แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 452 453 [454] 455 456 ... 653
6796
เกิดอุบัติเหตุวันเดียว 2 รายซ้อน รายแรกรถพยาบาลฉุกเฉิน รพ.แม่ระมาด ชนปิกอัพสาวพบพระคาทางแยก ทำผู้ป่วยเจ็บเพิ่ม ขณะที่คนขับรถทั้ง 2 คันบาดเจ็บตามกัน อีกราย 3 วัยรุ่นซิ่งเก๋งพุ่งลงข้างทางเสียชีวิตทั้งคัน
       
       วันนี้ (7 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด จังหวัดตาก ได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันที่บริเวณสี่แยกไฟแดง ถนนพัฒนานครแม่สอด แยกแม่ปะ เขตตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถยนต์ตู้เป็นรถพยาบาลฉุกเฉิน หมายเลขทะเบียน บต 5120 ตาก ของโรงพยาบาลแม่ระมาด นอนตะแคงกลางถนน และรถยนต์กระบะ 4 ประตู สีดำ ยี่ห้อมิตซูบิชิ จอดอยู่บริเวณเสาสัญญาณไฟจราจร สภาพตรงกลางพังเสียหาย นอกจากนี้ ผู้ป่วย 2 คน ที่ถูกนำไปจากโรงพยาบาลแม่ระมาดเพื่อไปส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลแม่สอดได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก เจ้าหน้าที่จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลแม่สอดทันที
       
       จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่ระมาด มุ่งหน้ามาตามเส้นทางสายแม่สอด-แม่ระมาด ขณะที่รถกระบะขับโดยนางพิพัธ นิธิกุล อายุ 29 ปี บ้านเลขที่ 34 หมู่ ที่ 9 ตำบลคีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก ขับมาตามถนนพัฒนานครแม่สอด หรือถนนสายบายพาส เมื่อถึงจุดเกิดเหตุที่มีสัญญาณไฟจราจร รถกระบะได้ขับออกมาจากทางแยก ทำให้รถพยาบาลที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วชนเข้ากลางรถทันที จนทำให้คนขับรถทั้ง 2 คันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย
       
       วันเดียวกัน ร.ต.ท.สมเกียรติ อินทานทุม พนักงานสอบสวนทำหน้าที่ร้อยเวร สภ.แม่สอด ยังรับแจ้งเหตุรถยนต์เก๋งพุ่งลงข้างทางบริเวณถนนเส้นทางบ้านแม่ตาว-บ้านวังตะเคียน ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย ทั้งหมดอายุระหว่าง 20-25 ปี เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 เมษายน 2556

6797
1. รัฐสภาเสียงข้างมาก ผ่านวาระแรก ร่างแก้ รธน.ทั้ง 3 ฉบับ ด้าน ปชป.ชี้ ส่อโมฆะ เหตุรวบรัดวันแปรญัตติ ขณะที่ ส.ว.พึ่งศาล รธน.วินิจฉัยขัด ม.68 หรือไม่!

       เมื่อวันที่ 1-3 เม.ย. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่เสนอโดย ส.ว.เลือกตั้งกลุ่มนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ร่วมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย 1.ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 111 เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. ซึ่งแก้ไขให้เพิ่มจำนวน ส.ว.เป็น 200 คน และมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ยกเลิก ส.ว.สรรหา 2.ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ซึ่งแก้ไขให้การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ-สังคม-การค้าการลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน 3.ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 และ 237 โดยมาตรา 68 แก้ไขให้ประชาชนที่พบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง สามารถยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดได้เพียงช่องทางเดียว ไม่สามารถยื่นเรื่องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ส่วนมาตรา 237 แก้ไขให้ยกเลิกโทษยุบพรรค รวมทั้งห้ามตัดสิทธิหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
       
       ทั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ประท้วงการทำหน้าที่ประธานการประชุมของนายนิคม ไวยรัชภานิช ประธานวุฒิสภา โดยไม่ต้องการให้นายนิคมเป็นประธานการประชุม เพราะนายนิคมได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และ 237 ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคนเป็นประธานวุฒิสภาต้องวางตัวเป็นกลาง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงให้ทางเลือกนายนิคมว่า ถ้าต้องการทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องถอนชื่อจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน หากไม่ถอนชื่อ ก็ไม่ควรทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ควรให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานเพียงคนเดียว แต่นายนิคมยืนยันไม่ถอนชื่อ โดยอ้างว่าเป็นสิทธิของตน เพราะตนสวมหมวก 2 ใบ และยังคงยืนยันจะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมต่อไป หากใครเห็นว่าตนทำผิด ก็ให้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เลย ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจและประท้วงนายนิคมเป็นระยะๆ กระทั่งสุดท้าย พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจใช้มาตรการไม่อภิปรายในช่วงที่นายนิคมเป็นประธานที่ประชุม
       
       ส่วนเนื้อหาการอภิปรายนั้น ส.ส.พรรคเพื่อไทยและ ส.ว.เลือกตั้งบางกลุ่ม ได้อภิปรายหนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 มาตรา โดย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อ้างว่า การแก้มาตรา 68 ช่วยลดงานของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องมาเสียเวลากลั่นกรองคดี การให้ประชาชนยื่นผ่านอัยการ อัยการจะช่วยทำหน้าที่กลั่นกรองคดีให้ ขณะที่นายนิติภูมิ นวรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หนุนแก้ไขมาตรา 190 โดยอ้างว่า การที่ต้องนำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศเข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อเห็นชอบก่อน ทำให้ความลับรั่วไหล และจะส่งผลให้ไทยเสียเปรียบคู่เจรจา
       
       ด้สย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์-พรรคภูมิใจไทย และ ส.ว.สรรหาบางส่วนได้อภิปรายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 มาตรา โดย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ชี้ว่า การที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.เลือกตั้งจับมือกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการเสนอแบบต่างตอบแทน โดย ส.ส.เสนอเรื่องที่มาวุฒิสภา ขณะที่ ส.ว.เสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อ ส.ส. ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ เพราะการแก้ไขให้มีแต่ ส.ว.เลือกตั้ง จะเหมือนกับที่ประเทศเคยใช้เมื่อปี 2548-2549 จนถูกกล่าวหาว่าขาดความเป็นกลาง และรับเงินเดือนจากพรรคการเมือง ขณะที่การแก้มาตรา 68 ก็เป็นการตัดสิทธิประชาชน ซึ่งน่าจะมาจากกรณีที่มีคนไปใช้สิทธิร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งมีการแก้ไขมาตรา 291 ส่วนการแก้มาตรา 190 ก็เป็นการปิดกั้นตัวแทนประชาชนในการตรวจสอบรัฐบาล
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ 1 วัน วันต่อมา(2 เม.ย.) นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา 1 ในกลุ่ม 40 ส.ว. ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่านายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาและคณะรวม 312 คน กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีได้เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เพื่อตัดสิทธิประชาชน และลิดรอนสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ จึงขอให้ศาลฯ สั่งให้นายสมศักดิ์และพวกที่รู้เห็นเป็นใจและร่วมกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกการกระทำดังกล่าว พร้อมสั่งให้ยุบพรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย ,พรรคชาติไทยพัฒนา ,พรรคชาติพัฒนา ,พรรคพลังชล และพรรคประชาธิปไตยใหม่ ทั้งนี้ นายสมชาย ขอให้ศาลฯ สั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลฯ จะพิจารณาคดีเสร็จ
       
       ด้านศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมกรณีดังกล่าวในวันต่อมา(3 เม.ย.) ก่อนมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 รับคำร้องของนายสมชาย แต่ไม่ได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ชั่วคราวแต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่า ยังไม่มีเหตุฉุกเฉินเพียงพอ สำหรับตุลาการเสียงข้างมาก ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล ,นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ส่วนเสียงข้างน้อย คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ขณะที่ตุลาการฯ อีก 4 คนไม่ได้ร่วมประชุม เพราะติดภารกิจในต่างประเทศ ทั้งนี้ หลังศาลมีมติรับคำร้องไว้วินิจฉัยแล้ว ได้สั่งให้นายสมชายทำสำเนาคำร้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ 312 ชุด เพื่อส่งให้นายสมศักดิ์และพวก ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลฯ ภายใน 15 วัน หากไม่ยื่นภายในกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจ
       
       ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่พอใจที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของนายสมชาย จึงได้ออกมาโวยวาย พร้อมขู่จะดำเนินคดีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน จึงได้เดินหน้าอภิปรายต่อจนครบ 3 วัน กระทั่งลงมติเพื่อรับหลักการวาระ 1 โดยที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ โดยฉบับแรกเรื่องที่มา ส.ว. มีมติรับหลักการ 367 เสียง ไม่รับหลักการ 204 เสียง งดออกเสียง 34 เสียง ขณะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 มาตรา 190 มีมติรับหลักการ 374 เสียง ไม่รับหลักการ 209 เสียง งดออกเสียง 22 เสียง ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 มาตรา 68 และ 237 มีมติรับหลักการ 374 ไม่รับหลักการ 206 เสียง งดออกเสียง 25 เสียง จากนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 3 คณะ คณะละ 45 คน เพื่อพิจารณาแปรญัตติใน 15 วัน
       
       อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในแง่เวลาที่แปรญัตติ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้แปรญัตติ 60 วัน แต่ฝ่ายรัฐบาลต้องการ 15 วัน ซึ่งตามระเบียบข้อบังคับการประชุม หากมีข้อเสนอแปรญัตติ ต้องให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่เมื่อตรวจสอบองค์ประชุมแล้ว พบว่าองค์ประชุมไม่ครบ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานที่ประชุม จึงวินิจฉัยว่าต้องแปรญัตติภายใน 15 วัน ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ และเรียกร้องให้นายสมศักดิ์เรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้งเพื่อลงมติ แต่นายสมศักดิ์ยืนยันว่าไม่จำเป็น
       
       ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามรวบรัดไม่ทำตามกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ด้วยการกำหนดวันแปรญัตติ 15 วัน ทั้งที่องค์ประชุมไม่ครบ ถือเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบและขัดรัฐธรรมนูญ อาจจะต้องมีการยื่นตีความเรื่องนี้ ขณะที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคน เปิดแถลงชี้ว่า การกำหนดวันแปรญัตติทั้งที่องค์ประชุมไม่ครบ อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะได้
       
       2. พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ค้านแก้ รธน. 4 มาตรา-พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ชี้ ขัด รธน.-เอื้อประโยชน์รัฐบาล พร้อมให้ทนายพันธมิตรฯ หาช่องเอาผิด!

