แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 653
6556
 รพ.ราชวิถีเผยลักษณะผู้ร้ายมอมยาตีสนิทคนสูงอายุอ้างอำนวยความสะดวกแทน เร่งประชาสัมพันธุ์เพิ่มการตรวจตาอย่างเคร่งครัดรุบะที่ผ่านมายังไปพบผู้ป่วยถูกหลอก
       
       วันนี้(12 ต.ค.)นพ.อุดม เชาวรินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวถึงกรณีปัญหามิจฉาชีพแฝงตัวมอมยาผู้ป่วยปลดทรัพย์ ว่า ในส่วนของโรงพยาบาลจากการตรวจสอบยังไม่พบปัญหาคนไข้ถูกมอมยาหรือประสงค์ต่อทรัพย์ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข่าว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางโรงพยาบาลมีมาตรการออกเสียงตามสายและประชาสัมพันธ์ตลอดเวลาในช่วงเช้าและบ่าย เนื่องจากในอดีตโรงพยาบาลราชวิถีเคยประสบปัญหาทั้งเรื่องมิจฉาชีพลักทรัพย์ แก๊งลักเด็กมาก่อน ทำให้มีมาตรการเฝ้าระวังอยู่แล้ว โดยจะเป็นการประกาศเตือนอย่าหลงไว้ใจมิจฉาชีพเข้ามาตีสนิท
       
       อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจสอบบริเวณด้านล่างของอาคาร มีกล้องวงจรปิด บริเวณจุดบริการผู้ป่วยนอก โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมของคนร้าย ที่เคยพบในโรงพยาบาล จะเป็นลักษณะการหลอกเข้ามาตีสนิทกับผู้ป่วยสูงอายุ หลอกว่า จะอำนวยความสะดวกให้ในการซื้อยา จ่ายเงิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินไปที่แผนกด้วยตนเอง ทำให้หลงมอบเงินให้ และหนีหายไปเลย ทำให้ผู้ป่วยสูญเงินและไม่ได้รับยาตามที่ต้องการ
       
       ผอ.โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ทาง โรงพยาบาลได้มีการปรับปรุงตึกผู้ป่วยนอกใหม่ จะเร่งติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่ม ส่วนการประชาสัมพันธ์ก็จะย้ำตามปกติ เหมือนที่ปฏิบัติ แต่จะให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเฝ้าระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ตุลาคม 2556

6557
รพ.รามาธิบดี ออกเอกสารชี้แจงต่อสื่อ เหตุมิจฉาชีพมอมยาประชาชนใน รพ. เตือนขอให้ประชาชนระมัดระวังมากขึ้น ไซลาซีนอันตรายหากรับเข้าร่างกายในปริมาณสูง
       
       วานนี้ (11 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รพ.รามาธิบดี ได้ออกเอกสารชี้แจงต่อสื่อมวลชน ว่า ตามที่มีเหตุการณ์ผู้มารับบริการถูกมิจฉาชีพหลอกให้ดื่มน้ำที่ผสมยาไซลาซีน จนทำให้หมดสติและปลดทรัพย์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง รพ.รามาธิบดี มีความห่วงใยผู้มาใช้บริการ เนื่องจากในแต่ละวันมีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และอาจมีมิจฉาชีพปะปนอยู่ ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงออกประกาศแจ้งเตือนเป็นการภายในเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติระวังตัวมากขึ้นพร้อมเน้นย้ำบุคลากรในเรื่องมาตรการความปลอดภัย ส่วนมาตรการเรื่องยานั้นทาง รพ.ได้เรียนประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว เพื่อหาแนวทางป้องกันในระยะยาวต่อไป
       
       รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดี ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ต้องออกหนังสือเวียนแจ้งเตือนบุคลากร เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ตกเป็นเหยื่อถึง 2 ราย โดยเมื่อแพทย์ตรวจร่างกายจึงรู้ว่าคนไข้ได้รับสารดังกล่าว สารดังกล่าวหากได้รับเข้าไปในปริมาณสูงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้แต่โชคดีแพทย์ช่วยไว้ได้ทัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณสารไซลาซีนที่ได้รับเข้าไปในร่างกายด้วย
       
       ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้สัมภาษณ์ ว่าได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวให้ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ทราบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากได้รับการประสานงานเรื่องนี้จาก ผอ.รพ.รามาธิบดี ทั้งนี้ยาไซลาซีน ขึ้นทะเบียนเป็นยาสำหรับสัตว์ ฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อให้สัตว์ เช่น ม้า โค สุนัข และแมว มีอาการสงบก่อนเคลื่อนย้าย หรือก่อนการผ่าตัดเพื่อให้สัตว์สงบ จัดเป็นยาอันตราย มีฤทธิ์คลายความเจ็บปวด คลายกล้ามเนื้อในสัตว์ แต่ไม่เคยอนุญาตให้ใช้ในคน โดยยานี้ขึ้นทะเบียนเป็นยาฉีดกับ อย. 9 ตำรับ เป็นยาที่ผลิตในประเทศ 6 ตำรับ นำเข้า 3 ตำรับ ยาตัวนี้เมื่อกินเข้าไปออกฤทธิ์ได้เช่นกัน แสดงว่าคนร้ายเอาไปใช้ละลายน้ำเอาไปให้เหยื่อดื่ม ซึ่งออกฤทธิ์ได้ไม่มากเท่าฉีด ตรงนี้เป็นจุดที่ต้องมีมาตรการคุมเข้มงวดมากขึ้น ตอนนี้ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากการนำไปใช้ผิด วัตถุประสงค์ในคน อย่างไรก็ตามกำลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบริษัทที่มาขึ้นทะเบียนทั้ง 9 ตำรับว่าขายไปที่ใดบ้าง คาดว่าคงใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
       
       “เมื่อมีการนำยาดังกล่าวไปใช้ผิดวัตถุ ประสงค์ อย.คงต้องดูข้อมูลจากบริษัทว่าขายไปที่ไหนบ้าง ยานี้จัดเป็นยาอันตรายร้านขายยาสามารถขายได้ อาจจะต้องไม่ใช้ใบส่งของสัตวแพทย์ ดังนั้นอาจมีคนไปซื้อและนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นเมื่อมีปัญหาอาจจะนำเสนอคณะกรรมการยาพิจารณาว่าจะยกระดับเป็นยาควบคุมพิเศษ โดยต้องหารือกับสัตว แพทย์ด้วย ซึ่งอาจจะให้ใช้ได้เฉพาะใน รพ. สัตว์ หรือคลินิกสัตว์เท่านั้น หรือให้ใช้ภายใต้การกำกับดูแลของสัตวแพทย์ ซึ่งต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงก่อนว่ามีการนำไปใช้ผิดกฎหมายในลักษณะอื่นหรือไม่” เลขาธิการ อย. กล่าว
       
       ขณะที่ ร.ต.ต.สมพร ชูนุ่น พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา นางเอมอร เดชทวิสุทธิ์ อายุ 47 ปี เข้าแจ้งว่า นางวัชรี เดชทวิสุทธิ์ อายุ 69 ปี ชาว จ.นครนายก ถูกคนร้าย เป็นชาย ทำทีเป็นหวังดีนำน้ำเปล่ามาให้ดื่ม ขณะรับประทานอาหารที่รพ.รามาธิบดี หลังจากนั้นหมดสติไป ก่อนแพทย์-พยาบาลให้การช่วยเหลือจนปลอดภัย โดยพบว่า มีโทรศัพท์มือถือและเงินสดรวมมูลค่า 14,000 บาท หายไป สำหรับพฤติการณ์ของคนร้าย จะมุ่งเป้าเหยื่อที่เป็นผู้สูงอายุ ดูไม่ค่อยแข็งแรง โดยคนร้ายจะแต่งกายดูภูมิฐาน ทำทีเป็นผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาล เมื่อเห็นเหยื่อ จึงทำเป็นหวังดี นำน้ำเปล่ามาให้ดื่ม พอหมดสติ ก็ขโมยทรัพย์สิน ทั้งนี้ได้นัด นางวัชรี มาให้ปากคำ ในวันที่ 16 ต.ค.นี้
       
       ด้าน พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผบช.น. รับผิดชอบงานด้านสืบสวน เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของรพ.รามาธิบดี อย่างละเอียด เบื้องต้นพบว่ามีโรงพยาบาลที่ถูกคนร้ายเข้าไปก่อเหตุ 3 แห่ง ได้แก่ รพ.รามาธิบดี รพ.สงฆ์ และรพ.ราชวิถี แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นคนร้ายรายเดียวกันหรือไม่ทั้งนี้จากการสอบสวนผู้เสียหาย และตรวจสอบกับทางโรงพยาบาล เบื้องต้นภาพผู้ต้องสงสัยเป็นชาย อายุประมาณ 40-50 ปี รูปร่างสูง ใหญ่ ใส่ผ้าปิดจมูกอำพรางใบหน้า เข้าไปใกล้ชิดกับผู้เสียหาย กำลังตรวจสอบว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับคดีมอมยารูดทรัพย์พระภิกษุที่สถานีขนส่งหมอชิตหรือไม่ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานสักระยะ คาดว่าภาย ในสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าแน่นอน
       
       ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยว่าจากแนว ทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนร้ายรายดังกล่าวน่าจะก่อเหตุมาแล้วทั้งหมด 5 คดี โดยก่อเหตุที่ รพ.สงฆ์ 1 คดี พื้นที่ สน.พญาไท ก่อเหตุที่หมอชิต 1 คดี พื้นที่ สน.บางซื่อ ก่อเหตุบริเวณหัวลำโพง 1 คดี บริเวณพื้นที่สน.นพวงศ์ โดยทั้ง 3 คดี เป็นพระสงฆ์ที่ถูกคนร้ายให้ดื่มเครื่องดื่มเกือบทั้งหมด รวมถึงบริเวณใน รพ.พระมงกุฎ เป็นชายไม่ทราบชื่ออีก 1 ราย ไม่ได้เข้าแจ้งความ และล่าสุดคือที่ รพ.รามาธิบดี 1 ราย นั้น ทั้งหมดน่าจะเป็นคนเดียวกันหรือคนร้ายกลุ่มเดียวกัน ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบหาความเชื่อมโยงต่อไป.

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    12 ตุลาคม 2556
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000128257

6558
จากการที่เราอาจถูกหลอกมานานให้รังเกียจน้ำมันที่เป็นไขมันอิ่มตัว เพื่อมาใช้ไขมันไม่อิ่มตัว ดังนั้น เราน่าจะมาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "กรดไขมัน"เสียก่อน ว่าไขมันที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้มีอยู่ 2 มิติที่มีความเชื่อมโยงกัน คือ มิติว่าด้วยเรื่องความอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว และมิติที่สองคือว่าด้วยเรื่องความยาวของโมเลกุลในกรดไขมันนั้น สำหรับในตอนนี้จะกล่าวถึงมิติว่าด้วยเรื่องความอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ

ภาพที่ 8 น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันปรุงอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากที่สุด

       1. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acids) คือกรดไขมันที่เป็นไขมันเต็มตัว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่ โดยที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยสายโซ่ที่อะตอมของคาร์บอน (C) เชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ด้วยแขนเดี่ยว (Single Bond) โดยสมบูรณ์ และแขนที่เหลือก็จับกับไฮโดรเจนเต็มพิกัด ทำให้โมเลกุลอยู่ตัว และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับธาตุใดๆ อีก นั่นหมายความว่ากรดไขมันเหล่านี้ไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน เข้าไปแทรกได้อีก

ภาพที่ 9 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของกรดลอริก (Lauric Acid) เป็นหนึ่งในกรดไขมันอิ่มตัวที่พบในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 50% ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาร์บอนอะตอม (C) ได้จับกับคาร์บอนด้วยแขนเดี่ยวและแขนที่เหลือได้จับกับไฮโดรเจนจนสมบูรณ์แล้วไม่เปิดโอกาสให้ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนหรือออกซิเจนอีก

       กรดไขมันอิ่มตัวอยู่ในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 86%-91% รองลงมาคืออยู่ในน้ำมันแก่นปาล์มประมาณ 83% อยู่ในเนยเหลวประมาณ 69% อยู่ในน้ำมันปาล์มประมาณ 45% อยู่ในไขมันจากวัว 54% และอยู่ในน้ำมันหมูประมาณ 46%
       
        ในขณะที่ไขมันอิ่มตัวอยู่น้ำมันถั่วเหลืองเพียง 15% และอยู่ในน้ำมันข้าวโพดเพียง 13.7% เท่านั้น
       
