แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 648 649 [650] 651
9736
รพ.กรุงเทพราชสีมา เผยผลประกอบการในปี 52 โตสวนกระแสกว่า 23% ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องในปี 53 เป็น 25% ดันเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของของอีสานรักษาโรคซับซ้อน เตรียมทุ่มอีก 40 ล้านบาท ขยายศูนย์ทางเดินอาหาร-ศูนย์ต่อมไร้ท่อ เน้นจับกลุ่มคนไข้ประกันสุขภาพ-มีกำลังจ่ายสูง

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพ็ชร ผอ.โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา เปิดเผยว่า ปี 2552 ที่ผ่านมาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่ง ส่งผลกระทบในเรื่องของกำสั่งซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งแนวคิดของผู้ป่วยที่เปลี่ยนไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประหยัดเงินมากขึ้น ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลได้รับผลกระทบพอสมควร แต่โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมาสามารถผ่านกระแสเศรษฐกิจขาลงที่ผ่านมาได้ ซึ่งในภาพรวมของทั้งประเทศ จีดีพี ติดลบประมาณ 2-3% แต่โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมามีความเติบโตสวนกระแสค่อนข้างดีประมาณ 23%

 คนไข้ส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่มีกำลังจ่าย โดยเฉพาะคนไข้ที่มีประกันสุขภาพกว่า 80% ของคนไข้ทั้งหมด ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโรงพยาบาล แต่ก็ยังมีช่องว่างสำหรับผู้ป่วยประกันสังคมและผู้ป่วยบัตรทอง 30 บาท บางส่วนที่สามารถเข้ามาใช้บริการกับโรงพยาบาลได้ โดยเฉพาะโรคฉุกเฉิน โรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิต เช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือแม้แต่ประกันสังคม ซึ่งทางโรงพยาบาลมองว่าสิ่งไหนที่พอจะช่วยเหลือได้ ที่ทำให้คนไข้ได้รับทางเลือกที่ดีโรงพยาบาลก็ยินดีรับคนไข้ ซึ่งช่วงแรกที่เปิดศูนย์หัวใจยังมีคนไข้น้อย แพทย์มีเวลา และมีห้องผ่าตัดเหลืออยู่จึงได้ช่วยคนป่วยประกันสังคมไว้บ้าง โดยคิดราคาเท่ากับประกันสังคม 

 “จังหวัดนครราชสีมาถือเป็นเมืองที่มีศักยภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจึงขยายสาขามาเปิดเป็นแห่งแรกของภาค และต้องการให้เป็นศูนย์กลางของภาคอีสาน เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ในภาคอีสานที่จะพัฒนาเรื่องของการบริการให้รักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ เพราะฉะนั้นที่นี่จะเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่รักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน ผ่าตัดหัวใจได้ และให้มีการส่งต่อจากจังหวัดใกล้เคียงที่ต้องการบริการโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน เข้ามา ซึ่งปัจจุบันเริ่มเป็นที่รู้จักและมีคนไข้ในภาคอีสานและเข้ามาใช้บริการมาก ขึ้น”

 นายแพทย์ธนรัชต์ กล่าวอีกว่า ใปี 2553 โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมาตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ประมาณ 25% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยนอกประมาณวันละกว่า 600 คน ผู้ป่วยในประมาณ 90 เตียงต่อวัน สำหรับกลยุทธ์ในการพัฒนาโรงพยาบาลในปีนี้ ได้เตรียมแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ วิสัยทัศน์จะเป็นศูนย์กลางของการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนในภาคอีสานให้เป็น โรงพยาบาลที่รักษาโรคที่ซับซ้อน หรือที่เรียกว่า"ตติยภูมิ" ให้มากขึ้น รวมทั้งจะทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นที่ไว้วางใจ โดยจะพัฒนาในหลายๆ ด้าน คือ เรื่องของวิทยาการและเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อจากปีที่แล้ว ซึ่งในปี 2552 ได้เปิดให้บริการรักษาโรคเฉพาะทางต่างๆ ทั้งหมด 5 ศูนย์ได้แก่ ศูนย์หัวใจ  ศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน ศูนย์สมอง ศูนย์มะเร็ง ศูนย์กระดูกสันหลังและข้อ ในปีนี้พยายามจะขยายเพิ่มเป็นศูนย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอีก 2 ศูนย์ คือศูนย์ทางเดินอาหาร และศูนย์ต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน ที่เป็นปัญหาหลักของคนภาคอีสาน

 นอกจากนี้ต้องมีการพัฒนาบุคลากรทั้งทางแพทย์ พยาบาล ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะโรคให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรักษาโรคที่ยุ่งยากซับซ้อนได้มากขึ้น และการพัฒนาคุณภาพด้านการบริการที่เป็นหัวใจหลักของโรงพยาบาลเอกชน มีบริการที่แตกต่างจากโรงพยาบาลอื่น ก็จะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปีนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่ค่อยเอื้อ โรงพยาบาลต้องดูความจำเป็นในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งปี 2553 จะมีการลงทุนเพิ่มไม่มากนักหรือประมาณ 8% เมื่อเทียบกับรายได้ หรือประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อขยายศูนย์ทางเดินอาหาร และศูนย์ต่อมไร้ท่อ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นบางส่วนที่ยังขาดแคลน รวมทั้งเครื่องมือแพทย์บางอย่างที่หมดสภาพไปตามอายุ รวมทั้งขยายห้องไอซียูเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมี 18 เตียง คนไข้เริ่มเต็มเป็นบางช่วง ผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตเริ่มมากขึ้น ก็จะรองรับตรงนี้ให้มากขึ้นด้วย จะเพิ่มอีกประมาณ 15-20 เตียง”

 ส่วนสถานพยาบาลคลินิกกรุงเทพฯราชสีมา ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื่องจากปากช่องเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นปอดของคนไทย เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งตากอากาศ เป็นคนเศรษฐีที่มาอยู่ในบั้นปลายชีวิต มีศักยภาพสูง เศรษฐกิจของคนปากช่องก็ค่อนข้างดี ทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตรกรรม มีโรงงานหลายแห่ง เพราะฉะนั้นคลินิกกรุงเทพฯ ปากช่องจึงได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย มีคนไข้เพิ่มขึ้นทุกปี คนไข้นอกประมาณ 100 คน/วัน คนไข้ในประมาณ 7-9 เตียง/วัน ถือว่าได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทางโรงพยาบาลยังไม่มีแผนการลงทุนเพิ่ม จะต้องรอเวลาอีกประมาณ 2-3 ปี แต่อาจจะเพิ่มเตียงให้มากขึ้น เพิ่มห้องพักให้มากขึ้นรองรับการเจริญเติบโต ให้เมืองพร้อมจริงๆ แล้วจึงพิจารณาอีกครั้ง

9737
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Re: medical joke#1---obsessions
« เมื่อ: 04 มีนาคม 2010, 07:53:44 »
แค่รู้ว่า dick แปลว่าอะไร ก็ฮาได้แล้ว

9738
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากประเทศไทยมีพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2545 ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ง่ายขึ้น สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง มีผู้เข้ารับบริการเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั่วประเทศ มีประชาชนเข้ารับบริการในแผนกผู้ป่วยนอกมากถึงวันละ 1,500- 2,000 คน ทำให้การบริการไม่คล่องตัว ผู้ให้บริการทำงานหนักเกินไป ส่วนผู้รับบริการต้องรอพบแพทย์เป็นเวลานาน สร้างความไม่พึงพอใจ เกิดปัญหาร้องเรียนตามมา ทั้งๆที่ร้อยละ 50-75 ของผู้ที่ไปรับบริการที่โรงพยาบาลใหญ่ มีอาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง อาการของโรคไม่ซับซ้อน สามารถรักษาได้ที่สถานบริการใกล้บ้านได้

สาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชนนิยมเข้ารับบริการในโรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากมั่นใจว่าสามารถรักษาโรคได้ดีกว่าสถานพยาบาลขนาดเล็ก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานสถานพยาบาลทุุกระดับ ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน โดยใน ปี 2553 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ โครงการลดความแออัด พัฒนาคุณภาพ ขยายเครือข่าย บริการประทับใจ โดยจะปรับโฉมบริการด่านหน้าของสถานพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ เพื่อลดความแออัดการให้บริการผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลลงให้ได้ร้อยละ 30 เพิ่มความสะดวก การให้บริการทั่วถึง คล่องตัวและมีคุณภาพ โรงพยาบาลมีโอกาสพัฒนาระบบบริการให้มีคุณภาพ มีมาตรฐานเดียวกันทั้งเครือข่าย สร้างความมั่นใจ ความพึงพอใจให้ผู้รับบริการ และช่วยลดปัญหาการร้องเรียน
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า มาตรการหลักที่จะดำเนินการครั้งนี้ ประกอบด้วย

1. การปรับโฉมด้านกายภาพ ให้สถานที่ให้บริการผู้ป่วยสะอาด ทั้งห้องตรวจโรค ห้องน้ำ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายระหว่างรอตรวจ โดยจัดมุมพักผ่อนสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ มุมทำสมาธิ สวดมนต์ เล่นดนตรี มุมให้ความรู้ มีทีวี เอกสารวิชาการ บริการนวดฝ่าเท้า บริการน้ำดื่ม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนด้านบุคลากร จัดอบรมให้มีจิตอาสาในการบริการ มีเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญด้านการสื่อสาร อำนวยความสะดวก แก้ไขปัญหาให้แก่ผู้รับบริการตลอด 24 ชั่วโมง

2.เพิ่มศักยภาพผู้ให้บริการ จัดระบบบัตรคิวรอตรวจ มีการประมาณเวลาคร่าวๆให้ผู้ป่วยทราบ จัดให้มีศูนย์บริการให้คำปรึกษา(Call center) ให้บริการแนะนำการรักษาพยาบาลเบื้องต้นแก่ประชาชนที่เจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดความแออัด รวมทั้งจัดระบบนัดหมายมาโรงพยาบาลทางอิเลคโทรนิกส์ ระบบการส่งต่อ –ส่งกลับ รวมทั้งขยายเครือข่ายบริการโรงพยาบาล อาทิ คลินิก 4 มุมเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในเขตเมือง การให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียวในคลินิกโรคเฉพาะทาง และเปิดบริการนอกเวลาราชการ

3.การพัฒนาคุณภาพบริการ โดยสร้างความเข้าใจเจ้าหน้าที่ในการจัดบริการที่มีคุณภาพ ตรวจประเมินคุณภาพบริการเป็นระยะๆ จัดทำคู่มือการบริหารความเสี่ยง คู่มือการให้บริการโรคที่เป็นปัญหาและพบบ่อย รวมทั้งกำหนดมาตรฐานเครือข่ายบริการมาตรฐานเดียวกัน สร้างความมั่นใจให้ประชน และ4.การพัฒนาเครือข่ายบริการ โดยพัฒนาคุณภาพบริการโรคเรื้อรังที่พบบ่อยและสำคัญมีมาตรฐานเดียวกันทั้ง เครือข่าย ให้ภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการประชาชน และประชาสัมพันธ์ให้ผู้รับบริการทราบถึงบริการที่มี มั่นใจว่าจะทำให้โฉมหน้าบริการของสถานพยาบาลในสังกัดดีขึ้นเรื่อยๆ