       เมื่อวันที่ 4 เม.ย. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประชุม ก่อนออกแถลงการณ์เรื่อง “คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง และคัดค้านกฎหมายกู้เงินมหาศาลสร้างหนี้สินให้กับชาติ” สรุปความว่า พันธมิตรฯ มองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรายมาตรา ประกอบด้วย มาตรา 68 ,111 ,190 , 237 และการเสนอร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้ประเทศ โดยการแก้ไขมาตรา 68 สะท้อนเจตนารัฐบาลชัดเจนว่าจะลิดรอนสิทธิประชาชนในการยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่า หากรัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนจะไม่สามารถยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญได้ ส่วนการให้ยื่นผ่านอัยการสูงสุด อัยการสูงสุดก็ได้รับประโยชน์และตำแหน่งการเป็นคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจจากรัฐบาล จึงกลายเป็นผู้ขัดขวางไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การแก้มาตรา 68 จึงเป็นการลดอำนาจและขัดขวางประชาชนในการตรวจสอบรัฐบาล
       
       ส่วนการแก้ไขมาตรา 190 ถือเป็นการล้มเลิกการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชนกรณีที่รัฐบาลทำสัญญากับต่างประเทศ เพราะหากแก้ไขมาตราดังกล่าว จะส่งผลให้การทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ-สังคม-การค้าการลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จะไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ซึ่งเป็นการทำลายการถ่วงดุลตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ
       
       ขณะที่การแก้ไขมาตรา 111 เพื่อเพิ่มจำนวน ส.ว.เป็น 200 คน และให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ต้องมี ส.ว.สรรหาอีกต่อไปนั้น จะส่งผลให้ ส.ว.ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกับฝ่ายรัฐบาลได้จริง เพราะ ส.ว.เลือกตั้งส่วนใหญ่ต้องอาศัยฐานเสียงเดียวกับ ส.ส. ซึ่ง ส.ว.เลือกตั้งส่วนใหญ่ทำตัวเป็นทาสของฝ่ายรัฐบาล การแก้ไขมาตรา 111 จึงเป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของ ส.ว.และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล นอกจากนี้ยังจะส่งผลให้การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ที่แต่งตั้งโดย ส.ว. อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาล ทำให้องค์กรอิสระไม่สามารถตรวจสอบอำนาจรัฐบาลได้จริง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2540
       
       ส่วนการแก้ไขมาตรา 237 โดยยกเลิกการยุบพรรคและการตัดสิทธิหัวหน้าพรรค-กรรมการบริหารพรรคนั้น นอกจากสะท้อนความไม่จริงใจของนักการเมืองที่ควรจะเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดทุจริตเลือกตั้งให้รุนแรงขึ้นแล้ว ยังชัดเจนว่าเป็นการแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 122
       
       แกนนำพันธมิตรฯ จึงขอคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 มาตราดังกล่าว และขอให้กำลังใจ ส.ส.-ส.ว.ที่ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 และเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ของสมาชิกรัฐสภาหรือไม่ พร้อมกันนี้แกนนำพันธมิตรฯ ได้มอบหมายให้ทนายพันธมิตรฯ ไปปรึกษาหารือกับนักวิชาการและนักกฎหมายเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำผิดจนถึงที่สุด
       
       นอกจากนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ยังคัดค้านการเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านของรัฐบาล เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ประเทศโดยหลีกเลี่ยงวิธีพิจารณางบประมาณโดยปกติแล้ว ยังไม่มีความชัดเจน ไม่มีรายละเอียดเนื้อหาของแต่ละโครงการ และยังขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่ไม่นำเงินส่งคลัง แถมให้อำนาจกระทรวงการคลังนำเงินจากการกู้ไปให้หน่วยงานรัฐกู้ต่อเพื่อนำไปใช้จ่ายได้อีกด้วย พันธมิตรฯ จึงขอให้กำลังใจอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 2550 ที่ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป พร้อมสนับสนุน ส.ส.-ส.ว.ที่จะยื่นคำร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของรัฐบาลที่เสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 หรือไม่ พร้อมกันนี้แกนนำพันธมิตรฯ ได้มอบหมายให้ทนายพันธมิตรฯ ไปปรึกษาหารือนักวิชาการและนักกฎหมายเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำผิดจนถึงที่สุดเช่นกัน
       
       3. ป.ป.ช. รับทราบผลสอบ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้แจ้งบัญชีเท็จปล่อยกู้ 30 ล้าน ด้านเจ้าตัว สบายใจ เดินหน้าทำงานต่อ!

       เมื่อวันที่ 5 เม.ย. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2554 และก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2554 หรือไม่ กรณีปล่อยกู้ 30 ล้านบาทให้แก่บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ของนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนอกสมรส หลังมีข่าวว่าการปล่อยกู้ดังกล่าวอาจเป็นนิติกรรมอำพราง เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แจ้งว่า ได้ปล่อยกู้ให้บริษัทดังกล่าว 3 ครั้ง คือวันที่ 6 ต.ค.2549 จำนวน 20 ล้านบาท ครั้งที่ 2 วันที่ 9 มี.ค.2550 จำนวน 5 ล้านบาท และครั้งที่ 3 วันที่ 13 มี.ค.2550 อีก 5 ล้านบาท แต่กลับไม่ปรากฏรายการกู้ยืมดังกล่าวในงบดุลปี 2549 ของบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ โดยไปปรากฏในปี 2550 แทน นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุกับที่บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ ระบุ ก็ไม่ตรงกันนั้น
       
       ปรากฏว่า หลังประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์รับทราบตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบการกู้ยืมดังกล่าว ซึ่งพบว่าถูกต้องและมีอยู่จริงตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นแสดงบัญชีไว้ โดยมีหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ นำเงินที่กู้ยืมจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปใช้หนี้ธนาคารทหารไทย และเช็คสั่งจ่ายกรณีที่บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จ่ายดอกเบี้ยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ครั้ง ส่วนสาเหตุที่ระบุอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมไม่ตรงกันนั้น เนื่องจากมีการตกลงกันหลายครั้งและมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหลายอัตรา โดยอยู่ระหว่าง 2.50-3.75 ต่อปี ส่วนกรณีที่ไม่มีรายการกู้ยืมเงิน 30 ล้านดังกล่าวในบัญชีงบดุลปี 2549 แต่ไประบุในปี 2550 ของบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์นั้น เนื่องจากงบดุลของบริษัทฯ มีรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. และสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.ของปีถัดไป ดังนั้นเมื่อกู้ยืมตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.2549-13 มี.ค.2550 จึงไปปรากฏในงบดุลปี 2550 ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 เม.ค.2550
       
       นายกล้านรงค์ บอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรายการเงินฝากในบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามี และบุตร แล้ว พบว่าทุกรายการไม่มีพฤติการณ์ที่จะฟังได้ว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ดังนั้นจะไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนการปล่อยกู้ 30 ล้านแต่อย่างใด
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่า สบายใจขึ้นหลังทราบมติ ป.ป.ช. พร้อมยืนยัน จะเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.พร้อมจะนำเรื่องนี้ขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้งหากมีผู้ร้องเรียนเข้ามา น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง แต่เรื่องนี้ได้มีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
       
       ทั้งนี้ ก่อนที่ ป.ป.ช.จะมีมติกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปล่อยกู้ 30 ล้าน นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาขู่ว่า หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์กรณีดังกล่าว จะออกมาชุมนุมใหญ่
       
       4. ใต้เดือด! อุ้มฆ่าทหาร-วางระเบิดรถรองผู้ว่าฯ ยะลาดับ ขณะที่เลขาฯ สมช.อ้าง ผู้ก่อเหตุไม่ได้ยกระดับความรุนแรง!