        ในชั้นนี้จะขอกล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง "น้ำมันแก่นปาล์ม" กับ "น้ำมันปาล์ม" เอาไว้เบื้องต้นก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพราะคุณสมบัติของ 2 ชนิดนี้ต่างกันมากเพราะใช้ที่มาจากผลของปาล์มต่างกัน ทั้งนี้น้ำมันแก่นปาล์มได้มาจากแก่นของปาล์ม (Kernel) มีคุณสมบัติรองจากน้ำมันมะพร้าว ในขณะที่น้ำมันปาล์มที่ใช้กันส่วนใหญ่ในตลาดนั้นได้มาจากไฟเบอร์น้ำมัน (Mesocarp) น้ำมันจะได้จากการกดหรือการแยกด้วยสารละลายทำให้ได้ น้ำมันดิบจากแก่นของปาล์ม (CPKO) (5%) และ น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) (15-20%) ซึ่งน้ำมันปาล์มที่ใช้กันส่วนใหญ่ในตลาดนี้มีคุณภาพด้อยกว่าน้ำมันมะพร้าวอยู่มาก

ภาพที่ 10 ผลของปาล์มที่นำมาใช้ผลิตน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร 2 ชนิดคือ น้ำมันปาล์มที่จากแก่นปาล์ม และน้ำมันปาล์มที่ได้จากไฟเบอร์น้ำมัน (Mesocarp)

       คุณสมบัติที่ดีของกรดไขมันอิ่มตัว คือ ไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน และออกซิเจนเข้าแทรก จึงเกิดประโยชน์ตรงที่ว่าเมื่อกรดไขมันเหล่านี้โดนความร้อนที่ผ่านอุณหภูมิสูงก็ไม่เกิดการเติมออกซิเจนและไฮโดรเจนแต่ประการใด
       
        กรดไขมันเมื่อโดนอากาศจึงสัมผัสกับก๊าซออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้เกิด "อนุมูลอิสระ" อันเป็นเหตุของความเสื่อมในโมเลกุลและทำให้เกิดการหืน เปรียบเสมือนเหล็กสัมผัสกับออกซิเจนแล้วเกิดสนิม ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นตัวการทำให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมของร่างกายอย่างมากมาย เช่น เหี่ยวย่น ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ รหัสพันธุกรรมกลายพันธุ์จนเป็นโรคร้ายได้หลายโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง
       
        ดังนั้นเมื่อคุณสมบัติพิเศษของกรดไขมันอิ่มตัวไม่เปิดให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยาได้ กรดไขมันอิ่มตัวจึงไม่เปิดโอกาสให้เกิดปฏิกิริยาสร้างอนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะโดนความร้อนหรือไม่ก็ตาม
       
        เพราะกรดไขมันอิ่มตัวไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน เข้าแทรกด้วย จึงสามารถโดนความร้อนได้โดยไม่เกิดการเปลี่ยนสภาพโมเลกุลเป็นไขมันทรานส์ (Trans fats) ซึ่งไขมันทรานส์นี้เองจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของรหัสพันธุกรรม DNA ของเซลล์ และด้วยไขมันทรานส์นี้เป็นสาเหตุอันตรายต่อสุขภาพก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ด้วยเหตุนี้จึงมีการรณรงค์ให้หยุดกินน้ำมันไม่อิ่มตัวที่ทอดซ้ำในหลายประเทศ ซึ่งจะกล่าวในเรื่องไขมันทรานส์ในโอกาสต่อไป
       
        ในขณะที่กรดไขมันอิ่มตัวไม่มีช่องว่างทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเมื่อโดนความร้อนจึงไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อนำไปผ่านความร้อน คนไทยในสมัยก่อนที่นิยมรับประทานไขมันอิ่มตัวสูง จึงแทบไม่พบผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจมากเท่ากับยุคปัจจุบันที่นิยมรับประทานน้ำมันไม่อิ่มตัวหรือน้ำมันผ่านกรรมวิธี (Trans Fats)
       
        ในสมัยก่อนประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ชาวบังกลาเทศ หรือ ไพลีนีเซียน สมัยก่อนกินน้ำมันมะพร้าวมาก ไม่เคยมีโรคหัวใจเลย แต่ปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้เมื่อบริโภคน้ำมันชนิดไม่อิ่มตัวมากขึ้น กลับมีโรคหัวใจมากขึ้น เช่นเดียวกันกับในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2473 - พ.ศ. 2483 ไม่ได้กินน้ำมันพืชน้ำมันถั่วเหลือง แต่กินอาหารอย่างอื่น กินแต่น้ำมันมะพร้าว ปรากฏว่าช่วงหลังอัตราการเกิดโรคหัวใจสูงขึ้น
       
        หรือตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือคนไทยเองสมัยก่อนใช้น้ำมันอิ่มตัวในการปรุงอาหาร เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู แต่สาเหตุการเสียชีวิตของคนสมัยก่อนไม่ได้เกี่ยวกับหลอดเลือดหรือโรคมะเร็งมากเท่าปัจจุบัน จริงหรือไม่?

