แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 482 483 [484] 485 486 ... 536
7246

งบประมาณค่าตอบแทนปี 2554 เสนอผ่าน สปสช. คณะรัฐมนตรี มีมติ 20 เมย. 2553 ให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์) รับไปพิจารณาร่วมกับ สปสช./ก.พ./สำนักงานปลัดกระทรวงฯ และหน่วยที่เกี่ยวข้องโดยค่าตอบแทนฯ ให้ศึกษาวิเคราะห์หาแนวทางการปรับเพิ่มให้ครอบคลุมบุคลการทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

• รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์) พิจารณาเสนอเป็นมติ ครม. เมื่อ 18 พค. 2553 อนุมัติงบค่าตอบแทนบุคลากรด้านสาธารณสุขเพิ่มตามที่ เสนอ และให้มีการวิเคราะห์วัตถุประสงค์การจ่ายค่าตอบแทนและความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณให้รอบคอบและเป็นธรรม และให้ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ จัดเตรียมวงเงินงบประมาณ ปี 2554 จำนวนหนึ่งไว้ในงบกลาง เมื่อได้ข้อยุติแล้วจึงขอรับจัดสรรงบประมาณต่อไป

• กสธ. ตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนระบบการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในภาครัฐคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบกับหลักการค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขประกอบ 3 ส่วนหลัก ตามข้อเสนอคณะกรรมการพิจารณาทบทวนระบบการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในภาครัฐ
1. เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง---ตามคุณวุฒิ/ประสบการณ์
2. พื้นที่พิเศษ+ วิชาชีพขาดแคลนและจำเป็น---ธำรงรักษาวิชาชีพขาดแคลนและรักษาคนไว้ในพื้นที่พิเศษ
3. P4P---เพิ่มประสิทธิภาพทั้งใน/นอกเวลาราชการ ค่าตอบแทนสะท้อนภาระงาน ทำมากได้มาก(ค่าหัตถการ, OT , P4P)

ทิศทางการพัฒนาระบบการจ่ายค่าตอบแทนตั้งแต่ปี 2555
• ข้อตกลงในช่วงประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับที่ 7 ที่จะปรับระบบใหม่ตั้งแต่ ตค. 2553 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ
• มติ ครม. เมื่อ 3 พค. 54 ให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนฯ ตั้งแต่ปี2555 เป็นต้นไป ตามที่ กสธ. เสนอ (เสนอตั้ง กก. พิจารณาทบทวนการแก้ปัญหาระดับพื้นที่และสาขาขาดแคลน รวมทั้งการจ่ายค่าตอบแทนตาม P4P)
• ทุกระดับเห็นว่า การจ่ายค่าตอบแทนแบบปัจจุบัน ไม่ช่วยแก้ปัญหา ไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริง ไม่สะท้อนภาระงาน งบประมาณก็มีปัญหา
• จำเป็นต้องปรับระบบการจ่ายค่าตอบแทน และเห็นว่า P4Pน่าจะเป็นคำตอบให้กับโรงพยาบาล

การจ่ายค่าตอบแทนเหมาจ่ายแบบ Flat Rate ต้องปรับให้เหมาะสม โดยต้องพิจารณาทบทวนเรื่องพื้นที่ เน้นพื้นที่ที่อยู่ยากลำบาก ในระดับพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ รพช. เพียงอย่างเดียวซึ่งต้องมีคณะกรรมการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

• การพัฒนาระบบค่าตอบแทนตามหลัก P4P เพื่อเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นหลัก แต่ไม่ใช่เน้นการเพิ่มค่าตอบแทน ไม่ใช่DF และค่าตอบแทนที่ได้รับ ควรต้องสะท้อนงานที่หนัก โดยคนทำงานหนัก ได้ค่าตอบแทนมาก

การพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้อง
• ตัวชี้วัดภาระงานของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง เช่น งานด้านรักษาพยาบาล : OP (ปกติ ซับซ้อน เรื้อรัง) IP (DRG RW) OR (Major, Minor) Refer-in , งานด้าน PP (เยี่ยมบ้าน, FP,EPI) , งานด้านคุณภาพบริการ (EMS responsiveness prompt battention, Chronic care , การได้พบแพทย์ตรงเวลา)
• การพัฒนาตัวชี้วัด ภาระงานระดับบุคคล เพื่อกำหนดอัตราค่าตอบแทน
• การสร้างกระบวนการภายในองค์กร การมีส่วนร่วม การทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่
• เริ่มต้นให้เดินหน้าได้ก่อนแล้วค่อยๆ พัฒนา
• ปัญหาการบริหารโรงพยาบาล ทั้งปัญหาด้านการเงินค่าตอบแทน การไม่ได้อัตราตำแหน่ง ปัญหาการจ้างลูกจ้างอาจต้องมีการปรับตัวมาก
• การพัฒนาระบบบริหารจัดการของโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจต้องพิจารณาหลายรูปแบบ เช่น
- การกระจายอำนาจ เหมาะไหม
- Autonomous Hospital
.................................................
นพ. ณรงค์ สหเมธาพัฒน์
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
10 มิถุนายน 2554

7247
นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ยืนยัน พ.ร.บ.สิทธิการตาย ไม่ได้ส่งผลต่อรายรับของโรงพยาบาลเอกชน ย้ำผู้ป่วยสมัครใจเข้ารับการรักษา และเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว...

นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวถึงกรณีที่มีข้อคิดเห็นแตกต่าง ระหว่างแพทย์กรณีการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการตามหนังสือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และแพทยสภาได้ยื่นขอแก้ไขกฎกระทรวง ที่ทำเกินขอบเขตของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ ต่อ รมว.สาธารณสุข ว่า การที่มีบางกลุ่มระบุว่า เรื่องนี้ถูกคัดค้าน เนื่องจากจะส่งผลต่อรายรับของโรงพยาบาลเอกชนนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะอย่าลืมว่าโรงพยาบาลเอกชน เป็นโรงพยาบาลทางเลือกที่ผู้ป่วย สมัครใจเข้ารับการรักษา และเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ขณะที่โรงพยาบาลเองก็มีแนวทางการดำเนินการตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.นี้ มาโดยตลอด ก่อนจะมีการบังคับใช้แนวทางตามกฎกระทรวงเสียอีก ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่ต้องอาศัยหนังสือแสดงเจตนา แต่อาศัยการพูดคุย ความศรัทธาที่มีต่อกันระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ ซึ่งแพทย์จะมีการพูดคุยกับญาติอยู่แล้วว่า ผู้ป่วยป่วยด้วยโรคอะไร มีความรุนแรงแค่ไหน เป็นการปรึกษาหารือกัน ซึ่งไม่เคยมีปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อมีกฎกระทรวงดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะโรงพยาบาลมีการดำเนินการลักษณะนี้แล้ว แต่อาจติดตรงการปฏิบัติจริง ยกตัวอย่าง กรณีที่ผู้ป่วยรักษาอยู่แล้ว และประสงค์ให้ถอดเครื่องหายใจ เรื่องนี้ไม่มีแพทย์คนไหนกล้าทำ

“โรงพยาบาลเอกชน มีแนวทางดำเนินการตามมาตรา 12 มานานแล้ว โดยวิธีการปฏิบัติ ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ แต่มีการหารือกับญาติผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป ซึ่งแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดแพทย์ทำงานบนพื้นฐานวิชาชีพ และตามแนวทางของแพทยสภา ซึ่งในเรื่องนี้เมื่อแพทยสภา มีแนวทางให้ดำเนินการอย่างไร ก็ต้องดำเนินการตาม เป็นไปตามกระบวนที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว” นพ.เอื้อชาติกล่าว.