       แม้รัฐบาลจะเดินหน้าให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยเปิดเจรจาสันติภาพกับแกนนำบีอาร์เอ็น โดยการเจรจารอบสามจะมีขึ้นในวันที่ 29 เม.ย.นี้ แต่สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเมื่อคืนวันที่ 2 เม.ย. คนร้าย 8 คนแต่งกายเลียนแบบทหาร พร้อมอาวุธครบมือ ได้บุกจี้ พลทหารมะอีลา โตะลู อายุ 24 ปี สังกัดกองทันทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส ที่บ้านพักใน อ.รือเสาะ ก่อนนำตัวขึ้นรถกระบะขับหายไปต่อหน้าพ่อและน้องชายพลทหารมะอีลา กระทั่งช่วงดึกคืนเดียวกัน มีผู้พบศพพลทหารมะอีลาถูกฆ่าโหดบนถนนในหมู่บ้านกอตอ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ ในสภาพถูกยิงด้วยปืนพกสั้นขนาด 9 มม.ที่บริเวณศีรษะและขมับรวม 2 นัด
       
        ทั้งนี้ น.ส.ดารีซะ ซอพี ภรรยาพลทหารมะอีลา เผยว่า “ปกติสามีไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งหรือบาดหมางกับใคร เมื่อลาพักจากราชการ จะกลับมาอยู่บ้านโดยไม่ออกไปไหน เพราะเกรงจะตกเป็นเป้าถูกคนร้ายดักสังหาร สามีพูดบ่อยครั้งว่า ทหารทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่กองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากมีกระแสข่าวหลังเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมคนร้าย 16 คน(ที่โจมตีฐานเมื่อวันที่ 13 ก.พ.) กลุ่มคนร้ายจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนชีวิตเจ้าหน้าที่เป็น 2 เท่า คือ ตาย 16 คน จะเอาคืนชีวิตเจ้าหน้าที่ 32 คน เพื่อแก้แค้นให้สมาชิกที่เสียชีวิต”
       
        ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวพลทหารมะอีลา พร้อมประกาศ ต้องเอาคนร้ายมาลงโทษให้ได้ ถ้าแรงมาก็ต้องแรงไป ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 เม.ย. พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผู้กำกับการ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เผยว่า ได้เบาะแสคนร้ายที่อุ้มฆ่าพลทหารมะอีลาแล้ว เป็นแนวร่วมในสังกัดของนายสาลาอุดิน แดแก และสมุนในสังกัดของนายเด๊ะมะ โละยะ แกนนำอาร์เคเคเคลื่อนไหวในพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อ.ยี่งอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส และ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มีหมายจับหลายคดี
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากเหตุอุ้มฆ่าเจ้าหน้าที่แล้ว โจรใต้ยังได้วางระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่อีกหลายครั้ง โดยเมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย. คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุในถังแก๊ส น้ำหนักประมาณ 15 กก.ที่ซุกซ่อนไว้ข้างถนนสาย 410(ยะลา-เบตง) บริเวณหมู่ 8 ต.กรงปินัง ขณะที่รถบัสของเจ้าหน้าที่สังกัดกองพลทหารราบที่ 125 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จ.ยะลา กำลังแล่นผ่าน แรงระเบิดส่งผลให้รถบัสเสียหลักตกลงข้างทาง จากนั้นคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และอาก้ามากราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ จึงเกิดการยิงตอบโต้กัน ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไป ส่งผลให้ทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 19 นาย ผู้เสียชีวิตคือ จ.ส.อ.บุญเลี้ยง ไชยชนะ อายุ 53 ปี
       
        ไม่เท่านั้น เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เวลา 12.20น. คนร้ายยังได้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 20 กก. ที่ซุกซ่อนไว้ในท่อน้ำใต้ถนนสาย 410(ยะลา-เบตง) บริเวณหมู่ 5 บ้านกาโสด ต.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะที่รถประจำตำแหน่งของนายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าฯ ยะลา กำลังแล่นผ่าน โดยมีรถของเจ้าหน้าที่อาสาสมัครและทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลา 15 ติดตามรักษาความปลอดภัย แรงระเบิดส่งผลให้นายสะตอปา เจ๊ะเลาะ คนขับรถได้รับบาดเจ็บสาหัส นายเชาวลิตร ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา ที่นั่งมาด้วยเสียชีวิต ส่วนนายอิศรา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
       
        ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมเผยว่า ตนเป็นผู้คัดเลือกให้นายอิศรามาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ยะลาเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงรู้สึกเสียใจมาก และจะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
       
        ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ยืนยันว่า เหตุระเบิดรถรองผู้ว่าฯ ยะลา ไม่ใช่การยกระดับความรุนแรงของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นระดับใด ถือเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุอยู่แล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 เมษายน 2556

6799
“ไทร” ได้ชื่อว่าเป็น “นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร” (หรือ “นักบุญแห่งป่า นักฆ่าเลือดเย็น”)
       
       เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะยามเมื่อต้นไทรเติบใหญ่ มันได้แผ่กิ่ง ก้าน ราก ใบ ให้ร่มเงาแก่มนุษย์และสรรพชีวิตในผืนป่า ขณะที่ลูกของไทรเมื่อสุก นับเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นนก ลิง ชะนี เก้ง กวาง นั่นจึงทำให้มันเชื่อว่าเป็นนักบุญแห่งป่า
       
       แต่เจ้าลูกไทรสุก หากมันไปตกบนพื้นดินเติบใหญ่ขึ้นมารากของมันก็จะหาที่ยึดเกาะไปเรื่อย แต่ถ้าเจ้าลูกไทรสุกนี้ไปตกบนต้นไม้ หรือสัตว์กินแล้วไปถ่ายบนต้นไม้ ที่นี้ล่ะเป็นเรื่อง เพราะต้นไทรที่งอกโตเติบใหญ่มา รากของมันจะค่อยๆไปโอบรัดกลืนกินต้นไม้ที่มันแอบอิงอาศัยแบบค่อยเป็นค่อยไป จนสุดท้ายมันก็สามารถยึดครองเจ้าต้นไม้นั้นได้อย่างถาวร นั่นจึงทำให้มันได้ชื่อว่า เป็น “นักฆ่าแห่งพงไพร” หรือ “นักฆ่าเลือดเย็น”
       
       รากของไทรนั้นมันไม่ได้ฆ่าเฉพาะต้นไม้เท่านั้น แต่บางครั้งมันยังไปฆ่าสิ่งก่อสร้าง อาคาร วัดโบสถ์ปราสาท ที่ถูกทิ้งร้าง เพราะรากของมันได้ชอนไชไปยังสิ่งก่อสร้างที่มันยึดเกาะ จนสุดท้ายก็สามารถครอบครองอาคารเหล่านั้นได้อย่างถาวร
       
       ไทรนอกจากจะเป็นทั้งนักฆ่าและนักบุญในสถานะที่แตกต่างกันแล้ว ไทรยังเป็นหนึ่งในต้นไม้สำคัญในพระพุทธศาสนา โดยหลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ “ต้นศรีมหาโพธิ์” (ตามพุทธประวัติ) หลังจากนั้น 7 วัน พระพุทธองค์ได้เสด็จไปพิจารณาธรรมที่ได้จากการตรัสรู้เป็นเวลา 7 วัน ณ ใต้ต้นไทรที่ชื่อว่า “อัชบาลนิโครธ”
       
       ความที่ไทรเป็นต้นไม้ที่มีความประหลาด มีความสำคัญในระบบนิเวศ มีความสำคัญในพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่มีเรื่องราวความอาถรรพ์ความลี้ลับแอบแฝง(ตามความเชื่อของใครหลายๆคน) ดังปรากฏว่าใต้ต้นไทรหลายๆแห่งมีการผูกผ้าแพรสี มีการตั้งศาลผีไว้ หรือมีผู้คนไปกราบไหว้ต้นไทร ทำให้ไทรเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่น่าสนใจ ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติหลายๆแห่ง มันจะบรรจุไทรไว้เป็นหนึ่งในฐานความรู้(หากในเส้นทางนั้นมีต้นไทรใหญ่อยู่)
       
       และด้วยคุณลักษณะพิเศษต่างๆของไทร ส่งผลให้ต้นไทรที่มีความโดดเด่น ความแตกต่าง กลายเป็นจุดดึงดูดทางการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ดังเช่น “ป่าไทร 100 ปี” ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา
       
       ป่าไทร 100 ปี ตั้งอยู่ที่ “วัดเก่าเจริญธรรม” ต.กระโสม อ.ตะกั่วทุ่ง หากจากตัวเมืองพังงาประมาณ 15 กม.
       
       วัดเก่าเจริญธรรม เป็นวัดเก่าแก่ อายุนับ 100 ปี (ไม่มีหลักฐานระบุที่มาของวัดอย่างชัดเจน) วัดแห่งนี้ มีรูปเคารพหลวงปู่ทวดองค์โต ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแจ้ง ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนแถวนี้ และเป็นจุดดึงดูดให้ผู้คนที่ผ่านไป-มาได้แวะเวียนเข้ามาสักการบูชา อธิษฐาน ขอพร รวมถึงมีรถสามล้อคันเก่า อันสุดคลาสิกตั้งโชว์อยู่ใกล้ๆกับรูปเคารพหลวงปู่ทวด
อย่างไรก็ดีใครหลายๆคนเมื่อมากราบไหว้หลวงปู่ทวดแล้วก็มักจะเดินทางกลับ ทางวัดจึงติดข้อความประชาสัมพันธ์ทั้งริมถนนและในบริเวณวัด ให้ผู้ที่ผ่านไป-มา และผู้เข้ามาในวัดรับรู้ว่า ที่วัดแห่งนี้มีของดีระดับประเทศอยู่ ซึ่งหลังเข้าห้องน้ำ(สะอาด)ของวัดแล้วได้เห็นป้ายเชิญชวนไปดูต้นไทรที่ติดไว้ที่ประตูห้องน้ำ ผมก็ไม่รีรอเดินไปดูความน่าทึ่งของป่าไทร 100 ปี ในทันนี้
ป่าไทร 100 ปี ตั้งอยู่บริเวณหลังวัดเก่าฯ มีบันไดนำลงไปสู่ดงป่าไทร ซึ่งมีพื้นที่หลักๆแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ป่าไทรในพรุ(น้ำท่วมขัง) มีสะพานปูนให้เดินชม กับส่วนป่าไทรบนบก โดยมีทางเดินขึ้นลงเชื่อมต่อกับสะพานปูนที่เป็นเส้นทางเดินชมป่าไทรในป่าพรุ     
       
