This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Topics - story
หน้า: 1 ... 387 388 [389] 390 391 ... 537
5821
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 21:57:45 »
ครม.ยังไม่เคาะงบบัตรทอง เตรียมถก 8 พ.ค.นี้ แต่บอร์ด สปสช.ยืนยันตัวเลข 2,939.73 บาทต่อคน ชี้หากได้เท่าเดิมอยู่ลำบากแน่
นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ครม.ปรับลดงบเหมาจ่ายรายหัวในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 4.9% จากที่เสนอขอไปว่า ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องงบเหมาจ่ายรายหัวเข้าสู่วาระการพิจารณาแต่อย่างใด ซึ่งหากมีการพิจารณาเรื่องนี้คงต้องผ่านตาตนบ้างในรายละเอียดนั้นตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้ดูหน่วยงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ขณะที่แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ สปสช.ระบุว่า งบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556 ได้มีการนำเสนอต่อ ครม.เมื่อวันที่1 พ.ค. เป็นการนำเสนองบประมาณภาพรวมทั้งประเทศ ทุกกระทรวง ทบวง กรม แต่เท่าที่ทราบจะมีการนำเสนอต่อ ครม.อีกครั้งในวันที่ 8 พ.ค.2556 ซึ่งจะเป็นการพิจารณาในรายละเอียด ดังนั้นตัวเลขงบเหมาจ่ายรายหัวที่นำเสนอผ่านสื่อขณะนี้จึงยังไม่สรุป
ทั้งนี้ ในการนำเสนองบประมาณเหมาจ่ายรายหัวนั้น ทาง สปสช.ได้นำเสนอไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2555 ที่อัตรา 2,939.73 บาทต่อคน แต่เมื่อนำเสนอเข้าครม.เมื่อวันที่1 พ.ค. กลับอยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อคน ซึ่งเป็นงบที่ได้เท่ากับงบถูกตัดหลังจากน้ำท่วมในปี 2555 โดยในงบปี 2555 ก่อนถูกปรับลดช่วงน้ำท่วมอยู่ที่ 2,895.60 บาทต่อคน ทั้งนี้ หากปี 2556 ได้งบประมาณที่ 2,755.60 บาทต่อคนจริง จะส่งผลกระทบต่อ รพ.อย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาทางอนุกรรมการด้านการเงินการคลังได้มีการคำนวณค่าใช้จ่ายที่ปรับเพิ่ม คือ 1.การเพิ่มค่าแรงตามนโยบายรัฐบาล 300 บาท และการปรับเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท 2.การว่าจ้างพยาบาลภาคใต้เพิ่มเติม 3,000 คน และจะมีการบรรจุเพิ่มเติมในปี 2555 โดยรวม 2 ส่วนนี้ประมาณการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนค่าตอบแทนทั้งในส่วน รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และ รพ.ชุมชน ตามค่าตอบแทนฉบับที่ 5-6-7 ที่ยังเป็นปัญหาอยู่รวม 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นทุกปีอยู่ที่ปีละ 6% ซึ่งเมื่อคิดโดยรวมทั้งหมดแล้ว เท่ากับงบประมาณปี 2556 ถูกปรับลดไปราว 15,000-20,000 ล้านบาท
ต่อข้อซักถามว่า หาก ครม.ยืนยันให้คงอัตรารายหัวที่ 2,755.60 บาท จะทำอย่างไร แหล่งข่าวบอร์ด สปสช.กล่าวว่า คงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะที่ผ่านมาการจ่ายค่ารักษาตามหลักเกณฑ์ดีอาร์จี สำนักงานประกันสังคมได้มีการปรับเพิ่มไปถึง 15,000 บาท สวัสดิการข้าราชการกำหนดที่ 12,000 บาท แต่ สปสช.อยู่ที่ 7,000-8,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีการเรียกร้องของกลุ่ม รพ.เอกชนที่ของเพิ่มค่าดีอาร์จีในส่วนของผู้ป่วยฉุกเฉินจากที่กำหนดไว้ 10,500 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการนำเสนองบ สปสช. โดยรวมนโยบายค่าแรงของรัฐบาลอยู่ที่ 155,666,287,200 บาท เป็นงบ สปสช.ไม่รวมนโยบายค่าแรง 151,716,081,900 บาท แยกเป็นงบอัตราเหมาจ่ายรายหัว 142,415,219,900 บาท (เป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 2,939.73 บาท คูณกับจำนวนประชากร 48,445,000 ล้านบาท) งบบริการสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 3,599,248,000 บาท งบบริการสุขภาพผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 4,416,668,100 บาท งบบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง 1,284,945,700 บาท.
ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555
5822
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2012, 21:55:40 »
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย น้ำหนักรวม 17,000 กิโลกรัม มูลค่ารวม 231 ล้านบาท ในจำนวนนี้มียาซูโดอีเฟดรีน 38 กิโลกรัม...
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเผาและบดทำลายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ประกอบด้วย อาหารเสริม ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ น้ำหนักรวมกันกว่า 17,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 231 ล้านบาท โดยของกลางทั้งหมดเป็นผลมาจากการทำงานเชิงรุก ของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอาหารและยา (อย.) ที่ได้จับกุมผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ในรอบปีที่ผ่านมา เช่น การจับกุมเว็ปไซต์ผิดกฎหมาย ที่มีการโฆษณาจำหน่ายยา วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ช่วยทำให้ผิวขาวใส หรือช่วยลดน้ำหนัก นอกจากนี้ ยังมีการนำยาซูโดอีเฟดรีน น้ำหนักรวมกันกว่า 38 กิโลกรัม มาร่วมเผาทำลายในครั้งนี้ด้วย
รมว.สธ. ระบุว่า จากของกลางทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีการลักลอบนำของกลาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้ ทาง อย.จะมีมาตรการเข้มงวดในการปราบปรามจับกุมมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ตกเป็นเหยื่อต่อไป.