9739
แหล่งข่าวในสำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 สปสช.ต้องจ่ายเงินชดเชยเบื้องต้นให้กับผู้รับบริการที่ได้รับความเสียหายจาก การรักษาพยาบาลกับหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้าตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 จำนวน 73.22 ล้านบาท จากจำนวนผู้รับบริการที่ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นทั้งหมด 810 ราย

แต่อนุกรรมการระดับจังหวัดพิจารณาแล้วเหลือเข้าหลักเกณฑ์เพียง 660 ราย แบ่งเป็นจ่ายกรณีสูญเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร 344 ราย เป็นเงิน 54.51 ล้านบาท สูญเสียอวัยวะ/พิการ 97 ราย เป็นเงิน 10.20 ล้านบาท บาดเจ็บ/เจ็บป่วยต่อเนื่อง 219 ราย เป็นเงิน 7.81 ล้านบาท และกรณีอุทธรณ์มีบางรายซ้ำกับรายที่เข้าหลักเกณฑ์ 67 ราย เป็นเงิน 7 แสนบาท

น.พ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า ตามมาตรา 41 กำหนดให้มีการกันเงินงบประมาณได้ไม่เกิน 1% ของงบประมาณทั้งหมด จึงตั้งงบส่วนนี้ได้ไม่เกิน 1,200 ล้านบาทต่อปี และนับตั้งแต่มีการใช้พ.ร.บ.หลักประกันสุข ภาพแห่งชาติในปี 2545 จนถึงปัจจุบันใช้งบจ่ายชดเชยเบื้องต้นไปเพียง 224 ล้านบาท(story-ยังจ่ายน้อยไปใช่ไหม ยังฟ้องน้อยไปด้วยใช่เปล่า สปสช)
ขณะนี้มี งบฯ แต่ละปีเหลือสะสมประมาณ 164 ล้านบาท ซึ่งปี 2552 ตั้งงบไว้ 1 บาทต่อหัวประชากร เป็นเงินประมาณ 47 ล้านบาท ใช้จริงประมาณ 70 ล้านบาท แม้งบฯที่ตั้งไว้จะไม่เพียงพอ แต่สามารถนำเงินที่เหลือสะสมจากปีก่อนมาใช้ได้

9740
นักเรียน ม.6 รร.เตรียมอุดมศึกษา เจ๋ง คว้าที่ 1 คณะแพทย์ จุฬาฯ ได้คะแนน 83.0400 จากคะแนนเต็ม 100

วันนี้ (26 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) คัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในกลุ่ม กสพท. ประจำปีการศึกษา 2553 นั้น ศ.พญ.บุญมี สถาปัตยวงศ์ ประธานคณะอนุกรรมการจัดสอบคัดเลือกระบบรับตรงฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา กสพท.ได้ประกาศผลการคัดเลือกระบบรับตรงของ กสพท. ผ่านเว็บไซต์ สพท. www9.si.mahidol.ac.th และเว็บไซต์ของกลุ่ม กสพท.ทั้ง 12 แห่ง ซึ่งในปีนี้มีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้นจำนวน 1,375 คน จากผู้สมัครจำนวน 22,000 คน ดังนั้น ตนฝากผู้ผ่านการคัดเลือกต้องตรวจสอบรายชื่อด้วยตนเอง และสอบสัมภาษณ์ตามเวลากำหนด ถ้าไม่มาจะถือว่าสละสิทธิ์ คาดว่า เริ่มสอบสัมภาษณ์วันที่ 2-10 มี.ค.นี้

สำหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุด คือ นายณัชชากร ขวัญขจรวงศ์ นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้คะแนน 83.0400 จาก คะแนนเต็ม 100 โดยเลือกเข้าเรียนต่อในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ด้าน นายณัชชากร หรือน้องเดลล์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ ตามที่ตั้งใจไว้ได้ และเป็นอาชีพที่ตนเองใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ (story-คิดผิดหรือเปล่า กลับตัวกลับใจยังทัน)จึงได้พยายามตั้งใจเรียนมาตลอด เพราะรู้ว่าการสอบเข้าเรียนหมอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเคล็ดลับในการเรียน ตั้งใจเรียนในห้องเต็มที่ และหมั่นทบทวนบทเรียนด้วยตนเองเสมอ และถ้าตั้งใจเรียน และทบทวนสิ่งที่เรียนมา ไม่จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชา ทั้งนี้ อนาคตตนตั้งใจจะเป็นอาจารย์หมอ เพราะชอบสอนหนังสือ และชอบถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่น.

9741
คู่สามีภรรยาที่รอคอยการตั้งครรภ์และต้องซื้ออุปกรณ์มาตรวจปัสสาวะด้วยตัวเอง อาจมีเครื่องมือชิ้นใหม่ที่ช่วยให้ทราบผลเร็วขึ้นแล้ว เมื่ออังกฤษได้พัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณเชื้ออสุจิที่ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียอ้างว่ามีความแม่นยำสูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์ได้เป็นผลสำเร็จ
       
       ดร.จอห์น เฮอร์ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เมืองชาร์ล็อตต์วิลล์ ผู้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบตัวนี้กล่าวว่า มันเหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่ต้องการจะมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ หรือยังต้องการพยายามด้วยตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพาความก้าวหน้าทางการแพทย์
       
       ทั้งนี้ ดร.จอห์นอ้างว่า อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถบอกได้ว่า น้ำเชื้อของฝ่ายชายมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคู่สามีภรรยาในการไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา หรือขอตรวจลงได้
       