       ป่าไทร 100 ปี เป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ต้นไทร ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้น ที่นับว่ามีความน่าทึ่งไม่น้อย ที่นี่มีต้นไทรขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ต้นไทรเหล่านั้นนอกจากจะแผ่กิ่ง ก้าน ใบ ปกคลุมพื้นที่จนร่มรื่นเขียวครึ้มแล้ว รากของต้นไทรที่มีอยู่อย่างมากมายนั่น ได้สร้างความน่าทึ่ง ความสวยงาม และความมหัศจรรย์ให้กับผืนป่าแห่งนี้ คือมีทั้งรากที่ห้อยย้อยลงสู่พื้นดิน หลายรากมีขนาดใหญ่โตจนมองผ่านๆคล้ายเป็นต้นไทรขึ้นตระหง่านอยู่ ส่วนรากขนาดเล็ก ขนาดย่อมอีกจำนวนมากก็ทิ้งตัวลงมาเป็นม่านไทรย้อย ห้อยระย้า บ้างทิ้งตัวระโยงระยาง ดูดุจดังกำแพงแห่งม่านไทร แลดูสวยงาม ชวนให้นึกถึงเพลง “รักใต้ร่มไทร” กับเนื้อร้องสุดคลาสสิก “ม่านไทรย้อย ห้อยระย้า พาร่มเย็น...”
       
       ขณะที่รากไทรอีกจำนวนหนึ่ง ที่เดินทางข้ามต้นไทรของตัวเองไปเกาะเกี่ยวอยู่กับต้นไม้อื่นๆ หรือต้นไทรต้นอื่น เกี่ยวกระหวัด รัดพัน ยึดกัน เกิดเป็นผลงานที่ธรรมชาติรังสรรค์อย่างสวยงาม
       
       ป่าไทร 100 ปี โดยปกติเป็นพื้นที่ปฏิบัติธรรมและเดินจงกรมของวัด แต่ทางวัดก็เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาเที่ยวชมความงามของป่าไทร 100 ปีได้
       
       นอกจากความน่าทึ่งของต้นไทร รากไทร จำนวนมหาศาลแล้ว บนกิ่ง ก้าน รากของต้นไทร เป็นจำนวนมากยังมีต้นเฟิร์นข้าหลวงขึ้นอยู่(ตามธรรมชาติ) ทั้งกอเล็ก กอใหญ่ และกอใหญ่มาก นับเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของพื้นที่แห่งนี้
       
       แต่มีเรื่องน่าเสียดายนิดหนึ่งตรงที่ เมื่อวันที่ 27-30 ก.ย. 2555 ได้เกิดพายุลมพัดแรง มีฝนตกใหญ่ ทำน้ำท่วมสะพาน ส่งผลให้ต้นไทรใหญ่อายุ 100 ปี หักโค่นลงมา เป็นเสมือนดังการให้ข้อคิดของธรรมชาติว่า ต่อให้ยิ่งใหญ่ หรือมีอายุยืนยาว แต่สุดท้ายก็ต้องมีวัน ดับสูญ เพราะสรรพสิ่ง “มีเกิด ย่อมมีดับ”
       
       และนี่ก็คือเสน่ห์ของป่าไทร 100 ปีที่ ใครสนใจไปปฏิบัติธรรมหรือไปเที่ยวชมความงามก็สามารถไปเยือนกันได้ ส่วนใครถ้าต้องการจะไปขูดหาเลข ขอเบอร์ ขอหวย ผมแนะนำว่า
       
       ให้ไปหาที่อื่น
*****************************************
       
       ป่าไทร 100 ปี ตั้งอยู่ที่(ด้านหลัง) วัดเก่าเจริญธรรม บ้านกระโสม อ. ตะกั่วทุ่ง จ. พังงา
       จากตัวเมืองพังงาใช้เส้นทาง ถ.เพชรเกษม ตรงไปเรื่อยๆ เข้าบริเวณบ้านกระโสม จะเห็นป้ายวัดเก่าเจริญธรรม(ป่าไทร100ปี) ติดเด่นอยู่ริมถนน จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายประมาณ 500 เมตร วัดเก่าฯจะอยู่ด้านขวามือ
       
       การเที่ยวชมป่าไทรควรฉีดสเปรย์ หรือทายากันยุง กันแมลง เพราะป่าไทรมีสภาพร่มครึ้ม หนาแน่นไปด้วยแมกไม้ ทำให้มีแมลงและยุงบินรบกวนในบางช่วง
       
       ทั้งนี้ผู้สนใจเที่ยวป่าไทร 100 ปี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โทร.0-7648-1900-2

โดย ปิ่น บุตรี    4 เมษายน 2556

6800
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จี้ ทบทวน P4P ซัด "หมอประดิษฐ" รวบรัดตัดตอน อาจทุจริตเชิงนโยบาย ย้ำการกระจายบุคลากรต้องคำนึงเรื่องทุรกันดารก่อน ชี้จ่ายตามภาระงานทำได้แต่ต้องเป็นแบบ Top Up ไม่ใช่ตัดเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย
       
       น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า แนวทางการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรสาธารณสุขมีผลต่อประชาชน เพราะพื้นที่ห่างไกลมักจะประสบปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ อย่างโรงพยาบาลชุมชนบางแห่ง มีแพทย์ 1-2 คน แต่ต้องดูแลประชาชนทั้งอำเภอหลายหมื่นคน หากนำการจ่ายค่าตอบแทนแบบภาระงาน (P4P : Pay for Performance) มาใช้ จะไม่จูงใจให้บุคลากรอยากอยู่ประจำในพื้นที่ห่างไกล หรือพื้นที่เสี่ยง ก็จะกระทบต่อการรับบริการของประชาชนแน่นอน
       
       “กลุ่มสนับสนุนแนวทางการใช้นโยบายทางการเงิน เป็นเครื่องมือในการกระจายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทุกพื้นที่ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องพื้นที่ คือเรื่องทุรกันดาร ร่วมกับแนวคิดเรื่องภาระงาน และค่าตอบแทนการอยู่นานเป็นเรื่องสุดท้าย และต้องให้ความสำคัญกับทุกวิชาชีพเท่าๆ กัน เนื่องจากการดูแลสุขภาพคนหนึ่งคน ทุกวิชาชีพต่างสำคัญและมีภาระงานในส่วนที่รับผิดชอบต่อชีวิตใกล้เคียงกัน ต้องทำงานเป็นทีม แนวทางที่น่าจะเป็นไปได้คือ กำหนดการจ่ายตามพื้นที่ส่วนหนึ่ง แล้วเพิ่มเติมด้วยการคิดตามภาระงานเป็นเงินส่วนเพิ่ม (Top up) ไม่ใช่ตัดอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป และต้องไม่ให้การกำหนดแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยกของทีมบุคคลากรทางการแพทย์” น.ส.สุรีรัตน์ กล่าว
       
       น.ส.สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า ต้องทวงถามเจตนารมย์ของการนำระบบ P4P มาใช้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างต้องการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสาธารณสุข หรือต้องการตัดงบประมาณลง หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ก็จะเห็นว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายครั้งนี้ รีบร้อน เร่งทำ โดยไม่อาศัยหลักวิชาการ ส่อเจตนาทุจริตเชิงนโยบาย กระทบต่องบประมาณของประเทศ โดยไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า P4P ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของประชาชนอย่างชัดเจนและประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาลได้จริงหรือไม่
       
       “การตัดสินใจของ รมว.สาธารณสุข หลายเรื่องดูรีบร้อน รวบรัด เร่งทำ ไม่มีการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาก่อนเลย รวมถึงวิธีการที่จะปรับใช้ วิธีการปฏิบัติในพื้นที่ก็ยังไม่ชัดเจน ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจน นอกจากนี้ผลการศึกษาจากทั้งในและต่างประเทศก็ชี้ให้เห็นว่า การใช้ P4P เพียงมาตรการเดียว เป็นผลเสียมากกว่าผลดี การตัดสินใจใดๆ จึงต้องอยู่บนข้อมูลทางวิชาการ และทำด้วยความรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่ไม่มีแนวทางใดๆที่ชัดเจน ก็ประกาศออกมาอย่างเร่งรีบ โดยไม่ฟังคำทัดทาน” โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าว
       
       น.ส.สุภัทรา กล่าวต่อว่า ในต่างประเทศ การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ใช้วิธีการกำหนดเพดานค่าตอบแทน และจำนวนโรงพยาบาลเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดภาวะสมองไหลอย่างเช่นที่ไทยกำลังประสบ แต่นโยบายรัฐบาลชุดนี้กลับสนับสนุนการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชน ให้มีการนำเรื่องสุขภาพมาซื้อขายในตลาดหุ้นได้ และส่งเสริมนโยบายเมดิคัล ฮับ ให้เป็นโครงการที่นำรายได้เข้าประเทศ แต่ก็เป็นประโยชน์กับเฉพาะกับแพทย์พาณิชย์ และธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ย่อมส่งผลต่อทำให้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ห่างไกลรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับนโยบาย P4P ซึ่งน่าจะเป็นตัวเร่งให้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ห่างไกล เข้าสู่จุดวิกฤตเร็วขึ้นอีก
       