ไทยรัฐออนไลน์ 4 พค 2555
5823
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:40:25 »
นักท่องเที่ยวรายหนึ่งที่สวนสัตว์อู่ฮั่นคึก ปาก้อนหินใส่ช้างแอฟริกันเล่น โดนช้างเอาคืนใช้งวงหยิบก้อนหินปาใส่นักท่องเที่ยวเล่นด้วยเช่นกัน ในบ่ายวันอาทิตย์(29 เม.ย.) หนุ่มชาวจีนคนหนึ่งที่เข้าชมสวนสัตว์อู่ฮั่น เกิดคึกคะนองปาก้อนหินไปใส่ฝูงช้างแอฟริกัน ช้างแอฟริกันตัวหนึ่ง ก็เดินไปที่ก้อนหินที่ตกอยู่ในทันที ใช้งวงหยิบก้อนหินปาคืนให้กลุ่มนักท่องเที่ยว ก้อนหินลอยข้ามตาข่ายสูงสามเมตร โดนศีรษะนักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ผู้คนรอบๆตกตะลึง เจ้าหน้าที่ได้รีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบ เคราะห์ดีที่ก้อนหินที่ช้างปาใส่โดนศีรษะนักท่องเที่ยวเป็นก้อนดิน ไม่ได้เจาะหนังศีรษะเลือดไหล เพียงเป็นรอยช้ำแดงๆ เจ้าหน้าที่ได้พานักท่องเที่ยวดวงซอยไปยังโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เผยว่าเป็นครั้งที่สองที่ช้างแอฟริกันที่สวนสัตว์อู่ฮั่นปาสิ่งของใส่นักท่องเที่ยว โดยครั้งแรกเกิดเมื่อปี 2550 นักท่องเที่ยวได้ปาหินใส่ช้างแอริฟกัน ช้างแอฟริกันก็ใช้วงวหยิบก้อนหินปาใส่คืนกลุ่มนักท่องเที่ยว โดนเด็กหญิงคนหนึ่งบาดเจ็บ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้ขึงตาข่ายสูงสามเมตรป้องกันเหตุขว้างปาสิ่งของใส่กัน อีกทั้งได้ติดป้ายเตือนมิให้นักท่องเที่ยว ห้ามปาสิ่งของใส่ช้าง เจ้าหน้าที่สวนสัตว์กล่าวว่าพฤติกรรมที่ไร้วัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวเช่น การปาสิ่งของหรือก้อนหิน เป็นการสอนให้ช้างนิสัยเสียตามไปด้วย ช้างเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก และมีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเราทำดีกับมัน มันก็ดีตอบ แต่ทำร้ายมัน มันก็ร้ายตอบเช่นกัน ดังเหตุการณ์น่าเศร้าสลดที่เคยเกิดขึ้นทั้งในและนอกประเทศ คนเลี้ยงช้างที่ทารุณกรรมสัตว์ ถูกช้างฟาดงวงฟาดงาใส่ หรือกระทืบตาย.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5824
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:37:31 »
ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขแจงความคืบหน้าซูโดฯ รพ.ดอยหล่อ-ฮอด เผยที่แรกรอผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ส่วนที่หลังต้องนัดใหม่หลังดีเอสไอเชิญตัวสอบ ระบุผู้ถูกกล่าวหามีเวลาหาหลักฐานพิสูจน์ตัวตามระเบียบ-หากไม่เคลียร์โดนลงโทษแน่ ชี้ยาหาย-แอบสั่งยาอาจมาจากหวังขายทำกำไรส่วนต่างราคา วันนี้ (3 พ.ค.) นายแพทย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดียาซูโดอีเฟดรีนที่โรงพยาบาลดอยหล่อ และโรงพยาบาลฮอด จ.เชียงใหม่ว่า จากการสอบสวนพบว่าเภสัชกรจากทั้งสองโรงพยาบาลอาจมีความผิดทางวินัยจากกรณีดังกล่าว ทั้งจากการแอบอ้างใช้ชื่อของโรงพยาบาลในการสั่งซื้อยา รวมทั้งการที่มียาหายไปจากคลังของโรงพยาบาล โดยกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อ จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงซึ่งแต่งตั้งโดยจังหวัดเชียงใหม่พบว่า จากเดิมที่คาดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงนั้น ปรากฏว่าจากการสืบสวนแล้วยังไม่พบความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด คงมีเพียงเภสัชกรเท่านั้นที่มีความผิดร้ายแรง ซึ่งคณะกรรมการกำลังรวบรวมข้อมูล ก่อนจะจัดทำบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐาน (สว.3) เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำข้อมูล พยานหลักฐานหรือพยานบุคคลมาชี้แจงต่อไป ส่วนกรณีของโรงพยาบาลฮอดนั้น พบว่ามีผู้ที่เข้าข่ายอาจมีความผิดหลายราย ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลซึ่งดูแลรับผิดชอบการเบิกจ่ายและควบคุมคลังยา ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานสอบทางวินัย โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนของจังหวัดได้แจ้งว่า พบว่าผู้อำนวยการมีความผิดในระดับไม่ร้ายแรง ส่วนเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้นมีความผิดขั้นร้ายแรง และได้มีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว นายแพทย์วิศิษฏ์กล่าวต่อไปว่า ตามกำหนดการเดิมในวันนี้จะมีการสรุปข้อมูลต่างๆ หลังที่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าให้ปากคำต่อทางดีเอสไอในวันพรุ่งนี้ จึงต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบทางวินัยได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด รวมทั้งจะแจ้งผู้ถูกกล่าวหาให้ส่งข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับพบว่าบางส่วนยังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ ในกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อนั้น หากพบว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาก็จะเสนอเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจลงโทษตามระเบียบของทางราชการ ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลฮอดนั้นจะนำเรื่องเสนอให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยทั้งสองกรณีจะต้องรอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงตามขั้นตอนก่อน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง นายแพทย์วิศิษฏ์ระบุว่า จากการสอบสวนกรณีของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง พบว่าผู้อำนวยการของโรงพยาบาลมีความผิดฐานเป็นผู้ลงนามในการจัดซื้อยาซูโดอีเฟดรีน แต่ในกระบวนการจัดซื้อยานั้นพบว่าเป็นอำนาจในการตัดสินใจของเภสัชกร ทำให้โทษที่อาจได้รับยังอยู่ในขั้นไม่ร้ายแรง ขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลฮอดยังพบด้วยว่าขั้นตอนในการสั่งซื้อยาจะไม่พบความผิดปกติ แต่กลับมียาหายไปจากคลังยาของโรงพยาบาล ซึ่งทำให้พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบมีความผิด รวมทั้งต้องพิจารณาถึงระบบการบริหารจัดการยา ทั้งการไม่นำยาเข้าระบบ หรือการลักลอบนำยาออกจากระบบด้วยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 กล่าวด้วยว่า ประเด็นของการลงโทษทางวินัยนั้นหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะลงโทษกันตามระเบียบ แต่ประเด็นที่คาดว่าจะเป็นที่สนใจมากกว่าคือยาซูโดอีเฟดรีนทั้งที่ถูกสั่งมาและที่หายไปจากคลังยานั้นถูกส่งไปไหน โดยที่โรงพยาบาลดอยหล่อมีตัวเลขคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 70,000 เม็ด ขณะที่โรงพยาบาลฮอดมี 50,000 เม็ด ซึ่งหากพิจารณาจากปริมาณยาที่หายไปจะพบว่าไม่สูงมากนัก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ใช่การลักลอบขายยาให้ผู้ผลิตยาเสพติดโดยตรง แต่อาจเป็นการแสวงหากำไรจากส่วนต่างของราคายาของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มผู้ที่ทำการรวบรวมยาส่งให้ผู้ผลิตยาเสพติดอาศัยโอกาสดังกล่าวในการรวบรวมยาซูโดอีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจำเป็นจะต้องมีการติดตามสืบหาข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอที่จะดำเนินการต่อไป
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5825
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:35:50 »
ลูกเห็บตก สธ.หลังฝนตกช่วงกลางวัน ที่ผ่านมา ปลัด สธ.เตือนประชาชนเก็บลูกเห็บกิน เสี่ยงติดเชื้อจากดิน หรือพื้นไม่สะอาด ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ชี้ ลูกเห็บไม่มีผลในการป้องกันการเจ็บป่วย วันนี้ (3 พ.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 12.30 น.ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เกิดฝนตกและลมกระโชกแรงอย่างหนัก พร้อมมีลูกเห็บขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตรตกลงมาด้วย สร้างความแตกตื่นให้แก่บรรดาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังอยู่ในช่วงพักกลางวัน เก็บลูกเห็บหน้าลานอาคารสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นมาดู และวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เนื่องจากตลอดช่วงเช้ายังมีแดดร้อนจัด แต่พอตกเที่ยงกลับมีลูกเห็บตกลงมา นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่มีลูกเห็บตกลงมา และมีประชาชนบางกลุ่ม มีความเชื่อว่า หากกินลูกเห็บแล้ว จะทำให้ไม่เจ็บป่วยนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่มีการพิสูจน์ยืนยันทางวิทยาศาสตร์ และยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่อยู่บนพื้นดิน พื้นถนนอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ ทั้งนี้ วิธีการที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ประชาชนจะต้องหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มการกินผักผลไม้ไห้ได้อย่างน้อยวันละ 4 ขีด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5826
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:34:55 »
ยอดรวมคืนยา 13 ล้านเม็ด อย.ย้ำส่งคืนเส้นตาย 3 พ.ค.ฝ่าฝืนโทษหนักสูงสุด 20 ปี ปรับหนัก 4 แสนบาท วานนี้ (3 พ.ค.) นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงความคืบหน้าการคืนยาของร้านขายยาต่างๆ ทั่วประเทศ ว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยกระดับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตร ซึ่งรวมทั้งสูตรผสมพาราเซตามอล เป็นกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 โดยมีระยะเวลาให้ร้านขายยา คลินิก และสถานพยาบาลที่มีไว้ครอบครอง และไม่ต้องการถือครองอีกให้ส่งคืนบริษัทผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าภายในระยะเวลา 30 วัน โดยจะสิ้นสุดวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเพื่อความสะดวก ทาง อย.จึงเปิดโอกาสให้ร้านขายยาทุกแห่งหรือผู้มีไว้ครอบครองมาคืนยาได้ที่ตึกเงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด อย.ได้ในวันเวลาราชการ ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคมนี้ “ขอย้ำให้ทุกร้านขายยา รวมทั้งผู้ที่มีไว้ในครอบครองเร่งนำยามาคืนให้ทันภายในเวลา 16.30 น.