แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 370 371 [372] 373 374 ... 537
5566
กระแสการโปรโมชันตรวจสุขภาพประจำปี ของขวัญแก่แม่ที่เรารักในวันแม่ แก่พ่อที่เราเป็นห่วงในวันพ่อ แก่ตัวเองที่ทำงานหนักมาทั้งปี ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ด้วยแพกเกจให้เลือกแบบธรรมดาชุดเล็กราวสองพันสำหรับคนที่มีเงินไม่มาก ชุดกลางราวสามสี่พันสำหรับคนที่จ่ายไหว และชุดใหญ่ร่วมหมื่นสำหรับคนที่กระเป๋าหนัก

   
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา
       ปรากฏการณ์เพื่อคนที่เรารักและตัวเองนี้ทำให้โรงพยาบาลที่เปิดบริการโปรโมชันนี้ต่างก็กระเป๋าตุงไปตามๆ กัน เป็นความสุขสำหรับทุกฝ่าย คนจ่ายเงินก็มีความสุขที่ได้ดูแลคนที่เขารัก คนที่ได้ตรวจสุขภาพก็มีความสุขกับการได้ตรวจสุขภาพ บริษัทขายน้ำยาตรวจสุขภาพก็มีความสุขจากยอดการนำเข้าที่พุ่งสูงกว่าทุกปี ส่วนผู้ที่มีความสุขที่สุดเห็นจะเป็นโรงพยาบาลที่ได้รายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ รวมทั้งหมอพยาบาลต่างยิ้มแย้มจากส่วนแบ่งรายได้ที่ได้มา สร้างรอยยิ้มถ้วนหน้าแก่ทุกคน คนที่ยิ้มไม่ออกก็เห็นจะเป็นคนจนที่ก็อยากตรวจสุขภาพกับเขาเช่นกัน เพราะกระแสการอยากตรวจสุขภาพประจำปี ลามมาไกลถึงคนธรรมดาสามัญที่ถือบัตรทอง หรือบัตรประกันสังคมด้วย ทุกคนอยากตรวจสุขภาพ แต่ไม่มีเงินจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งตั้งงบประมาณมากมายจัดให้บริษัทเอกชนมาเจาะเลือดเอกซเรย์ตรวจสุขภาพโดยไม่มีการพบแพทย์ ไม่มีการอธิบายผล นับเป็นเงินงบประมาณที่สูญเปล่าอย่างยิ่ง และชาวบ้านเองก็แทบไม่ได้ประโยชน์ใดๆ หลังการตรวจสุขภาพก็ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่อย่างใด
       
       โดยหลักการการตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่ดี แต่คำว่าดีนั้นแปลว่ามีความพอดี เป็นทางสายกลางไม่สุดโต่งจนเกินไป การตรวจสุขภาพตามหลักวิชาการคือการตรวจตามความเสี่ยง ไม่ใช่การตรวจแบบหว่านแหให้ครบทุกเทสต์ที่ห้องแล็บทำได้
       
       มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ระดับสารเคมีต่างๆ ในเลือดมีขึ้นมีลงจากหลายปัจจัย และตัวเลขที่เห็นเพียงครั้งเดียวแทบจะไม่สามารถบอกวินิจฉัยโรคได้ การตรวจระดับไขมันในเลือดนั้นสามารถใช้การวัดรอบเอวทดแทนได้ การตรวจตับตรวจไตตรวจปัสสาวะตรวจเอ็กซเรย์ปอดตรวจคลื่นหัวใจในคนทั่วไปมีประโยชน์น้อยมากมาก แต่หากมีความเสี่ยง เช่น ดื่มเหล้าจัด มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวานความดัน ทำงานในที่อับอากาศถ่ายเทน้อย ทำงานในโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค การตรวจแล็ปทางห้องปฏิบัติการตามความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง มีความคุ้มทุน
       
       การตรวจสุขภาพที่จำเป็น มีประโยชน์ในเชิงการป้องกันที่สำคัญที่ทุกคนที่อายุเกิน 35 ขึ้นไปควรตรวจ คือ การวัดความดันโลหิต การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน การชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอว การตรวจฟันเพื่ออุดก่อนถอน และสำหรับสตรีคือการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองและการตรวจมะเร็งปากมดลูก ราคาต้นทุนแบบเอกชนรวมไม่เกิน 400 บาท นี่คือ การตรวจร่างกายที่มีหลักฐานทางการแพทย์เชิงประจักษ์ว่ามีประโยชน์จริง ส่วนการตรวจอื่นๆ นั้น ควรตรวจตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล และการตรวจแบบหว่านแหนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ
       
       กระแสสูงของการตรวจสุขภาพประจำปีเชิงพาณิชย์ ถือเป็นมายาคติใหม่เพื่อคนที่เรารัก นำเงินนั้นไปซื้อจักรยานมาถีบเล่นยังจะเกิดประโยชน์มากกว่า

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 ตุลาคม 2555

5569
 ไช่น่าฮัช/หวั่งอี้ - เปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนก.ย.(20) สำหรับภาพยนตร์เกรดสาม( Category III*) สุดวาบหวิวเรื่อง Due West: Our Sex Journey(一路向西) จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมจับตามอง เมื่อ หวังหลี่ ตานหนี(王李丹妮) นักแสดงหญิงในเรื่อง อ้างผ่านสื่อฮ่องกงว่า เธอมีดีกรีเป็นถึงนักศึกษาแพทย์จากมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาเหตุที่ต้องเดินทางมาเปลื้องผ้าเล่นหนังอีโรติกฮ่องกง ก็เพราะต้องการเก็บเงินให้ครบ 4 ล้านหยวน(ราว 20 ล้านบาท) เพื่อนำไปเปิดคลินิกหลังจากที่เธอจะสำเร็จการศึกษาในปีหน้านี้
       
       ในฉากไคลแมกซ์ของ Due West: Our Sex Journey หวังหลี่ ตานหนี ในเรือนร่างเปลือยเปล่าใช้อกอึ๋มคัพเอฟ ของเธอถูไถไปบนแผ่นหลังของ จัง เจี้ยนเซิง ผู้เป็นนักแสดงนำชาย การแสดงเป็นไปอย่างสมบทบาทอย่างยิ่ง แม้ว่านี่จะเป็นงานหนังอีโรติกเรื่องแรกของเธอ ขณะที่หลังฉากตามคำบอกเล่า เธอคือนักศึกษาแพทย์จากเซี่ยงไฮ้ ครั้งหนึ่ง หวังหลี่ ตานหนี ให้สัมภาษณ์ว่า "จริงๆ แล้ว ที่ฉันรับเล่นหนังเรื่องนี้ ก็เพราะอยากได้เงิน เป้าหมายของฉันคือเก็บเงินให้ได้ครบ 4 ล้านหยวน เพราะแม้ว่าฉันกำลังจะเรียนจบแพทย์ในเดือนตุลาคมปีหน้า (2556) แต่หลังจากนั้นต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์และเปิดคลินิก ซึ่งต้องใช้เงินอีกมาก ฉันจริงต้องการเงินก้อนนี้เพื่อเตรียมไว้สำหรับเปิดคลินิกของฉัน"