       นางจรรยา แสนสุภา ผู้ใช้บริการโรงพยาบาลชุมชน จ.มหาสารคาม กล่าวว่า ส่วนตัวในฐานะผู้ใช้บริการ มีความกังวลว่าประชาชนจะไม่ได้รับการบริการ เพราะภาพที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ หลายโรงพยาบาลขึ้นป้ายไม่ยอมรับแนวทาง P4P มีข้อความว่าในอนาคต ประชาชนอาจจะต้องรอนานขึ้น เพราะกระทรวงใช้การคิดแต้ม ทำให้ที่นี่ไม่มีบุคคลากร
       
       “จากเดิมบุคคลากรก็น้อยมากอยู่แล้ว เมื่อมีแนวนโยบายแบบนี้ ทำให้เราเองกังวลจริงๆว่าจะไม่มีหมอ ไม่มีพยาบาลในพื้นที่ พวกเราก็ต้องเดินทางกว่า 100 กิโลเมตร เข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลจังหวัดทั้งที่บางครั้งไม่มีความจำเป็น” นางจรรยา กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2556

6801
 ปลัด สธ.เซ็นประกาศใช้ P4P พร้อมส่งคู่มือแนวทางปฏิบัติให้ทุกโรงพยาบาล “หมอสุพรรณ” ย้ำหากการจัดพื้นที่ 4 ระดับไม่เหมาะสม สามารถอุทธรณ์ได้ถึง 19 เม.ย.นี้ เชื่อแพทย์ รพช.ยังมีจรรยาบรรณไม่ทิ้งคนไข้
       
       วันนี้ (5 เม.ย.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับวิธีจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรสาธารณสุขเป็นแบบผสมผสาน ระหว่างการจ่ายด้วยค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามพื้นที่ และการจ่ายตามแบบภาระงาน (P4P : Pay for Performance) ว่า คาดว่าวันนี้ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.จะลงนามประกาศใช้ค่าตอบแทนตามภาระงาน ซึ่งจะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2556 เป็นต้นไป เมื่อลงนามแล้วก็จะส่งประกาศดังกล่าวพร้อมหลักเกณฑ์ P4P ซึ่งเป็นคู่มือการปฏิบัติงานไปยังโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การแบ่งพื้นที่โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) เป็น 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่ปกติ พื้นที่เฉพาะระดับ 1 และพื้นที่เฉพาะระดับ 2 ซึ่งได้ประกาศรายชื่อโรงพยาบาลตามพื้นที่ไปแล้ว หากโรงพยาบาลใดคิดว่าไม่เหมาะสม ขอให้อุทธรณ์เข้ามายังกระทรวงพร้อมเหตุผล ภายในวันที่ 19 เม.ย.นี้
       
       “หลังได้รับข้อมูลจะมีการตั้งคณะกรรมการจัดสรรพื้นที่ขึ้นใหม่ ประกอบด้วย สธ. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ตัวแทนหน่วยบริการต่างๆ ชมรมต่างๆ รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เป็นคณะกรรมการตามมติ ครม.จะทบทวนอีกครั้งหนึ่งตามที่อุทธรณ์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็ถือว่าปฏิบัติตามนั้น” รองปลัด สธ.กล่าว
       
       นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สธ.จะจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ4 ภาค เพื่อดูว่าแต่ละพื้นที่มีปัญหาอย่างไร โดยจะมีทีมคณะนักวิชาการไปให้คำแนะนำ เช่น กำหนดค่างานอย่างไร จะเก็บคะแนนอย่างไร จ่ายค่าตอบแทนอย่างไร ซึ่งต้องขอร้องน้องๆ ในหน่วยบริการทุกระดับ ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียควรที่จะเข้ามาร่วมรับฟัง
       
       ผู้สื่อข่าวถามถึงการเตรียมหยุดงานของแพทย์ใน รพช. นพ.สุพรรณ กล่าวว่า การหยุดงานตามปกติจะต้องมีการหาคนมาอยู่เวรแทน แต่หากโรงพยาบาลใดมีบุคลากรหยุดเยอะ ทาง สสจ.ก็จะมีการจัดบุคลากรข้าไปเสริม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนมีความรับผิดชอบ และยังคงเชื่อในจรรยาบรรณวิชาชีพของแพทย์ พยาบาล เภสัชกร หรือทุกๆ วิชาชีพว่าไม่กล้าทิ้งคนไข้ ส่วนการลาคือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการปรับวิธีจ่ายค่าตอบแทนเท่านั้น
       
       เมื่อถามถึงการออกแถลงการณ์ของแพทย์ชนบทแต่ละภาค จะเป็นการสร้างความแตกแยกและทำให้ประชาชนกังวลหรือไม่ นพ.สุพรรณ กล่าวว่า จากการที่ได้ไปชี้แจงเรื่องนี้ผ่านสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย พบว่าเสียงสะท้อนดีมาก ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ต่างโทร.เข้ามาให้กำลังใจ โดยเรื่องในกระทรวงก็ขอให้คุยกัน แต่อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่ง สธ.ยืนยันว่าประชาชนต้องไม่เดือดร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กระบวนการต่างๆ ก็แสดงออกได้ตามสิทธิและหน้าที่ อย่างตนในฐานะผู้บริหารก็ต้องทำตามมติ ครม.
       
       นพ.สุพรรณ กล่าวถึงเกณฑ์การคิดคะแนน P4P ที่ รพช.ห่วงว่าจะมีปัญหา ว่า ขณะนี้รายละเอียดต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เพราะมีกรรมการหน่วยบริการ กรรมการระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับกระทรวง ร่วมกำหนดแนวทาง โดยให้แต่ละโรงพยาบาลตกลงภายในกันเองว่าควรคิดคะแนนอย่างไรในระหว่างวิชาชีพ ซึ่งแต่ละวิชาชีพควรมีอัตราขั้นต่ำเท่าไร ตรงนี้หน่วยบริการจะรู้ดีที่สุดว่าโรงพยาบาลมีงานอะไรบ้าง และทำมากน้อยเพียงใด ส่วนเรื่องการแย่งทำแต้มนั้น อย่าคิดว่าเป็นแค่การรักษาพยาบาลผู้ป่วย เพราะยังมีงานส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การทำงานในพื้นที่ หรืองานคุ้มครองผู้บริโภค ก็นับว่าเป็นแต้มทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่แพทย์ชุมชนจะทำงานสู่ชาวบ้าน ที่สำคัญยังมีการถ่วงดุลด้วยเรื่องของคะแนนคุณภาพด้วย อย่างไรก็ตาม แต่ละวิชาชีพจะมีมาตรฐานอยู่แล้ว หากไม่เป็นไปตามมาตรฐาน สภาวิชาชีพก็ต้องพิจารณากันเอง สำหรับการบันทึกภาระงานสามารถตรวจสอบได้ เพราะจะมีกรรมการคุณภาพโรงพยาบาล ซึ่งมาจากทุกวิชาชพร่วมกันตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าจริงหรือไม่ หากไม่จริงกรรมการหน่วยบริการก็ต้องจัดการ แต่ถ้าไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องให้ระดับจังหวัด ระดับเขต หรือระดับกระทรวงจัดการตามลำดับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2556

6802
“หมอทศพร” สวน “หมอชูชัย” กล่าวว่ารัฐสภาถูกลากจูงโดยผู้นำโรคจิต งัดจรรยาแพทย์เตือนไม่ควรกล่าวหาใครป่วย ยัน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
       
       นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 (ส.ส.ร.) ร่วมลงชื่อต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 157 ว่า การกู้เงินดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา เช่น ปี 2511, 2517, 2521, 2540 เป็นต้น ก็มีการระบบบทบัญญัตินี้เช่นกัน และรัฐบาลในช่วงนั้นก็มีการกู้เงินเหมือนกัน โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยออก พ.ร.ก.กู้เงินเมื่อปี 2552 เนื่องจากบทบัญญัติกำหนดว่า ให้จ่ายเงินแผ่นดินได้เฉพาะที่อนุญาติไว้ในกฎหมายวิธีงบประมาณ หรือตามอำนาจที่มี่อยู่ในกฎหมายอื่น ซึ่ง พ.ร.บ.เงินกู้/ล้านล้านบาท ก็อยู่ในหมวดกฎหมายอื่นดังนี้
       
       ส่วนที่ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ อดีต ส.ส.ร.50 ระบุว่ารัฐสภาถูกลากจูงโดยผู้นำที่เป็นผู้ป่วยโรคจิตนั้น โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ตนขอเรียกร้องว่าเป็นสิทธิ์ของทั้ง ส.ส.ร.ที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่อยากให้ปฏิบัติอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ โดยเฉพาะ นพ.ชูชัย ตนในฐานะที่เป็นแพทย์เช่นกัน โดยจรรยาของแพทย์ไม่ควรกล่าวหาว่าใครป่วยหรือกล่าวหาคนนั้นคนนั้น เป็นคำพูดที่ไม่สมควร นพ.ชูชัย และ ส.ส.ร.คนอื่นๆ เป็นผู้มีความสามารถ อยากให้ใช้ความสามารถในทางที่ถูก และใช้ความสามารถในทางโวหารทางการเมืองให้มีถ้อยคำที่สุภาพมากว่าใช้ถ้อยคำที่ทำลายให้สูญเสียภาพลักษณ์