วันที่ 3 พฤษภาคม หลังจากนั้น หากพบใครมีไว้ครอบครองถือว่าผิดพ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯทันที โดยหากฝ่าฝืนครอบครองซูโดอีเฟดรีนคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน 5 กรัม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท แต่หากเกิน 5 กรัม จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท จึงขอให้ร้านขายยาทุกแห่งปฏิบัติตาม เพราะจะไม่มีการขยายเวลาใดๆ อีก” นพ.พงศ์พันธ์ กล่าว รองเลขาธิการ อย.กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขการรับคืนยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน-1 พฤษภาคม โดยบริษัทยารายงานมายัง อย.มีจำนวน 44 บริษัท รวมปริมาณยาส่งคืนทั้งสิ้น 13,260,551 ล้านเม็ด แบ่งเป็นยาเม็ดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนทุกสูตรยกเว้นสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 7,093,410 ล้านเม็ด ส่วนยาเม็ดซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมพาราเซตามอล จำนวน 6,167,141 ล้านเม็ด ส่วนยาน้ำมีจำนวน7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ สำหรับยอดรับคืนที่ อย.เฉพาะวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 มีตัวเลขยาเม็ดจำนวน 60,869 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,520 ลลิลิตร อย่างไรก็ตาม ที่น่ากังวลคือ หลังจากวันที่ 3 พฤษภาคม คาดว่า หากจะมียาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนหลงเหลือ น่าจะเป็นยากลุ่มสูตรผสมพาราเซตามอล ซึ่งในวันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป จะส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบว่ามีใครฝ่าฝืนครอบครองยากลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้ จากข้อมูลยอดรวมการผลิตของยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนในบริษัทยาทั้งหมดพบ 60 ล้านเม็ด ขณะที่ในสถานพยาบาลที่อนุญาตครอบครองมีประมาณ 20 ล้านเม็ด แต่ตัวเลขยอดที่ค้างโดยเฉพาะยาสูตรผสมพาราเซตามอล ไม่มีตัวเลขจริงๆ จึงต้องมีการเรียกคืนตามประกาศดังกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับตัวเลขยาโดยรวมที่บริษัทยารายงานมายัง อย.โดยยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่ 13,260,551 เม็ด เป็นยาน้ำ 7,517,320 มิลลิลิตร ทั้งนี้ พบว่า บริษัทที่รับยาคืนมากที่สุด คือ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด โดยชื่อทางการค้าที่รู้จัก คือ “ทิฟฟี่” มีปริมาณรับคืนถึง 5,919,770 เม็ด เป็นยาน้ำ 2,777,280 มิลลิลิตร อันดับสองเป็นบริษัทผู้ผลิต คือ บริษัท เอ็มแอนด์ เอช แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด มียาเม็ด 1,984,979 เม็ด และ บริษัท ยูนิแล็ป ฟาร์มาซูติคอลส์ จำกัด มียาเม็ด 1,118,280 เม็ด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5827
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:33:00 »
กรมแพทย์แผนไทย แนะลดปัญหาโรคฮิตหน้าร้อนเบื้องต้นด้วย 5 สมุนไพรแชมเปียน รักษาโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง โรคลม และภาวะร้อน นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาไทยและสมุนไพรไทยในสถานบริการ และการเข้าถึงยาสมุนไพรของประชาชน ดังนั้นหน้าร้อนนี้ โรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในหน้าร้อน กับกลุ่มเสี่ยงหลายๆ โรค สามารถดูแลด้วยยาไทย และสมุนไพรไทยได้ จากรายงานของกรมควบคุมโรคเกี่ยวกับโรคหน้าร้อน อาทิเช่น โรคระบบทางเดินอาหาร โรคอาหารเป็นพิษ บิด ไข้ไทฟอยด์ มีสถิติการป่วยกว่า 400,000 ราย ในช่วง 4 เดือนของปีนี้ นอกจากโรคดังกล่าวแล้วช่วงหน้าร้อนนี้โรคที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง คือ โรคผิวหนัง โรคลมร้อนจัด คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ และภาวะร้อนใน ซึ่งภาวะดังกล่าวอยากให้ประชาชนมียาสมุนไพรพกติดตัว หรือมีไว้ใช้ในบ้าน ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ผงขมิ้นชัน ทิงเจอร์เสลดพังพอน ยาหอมนวโกฐ บาล์มสมุนไพร เป็นต้น สำหรับยาฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยลดอาการไข้และรักษาโรคอุจจาระร่วง ถ้าใช้ รักษาโรคอุจจาระร่วง ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า ให้ผู้ป่วยรับประทานยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรครั้งละ 4 แคปซูล (หรือ 2 กรัม) วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกันภายใน 2 วัน อาการจะดีขึ้นตามลำดับ เพิ่มการดื่มน้ำเกลือแร่ตามเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป สำหรับ ผงขมิ้นชัน ใช้ผสมน้ำทาผิวที่มีผดผื่น และ ทิงเจอร์เสลดพังพอน ทาบริเวณที่มีอาการคัน ช่วยรักษาอาการผดผื่นคันได้ ยาหอมนวโกฐ แก้อาการเป็นลมวิงเวียนศีรษะ และ บาล์มสมุนไพรแก้อาการแมลงสัตว์กัดต่อยวิงเวียนศีรษะ นพ.สุพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า อยากจะฝากให้ประชาชนทั่วไปดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อน รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้ามีอาการเจ็บป่วยตามที่กล่าวไปแล้วสามารถใช้สมุนไพรดูแลในเบื้องต้นได้ หากอาการรุนแรงให้พบแพทย์ทันที ทั้งนี้ อาการของโรคต่างๆ ที่ไม่รุนแรง 70% หายได้ด้วยสมุนไพร และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5828
