แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 578 579 [580] 581 582 ... 654
8686
AFP ตีข่าว ไทยแจกถุงยางอนามัยให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า

          วันนี้ ( 5 ตุลาคม) สำนักข่าวเอเอฟพีได้ตีข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้นำเฮลิคอปเตอร์ 5 ลำ บรรทุกยา เสบียงอาหาร และถุงยังชีพไปแจกจ่ายให้กับประชาชนใน 7 พื้นที่ของจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรง โดยในถุงยังชีพนั้นมีถุงยางอนามัยบรรจุอยู่ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า และจะทำให้ในอนาคตมีเด็กเกิดใหม่อีกจำนวนมาก

          โดยเอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติคนหนึ่ง บอกกับผู้สื่อข่าวเอเอฟพีว่า มีอาสาสมัครในพื้นที่บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ในช่วงน้ำท่วมเช่นนี้ ชาวบ้านไม่มีอะไรทำ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า จึงต้องมีการแจกจ่ายถุงยางอนามัยให้กับชาวบ้านด้วย

          อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

          ทั้งนี้ พายุฝนที่ตกกระหน่ำได้ทำให้เกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรงซึ่งกระทบต่อพื้นที่ 3 ใน 4 ของประเทศไทย รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย โดย ณ วันที่ 5 ตุลาคมนี้ เหตุอุทกภัยได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 237 คน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

8687
ห้ามโรงพยาบาลเจ๊งและไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
หมอถูกบีบคั้นขนาดนี้ แล้วผู้ป่วยจะพึ่งใคร?
 
  จากข่าวในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า “วิทยา”กร้าว ปี 2555 ห้าม รพ.เจ๊ง  และให้ สสจ.คุมเข้มใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

  ในขณะที่บอร์ด สปสช.ได้รับทราบผลการดำเนินงานของเลขาธิการ สปสช.ว่าได้คะแนนในระดับดีมาก 

   สองข่าวนี้ ทำให้แพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ช็อคไปตามๆกัน เนื่องจากว่า สปสช.จ่ายเงินให้โรงพยาบาลไม่ครบตามงบประมาณที่ สปสช.ได้รับมาจากสำนักงบประมาณ  ทำให้โรงพยาบาลเจ๊งทั้งประเทศ แต่ เลขาธิการ สปสช.กลับได้รับการประเมินว่ามีการทำงานเป็นระดับเกรดเอ (ดีเยี่ยม) สผพท. จึงใคร่ขอรายละเอียดการประเมินเลขาธิการ สปสช.จากประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (นายวิทยา บุรณศิริ)  ว่าองค์กรที่ทำการประเมินนั้นเชื่อถือได้หรือไม่  มีเกณฑ์การประเมินอย่างไร  ประเมินทุกมิติหรือไม่ ทำไมโรงพยาบาลจึงยังร้องว่าขาดทุนอยู่

  ทั้งนี้จากข่าวในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจหน้า ๑๒ วันที่ ๖ ต.ค. ๕๔ มีข่าว พาดหัวตัวใหญ่ว่า รพ.จี้ สปสช.จ่ายเงินค้างท่อ ๔,๐๐๐ ล้านบาท ( ที่จริงในรายละเอียดของข่าว เงินค้างท่อนี้เป็นจำนวนเงินเกือบ ๔๐,๐๐๐ล้านบาท)ทั้งนี้ในการประชุม  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่นายวิทยา บุรณศิริ  เป็นประธานเปิดรับฟังความคิดเห็นจาก ผอ. คุณหมอประเสริฐ ขันเงิน ผู้อำนวยการพ.พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก บอกว่า สปสช.จัดสรรเงินไม่เป็นธรรม แยกย่อยออกไปเป็นถึง ๑๒ กองทุน(ซึ่งใช้เกี่ยวกับโรคยุ่งยากราคาแพง และเงินนี้จะกองอยู่ที่สปสช.ทั้งหมด ประมาณเกือบครึ่งของเงินกองทุนทั้งหมดประมาณ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท มีเงินค่ารักษาผู้ป่วยส่งไปโรงพยาบาลเพียง ประมาณ ๕๓,๐๐๐ล้านบาท)เป็นเหตุให้ โรงพยาบาลได้รับเงินไม่ครบ

  ในปี ๒๕๕๔  รัฐบาลให้งบเหมาจ่ายรายหัวมาเกือบ ๒,๕๐๐ บาทต่อหัว แต่เงินค่ารักษามาถึงรพ.แค่ ๒๐๐-๑,๖๐๐บาท (ขึ้นกับจำนวนประชากรของจังหวัดนั้นๆ) และเมื่อรพ.เรียกเก็บค่ารักษาไป สปสช.ก็จ่ายเงินไม่ครบทุกครั้ง ทุกแห่ง
   เช่นโรงพยาบาลพุทธชินราช เรียกเก็บเงินไป  ๙๔๘ ล้านบาท แต่ สปสช.จ่ายมา ๔๙๙ล้านบาท  ถ้าดูภาพรวมทั้งประเทศ รพศ./รพท. เรียกไป ๓๗,๐๒๖ล้านบาท  แต่ สปสช. จ่ายให้เพียง ๑๗,๖๓๖ ล้านบาท   ส่วนรพ.ชุมชนเรียกเก็บ ๓๐,๔๗๓ล้านบาทแต่สปสช.จ่ายให้เพียง ๒๓,๐๐๐ล้านบาท

   ฉะนั้นจะเห็นว่าสปสช.ค้างจ่ายเงินแก่รพ.สธ.เป็นจำนวนถึง๒๖,๘๖๓,ล้านบาท .ในเวลาเพียง ๑ ปี

ส่วน นายแพทย์ชูศักดิ์ เอื้อวิจิตรพนา ผอ. รพ.เพชรบูรณ์ รับว่า กองทุนสปสช.มีปัญหาในการเบิกจ่ายอย่างมาก ดังนั้นเห็นว่าในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ นี้ สปสช.ควรโอนเงินให้รพ.เต็มจำนวนล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาติดขัด และมองว่าที่ผ่านมา สปสช.แบ่งเงินไว้ที่สปสช.มากเกินไป ทำให้มีเงินเหลือไปถึงรพ.ไม่เพียงพอต่อการทำงาน

 แต่แทนที่รัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะไปกวดขันสปสช.และสั่งการให้สปสช.แก้ไขปัญหาการบริหารเงินให้ถูกต้องและใช้หนี้เก่าให้หมด ตามที่ควรจะเป็น แต่นายวิทยา บุรณศิริ กลับมาสั่งโรงพยาบาลห้ามเจ๊ง  ทั้งๆที่รพ.ทั้งหลายเจ๊งจนจะล้มละลายอยู่แล้ว แต่ในฐานะรัฐมนตรีมีหน้าที่แก้ปัญหารพ.เจ๊ง และลูกน้องรมว.สธ.ก็บอกสาเหตุการเจ๊งของรพ.มาแล้วว่าเป็นเพราะอะไรแทนที่จะไปจัดการกับต้นตอของปัญหา กลับมาหาว่ารพ.ฟุ่มเฟือย ขอถามรัฐมนตรีหน่อยว่ารพ.จนกรอบแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปฟุ่มเฟือย(วะ)

พวกบุคลากรลูกน้องรัฐมนตรี สงสัยว่าจะเป็นเทวดาหรือไง   เงินที่จะใช้รักษาประชาชนก็ไม่มี แถมผู้ป่วยก็ห้ามตาย ถ้าตาย จะออกพ.ร.บ.มีดหมอ มาเชือดหมอ  โรงพยาบาลเจ๊งอยู่แล้ว  ก็ยังมาบอกว่าห้ามเจ๊ง
  ......หมอที่เป็นลูกน้องรัฐมนตรี ยังถูกบีบคั้นขนาดนี้จากรัฐมนตรีแล้วผู้ป่วยจะหันหน้าไปพึ่งใคร???

สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
6 ต.ค 54

8688
ผู้สื่อข่าวรายงานสถาน​การณ์น้ำท่วม​ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า ช่วง​เช้าวันนี้(6 ต.ค.) น้ำ​ได้​ไหล​เข้าบริ​เวณ​โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ​ทำ​ให้นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข(สธ.) ​จึงสั่ง​การ​ให้​ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ​เร่งประ​เมินสถาน​การณ์ ​และขนย้าย​ผู้ป่วยบางส่วนจาก​แล้ว รวม​ทั้ง​ให้ย้าย​เครื่องปั่น​ไฟ ​และ​เครื่องมือที่จำ​เป็นทาง​การ​แพทย์ ​เช่น ​เครื่องช่วยหาย​ใจ ​เครื่อง​เอ็กซ​เรย์ รวม​ทั้ง​เครื่อง​เอ็กซ​เรย์สมอง ขึ้น​ไปอยู่​ในพื้นที่ที่ปลอดภัยจากภาวะน้ำท่วม

ด้านกรมป้องกัน​และบรร​เทาสาธารณภัย(ปภ.) ​ได้ประกาศยก​เลิก​การอพยพประชาชน ​ไปยังสนามกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา​แล้ว ​เนื่องจากน้ำ​ไหลทะลัก​เข้าท่วมบริ​เวณรอบนอก ​และจ่อทะลัก​เข้าท่วมภาย​ในสนามกีฬา​และน้ำ​ได้​เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวด​เร็ว ​โดยพบพื้นที่​ทั้งจังหวัดถูกน้ำท่วม​ไป​แล้วกว่า 80% ขณะ​เดียวกันน้ำ​ได้​เอ่อล้นทะลัก​เข้าท่วมตลาดน้ำอ​โยธยา ​แหล่งท่อง​เที่ยวชื่อดัง ส่งผล​ให้บริ​เวณตลาด​ได้รับ​ความ​เสียหายอย่างหนัก

ขณะ​เดียวกันน้ำ​ได้​ไหล​เข้าท่วมถนนสาย​เอ​เชีย ช่วงบางปะหัน-อ่างทอง ​ทำ​ให้รถติดยาว​เหยียดหลายกิ​โล​เมตร​ทั้งขา​เข้า​และออก ล่าสุดรถติดยาวกว่า 30 กิ​โล​เมตร

​แนวหน้า  6 ตุลาคม 2554

8689
สธ.สร้างเจ้าหน้าที่-อสม.มืออาชีพ 160,000 คน พร้อมบำบัดผู้ติดยาเสพติดทั่วไทย
       
       สาธารณสุขพร้อมให้การบำบัดรักษาผู้ติด ผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศแล้ว โดยสนับสนุนศูนย์บำบัดฟื้นฟูทุกอำเภอ และ กทม.ทุกเขตรวม 928 แห่ง ตั้งเป้าในปี 2555 จะบำบัดให้ได้ 400,000 คน และหลังผ่านการบำบัดแล้วจะให้พลัง อสม.160,000 คน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านยาเสพติด ทำหน้าที่ติดตาม เฝ้าระวังไม่ให้กลับมาติดยาซ้ำครอบคลุมทั้ง 84,954 หมู่บ้านทั่วไทย ชี้ขณะนี้ไทยมีผู้เสพยาสูงกว่ามาตรฐานสากลถึง 6 เท่าตัว
       
       วันนี้ (6 ต.ค.) ที่ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี-รังสิต กทม. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดปฏิบัติการนำผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ที่สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลแห่งแรก ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด “เพื่อคืนบุตรหลานให้ครอบครัว คืนคนดีสู่สังคม”
       
       นายวิทยากล่าวว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดยาเสพติดในประเทศไทยได้กลับมาสู่ภาวะที่มีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยและทรัพย์สิน โดยในปี 2554 นี้ คาดว่าไทยมีผู้เสพยาเสพติดประมาณ 1.3 ล้านคน เมื่อเทียบกับสถิติประชากรทุกๆ 1,000 คน จะมีผู้เสพยา 19 คน สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล 6 เท่าตัว โดยพบว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสัดส่วนของปัญหามากที่สุดประมาณร้อยละ 60 ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจังและถือเป็นวาระแห่งชาติ ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โดยยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งมีกลไกติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ มีแนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด โดยชักชวน จูงใจผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดสมัครใจเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู ในปี 2555 ไม่น้อยกว่า 400,000 คน ซึ่งวิธีการบำบัดด้วยความสมัครใจนี้ จะได้ผลดี เนื่องจากเป็นความตั้งใจของผู้เสพที่ต้องการเลิกเสพยา
       
       นายวิทยากล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมระบบการบำบัดไว้พร้อมแล้ว โดยจัดตั้งศูนย์บำบัดฟื้นฟูยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนทุกอำเภอ และใน กทม.ทุกเขต รวมทั้งหมด 928 แห่ง ในการบำบัด จะมีการตรวจคัดกรองผู้เสพทุกพื้นที่ คัดแยกตามระดับรุนแรงของการติดยา เพื่อให้การบำบัดที่เหมาะสม เริ่มดำเนินการในเขต กทม.และปริมณฑลครั้งแรก ในต่างจังหวัดจะเริ่มดำเนินการวิธีเดียวกัน โดยได้จัดอบรมทีมสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักอาชีวบำบัด เพื่อทำหน้าที่บำบัดฟื้นฟู ครบทุกอำเภอจำนวน 5,000 คน และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.จำนวน 156,966 คน ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องยาเสพติด เพื่อทำหน้าที่ติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ที่ผ่านการบำบัดและกลับไปอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน 84,954 หมู่บ้านทั่วประเทศ ป้องกันไม่ให้หวนกลับไปติดยาหรือใช้ยาเสพติดซ้ำอีก
       
       สำหรับผลการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษา ประจำปีงบประมาณ 2553 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552 - 30 กันยายน 2553 มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทั้งหมด 114,074 ราย เข้าบำบัดด้วยระบบสมัครใจ 28,154 ราย ระบบบังคับบำบัด 71,311 ราย และระบบต้องโทษ 14,609 ราย โดยผู้ที่เข้ารับการบำบัดมีอายุระหว่าง 8 -24 ปี มากที่สุดจำนวน 41,960 ราย รองลงมาเป็นอายุ 25-29 ปี จำนวน 23,548 ราย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2554

8690
 คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ร่วมมือ ไออาร์ดี ประชุมวิชาการ “มิติทางสังคมและนิเวศวิทยาของโรคติดเชื้อ” ร่วมนานาชาติ  ชูโรคนำโดยแมลงและโรคจากสัตว์สู่คน เป็นฐานพัฒนางานวิจัย ต้องรับมือโรคระบาด ขณะ มช.เผยไทยครองแชมป์โรคพยาธิใบไม้ตับ เร่งระดมสมองแก้ปัญหา
       
       
       วันนี้ (6 ต.ค.) รศ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการเปิดประชุมวิชาการ “มิติทางสังคมและนิเวศวิทยาของโรคติดเชื้อ (Social and Ecological Dimension of Infectious Diseases)” หรือชื่อย่อว่า SEDID ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ต.ค. 2554 ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 ปี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนา  สถานทูตฝรั่งเศส หรือ ไออาร์ดี (Institut de recherche pour le développement : IRD  ประจำประเทศไทย และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ว่า  ในการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมรวมของนักวิชาการและผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อสุขภาพและการอุบัติของโรคติดเชื้อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญแต่ละศาสตร์สาขาเกี่ยวกับ การระบาดของโรคติดเชื้อเมื่อสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  การจัดการทรัพยากร และการศึกษาความสัมพันธ์ของโรคต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่าง คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการระดมสมอง ของนักวิจัยต่างสาขาและเกิดการสังเคราะห์แนวทางการทำวิจัยที่เชื่อมโยงความ รู้แขนงต่างเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน โดยมีบุคลากรจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ ไทย ฝรั่งเศส ลาว อินเดีย  เวียดนาม นอร์เวย์ กัมพูชา และ บรูไน
                     
       
       รศ.ประตาป กล่าวต่อว่า  สำหรับประเด็นหลักที่น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด ก็คือ เรื่องของการนำเสนอวิกฤติการณ์ของโรคที่นำโดยแมลง เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย และโรคจากสัตว์สู่คน เช่น ไข้สมองอักเสบ ไข้ฉี่หนู รวมทั้งไข้หวัดนกด้วย   และโรคซึ่งเกิดจากเชื้อซาโมเนลลาที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะใช้แค่ความรู้ทางการแพทย์เข้ามาป้องกันและควบคุมไม่ได้ แต่จำเป็นต้องบูรณาการหลากหลายอย่าง ทั้งด้านสัตวแพทย์ นิเวศวิทยา ระบาด และกระทั่งด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันมีทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีอัตราการป่วยทางกายที่มีสาเหตุจากสัตว์เป็นพาหะมากถึง 70-80 % และมีแนวโน้มจะเกิดโรคดังกล่าวในเขตเมืองถึง 50% ของพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นกรณีโรคฉี่หนูที่ กระทรวงสาธารณสุขประกาศเตือนบ่อยๆ ก็น่าห่วงเช่นกันโดยเฉพาะช่วงน้ำท่วม
       
       “จากความเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ไปฝืนธรรมชาตินั้น ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านสุขภาพหลายอย่าง เช่น การรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำเกษตร โอกาสที่สัตว์เลี้ยงกับสัตว์ป่าเจอกันแล้วก่อโรคก็มีอยู่มาก อย่างกรณีเชื้อนิปปาที่มีต้นกำเนิกจากมาเลเซีย ซึ่งถ่ายทดจากค้างคาวป่าสู่หมูที่เลี้ยงแล้วถ่ายทอดสู่คน ก็นับเป็นปรากฏการณ์หลากมิตติที่กระทบต่อสุขภาพประชากรโลกเช่นกัน หรือกรณีการทำเกษตรเชิงอุตสาหกรรมที่พยายามจะเพิ่มผลผลิตให้มากโดยการเร่งฮอร์โมน ใช้สารเคมี ใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เลี้ยงก็ล้วนแล้วแต่ก่อเกิดเชื้อดื้อยาง่ายดาย ซึ่งส่วนนี้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง หากสามารถศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ สิ่งแวดล้อมได้ก็ย่อมจะป้องกันง่ายขึ้น”  รศ.ประตาป กล่าว
       