       การแสดงที่เป็นธรรมชาติและสมบทบาทของ หวังหลี่ ตานหนี ทำให้เธอได้รับการติดต่อให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคต่อของหนังอีโรติกชื่อเดียวกันที่เคยโด่งดังมาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2554 ทว่าสาวอกอึ๋มที่อ้างว่ามีดีกรีเป็นถึงนักศึกษาแพทย์จากจีนแผ่นดินใหญ่ผู้นี้ ออกตัวว่ายังลังเลอยู่ เพราะเกรงว่าการปรากฏตัวในหนังวาบหวิวติดๆ กันอาจจะกระทบกับภาพลักษณ์ของการเป็นแพทย์ของเธอได้ อย่างไรก็ตาม ต่อข้อถามที่ว่าเกรงว่าบทบาทที่โชว์เนื้อหนังมากเกินไปจะทำให้เธอโดนแบนเหมือนกับ ทัง เหวย นักแสดงสาวจากภาพยนตร์สุดอื้อฉาวเรื่อง Lust, Caution(色,戒) เมื่อปี พ.ศ. 2550 หรือไม่นั้น หวังหลี่ ตานหนี กล่าวว่า "สถานการณ์ของเราทั้งคู่ไม่เหมือนกัน เพราะในหนังที่ ทัง เหวย เล่น มีหลายฉากที่ค่อนข้างเซนซิทีฟ"
       
       หวังหลี่ ตานหนี ย้ำด้วยว่าหากตราบใดที่การแสดงยังไม่กระทบกับการเรียน เธอก็จะแสดงต่อไปจนกว่าจะเก็บเงินได้ครบ 4 ล้านหยวนตามที่ตั้งใจไว้ "ฉันไม่มีทางละทิ้งความฝันที่จะเป็นหมอ แต่ฉันก็ยังเกรงๆ อยู่ว่าการเล่นหนังเกรดสาม จะกระทบกับอนาคตในการเป็นหมอของฉันหรือไม่"
       
       อย่างไรก็ตาม แม้นักแสดงสาวจะกล่าวอ้างขณะให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อฮ่องกงว่าตนเองเป็นนักศึกษาแพทย์จากเซี่ยงไฮ้ แต่ข้อมูลที่เธอเปิดเผยต่อสาธารณชนในจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนหน้านั้นระบุว่า "จบการศึกษาจากโรงเรียนการแสดงจงเป่ยอิงหวง (Beijing Central & North Emperor Performing Arts School) แห่งกรุงปักกิ่ง, นางแบบยอดนิยม, นักแสดงหน้าใหม่, พิธีกร และ นักเขียนอิสระ" โดยไม่มีส่วนใดระบุถึงประวัติช่วงที่ศึกษาในโรงเรียนแพทย์ จนทำให้ชาวเน็ตไม่น้อยยังคงตั้งข้อกังขาถึงสถานะ "นักศึกษามหาวิทยาลัย" ที่เธอกล่าวอ้าง

       *
       Category III หรือ หนังเกรดสาม นั้นยึดตามการจัดเรตของภาพยนตร์ (Film Ratings) ฮ่องกง ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2531 โดยแบ่งแยกหนังออกเป็นกลุ่มๆ ตาม ภาษา ความรุนแรง และเนื้อหาทางเพศ ดังนี้
       CAT I ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย
       CAT IIA ภาพยนตร์ที่ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำสำหรับเยาวชน
       CAT IIB ภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะกับเยาวชน
       CAT III ภาพยนตร์ที่ห้ามผู้อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าชม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ตุลาคม 2555

5570
 ผู้เสียหายพร้อมผู้ปกครองกว่า 40 รายร้องกองปราบฯ แจ้งจับบริษัทเอสโอซี บริษัทจัดหาทุนการศึกษาคณะแพทย์กรุงปักกิ่ง เรียกเก็บค่านายหน้ารายละ 4.5 แสนบาทต่อราย ฐานฉ้อโกงและเบี้ยวนัดไม่ยอมเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย
       
       วันนี้ (8 ต.ค.) ที่กองปราบปราม นางพัฒนา ด่านวรพงศ์ อายุ 51 ปี พร้อมผู้ปกครองนักศึกษาอีกกว่า 40 รายที่ได้รับความเสียหายจากบริษัท เอสโอซี เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดหาทุนการศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ ที่ มหาวิทยาลัย International School of China Capital Medical University กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ได้เดินทางเข้าแจ้งความเพิ่มเติมต่อ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อให้ดำเนินคดีต่อบริษัทฯ และผู้บริหารบริษัทในข้อหาฉ้อโกงประชาชน หลังจากที่เข้าแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมาและมีการนัดเจรจาชดใช้ค่าเสียหายกับเจ้าของบริษัท แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าของบริษัทแห่งนี้ก็ไม่มาพบและไม่สามารถติดต่อได้
       
       น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ชาวจังหวัดสุโขทัย หนึ่งในผู้เสียหายกล่าวว่า จบการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ต้องการไปศึกษาต่อด้านแพทย์ศาสตร์ จึงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ กระทั่งมาทราบจากเพื่อนๆ แนะนำต่อกันมาว่าบริษัทเอสโอซีแห่งนี้มีทุนการศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ เป็นเวลา 6 ปี หากสนใจไปศึกษาต้องเสียค่าดำเนินการต่างๆ เป็นเงิน 4.5 แสนบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้เสียเพียงครั้งเดียวตลอดหลักสูตร โดยค่าใช้จ่ายที่เสียให้ไปนั้นนอกจากจะได้ศึกษาคณะแพทย์แล้วยังมีตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ที่พักอาศัยฟรี และมีเงินเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 1,000 หยวน หรือ 5,000 บาทให้ด้วย
       