ภาพที่ 11 แผนภูมิแสดงสัดส่วนของการเสียชีวิต 10 อันดับแรกระหว่าง พ.ศ. 2505 ที่คนไทยบริโภคแต่น้ำมันที่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว กับ พ.ศ. 2554 ที่คนไทยบริโภคน้ำมันจากไขมันไม่อิ่มตัวเพิ่มมากขึ้น
       

ภาพที่ 12 กราฟแสดงอัตราของผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคมะเร็งต่อประชากรพันคนในประเทศไทยในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2524
       

ภาพที่ 13 กราฟแสดงอัตราของผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจต่อประชากรพันคนในประเทศไทยในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2524
       จริงอยู่ที่ว่าอาจจะมีคนโต้แย้งว่าสาเหตุการเจ็บป่วยเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดจากน้ำมันพืชก็ได้จริงไหม?
       
        แต่เมื่อมาดูงานวิจัย 2 ชิ้น ในปี พ.ศ. 2537 และ ปี พ.ศ. 2542 (านวิจัยของ Felton, C.V. ; Crook, D.; Davies, MJ.; and Oliver, M.F. 1994. Dietary polyunsaturated fatty acids and composition of human aortic plages ตีพิมพ์ใน Lancet 344:1, 195-1,11196. และงานวิจัยของ Enig, M.G. 1999. Coconut : In Support of Good Health in the 21st Century. Paper Presented at the 36th Meeting of APCC) ก็จะพบว่า....
       
        "สารที่มีชื่อว่า Athermoas ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตัน (Plague) ในหลอดเลือด เป็นพวก "ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง" และจากการวิเคราะห์แผ่นไขมันที่เกาะที่เส้นเลือดพบว่าในอนุพันธ์คอเลสเตอรอลถึง 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว เป็นไขมันอิ่มตัวเพียง 26% และกรดไขมันอิ่มตัว 26% นี้ก็ไม่ใช่กรด ลอริก หรือ กรดไมริสตริกจากน้ำมันมะพร้าวเลย"
       
        สรุปว่า "กรดไขมันอิ่มตัว" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันมะพร้าวถึงประมาณ 86%-93%นั้น เป็นน้ำมันพืชดื่มสกัดเย็นได้มีคุณภาพสูงมาก ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ทอดหรือผัดได้ดีที่สุด เพราะมีไขมันอิ่มตัวในระดับสูงมากที่ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน ในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง
       
        2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acids) คือกรดไขมันที่มีอะตอมของคาร์บอนเชื่อมต่อกันด้วยแขนคู่ (Double Bond) นั้นหมายความว่าแขนของคาร์บอนยังจับไฮโดรเจนไม่ครบ เปิดโอกาสให้มีการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจนเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในขณะที่ผ่านความร้อน เพราะแขนคู่เหล่านั้นอาจกลายสภาพไปทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจนที่เติมหรือสัมผัสเข้ามาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแขนคู่ที่คาร์บอนอะตอมนั้นมีกี่ตำแหน่งที่จะเปิดโอกาสให้ทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆต่ออีก ดังนั้นกรดไขมันอิ่มตัวจึงแบ่งได้อีก 2 ลักษณะได้แก่
       
        2.1 กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง คือกรดไขมันที่คาร์บอนอะตอม (C) ตำแหน่งเดียวยังจับธาตุไฮโดรเจนไม่ครบอยู่ 1 ตำแหน่ง จึงจับแขนคู่ (Double Bond) กับคาร์บอนอะตอมด้วยกันเอง แปลว่ายังมีโอกาสทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมกับออกซิเจนซึ่งทำให้หืนอีก 1 ตำแหน่ง หรือทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนจนกลายสภาพได้ในระหว่างโดนความร้อนสูง 1 ตำแหน่ง ดังนั้นน้ำมันประเภทนี้แม้จะมีประโยชน์สูงอยู่หลายด้านหากนำมารับประทานโดยตรงโดยไม่ผ่านความร้อน กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง ประเภทกลุ่มนี้พบมากที่สุดใน น้ำมันมะกอก (มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77%)
       
