมชนในเขตนิคมอุตสาหกรรม และศูนย์อาชีวเวชศาสตร์และพิษวิทยา กระทรวงสาธารณสุขที่ตั้งขึ้น เนื่องจากปัญหามาบตาพุด

9760
 “จุรินทร์” ตั้งงบพัฒนางาน สธ.ในปี 2554 จำนวนกว่า 1 แสนล้านล้านบาท โดยรวมงบไทยเข้มแข็งที่อยู่ในส่วนพรบ.หลังจากปรับลดราคาค่าก่อสร้าง ตัดรายการครุภัณฑ์ทิ้ง 7 รายการ คงการจัดซื้อรถพยาบาล เพราะมีความจำเป็น
       
       นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร สธ.ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปการเสนอของบประมาณประจำปี 2554 ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.งบปกติของปี 2554 จำนวนทั้งสิ้น 93,532.59 ล้านบาท และ 2.งบไทยเข้มแข็ง ที่ ครม.มีมติให้แต่ละกระทรวงนำงบในส่วนของ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทาง ด้านเศรษฐกิจ พ.ศ. ... ไปรวมกับงบปกติประจำปี 2554 โดยเสนอของบ จำนวน 19,295.728 ล้านบาท แบ่งเป็นงบสิ่งก่อสร้างจำนวน 8,757 ล้านบาท ครุภัณฑ์ 6,563 ล้านบาท การผลิตและพัฒนาบุคลากร 1,112.168 ล้านบาท การลงทุนระดับชุมชนอย่างการช่วยเหลือชายแดนใต้ จำนวน 531.738 ล้านบาท และงบของกรมการแพทย์อีก 2,316.633 ล้านบาท
       
       นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลักในการพิจารณาตัดลดครุภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมออกไป 7 รายการ ตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ได้แก่ เครื่องตรวจชีวเคมีในเลือด หรือ ออโต้เมท เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือยูวีแฟน เครื่องพ่นยุงติดรถยนต์ ฯลฯ โดยงบไทยเข้มแข็งมีการปรับราคาลง ทั้งงบสิ่งก่อสร้าง และการจัดซื้อครุภัณฑ์ โดยงบสิ่งก่อสร้างจะถือราคาที่คณะกรรมการทบทวนความเหมาะสมและแก้ไขปัญหา โครงการไทยเข้มแข็งที่มี ปลัด สธ.เป็นประธาน เป็นหลัก ซึ่งได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการทบทวนรายการและราคาของครุภัณฑ์ฯ โดย นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เป็นผู้จัดทำ ประกอบกับราคาที่ขอให้สำนักงบประมาณ เป็นผู้กำหนดราคากลางในกรณีการก่อสร้างอาคารชุด ซึ่งเป็นอาคารที่มีรูปแบบเดียวกัน
       
       “สำหรับครุภัณฑ์ทางการแพทย์ปรับราคาให้ต่ำลงจากเดิมราวร้อยละ 10-15 หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังให้มีการกระจายการใช้งบเพิ่ม จากเดิมกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ 11 จังหวัดเท่านั้น และยังให้ความสำคัญเพิ่มเติมโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ ที่จะต้องปรับศักยภาพขึ้นไปเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายของโรงพยาบาลชุมชน 25 แห่งอีกด้วย” นายจุรินทร์ กล่าวและว่า สำหรับรถพยาบาลจำนวน 829 คัน คันละ 1.85 ล้านบาท ยังไม่ได้ตัดทิ้ง เพราะผลการพิจารณาของคณะกรรมการทบทวน พบว่า เป็นเรื่องที่จำเป็น และจะต้องมีเครื่องมือทางการแพทย์ 2 รายการ ได้แก่ เครื่องช่วยหายใจและเครื่องกระตุกหัวใจ ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาแล้ว
       
     