       “นอกจากนี้ ทางบริษัทยังเสนอให้ค่านายหน้าอีก 2 หมื่นกว่าบาทต่อราย หากไปชักชวนผู้อื่นให้มาศึกษาต่อหลักสูตรเดียวกันนี้ได้ จึงตกลงทำสัญญากับบริษัทแห่งนี้และชำระเงินจนครบจำนวน 4.5 แสนบาทแล้ว แต่ปรากฏว่ามาเกิดปัญหากับนักศึกษาที่เสียค่าใช้จ่ายและเดินทางไปแล้วเพราะมหาวิทยาลัยดังกล่าวไม่ได้เปิดให้ทุนการศึกษาแต่อย่างใด จึงติดต่อขอเงินคืนแต่ก็ติดต่อไม่ได้ จึงรวมตัวกับกลุ่มผู้ปกครองที่ส่งลูกเดินทางไปแล้วเกิดปัญหามาแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัทและผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง” น.ส.เอกล่าว
       
       ด้าน นายบี (นามสมมติ) ผู้เสียหายอีกรายกล่าวว่า กลุ่มผู้เสียหายในกรณีนี้แบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่เดินทางไปเองแต่ให้บริษัทแห่งนี้เป็นคนดำเนินการให้ซึ่งต้องเสียเงินปีต่อปี ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มที่ถูกบริษัทอ้างว่าสามารถหาทุนการศึกษาให้ได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย 4.5 แสนบาท แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปศึกษาต่อด้วยวิธีใดก็จะต้องจ่ายเงินให้กับคนๆเดียว
       
       “เป็นที่น่าสังเกตว่านักศึกษารุ่นก่อนที่เดินทางไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่รุ่นหลังกลับเกิดปัญหา แสดงว่าเป็นการนำเงินไปหมุน ผมจึงต้องมาแจ้งความเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นเพราะบริษัทแห่งนี้มีการเปิดเว็บไซต์ทำให้หาข้อมูลได้ง่าย และทราบมาว่ามีการไปออกบูทตามโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงหลายแห่งด้วย” นายบีกล่าว

ทีมข่าวอาชญากรรม    8 ตุลาคม 2555
manager.co.th

5571
 คณะกรรมการโนเบลมอบรางวัลสาขาแพทย์แก่ 2 นักวิจัยผู้เปลี่ยน “เซลล์แก่” จากร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่โตเต็มวัยกลับสู่ “เซลล์ต้นกำเนิด” ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ ได้ นับเป็นการพลิกความเชื่อว่า เซลล์เต็มวัยไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นเซลล์ตัวอ่อนได้
       
       สมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสกา (The Nobel Assembly at the Karolinska Institute) สต็อกโฮล์ม สวีเดน โดยคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสรีศาสตร์หรือการแพทย์ ได้ประกาศผลรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ ประจำปี 2012 เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2012 โดยรางวัลตกเป็นของ จอห์น กัวร์ดอน (John Gurdon) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ และ ชินยะ ยามานากะ (Shinya Yamanaka) จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น
       
       สรุปคำประกาศของคณะกรรมการระบุว่า มอบรางวัลโนเบลให้แก่ 2 นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบว่า สามารถนำเซลล์ที่โตเต็มวัยและเปลี่ยนไปทำหน้าที่เฉพาะแล้วนั้น มาเปลี่ยนชุดคำสั่งใหม่เพื่อให้กลายเป็นเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะ และพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อทุกชนิดในร่างกายได้ ซึ่งการค้นพบของพวกเขาได้ปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการพัฒนาของเซลล์และอวัยวะต่างๆ
       
       สำหรับกัวร์ดอนนั้นในปี 1962 เขาพบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเซลล์ที่ยังไม่ถูกกำหนดการทำงานได้ ซึ่งในการทดลองสำคัญเขาได้แทนที่นิวเคลียสของเซลล์ไข่กบอันเป็นเซลล์ที่ยังไม่โตเต็มวัย ด้วยนิวเคลียสจากเซลล์ลำไส้ที่โตเต็มวัยแล้ว ผลคือเซลล์ไข่พัฒนาเป็นเซลล์ลูกอ๊อดที่ปกติ และดีเอ็นเอในเซลล์เต็มวัยก็ยังคงมีข้อมูลอันจำเป็นต่อการพัฒนาเป็นเซลล์อื่นๆ ของกบต่อไป
       
       การค้นพบของกัวร์ดอนในช่วงแรกต้องเผชิญกับความเคลือบแคลงสงสัย แต่ได้รับการยอมรับเมื่อมีการทดลองที่ให้ผลยืนยันโดยนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ซึ่งมีงานวิจัยและเทคนิคจำนวนมากที่ได้รับการพัฒนาขึ้น รวมถึงนำไปสู่การโคลนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นเฉพาะในส่วนของนิวเคลียส แต่คำถามคือเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนเซลล์เต็มวัยให้กลายเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่พร้อมจะกลายเป็นเซลล์อื่นๆ ได้
       
       ยามานากะต้องใช้เวลากว่า 40 ปีจึงพิสูจน์เรื่องดังกล่าวได้ โดยเมื่อปี 2006 เขาค้นพบว่า เซลล์เต็มวัยที่ยังไม่เสียหายนั้นสามารถนำมาเปลี่ยนชุดคำสั่งใหม่ให้กลายเป็นเซลล์ที่ยังไม่เต็มวัยได้ และการค้นพบของเขายังสร้างความประหลาดใจได้อีก โดยการเปลี่ยนยีนเพียงไม่กี่ตัวก็ทำให้เขาแปลงเซลล์ที่โตเต็มที่แล้วให้กลายเป็นเซลล์ต้นกำเนิดได้ และเป็นเซลล์ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ทุกรูปแบบในร่างกาย ซึ่งเขาเรียกเซลล์ที่เปลี่ยนกลับสู่เซลล์ระยะเริ่มต้นนี้ว่า “เซลล์ไอพีเอส” (iPS cells)
       
       ทั้งนี้ เราทุกคนรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ล้วนพัฒนาขึ้นมาจากเซลล์ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์ ระหว่างระยะแรกๆ ของเซลล์นั้นตัวอ่อนหรือเอ็มบริโอจะมีเซลล์ที่ยังไม่เต็มวัย ซึ่งแต่ละเซลล์เหล่านี้สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ใดๆ ก็ได้ และก่อตัวขึ้นเป็นอวัยวะที่เจริญเต็มวัย เรียกเซลล์ตัวอ่อนนี้ว่า “เซลล์ต้นกำเนิดพลูริโพเทนท์” (pluripotent stem cells)
       
       เมื่อเซลล์ตัวอ่อนพัฒนาต่อไปก็จะเติบโตไปเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่โตเต็มวัย อย่างเซลล์ประสาท เซลล์ตับ เซลล์กล้ามเนื้อ และเซลล์อื่นๆ ซึ่งเคยเชื่อกันว่าการเดินทางจากเซลล์ที่ยังไม่เต็มวัยสู่เซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะนั้น ไม่สามารถหวนกลับคืนได้
       