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:30:11 »
หุ้นเครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กระแสตอบรับแรงตามคาด ที่ปรึกษาทางการเงินเผย นักลงทุนมั่นใจศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ คาดผู้ที่พลาดจากการจองซื้อ เตรียมเข้าซื้อในวันเทรดวันแรก 9 พฤษภาคมนี้ ด้านผู้บริหารปลื้ม นักลงทุนไว้ใจ ประกาศพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่ง และการเติบโตที่ยั่งยืน นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของเครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล (VIH) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในวันที่ 30 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 55 ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเข้ามามากกว่าจำนวนหุ้นที่นำออกจำหน่ายอย่างมาก ทำให้มีผู้พลาดหวังจากการจองซื้อจำนวนมาก “เราเชื่อว่า การที่นักลงทุนให้ความสนใจหุ้นของเครือโรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อย่างมาก มาจากความมั่นใจในอนาคต โอกาส และศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ในความสนใจของนักลงทุน และยิ่งเมื่อได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเมดิคอล ฮับ ของเอเชีย ทำให้ธุรกิจมีโอกาสขยายตัวมากยิ่งขึ้น ขณะที่เครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ก็มีจุดแข็ง และศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ จึงได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี” นายมนตรีกล่าว สำหรับนักลงทุนที่พลาดหวังจากการจองซื้อ ได้แสดงความสนใจจะเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันซื้อขายหุ้นวันแรกของ VIH ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 9 พฤษภาคม 55 นี้ ทั้งนี้ เครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ดำเนินกิจการภายใต้ชื่อบริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 535 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 535 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วก่อน IPO 400 ล้านบาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ 135 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาขายหุ้นละ 1.25 บาท ด้าน ผศ.พญ.สายสุณี วนดุรงค์วรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนที่ไว้วางใจ และให้การตอบรับหุ้นของบริษัทฯ เป็นอย่างดี ซึ่งการระดมทุนจากหุ้น IPO ครั้งนี้ จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีมาตรฐานระดับสากล และมีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5829
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:28:50 »
จากกรณีชาวบ้านในต.ป่าแมต และตำบลใกล้เคียงอ.เมือง รวมทั้งชาวบ้านจากต่างอำเภอของจังหวัดแพร่ ต่างพากันมาตักน้ำในบ่อลูกรังที่หมู่ 5 ต.ป่าแมต อ.เมือง จ.แพร่ ไปดื่มและอาบ เพื่อเป็นยารักษาโรค โดยเชื่อว่าน้ำในบ่อเป็นยาที่เกิดจากผีป่าในลำห้วยจำแดง เป็นผู้ประทานให้เพื่อรักษาโรคของผู้คนในบริเวณดังกล่าว มีผู้ป่วยด้วยโรคคันตามผิวหนัง ผู้ป่วยปวดตามข้อ กระดูกสันหลังและ อัมพฤกษ์ นำน้ำไปดื่มกินทำให้อาการป่วยลดลง มีประชาชนยังทยอยออกมาตักน้ำไปรักษาโรคอย่างหลากหลายและมีจำนวนมากมาจุดธูปขอเลขเด็ดแต่ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่ากับการรักษาโรคที่มีเสียงร่ำลือไปทั่วจังหวัดแพร่ทั้งที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
วันที่ 3 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้นายเจริญ สิทธิศร ปลัด เทศบาลตำบลป่าแมต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่ พาเจ้าหน้าที่จาก กรมอนามัยเขต 10 จ.เชียงใหม่ นำโดยนายอเนก ศิริโหราชัย นักวิชาการสาธารณสุข พร้อมด้วยทีมงานเข้าเก็บตัวอย่างน้ำ จำนวน 2 จุดในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดังกล่าว โดยนายอเนก ให้ข้อมูลว่า หลังจากบ่อน้ำดังกล่าวมีประชาชนสนใจนำไปใช้เป็นยารักษาโรค ซึ่งมีทั้งนำไปใช้อาบ ทา และ ดื่ม ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติและมีรายงานว่าบ่อน้ำดังกล่าวอยู่ใกล้กับบ่อทิ้งขยะของเทศบาลเมืองแพร่ด้วยจึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านที่นำน้ำไปใช้