ไทยรัฐ 5 สค.2554


7248
ประธาน สพศท.ระบุ หวั่นแพทย์เป็นจำเลยจากการใช้ กฎสิทธิการตายของคนไข้ เพราะหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวแล้วรับหนังสือยินยอมจากญาติ จะเป็นของจริงหรือไม่ กลัวเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี...

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2554 พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป(สพศท.)เปิดเผย กรณี ที่มีการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ออกตามมาตรา 12แห่งพรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550และประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ว่า ในฐานะที่เป็นแพทย์ หากได้รับหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขของผู้ป่วยจากผู้ ป่วยในขณะที่ผู้ป่วยยังมีสติครบถ้วน แพทย์จะรู้ได้ว่าเป็นหนังสือจริงแน่นอน แต่หากได้รับหนังสือจากญาติในขณะที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นของจริง

ประธาน สพศท. กล่าวต่อว่า แม้ว่าในหนังสือจะระบุว่าผู้ป่วยได้ทำหนังสือฉบับนี้ในระหว่างที่มี สติสัมปชัญญะครบถ้วนก็ตาม หรือหากเป็นกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้ทำหนังสือดังกล่าวไว้ แต่ญาติหรือบุคคลอื่นนำหนังสือปลอมมายื่นให้กับแพทย์ แพทย์ก็ไม่มีทางทราบว่าหนังสือฉบับนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขจึงอาจกลายเป็นเครื่องมือ ให้กับบุคคลที่ไม่หวังดีกับผู้ป่วยใช้เป็นเครื่องมือกระทำการบางอย่างได้ แพทย์อาจกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทำความผิดโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

พญ.ประชุมพร กล่าวด้วยว่า ในฐานะที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)เป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการผลักดันเรื่องนี้มาโดยตลอด จึงควรมีหน้าที่รับผิดชอบแทนแพทย์ที่ดำเนินการตามที่ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้ใน หนังสือ ด้วยการส่งบุคคลของสช.ไปประจำจังหวัดละ 1 คน ทำหน้าที่ในการรับรองว่าหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขของ ผู้ป่วยแต่ละคนที่แพทย์ได้รับนั้นเป็นของจริง เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลแอบอ้างนำหนังสือปลอมมายื่นให้กับแพทย์ และหากแพทย์ดำเนินการตามอาจกลายเป็นความผิด โดยบุคคลที่เป็นผู้รับรองหนังสือว่าเป็นหนังสือจริง หากตรวจพบภายหลังว่าเป็นหนังสือปลอมจะต้องรับผิดชอบแทนพยาบาลและแพทย์ด้วย ทั้งนี้ สพศท.ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้จนกว่าจะมีการแก้ไข ข้อบังคับบางส่วนให้มีความเหมาะสมก่อน

ไทยรัฐ 6 สิงหาคม พ.ศ.2554

7249
สธ. เร่งพัฒนางานบริการแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัด ล่าสุด พัฒนาได้แล้วกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ โดยในปี 2553 พบว่า ประชาชนนิยมใช้ยาสมุนไพรมากขึ้น รายงานเบื้องต้นใน 36 จังหวัด มูลค่า 146 ล้านบาท จ.ชลบุรีนำอันดับหนึ่ง 26 ล้านบาท รองลงมาสุรินทร์ 12 ล้านบาท
       
       วันนี้ (5 ส.ค.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดงานรวมพลังการแพทย์แผนไทยภาคกลางปี 2554 ภายใต้หัวข้อ “สืบสานตำรายาหลวงปู่ศุข” ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกร่วมกับ 16 จังหวัดภาคกลางร่วมจัด ปีนี้     จ.ชัยนาท รับเป็นศูนย์กลางประสานการจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรของเครือข่ายในระดับภูมิภาค โดยมีหมอพื้นบ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจาก 16 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี ลพบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาครและประจวบคีรีขันธ์  เข้าร่วมงานทั้งด้านวิชาการ นิทรรศการ จำนวนมาก
       
       นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมให้มีบริการงานแพทย์แผนไทย ผสมผสานควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน ประกอบด้วยการตรวจรักษา จ่ายยาสมุนไพร และการนวด อบประคบสมุนไพร เพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆ ที่รักษาได้ด้วยการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลทุกระดับ ปัจจุบันมีจำนวน 10,516 แห่งทั่วประเทศ มีบุคลากรด้านการแพทย์แผนไทยประจำ ขณะนี้เปิดบริการแล้ว 4,379 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 42 ของสถานบริการทั้งหมด ซึ่งจะเร่งรัดให้ครบทุกแห่ง
       
       นอกจากนี้ ได้สนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกระดับใช้ยาสมุนไพร เพื่อรักษาผู้ป่วยทุกกลุ่มโรคทดแทนยาแผนปัจจุบัน ล่าสุดมียาแผนไทยที่บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว 71 รายการ สามารถเบิกจ่ายได้ทุกสิทธิการรักษา จากข้อมูลการติดตามตรวจราชการในเขตต่างๆในปี 2553 พบมีการใช้ยาไทยในสถานบริการทุกระดับของกระทรวงสาธารณสุข 36 จังหวัด มีมูลค่าทั้งหมด 146 ล้านบาท จังหวัดที่ใช้สูงสุดคือ ชลบุรี 26 ล้านกว่าบาท รองลงมาสุรินทร์ 12 ล้านกว่าบาท ขอนแก่น 10 ล้านบาท
       
       ปลัด สธ.กล่าวต่อว่า ในปี 2554 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้คัดเลือกโรงพยาบาลต้นแบบให้บริการผู้ป่วยด้วยการแพทย์แผนไทยเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศจำนวน 9 แห่ง ได้แก่ รพ.พระปกเกล้า จ.จันทบุรี  รพ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี รพ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว รพ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ รพ.สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย จ.แพร่ รพ.เทิง จ.เชียงราย รพ.ท่าโรงช้าง จ.สุราษฎร์ธานี และสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์ไทยฯที่ยศเส กทม. จะติดตามประเมินผลเป็นระยะ หากได้รับการตอบรับจากประชาชนก็จะเปิดดำเนินการคล้ายประเทศจีนคือเป็นโรงพยาบาลให้บริการแพทย์แผนไทยโดยเฉพาะและพัฒนาเป็นศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะโรคต่อไป
       