       “การค้นพบครั้งสำคัญนี้ได้เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อการพัฒนาและการกำหนดหน้าที่ของเวลล์ไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า เซลล์เต็มวัยไม่จำเป็นต้องถูกกำจัดอยู่ในหน้าที่เฉพาะตามที่แสดงออกเสมอไป มีตำราจำนวนมากถูกเขียนขึ้นใหม่ และก็มีการทำวิจัยสาขาใหม่ๆ และการเปลี่ยนชุดคำสั่งใหม่ให้เซลล์มนุษย์ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการศึกษาโรคต่างๆ และพัฒนาวิธีเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยและการบำบัดรักษา” เอกสารจะคณะกรรมการโนเบลระบุ
       
       ข้อมูลจากคณะกรรมการโนเบลยังระบุอีกว่า ตอนนี้เราสามารถสร้างเซลล์ไอพีเอสในมนูษย์ได้แล้ว รวมถึงใช้เซลล์จากผู้ป่วยมาสร้างเซลล์ดังกล่าวนี้ โดยเซลล์เต็มวัยทั้งเซลล์ประสาท เซลล์หัวใจและเซลล์ตับนั้นสามารถสร้างเป็นเซลล์ไอพีเอสได้ และช่วยให้นักวิจัยศึกษากลไกของโรคได้ด้วยวิธีใหม่
       
       **********
       
       เซอร์ จอห์น บี กัวร์ดอน เกิดเมื่อปี 1933 ในเมืองดิพเพนฮอลล์ สหราชอาณาจักร จบปริญญาเอกเมื่อปี 1960 จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) และเป็นบัณฑิตหลังปริญญาเอกที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) จากนั้นเข้าทำงานที่เคมบริดจ์เมื่อปี 1972 และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์เซลล์ชีววิทยา และเป็นอาจารย์วิทยาลัยแมกดาเลน (Magdalene College) ปัจจุบันทำงานที่สถาบันกัวร์ดอน (Gurdon Institute) ในเคมบริดจ์
       
       ชินยะ ยามานากะ เกิดในปี 1962 ที่โอซากา ญี่ปุ่น จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโกเบ (Kobe University) เมื่อปี 1987 และได้รับการฝึกผนเป็นศัลยแพทย์กระดูก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาทำงานวิจัยพื้นฐาน เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโอซากา (Osaka University) เมื่อปี 1993 หลังจากทำงานที่สถาบันแกลดสโตน (Gladstone Institute) ในซานฟรานซิสโก และสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนาระ (Nara Institute of Science and Technology) ในญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต และมีความร่วมมือกับสถาบันแกลดสโตน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ตุลาคม 2555

5572
กาบัง สุนัขฮีโร่ กระโดดขวางรถช่วยเหลือเด็ก แต่ถูกรถชนจนตัวเองสาหัส

นับเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ ระหว่างสุนัข กับคนอีกครั้ง เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่าน เจ้ากาบัง สุนัขฮีโร่เพศเมีย จากประเทศฟิลิปปินส์ ได้ช่วยเหลือเจ้านายวัย 11ขวบและ 3 ขวบ ขณะเดินข้ามถนน เมื่อมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงและกำลังจะพุ่งชนเด็กทั้งสอง เจ้ากาบังกระโดดขวางรถ ทำให้จมูกของมันเข้าไปติดในซี่ล้อรถ และบาดเจ็บสาหัส จนสัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำ Put To Sleep หรือการฉีดยาให้เสียชีวิต เพราะสงสารในสภาพของมัน แต่เจ้าของได้ขอเอาไว้ ซึ่งก็เป็นปาฎิหารย์เพราะมันสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่หน้าของมันต้องหายไปกว่าครึ่ง แต่มันก็ยังใช้ชีวิตปกติก  ร่าเริงเหมือนกับสุนัขทั่วๆไป แถมยังมีลูกๆออกมาให้เจ้าของด้วย

เรื่องราวของเจ้ากาบังได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก จนมีผู้ใจบุญร่วมบริจาคเงิน อาหาร ยาและวิตามินเพื่อช่วยเหลือมัน  ล่าสุดองค์กรความร่วมมือเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ มีการระดมทุน เพื่อจะพาเจ้ากาบังและครอบครัวไปรักษาตัวที่ประเทศอเมริกา ซึ่งอาจมีการเตรียมทำจมูกใหม่ให้เจ้ากาบัง สุนัขฮีโร่ตัวนี้

โพสต์ทูเดย์  3 ตุลาคม 2555

5573
แพทย์อินเดียผ่าตัด เจอก้อนผมหนัก 1.8 กิโลกรัมในท้องสาววัย 19 เผยชอบกินผมและชอล์กมานานแล้ว

หญิงสาววัย 19 ปี จากเมืองราชกาห์ รัฐมัธยประเทศของอินเดีย  ต้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นการด่วนหลังจากที่เธอมาพอแพทย์จากอาการทานอะไรไม่ได้เป็นเวลา 2-3 วันซึ่งจากการเอ็กซ์เรย์ช่องท้อง เพราะพบว่ามีก้อนเนื้อขนาดใหญ่อยู่ในช่องท้องของเธอ และต้องอึ้งไปกันใหญ่เมื่อผ่าตัดออกมาพบว่าก้อนเนื้อที่ว่านั้น มันคือเศษก้อนผมกับเศษชอล์กที่พันกันเป็นก้อนขนาดใหญ่หนักกว่า 1.8 กิโกกรัม

หลังจากการสอบถามเจ้าตัวยอมรับว่า เธอมีพฤติกรรมการกินแปลก ชอบกินเส้นผมและเศษชอล์กระหว่างนั่งเรียนเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มันไปอุดตันอยู่ในลำไส้ ของเธอนั่นเอง

โพสต์ทูเดย์  4 ตุลาคม 2555

5574
นักวิจัยค้นพบแบคทีเรียสามารถเปลี่ยนสารเคมีที่เป็นพิษให้กลายเป็นทองคำได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิจัยได้ค้นพบแบคทีเรียที่สามารถผลิตทองคำได้ โดยแบคทีเรียชนิดนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก Michigan State University มันอาศัยในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษอย่างสุดโต่งและยังสามารถผลิตทองคำบริสุทธิ์ 24 กะรัตได้ด้วย