       รศ.ประตาป กล่าวด้วยว่า และเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปีนี้องค์การ องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United States Agency for International Development-USAID) ได้มอบงบประมาณให้มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.)ได้พัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของการป้องกันและรักษาโรคแบบบูรณาการ ทั้งด้านแพทยศาสตร์ สัตวศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลิตกำลังคนที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และ ไทย ซึ่งจะจัดประชุมแผนในเดือน ธ.ค.นี้ที่เวียดนาม
       
       ด้าน รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก ศรีกิจการ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงตัวอย่างพฤติกรรมของคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ว่า  สำหรับโรคที่น่าห่วงเกี่ยวกับการบรอโภคจองคนไทย ในขณะนี้นั้น คือ โรคพยาธิใบไม้ตับ (Liver Fluke) ซึ่งในปี 2551 นั้นพบว่าพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน มีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวสูงถึง 70% ขณะที่ประเทศไทยเป็นแชมป์ของโลกที่มีผู้ป่วยมะเร็งตับอันมีสาเหตุจากการกินเนื้อดิบ  ทั้งๆ ที่โรคดังกล่าวเกิดขึ้นในครั้งแรกที่เวียดนาม แต่อัตราการบริโภคของคนไทยกลับรุนแรงกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประชุมวางแผนการรับมืออย่างจริงจังเพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายของโรคที่กำลังคุกคาม 
       
       รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก กล่าวต่อว่า นอกจาโรคพยาธิแล้วสิ่งที่น่ากังวลว่าอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า ก็คือโรคไข้หวัดนกเพราะเพียงแค่พื้นที่เดียวใน จ.เชียงใหม่ พบว่า เกษตรกรนิยมเลี้ยงสัตว์ปีกแบบเปิดในบริเวณบ้านเรือนซึ่งมีมากกราว 25% ของพื้นที่ทั้งหมด ดังนั้นหากโรคไข้หวัดนกมีการกลายพันธ์ก็หมายความว่า กลุ่มที่เลี้ยงในบริเวณบ้านเรือนมีโอกาสเสี่ยงที่จะรับเชื้อได้ง่าย
       
       “ขณะเดียวกัน เรื่องของการประเมินความเสี่ยงเชื้อโรคจากสุนัขก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ เพราะจากเหตุการณ์การนำสุนัขส่งขายในต่างประเทศที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้เลี้ยงไม่สามารถรักษาสัตว์เลี้ยงให้ปลอดภัยได้ บางรายเลี้ยงแล้วปล่อยอิสระจนไปเผชิญโรคภัยภายนอก ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเมื่อไม่สามารถประคองชีวิตของสัตว์เลี้ยงได้มักจบลงด้วยการขาย คือ ทำลายทางอ้อม ส่วนนี้นักวิชาการกำลังเร่งศึกษาอยู่ว่า จะก่อโรคในลักษณะใดได้บ้าง ดังนั้นเมื่อความสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ  มนุษย์ก้ต้องรู้เท่าทันและเตรียมรับมือ โดยคาดว่าการประชุมวิชาการคครั้งนี้จะช่วยให้แลกเปลี่ยนความรู้การจักการสุขภาพได้ในระดับนานาชาติ” รศ.น.สพ.ดร.เลิศรัก กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2554

8691
โรงพยาบาลบางปะหัน น้ำท่วมสูง ปิดบริการชั่วคราวทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน สั่งอพยพผู้ป่วย 17 ราย พร้อมเปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาขณะนี้วิกฤติหนัก ซึ่งผ่านขบวนการขั้นตอนบริหารจัดการของศอส. ทั้งหมด แต่เนื่องจากมาตรการเตรียมการป้องกันบางพื้นที่เป็นของภาคเอกชน  วันนี้ยังมีจุดสำคัญๆอีกหลายจุดเช่นนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ คือที่ไฮเทค บางปะอิน และโรจนะ จะต้องเร่งรัดเสริมแนวป้องกันอีก รวมถึงนวนครด้วย ซึ่งได้เตือนภัยไปแล้วหลายภาคส่วนต้องระมัดระวังมีมาตรการป้องกันให้มากที่สุด

สำหรับการอพยพประชาชน ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้มีมาตรการในการอพยพ โดยภาคเอกชนคือนายชาตรี พูนคุปตวาณิชย์  ได้มอบอาคารพาณิชย์ประมาณ 100 คูหาอยู่ที่บริเวณหน้าศาลากลางของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดเป็นที่อพยพประชาชน รองรับได้นับ 1,000 ครอบครัว มีห้องน้ำ ห้องสุขาพร้อม  และที่ตลาดบริเวณสี่แยกวัดพยาธิ เป็นจุดดูแลอาหารสดที่จะปรุงอาหารให้ผู้อพยพรับประทาน ตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรุ่งนี้จะมีเครือข่ายจากจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นมาร่วมด้วยรวมทั้งที่จังหวัดอ่างทอง ลพบุรีด้วย  เนื่องจากขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก ไม่สามารถเดินทางได้  เรือมีไม่พอ

 นายวิทยา กล่าวต่อว่า  สำหรับผลกระทบต่อสถานพยาบาล ขณะนี้ได้รับรายงานที่อ.บางปะหัน น้ำท่วมที่โรงพยาบาลบางปะหัน สูงจากพื้นที่ 30 - 40 เซนติเมตรและเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร  ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ต้องปิดให้บริการทั้งผู้ป่วยนอก ฉุกเฉิน และผู้ป่วยในเป็นการชั่วคราว เจ้าหน้าที่สามารถเดินทางมาปฏิบัติงานได้เพียง 1 ใน 3 โดยเช้ามืดวันนี้ได้ย้ายผู้ป่วยที่นอนรักษาอยู่ 17 ราย ซึ่งอาการทรงตัว ไปพักรักษาต่อที่รพ.อ่างทอง 2 ราย รพ.อุทัย 4 ราย รพ.สมเด็จพระสังฆราช 4 ราย  และรพ.วังน้อย 7 ราย    

ทั้งนี้ ในวันนี้ ได้ระดมหน่วยแพทย์สนามจากโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต จำนวน 2 ทีม นำโดยนายแพทย์วิวัฒน์  ศรีตะมโนชญ์ ตั้งโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ปักหลักบริการที่ปั้มน้ำมันปตท. อยู่ระหว่างโรงพยาบาลบางปะหัน กับทางเข้าที่ว่าการอำเภอบางปะหัน จุดที่ 2 ที่ต.บางขวาง อ.มหาราช เพื่อให้บริการตรวจรักษาประชาชนเหมือนโรงพยาบาลชุมชน  ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนโรงพยาบาลชุมชนอื่นๆ ในจ.พระนครศรีอยุธยา เช่นบ้านแพรก มหาราช ท่าเรือ นครหลวง รวมทั้งที่โรงพยาบาลชุมแสง จ.นครสวรรค์ กำลังประสบปัญหา หากน้ำท่วมสูงขึ้นอีก อาจจะต้องปรับบริการในโรงพยาบาล  และวางแผนปรับระบบการส่งต่อผู้ป่วยหนัก เนื่องจากหลายเส้นทางน้ำท่วมสูง รถพยาบาลวิ่งไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ได้ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำรองเฮลิคอปเตอร์ไว้ให้พร้อม 24 ชั่วโมง นายวิทยากล่าว

กรุงเทพธุรกิจ 6 ตุลาคม 2554

8692
"ระบบภูมิคุ้มกัน" ถือ​เป็นกุญ​แจสำคัญของ​การมีสุขภาพดี ​เพราะมันจะ​ทำหน้าที่​เหมือนกองทัพ ที่คอยดู​แล​และปกป้องร่างกายของ​เรา​ให้รอดพ้นจาก​การบุกรุกจากภายนอก คล้ายๆ กับกองทหารที่​เข้าประจำ​การ​และพร้อมปฏิบัติหน้าที่​ได้ทันทีตามต้อง​การ นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันยังดู​แลสุขภาพของคน​เรา ​โดย​ทำหน้าที่ตรวจสอบ​การบุกรุกของ​เชื้อ​โรคต่างๆ ​ไม่ว่าจะ​เป็น​เชื้อ​ไวรัส ​แบคที​เรีย รวม​ไป​ถึงปรสิตที่​เป็นบ่อ​เกิดของ​โรคภัยต่างๆ ​และพร้อมที่จะปราบปราม​เชื้อ​โรคดังกล่าวทันทีที่​ได้รับสัญญาณจากร่างกาย

​โภชนากรซูซาน ​โบ​เวอร์​แมน ที่ปรึกษาของ​เฮอร์บา​ไลฟ์ อิน​เตอร์​เนชั่น​แนล ลิมิ​เต็ด ​เปิด​เผยว่า นอกจากผิวหนัง​ซึ่ง​เป็นหนึ่ง​ในร่างกายของคน​เรา ที่ช่วยป้องกัน​การรุกรานของ​เชื้อ​แบคที​เรีย​แล้ว ร่างกายของคน​เรายังมีอาวุธป้องกันอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด ถ้าร่างกาย​ได้รับบาด​เจ็บ ระบบภูมิคุ้มกันจะส่งสัญญาณ​เตือนภัย​ในรูปของ​การ​เกิดอา​การอัก​เสบที่มีลักษณะร้อน ปวด​และบวม​แดง ​ซึ่ง​เป็นผลจาก​การที่​เลือด​ไหล​ไปยังบริ​เวณที่​ได้รับบาด​เจ็บมากขึ้น ​ในระหว่าง​การบำบัดรักษา​โดยธรรมชาติภาย​ในร่างกาย​เอง