       สำหรับงานรวมพลังการแพทย์แผนไทย ภาคกลาง  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2554 ในงานประกอบด้วยการประชุมวิชาการ การเสวนาสุขภาพวิถีไทย นิทรรศการสมุนไพร สาธิต บริการ ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ พื้นบ้าน อาทิ สืบสานตำรายาหลวงปู่ศุข เหยียบเหล็กไฟ จับเหล็กแดงรักษาอัมพฤกษ์อัมพาต จัดปรับกระดูกแบบมณีเวชและกดจุดหยุดปวด เป็นต้น 

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 สิงหาคม 2554

7250
สพศท.โอด ระบบสาธารณสุขไทย เหมือนผู้ป่วยไอ.ซี.ยู.  ท้า! หาก รบ.“ปูแดง”  ตั้ง “เหลิม” นั่งเก้าอี้ รมว.สธ.ต้องใจกว้างมากขึ้น  ตั้งสเปกละเอียดยิบต้องได้ รมว.ที่ดี เปิดใจรับฟังทุกฝ่าย เชียร์ “วิชาญ” เหตุฟุ้งว่าจะแก้ปัญหาบุคลากร-ค่าตอบแทนในเวทีดีเบตเยอะ
       
       วันนี้ (5 ส.ค.) พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวถึงการที่รัฐบาลใหม่อยู่ในช่วงการสรรหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ว่า  ในฐานะผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข สพศท.ว่า รัฐบาลควรจะมีการจัดหามาตามสเปกที่หมาะสม ซึ่งทาง สพศท.เห็นว่า ลักษณะของผู้ที่จะมาเป็น รมว.สธ.ถ้าเป็นแพทย์จะดีมาก   เพราะจะเข้าใจปัญหา แต่หากไม่ได้เป็นแพทย์ ก็ควรมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาของกระทรวง ซึ่งขณะนี้ คล้ายผู้ป่วยไอซียู ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อมารักษาให้รอด
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วในมุมของ สพศท.นั้น มองว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีผลงานมีความเหมาะสมเพียงใด พญ.ประชุมพร กล่าวว่า   ในส่วนของการดำเนินงาน ของ ร.ต.อ.เฉลิม ยังไม่แน่ใจว่า มีศักยภาพแค่ไหน เพราะที่ผ่านมา สพศท. ทราบว่า ขณะที่ดำรงตำแหน่งเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 3 เดือน รพ.ในสังกัด กระทรวงเกิดปัญหาเรื่องการเงินมากถึง 15 แห่ง ทั้งนี้ อยากฝากรัฐบาลว่า หากจะให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาดำรงตำแหน่ง ก็เป็นไปได้ ถ้ามีใจกว้าง รับฟังทุกฝ่าย เพราะในการดำรงตำแหน่งของ ร.ต.อ.เฉลิม ครั้งก่อน ทราบว่า แพทย์ที่ปฏิบัติงานจริง เข้าถึง ร.ต.อ.เฉลิม ยากมาก
       
       “ในส่วน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ซึ่งทาง สพศท.เคยเสนอชื่อไว้ คิดว่า น่าจะเหมาะสม เพราะเท่าที่สัมผัส และรับฟังแนวคิดและวิสัยทัศน์ในเวทีดีเบต นโยบายพรรคการเมือง พบว่า นายวิชาญ ได้สัญญาว่าจะแก้ปัญหาของ สธ.หลายด้าน เช่น การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ค่าตอบแทน สะท้อนให้เห็นว่า นายวิชาญ รับฟังปัญหาของผู้ปฏิบัติงาน และเข้าใจปัญหา อย่างแท้จริง แต่ถ้ารัฐบาลสามารถสรรหา บุคคลที่เหมาะสมมากกว่านี้ได้ ก็ถือว่าจะดีมาก แต่ย้ำว่าขอบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถและเข้าใจปัญหาที่แท้จริง” พญ.ประชุมพร กล่าว 

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 สิงหาคม 2554

7251
    นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าได้มีข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ส่งเรื่องร้องเรียนพร้อมยื่นเอกสารมายังพรรคเพื่อไทย ว่า โครงการที่เป็นลักษณะจัดซื้อครุภัณฑ์เศรษฐกิจโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง ด้วยงบประมาณ 466 ล้านบาทเศษ เป็นการล็อกสเป็ก ซึ่งข้าราชการส่วนใหญ่ไม่สบายใจในการทำงานของรัฐบาลรักษาการณ์ แม้เป็นงบไม่มาก แต่เป็นการล็อกสเป๊กชัดเจน ข้าราชการจึงได้ร้องเรียนมาพรรคให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แม้จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 ส.ค. แต่การกระทำของรัฐบาลรักษาการณ์เปรียบเสมือนเตรียมทิ้งทวน
    ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี ยุติเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน เนื่องจากเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หากยังไม่มีการยุติเรื่องดังกล่าว เมื่อพรรคได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม
    นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า สมาชิกวิทยุชุมชนได้มายื่นหนังสือต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี เนื่องจากกังวลว่านโยบายเกี่ยวกับกับวิทยุชุมชน ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เร่งรีบดำเนินการในการขึ้นทะเบียนวิทยุชุมชน อาจส่งผลกระทบต่อสถานีวิทยุชุมชน กว่า 1,000 สถานี ทั้งนี้ตนจะรับหนังสือดังกล่าวแทนน.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างไรก็ตาม การที่มีการคัดสรรคณะกรรมการกสทช. 44 คน วันนี้ (5ส.ค.) เรื่องดังกล่าวยังคงค้างอยู่ที่ต่อวุฒิสภา เนื่องจากมีคนไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรื่องการสรรหาไม่โปร่งใส่
    ทั้งนี้พรรคจะมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยคณะทำงานของพรรคจะส่งข้อมูลไปยังคณะกรรมการตรวจสอบของวุฒิสภา เพื่อตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อยากให้วิทยุชุมชนสบายใจได้ ยืนยันว่าพรรคจะตรวจสอบอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

เนชั่นทันข่าว 4 สค. 2554

7252
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสมาคม​เพื่อนชุมชน ​ซึ่งประกอบด้วยบริษัทอุตสาหกรรม 5 ​แห่ง ​เซ็นสัญญาจ้างบุคลากรทาง​การ​แพทย์ ​ได้​แก่ ​แพทย์ พยาบาล นักวิชา​การสาธารณสุข ​และนัก​เทคนิค​การ​แพทย์ จำนวน 60 คน ​เข้ามา​ให้บริ​การดู​แลสุขภาพประชาชน​ใน​เขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ​และพื้นที่​ใกล้​เคียง นาน 3 ปี ​เป็น​เงินกว่า 11 ล้านบาท ​เริ่มตั้ง​แต่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา

"​ความร่วมมือครั้งนี้จะจ้างบุคลากรทาง​การ​แพทย์รวมประมาณ 60 คน ปฏิบัติงานปีต่อปี ​เป็น​เวลา 3 ปี ตั้ง​แต่ พ.ศ.2554-2557 ​เริ่มตั้ง​แต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 ​เป็นต้น​ไป ​เพื่อ​ให้มีอัตรากำลัง​แพทย์ พยาบาล ​และ​เจ้าหน้าที่ที่​เกี่ยวข้อง​ให้​การดู​แลสุขภาพประชาชนที่อยู่​ในพื้นที่​เขตอุตสาหกรรมมาบตาพุด ช่วยบรร​เทาปัญหาขาด​แคลนบุคลากร​ในระยะสั้น" นพ.​ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าว