เจ้าแบคทีเรียชนิดนี้สามารถทนต่อพิษได้ดีกว่าเดิมถึง 25 เท่า โดยนักวิจัยได้ทำการเพาะแบคทีเรียนี้ในโรงงานขนาดเล็กที่ทำขึ้นในห้องทดลองโดยให้ชื่อว่า The Great Work of the Metal Lover ใช้เก็บและเพาะเลี้ยงแบคทีเรียด้วย ซึ่งมันจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการเปลี่ยนสารเคมีให้กลายเป็นทองคำ

โพทส์ทูเดย์  5 ตุลาคม 2555

5575
 คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา โดย คณะอนุกรรมาธิการด้านสตรี ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการพลังสตรีเพื่อการปฏิรูปประเทศ เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ได้จัดการสัมมนาระดมความเห็น “เวทีสาธารณะ” และ “การแถลงข่าว” เผยแพร่ผลการระดมความเห็นต่อสื่อมวลชน” เสียงของผู้หญิงต่อ “ร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ....” โดย นายอภิชาต สุขัคคานนท์ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนา นายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสวุฒิสภา กล่าวต้อนรับ

นายอภิชาต ปาฐกถาเรื่อง “การส่งสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ : มิติหญิงชาย ในการพัฒนาประชาธิปไตย” โดยกล่าวว่า
ปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นโดยเฉพาะบทบาททางการเมืองพิจารณาได้จากผู้นำองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็เป็นผู้หญิง รวมทั้งผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้หญิง ประกอบกับรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวนั้นเชื่อว่าความนุ่มนวล และความเป็นผู้หญิงสามารถร่วมทำงานกับทุกฝ่ายได้ง่ายและได้รับการยอมรับโดยไม่ยาก แม้ว่าผู้หญิงจะได้รับการยอมรับมากขึ้นแต่ก็ยังมีผลการวิจัยว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นผู้หญิงมีความอ่อนแอ ไม่เหมือนผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ชาย การสนับสนุนทางการเมืองก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ แต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พยายามสนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาท และมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ส่วนเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีการกำหนดไว้ในหลายมาตราที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วม นอกจากนั้น รัฐบาลปัจจุบันมีโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับผู้หญิงซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี

นักวิชาการด้านสิทธิสตรีและเครือข่ายองค์กรสตรีภาคประชาสังคม
มีความเห็นตรงกันว่า ร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.... ของรัฐบาล มีสาระสำคัญที่เป็น “ประเด็นปัญหา” และ
“มีข้อน่าห่วงใย” ดังนี้

1. “คำนิยาม” ที่กำกวมและไม่ชัดเจน และไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะคำนิยามเรื่องเพศ เพราะปัจจุบันมีเพศอื่น นอกเหนือจากชายและหญิงมี “คำ” ที่ควรนิยามไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การส่งเสริมโอกาส” “การคุ้มครอง” “มาตรการพิเศษ” “ผู้ที่สมควรได้รับการส่งเสริมโอกาสและคุ้มครองเป็นพิเศษ”

2.การร่างกฎหมายว่าควรมีความรอบคอบและทันสมัย

3.ข้อยกเว้น “เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลทางวิชาการทางศาสนา หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ” ต้องตัดออก เพราะขัดกับหลักการ CEDAW

4.เหตุผลในการตรากฎหมาย : ไม่อ้างสาระสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อ้างพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนาม
อนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงในทุกรูปแบบ (CEDAW)

5.นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้รักษาการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้  ไม่ใช่รัฐมนตรี (ซึ่งร่างพระราชบัญญัติไม่ระบุว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใด) เพราะความไม่เสมอภาคระหว่างเป็นเพศเป็นปัญหาระดับชาติ  ไม่ใช่ปัญหาระดับกระทรวง ทบวง กรม เท่านั้น

6.การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากความแตกต่างระหว่างเพศ มีขอบข่ายมาก ต้องระบุให้ชัดเจน จะกำกวมหรือจะรอให้ประกาศในกฎกระทรวงโดยภาครัฐไม่ได้

7.ร่างพระราชบัญญัติฉบับของรัฐบาลไม่มีการระบุเรื่องการคุ้มครองและการส่งเสริมโอกาสและความเสมอภาคระหว่างเพศ แต่ชื่อของกฎหมายมีคำว่า “ส่งเสริมโอกาส”

8.คณะกรรมการส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมระหว่างเพศ (อทพ.) : กรรมการโดยตำแหน่งควรมีทุกกระทรวง และควรต้องเพิ่มอัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรภาคธุรกิจ และองค์กรสตรีภาคประชาสังคมด้วย ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิควรเพิ่มสาขาด้านสิทธิมนุษยชนและด้านสตรีศึกษาและสถาบันการศึกษาด้วย โดยในหน่วยงานที่ไม่ใช่ภาครัฐไม่ควรสรรหาและเสนอชื่อโดยรัฐมนตรี แต่ควรสรรหากันเองและนำเสนอชื่อให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งต่อไป และควรกำหนดสัดส่วนหญิงชายในคณะกรรมการให้ใกล้เคียงกันตามมาตรา 87 วรรคท้าย ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

9.คุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการ อทพ.ทุกคน ไม่ว่าจะมาโดยตำแหน่งหรือได้รับการแต่งตั้งจากการสรรหากันเองของหน่วยงานต่างๆ จะต้องไม่เป็นผู้ที่เคยต้องคดีหรือกระทำความผิดทางเพศมาก่อน

10.อำนาจหน้าที่ของ อทพ. ในเรื่องกำหนดเกณฑ์ แนวทาง และระเบียบปฏิบัติใดๆ (ถ้ามี) ต้องมีกรอบเวลากำกับไว้ด้วย

11.คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ไม่ควรมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี โดยการเสนอชื่อของ อทพ. เพราะจะกลายเป็นคณะกรรมการเล็ก ในคณะกรรมการใหญ่ ซึ่งไม่มีความเหมาะสม หากแต่กรรมการ วลพ. ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเลือกปฏิบัติและความไม่เสมอภาคระหว่างเพศอย่างแท้จริงและอำนาจหน้าที่ของ วลพ. ต้องมีการทบทวนและแก้ไข เพื่อมิให้เป็นการไปรอนสิทธิหรือกระทบสิทธิของผู้ร้องในการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ที่กฎหมายอื่นกำหนดให้กระทำได้

12.สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมโอกาสและความเสมอภาคระหว่างเพศ ต้องเป็นสำนักงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจตามพระราชบัญญัตินี้โดยเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่ภารกิจที่สำนักกิจการสตรีและครอบครัว (สค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะต้องมี “เลขาธิการสำนักงาน” ที่ไม่ใช่ข้าราชการประจำ แต่ควรเป็นผู้ที่มีความสามารถและมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการทำงานเพื่อผลักดันให้เกิดความเสมอภาคระหว่างเพศและขจัดการเลือกปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องมีการรับสมัคร คัดเลือก สรรหาตามกระบวนการอย่างโปร่งใสและควรมีการแสดงวิสัยทัศน์ด้วย