9761
นพ.เสรี หงษ์หยก รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความร่วมมือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ในการแก้ปัญหาค่ายาสวัสดิการข้าราชการสูงปีละกว่า 60,000 ล้านบาท ว่า ในส่วนของ สธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาสวัสดิการข้าราชการขึ้น 1 ชุด มีตนเป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ในการวางกรอบหาแนวทางการควบคุมค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการข้า ราชการ ในโรงพยาบาลสังกัด สธ.กว่า 880 แห่งให้มีหลักเกณฑ์ในการจ่ายยาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้ยาสูงเกินความจำเป็น ทั้งนี้ จะประชุมครั้งแรกในวันที่ 22 เมษายน ก่อนจะนำข้อสรุปเบื้องต้นเสนอต่อรัฐมนตรี สธ.และเสนอเข้าสู่คณะกรรมการชุดใหญ่ของกรมบัญชีกลางที่ถูกตั้งขึ้นตามมติคณะ รัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการหาแนวทางควบคุมค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนออมเพื่อสุขภาพ หรือ เมดิเซฟ (Medisave) สำหรับข้าราชการบรรจุใหม่
       
       “คณะกรรมการของ สธ.เป็นเพียงคณะกรรมการย่อยที่ทำงานตามกรอบของคณะกรรมการชุดใหญ่ระดับชาติ ของกรมบัญชีกลาง โดยเราจะเป็นเพียงผู้เสนอความเห็นในมุมของโรงพยาบาลสังกัด สธ.ทั้งหมด และนำแนวทางดังกล่าวมาปฏิบัติจริง แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจจะมีการทำงานควบคู่กันไปก่อน โดยจะหาแนวทางในการออกหลักเกณฑ์ข้อบ่งชี้การสั่งจ่ายยาของบุคลากรทางการ แพทย์ อาทิ การสั่งจ่ายยาให้ตรงกับระดับความรุนแรงของโรค ไม่ใช่เป็นไม่มาก แต่จ่ายยาให้เกินความจำเป็น ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง ซึ่งการออกหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีแพทยสภา ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์สาขาต่างๆ เข้าร่วม” นพ.เสรี กล่าว
       
       เมื่อถามว่า คณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่ดูแลพฤติกรรมการสั่งจ่ายยาของแพทย์ที่ส่อไปใน ทางไม่เหมาะสมหรือไม่ รองปลัด สธ.กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะมีตัวแทนแพทยสภาร่วมด้วย ซึ่งหากมีข้อมูลพบการกระทำผิดจริงก็สามารถเอาผิดทางจริยธรรมได้ แต่เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลชัดเจน เพราะอย่าลืมว่าไม่ว่าสาขาวิชาใดย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

9762
ยาปลอมเป็นปัญหาที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ยิ่งในสมัยนี้ ขบวนการค้ายาปลอมยิ่งทำมาค้าขึ้นโดยอาศัยช่องทางขายทางอินเตอร์เน็ต
วารสารเนเจอร์เมดิซิน ฉบับเดือน เม.ย. เผยว่าปัจจุบันยาปลอมในตลาดทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นถึง 25 ชนิดต่อปี

นางโรซานน์ คัมซิ บรรณาธิการวารสารดังกล่าวระบุว่าปัญหายาปลอมระบาดในประเทศที่กำลังพัฒนา ธนาคารโลกชี้ว่าในแต่ละปี มีเด็กเสียชีวิตราว 4 พันคน เนื่องจากยาปลอมที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วประสบปัญหานี้เช่นกันจากการสั่งยาทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งการซื้อยาออนไลน์ จ่ายเงินน้อยกว่าเดินเข้าไปซื้อที่ร้านขายยา แต่ข้อเสียก็คือไม่รู้ว่ายาที่ได้นั้นเป็นยาจริงหรือยาปลอม เพราะมีผู้สั่งยาออนไลน์เสียชีวิต หลังจากกินยาที่มีส่วนผสมของยาเบื่อหนูเข้าไป