สำหรับสมาคม​เพื่อนชุมชน ประกอบด้วย 5 บริษัท ​ได้​แก่ กลุ่มบริษัท ปตท.​เคมีคอล จำกัด, บริษัท มาบตาพุด ​โอ​เลฟินส์ จำกัด(​ใน​เครือ ​เอสซีจี ​เคมีคอลส์), บริษัท บี​แอลซีพี ​เพา​เวอร์ จำกัด, บริษัท ดาว ​เคมีคอล ประ​เทศ​ไทย ​และบริษัท ​โกล์ว จำกัด (GLOW) ​ซึ่ง​ให้​การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 11.88 ล้านบาท ​เพื่อดำ​เนิน​การต่างๆ ​ได้​แก่ 1.​โรงพยาบาลมาบตาพุดจ้างพยาบาลจำนวน 25 คน ค่าตอบ​แทนคนละ 15,000 บาทต่อ​เดือน 2.ศูนย์อาชีว​เวชศาสตร์จ้างพยาบาลจำนวน 8 คน ค่าตอบ​แทนคนละ 15,000 บาทต่อ​เดือน นัก​เทคนิค​การ​แพทย์จำนวน 10 คน ค่าตอบ​แทนคนละ 12,500 บาทต่อ​เดือน ​และนักวิชา​การสาธารณสุขจำนวน 10 คน ค่าตอบ​แทนคนละ 12,500 บาทต่อ​เดือน 3.จ้าง​แพทย์ประจำศูนย์บริ​การสาธารณสุขชุมชน​เนินพยอม ศูนย์บริ​การสาธารณสุขชุมชนห้วย​โป่ง ​โรงพยาบาลส่ง​เสริมสุขภาพตำบลบ้านพยูน ​แห่งละ 1 คน คนละ 60,000 บาทต่อ​เดือน ​และจ้างทีมสุขภาพประกอบด้วย​แพทย์ พยาบาล ​เจ้าหน้าที่อื่นๆ ​ให้บริ​การนอก​เวลาราช​การ​ในคลินิกรุ่งอรุณของ​โรงพยาบาลส่ง​เสริมสุขภาพตำบล​เนินพระ ​เดือนละ 60,000 บาท

ปลัด สธ.กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่าง​การขยายบริ​การของ​โรงพยาบาลมาบตาพุด จาก​เดิม​ซึ่ง​เป็น​โรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 ​เตียง จะก่อสร้าง​เพื่อขยาย​ให้​เป็น​โรงพยาบาลขนาด 200 ​เตียง ​และ​เป็น​โรงพยาบาลที่มี​ความ​เชี่ยวชาญด้านอาชีว​เวชศาสตร์ตามมติของคณะรัฐมนตรี ​เพื่อดู​แลรักษา​โรคที่​เกิดจากมลพิษสิ่ง​แวดล้อม​โดยตรง ขณะนี้​การก่อสร้างคืบหน้า​ไป​แล้วร้อยละ 50 คาดว่าจะ​แล้ว​เสร็จ​ใน พ.ศ.2555 ​และ​เปิด​ให้บริ​การ​เต็มรูป​แบบ​ใน พ.ศ.2556 ​โดยกระทรวงฯ จะจัดอัตรากำลัง​เจ้าหน้าที่​ให้​เพียงพอ ​โดยกำหนด​ให้มี​แพทย์ 34 คน พยาบาล 180 คน ​แต่ปัจจุบัน​โรงพยาบาลมาบตาพุดมี​แพทย์ 8 คน ​และ พยาบาล 58 คน ​ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง​ได้ประสานกับ​ผู้ประกอบ​การ​ในนิคมอุตสาหกรรมจัดตั้งกองทุนสุขภาพ ​และ​ให้ทุน​เรียนพยาบาลจำนวน 200 ทุน ​โดยพิจารณา​ผู้ที่อยู่​ใน​เขตควบคุมนี้​เป็นอันดับ​แรก

ด้าน นพ.ปร​เมษฐ์ กิ่ง​โก้ นาย​แพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง กล่าวว่า ​ในปีนี้​ได้ดำ​เนิน​การตรวจสุขภาพประชาชน​และพนักงานที่อยู่​ใน​เขตควบคุมมลพิษ ​เป้าหมาย 20,000 คน ​เพื่อ​เฝ้าระวังผลกระทบจากมลพิษสิ่ง​แวดล้อม ผล​การตรวจล่าสุดตั้ง​แต่วันที่ 14 ก.พ.-24 ก.ค.54 ​ได้รับ​การตรวจสุขภาพ​แล้วจำนวน 13,454 คน ​โดยตรวจ​เลือดดู​ความสมบูรณ์ของ​เม็ด​เลือด​และตรวจ​การ​ทำงานของตับ ​ไต ผล​การตรวจส่วน​ใหญ่ปกติ ​โดยพบ​การ​ทำงานของ​ไตผิดปกติร้อยละ 3 ตับ​ทำงานผิดปกติร้อยละ 5 ส่วนผลตรวจปัสสาวะ​เพื่อหา​โลหะหนัก ผลส่วน​ใหญ่ปกติ ​โดยตรวจพบสารตะกั่วร้อยละ 2 พบสารปรอทร้อยละ 5 พบสารหนูอนินทรีย์ร้อยละ 2 ​และพบอนุพันธ์ของสาร​เบนซินร้อยละ 12 ​โดยพื้นที่ที่ตรวจพบอนุพันธ์ของสาร​เบนซีน​ในปัสสาวะมากที่สุด คือ มาบข่า-สำนักอ้ายงอน ร้อยละ 24 รองลงมาคือ ซอยร่วมพัฒนา ร้อยละ 23 ​และชุมชนตากวน-อ่าวประดู่ ร้อยละ 22 ​ซึ่ง​แพทย์​ได้​ทำ​การรักษา​และติดตามประ​เมินผลอย่างต่อ​เนื่อง

สำนักข่าวอิน​โฟ​เควสท์  4 สิงหาคม 2554

7253
จากข้อมูล​การสำรวจ​การสูบบุหรี่​ใน​เยาวชน​ไทยอายุ 13-15 ปี ​เมื่อปี 2552 ของศูนย์​เฝ้าระวังพฤติกรรม​เสี่ยง​โรค​ไม่ติดต่อ สำนัก​โรคติดต่อ กรมควบคุม​โรค กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน​ได้อย่างชัด​เจนว่า ​เยาวชน​ไทยมี​แนว​โน้ม​การสูบบุหรี่ที่สูงขึ้น ​และยิ่งน่าตก​ใจ​เมื่อพบว่า ​เยาวชนมี​ความ​เข้า​ใจว่า​การสูบบุหรี่​ทำ​ให้มี​เพื่อนมากขึ้น ​ซึ่งจุดนี้นับ​เป็นปัญหา​ใหญ่ที่สังคมต้อง​เร่งสร้าง​ความ​เข้า​ใจ ​เพื่อ​ไม่​ให้ลุกลามต่อ​ไป