นายอเนกกล่าวด้วยว่า ในการตรวจคุณภาพน้ำและสารปนเปื้อน จะมีการตรวจอยู่ 20 ตัวชี้วัด เช่น ความกระด้าง ความเป็นกรดด่าง โลหะหนัก จำพวก สารปลอด ตะกั่ว แคชเมี่ยม ฯลฯ แต่ในการตรวจครั้งนี้มีการเพิ่มการตรวจอีก 2 ตัวชี้วัดคือ จะมีการตรวจ “สารซิลิเนี่ยม และสารแบเลี่ยม” เพิ่มไปด้วย สาเหตุที่ต้องตรวจเพิ่มเพราะสารเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อนมาจากบ่อขยะที่สามารถซึมผ่านใต้ดินได้ไกลถึง1 กม. โดยบ่อน้ำนั้นอยู่ห่างบ่อขยะเทศบาลเมืองแพร่ไม่ถึง 1 กม. กรณีที่มีประชาชนนำน้ำไปใช้แล้วหายจากโรคพอสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า เกิดจากแร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน และอาจเกิดจากการหมักของขยะถ้ามีการปนเปื้อนเข้ามาในใต้ดิน อย่างไรก็ตามเป็นข้อสังเกตเท่านั้น ต้องรอการตรวจพิสูจน์โดยละเอียด โดยจะนำส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจพิสูจน์ที่กระทรวงสาธารณสุข จะรู้ผลภายใน 15 วัน ถ้าพบว่ามีโลหะหนักปนเปื้อนจะต้องสั่งห้ามใช้น้ำในบ่อดังกล่าวทันที เพราะเป็นอันตรายอาจทำให้เกิดโรคอื่นตามมาในระยะยาวแต่ถ้าไม่พบสารหรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย ก็สามารถใช้ได้แต่ควรผ่านการต้มเสียก่อนเพราะน่าจะมีแบคทีเรียจำนวนมาก
"แม้ว่าทางเทศบาลตำบลป่าแมตจะออกคำเตือนหลายครั้งแต่ประชาชนยังมั่นใจในการนำน้ำไปรักษาสุขภาพโดยมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลของการตรวจสอบ ทางสาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่ และ เทศบาลตำบลป่าแมต จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการต่อไป" รายงานข่าว ระบุ
ข่าวสด 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5830
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 21:27:11 »
อธิบดีดีเอสไอ เผยมี 11 รพ. ผู้ต้องสงสัย 7 คน เกี่ยวข้องคดีลักลอบนำยาซูโดฯออกจากรพ. เร่งหาหลักฐานก่อนแจ้งข้อหา เตรียมสอบผู้ขายยา,ผู้คุมระบบจ่ายยา
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยหลังจากเรียกชุดพนักงานสอบสวนสำนักคดีความมั่นคง และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมประชุมสรุปคดีการทุจริตในการเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน จากโรงพยาบาลของรัฐและการจำหน่ายยาโดยมิชอบ
โดยนายธาริต กล่าวว่าผลจากการสอบสวนผบว่ามีการกระทำผิดการทุจริตในการเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก เป็นการกระทำผิดในการลักลอบใช้ชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยา แต่ไม่มีการนำยาเข้าสต็อกของโรงพยาบาล หรือ การลอยยา โดยพบว่ามีคนกลางเชื่อมโยงกระทำความผิดจำนวน 5 คน และทั้งพบว่ามีโรงพยาบาลเอกชนจำนวน2แห่งเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย โรงพยาบาลสยามราช และโรงพยาบาลเซนทรัลเชียงใหม่เมมโมเรียล ส่วน โรงพยาบาลของรัฐ คือโรงพยาบาลฮอด และโรงพยาบาลดอยหล่อ
ในส่วนที่ 2 เป็นการลักลอบนำยาออกจากโรงพยาบาลจากการตรวจสอบพบว่ามีคนกลางในการจัดการนำยาออกจากโรงพยาบาลจำนวน2คน และเข้าข่ายเป็นผู้ต้องหาอีกด้วย ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์อุดร และโรงพยาบาลทองแสนขันธ์
ในส่วนที่ 3 พบว่ามีการทุจริตยาจริง แต่ต้องรอหลักฐานให้มีความชัดเจนมากขึ้น มีโรงพยาบาลเกี่ยวข้อจำนวน 5 โรงพยาบาล ประกอบด้วย โรงพยาบาลกมลาไสย,โรงพยาบาลหนองกี่,โรงพยาบาลภูสิงค์,โรงพยาบาลนากลาง และโรงพยาบาลเสริมงาม
นอกจากนั้นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพิ่มเติมว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้ง7คน เนื่องจากเกรงว่าจะเสียรูปคดี และพยายามหาหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่จะแจ้งขอกล่าวหา ส่วนผู้กระทำความผิดหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาก่อนที่จะส่งตัวให้สำนักงานปราบปรามทุจริตแห่งชาติดำเนินคดีต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่เอกชนจะออกหมายจับหากพบว่าผิดจริง
หลังจากนี้ทางดีเอสไอจะมุ่งสอบความเชื่อมโยงเจตนาการกระทำผิดทั้ง11โรงพยาบาล โดยจะมีการสอบทั้งผู้จำหน่ายยาและบริษัทผู้จำหน่ายยา รวมทั้งผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมการสั่งซื้อและการเบิกจ่ายยาออกจากระบบอีกด้วย
โพสต์ทูเดย์ 3 พฤษภาคม 2555
5831
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 10:17:54 »
หากนึกถึงโรงพยาบาลรัฐ ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วยนั้น หนึ่งแห่งชั้นนำของไทย ก็คือ โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งเปิดบริการตรวจรักษามาเป็นเวลายาวนาน ได้รับความมั่นใจจากประชาชนและมาเข้ารับบริการมากมาย จนเกิดความหนาแน่น ส่งผลการตรวจรักษาบางอย่างต้องรอคิวนานอย่างที่หลายคนรู้กันดี
ด้วยความแออัดข้างต้น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงเปิดตัวโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หรือชื่อย่อว่า SiPH เป็นโรงพยาบาลในสังกัด เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกรอคิวรักษานาน และสามารถจ่ายค่าบริการที่สูงกว่าแต่สมเหตุสมผล
โดยจุดประสงค์หลักไม่ได้มุ่งหวังกำไร หากแต่เป็นแนวคิดที่เป็นจุดต่างที่สำคัญ คือ "ผู้รับผู้ให้" หมายถึง การมารักษาที่ SiPH จะได้เป็นทั้งผู้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน และเป็นทั้งผู้ให้ เพราะรายได้ส่วนหนึ่งของ SiPH จะส่งกลับไปสู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และพัฒนาแพทย์ เช่นในด้านทุนศึกษา ทุนวิจัยต่อไป