ประเทศต่างๆ มีแผนรับมือกับปัญหายาปลอมที่แตกต่างกัน เช่น ในจีน เจ้าหน้าที่ห้องทดลองเดินทางไปยังโรงงานผลิตยาทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบยา ขณะที่กาน่า องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรกลุ่มหนึ่งขอให้ผู้บริโภคส่งรหัส 8 ตัว บนกล่องยามาทางโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของยานั้น ส่วนที่อินเดีย รัฐบาลให้ผู้ที่พบยาปลอมรีบส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตยาปลอมก็มีการปรับเปลี่ยนกลวิธีการให้แนบเนียนและตรวจสอบได้ยากขึ้น ประกอบกับขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานด้านการปราบปรามยาปลอมทั่วโลก แม้ตำรวจสากลตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ทำงานกันไม่กี่คน

ขณะนี้ปัญหาการแพร่ระบาดของยา ปลอมกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งขันจริงจังจากทุก ประเทศ

9763
“หมอเกรียง” ร่อนแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบทแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บ และไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากกรณีความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหานี้ตามแนวประชาคมโลก
       
       วันนี้ (16 เม.ย) นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ในฐานะผู้ประสานงานชมรมแพทย์ชนบท ได้ส่งแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท กรณีการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม นปช.และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ความว่า “...ตามที่ได้มีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ หรือ นปช.เพื่อเรียกร้องให้มีการยุบสภา ตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา และรัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศฮฉ.) ได้ตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้า เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับจนถึงขณะนี้ 24 ราย และบาดเจ็บเข้ารับการรักษาอีกจำนวนหนึ่งนั้น
       
       ชมรมแพทย์ชนบทขอแสดงความเสียใจและขอร่วมไว้อาลัยต่อความสูญเสียที่ เกิดขึ้น ทั้งชีวิตของทหารและประชาชน ซึ่งล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมชาติด้วยกันทั้งสิ้น และขอแสดงความเห็นดังนี้
       
       1) ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ เป็นความขัดแย้งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 ของประชาชนและแนวร่วม 2 กลุ่ม ซึ่งเกี่ยวโยงมาจากปัญหารากเหง้าเชิงโครงสร้างในสังคมไทยที่ดำรงอยู่มาอย่าง ยาวนาน และไม่อาจปฏิเสธการมองปรากฏการณ์โดยไม่คำนึงถึงสาเหตุที่แท้จริงได้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม ทุจริตคอร์รัปชัน และความเป็นธรรม มีส่วนสำคัญที่ชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ดังนั้น การวิเคราะห์ปัญหาโดยละเลย ซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้าง ย่อมไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน จึงขอร่วมสนับสนุนทุกฝ่ายที่พยายามเรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศไป พร้อมกันด้วย โดยชมรมแพทย์ชนบทพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในเวทีของการปฏิรูป
       
       2) การแก้ปัญหาต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรงให้ได้ และคงไม่สามารถยุติได้โดยใช้กำลังเข้าทำลายล้างกัน สภาวการณ์ปัจจุบันนับว่าอันตรายและน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 เมษายน 2553 และความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันทั้งกรณีการยิง หรือการวางระเบิด ตลอดจนการใช้วาจายั่วยุให้เกิดความรุนแรง ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ของทุกฝ่ายก็ตาม รัฐบาลควรต้องแสวงหาความร่วมมือของทุกฝ่าย เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันและขจัดความรุนแรง ทั้งนี้ ทุกฝ่ายต้องเป็นไปภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
       
       3) หนทางของการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาโดยยึดแนวทางสันติวิธี เป็นหนทางที่ทุกฝ่ายพึงเรียกร้อง ซึ่งสอดคล้องกับประชาคมโลก ที่ต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่สงบ สันติ มีอารยวิถี โดยยึดแนวทางประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและประชาชนคนไทยทุกคนที่จักต้องดำเนินการให้เกิดขึ้น ให้จงได้ ชมรมแพทย์ชนบทจึงใคร่ขอเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดทิฐิมานะลง และกลับสู่หนทางแห่งสันติ โดยการเจรจาที่ลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคให้เร็วที่สุด และขอชมเชยและให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมกันปฏิบัติการเพื่อให้เกิดสันติขึ้น ในบ้านเมืองนี้
       