ศูนย์วิจัย​และจัด​การ​ความรู้​เพื่อ​การควบคุม​การยาสูบ (ศจย.) สนับสนุน​โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุน​การสร้าง​เสริมสุขภาพ (สสส.) ​เป็นองค์กรที่ มี​ความ ตระหนัก​ถึงปัญหาดังกล่าวนี้อย่างมาก ​จึง​ได้ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิ​การ (ศธ.) ​เครือข่าย​ทั้งภาครัฐ​และ​เอกชน จัด​เสวนา​เรื่อง "​การควบคุมยาสูบ​ในสถานศึกษา" ที่​โรง​แรมสยามซิตี้ กรุง​เทพฯ ​เพื่อระดม​ความคิด​เห็น​ใน​การหา​แนวทางป้องกัน ​และควบคุม​การบริ​โภคยาสูบ​ใน​เยาวชน​ไทย​ให้ลดน้อยลง ​และ​เลือนหาย​ไป​ในที่สุด ​โดยมี นักวิชา​การ นัก​การศึกษา ​และ อาจารย์หลายท่าน​ให้​ความคิด​เห็น​เสนอ​แนะ​ถึงหนทาง​การ​แก้​ไขที่น่าสน​ใจ​เป็นอย่างยิ่ง

รศ.ดร.สุรินธร กลัมพากร อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ​เผยผล​การศึกษา​โครง​การ "​การวิ​เคราะห์ข้อมูล สถาน​การณ์​การ​ใช้ยาสูบของนัก​เรียน​ใน​โรง​เรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรม​การ​การศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประ​เทศ" ว่า จาก​การวิ​เคราะห์ข้อมูล มีจำนวนกลุ่มตัวอย่างตั้ง​แต่ระดับประถมศึกษา ​ถึง ม.ปลาย ปี​การศึกษา 2553 จำนวน 5,805,560 คน ​แบ่ง​เป็น ชาย 2,784,527 คน ​และหญิง 3,021,033 คน พบว่า มี​เด็กที่​เกี่ยวข้องกับสาร​เสพติด 67,000 คน ​เป็นชายมากกว่าหญิง ​และส่วน​ใหญ่อยู่ ม.ปลาย ​โดยพบ​ในภาคตะวันออก​เฉียง​เหนือ ​และภาค​ใต้มากที่สุด ... ​ซึ่ง​เป็น​เรื่องที่ต้องหาทาง​แก้​ไข ​และ หยุดยั้ง​การขยายตัว

อาจารย์อนงค์ พัวตระกูล รองประธาน​เครือข่ายครูนักรณรงค์​เพื่อ​การ​ไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ยอมรับว่า​เยาวชน​ไทยหันมาสูบบุหรี่มากขึ้น ​ซึ่งจาก​การติดตาม​การหา​แนวทางช่วย​เหลือ ​และ​แก้ปัญหา​เด็กที่ติดบุหรี่​ในสถานศึกษา ส่วน​ใหญ่พบว่า​ผู้บริหาร ​และครูยัง​ให้​ความสำคัญกับ​การ​แก้ปัญหานี้น้อย​เกิน​ไป ​จึงฝาก​ให้ทุก​โรง​เรียนหันมา​ให้​ความสำคัญ ​เพราะ​เชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง ปัญหานี้จะลดลง​ได้อย่าง​แน่นอน ... ​เป็น​เรื่องที่ควรพิจารณา​ถึงตัว​ผู้บริหารอย่างจริงจัง ​และ​เด็ดขาด

ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ​ผู้อำนวย​การ ศจย. กล่าวว่า ปัจจุบัน​เยาวชน​ไทย​เริ่มสูบบุหรี่ขณะที่ยังอยู่​ในวัย​เรียน ทาง​โรง​เรียน​จึงควรจัดกิจกรรม​ให้​เด็ก​ได้​ใช้​เวลาว่าง​ให้​เป็นประ​โยชน์ ​เพื่อ​ให้​เด็ก​ไม่หัน​ไป​ใช้​เวลากับสิ่ง​เสพติด รวม​ทั้งบุหรี่ นอกจากนี้​ความห่าง​เหินของครอบครัว ​ก็​ทำ​ให้​เด็กหัน​ไป​ทำสิ่งที่​ไม่​เหมาะสม ดังนั้น​โรง​เรียน ​และครอบครัวต้อง​ใส่​ใจ ​และสน​ใจ​ใน​ความสามารถพิ​เศษของ​เด็ก ​และจัดกิจกรรมที่​เหมาะสม​ให้ หาก​ทำ​ได้​เด็กคงหัน​ไปหมกหมุ่นกับบุหรี่น้อยลง....​ซึ่งจะต้องร่วมมือกัน​ทำอย่าง​เร็วที่สุด

นางจุ​ไรรัตน์ ​แสงบุญนำ รองปลัด ศธ. กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศธ.​ให้​ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ​โดยมีคำสั่ง​ไปยังสถานศึกษาทั่วประ​เทศ​ใน​การควบคุมยาสูบ​ในสถานศึกษา อาทิ ​โรง​เรียนต้องติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ มี​การ​เข้า​ไปสำรวจนัก​เรียนที่อาจมีสาร​เสพติดปีละ 2 ครั้ง ​เพื่อ​เป็น​การป้องปรามอย่าง​เข้มงวด ​และห้าม​ไม่​ให้มี​การซื้อขายบุหรี่​ในสถานศึกษา ​โดยครู บุคลากรทาง​การศึกษา ​และภาร​โรง ต้อง​เป็น​แบบอย่างที่ดี​ให้​แก่​เด็ก อย่าง​ไร​ก็ตามข้อ​เสนอ​แนะต่างๆ จาก​การ​เสวนา​ในครั้งนี้จะนำ​เข้าสู่ที่ประชุม​ผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. ​เพื่อ​แก้​ไขปัญหาต่อ​ไป ...จะมีคำสั่ง​เพียงอย่าง​เดียวคง​ไม่พอ​แล้ว ​แต่ควรต้องมี​การ​ให้ปฏิบัติอย่าง​เคร่งครัดด้วย

​และ​ในงานนี้​ได้มีข้อ​เสนอ​แนะที่น่าสน​ใจ​เกี่ยวกับ​การจะ​ทำ​ให้ ​เด็ก ​หรือ ​เยาวชนที่หลงผิด​เข้า​ไปอยู่​ในวังวนของ​การสูบบุหรี่ สามารถหลุดออกมาจากวังวนอันชั่วร้ายนี้​ได้ ​โดย มี​การ​แนะวิธีช่วยลด​ความอยากสูบบุหรี่ด้วยมะนาว ที่ครูจะนำมาส่ง​เสริม​ให้​เด็กนัก​เรียนสามารถลด​การสูบบุหรี่ จนกระทั่งอาจจะสามารถ​ทำ​ให้​เด็กนัก​เรียน​เลิกสูบบุหรี่​ได้ คือ หั่นมะนาว​เป็นชิ้น​เล็ก​โรยด้วย​เกลือ ​แล้ว​ให้​เด็กอมมะนาว​ไว้ชั่วครู่ จากนั้น​จึงค่อยๆ ​เคี้ยวจนหมด ต่อด้วย​การดื่มน้ำตาม ​การกระ​ทำ​เช่นนี้จะช่วย​เด็ก​ให้ลด​ความอยากสูบบุหรี่​ได้มาก ​ทั้งนี้ ​เนื่องจาก มะนาวจะมีวิตามินซีที่จะช่วยลดสารนิ​โคติน​ในกระ​แส​เลือด​ได้ ​ซึ่งจะ​ทำ​ให้อา​การอยากบุหรี่น้อยลง ​และ​เมื่อดื่มน้ำตามมากๆ สารนิ​โคติน​ก็จะขับออกมาพร้อมปัสสาวะ