SiPH เปิดตัวส่วนแรกไปเมื่อ 26 เมษายนที่ผ่านมา โดยในส่วนที่เปิดให้บริการขณะนี้ มีศูนย์อายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบประสาทและสมอง โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรคเบาหวาน และโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป ศูนย์กระดูกและข้อ และศูนย์มะเร็ง ส่วนความพร้อมทุกส่วนจะเปิดได้ภายในกันยายนปีนี้
ก่อนจะเปิดตัวเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการนั้น เดลินิวส์ออนไลน์ พร้อมพาผู้อ่านชมศักยภาพของ SiPH หลังจากได้ร่วมงานเปิดตัวส่วนแรก ซึ่งทำให้เห็นว่า SiPH เป็นโรงพยาบาลเป็นอาคารสูง 14 ชั้น ทันสมัย ออกแบบและตกแต่งตามหลักสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่เน้นทั้งความปลอดภัย ประหยัดพลังงาน ทิศทางแสงและลม แบ่งตึกออกเป็น 3 ส่วน พร้อมประตูกันไฟ
ภายในมีห้องบริการผู้ป่วยนอก 177 ห้อง ห้องผ่าตัด 17 ห้อง ห้องพักผู้ป่วย 284 ห้อง หอผู้ป่วยวิกฤติ 61 ห้อง โดยห้องพักผู้ป่วยรวมทั้งหอผู้ป่วยวิกฤติ อย่าง ไอซียู และซีซียู มีทิวทัศน์สบายตาด้วยวิวสวนสีเขียว หรือวิวแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ป่วยได้ดี
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ที่โดดเด่นมาก เช่น เครื่องเร่งอนุภาค (LINAC) เป็นเครื่องฉายรังสีรักษาผู้ป่วยมะเร็ง จัดเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีความแม่นยำสูง จึงใช้ปริมาณรังสีในการรักษาน้อย ลดภาวะแทรกซ้อนได้มาก ที่สำคัญยังสามารถรักษาได้ทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งในอวัยวะที่เคลื่อนไหวตลอด
หาก SiPH เปิดให้บริการสมบูรณ์ลงตัวเมื่อไหร่ เดลินิวส์ออนไลน์พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีทางการแพทย์อันทันสมัยในโอกาสต่อไป แต่สำหรับครั้งนี้ชมภาพบรรยากาศโรงพยาบาลและ เครื่องเร่งอนุภาคกันไปก่อน.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555
5832
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 10:08:49 »
น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีเด็กไทยที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัยประมาณร้อยละ 20 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 10 มีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 12 มีน้ำหนักต่อส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 4 ซึ่งกลุ่มที่มีพัฒนาการต่ำกว่าเกณฑ์ มักส่งผลต่อสติปัญญาและพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า โดยสิ่งที่จะช่วยเพิ่มพัฒนาการได้ คือ หนังสือและของเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการ ซึ่งไทยยังมีน้อย กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาคู่มือดังกล่าว 3 รูปแบบ คือ
1.หนังสือคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด - 5 ขวบ มีภาพประกอบและคำอธิบายอ่านง่าย สีสันสวยงาม 2,000 เล่ม
2.แผ่นดีวีดี เป็นภาพเคลื่อนไหว มีเสียงพากย์พร้อมทั้งคำบรรยายภาษาไทยใต้ภาพ สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน 1,000 แผ่น และ
3.เว็บไซต์www.thaichilddevelopment.com ดาวน์โหลดโปรแกรมดูแลเด็ก ใช้ได้ทั้งเด็กปกติและเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยผ่านการเล่น การจัดกิจกรรม เป็นต้น
โดยมีแผนแจกคู่มือให้คลินิกสุขภาพเด็กดีในโรงพยาบาลทุกระดับ และศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ 20,043 แห่ง
ข่าวสด 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5833
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 10:05:44 »
กาฬสินธุ์ - นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการเป็นประธานเปิดงานมะแงว มะไฟหวาน สืบสานวัฒนธรรมผู้ไท และของดีตำบลเนินยาง ที่โรงเรียนชุมชนหนองยางวิทยาคม ต.เนินยาง อ.คำม่วง ที่ผ่านมาว่า ทางอบต.เนินยางร่วมกับผู้นำชุมชน และชาวบ้านจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อส่งเสริมรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานอพยพของประชาชนในช่วงหน้าแล้ง โดยจัดการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น และผลไม้ท้องถิ่น ซึ่งมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายชนิด
การจัดงานดังกล่าวนอกจากเพื่อสร้างราย ได้ให้ประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบถึงคุณประโยชน์ของมะแงว มะไฟ ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่น ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาไข้หวัด แก้ไอ รักษาโรคมาลาเรีย ถ่ายพยาธิ โรคเรื้อน บำรุงธาตุ แก้พิษฝี และช่วยในการขับปัสสาวะ ส่วนผลของมะไฟก็มีวิตามินซี ช่วยย่อยอาหาร ละลายเสมหะ รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ส่วนกากของยาสามารถนำมาพอกรักษาแผล บรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย
ข่าวสด 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5834
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 10:04:02 »
โรงเรียนบ้านหินร่องโนนสวรรค์ บ้านหินร่อง ต.เมืองเก่าพัฒนา อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เปิดสอนชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียน 208 คน ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนบางส่วนน้ำหนักเกินจากปกติ และกำลังจะกลายเป็นโรคอ้วน อันนำไปสู่การก่อเกิดโรคชุดหรือโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกและข้ออักเสบ เป็นต้น
จึงเกิดการประดิษฐ์เครื่องเซียมซีทำนายผลอัตโนมัติเพื่อใช้วัดดัชนีมวลกาย (BodyMass Index; BMI) สำหรับตรวจ วัดนักเรียนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับการมีสุขภาพที่ดี พร้อมขยายไปยังผู้ปกครองและชุมชน ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
โดย นายชัยรัตน์ คิดถูก อาจารย์โรงเรียนบ้านหินร่องโนนสวรรค์ ได้คิดประดิษฐ์ 'เซียมซีบีเอ็มไอห่างไกลโรคชุด' ขึ้น โดยได้แนวคิดมาจากเครื่องจัดบัตรคิว เพื่อทำนายผลสุขภาพ 6 ระดับ 6 ปุ่ม โดยพิมพ์ออกมาเป็นใบเซียมซีทายผล 6 แบบ อัตโนมัติ ผู้ตรวจวัดมวลกายสามารถรู้ได้ทันที
เดิมเราใช้วงล้อคำนวณมวลกาย เทียบน้ำหนักกับส่วนสูงแล้วคำนวณเป็นตัวเลขออกมา แต่ต่อมาเราไปเห็นบัตรคิวที่ให้คนไปรอตามโรงพยาบาล จุดจ่ายเงินพอกดปุ่มก็จะมีข้อความตัวเลขออกมา ก็เลยใช้แนวคิดเดียวกันนี้
โรงเรียนได้แทรกแผนการรักษาสุขภาพในการเรียนการสอน นอกจากนั้นครูและนักเรียนจะช่วยกันดูแลเรื่องสุขภาพของ 6 หมู่บ้านโดยรอบด้วย
ข่าวสด 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
5835
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2012, 01:57:59 »
สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีประชุมเมื่อวันที่ 1 พค.ที่ผ่านมา เห็นชอบตั้งงบเหมาจ่ายรายหัวระบบ สปสช.ปีงบ 2556 อยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อหัว ลดจากปีนี้ 141 บาทต่อหัว หรือลดลง 4.9 % และลดงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง 6.3 % แพทย์ชนบทชี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีของระบบบัตรทองที่งบเหมาจ่ายรายหัวลดลง จะสร้างปัญหาให้กับหน่วยบริการและทำให้เป็นระบบสำหรับผู้ป่วยอนาถาเหมือนในอดีตสวนทางกับนโยบายรัฐบาล ก่อนหน้านี้บอร์ดสปสช.มีมติเห็นชอบให้เสนอรัฐมนตรีตั้งงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556 อยู่ที่ 2,939.73 บาทต่อคน และในอดีตที่ผ่านมามีการเพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวตามการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อเ ฉลี่ยปีละ 3% และเงินเดือนเพิ่มเฉลี่ย 6% โดยปี 2553 งบเหมาจ่ายรายหัวเพิ่มขึ้น 9 % ปี 2554 เพิ่มขึ้น 6% และปี 2555 สมัยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อนุมัติให้เพิ่ม 13.8% นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกีรยติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ว่า การอนุมัติงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2556 ลดลงประมาณ 5% รวมทั้งลดงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงอีกกว่า 6% จะทำให้กระทบต่อฐานะการเงิน และการให้บริการของหน่วยบริการเพราะมีค่าใช้จ่ายจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสปสช.เข้าไม่ถึงการบริการ การบริการมีคุณภาพต่ำลง กลายเป็นผู้ป่วยอนาถา เพราะผู้ป่วยในระบบสวัสดิการข้าราชการ และประกันสังคม รัฐบาลให้งบประมาณต่อหัวมากกว่า คือเป็นการตั้งงบประมาณที่สวนทางกับที่รัฐบาลประกาศว่าจะสร้างความเท่าเทียม ระหว่างกองทุนทั้งสามกองทุน โดยเพิ่มคุณภาพการบริการของระบบ 30 บาท และให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาพและป้องกันโรค “นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. ต้องตอบคำถามสังคมและคนไทยว่า ในยุคสมัยของรัฐบาลนี้ที่ต้องการสร้างความเท่าเทียมของสามกองทุน ต้องการให้ระบบ 30 บาทมีคุณภาพมากขึ้นต้องการเน้นป้องกันมากกว่าการรักษา ทำไมกลับตัดงบเหมาจ่ายรายหัวและงบส่งเสริมป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงลง และเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีส่งสัญญาณล้มระบบบัตรทอง” ประธานชมรมแพทย์ชนบทกล่าว รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ผ่านมา ทางฝ่ายการเมืองมีนโยบายควบคุมไม่ให้งบเหมาจ่ายรายหัวในระบบบัตรทองเพิ่มขึ้ นเป็นเวลา 3 ปี โดยได้สั่งผ่านสำนักงบประมาณ แต่ถูกคัดค้านจากนักวิชาการว่าจะทำให้เกิดปัญหากับระบบของสปสช. ที่เป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ และประชาชนจะเดือดร้อน แต่ในที่สุดเสียงคัดค้านจากนักวิชาการก็สู้นโยบายของฝ่ายการเมืองไม่ได้
มติชนออนไลน์ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
หน้า: 1 ... 387 388 [389] 390 391 ... 537
|