       "ราคาขายปลีกของอุปกรณ์นี้คาดว่าจะอยู่ที่ 15 ปอนด์ ซึ่งถูกกว่าการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อยู่ค่อนข้างมาก"
       
       สำหรับความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ตรวจวัดดังกล่าวนั้น ดร.จอห์นอ้างว่ามีความน่าเชื่อถือสูงถึง 96 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (โดยเป็นการนำผลมาตรวจสอบกับผลที่ได้จากห้องแลปมาตรฐาน)
       
       สำหรับปริมาณอสุจิควรจะมีต่อน้ำเชื้อหนึ่งมิลลิลิตรคือ ยี่สิบล้านตัวขึ้นไป ซึ่งถ้าตรวจวัดได้เช่นนั้น อุปกรณ์จะระบุว่าเป็นน้ำเชื้อที่มีคุณภาพ ส่วนน้ำเชื้อที่ไม่มีคุณภาพนั้นจะต้องมีปริมาณอสุจิต่ำกว่าห้าล้านตัว ต่อหนึ่งมิลลิลิตร
       
       อุปกรณ์ตรวจวัดดังกล่าวนี้ใช้เวลาในการพัฒนานานกว่า 10 ปี โดยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร

9742
 ท่านว.วชิรเมธี ชี้เด็กไทยเครียด ทุกข์หนักเพราะการศึกษา เรียนหนักสมองโตแต่หัวใจตีบเห็นแก่ตัว เหตุหลักสูตรอัดแน่นเกินวัยจนลืมวิชาชีวิต ทิ้งธรรมะ บูชาเงินมากกว่าความดีงาม เผยไม่หวังปฏิรูปรอบสอง

 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ได้จัดสัมมนาเรื่อง การบริหารการศึกษาให้เด็กไทยเก่งดีมีสุข โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย กล่าวว่า สังคมไทยในขณะนี้เป็นสังคมที่ไร้ระเบียบ สังคมไทยประสบกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองอย่างหนัก การศึกษาไทยก็ไม่สามารถเยียวยาอะไรได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการรับรู้ของเด็กไทย ตลอดถึงความคิดของเด็กไทย เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเรามุ่งแต่วิชาหนังสือเป็นหลักจนลืมวิชาชีวิต มุ่งเรียนเพื่อจะได้ทำงานดีๆ วิชาทางธรรมถูกลดบทบาทลง ทุกคนมุ่งแต่เรื่องทำมาหากิน ทำประโยชน์เพื่อตัวเราเอง ลืมนึกถึงคนอื่น จิตสำนึกสาธารณะไม่มี (story-เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเราช่วยกันทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วมกันหน่อย) การเรียนในโรงเรียนก็สอนจำมากกว่าจะสอนเรื่องความเข้าใจให้แก่เด็ก หลักสูตรอัดแน่นเกินวัย เรียนไปก็นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะการสอนทางพระพุทธศาสนา เด็กไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย

 "ทุกวันนี้เด็กไทยจึงเรียนหนังสือด้วยความทุกข์ ไม่เคยมีความสุข เพราะเรามุ่งสอบมากเกินไป โรงเรียนกวดวิชามีทั่วประเทศ เมื่อสอบเสร็จเด็กแทบจะไม่อยากจับหนังสืออีก ด้วยเหตุที่เครียด เรียนไปก็จำอะไรไม่ได้ การปฏิรูปการศึกษารอบแรกก็ยังไร้ผล เพราะผู้ใหญ่พูดเรื่องตำแหน่งมากกว่าคุณภาพการศึกษา มาครั้งนี้จะปฏิรูปรอบสองไม่รู้ว่าจะถึงตัวเด็กหรือเปล่า การศึกษาไทยทำให้เด็กไทยสมองโต หัวใจตีบ คิดน้อย เห็นแก่ตัวเอง ไม่สนใจส่วนรวม ทิ้งธรรม บูชาเงินมากกว่าความดีงาม เครียด ไม่มีความสุข ชอบเรื่องสะเดาะเคราะห์มากกว่าการคิดวิเคราะห์ ไม่ชอบเป็นผู้นำชอบตามคนอื่น” พระมหาวุฒิชัย กล่าว

 พระมหาวุฒิชัย กล่าวอีกว่า ถึงตอนนี้ถ้าเราอยากเห็นการศึกษาไทยเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน และอย่าหวังว่านักการเมืองจะเข้ามาช่วยเพราะทุกวันนี้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังแก้ปัญหาต่างๆ ของตัวเองยังไม่ได้เลย(story-ระบบ และกระทรวงสาธารณสุขก็เหมือนกัน) เมื่อเราเห็นปัญหาและไม่มัวแต่วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆ ก็มีทางแก้ไข

 ด้านดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี กล่าวว่า การศึกษาไทยต้องเน้นความดีก่อนความเก่ง ที่สำคัญเขาจะมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย หากโรงเรียนใดสอนให้เด็กรู้จักตัวเอง สอนให้เด็กรู้จักตั้งคำถาม เช่น เขาเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร และจะทำอะไรบ้าง จะทำให้เขาได้ทบทวนตัวเอง คำถามเหล่านี้จะกระตุ้นให้เด็กได้คิดและรู้จักวิเคราะห์ตัวเองซึ่งเป็น เรื่องจำเป็นอย่างมาก เพราะเด็กคือมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์

9743
เตรียมแผนเอราวัณ 1-2-3 รองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ตายตัวปรับตามสถานการณ์
       