​เป็นที่ประหลาด​ใจว่า ​แม้ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานจะพยายามหา​แนวทาง​แก้​ไขปัญหา​การสูบบุหรี่​ในสถานศึกษามาอย่างต่อ​เนื่อง ​แต่ทว่าตัว​เลขสิงห์อมควัน​ในวัย​เรียนกลับยัง​ไม่ลดลง ดังนั้น​จึง​ถึง​เวลา​แล้วที่ทุกฝ่ายที่​เกี่ยวข้องจะต้องหันหลังกลับมาทบทวนว่า ​การดำ​เนิน​การที่ผ่านมายังบกพร่อง​ในส่วน​ใด ​และต้อง​แก้​ไขอย่าง​ไร ​เพื่อ​ให้​เด็ก ลด ละ ​เลิก ​และ​ไม่​เกี่ยวข้องกับบุหรี่อีก ​ซึ่ง​แม้จะดู​เป็น​เรื่องยาก ​แต่หาก​ไม่​เริ่มต้นตั้ง​แต่วันนี้ มั่น​ใจว่านักสูบหน้า​ใหม่คงจะ​เกิดขึ้นอยู่​เกลื่อน​เมือง

​แนวหน้า  3 สิงหาคม 2554

7254
สช.ย้ำ “สิทธิการตาย” ผ่านความเห็นทุกฝ่ายแล้ว พร้อม ด้าน “นพ.มงคล” แจงหนังสือฯ ไม่มีการบังคับให้ทำ เพราะสุดท้ายก็ต้องคุยกับญาติ ย้ำ ไม่ควรวิตกเกินเหตุ
       
       หลังจากคณะอนุกรรมการศึกษารายละเอียดและกำหนดแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับ กฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มีมติ 4 ข้อหลัก ทั้งเรื่องการกำหนดวาระสุดท้ายของชีวิต แพทยสภาจะเป็นผู้กำหนดนิยามของคำว่าวาระสุดท้ายของชีวิต โดยจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและราชวิทยาลัยต่างๆมาประชุมหารือ และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมา ก่อนจะนำเสนอต่อรับมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น

ล่าสุด วันนี้ (2 ส.ค.) นพ. อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การดำเนินการตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ : การปฏิเสธการรักษาพยาบาลในวาระสุดท้ายของชีวิต(สิทธิการตาย) ครั้งที่ 1 ว่า ขอยืนยันว่า การแสดงเจตนาดังกล่าวไม่ได้เป็นการบังคับ และขณะนี้ก็มีการเดินหน้าสู่แนวทางการปฏิบัติแล้ว อย่างไรก็ตาม กรณีที่คณะอนุกรรมการของแพทยสภามีมติว่าจะยื่นเรื่องให้ รมว.สธ.คนใหม่ แก้กฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คงต้องขอติดตามว่ามติที่แท้จริงเป็นอย่างไร เนื่องจากยังไม่ผ่านมติของคณะกรรมการบริหารของแพทยสภา อย่างไรก็ตาม คงบอกไม่ได้ว่าสมควรแก้กฎกระทรวงหรือไม่ เพราะขณะนี้สิทธิดังกล่าวได้มีการใช้แล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของ สช.ซึ่งเป็นเลขานุการในคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีรัฐมนตรี สธ.เป็นรองประธาน ดังนั้น สช.ย่อมต้องเสนอรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ทางประธาน และรองประธานทราบ
       
       อนึ่ง ภายในเวทีดังกล่าว ยังจัดกิจกรรมพิเศษ “เปิดหนังสือแสดงเจตนาตามมาตรา 12” โดยผู้แสดงเจตนา คือ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรี สธ.และ นางศิรินา ปวโรฬารวิทยา ประธานกรรมการบริษัทบูติกนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) โดยทั้งหมดต่างเห็นด้วยกับการแสดงเจตนาดังกล่าว เนื่องจากเป็นสิทธิที่พึงกระทำ
       
       โดย นพ.มงคล กล่าวว่า การแสดงสิทธิการตาย นี้ใช้ในกรณีที่คนป่วยไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้บังคับ แม้มีหนังสือ สุดท้ายก็ต้องนั่งพูดคุยกับญาติอยู่ดี จึงไม่อยากให้คิดมาก วิตกกังวลเกินเหตุ เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 สิงหาคม 2554

7255
คณะอนุ กก.สิทธิการตายแพทยสภา  เตรียมชง รมว.สธ.ใหม่แก้ประกาศ สช.-กฎกระทรวง เรื่องสิทธิการตาย 4 ข้อหลัก ขีดเส้นใต้ ต้องตัดคำว่า “กรุณาหยุดการบริการพร้อมให้คำนิยามวาระสุดท้ายของชีวิตใหม่   
                 
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการศึกษารายละเอียดและกำหนดแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับ กฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือสิทธิการตาย กล่าวว่า  จากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ  นั้นที่ประชุมเห็นพ้องร่วมกัน ใน 4 ข้อหลัก คือ

1.การกำหนดวาระสุดท้ายของชีวิต ตามกฎกระทรวงเขียนไว้ค่อนข้างกว้าง อาจจะมีปัญหาหาในทางปฏิบัติ แพทยสภาจึงจะเป็นผู้กำหนดนิยามของคำว่าวาระสุดท้ายของชีวิต โดยจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และราชวิทยาลัยต่างๆ มาประชุมหารือร่วมกัน เพื่อให้ความหมายของคำว่าวาระสุดท้ายของชีวิตถูกต้องตามเจตนารมณ์ใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 อย่างแท้จริง 

2.สถานที่ในการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ซึ่งเดิมระบุให้ทำที่ใดก็ได้ แต่ที่ประชุมเสนอให้มีการทำหนังสือได้ในสถานที่ 4 แห่งเท่านั้น คือ โรงพยาบาลที่คนไข้รักษาตัว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอและสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
       
3.ตามตัวอย่างหนังสือแสดงสิทธิดังกล่าวนั้น ระบุว่า ให้แพทย์กรุณาหยุดการบริการ ซึ่งในทางปฏิบัติคงไม่แพทย์คนใดกล้าดำเนินการ เพราะเท่ากับทำให้ผู้ป่วยตาย  และ

4.ต้องตัดคำว่า “กรุณาหยุดการบริการ” ออกไป  ทั้งหมดนี้จะดำเนินการขอแก้ไขในกฎกระทรวง ประกาศ สช.และอาจรวมถึง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 โดยจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) เพื่อดำเนินการต่อไป
       
       นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า การที่จะต้องตัดคำว่า “กรุณาหยุดการบริการ” ออกไป เนื่องจากแพทย์เมื่อแพทย์ได้ทำหัตถการใดกับผู้ป่วยแล้ว เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจ แพทย์ไม่สามารถดำเนินการถอดเพื่อให้คนไข้ตายเร็วขึ้น เพราะแม้แพทย์ไม่ถอดคนไข้ก็จะเสียชีวิตอยู่แล้ว ทั้งนี้ การถอดเครื่องช่วยหายใจจะทำได้ใน 2 กรณีเท่านั้น คือ ผู้ป่วยเสียชีวิตและผู้ป่วยอาการดีขึ้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 สิงหาคม 2554

7256
เมื่อวันที่ 26 ก.ค. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีกรณีที่จะมีข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงสาธารณสุขเกษียณอายุราชการในปีนี้จำนวน 8 คน ว่าตามหลักคือปลัดกระทรวงจะเสนอรายชื่อไปให้ รมว.สาธารณสุขพิจารณา ซึ่งตนก็มีความพร้อมอยู่แล้ว ทั้งนี้การแต่งตั้งทุกครั้งก็มีทั้งปัญหาและไม่มีปัญหาแต่เรียนว่าการแต่งตั้งจะไปถูกใจคนทุกคนคงไม่ได้เนื่องจากตำแหน่งมีน้อยแต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดอย่างไรก็ตาม นอกจากระดับ 10 แล้วยังมีตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดว่าง 2 ตำแหน่ง และตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปว่างอีก 11 ตำแหน่ง

สำหรับข้าราชการระดับ 10 ที่จะเกษียณ 8 คนคือ
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล และ นพ.ทนงสรรค์ สุธาธรรม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นพ.สถาพร วงษ์เจริญ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์
นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว และ นพ.ประเสริฐ หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และ
นพ.สมชาย เชื้อเพชรโสภณ สาธารณสุขนิเทศ.

เดลินิวส์  27 กรกฎาคม 2554

7257
รอบ 9 เดือน ผู้ป่วยสิทธิรักษาฟรี ร้องเรียนปัญหาสถานบริการเอกชนกว่า 3 พันกรณี ไม่ได้รับบริการตามสิทธิมากสุด รก.ผอ.สปสช.เขต 13 เผย รก.เอกชนส่วนใหญ่ในกทม.กระจุกตัวแต่ชั้นใน ส่วนต่างจังหวัดมีแค่จังหวัดละ 1 แห่ง เหตุเพราะเกรงผู้ป่วยรักษาโรคแทรกซ้อน เสนอรัฐจัดบริการสังคมสงเคราะห์

 เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ความร่วมมือของหน่วยบริการเอกชน: ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หวังยกระดับความร่วมมือของโรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน” จัดโดยเครือข่ายรัฐสวัสดิการ สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.) แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)ว่า จากปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของการรับบริการด้านสาธารณสุขในหน่วยงานบริการเอกชนผ่านสายด่วน 1330 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ระหว่างเดือน ต.ค.2553 - มิ.ย.2554 พบว่ามีการร้องเรียนสูงถึง 3,165 กรณี แบ่งเป็นประเด็นมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุขจำนวน 532 กรณี อาทิ แพทย์วินิจฉัยโรคผิดพลาด และไม่ได้รับการส่งต่ออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
 ประเด็นไม่ได้รับความสะดวกตามสมควร 707 กรณี เช่น รอรับบริการนาน ประเด็นถูกเรียกเก็บเงิน 702 กรณี เช่น การนอนโรงพยาบาลแล้วถูกเรียกเก็บค่าเตียงนอน และไม่ได้รับบริการตามสิทธิที่กำหนด 1,224 กรณี เช่น ไม่สามารถเลือกหน่วยบริการใกล้บ้านไม่ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาทางออกที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเร่งสำรองเตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพื่อรองรับผู้ป่วยในอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในต่างประเทศมีระบบบริการเตียงสำรองแล้ว แต่ไทยยังล่าช้า ต้องเร่งยกระดับมาตรฐาน
 นพ.รัฐพล เตรียมวิชานนท์ รักษาการผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 กทม. กล่าวว่า จากข้อมูลของ สปสช.เขต 13 มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งหมด 29 แห่ง ส่วนมากกระจุกตัวอยู่ใน กทม.ส่วนกลาง แต่ในส่วนของเขตนอกๆ อาทิ เขตทวีวัฒนา บางขุนเทียน ยังไม่ค่อยมี สำหรับในต่างจังหวัดมีประปราย ราวจังหวัดละ 1 แห่ง เหตุผลที่โรงพยาบาลไม่ค่อยเข้าร่วม เท่าที่เคยรับฟังมา น่าจะเป็นเพราะกังวลว่าผู้ป่วยจะเข้ารักษาตัวด้วยโรคที่แทรกซ้อน และโรคที่รักษายาก เกรงว่าจะต้องรับภาระที่หนักเกินควร อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ บอร์ด สปสช.พยายามที่จะประคองโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมในระบบให้อยู่ต่อนานๆ โดยคาดหวังว่า เพื่อจะได้แก้ปัญหาเรื่องเตียงไม่พอได้ แต่ถ้าเชิญชวนให้ รพ.ใหม่ เข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีศักยภาพในการแข่งขันด้านบริการได้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามในการเพิ่มค่าหัวของผู้ป่วยระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในปี 2555 เป็น 2,895 บาท น่าจะเป็นแรงจูงใจให้สถานบริการเอกชนเข้ามาสนใจเข้าร่วมระบบมากขึ้น
 ด้าน พลตรี. นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการ รพ.มงกุฎวัฒนะ กล่าวว่า รพ.ได้เข้าร่วมระบบหลักประกันสุขภาพกับ สปสช.มานานกว่า 1 ปี ซึ่งมีผู้ป่วยในสิทธิต่างๆ เข้ามาใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มีผู้ป่วยราว 5 หมื่นรายต่อปี ต้องมารับเพิ่มกว่า 2 แสนราย สิทธิของระบบหลักประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น กรณีการคลอดบุตรของเด็กและวัยรุ่น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในเด็กแรกเกิดที่มีโรคแทรกซ้อน ส่งผลให้ รพ.จำเป็นต้องเปิดบริการศูนย์ทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤติมากถึง 22 ศูนย์ และบางครั้งเจอผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น วัณโรค โรคเอดส์ ในผู้ป่วยไร้ญาติ และถูกทอดทิ้ง เหล่านี้ทำให้ รพ.ต้องแบกรับภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากเสนอต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือรัฐบาลก็ คือ ควรมีการเปิดบริการกองทุนสุขภาพในเชิงสังคมสงเคราะห์ด้วย เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีปัญหาสุขภาพแต่ไม่มีกำลังจ่ายค่ารักษาพยาบาล

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2554

7258
สมาคมแพทย์คลินิก ทำหนังสือถึงแพทยสภา หารือ อย.ทบทวนประกาศสั่งห้ามคลินิกจ่ายยาผสมสาร “ซูโดเอฟรีดีน” ทำประชาชนเดือดร้อน รับยาได้เฉพาะที่ รพ.

นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะผู้บริหารแพทยสภาในวันพรุ่งนี้ (28 ก.ค.) จะมีการพิจารณากรณีที่ทางสมาคมแพทย์คลินิก ได้ยื่นหนังสือร้องเรียน กรณีที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศให้ยาซูโดเอฟรีดีน ซึ่งเป็นยาลดน้ำมูก ให้มีการสั่งจ่ายเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น เพื่อเป็นการควบคุมการนำยาดังกล่าวไปผสมเป็นสารเสพติด เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่เลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดการแบ่งสองมาตรฐาน ระหว่างแพทย์โรงพยาบาลและแพทย์คลินิก เพราะต่างเป็นแพทย์เหมือนกัน แต่ทำไมจึงสั่งยาดังกล่าวไม่ได้ ทำให้แพทย์คลินิกถูกลดความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้หาก อย.เห็นว่า มีคลินิกที่กระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ก็ควรเข้าดำเนินการกับคลินิกแห่งนั้น ไม่ใช่ออกมาตรการห้ามสั่งจ่ายทั้งหมด ซึ่งทั่วประเทศมีคลินิกกว่า 8,000 แห่ง อีกทั้งเมื่อปัญหาเกินในร้านยาก็ควรคุมเฉพาะที่ร้านยาเท่านั้น

นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ประกาศ อย. นี้ ยังส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มารับบริการรักษา เพราะหากแพทย์คลินิกสั่งจ่ายยานี้ ประชาชนก็ต้องเดินทางไปรับยาที่โรงพยาบาล ซึ่งทำให้เสียเวลา และเพิ่มความแออัดให้กับโรงพยาบาลอีก ดังนั้นทางแพทยสภาจึงจะมีการประชุมเพื่อขอให้ อย.พิจารณาทบทวนในเรื่องนี้.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2554

7259
แพทยสภา เชิญผู้เกี่ยวข้องแจง เกมโชว์แข่งวัด “กึ๋น นศ.แพทย์” วันนี้ เตรียมเบรก หลังออกอากาศวันแรก หมอร้องเรียนเพียบ พร้อมประสาน กสพท. เตือน

นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา เปิดเผยว่า ทางแพทยสภาได้รับการร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสม กรณีที่มีการจัดรายการเกมโชว์ แข่งตอบปัญหาในการวินิจฉัยโรค โดยมีการเชิญตัวแทนนักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 4 จากคณะแพทยศาสตร์ ในสถาบันต่างๆ เข้าร่วมแข่งขัน และถ่ายทอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่มีการออกรายการไปวันแรก ปรากฎว่า ได้เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์กันมากในหมู่แพทย์ด้วยกัน เนื่องจากต่างเห็นว่ารายการนี้อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อการรักษาของแพทย์ได้ ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และอาจส่งผลเสียต่อวิชาชีพแพทย์ในที่สุด จึงมีการส่งหนังสือร้องเรียนมายังแพทยสภาเป็นจำนวนมาก

นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางแพทยสภาจึงได้ทำหนังสือขอเทปรายการที่ออกอากาศไปแล้ว จากสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวเพื่อนำมาพิจารณา และเห็นว่าการทำรายการเกมโชว์ดังกล่าวมีวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มีกระบวนการที่ไม่เหมาะสม เพราะในการวินิจฉัยโรคในรายการนั้น เป็นเน้นการวินิจฉัยโรค ผ่านทางห้องปฏิบัติการ การทำซีทีสแกน ที่ขัดกับหลักความเป็นจริง เพราะข้อเท็จจริงในการวินิจโรคของแพทย์นั้น จะเน้นที่การซักประวัติ สังเกตอาการ และติดตามผล ไม่ใช่ผู้ป่วยในทุกกรณีจะต้องส่งตรวจห้องปฏิบัติการ หรือทำซีทีสแกนทั้งหมด เพราะบางคนมาหาหมอด้วยอาการเล็กน้อย ดังนั้นการสื่อในรูปแบบนี้ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนในวิธีการรักษาได้ ซึ่งอาจสร้างปัญหาตามมา นอกจากนี้ในรายการยังใช้ศัพย์เทคนิคแพทย์ค่อนข้างมาก ประชาชนที่ดูรายการอาจไม่เข้าใจ

นอกจากนี้การเล่นเกมโชว์ในลักษณะนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อนักศึกษาแพทย์ปีที่ 4 ที่กำลังจบและออกไปปฏิบัติงาน เพราะเป็นการลดความน่าเชื่อถือ หากนักศึกษาแพทย์คนดังกล่าวหรือจากสถาบันใด ตอบคำถามผิด ก็จะถูกมองว่า ไม่เก่ง ที่อาจกระทบต่อการออกไปทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยในอนาคต ทั้งๆ ที่กรณีที่นำมาเป็นตัวอย่างในการวินิจฉัยในเกมโชว์นี้ ได้หยิบยกกรณีการป่วยด้วยโรคที่ซับซ้อนและพบได้ยากมาตั้งคำถาม ซึ่งโรคเหล่านี้แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเองบางครั้งก็วินิจฉัยได้ยาก

นพ.สัมพันธ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงจะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะผู้บริหารแพทย์สภาเพื่อพิจารณาในวันนี้  โดยจะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ทั้งจากสถานีโทรทัศน์ที่ออกรายการ บริษัทผลิตรายการ รวมไปถึงโรงพยาบาลที่ให้การสนับสนุนรายการ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นจะทำหนังสือที่เป็นการแสดงความห่วงใยไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ระงับการออกรายการในสัปดาห์หน้า ซึ่งคิดว่าน่าจะได้รับความร่วมมือด้วยดี พร้อมกันนี้ตนยังไปประสานไปยัง ศ.นพ.อาวุธ ศรีศุกรี เลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) เพื่อประสานไปยังทุกสถาบันแพทย์ เพื่อกำชับให้นักศึกษาแพทย์ทราบถึงความเหมาะสมในการออกรายการดังกล่าว

“ผมคิดว่า ผู้จัดไม่ควรนำเรื่องวิชาชีพมาทำเป็นเกมโชว์ เพราะมันส่งผลกระทบต่อภาพรวม ไม่แค่ในวงการวิชาชีพแพทย์ แต่รวมต่อประชาชน ซึ่งในการจัดรายการเกมโชว์แบบนี้ ก็ควรที่จะขอความเห็นจากทางสภาวิชาชีพก่อน โดยอีก 12 ตอนที่เหลือ แพทยสภาได้ขอให้หยุดออกอากาศก่อน” เลขาธิการแพทยสภา กล่าว และว่า สำหรับในส่วนโรงพยาบาลเอกชน ที่อ้างการสนับสนุนรายการ เป็นการทำเพื่อคืนกำไรสู่สังคม โดยเป็นการให้ความรู้ประชาชนนั้น เท่าที่ดู เห็นตรงกันว่า แม้จะไม่ใช่การโฆษณา แต่ก็เป็นการทำเพื่อหวังผลทางธุรกิจโดยตรง โรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับประโยชน์จากเกมโชว์ไปเต็มๆ ซึ่งควรพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 28 กรกฎาคม 2554

หน้า: 1 ... 482 483 [484] 485 486 ... 536