นอกจากนี้ ร่างกายของ​เรายังสามารถสร้าง​โปรตีน​และ​เซลล์พิ​เศษทุกชนิด ​ซึ่งจะ​ทำงาน​เสมือนอาวุธสำหรับต่อสู้กับ​ความ​เจ็บป่วยต่างๆ รวม​ถึง​เซลล์​เม็ด​เลือดขาวหลายประ​เภท ​ซึ่งล้วน​แต่มี​การ​ทำงานที่​แตกต่างกัน​ไป ​เซลล์​เม็ด​เลือดขาวบางชนิดจะ​ทำหน้าที่ "​เขมือบ" ​หรือกลืนสิ่ง​แปลกปลอมที่มาจากภายนอกร่างกาย บางชนิดจะ​ทำหน้าที่ค้นหา​เชื้อ​ไวรัส ​และมีอีกหลายชนิดที่ผลิตสารประกอบทาง​เคมีที่มีประสิทธิภาพ​ใน​การ​ทำลายปรสิต รวม​ถึง​เซลล์​เม็ด​เลือดขาวที่​ทำหน้าที่ผลิต​โปรตีนพิ​เศษที่​เรียกว่า ​แอนติบอดี้ (antibody) ​ทำหน้าที่ตรวจหา​และกำจัด​เชื้อ​ไวรัส​และ​แบคที​เรีย

​โภชนากรซูซานระบุว่า ​การรับประทานอาหารอย่างถูกหลัก​โภชนา​การ มีบทบาทสำคัญต่อ​การสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดี หาก​เรารับประทานอาหารอย่างถูกหลัก​โภชนา​การ ​และดู​แลสุขภาพอย่างดี ​เรา​ก็จะมี​โอกาส​เจ็บป่วย​ได้น้อยมาก นั่นหมาย​ความว่า​เราจะลด​ความจำ​เป็น​ใน​การ​เรียก​ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของ​เรา ​ทั้งนี้อาหารที่​เป็นประ​โยชน์ต่อ​การสร้างภูมิคุ้มกัน​ก็คือ ผัก​และผล​ไม้หลากสี ร่วมด้วย​โปรตีนสุขภาพ​ในปริมาณที่​เหมาะสม ​และที่ขาด​ไม่​ได้​ก็คือ ​โพร​ไบ​โอติกส์ (probiotics) ​หรือที่​เรารู้จักกันดี​ในชื่อของ​แบคที​เรียสุขภาพ ​ซึ่ง​เป็นจุลินทรีย์​แบคที​เรียที่มีชีวิต ​เมื่อรับประทาน​เสริม​เข้า​ไป​ในร่างกาย​ในปริมาณที่​เพียงพอ ​ก็จะก่อ​ให้​เกิดผลดีต่อระบบย่อยอาหาร​ในร่างกาย

ผล​ไม้​และผักหลากหลายสีจะ​ให้ "สาร​ไฟ​โตนิว​เทรียนท์" ที่มีปริมาณสูง สาร​ไฟ​โตนิว ​เทรียนท์​เป็นสารประกอบธรรมชาติที่พบ​ในอาหารจำพวกพืชทุกชนิด มีคุณสมบัติ​ใน​การสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ​ซึ่งจะช่วย​เสริมสร้างสุขภาพ​ให้​แข็ง​แรง พืชอาหารทุกชนิด​ซึ่ง​ได้​แก่ ผล​ไม้ ผัก ธัญพืชประ​เภท​โฮล​เกรน (Whole grain) ถั่ว สมุน​ไพร ​และ​เครื่อง​เทศ ​เป็น​แหล่งสร้าง "สารต้านอนุมูลอิสระ" อาหารพืช​แต่ละชนิดมีสารประกอบจากพืชธรรมชาติ ดังนั้น​เรา ​จึงควรบริ​โภคอาหารพืชหลากหลายประ​เภท ​ซึ่งจะ​ทำ​ให้​เรา​ได้รับประ​โยชน์จากสาร​ไฟ​โตนิว ​เทรียนท์จากธรรมชาติหลากชนิด นอกจากนั้นสาร​แอนติบอดี้ (Antibody) ​โปรตีนชนิดพิ​เศษที่ผลิต​โดย​เซลล์​เม็ด​เลือดขาว​เพื่อ​ทำหน้าที่คุ้มกันร่างกายของ​เรา ​การบริ​โภคอาหารที่มี​โปรตีน​ในปริมาณที่มากพอต่อ​ความต้อง​การของร่างกาย จะ​ทำ​ให้​เราสามารถผลิตสาร​แอนติบอดี้​ได้ตามต้อง​การ ​ซึ่ง​ได้​แก่ ปลา, สัตว์น้ำชนิดมี​เปลือก อาทิ หอย กุ้ง ปู, หมู ​เนื้อ​ไม่ติดมัน, อาหารที่​ทำจากถั่ว​เหลือง ​และผลิตภัณฑ์นม​ไขมันต่ำ.

​ไทย​โพสต์  6 ตุลาคม 2554

8693
ผอ.รพ. โวยวิธีบริหารงบฯ สปสช. ที่จัดงบแบบแยกย่อยกองทุน ทำให้ได้เงินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย 100% เบิกจ่ายยุ่งยาก ส่งผลมีเงินค้างท่อตั้งแต่ปี 51 กว่า 4,000 ล้านบาท หวั่นปีหน้าสถานการณ์ย่ำแย่กว่านี้ เพราะเจอนโยบายเงินเดือน 15,000 บาท และค่าแรง 300 บาท ซ้ำเติมทำให้ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น “วิทยา” ย้ำ พ.ย.นี้เดินหน้าเก็บ 30 บาทแน่ 
    นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงเรื่อง “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ ปีงบประมาณ 2555” ให้กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผอ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และ ผอ.เขต สปสช. กว่า 400 คน พร้อมกับกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเรียกประชุมบอร์ด สปสช. เพื่อเดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ภายในเดือนต.ค.นี้ และเดือน พ.ย. จะเริ่มเก็บเงิน 30 บาทได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าการจัดเก็บ 30 บาท จะไม่กระทบต่อคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทย เพราะก่อนหน้านี้พรรคได้มีการประกาศเป็นนโยบายอยู่แล้ว สำหรับงบฯ ที่จัดเก็บนี้จะนำไปพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะ รพ.ส่งสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อลดความแออัดของ รพ. โดยใน 6 เดือน จะลดความแออัดของผู้มาใช้บริการใน รพ.ขนาดใหญ่ให้ได้ร้อยละ 50 ส่วนกองทุน สปสช. ปี 2555 มีจำนวน 114,527 ล้านบาท ขอให้ สสจ.ดูแลการใช้เงินของ รพ.อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
    นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หากบอร์ด สปสช.เห็นชอบก็สามารถดำเนินการเก็บเงิน 30 บาท ได้ทันทีในเดือน พ.ย. จากข้อมูลคาดว่า จะมีประชาชนที่มีสิทธิ์ในบัตรทองประมาณ 24 ล้านคน ที่จะต้องร่วมจ่ายเงิน 30 บาท
    ในช่วงการประชุมเปิดรับฟังความเห็น นพ.ประเสริฐ ขันเงิน ผอ.รพ.พระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก กล่าวว่า การจัดสรรงบฯ สปสช.ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดปัญหาและความไม่เป็นธรรมกับ รพ.อย่างมาก โดยเฉพาะการจัดสรรงบที่ถูกแยกย่อยออกไปถึง 12 กองทุน ทั้งการจ่ายเงินตามเฉพาะโรค และการส่งเสริมป้องกัน เป็นเหตุให้ รพ.ได้รับงบฯ ไม่ครบ อย่างในปี 2554 รัฐบาลให้งบเหมาจ่ายรายหัวที่ 2,500 บาท แต่เงินที่ส่งมาถึง รพ.กลับไม่ได้รับตามนั้น ซึ่งนอกจากถูกกันไว้เพื่อจ่ายเงินข้าราชการ 40% แล้ว ยังต้องถูกหักเพื่อไว้ใช้ในกองทุนย่อยเหล่านี้อีก   
    "การเบิกจ่ายเงินกองทุนย่อยยังเป็นเรื่องยุ่งยากมาก หลาย รพ.ประสบปัญหาเหมือนๆ กัน เนื่องจาก รพ.ต้องส่งข้อมูลรายละเอียดตามที่ สปสช.กำหนดอย่างครบถ้วน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ทำให้มี รพ.หลายแห่งไม่ได้เบิกจ่ายเงินก้อนนี้ ทั้งที่ควรจะได้ ที่ผ่านมา สปสช.จึงมีเงินค้างท่อที่ยังไม่จ่ายให้กับ รพ.จำนวนนับหมื่นล้านบาท แต่ในช่วงที่เกิดปัญหา รพ.ขาดทุน  สปสช.จึงได้เร่งทยอยจ่ายคืนเงินก้อนนี้ให้กับทาง รพ.เพื่อบรรเทาสถานการณ์ โดยในปี 2554 นี้ ยังมีเงินค้างท่อที่ สปสช.อีก 4,000 ล้านบาท" นพ.ประเสริฐกล่าว
    นอกจากนี้ ในการเรียกเก็บค่ารักษาผู้ป่วยใน ทาง สปสช.เองยังจ่ายไม่ครบตามที่ รพ.เรียกเก็บอีกเช่นกัน โดยในส่วนของ รพ.พระพุทธชินราช ในปี 2553 ทาง รพ.ได้เรียกเก็บจาก สปสช. 948 ล้านบาท แต่ทาง สปสช.กลับจ่ายเพียงแค่ 499 ล้านบาทเท่านั้น และเมื่อดูภาพรวมการจ่ายเงินทั้งประเทศ โดยในส่วนของ รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป มีการเรียกเก็บเงินค่ารักษาเพิ่ม 37,026 ล้านบาท แต่ สปสช.จ่ายคืนเพียง 17,636 ล้านบาท ขณะที่ รพ.ชุมชน เรียกเก็บที่ 30,473 ล้านบาท แต่ สปสช.จ่ายให้เพียงแค่ 23,000 ล้านบาทเท่านั้น ทำให้ รพ.ต้องเป็นผู้แบกรับภาระเงินส่วนเกิน และเมื่อเปรียบเทียบกับการเรียกเก็บเงินจากสิทธิ์รักษาพยาบาลในกองทุนอื่น อย่างสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม ที่เรียกเก็บไม่ได้มีเพียงแค่ร้อยละ 0.2 เท่านั้น ขณะที่ สปสช.เรียกเก็บไม่ได้ถึงร้อยละ 40
    ผอ.รพ.พระพุทธชินราชย้ำว่า ถ้า สปสช.ไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหาร รพ.แย่แน่ และในปี 2555 นี้ รัฐบาลยังมีนโยบายค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ที่ รพ.ต้องปฏิบัติตาม แต่หากไม่มีงบประมาณจากรัฐมาอุดหนุนเพิ่ม สถานการณ์การเงินของ รพ.จะยิ่งเป็นปัญหาลงไปอีก เพราะบุคลากรใน รพ.มีจำนวนมากที่เป็นลูกจ้างชั่วคราว จ้างด้วยเงินบำรุงของ รพ.เอง
    ขณะที่ผู้บริหาร รพ.อื่นๆ อาทิ นพ.ชูศักดิ์ เอื้อวิจิตรพนา ผอ.รพ.เพชรบูรณ์ และ นพ.ไชยนันท์ ทยาวิวัฒน์ ผอ.รพ.เชียงคำ ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องทำนองเดียวกันว่า กองทุนย่อยมีปัญหาเบิกจ่ายอย่างมาก ทำให้เกิดปัญหาเงินค้างท่อที่ สปสช.จำนวนมาก และตั้งคำถามว่าเงินค้างท่องนั้น สปสช.นำไปใช้ทำอะไร.