        อย่างไรก็ตามกรดไขมันเหล่านี้ก็ยังถือว่ามีเพียงแค่ 1 ตำแหน่งเท่านั้นที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งแปลว่าแม้ว่าจะไม่ควรใช้ทอดหรือผัด แต่ผลเสียที่จะเกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนและออกซิเจนก็มีเพียง 1 ตำแหน่งเท่านั้น

ภาพที่ 14 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของกรดโอเลอิก (Oleic Acid) เป็นหนึ่งในกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวพบในน้ำมันมะกอกประมาณ 50% - 83% ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาร์บอนอะตอม (C) ได้จับกับคาร์บอนด้วยแขนคู่ 1 ตำแหน่ง จึงเปิดช่องว่าให้ไฮโดรเจนหรืออกซิเจนเข้ามาทำปฏิกิริยาได้อีก 1 ตำแหน่ง

       สรุปว่า "กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันพืชที่มีประโยชน์สูงในเรื่องไขมันในหลอดเลือดแต่เหมาะกับการดื่มโดยสกัดเย็น แม้จะยังไม่เหมาะสำหรับใช้ผัดหรือทอดเสียทีเดียว แต่ก็ยังเลวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับไขมันอิ่มตัวหลายตำแหน่ง เพราะยังเปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน อยู่เพียง ตำแหน่งเดียว โดยเฉพาะในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง
       
        2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือกรดไขมันที่คาร์บอนอะตอม (C) ตำแหน่งเดียวยังจับธาตุไฮโดรเจนไม่ครบมากกว่า 1 ตำแหน่งขึ้นไป จึงจับแขนคู่ (Double Bond) กับคาร์บอนอะตอมด้วยกันเองมากกว่า 1 ตำแหน่งขึ้นไป แปลว่ายังมีโอกาสทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมกับออกซิเจนซึ่งทำให้หืนได้หลายตำแหน่ง หรือทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนจนกลายสภาพได้ในระหว่างโดนความร้อนสูงได้มากกว่าหลายตำแหน่ง ดังนั้นน้ำมันประเภทนี้จึงเกิดอนุมูลอิสระได้มาก และเกิดไขมันทรานส์ได้ง่ายหากโดนความร้อนสูง พบไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งมากใน น้ำมันถั่วเหลือง 60% น้ำมันข้าวโพด 59.5%

ภาพที่ 15 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของ กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ที่มีเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 2 ตำแหน่ง (มีคาร์บอนอะตอม (C) ไม่จับกับไฮโดรเจน แต่จับคาร์บอนอะตอมกันเองด้วยแขนคู่ 2 ตำแหน่ง) ซึ่งกรดไลโนเลอิกนี้มีมากในน้ำมันข้าวโพด 58%, น้ำมันถั่วเหลือง 51%, น้ำมันงา 45%

       สรุปว่า "กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ถือว่ายังไม่เหมาะสำหรับใช้ผัดหรือทอดเสีย เพราะเปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง ยิ่งเมื่อนำมาทอดซ้ำแล้วจะเกิดอนุมูลอิสระมาก และเป็นสารก่อมะเร็ง

ภาพที่ 16 แผนภูมิสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัว พบว่าน้ำมันมะพร้าวถือเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงที่สุด จึงเหมาะแก่การปรุงอาหารด้วยความร้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาน้ำมันปรุงอาหารทุกชนิด


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    11 ตุลาคม 2556

6559
“หมอเทวดา” นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ผู้เป็นความหวังของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาด้วยสมุนไพร สิ้นแล้วด้วยวัย 93 ปี เจ้าหน้าที่ยันคลินิกยังเปิดสานเจตนารักษาผู้ป่วยเหมือนเดิมโดยทายาทผู้เป็นหลานชาย
       
       วงการแพทย์ทางเลือกสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ หรือ “หมอเทวดา” ที่รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 93 ปี ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน เมื่อช่วงเช้า 07.40 น.ที่ผ่านมา (11.ต.ค.) จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่คลินิกของนพ.สมหมาย หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556
       
       นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2464 จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างปี 2488-2489 เข้ารับราชการเป็นอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมาจบการศึกษาการแพทยศาสตร์บัณฑิต ศิริราชพยาบาลในอีก 2 ปีต่อมา ปี พ.ศ.2494-2495 เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่สถานเสาวภา ต่อมามาเป็นแพทย์แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลศิริราช กระทั่งปี พ.ศ.2499-2517 ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี
       