13.คณะกรรมการบริหารกองทุนต้องมาจากการสรรหามิใช่มาจากการแต่งตั้งโดย สทพ. เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ รวมทั้งยังแยกอำนาจบริหารจัดการจากฝ่ายนโยบาย (สทพ.) ออกจากฝ่ายบริหารกองทุนด้วย และภารกิจนี้ไม่ควรกระจุกตัวอยู่แต่ในหน่วยงานเล็กๆ ของภาครัฐ

14.ส่วนหนึ่งของเงินของกองทุนควรมาจากเงินงบประมาณแผ่นดินประจำปีในสัดส่วนร้อยละ 1 ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการ Gender Budgeting หรือการจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศที่แท้จริง

15.การกำหนดให้ “เจ้าพนักงานดังต่อไปนี้เห็นว่าผู้กระทำผิดไม่ควรรับโทษจำคุกหรือไม่ควรถูกฟ้องร้องให้มีอำนาจเปรียบเทียบ
ดังต่อไปนี้ (1) ผู้อำนวยการ สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ (2) ผู้ว่าราชการจังหวัด สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในจังหวัดอื่นซึ่งเป็นกระบวนการเปรียบเทียบปรับ (มาตรา 36) และเลิกคดี (มาตรา 36 วรรคท้าย) ต้องทบทวนและแก้ไข

16.บทกำหนดโทษ ควรมีการทบทวนโดยควรให้สอดคล้องกับหลักการลงโทษตามความหนักเบาของความผิด โดยโทษปรับควรนำหลักการปรับตามการประเมินความเสียหาย (punitive damages) ใช้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนเรื่องกฎหมายว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และการส่งเสริมโอกาสความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยเสียงของผู้หญิงได้เน้นยํ้าว่ามิติความเสมอภาคระหว่างเพศต้องพูดถึงผู้หญิงทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าสัญชาติใดก็ต้องได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียม เช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติหรือผู้หญิงชายขอบก็ควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย นอกจากนี้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อแต่ละกระทรวงมีการบูรณาการความร่วมมือเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกคน และความไม่เท่าเทียมกันในสังคมระหว่างผู้หญิงและผู้ชายที่มองว่ามากแล้วนั้น ผู้หญิงพิการยิ่งมีความเหลื่อมลํ้ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาที่มีการสนับสนุนให้ผู้ชายได้รับการศึกษาก่อน ซึ่งในบางครอบครัวคิดเพียงว่าให้ผู้หญิงพิการเฝ้าบ้าน ทำงานบ้าน พ่อแม่ก็คิดว่าเลี้ยงได้ แต่เมื่อพ่อแม่ตายไป ผู้หญิงพิการเหล่านี้ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรช่วยพัฒนาด้านการศึกษาและอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีพิการ สรุป ข้อคิดเห็นจากการประมวลเสียงจากผู้หญิงในเวทีนี้ ผู้หญิงอยากให้กฎหมายความเท่าเทียม ระหว่างเพศ “เท่าเทียม” อย่างแท้จริง

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือกลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226

แนวหน้า 8 ตุลาคม 2555

5576
 “เมื่อก่อนจะถามตัวเองเสมอว่า ทำไมจิตใจถึงไม่ผ่องใสเลยทั้งๆ ที่ตัวเองโชคดี มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ฐานะการเงินมั่นคง การงานก็เจริญก้าวหน้า จนเมื่อได้มีโอกาสปฏิบัติภายใต้คำชี้แนะของพ่อครูบัญชา ทำให้จิตใจแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกวันนี้ทั้งตัวเองและครอบครัวยังคงปฏิบัติอยู่ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที เป็นการอาบจิตให้สะอาดทุกวัน ล้างความสกปรกที่เข้ามาทางด้านจิตใจ ทางความคิด ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ล้างความยึดติดความมีตัวตนของตนเอง ทิ้งทุกๆ วัน อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์มากขึ้นนัก ทำให้ตัวเองและครอบครัวมีความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กันงานเปิดตัวหนังสือ “สามชั่วโมงบรรลุธรรม” โดย พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไทย

เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมิตรประเทศ และเป็นผู้ผลิตบุหรี่รายใหญ่ของโลกแล้ว สังคมอเมริกันประสบความสำเร็จที่ดีมากในระดับต้นๆ ของโลกในการรณรงค์ให้ประชาชนเลิกบุหรี่ ดังจะเห็นได้จากสถิติการสูบบุหรี่ผู้ใหญ่ลดลงจาก 43% เมื่อปีค.ศ.1964 เหลือเพียง 19% เมื่อปี ค.ศ.2010

ความสำเร็จนี้ทำให้เกิดอาการตายใจ ซึ่งไม่ดีเนื่องจากบุหรี่ยังคงคร่าชีวิตชาวอเมริกันปีละ 4 แสนคน งานวิจัยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาบ่งบอกว่าการจะลดละเลิกบุหรี่ได้จะต้องอาศัยกลยุทธ์หลายอย่างผนวกกันอย่างเข้มแข็ง ประกอบด้วยการรณรงค์ผ่านสื่อ,ขึ้นราคาบุหรี่ นโยบายการปลอดบุหรี่, และการให้ผู้อยากเลิกบุหรี่เข้าถึงบริการบำบัดเพื่อให้เลิกได้

วารสารแพทยสมาคมอเมริกันฉบับที่ 23/29 สิงหาคม พ.ศ.2555 ที่ผ่านมาเสนอให้ใช้มาตรการ 4 เสาหลัก ซึ่งสังคมไทยน่าจะพิจารณานำมาประยุกต์ใช้

ประการแรกคือการให้หลักประกันแก่ผู้ติดบุหรี่ในการเข้าถึงบริการบำบัด อย่างเช่นกองทุน Medicaid สร้างมาตรการให้หญิงตั้งครรภ์ที่ติดบุหรี่เข้าสู่การบำบัด, สนับสนุนเงินทุนสร้างฮอตไลน์ทางโทรศัพท์ เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้อยากจะเลิก, รัฐบาลขยายการรักษาข้าราชการที่ประสงค์จะเลิกบุหรี่ด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่มีข้อมูลประจักษ์ทางการแพทย์