ไทยโพสต์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

8694
 แนะวิธี “ออกเจ” อย่างถูกต้อง   ควรเริ่มจากโปรตีนย่อยง่ายอย่าง ปลา ไข่ นม เลี่ยงสเต๊กชิ้นใหญ่ เนื้อติดมัน   ชี้ข้อดีของการกินเจช่วยคนไทยสร้างนิสัยกินผัก
       
       วันนี้ (5 ต.ค.) นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการรับประทานอาหารในช่วงเลิกเทศกาลถือศีลกินเจว่า  จากการที่หลายๆ คนพยายามทานผักและแป้งมาตลอดนั้น ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ทำให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยเพื่อย่อยเนื้อสัตว์ลดลง ฉะนั้น หลังหมดเทศกาลกินเจจึงควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและกลับมาทำงานตามปกติ
       
       โดยมีวิธีง่ายๆ ในการปรับตัว คือ

1.ไม่ควรหักดิบเลิกทานผักโดยสิ้นเชิงแล้วโหมทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ทางที่ดีต่อสุขภาพยังควรทานผักผลไม้ให้ได้วันละขนาด 5 กำมือ ส่วนโปรตีนควรเลือกจากอาหารที่ย่อยง่ายๆ เช่น ปลา ไข่ ไก่ นม ถือเป็นโปรตีนคุณภาพสูง ปริมาณที่ควรทานอยู่ที่มื้อละประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ ก็ถือว่าเพียงพอ

2.ไม่ควรทานเนื้อสัตว์ประเภทที่ย่อยยาก เช่น สเต๊กชิ้นใหญ่ เนื้อติดมันมากๆ

3.ไม่ดื่มนมในขณะที่ท้องว่าง เพราะระหว่างที่ทานเจ น้ำย่อยแล็กโทสจะน้อยลง และร่างกายยังปรับตัวไม่ได้ ทำให้เมื่อดื่มนมขณะท้องว่างจะเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้ท้องอืด หรือท้องเสียได้
       
4.ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ง่ายขึ้น และ

5.หลีกเลี่ยงอาหารประเภท ผัด ทอด แม้ในช่วงพ้นการกินเจแล้ว  และควรทานอาหารประเภท นึ่ง ต้ม ตุ๋น แทนเพื่อลดปริมาณไขมันส่วนเกิน ซึ่งหากทำได้ตามคำแนะนำดังกล่าว จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเดิน ท้องอืด ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่เลิกกินเจ และหันกลับมากินเนื้อสัตว์ตามปกติ
       
       นายสง่ากล่าวต่อว่า  การกินเจเป็นผลดีที่ส่งเสริมให้คนไทยได้หันมาทานผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง และธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น ซึ่งอาหารประเภทนี้ควรทานอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการทานง่ายๆ คือ 1.เลือกทานผักให้หลากหลาย ทุกมื้อควรทานผักให้ได้หลายๆ สี และ2.ล้างผักให้สะอาดด้วยการแช่น้ำผสมเกลือทิ้งไว้ 10-15 นาที ก่อนนำมาล้างผ่านน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าผักไม่มีสารปนเปื้อน  นอกจากนี้ หลังเทศกาลกินเจให้ลองชั่งน้ำหนัก หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นลองหาสาเหตุจากการทานว่า ในช่วงทานเจนั้นเน้นอาหารประเภทไหน เช่น แป้ง ของมัน ของทอด จะได้ใช้เป็นแนวทางในการเลือกทานอาหารทั้งในช่วงเทศกาลเจในปีต่อไป และการทานอาหารหลังจากนี้ เช่น ลดแป้ง ลดของทอดลง เป็นต้น  แต่ถ้าน้ำหนักคงที่ หมายถึงทานอาหารเป็นและถูกหลักโภชนาการ       


ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ตุลาคม 2554

8695
สธ.ปล่อยคาราวานเฮลิคอปเตอร์ ลำเลียงยา-เวชภัณฑ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่เข้าถึงลำบาก นำร่องลพบุรีจังหวัดแรก 7 จุด
       
        วันนี้ (5 ต.ค. ) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) เป็นประธานการปล่อยคาราวานลำเลียงยาและเวชภัณฑ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วมทางเฮลิคอปเตอร์ไปยังจังหวัดลพบุรี  โดยมี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข   นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขร่วมด้วย 
       
       โดย นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง แผนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนองนโยบายนายกรัฐมนตรีที่เร่งให้จัดหาปัจจัยสี่กระจายสู่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่  ส่งไปยัง 7 จุดในจังหวัดลพบุรี ที่จำเป็นต้องได้รับยาและเวชภัณฑ์โดยด่วน อาทิ อ.ท่าวุ้ง อ.บ้านหมี่ โดยให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ประสานเฮลิคอปเตอร์เพื่อลำเลียงส่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก หรือไม่สามารถนำส่งทางเรือได้ นอกจากนี้ได้ให้กระทรวงสาธารณสุขประเมินพื้นที่จัดส่งเพิ่มเติมด้วย
       
       สำหรับสิ่งของที่จะลำเลียงส่งให้พื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก ประกอบด้วย ยาและเวชภัณฑ์ อาหารและน้ำดื่ม รวม 50 กล่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) องค์การเภสัชกรรม ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โดยหลังจากลำเลียงยาและเวชภัณฑ์ครั้งแรกแล้วจะเตรียมการสำหรับการลำเลียงส่งให้พื้นที่ที่เข้าถึงลำบากในจังหวัดอื่นๆต่อไป
       
        นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม จ.ลพบุรี มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและเข้าถึงลำบาก ถึง 7 จุด จึงได้มอบให้นายแพทย์ศิริชัย ลิ้มสกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี เตรียมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จัดระบบการรองรับการสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ที่จะจัดส่งโดยเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขในจังหวัดที่มีน้ำท่วม ให้สำรวจพื้นที่เข้าถึงลำบาก เพื่อจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ต่อไปด่วย
       
       ขณะที่ นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการ สพฉ.กล่าวว่า ได้ประสานเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยงานที่ได้ลงนามความร่วมมือไว้ คือ เฮลิคอปเตอร์จากกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และลำเลียงยา เวชภัณฑ์จัดส่งให้ในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมและเข้าถึงลำบาก เนื่องจากหากผู้ประสบภัยขาดยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นจะนำไปสู่การเกิดภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน ดังนั้นการลำเลียงยาและเวชภัณฑ์ดังกล่าวจึงถือเป็นการป้องกัน
       