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2556

6803
ฝนตกถนนลื่น ตำรวจทางหลวงหาดใหญ่ขับรถไปงานแต่งที่พัทลุง แหกโค้งดับ 1 เจ็บ 1 ที่ อ.เขาชัยสน และห่างไปอีก 3 กม. ตำรวจพัทลุงซิ่งรถตราโล่เหาะข้ามเลนชนรถชาวบ้าน ทั้งตำรวจ-ชาวบ้าน บาดเจ็บรวม 13 ราย
       
       วันนี้ (5 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า เมื่อเวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาชัยสน จ.พัทลุง รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์กระบะชนต้นไม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ โดยเหตุเกิดบนถนนสายเอเชีย ช่วงพัทลุง-หาดใหญ่ ท้องที่ 2 ต.เขาชัยสน หลังรับแจ้งจึงรุดสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพัทลุง
       
       ในที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะวีโก้ สีดำ หมายเลขทะเบียน กน 4684 สงขลา ชนอัดกับต้นไม้ข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อคือ ด.ต.สุจินต์ ไม่ทราบนามสกุล สังกัดตำรวจทางหลวงหาดใหญ่ และมีผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย ทราบชื่อคือ พ.ต.ต.จุรินทร์ ด้วงเมือง สารวัตรงานธุรการ สภ.เมือง นราธิวาส ซึ่งเป็นคนขับรถคันดังกล่าว
       
       จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดขณะผู้ตายขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวมาจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อไปร่วมงานแต่งของลูกน้องที่ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้ง ฝนตกถนนลื่นจนทำให้รถเสียหลักชนต้นไม้ จนเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ
       
       ต่อมา ในเวลาไล่เลี่ยกันประมาณ 20 นาที ทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถยนต์ ตราโล่ สีขาวแดง ของ สภ.เกาะนางคำ พัทลุง ข้ามเลนไปชนรถยนต์กระบะชาวบ้านที่วิ่งสวนมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 ราย โดยเหตุเกิดบนถนนสายเอเชีย ช่วงพัทลุง-หาดใหญ่ กม.ที่ 40 ท้องที่ ม.7 ต.เขาชัยสน ห่างจากจุดแรกประมาณ 3 กม. จึงประสานเจ้าหน้าที่ที่หน่วยกู้ภัยพัทลุง เร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
       
       โดยในที่เกิดเหตุ พบรถยนต์ตราโล่ สีขาวแดง หมายเลขทะเบียน ญร 2872 กทม. พลิกคว่ำข้ามเลนไปอีกฝั่ง มีตำรวจได้รับบาดเจ็บติดในรถ 4 ราย จึงได้ช่วยกันนำออกมาจากรถ เบื้องต้นทราบชื่อ 1 ราย คือ พ.ต.ต.เมชิน สุขแก้ว สารวัตรเวร สภ.เกาะนางคำ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนตำรวจอีก 3 ราย ยังไม่ทราบชื่อ ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
       
       นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านที่โดยสารมากับรถยนต์กระบะโตโยต้า สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บธ 9184 ตรัง ได้รับบาดเจ็บอีก 8 ราย มีทั้งเด็ก และผู้หญิง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้ช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลเขาชัยสน และโรงพยาบาลตะโหมด ทราบชื่อเบื้องต้นคือ นางสมใจ คงอินทร์ อายุ 44 ปี นายใหม่ กองปาน อายุ 36 ปี นายณพล สีสุนน อายุ 42 ปี และนางจันทิมา วงวร อายุ 42 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.ตรัง
       
       จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะนางคำ ได้กลับจากการซ้อมแผนปราบจลาจลที่กองบังคับการตำรวจภูธรพัทลุง และขับมาด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง ฝนตกทำให้ถนนลื่น รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำข้ามเลนไปชนกับรถชาวบ้านที่วิ่งสวนมา จนได้รับจาดเจ็บ 12 รายดังกล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2556

6804
นายอิสรา ทองธวัช รองผู้ว่าฯ ยะลา เสียชีวิตแล้ว ที่ รพ.ยะลา หลังแพทย์พยายามยื้อชีวิตจนสุดความสามารถ ด้านตำรวจเชื่อเป็นฝีมือของกลุ่มนายมะกะตา อาลีมามะ ลงมือก่อเหตุสร้างเหตุรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
       
       ความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถคณะรองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ (5 เม.ย.) ที่บริเวณริมถนนสาย 410 (บันนังสตา-บาตูตาโมง) หมู่ 5 บ.กาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ที่เกิดเหตุพบรถยนต์โตโยต้า รุ่นแคมรี่ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 1 กว 8493 กรุงเทพมหานคร ในสภาพถูกแรงระเบิดพังยับเยิน โดยในร่องน้ำริมถนน พบศพผู้เสียชีวิตทราบชื่อคือ นายเชาวลิตร ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบันนังสตา ทราบชื่อคือ นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ฝ่ายความมั่นคง และนายสตอปา เจะเลาะ พนักงานขับรถ โดยทั้ง 2 รายได้รับบาดเจ็บสาหัส
       
       ทั้งนี้ ในที่เกิดเหตุห่างจากตัวรถประมาณ 40 เมตร เจ้าหน้าที่พบหลุมที่เกิดจากแรงระเบิดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังพบเศษสายไฟลากยาวประมาณ 100 เมตร เข้าไปในเนินริมถนน ในเบื้องต้นเชื่อเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่องน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20 กก. ที่คนร้ายนำมาซุกเอาไว้ในท่อน้ำลอดใต้ผิวถนน จุดชนวนด้วยระบบแบตเตอรี่
       
       จากการสอบสวนทราบว่า ในขณะที่นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมด้วย นายเชาวลิตร ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา กำลังเดินทางไปร่วมงาน เทศกาลไก่เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยมีนายสตอปา เจะเลาะ เป็นพนักงานขับรถ และมีเจ้าหน้าที่ อส. และเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ยะลา 15 ขับรถยนต์ติดตาม เพื่อรักษาความปลอดภัย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายที่คาดว่าได้นำระเบิดเอามาซุกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อเป็นฝีมือของกลุ่ม นายมะกะตา อาลีมามะ แกนนำกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ที่ต้องการสร้างสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
       
       ล่าสุด เมื่อ เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ที่บนถนนสาย 410 (บันนังสตา-บาตูตาโมง) หมู่ 5 บ.กาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยหลังจากถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลบันนังสตา แพทย์ได้ทำการช่วยเหลือชีวิตอย่างเต็มที่ แต่นายอิศรา ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลยะลา
       
       สำหรับศพของ นายเชาวลิตร ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกันนี้ มีกำหนดรดน้ำศพที่วัดเมืองยะลา ในวันพรุ่งนี้ (6 เม.ย.) เวลา 10.00 น. ส่วนศพของ นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา อยู่ในระหว่างการประสานงานกับทางญาติว่าจะจัดพิธีรดน้ำศพที่ จ.ยะลา หรือที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2556

6805
เด็ก 3 ขวบติดในรถรับ-ส่งนักเรียน นาน 4 ชั่วโมง คนขับรถเปิดประตูบานเลื่อนถึงกับผงะ เด็กนอนสลบอยู่ รีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ระบุขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน ดูอาการในไอซียูใกล้ชิด...

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2556 พ.ต.อ.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผกก.สภ.บางปู พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุทธิชน ธงชัยภูมิ พนักงานสอบสวน (สบ2) สภ.บางปู เข้าตรวจสอบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า คอมมิวเตอร์ หมายเลขทะเบียน ฮต 3759 กทม. ซึ่งจอดอยู่ภายในโรงเรียนอนุบาลอนงค์เวท เลขที่ 146 หมู่ 2 ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังจากเกิดเหตุ ด.ญ.มนัสนันท์ ทองภู่ หรือ "น้องเอย" อายุ 3 ขวบเศษ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนดังกล่าว ติดอยู่ในที่นั่งรถตู้รับ-ส่งของโรงเรียน เป็นเวลานานกว่า 4 ชม. จนขาดอากาศหายใจและเป็นลมหมดสติ ก่อนที่คนขับรถจะมาพบและนำตัวส่ง รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ แล้วส่งไปรักษาต่อที่ รพ.กรุงเทพ เหตุเกิดเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เชิญ น.ส.ดาวรอง ศรีสุมัง อายุ 37 ปี ครูพี่เลี้ยงชั้นอนุบาล 1 ซึ่งรับว่าเป็นคนปิดประตูรถตู้ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนเปิดการเรียนพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก ก่อนจะเปิดการเรียนการสอนจริงในเดือน พ.ค. ตน และนายสันติภาพ หวานใจ หรือครูเปิ้ล อายุ 35 ปี ซึ่งทำหน้าที่ขับรถ ได้ตระเวนไปรับเด็กนักเรียนตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งรับมาทั้งหมด 13 คน มาถึงลานจอดรถของโรงเรียนเวลาประมาณ 09.45 น.