        นพ.ชาตรี เจริญชีวกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ได้ประชุมเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ฉุกเฉินรองรับสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่ม คนเสื้อแดงที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ โดยการทำงานร่วมกับศูนย์เอราวัณเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ โดยตามกฎหมายศูนย์เอราวัณ กทม.ถือเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ โดยครั้งนี้มี นพ.สามารถ ตันอริยกุล รองผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม.เป็นผู้บัญชาการ มีการเตรียมแผนไว้ 3 ระดับ คือ แผนเอราวัณ 1 การเตรียมความพร้อมในที่ตั้ง หากเกิดเหตุให้หน่วยที่ใกล้ที่สุดเข้าดำเนินการ แผนเอราวัณ 2 มีผู้ชุมนุมรวมตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีสถานที่ตั้งชัดเจน กรณีนี้จะมีการวางกำลังหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินไว้ 4 ทิศ และผนเอราวัณ 3 ในกรณีความรุนแรงขยายเป็นวงกว้างจะมีการระดมกำลังโรงพยาบาลในเขตปริมณฑล และมูลนิธิต่างเข้าร่วม
       
       “ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์จะมี ความรุนแรงหรือไม่ แต่หน่วยการแพทย์ฉุกเฉินได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ การสำรองเลือดยามฉุกเฉิน ซึ่งเบื้องต้นทราบว่าผู้ชุมนุมจะรวมตัวกัน อยู่ที่สนามหลวง ก็จะต้องจับตาเฝ้าระวังหากมีคนจำนวนไม่มาก ก็อาจใช้แผนเอราวัณ 1 แต่หากคนไม่มากแต่มีอาวุธครบมืออาจต้องใช้แผนเอราวัณ 2 หรือกรณีที่มีคนจำนวนมากแต่พิจารณาแล้วสงบเรียบร้อยก็อาจใช้แผน 1 ไม่มีอะไรตายตัว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยการเลือกใช้แผนก็จะอยู่ที่ดุลยพินิจของนพ.สามารถโดยสพฉ.จะทำหน้าที่ในการ ประสานข้อมูลและการเคลื่อนกำลัง อย่างไรก็ตามข้อมูลต่างๆ จะรวมอยู่ที่ศูนย์เอราวัณ โดยในวันที่ 26 ก.พ.จะมีการประชุมร่วมกัน ที่ศาลาว่าการกทม.อีกครั้งหนึ่ง”นพ.ชาตรีกล่าว

9744
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียในบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย กำลังประสบปัญหาการดื้อยาอาร์ทิมิซิน ซึ่งถือเป็นยารักษาไข้มาลาเรียที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดชนิดหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นไข้มาลาเรียในพื้นที่ดังกล่าว ต้องใช้เวลารักษาอาการไข้ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านไข้มาลาเรียจากนานาชาติจึงได้จัดการประชุมร่วมกับ คณะเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำหมู่บ้านของประเทศกัมพูชาในกรุงพนมเปญ เพื่อหาหนทางหยุดยั้งอาการดื้อยาดังกล่าวที่กำลังแพร่กระจายมากขึ้น

ดร.ซิลเวีย มีค ผู้อำนวยการด้านเทคนิค สหพันธ์ไข้มาลาเรียนานาชาติ กล่าวว่า ต้องมีการหยุดยั้งการแพร่กระจายของอาการดื้อยาดังกล่าวลงให้ได้

"มีการเคลื่อนย้ายของประชากรเป็นจำนวนมากในพื้นที่บริเวณนี้ เช่น ประชากรจากไนจีเรียที่อพยพมายังเอเชีย เป็นต้น และการเคลื่อนย้ายดังกล่าวก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ" ดร.มีค กล่าวและว่า "มันอาจใช้คนจำนวนไม่กี่รายในการนำพาเชื้อดื้อยามายังพื้นที่นี้ ก่อนที่จะมีคนอื่นรับเชื้อดังกล่าวเข้าไปในร่างกาย และเมื่อเชื้อดื้อยารักษาไข้มาลาเรียอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว มันก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว"

9745
เด็กไทยอ่อนวิชาคณิต-วิทย์ ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยนานาชาติ อยู่ที่อันดับ 29 และ 21 จาก 59 ประเทศทั่วโลก ทั้งที่จัดเวลาเรียนมากเป็นที่ 2 ของโลก เผย 5 อันดับที่ได้คะแนนสูงสุดอยู่ในเอเชีย ทั้งสิงคโปร์-ไต้หวัน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น-ฮ่องกง "สสวท." ตั้งเป้า 10 ปี มหาวิทยาลัยเอกชน-ราชภัฏ-ราชมงคล พร้อมใจไม่ขึ้นค่าเล่าเรียน เลขาฯ กพฐ.สั่งกำชับ 370 โรงเรียนยอดนิยมลดเก็บค่าใช้จ่ายผู้ปกครองที่ไม่จำเป็น

นางพรพรรณ ไวทยางกูร รองผู้อำนวยการ สสวท.กล่าวว่า ไทยจัดเวลาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก คือวิชาละ 35 คาบต่อสัปดาห์ แต่ผลประเมินกลับมีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าพอใจ สะท้อนว่าไทยไม่สามารถปรับตัว และเตรียมบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยส่วนตัวมองว่าเกิดจากปัญหาขาดแคลนครู ที่เกิดจากนโยบายลดอัตรากำลังคนตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่ รีไทร์ รวมทั้งไม่มีมาตรการจูงใจให้คนเก่งมาเป็นครู

9746
นายวุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า จากการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ Webometrics เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ติดอันดับที่ 22 ของเอเชีย และอันดับที่ 229 ของโลก จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกว่า 3,000 แห่งทั่วโลก ผลการจัดอันดับดังกล่าว ส่งผลให้ มก.ขยับขึ้นนำหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จร่วมกันทั้งนิสิต คณาจารย์ และบุคลากรทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึง การเสริมภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในความสำเร็จของการก้าวสู่การเป็น มหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำแห่งภูมิภาคต่อไป

มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับ มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

1.  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์     อันดับที่ 229
2.  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   อันดับที่ 338
3.  มหาวิทยาลัยมหิดล             อันดับที่ 381
4.  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย       อันดับที่ 398
5.  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่          อันดับที่ 478
6.  มหาวิทยาลัยขอนแก่น                           อันดับที่ 567
7.  มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์                         อันดับที่ 700
8.  สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)            อันดับที่ 770
9.  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี    อันดับที่ 822
10. มหาวิทยาลัยนเรศวร                            อันดับที่ 924

นอกจากนี้ยังมีผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมหาวิทยาลัยของประเทศไทยก็ติดอันดับที่ 2 ถึง อันดับที่ 5 จำนวนทั้งสิ้น 4 มหาวิทยาลัย ดังนี้

มหาวิทยาลัยชั้นนำ ระดับภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้  (ไทยติดถึง 6 อันดับ ในท็อป 10 )
1. National University of Singapore
2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
4. มหาวิทยาลัยมหิดล
5. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
6. Nanyang Technological University
7. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
8. University Gadjah Mada
9. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
10. Institute of Technology Bandung

ด้านผลการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยระดับ เอเชีย ผลการจัดอันดับ ดังนี้
1. University of TOKYO
2. KYOTO University
3. National TAIWAN University Taiwan
4. University of Hong Kong
5. CHINESE University of Hong Kong
6. Hebrew University of Jerusalem
7. Keio University
8. National University of Singapore
9. National Chiao Tung University
10. Nagoya University
22. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
33. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
34. มหาวิทยาลัยมหิดล

9747
ไอ เดีย"มาร์ค"-โอ๋ขรก. สั่งทำบำเหน็จตกทอด

"มาร์ค "โปรยยาหอมข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจและลูกจ้างของรัฐ พร้อมเพิ่มสวัสดิ การและปรับปรุงบำเหน็จตกทอดให้ และให้ขรก.ที่ทำงานครบ 20 ปีถ้าลาออกมีบำเหน็จได้ ผุดไอเดียขยายเวลาเกษียณอายุราชการจาก 60 ปี เป็น 70 ปี ในสาขาที่ขาดแคลน เช่น ครู และแพทย์เป็นต้น

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล ชมรมเจ้าหน้าที่ของรัฐแห่งประเทศไทย นำโดยนายชินภัทร ปันยารชุน ประธานชมรมเจ้าหน้าที่ของรัฐแห่งประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอบคุณที่ครม.เห็นชอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2552 พร้อมยื่นหนังสือเรื่องสวัสดิการหลังเกษียณอายุราชการลูกจ้างประจำของส่วน ราชการ โดยขอให้เพิ่มเติมสิทธิค่ารักษาพยาบาล เพิ่มเติมบำเหน็จตกทอด 15 เท่าของเงินเดือน และขอให้ปรับปรุงพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 รับราชการ 20 ปี ลาออกขอมีสิทธิ์เลือกรับบำนาญ

นายกฯ กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่เป็นประธานก.พ.สิ่งแรกที่ขอให้ทางก.พ.ช่วยดู คือปัญหาสถานะเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบต่างๆ เพราะปัจจุบันมีทั้งข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และกรณีของลูกจ้างที่มีทั้งลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว ที่มีทั้งการจ้างรายเดือน รายวัน รายชั่วโมงหรือจ้างเหมา ซึ่งทุกกลุ่มยังมีปัญหาไม่ลงตัว ทั้งในเรื่องของสิทธิและสถานะต่างๆ ก็พยายามแก้ไข เช่น กรณีลูกจ้างก็เข้าไปดูแลเรื่องประกันสังคมแล้ว หรืออย่างกรณีของลูกจ้างประจำ กระทรวงการคลังก็ได้เห็นชอบ มาตรการการรับเหน็จเป็นรายเดือน แต่ก็ยังมีความประสงค์ต้องการให้ปรับปรุงสิทธิเพิ่มเติมทั้งเรื่องบำเหน็จตก ทอด และสิทธิที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล ซึ่งได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ส่วนการปรับปรุงหรือแก้ไข พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 นั้นก็จะพิจารณาดูให้

"ใน ภาพรวมปีที่แล้วก็เป็นปีที่รัฐบาลมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณมาก แต่ก็ตั้งใจว่าเรื่องของสวัสดิการความมั่นคงก็จะพยายามดำเนินการทั้งในส่วน ของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จึงผลักดันมาตรการต่างๆ และผมได้ให้สำนักงบประมาณได้รวบรวมเรื่องของเงินสวัสดิการ ทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เพื่อทำให้อนาคตจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าหลักประกันของประชาชนและภาระ ของรัฐบาลไปด้วยกันได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการทำตัวเลขมา ก็จะเห็นว่าเงินด้านสวัสดิการทุกด้านไม่นับรวมเงินเดือนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 25 ของงบประมาณ ซึ่งถ้ารวมเงินเดือนก็จะอยู่ที่ร้อยละ 60-70 แต่ผมคิดว่าตัวเลขร้อยละ 25 นั้นไม่ได้สูงเกินไป เพราะคาดว่าในอนาคตงบประมาณจะต้องเป็นสัดส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านสังคม เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การลงทุนด้านเศรษฐกิจคงต้องทำในรูปแบบที่ให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน มากกว่า ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการต้องคำนึง ถึงผลที่จะตามมา" นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีที่พูดถึงความต้องการที่จะให้คนที่อยู่มา 20 ปี ควรให้ลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีอีกกระแสเรียกร้องว่าการเกษียณอายุราชการที่ 60 ปีนั้นเร็วเกินไป เพราะปัจจุบันคนมีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้น คนอายุ 60-70 ปีก็ยังทำงานได้ ขณะนี้ก็กำลังดูว่าในบางหน่วยงานถ้ามีความขาดแคลนด้วยอาจจะต้องขยับอายุ เกษียณจาก 60 ปีขึ้น แต่ไม่ให้ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหาร เช่น แพทย์ ครู ขณะนี้กำลังพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งต้องดูให้สอดคล้องกับความเป็นจริงด้วย

นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสิทธิของการรักษาพยาบาล ขณะนี้กำลังดูค่าใช้จ่าย เนื่องจากขณะนี้การจัดงบประมาณสำหรับสวัสดิการการรักษาพยาบาลในส่วนของเจ้า หน้าที่ของรัฐ งบประมาณจะตั้งอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่รายจ่ายที่จ่ายจริงเนื่องจากเป็นระบบตามจ่ายภายหลังจะมีถึง 6 หมื่นล้านบาท ถ้าหารจำนวนคนที่ได้รับประโยชน์กับเงินที่ใช้จ่ายไปพบว่าเจ้าหน้าที่จะได้ เงินสูงกว่าประชาชนธรรมดา ซึ่งรัฐจัดสรรเงินต่อหัวสูงถึง 10 เท่า ถือเป็นปมปัญหาที่กำลังหาว่าเกิดจากอะไร ที่พบเบื้องต้นมี 2 ปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขเกิดความแตกต่างคือ มีการปรับระบบการให้ค่าใช้จ่ายตัวนี้สามารถเบิกตรงได้ ทำให้การควบคุมการจ่ายยาเริ่มมีปัญหา อีกทั้งโรงพยาบาลที่จ่ายยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงก็มีเพียง 30 กว่าโรงพยาบาลทั่วประเทศเท่านั้น อีกปัจจัยหนึ่งคือการให้บริการมีการขยายวงมากขึ้น ขนาดไปนวดก็ยังเบิกได้ จึงจำเป็นต้องสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น

"ขณะนี้สิ่งที่น่าห่วงคือ ลูกจ้างชั่วคราว เพราะหลายหน่วยงานเลี่ยงที่จะมีตัวเลขบุคลากรประจำ จึงใช้วิธีการจ้างแบบชั่วคราว แต่ใช้เวลานานมาก ทำให้เรื่องของสิทธิมีความสับสน เช่นลูกจ้าง ในระบบจ้างเหมาก็จะมีการถกเถียงผลักภาระว่าใครจะเป็นคนออกในส่วนของประกัน สังคม ซึ่งผมจะพยายามลงไปดูในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง" นายกฯ กล่าว

9748
ชื่นชม คุณs2010023 จัง ขนาดเรื่องนี้่ (GT200) ยังโยงเข้ากับวงการแพทย์เราได้
เรื่องยาราคาถูกแต่คุณภาพ? ถ้าไม่มีเรื่อง ก็ไม่มีใครสนใจหรอกครับ

9749
สามีพร้อมลูกสาวแห่ รูปภรรยาพร้อมกระถางธูป นำชาวบ้านนับร้อยประท้วงโรงพยาบาล อ้างทำคลอดภรรยาตาย ร้องหาผู้รับผิดชอบให้เวลา 3 วัน ผอ.รพ. แจง เหตุเสียชีวิตเพราะตกเลือดมาก ช็อคและมีอาการเบาหวานแทรกซ้อน ชี้ แพทย์พยายามเต็มที่แล้วที่จะรักษาชีวิตคนไข้

ช่วงบ่ายวันนี้ นายพินิจ บุญจันทร์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 5 ต.วังน้ำขาว อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย และบุตรสาวคือเด็กหญิงจุฑามาศ บุญจันทร์ วั ย 5 ปี ถือกระถางธูปและภาพถ่ายนางทองศรี บุญจันทร์ ผู้เป็นภรรยา ซึ่งเสียชีวิตจากการคลอดลูกที่โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย และเพื่อนบ้านนับร้อยคนเดินทางไปรวมตัวประท้วงที่โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย เรียกร้องหาความรับผิดชอบของคณะแพทย์และพยาบาลที่ทำคลอดภรรยาจนเสียชีวิต

 นายพินิจกล่าวว่า ภรรยาของตนเจ็บท้องใกล้คลอดเมื่อเวลา 05.00 น. เช้าวันที่ 19 ก.พ. ตนจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลเมื่อถึงทางเข้าโรงพยาบาลเวลาประมาณ 06.00 น. ภรรยาเกิดคลอดลูกบนรถแพทย์และพยาบาลรีบทำคลอดและนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน กระทั่งเวลาประมาณ 09.00 น. ได้นำตัวภรรยาและบุตรสาวที่เพิ่งคลอดออกมาขึ้นรถพยาบาลเพื่อนำส่งโรงพยาบาล สุโขทัยโดยตนไม่ทันทราบสาเหตุ กระทั่งถึงโรงพยาบาลสุโขทัยจึงทราบว่าภรรยาได้เสียชีวิตแล้วระหว่างการเดิน ทางส่วนบุตรสาวที่เพิ่งคลอดปลอดภัย

 จากนั้นจึงสอบถามทางโรงพยาบาลบ้านด่านลานหอยว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ได้รับคำ ตอบไม่ชัดเจน จึงรวมเพื่อนบ้านออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ รพ. ในการทำงานของเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลที่ทำคลอดจนเป็นเหตุให้ภรรยาตนเสีย ชีวิต ทั้งที่ภรรยาตนร่างกายแข็งแรงดีไม่มีโรคภัยใดๆ ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลจะรับผิดชอบอย่างไรในกรณีดังกล่าวซึ่งตนและเพื่อนบ้าน ให้เวลา 3 วัน ถ้าไม่มีผลจะเดินทางเข้าจังหวัดร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