        “วันนี้เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเริ่มลำเลียงยาและเวชภัณฑ์ส่งให้จังหวัดลพบุรีเป็นจังหวัดแรก โดยขึ้นจากกระทรวงสาธารณสุขและจะลงจอดที่สนามจอดเฮลิคอปเตอร์ กองพันปฏิบัติการจิตวิทยาศูนย์สงครามพิเศษ (พัน.ปจว.ศสพ.) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี เพื่อรับยาและเวชภัณฑ์สมทบจากจังหวัดลพบุรี และนำส่งให้พื้นที่ 7 จุดที่เข้าถึงลำบากต่อไป โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เป็นผู้รับมอบและกระจายต่อให้ผู้ประสบภัยพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ประสบภัยที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน ประสบอุบัติเหตุ หรือผู้ป่วยไม่สามารถเดินทางไปยังโรงพยาบาลได้ สามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินที่หมายเลข 1669 ได้” นายแพทย์ชาตรีกล่าว
       
       อนึ่ง พื้นที่ที่จะมีการนำส่งยาและเวชภัณฑ์  ได้แก่
1.โรงเรียนบ้านข่อยวิทยา ตำบลบ้านข่อย อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
2.รพ.สต.สี่คลอง (ใกล้ ร.ร./วัดคุ้งนาบุญ) ตำบลสี่คลอง อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
3.รพ.สต.หนองปลาดุก ตำบลบางลี่ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
4.รพ.สต.บางลี่ ตำบลบางลี่ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
5. หมู่ 8 (มีเสา TOT)ตำบลมหาสอน อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี
6.หมู่ 11 เขาปกล้น ตำบลบ้านชี อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี 
7.หมู่ 12 เขาตีหิน (ห่างจากวัดเกริ่นกฐิน 3 กม.) ตำบลบ้านชี อำเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ตุลาคม 2554

8696
ปลัด สธ.ชี้  รายงานข้อมูลสอบ “นพ.พรเทพ”  จาก สตง.ให้ “วิทยา”แล้ว   ย้ำชัดผลการสอบสวนยังไม่ชี้ถูก-ผิด ไม่ถือว่ากระทบต่อระเบียบการแต่งตั้ง ขรก.
       
       จากกรณีที่ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) กล่าวว่า ตนในฐานะตัวแทน สผพท.ได้เดินทางเข้าทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สำนักพระราชวัง ภายในวัดพระแก้ว เพื่อร้องทุกข์กรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 เห็นชอบแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งอธิบดี และรองปลัดกระทรวงในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข โดยระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งยังมีมลทินเกี่ยวกับการทุจริตโดยมีมูลความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ สผพท.ระบุชัดเจนว่ามีมูลความผิดนั้น คือ นพ.พรเทพ  ศิริวนารังสรรค์ ซึ่งได้รับปรับตำแหน่งจากรองปลัด สธ.เป็นอธิบดี กรมควบคุมโรค   
       
       ล่าสุด นพ.ไพจิตร์    วราชิต ปลัด สธ. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งให้นายวิทยา   บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เพื่ออธิบายที่กระบวนการตรวจสอบและรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความซับซ้อนและเป็นเรื่องของห้วงเวลา โดยตนได้ตรวจสอบแล้วกระบวนการทางกฎหมายแล้ว และยืนยันว่าการแต่งตั้งในครั้งนี้สามารถทำได้  ไม่ขัดต่อระเบียบราชการ เพราะการสอบสวน นพ.พรเทพ ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการชี้ถูก ผิด จึงไม่มีผลต่อการแต่งตั้ง  และทราบดีว่าหากมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง การแต่งตั้งโยกย้ายจะไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ อำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนถือเป็นอำนาจของรัฐมนตรี ซึ่งหากถึงขั้นตอนดังกล่าวก็เป็นเรื่องของกระบวนการทางราชการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ตุลาคม 2554

8697
 “วิทยา” มอบนโยบายกองทุนหลักประกันสุขภาพปี 55 เน้น ผอ.สปสช.สาขาจังหวัด เป็น CEO ดูแลงบ 30 บาท ภายในจังหวัด  คาด เริ่มเก็บ 30 บาทในเดือน พ.ย.พร้อมตั้งเป้าลดแออัดให้ได้ 50% ภายใน 6 เดือน
       
       วันนี้ (5 ต.ค.)  นายวิทยา บุรณศิริ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  เป็นประธานในการประชุม ชี้แจงเรื่อง “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2555”  โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ รร.รามากาเด้น  เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางการจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้กับ ผู้บริหารระดับกระทรวงสาธารณสุข  นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการ รพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไป และ ผอ.สปสช.เขต และ ผอ.สปสช.สาขาจังหวัด ทุกจังหวัด และมอบรางวัลการบริหารงบค่าเสื่อมดีเด่น
       
       โดย นายวิทยา   กล่าวว่า นโยบายการจัดการงบประมาณในปีงบประมาณต่อไป อยากเน้นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด  ซึ่งทำหน้าที่เป็น ผอ.สปสช.สาขาจังหวัด บริหารงบประมาณเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ลง  โดยงบประมาณปี 2555 คาดว่า จะได้รับ 114,527 ล้านบาท จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องร่วมมือกันทำงานโดยเฉพาะบทบาทของกระทรวงสาธารณสุข ในการบริหารแผนปฏิบัติการและจัดระบบบริการตามนโยบาย ในขณะที่ ผอ.สปสช.สาขาจังหวัดมีหน้าที่จัดการด้านการเงินให้สอดคล้องกับกฎหมาย และนโยบายรัฐบาล ที่สำคัญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการระบบ หรือ CEO ใน ระดับจังหวัดทำให้กับหน่วยบริการภายในจังหวัดมีงบประมาณเพียงพอ มิให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง รวมถึงติดตามการใช้เงินของหน่วยบริการให้มีประสิทธิภาพ มิให้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย และนำเงินไปลงทุนที่ไม่เกิดประโยชน์ในการบริการคนไข้
       
                       “ในปี 2555 นี้ ขอมอบหน้าที่ในการบริหารจัดการโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดให้กับ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด  ซึ่งทำหน้าที่เป็น ผอ.สปสช.สาขาจังหวัด ขออย่าให้มีโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องเกิดขึ้น รวมทั้งนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท รักษาทุกโรคของรัฐบาลได้ รวมทั้งกำกับการบริหารงานของโรงพยาบาล ให้มีการสนับสนุนหน่วยบริการปฐมภูมิหรือ รพ.สต. สามารถจัดบริการแก่ประชาชนอย่างเพียงพอ ลดความแออัดของหน่วยบริการขนาดใหญ่   จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีระบบส่งต่อและส่งกลับอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง จะต้องส่งกลับไปให้หน่วยบริการใกล้บ้านใกล้ใจที่เป็นเครือข่ายให้ช่วยดูแล” รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าว
       
                       รมว.สธ.กล่าวว่า สำหรับการจัดเก็บค่าบริการ 30 บาท คาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งระหว่างนี้ คณะกรรมการ สปสช.กำลังอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน แต่คาดว่าเงื่อนไขจะคล้ายเดิมที่เคยมีการจัดเก็บอยู่ แต่จะหารือในประเด็นเพิ่มเติม เช่น การใช้ตัวเลข 13 หลัก มาใช้ในการเก็บประวัติการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรักษาที่ใดก็ได้  โดยจะประสาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ว่า จะสามารถทำได้หรือไม่ในเชิงเทคนิค แต่จะยังไม่ลงทุนเพิ่มในระยะใกล้นี้  นอกจากนี้ จะหารือในประเด็นการให้บริการให้ครอบคลุม ต้องสามารถให้บริการได้ทุกที่ และให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี นอกจากนี้ ยังมีจุดเชื่อมต่อกับประกันสังคม ที่ต้องหารือ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับบริการที่เหลื่อมล้ำกัน  คาดว่า จะสามารถนำรายละเอียดทั้งหมดหารือกันได้ในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป โดยคาดว่าจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ราว 50 % ภายใน 6 เดือน

             ด้าน นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า การดำเนินงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค  ที่ผ่านมา สปสช.ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ได้แก่  ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวิชาชีพ ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการและได้รับบริการสาธารณสุขตามสิทธิได้มากขึ้น  สำหรับปีงบประมาณ 2555 ในการจัดกระบวนการแนวทางการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทำงาน ร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานต่างๆภายในกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า หน่วยบริการในทุกจังหวัดจะไม่เกิดปัญหาการขาดสภาพคล่อง สามารถให้บริการประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่อง
       
            เลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า แม้ว่ากระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ของประเทศจะยังไม่แล้วเสร็จ  แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนฯ ต้องดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 คณะ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงมีมติให้ใช้หลักเกณฑ์การดำเนินงานและแนวทางการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ 2555 ด้วยกรอบวงเงินซึ่งกำหนดอัตราเหมาจ่ายรายหัว 2,895.60 บาท ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสำนักงบประมาณและรัฐมนตรีในรัฐบาลที่แล้วไปก่อน และหากมีการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ก็จะมีการปรับเปลี่ยนตามงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการเบิกเงินที่จะจัดสรรให้หน่วยบริการในปีงบประมาณนี้  จะใช้ตัวเลขปีงบประมาณ 2554 คือ อัตราเหมาจ่ายรายหัวที่ 2,546.48  บาท ไปก่อนจนกว่ากระบวนการทางด้านงบประมาณปี 2555 จะแล้วเสร็จ จึงจะจัดสรรเพิ่มเติมให้หน่วยบริการต่อไปได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ตุลาคม 2554