หลังจากนั้น ตนก็เปิดประตูให้เด็กๆ ทยอยลงจากรถทีละคน แล้วให้เดินต่อแถวกันเข้าโรงเรียน ซึ่งตนก็เห็นว่าเด็กลงจากรถมาแล้ว ระหว่างนั้นมีเด็กนักเรียนอีกคนมีอาการเมารถและอาเจียน ตนจึงพาไปล้างตัว ทำความสะอาดให้ ขณะเดียวกัน ก็มีเด็กอีกหลายคนที่กำลังเดินต่อแถวเข้าโรงเรียนร้องไห้งอแงหาผู้ปกครอง ระหว่างนั้นเป็นช่วงที่ชุลมุน ตนก็มัวแต่ดูแลเด็ก จึงไม่ได้สังเกตว่าน้องเอยเดินกลับขึ้นไปบนรถอีก ด้วยความเร่งรีบตนจึงปิดประตูรถ ก่อนจะพาเด็กทั้งหมดไปส่งที่ห้องเรียน

จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 4 ชม. ประมาณ 13.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเตรียมเลิกเรียนกลับบ้าน นายสันติภาพก็เดินไปที่รถตู้คันดังกล่าว เพื่อเตรียมไปส่งเด็กกลับบ้าน พอเปิดประตูเลื่อนด้านข้างก็เห็นน้องเอยนอนหมดสติอยู่ที่เบาะหลังรถ นายสันติภาพกับตนจึงช่วยกันนำตัวส่ง รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ พร้อมทั้งติดต่อให้ผู้ปกครองน้องเอยทราบ แต่แพทย์ รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ เห็นว่าอาการค่อนข้างหนักเพราะขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน และทางโรงพยาบาลไม่มีความพร้อมในการรักษา จึงส่งตัวไปให้แพทย์เฉพาะทางที่ รพ.กรุงเทพ รักษาและนำตัวเข้าห้องไอซียู

ด้านนางรัตนา นครโสภา อายุ 34 ปี แม่ของน้องเอย กล่าวว่า ขณะนี้ น้องเอยยังอยู่ในห้องไอซี แพทย์ระบุว่าอาการดีขึ้น แต่ยังมีอาการชักเกร็งบางครั้ง ระหว่างนี้ต้องให้น้องเอยทำการรักษาและรอดูอาการอยู่ในห้องไอซียูอีกประมาณ 2 อาทิตย์ โดยมีแพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ นางยุวรส คีรีวงศ์ ผอ.ร.ร.อนุบาลอนงค์เวท กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุ ทางโรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด และพร้อมรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เบื้องตนได้มอบเงินค่ารักษาพยาบาลให้น้องเอย เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่เหลือทางโรงเรียนก็พร้อมจะรับผิดชอบทั้งหมดเช่นกัน

ส่วน พ.ต.ท.สุทธิชน พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กล่าวว่า ได้สอบปากคำ น.ส.ดาวรอง ซึ่งให้การเป็นประโยชน์ ส่วนในคดียังไม่ได้แจ้งข้อหา โดยจะเรียกคนขับรถ ผู้บริหารโรงเรียน และครูประจำชั้น อีก 4-5 คนมาสอบปากคำ เพื่อพิจารณาว่าใครเป็นผู้ที่เข้าข่ายกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้เด็กได้รับบาดเจ็บ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์ 4 เมย 2556

6806
กรมควบคุมโรค ชู “ยางล้อรถกันยุง” จากสุโขทัย นวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นสกัดการเพาะพันธุ์ยุงลายและโรคไข้เลือดออก ชี้เป็นการนำของที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่อย่างมีคุณค่า ส่งผลมีผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมเพียง 60 ราย
       
       วันนี้ (1 เม.ย.) นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ดูงานป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่ ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย พบว่า เป็นชุมชนต้นแบบปลอดลูกน้ำยุงลาย เนื่องจากมีนวัตกรรม “ยางล้อรถกันยุง” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการป้องกันยุงลายเข้าไปวางไข่ตามโอ่งน้ำและภาชนะใส่น้ำขนาดใหญ่ต่างๆ สามารถตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ โดยพบว่ายุงลายตัวเมีย 1 ตัวสามารถไข่ได้ 4-6 ครั้ง ครั้งละ 50-150 ฟอง ตกแล้วมีลูกได้ถึง 500 ตัว
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นวัตกรรมนี้สามารถทำแบบง่ายๆ ดังนี้ 1.ยางนอกรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดครอบปากโอ่งน้ำได้ 2.ผ้ามุ้ง ผ้าขาวบาง หรือผ้ารี่ เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าวงล้อยางรถ และ 3.เรียวไม้ไผ่ หรือไม้ไผ่เหลาให้อ่อนพอโค้งงอได้ ส่วนการประกอบให้นำล้อรถวางในแนวราบ แล้วปูผ้ามุ้ง หรือผ้าขาวบางทับวงล้อ จากนั้นโค้งเรียวไม้ไผ่จนดันชายผ้ามุ้งเข้าไปในวงล้อให้ไม้เรียวแทนที่ยางในรถ นับเป็นการเปลี่ยนวัสดุที่เคยเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ให้เป็นวัสดุในการป้องกันการเพาะพันธุ์ และนำของที่ไม่ใช้แล้วให้กลับมามีคุณค่าหรือนำกลับมาใช้ใหม่ สามารถเติมน้ำหรือรองน้ำฝนตามชายคาบ้าน หรือรองน้ำประปา โดยไม่ต้องเปิดฝา ช่วยกรองผง หรือป้องกันแมลง จิ้งจกหรือหนูตกลงไป ที่สำคัญทำง่าย หาง่าย และประหยัด
       
       ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย ไชยมหาพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในพื้นที่เครือข่ายบริการที่ 2 ข้อมูลตั้งแต่ 1 ม.ค.-27 มี.ค. 2556 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก จำนวน 622 ราย พบที่พิษณุโลก 196 ราย เพชรบูรณ์ 155 ราย ตาก 106 ราย อุตรดิตถ์ 105 ราย และสุโขทัย 60 ราย แต่ทุกจังหวัดไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต ซึ่งการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกไม่ให้ระบาดนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ และประชาชน เร่งกำจัดลูกน้ำยุงลายอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ ทั้งในบ้านและพื้นที่สาธารณะ รวมถึงประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ประชาชนป้องกันตนเองไม่ให้ยุงลายกัด


ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2556

6807
เจ้าหน้าที่ สปสช.สวมเสื้อดำ “ปกป้องธรรมาภิบาล” รับ “หมออรรถสิทธิ์” เข้าทำงานรองเลขาธิการวันแรก ข้องใจมีทหารคนสนิทติดตาม 2 คน
       
       วันนี้ (1 เม.ย.) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กทม. นพ.พิเชฏฐ ลีละพันธ์เมธา ผอ.สปสช.เขต 7 ขอนแก่น ได้บรรยายพิเศษเรื่อง “ธรรมาภิบาลและสถานการณ์ สปสช.ในปัจจุบัน” ในกิจกรรมเลือกตั้งชมรมรักษ์ สปสช.ภายใต้ชื่องาน “ร่วมปกป้องธรรมาภิบาล ต่อต้านการแทรกแซง” โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า สปสช.เป็นองค์กรที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นด้านหลัก คือ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้คนไทยทุกคนได้รับอย่างเสมอภาคกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย การทำงานที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ความทุ่มเท และรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เจตนารมณ์ของ สปสช.คือการเลือกข้างประชาชน ดังนั้นถ้าจะมีสิ่งใดหรืออะไรมาแทรกแซงและจะส่งผลทำให้เจตนารมณ์นี้เปลี่ยนไป ส่งผลทำให้ระบบหลักประกันสุขาพถ้วนหน้ามีปัญหา เจ้าหน้าที่ สปสช.ก็จะช่วยกันปกป้อง และพัฒนาไปสู่องค์กรที่มีสมรรถนะต่อ
       
       “การแสดงออกของชาว สปสช.ในครั้งนี้ มิได้มีเจตนาเพื่อต่อต้านใครเป็นเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการแสดงออกตามสิทธิที่พึงทำได้ เพื่อให้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการพิทักษ์ปกป้องหลักธรรมมาภิบาล และยึดมั่นในอุดมการณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ว่าสปสช.จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ตาม” นพ.พิเชฎฐ กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานดังกล่าว นพ.อรรถสิทธิ์ กาญจนสินิทธ์ รองเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ ซึ่งเข้ามาทำงานในวันนี้เป็นวันแรก ได้ร่วมรับฟังในงานด้วย โดยมีทหารคนสนิทติดตามมานั่งหน้าห้อง 2 คน เป็นทหารจากกองทัพบก และทหารอากาศ จนเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ สปสช.วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างมาก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช.มีผู้ติดตามเป็นทหารถึง 2 คน ที่ผ่านมาไม่มีวัฒนธรรมว่าต้องมี ทส.ติดตามถึง 2 คน อย่างไรก็ตาม มีพนักงานและเจ้าหน้าที่ได้แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีดำ พร้อมระบุข้อความด้านหน้าว่า “ปกป้องธรรมาภิบาล” จากชมรมรักษ์ สปสช.ด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2556

6808
 กรมเจรจาฯ-กรมทรัพย์สินทางปัญญา รวมหัวเสนอแก้ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบยาแห่งชาติ ทั้งการเข้าถึงยา และ กม.ในการพัฒนาระบบยา เอื้อการเจรจา FTA ไทย-ยุโรป ด้าน กพย.ห่วงกระทบ ปชช. อุตสาหกรรมยาในประเทศง่อย ต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น
       
       ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวถึงกรณีสำนักนายกรัฐมนตรีเรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยา ซึ่งมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในที่ประชุม ว่า ขณะนี้เท่าที่ทราบคือ ในที่ประชุมกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการเสนอเรื่องขอให้แก้ไขยุทธศาสตร์พัฒนาระบบยาแห่งชาติ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.การเข้าถึงยา 2.การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยา ชีววัตถุ และสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง และ 4.การพัฒนาระบบการควบคุมยาเพื่อประกันคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของยา ซึ่งจะเป็นแผน 5 ปี ระหว่างปี 2555-2559 โดยจะขอแก้ไขในเรื่องของการเข้าถึงยา การควบคุมราคายา และกฎหมายในการพัฒนาปรับปรุงเกี่ยวกับยา ทั้ง ร่าง พ.ร.บ.ยา ของ กพย.และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีการเสนอเกี่ยวกับโครงสร้างราคายาด้วย
       
       ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวอีกว่า ที่กรมเจรจาฯ และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ต้องการแก้ไขในเรื่องนี้ เพราะเดิมกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนดควบคุมราคายา แต่ไม่สามารถควบคุมราคาได้อย่างแท้จริง เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดราคากลางยา เชื่อว่าทำให้กระทรวงพาณิชย์ถูกบีบจากภาคอุตสาหกรรมในเรื่องของการผูกขาดทางด้านยา จากการเตรียมการเจรจาการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งมีข้อห่วงกังวลในเรื่องของข้อตกลงที่อาจเกินไปกว่าทริปส์พลัส การผูกขาดข้อมูลทางด้านยา และการขยายสิทธิบัตรออกไปอีก 5 ปี รวมเป็น 25 ปี
       
       “หากในที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้มีการแก้ไขถือว่าแย่มาก เพราะจะส่งผลต่อการเข้าถึงยาของประชาชน และเกิดการผูกขาดทางด้านยา มีผลต่ออุตสาหกรรมยาภายในประเทศ ทำให้ต้องนำเข้ายาจากต่างประเทมากขึ้น ทั้งที่ปัจจุบันก็มีการนำเข้ายาเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว” ผูจัดการ กพย.กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2556

6809
 “หมอประดิษฐ” ปฐมนิเทศแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชฯ ใช้ทุน ยันไม่ตัดเบี้ยเลี้ยง แต่จ่ายแบบผสมผสาน โต้แพทย์ชนบทให้ข่าวแพทย์ลาออก เพราะเปลี่ยนวิธีจ่ายค่าตอบแทน ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ด้านหมอฟันถอดด้ามจับกลุ่มสวมปลอกแขนดำคัดค้าน P4P
       
       วันนี้ (1 เม.ย.) ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีปฐมนิเทศแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2556 ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ และต้องทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลสังกัด สธ.จำนวน 2,640 คน แบ่งเป็นแพทย์ 1,755 คน จำนวนนี้เป็นแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท 664 คน ทันตแพทย์ 535 คน และเภสัชกร 350 คน เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องความรู้และความเข้าใจภาระงานที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล และ สธ.
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า ขณะนี้ สธ.ยังมีปัญหาเรื่องการกระจายตัวของบุคลากร อย่างแพทย์มีความต้องการแบบเต็มระบบคือ 13,764 คน แต่มีในระบบ 13,266 คน ทันตแพทย์ต้องการ 7,444 คน มีเพียง 4,123 คน ขาดอีก 2,774 คน เภสัชกรต้องการ 7,051 คน มีเพียง 5,814 คน ขาดอีก 1,237 คน และพยาบาลต้องการมากถึง 111,168 คน แต่มีเพียง 64,655 คน ขาดอีก 46,513 คน นับเป็นสาขาที่ขาดแคลนมากที่สุด ทำให้บางพื้นที่ต้องดูแลประชากรมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งที่สัดส่วนที่ควรจะเป็น อย่างแพทย์คือ 1 คนต่อประชากร 5,000 คน ทันตแพทย์คือ 1 คนต่อ 10,000 คน

       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า สำหรับการเปลี่ยนวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจยังสื่อสารได้ไม่ดีพอ ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการตัดเบี้ยเลี้ยงทั้งหมด ซึ่งจากนี้จะเร่งทำความเข้าใจโดยการสื่อสารผ่านตัวบุคคลว่า เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเป็นเครื่องมือที่ดึงแพทย์ให้อยู่ในระบบ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในพื้นที่มานาน ซึ่งเงินดังกล่าวต้องนำมาจากเงินบำรุงของโรงพยาบาล ทำให้บางครั้งเกิดปัญหาเงินบำรุงไม่เพียงพอ สธ.จึงต้องของบกลางที่บางครั้งก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จึงเปลี่ยนเป็นการของบแบบรายปีจำนวน 3,000 ล้านบาท มาช่วยเสริม โดยเงินดังกล่าวจะคิดเป็นแบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเฉพาะพื้นที่ห่างไกล และบวกตามภารกิจภาระงาน (P4P : Pay for Performance) จึงอยากให้เข้าใจว่าไม่ได้ยกเลิกแต่เป็นการผสมผสาน
       
       “หลังจากผ่านมติ ครม.ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การทำ P4P หากในอนาคตภาระงานเพิ่มกระทรวงสามารถของบประมาณเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่จะทำให้งบประมาณเกิดความมั่นคง” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการปฐมนิเทศ ว่า มีนักศึกษาทันตแพทย์จบใหม่กลุ่มหนึ่งประมาณ 20-30 คน สวมปลอกแขนดำเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงาน โดยหนึ่งในนั้นกล่าวว่า เกณฑ์แบบใหม่ของ สธ.ไม่ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพ และประชาชนไม่น่าจะได้ประโยชน์จากวิธีนี้ เพราะเป็นการเน้นเรื่องจำนวนครั้งกับเวลา เช่น คนไข้มาและสามารถตรวจได้กี่คน หากมามากก็ได้แต้มมาก จึงมองว่าเรื่องดังกล่าวประกาศใช้เร็วเกินไป ควรสอบถามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การสวมปลอกแขนดำ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นว่า P4P ยังมีปัญหา และควรทำความเข้าใจให้ตรงกันอย่างรอบด้านก่อนประกาศใช้
       
       เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นพ.ประดิษฐ ถึงกรณีดังกล่าว นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า เป็นเพียงการแสดงออกก่อนที่จะได้รับฟังและทำความเข้าใจ เชื่อว่าหลังจากที่ตนได้อธิบายทุกฝ่ายจะเข้าใจมากขึ้น รวมทั้งนักศึกษาจบใหม่ด้วย ส่วนกรณีการลาออกที่แพทย์ชนบทออกมาระบุว่า เกิดจากการปรับวิธีการจ่ายค่าตอบแทนนั้นต้องมีการพิสูจน์ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร เพราะตามปกติการลาออกต่อปีนั้น ส่วนใหญ่แพทย์จะไปศึกษาต่อหรือเปลี่ยนไปทำภาคเอกชน คงต้องเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อความเป็นธรรม
       
       “ปกติมีแพทย์ลาออกจากระบบเพื่อศึกษาต่อ โอนสังกัดหน่วยงานอื่น และประกอบภารกิจส่วนตัว เฉลี่ยปีละ 600 คน โดยปี 2555 มีจำนวน 675 คน ขณะที่ปี 2556 ลาออกแล้ว 18 คน ส่วนใหญ่เป็นลาศึกษาต่อ และขอกลับมารับราชการใหม่หลังจากสำเร็จการศึกษาและฝึกอบรมความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ปีละประมาณ 100 คน” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า ตามมติ ครม.ยังมีความห่วงใยแพทย์ที่อาจได้รับผลกระทบ จึงให้ สธ.ไปคิดวิธีการช่วยเหลือในลักษณะการประกันค่าตอบแทนขั้นต่ำ หากพบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบโดยได้รับค่าตอบแทนลดลงโดยมีนัยสำคัญ ให้ สธ.พิจารณาและดำเนินมาตรการช่วยเหลือไม่ให้เดือดร้อน ซึ่งจากตารางเปรียบเทียบรายได้แพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานบริการระดับต่างๆ โดยรวมค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย แต่ยังไม่บวกเพิ่มด้วย P4P ยกตัวอย่าง เฉพาะโรงพยาบาลชุมชนเมือง 33 แห่ง พบว่า แพทย์ที่ทำงานปีที่ 1-3 เดิมได้รับค่าตอบแทน 42,600 บาท ใหม่ได้ 42,600 บาทต่อเดือน ปีที่ 4 เดิมได้ 60,960 ใหม่ได้ 52,960 บาท ปีที่ 11 เดิมได้ 87,700 บาท ใหม่ได้ 77,700 ปีที่ 21 เดิมได้ 126,200 บาท ใหม่ได้ 111,200 บาท ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับโดยไม่ได้บวกค่า P4P หากมีการนำมาบวก ค่าตอบแทนอาจไม่ลดลง แต่จะเพิ่มมากขึ้น
       
       “สำหรับเรื่องคุณภาพจะมีการนำมาคิดแบบ P4P ด้วย เช่น หากรักษาปกติรวมแล้วจะได้เงิน 1,000 บาท แต่หากรักษาโดยไม่มีโรคแทรกซ้อน ค่ารวมก็จะขึ้นมาอยู่ที่ 1,100 บาท แต่หากมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นภาระที่เกิดขึ้นก็เป็นของโรงพยาบาลที่ต้องรับผิดชอบเอง เป็นต้น” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.กล่าวว่า จากนี้ไปจะทำความเข้าใจพร้อมกันทุกฝ่าย ทั้งระดับบุคคลและพื้นที่ ผ่านผู้ตรวจราชการ สธ.นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับบุคลากรสาธารณสุขทุกคน ส่วนเรื่องการลาออกนั้น ตั้งแต่ปี 2550-ปัจจุบัน ทิศทางการลาออกยังเหมือนเดิม คือบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพลาออก ปีละ 600-700 คน สาเหตุส่วนใหญ่ไปศึกษาต่อและประกอบอาชีพส่วนตัว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2556

หน้า: 1 ... 452 453 [454] 455 456 ... 653