 ด้านนพ.นิธิรัชต์ แสนเพ็ญ ผอ. โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย ออกมาชี้แจงต่อชาวบ้านที่เดินทางมาประท้วงใจความสำคัญว่า คนไข้มาถึงโรงพยาบาลโดยมีการคลอดลูกออกมาโดยส่วนศรีษะเด็กออกมาแล้วซึ่ง แพทย์และพยาบาลรีบนำตัวเข้าห้องคลอด เพื่อทำคลอดเด็กออกมาและพบว่าตัวแม่นั้นมีอาการโรคเบาหวานแทรกซ้อนและบาดแผล ปากช่องคลอดฉีกขาดกว่า 10 เซนติเมตร และ มีอาการตกเลือดจนเสียเลือดมากจนแม่เกิดอาการช๊อคหมดสติไป 5 นาที แพทย์พยายามช่วยเหลือจนฟื้นกลับมาแล้วจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลสุโขทัยที่มี อุปกรณ์ในการช่วยเหลือและความพร้อมมากกว่า แต่ต่อมาทราบว่าคนไข้เสียชีวิตลงระหว่างทางซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยโดยแพทย์ พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนข้อเรียกร้องของการชุมนุมประท้วงนั้นตนก็จะตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จ จริงที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตและมาตรการในการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ต่อไป

9750
พ่อค้าก๋วยเตี๋ยว โรคพิษสุราเรื้อรังกำเริบ คลุ้มคลั่ง กระโดดระเบียงชั้น 2 แฟลตที่พักแพทย์และพยาบาล รพ.ตราด ลงมาได้รับบาดเจ็บสาหัส...

โดย เหตุการณ์พ่อค้าก๋วยเตี๋ยว เกิดอาการคลุ้มคลั่งกระโดดตึก รพ.ตราด อาการสาหัสรายนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 20 กพ. 2553 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตราด ได้รับแจ้งเหตุผู้ป่วยใน รพ.ตราด เกิดอาการคลุ้มคลั่งปีนขึ้นไปบนระเบียงชั้น 2 แฟลตที่พักแพทย์และพยาบาลภายใน รพ.ตราด

หลังรับแจ้งจึงเดินทางไป ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้ป่วยเป็นชายในชุดผู้ป่วยภายในของ รพ.ตราด ปีนขึ้นไปอยู่บนระเบียงชั้น 2 ของอาคารที่พักแพทย์และพยาบาล รพ.ตราด ในสภาพร่างกายและเสื้อผ้าเปื้อนเลือด เนื่องจากเกิดอาการคลุ้มคลั่งกระโดดหนีจากชั้น 2 ตึกอายุรกรรมชายที่พักรักษาตัวอยู่และถูกสังกะสีและเศษไม้ที่อยู่ระหว่างการ ก่อสร้างอาคารบาดจนเป็นบาดแผล

ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่า นายเรืองศิลป์ นามเมืองรักษ์ อายุ 33 ปี บ้านเดิมอยู่ที่ ต.โคกกลาง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ปัจจุบันเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่บ้านคลองพร้าว ต.เกาะช้างอ.เกาะช้าง ก่อนเกิดเหตุ นายเรืองศิลป์ เข้ารักษาตัวที่ รพ.เกาะช้าง ด้วยอาการพิษสุราเรื้อรัง  เนื่องจากติดสุรา ต่อมา รพ.เกาะช้างส่งต่อมารักษาที่ รพ.ตราด เมื่อวันที่ 17 กพ. 2553 ที่ผ่านมา

โดย ก่อนเกิดเหตุนายเรืองศิลป์ เกิดอาการคลุ้มคลั่ง เพราะพิษสุรา จึงวิ่งออกจากเตียงนอนในตึกอายุรกรรมชายและกระโดดลงจากตึกอายุรกรรมชาย ก่อนจะหนีไปเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ตามหาจนมาพบว่ากำลังปีนขึ้นไปบนระเบียงอาคารที่พักแพทย์และพยาบาลดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครสมาคมกู้ภัยพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นานนับ ชั่วโมง ให้ลงมาจากระเบียงดังกล่าวแต่นายเรืองศิลป์ไม่ยอมลง จึงพยายามให้นางน้ำค้าง นามเมืองรักษ์ อายุ 31 ปี ภรรยาของนายเรือศิลป์ อุ้มบุตรน้อยมาเกลี้ยกล่อม นายเรืองศิลป์ด้วยแต่ก็ไม่ได้ผล

โดยนาย เรืองศิลป์ ยื่นข้อเสนอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำสุรามาให้ดื่มและขอยาบ้ามาให้ตนเองเสพด้วย เนื่องจากเคยติดยาบ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต่อรองให้นายเรืองศิลป์ ลงมารับยาบ้าด้านล่าง แต่นายเรืองศิลป์ ไม่ยอมลงยังมีอาการหวาดกลัวระแวงกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้ปีนขึ้นไปบนระเบียง เมื่อ นายเรืองศิลป์ เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจกระโดดลงจากระเบียงชั้น 2 ตกลงมาด้านล่างศีรษะกระแทกพื้นปูนแขนขวาหัก มีเลือดไหลออกปาก หมดสติอาการสาหัส เจ้าหน้าที่จึงนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินรักษาตัวเป็นการเร่งด่วน

หน้า: 1 ... 648 649 [650] 651