8698
ในวันที่สังคมไทยเริ่มเข้าสู่ยุคของสาวมั่น สาวแกร่ง แน่นอนว่า คนโสดนับร้อยนับพันสามารถประคองชีวิตทางการงาน การเงินได้แบบสบายๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อดีที่ใครๆก็รู้ แต่สิ่งที่ ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ยังมีข้อดีอีกประการที่ผู้หญิงโสดมักไม่รู้ตัว นั่นคือ ความอารมณ์ดีและไม่ขี้เหวี่ยง
   
       ซึ่งหากจะอธิบายแบบขำๆ หมายถึงคนโสดไม่ได้อยู่ในฐานะอยากครอบครองแฟน หรืออยากให้ใครมาเอาใจ ดังนั้นปัญหาเล็กน้อยจะไม่มีอิทธิพลใดๆ ที่ทำให้สาวโสดต้องปรี๊ดแตกแน่นอน เว้นแต่ช่วงก่อนมีประจำเดือน เท่านั้นที่จะเกิดอารณ์หงุดหงิด แปรปรวน เครียด หดหู่ บวกกับอาการทางร่างกาย เช่น ท้องอืด น้ำหนักขึ้น อยากอาหารมากกว่าปกติ สิวขึ้น คัดตึงเต้านม ซึ่งทางการแพทย์เรียกกันว่า PMS และกลุ่มอาการก่อนมีจะเกิดกับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ในช่วงเวลาประมาณ 5 วัน ก่อนมีประจำเดือน และอาการจะดีขึ้นและหายไปหลังจากประจำเดือนมาแล้ว
       
       “ทางการแพทย์สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนเพศในระหว่างรอบประจำเดือน อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้หญิงจำนวนมาก ประกอบกับปัจจุบันผู้หญิงยุคใหม่ต้องเผชิญกับความกดดันจากปัจจัยภายนอกอีก มากมาย จึงยิ่งทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดฉะนั้นไม่แปลกที่ผู้หญิงวัยทำงานซึ่งผ่านการ สมรส มีคู่ครอง จะหงุดหงิดกว่าหญิงโสด” ศ.นพ.สุรศักดิ์อธิบาย
       
       และว่าด้วยเรื่องอารมณ์เหวี่ยงที่ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ได้ทำการสำรวจมาและเผยแพร่ในเวทีสัมมนา เรื่อง “10 อาชีพสุดเหวี่ยงในผู้หญิงไทย” ที่จัดโดย ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ ฟาร์มา พบว่า 10 อาชีพที่เหวี่ยงมากที่สุดตามลำดับได้แก่ พนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร/นักธุรกิจ พนักงานคอลเซ็นเตอร์ พนักงานบัญชี/การเงิน ครู/อาจารย์ แม่บ้าน แพทย์/พยาบาล ดารา/นักแสดง แอร์โฮสเตส และครีเอทีฟ
   
       ขณะที่ สิรินทร์ทิพย์ มณีรัตน์ นักสะกดจิตชั้นสูง จากศูนย์ให้คำปรึกษาและการสะกดจิตบำบัด ที่ระบุว่า ทาง ศูนย์รัปรึกษามักพบผู้มารับบริการที่มีปัญหาทางอารมณ์คล้ายๆกัน ส่วนมากเป็นปัญหาเรื่องงาน โดยสาเหตุที่ทำให้ต้องเหวี่ยงบ่อยๆ จนต้องการการบำบัดด้วยการสะกดจิต (Hypnotherapy) ก็เกิดจากความหลากหลายทางบทบาทและความรับผิดชอบทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นบทบาทภรรยา แม่ของลูก หัวหน้า ลูกน้อง โดยเฉพาะความกดดันจากอาชีพและหน้าที่การงานซึ่งก็ไม่ต่างและไม่น้อยไปกว่า ผู้ชาย ทำให้ส่งผลกระทบต่อสภาวะทางอารมณ์ของผู้หญิงซึ่งแสดงออกมาทั้งในรูปแบบความ เก็บกด เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร ร้องไห้ อารมณ์ร้อน อารมณ์แปรปรวน จนกระทั่งอารมณ์ร้าย หรือเหวี่ยงนั่นเอง ซึ่งส่วนมากผู้หญิงวัยแต่งงานจะก่ออารมณ์ดังกล่าวกับแฟน ไม่นานปัญหาอกหัก รักคุดก็ตามมา ส่งผลให้ต้องการที่พักทางใจด้วยการสะกดจิต ซึ่งต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ให้การยอมรับมานานแล้ว
       
       สำหรับเทคนิคในการบำบัด คือ ต้องใช้หลักล้างขยะทางความคิด ด้วยการใช้หลักทางจิตวิทยาผสมผสานกับเทคนิคทางภาษาศาสตร์ เช่น นักสะกดจิตอาจร้องเพลง อ่านกลอน หรือพูดบางอย่างในเชิงบวกแบบเชื่องช้า บางเบา ที่ช่วยสำหรับจัดโปรแกรมการทำงานใหม่ให้กับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เพื่อรักษา ปรับปรุง และปรับเปลี่ยนอารมณ์ความคิด ซึ่งผู้หญิงนั่นจะบำบัดได้ง่าย เนื่องจากต้องการที่พึ่งทางใจและยอมรับคำแนะนำจากผู้อื่นอย่างตั้งใจ
       
       แต่ไม่ว่าจะเหวี่ยงให้ใครก็ย่อมดูไม่เหมาะสมทั้งนั้น สำหรับกุลสตรีไทย ดังนั้นหากต้องเผชิญกับความเครียด การหาความผ่อนคลายจะช่วยได้ดี เพราะสามารถเป็นเกราะป้องกันอารมณ์เหวี่ยงได้เยี่ยม ทั้งนี้หากคุณผู้หญิงท่านใดอารมณ์แปรปรวนง่ายช่วงก่อนมีประจำเดือน ศ.นพ.สุรศักดิ์ ย้ำว่า ควรจะทานอาหารที่มีประโยชน์กลุ่มผักผลไม้ให้มาก แต่ถ้ายังชอบเก็บปัญหาเก่าๆ มาคิด นักสะกดจิตอธิบายทิ้งท้ายว่า สามารถทำสมาธิด้วยตนเอง แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ย่อมใช้ทักษะทางเลือกอย่างการทำจิตบำบัดได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ตุลาคม 2554

8699
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข สั่ง​การ​ให้นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) ​ในพื้นที่ 11 จังหวัด​ซึ่งกำลังประสบภัยน้ำท่วม ​ให้ติดตามดู​แลประชาชนที่​ได้รับผลกระทบอย่าง​ใกล้ชิด ​โดยผล​การดำ​เนินงานยังคง​เป็น​ไปตาม​แผนงานที่​ได้กำหนด​ไว้

"ขณะนี้สถาน​การณ์น้ำท่วมยังต้องติดตามอย่าง​ใกล้ชิด ประชาชน​ได้รับผลกระทบ​เป็น​เวลานานมี​ความ​เครียดค่อนข้างสูง ​ได้กำชับ​การจัดบริ​การดู​แล​ผู้ประสบภัย 9 ​เรื่อง" นายวิทยา กล่าวภายหลังประชุมทาง​ไกลผ่านระบบวิดี​โอกับ สสจ.​ทั้ง 11 จังหวัด ​ได้​แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ลำปาง อุทัยธานี ​และนครสวรรค์

มาตร​การที่กำหนด​ไว้ ประกอบด้วย

1.​ให้​ทำงานช่วย​เหลือดู​แลสุขภาพ​เป็นทีม​โดย​ไม่มีวันหยุด ​ทั้ง​การฟื้นฟูสิ่ง​แวดล้อม​ในพื้นที่น้ำลด ​การ​เยียวยาสุขภาพกาย​และ​ใจ ​และลดขั้นตอน​การ​ทำงาน​ให้​เร็วที่สุด

2.จัดยา​และ​เวชภัณฑ์ ​โดย​เฉพาะยารักษา​โรคน้ำกัด​เท้า ยารักษา​โรคติด​เชื้อทาง​เดินอาหาร ​ให้พื้นที่ที่น้ำท่วม​เป็น​เวลานาน​ได้​ใช้อย่าง​เพียงพอ

3.​ให้​โรงพยาบาลทุก​แห่งจัด​เตียงรองรับ​ผู้ป่วยที่รักษาหาย​แล้ว​แต่กลับบ้าน​ไม่​ได้ ​โรงพยาบาลที่มีพื้นที่​เพียงพอ​ให้จัด​เป็นจุดอพยพประชาชน 3 กลุ่มคือ​ผู้สูงอายุ ​ผู้พิ​การ ​และ​ผู้ที่ช่วย​เหลือตัว​เอง​ไม่​ได้