       เชื่อว่า ทั้ง 3 ความเห็นนี้ น่าจะสอดคล้องกับเจตจำนงของสังคม แม้นว่าขณะนี้เสมือนยังไม่มี ความเคลื่อนไหวตอบรับจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่เชื่อมั่นในพลังของทุกฝ่ายที่จักนำพาความสุข สงบ สันติ และความเป็นธรรม มาสู่สังคมไทยให้จงได้
       
       เชื่อมั่นและศรัทธา
       ชมรมแพทย์ชนบท
       16 เมษายน 2553”

9764
 “จุรินทร์” ลงนามระเบียบให้สิทธิรักษาฟรี ผู้นำศาสนา และผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่ประเทศชาติ พร้อมลดค่าห้องพิเศษ อาหารพิเศษร้อยละ 50 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
       
       นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ลงนามออกระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลฉบับที่ 5 พ.ศ.2553 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลแก่กรรมการอิสลามประจำจังหวัด กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น พระภิกษุ และสามเณร รวมทั้งบุคคลที่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่า และหากอยู่ห้องพิเศษจะได้รับสิทธิส่วนลดค่าห้องพิเศษและอาหารพิเศษ ร้อยละ 50 ของอัตราที่กำหนดไว้
       
       ตามระเบียบนี้ ได้กำหนดการรับสิทธิเป็น 2 ประเภท คือประเภทที่ 1 ได้รับสิทธิทั้งตนเอง รวมถึงบุคคลในครอบครัว มีทั้งหมด 7 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญงานพระราชสงครามในทวีปยุโรป 2.ทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งไปร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ ประเทศเกาหลี หรือไปทำการรบ ณ สาธารณรัฐเวียดนาม 3.อาสาสมัครมาลาเรียตามโครงการของกระทรวงสาธารณสุข 4.ช่างสุขภัณฑ์หมู่บ้านตามโครงการของกรมอนามัย 5.ผู้บริจาคเงิน ที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นใดให้กับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งคำนวณเป็นเงินแล้วไม่น้อย กว่า 2 ล้านบาท 6.ผู้บริหารโรงเรียนและครูของโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาอิสลาม ควบคู่กับวิชาสามัญหรือวิชาชีพ ในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ระนอง กระบี่ พังงา และภูเก็ต และ 7. กรรมการอิสลามประจำจังหวัด และกรรมการอิสลามกลางแห่งประเทศไทย
       
       ประเภทที่ 2 ได้รับสิทธิเฉพาะตัว ประกอบด้วย 10 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญราชการชายแดน 2. ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน 3. ทหารและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปราบปรามผู้ก่อการร้าย 4. บุคคลผู้ได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามผู้กระทำความ ผิด 5. บุคคลผู้ถูกโจรทำร้ายร่างกาย 6. สมาชิกผู้บริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย ซึ่งมีหนังสือรับรองจากสภากาชาดไทยว่าได้บริจาคโลหิตตั้งแต่ 24 ครั้งขึ้นไป 7. หมออาสาหมู่บ้านตามโครงการของกระทรวงกลาโหม 8. ผู้บริจาคเงิน ที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นใดให้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคำนวณเป็นเงินแล้วไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท 9. พระภิกษุ และสามเณร และ 10. อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น
       
       ขณะนี้ ระเบียบดังกล่าว อยู่ระหว่างขั้นตอนรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

9765
ไม่ได้อยู่เวรเหมือนกัน กลับบ้านเยี่ยมผู้ใหญ่
คลายเครียด หลบเรื่องยุ่งๆ ของบ้านเมือง

...........แล้วก็ได้เวลา กลับมาเครียด
กับงานประจำๆอีก(+การเมืองสีแดง)

หน้า: 1 ... 649 650 [651] 652 653 654