       เมื่อปี พ.ศ.2521 นพ.สมหมาย ทำการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็ง โดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับสมุนไพร ปี พ.ศ.2542 ได้มอบสูตรยาให้กับองค์การเภสัชกรรมโดยร่วมงานกับ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซ
       
       จนปี พ.ศ.2552 ก็ประสบความสำเร็จในการคิดค้นเป็นสูตรยาตำรับแรกของเมืองไทยที่เป็นที่ยอมรับในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน
       
       นพ.สมหมาย เปิดคลินิกรักษาโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
       
       หลังการเสียชีวิตของ นพ.สมหมาย เจ้าหน้าที่คลินิกเปิดเผยกับทีมข่าว ASTVผู้จัดการว่า คลินิกจะยังคงเปิดทำการตามปกติ โดยมี พ.ท.นพ.นิกร ไวประดับ หลานแท้ๆ ของ นพ.สมหมาย ซึ่ง นพ.สมหมาย ฝึกฝนและส่งให้เรียนเฉพาะด้านการรักษาโรคมะเร็ง โดยจะยังใช้สูตรและวิธีการเดียวกับที่ นพ.สมหมายใช้มาก่อน
       
       สำหรับศพของ นพ.สมหมาย จะนำศพออกจากโรงพยาบาลศิริราช มารดน้ำศพและตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดสังฆราชาวาส อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ในวันที่ 12 ตุลาคม 2556 เวลา 16.00 น.และมีกำหนดการพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 19 ตุลาคม 2556 เวลา 16.00 น.
       
       ตำนานหมอเทวดา
       
       ก่อนหน้านี้ ASTVผู้จัดการ Live-Lite ได้เจาะประวัติและผลงานของ “หมอเทวดา” นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ นี้ไว้พบว่า ท่านเป็นผู้เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้กลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการอุทิศแรงกาย แรงใจ และสละเวลาตลอดชีวิตของการทำงานเพื่อค้นหาสูตรยาสมุนไพรที่จะมาพิชิตโรคร้าย แม้ว่าตอนนี้วัยจะล่วงเลยมาถึง 90 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งอยู่มิได้ขาด เพื่อแลกกับการต่อลมหายใจให้กับผู้คนนับร้อยนับพันชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า “หมอเทวดา”
       
       “หมอเทวดา” ชื่อที่ชาวบ้านต่างพากันเรียกขาน ด้วยกิตติศัพท์ที่สามารถรักษาโรคมะเร็งร้ายให้หายได้ ด้วยวีธีการรักษาแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน จนมีผู้ป่วยหลายรายหายป่วย และบางรายอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
       
       จากการบอกเล่าของผู้ป่วยที่มาทำการรักษา จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ไม่นานชื่อเสียงของ “หมอเทวดา” แห่งสิงห์บุรีก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกหนระแหง
       
        “อย่าเรียกผมว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะผมเป็นเพียงแค่หมอธรรมดาเท่านั้น” แม้ว่า นพ.สมหมาย จะปฏิเสธชื่อ “หมอเทวดา” ที่ชาวบ้านขนานนามให้ แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นที่ยอมรับด้วยแรงศรัทธาของผู้คนถึงความตั้งใจในการรักษาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างแท้จริง
       
       หมอสมหมาย มีความสามารถวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคมะเร็งมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2520 และได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ
       
        “สมุนไพร” รักษามะเร็งรอด!
       
       เกือบครึ่งศตวรรษแล้ว...ที่หมอผู้เสียสละได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งให้พบทางรอดอีกครั้ง
       
       ตามประวัติพื้นเพเดิมของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อทางการแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2494
       
       หลังสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช และสนใจเรื่องการรักษามะเร็งเนื่องจากการรักษาโรคอื่นทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัด หรือฉายแสง สามารถทำได้ยาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้นหายาสมุนไพร มาช่วยในการรักษามะเร็ง
       
       ด้วยจิตสำนึกอยู่เสมอว่า “ในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย”
       
       หมอสมหมายได้ทำการค้นคว้าวิจัยการแพทย์ทางเลือกอย่างสมุนไพร จึงทำให้เกิดเส้นทางใหม่ที่เรียกว่า“การแพทย์ทางร่วม” ในการรักษามะเร็ง หลังจากย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกเพื่อไปเป็นหมอที่บ้านเกิด คือ โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า “ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน”
       