4.​ให้ทุกจังหวัดจัดหน่วย​แพทย์​ให้บริ​การ​ผู้ประสบภัยที่จุดอพยพ

5.​ให้​โรงพยาบาลศูนย์ ​โรงพยาบาลจังหวัดทุก​แห่ง ​และ​โรงพยาบาลสังกัดกรม​การ​แพทย์​ใน กทม.​เป็นศูนย์รับส่งต่อ​ผู้ป่วย​ในอำ​เภอ​และจังหวัดที่ประสบภัย ​และตรวจสอบ​เส้นทางลำ​เลียง​ผู้ป่วย​และพาหนะที่จะ​ใช้​ให้คล่องตัว

6.​ให้ส่วนกลางสนับสนุนงบประมาณ​และ​เครื่องมือ ​เช่น ​เสื้อชูชีพ ​เรือ ​เปลสนาม ​เตียงสนาม ​ให้จังหวัด​ใน​การปฏิบัติงานอย่างรวด​เร็ว

7.​ให้ทุกจังหวัดสำรวจข้อมูล​เจ้าหน้าที่​และอสม.ที่ประสบภัยน้ำท่วม​เพื่อ​ให้​การช่วย​เหลือ​เป็นขวัญกำลัง​ใจ

8.​ให้จังหวัดประ​เมิน​ความ​เสียหายสถานพยาบาลที่ถูกน้ำท่วม ​และ​เร่งซ่อม​แซมปรับปรุง​ให้สามารถ​ใช้​การ​ได้ทันทีหลังน้ำลด ​และ

9.​ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด​เร่ง​เผย​แพร่ประชาสัมพันธ์​การดู​แลสุขภาพ ป้องกัน​การ​เจ็บป่วย ​และอันตรายต่างๆจากน้ำท่วม ​เช่น ​ไฟช็อต จมน้ำ จุดบริ​การรักษาพยาบาล ผ่านทางวิทยุชุมชนทุกพื้นที่ ​เพื่อ​ให้ประชาชนสามารถ​ไปรับบริ​การ​ได้

ด้าน น.พ.​ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผล​การออกหน่วย​แพทย์​เคลื่อนที่จน​ถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2554 พบ​ผู้ป่วยสะสม​ทั้งหมด 459,565 ราย ​เพิ่มขึ้นจากวานนี้ 30,323 ราย ส่วน​การดู​แลด้านสุขภาพจิต​ได้ตรวจประ​เมิน​ไป​แล้ว 33 จังหวัด พบ​ผู้ประสบภัยมี​ความ​เครียดสูง 1,645 ราย มีอา​การซึม​เศร้า 3,545 ราย มี​ความ​เสี่ยงฆ่าตัวตาย 455 ราย ต้องติดตามดู​แลพิ​เศษ 706 ราย

​และช่วง​เช้าที่ผ่านมา ​เฮลิคอป​เตอร์ 5 ลำจากกองทัพบก สำนักงานตำรวจ​แห่งชาติ กระทรวง​เกษตร​และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และสิ่ง​แวดล้อม ​และ​โรงพยาบาลกรุง​เทพ ​ได้ปฏิบัติ​การบิน​เพื่อลำ​เลียงยา​และ​เวชภัณฑ์ ​เครื่อง​ใช้จำ​เป็นต่างๆ ​ไปส่งพื้นที่ประสบอุทกภัยที่​เข้า​ถึงลำบาก​ในจังหวัดลพบุรีรวม 7 จุด

อิน​โฟ​เควสท์ (IQ) 5 ตุลาคม 2554

8700
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.( 4 ตุลาคม ) ณ   ทำเนียบรัฐบาล  ในวาระการแต่งตั้งโยกย้าย ดังนี้

1.  แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี)
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนายอาณัติ  วิลาสินีวรรณที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป  และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการต่อไป

2.  แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย     พ.ศ. 2527 

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นายบุญนริศร์  สุวรรณพูล รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 แทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม  2554 เป็นต้นไป
 
  3.  แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
   
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายธีระพงษ์  โสดาศรี รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมประชาสัมพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ผู้ครองตำแหน่งเดิมเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

4.  ขอรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง)
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอรับโอน พลตำรวจเอก วิเชียร  พจน์โพธิ์ศรี   ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.โกวิท  วัฒนะ) ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีสำหรับสภาความมั่นคงแห่งชาติ และรองนายกรัฐมนตรี (ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง) ในฐานะกำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีสำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นชอบในการรับโอนและการโอนด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

5.  แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ตามมาตรา 13 (6) มาตรา 48 (9) โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตามลำดับ ดังต่อไปนี้
   
1. ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 
1) นางสมศรี  เผ่าสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันสุขภาพ
2) นายจรัล  ตฤณวุฒิพงษ์  ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข
3) นายพิพัฒน์  ยิ่งเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย
4) นายพินิจ  หิรัญโชติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก
5) นางวรานุช  หงสประภาส ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง
6) นายเสงี่ยม  บุญจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
7) นาวาอากาศเอก (พิเศษ) อิทธพร  คณะเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมศาสตร์ 
   

2. ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข 
1) พันเอก (พิเศษ) กิฎาพล  วัฒนกูล ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
2) ศาสตราจารย์รณชัย  คงสกนธ์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวช             
3) นางรุจิรางค์  แอกทอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาการแพทย์แผนไทย
4) นายสมใจ  โตศุกลวรรณ์  ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น
5) นายชาตรี  บานชื่น ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น
6) นายยุทธ  โพธารามิก ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น
   

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม  2554 เป็นต้นไป  โดยยกเว้นกรณีนายพิพัฒน์  ยิ่งเสรี ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนในกรณีนายสมใจ  โตศุกลวรรณ์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการเป็นต้นไป

6.  แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้   

1. นายธงชัย  ซึงถาร สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์) ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
 
 2. นายทวีเกียรติ  บุญยไพศาลเจริญ สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์) ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข   

3. นายธวัชชัย  กมลธรรม สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์) ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
 
4. นายประดิษฐ์  วินิจจะกูล รองอธิบดี (นักบริหาร) ประเภทบริหาร ระดับต้น กรมอนามัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
   
5. น.ต.บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ รองอธิบดี (นักบริหาร) ประเภทบริหาร ระดับต้น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข   

6. นายเจษฎา  โชคดำรงสุข รองอธิบดี (นักบริหาร) ประเภทบริหาร ระดับต้น กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) ประเภทบริหาร ระดับสูง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
   
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

7.  แต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
 
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งนายวรพล  โสคติยานุรักษ์ เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป  ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 (มาตรา 20)

8.  แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
 
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายสุกิจ  เจริญรัตนกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารสูง) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

9.  แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
 
 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
 
 1. แต่งตั้ง นายสุรชัย  ภู่ประเสริฐ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายชุมพล  ศิลปอาชา)   

2. แต่งตั้ง นาวาเอก วิโรจน์  วังแก้วหิรัญ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

 10.  แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
 
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 4 ราย ดังนี้1. นายสถิรพร  นาคสุข 2. นายวงศ์ศักดิ์  สวัสดิ์พาณิชย์ 3. นายสมบัติ คุรุพันธ์ 4. นายจุลพงษ์  โนนศรีชัย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป

 11. แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)

 คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ดังนี้
  1. ขอยกเลิกการแต่งตั้งข้าราชการที่เสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาในคราวประชุมเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 จำนวน 2 ราย ได้แก่ รายที่ 3 นายประเสริฐ  บุญเรือง และ รายที่ 4 นายพิษณุ  ตุลสุข ส่วนอีก 9 ราย ขอยืนยันการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามที่เสนอขอไว้เดิม
   2. แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ใหม่ จำนวน 2 ราย ได้แก่ 
    2.1 นายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์  รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา    (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
    2.2 นายพิษณุ  ตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

 12.  แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)
 
 คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ธเนศวร์  เจริญเมือง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรพงษ์      อึ้งอัมพรวิไล) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม  2554 เป็นต้นไป

 13.  แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
 
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นายวารุจ  ศิริวัฒน์เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม  2554 เป็นต้นไป

 14.  แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

 คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  ตามรายชื่อดังต่อไปนี้   1. นายพรชัย รุจิประภา ประธานกรรมการ  2. นายคุรุจิต  นาครทรรพ กรรมการ  3. นายตระกูล  วินิจนัยภาค กรรมการ 4. นายสุกิจ  เจริญรัตนกุล กรรมการ 5. นายปรเมธี  วิมลศิริ กรรมการ 6. นายประวิช  สารกิจปรีชา กรรมการ 7. นายกุลิศ  สมบัติศิริ กรรมการ 8. นายแล  ดิลกวิทยรัตน์  กรรมการ  9. นายอริยวิชย  เอกอุฬารพันธ์ กรรมการ ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ยกเว้นลำดับที่ 3 ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการให้ความเห็นชอบ

15.  ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต่อนโยบายสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย
 
 คณะรัฐมนตรีรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 179 / 2554  เรื่อง  แต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ดังนี้   

ให้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระ
ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเรียกโดยย่อว่า “ปคอป.” ประกอบด้วย  นายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ    รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ  กรรมการประกอบด้วย เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปลัดกระทรวงการกลาโหม  ปลัดกระทรวงการคลัง  ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  และ นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ  รองปลัดกระทรวงยุติธรรมที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมอบหมาย เป็นกรรมการและผู้ช่วยกรรมการ

มติชนออนไลน์ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หน้า: 1 ... 578 579 [580] 581 582 ... 654