ประการที่สอง สร้างเสริมสุขภาพของประชาชนโดยการสกัดกั้น การเข้าถึงบุหรี่ของวัยรุ่น เพราะปรากฏว่าในแต่ละวันมีวัยรุ่นอเมริกันราว 4,000 ที่ลองสูบบุหรี่แล้วอย่างน้อย 1,000 คน กลายเป็นขี้ยาไปตลอดชีพ อย.สหรัฐจึงให้งบประมาณถึง 33 ล้านเหรียญ ให้แก่ 37 มลรัฐ เพื่อจำกัดช่องทางการจำหน่ายบุหรี่ และกระทรวงสาธารณสุขอนุมัติงบประมาณอีก 200 ล้านเหรียญ เพื่อเสริมการป้องกันไม่ให้สูบบุหรี่

เสาหลักที่สาม คือ การรณรงค์ผ่านสื่อระดับชาติ โดยศูนย์ควบคุมโรค (CDC) เริ่มโครงการประชาสัมพันธ์การบอกเล่าเคล็ดการเลิกบุหรี่จากขี้ยาเก่า (Tips from Former Smokers) เพื่อให้เห็นความทุกข์ทรมานของคนที่ตกเป็นเหยื่อของโรคภัยที่เกิดจากบุหรี่ โครงการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ผู้สูบบุหรี่อีก 200,000 คน ที่โทรศัพท์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเบอร์ 1-800-QUIT-NOW

อย.สหรัฐสั่งการให้ผู้ผลิตบุหรี่ต้องแสดงภาพผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ พร้อมข้อมูลเตือนโดยรัฐบาลกำลังอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลซึ่งห้ามใช้มาตรการนี้ อันเป็นการคุ้มครองผู้ผลิตชั่วคราว

เสาหลักที่สี่ คือการเสนอรายงานการวิจัยอย่างต่อเนื่องถึงผลลบของการสูบบุหรี่ และเริ่มงานวิจัยใหญ่ที่สุดคือครอบคลุมผู้สูบบุหรี่ 55,000 คน เพื่อติดตาม และประเมินผลกระทบของบุหรี่

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผู้เสพย์ติดบุหรี่กลุ่มที่สมควรเลิกก่อนใครเลยก็คือผู้ที่มีเศรษฐฐานะไม่ดีหรือคนยากจนนั่นแหละ

ด้วยความปรารถนาดีจาก
พลตำรวจตรี นายแพทย์ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
อนุกรรมการจริยธรรมของแพทยสภา

แนวหน้า 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

5577
 นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึง ขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ว่า โครงการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ  ประจำปี 2555 นี้ ได้รับความร่วมมือจากประชาชนที่สนใจเสนอรายชื่อภาพยนตร์ที่เห็นสมควรขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ เพื่อให้คณะกรรมการการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ได้คัดเลือกและประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติ เพื่อให้คนไทยรุ่นหลังได้มองย้อนกาลเวลาผ่านภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่า โดยรายชื่อภาพยนตร์ทั้งหมดเป็นได้ทุกประเภทที่เป็นผลงานของคนไทย หรือเกี่ยวข้องกับคนไทย และชาติไทย รวมถึงเป็นผลงานที่สังคมเห็นว่าทรงคุณค่า ถ่ายทอดเรื่องราว สถานที่ บุคคล เหตุการณ์ ในมิติต่างๆ ตลอดจนมีคุณค่าด้านศิลปะภาพยนตร์  คุณค่าทางประวัติศาสตร์หรือมีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ในเรื่องการแสดง การลำดับภาพ เป็นต้น

ด้าน นายโดม สุขวงศ์ ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติเป็นเสมือนการทำบัญชีรายชื่อ เก็บรวบรวมภาพยนตร์ที่มีคุณค่า เพื่อเป็นหลักประกันว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และถือเป็นการอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทยให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสรับชมต่อไป สำหรับการประกาศรายชื่อภาพยนตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ในปีนี้มีทั้งหมด 25 เรื่อง ได้แก่
1.โชคสองชั้น (2470)
2.ชีวิตก่อน 2475 (2473)
3.แห่รัฐธรรมนูญ (2476)
4.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนคร พ.ศ.2481 (2481)
5.ทิ้งระเบิดกรุงเทพในสงครามโลกครั้งที่ 2 (2487)
6.การสวนสนามของกองกำลังเสรีไทย (2488)
7.เหตุมหัศจรรย์ (2498)
8.สวรรค์มืด (2501)
9.แม่นาคพระโขนง (2502)
10.การชกมวยชิงแชมเปี้ยนโลกระหว่าง โผนกิ่งเพชร-ปาสคาล เปเรส พ.ศ.2503 เวทีมวยลุมพินีกรุงเทพฯ (2503)
11.มือโจร (2504)
12.เรือนแพ (2504)
13.บันทึกรักของพิมพ์ฉวี (2505)
14.เงิน เงิน เงิน (2508)
15.เสน่ห์บางกอก (2509)
16.พยาธิตัวจี๊ด (GNATHOSTOMA SPINIGERUM AND GNATHOSTOMIASIS IN THAILAND : 2510)
17.ยิงเป้านักโทษค้ายาเสพติด
18.อินทรีทอง (2513)
19.ดาไลลามะในสวนโมกข์ (2515)
20.หนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์ (2517)
21.ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น (2520)
22.ครูบ้านนอก (2521)
23.เมืองในหมอก (2521)
24.คนจร ฯลฯ (2542) และ
25.สวรรค์บ้านนา (2552)

แนวหน้า 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

5578
สัมมนาโครงการประชาพิจารณ์ เรื่องผลกระทบต่อบริการทางแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชนต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
5 ตุลาคม 2555 ณ ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7 ชั้น 9 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข




5579
เป็นเวลานับพันปีที่จีนถือเอกสิทธิ์เปรียบตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก และอุปโลกน์ว่าราชบัลลังก์จีนนั้นใหญ่โตเกินกว่าจะมีขอบเขตติดต่อกับใคร หากชาติใดต้องการติดต่อกับจีนก็ต้องอ่อนน้อมเข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการยอมเป็นเมืองของขึ้นจีนก่อนดังที่เรียกกันว่าจิ้มก้อง

เงื่อนไขสำคัญที่จีนกำหนดให้ต่างชาติที่ต้องการติดต่อค้าขายกับจีนในระบบรัฐบรรณาการคือ  การต้องยอมรับความเป็นใหญ่กว่าของจีน และทำตามข้อเรียกร้องของจีน สยามมิได้ขัดข้องต่อความประสงค์ของจีน เพราะจีนมิได้เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายกิจการภายในของสยามเลย โดยจีนมองว่าสยามเป็นดินแดนล้าหลังตั้งอยู่ห่างไกล  และมิได้มีประโยชน์อันใดต่อจีนมากนัก ที่สำคัญคือสยามได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในรูปแบบของการลงทุนทางการค้า สามารถแต่งสำเภาไปค้าขายและซื้อสินค้าจากจีนโดยได้รับการผ่อนปรนกฎระเบียบอันเข้มงวดและได้รับการยกเว้นภาษี

 แต่พอขึ้นรัชกาลที่ ๔ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปภายหลังการเข้ามาของชาติตะวันตก อังกฤษบีบคั้นให้จีนเปิดเสรีการค้า เมื่อจีนขัดขืนจึงต้องทำสงครามกับอังกฤษ (สงครามฝิ่น) เมื่อพ่ายแพ้อำนาจของจีนก็เริ่มเสื่อมทรามลง แต่รัชกาลที่ ๔ ก็ยังทรงยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่จะส่งก้องไปจีนเช่นเคย และได้ทรงทำเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๓๙๗
 
ต่อมารัชกาลที่ ๔ กลับทรงบ่ายเบี่ยงและงดการส่งก้องไปจีนโดยให้เหตุผลว่า

ก. การลงทุนแต่งสำเภาไปค้าขายที่เมืองจีนเริ่มไม่คุ้มทุน เพราะสยามเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตก ภายหลังสนธิสัญญาเบาริ่ง พ.ศ. ๒๓๙๘ ส่งผลให้อภิสิทธิ์พิเศษที่ได้รับจากจีนหมดลงไป
 
ข. ทรงตระหนักว่าถูกขุนนางจีนตั้งตัวเป็นนายหน้าหลอกลวงคนไทยตลอดมา ด้วยการดัดแปลงพระราชสาส์น ข่มขู่ และใช้อุบายล่อลวงยุยงพระเจ้าแผ่นดินไทยให้หลงเชื่อ เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ จึงทรงออกประกาศระงับการไปจิ้มก้อง ในปี พ.ศ. ๒๔๑๑

สมัยรัชกาลที่ ๕ จีนก็ทวงก้องเข้ามาอีก ในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ บังเอิญในระยะนั้นจีนถูกฝรั่งเศสคุกคาม เพราะต้องการยึดแคว้นตังเกี๋ยไปจากจีน นำไปสู่สงครามตังเกี๋ย เมื่อจีนแพ้ทำให้ต้องยอมสละตังเกี๋ย  (ญวน) ให้ฝรั่งเศส ต่อมาก็ต้องยอมยกเกาหลีให้ญี่ปุ่น ทำให้ฐานอำนาจของราชบัลลังก์จีนสั่นคลอนลงอย่างมาก สยามได้ทีจึงยกเลิกธรรมเนียมจิ้มก้องอย่างถาวรในรัชกาลที่ ๕

หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าจีนทวงก้องเข้ามาอีกเลย และพอถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ ราชวงศ์ชิงก็สูญเสียอำนาจที่เคยมีทั้งหมด เกิดการปฏิวัติทางการเมืองภายในจีน ทำให้การปกครองในระบอบจักรวรรดิที่เก่าแก่กว่า ๒,๐๐๐ ปี ต้องสิ้นสุดลงพร้อมกับระบบรัฐบรรณาการที่ปักกิ่งเคยเป็นศูนย์กลางของโลกก็มาถึงกาลอวสานโดยสิ้นเชิง

( คัดย่อจาก ศิลปวัฒนธรรม 11 กันยายน 2555 ไกรฤกษ์ นานา  นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ )

5580
ทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันพบหลักฐานที่โยงความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมกับโภชนาการของเด็กหญิงวัยรุ่นจากการศึกษาเรื่องนี้ในหนูทดลองที่มหาวิทยาลัย University of California Davis

คุณรัส โฮวี่ หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าทีมวิจัยศึกษาพัฒนาการของหนูทดลองตัวเมียที่ระบบการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกบล็อกไม่ให้ทำงาน ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีบทบาทในพัฒนาการทางเพศของผู้หญิง รวมทั้งการเติบโตของเต้านม ในการทดลอง หนูตัวเมียไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้

หลังจากนั้นนักวิจัยให้หนูทดลองกินอาหารที่มีระดับแคลอรี่สูง เป็นอาหารทีมีกรดไขมันชนิด 10 และ 12 ซีแอลเอ อาหารที่มีกรดไขมันทั้งสองอย่างในปริมาณสูงทำให้หนูเริ่มพัฒนาอาการก่อนเป็นโรคเบาหวาน คือ เริ่มมีความผิดปกติในระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำหนักตัวเพิ่ม ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมากและมีความดันโลหิตสูงตามมา

หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่าอาหารที่มีกรดไขมันสูงยังไปกระตุ้นให้เต้านมหนูทดลองโตขึ้นทั้งๆที่ระบบผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายหนูทดลองจะถูกควบคุมไม่ให้ผลิตฮอร์โมนก็ตาม

สิ่งที่การวิจัยพบแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีกรดไขมันบางชนิดในระดับสูงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย แต่ที่สร้างความแปลกใจแก่ทีมงานมากที่สดุคือการค้นพบว่าแม้หนูทดลองตัวเมียจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน เต้านมของหนูยังโตขึ้น

นอกจากนี้นักวิจัยพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงทำให้หนูทดลองบางตัวยังเกิดก้อนเนื้อในเต้านมด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้เกิดกับหนูทดลองทุกตัว นักวิจัยสงสัยว่าพันธุกรรมน่าจะมีบทบาทที่ทำให้หนูทดลองบางตัวเกิดมะเร็งในเต้านม

ผลการวิจัยนี้ทำให้ทีมงานเชื่อว่าอาหารที่มีกรดไขมันบางอย่างสูง มีผลให้เด็กผู้หญิงวัยรุ่นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคอื่นๆเมื่ออายุมากขึ้น

คุณโฮวี่ กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่สองที่เกิดจากอาหาร ที่อาจจะมีผลให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้น โดยไม่เกี่ยวพันกับฮอร์โมนเอสโตรเจน

โรคเบาหวานประเภทสองที่เกิดจากการโภชนาการที่ไม่สมดุลกลายเป็นปัญหาสุขภาพของคนทั่วโลกในปัจจุบัน ผลการวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันครั้งนี้ชี้ว่าโรคมะเร็งเต้านมกำลังกลายเป็นปัญหาที่ตามมาติดเพราะเชื่อว่าเป็นผลสืบเนื่องจากโรคเบาหวานประเภทที่สอง

มติชนออนไลน์  2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หน้า: 1 ... 370 371 [372] 373 374 ... 537