       คลินิกหมอสมหมาย จึงเกิดขึ้น ณ บ้านไม้หลังใหญ่ ข้างตลาดปลาสด จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวบ้านละแวกนั้น รวมทั้งคนต่างจังหวัดที่เข้ามารับการรักษาตามคำร่ำลือถึงกิตติศัพท์ “หมอเทวดา” จากที่เคยเปิดการรักษาโรคทั่วไป ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างจริงจัง...ท่ามกลางความหวังของผู้เข้าทำการรักษาจำนวนมาก
       
       ความหวังของผู้ป่วยนับพันชีวิต
       
       ราวๆ 05.00 นาฬิกา ผู้ป่วยจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อรอลงชื่อเข้ารับการรักษา บางรายมารอคลีนิกเปิดตั้งแต่ตี 2 ทันใดที่ประตูเปิดคลื่นผู้ป่วยนับร้อยต่างกรูเข้าไปเพื่อรอรับการรักษา ด้วยใบหน้าอย่างมีความหวังถึงผลการรักษาที่ดีขึ้น
       
       การรักษาผ่านไปคนแล้วคนเล่า จากประสบการณ์การรักษาทั้งผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะเบื้องต้นซึ่งพอรักษาเยียวยาให้หายขาดได้ และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ทำได้เพียงแค่ยืดเวลาชีวิตออกไป แม้เป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าข้อความบนบอร์ดกระดานจะรายงานคิวที่ยาวเหยียดมากเท่าใดก็ตาม
       
       ในทุกวันผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นร่วมๆ 100 กว่าคน ซึ่งเป็นผลมาจากสื่อที่เผยแพร่ออกไป ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ต่างประโคมข่าวไปทั่วทุกหนแห่ง แต่หมอสมหมายยังยืนยันเช่นเดิมว่า “จะตรวจทุกคน ไม่ต้องกลัวมาเสียเที่ยว” กว่าผู้ป่วยจะหมด เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี ถือเป็นอันจบภารกิจการทำหน้าที่ “หมอ” ของวันจรดคืน
       
       ก่อนจะเสียชีวิต ทุกๆ วันหมอสมหมาย ได้ทุ่มเทกำลังเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่อย่างไรก็ตามยังคงรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งต่อไป
       
       “ปกติตามธรรมชาติใบไม้จะร่วงปีละ 1 ครั้ง เมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 90 ปี ข้าพเจ้าจะเลิกรักษาโรคมะเร็งแล้วใบไม้จะร่วงตลอดทั้งปี”
       
       มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ราวใบไม้ร่วงทุกปี มีคนเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นจำนวนมาก จัดเป็นโรคที่คร่าชีวิตอันดับต้นๆ ของไทย นพ.สมหมาย ได้นิยามมะเร็งร้ายไว้อย่างเห็นภาพชัดเจนว่า
       
       มะเร็ง คือ โรคร้ายที่ย่องเข้ามา “ขโมย” ทุกอย่างจากชีวิตเราไป โดยไม่ทันระวังตัวเหมือนกับที่คนไข้ทุกคนต้องประสบ
       
       โรคมะเร็ง คือ “ผู้ร้าย” ซึ่งร้ายที่สุด และมันจะหนีตำรวจสุดฤทธิ์ แม้การแพทย์จะให้ทำการเคมีบำบัดก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ และเป็นเซลล์ร้ายที่เหมือนกับเศษ “ขี้ผง” ที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายภายในอวัยวะของคน กวาดยังไงก็ไม่มีวันหมด วันนึงมันก็จะสะสมและเกาะแน่นขึ้นกว่าเดิม
       
       ด้วยสาเหตุนี้การแพทย์ทางร่วมของหมอสมหมายจึงสามารถชลอใบไม้ร่วงในแต่ละปี เปรียบได้กับการช่วยชีวิตคนให้พ้นจากความเจ็บป่วย จนกลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิมอีกครั้งนับร้อยนับพันชีวิต
       
       สูตรยาไม่ตายไปพร้อมกับผม
       
        “ผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชฯ ไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที” นายแพทย์สมหมายกล่าวอย่างดีใจ ที่สูตรยาเหล่านี้องค์การเภสัชกรรมได้นำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย
       
       โดยสูตรยาสมุนไพร 8 อย่าง ของหมอสมหมาย ประกอบด้วย พุทธรักษา ไฟเดือนห้า ปีกไก่ดำ พญายอ เหงือกปลาหมอ แพงพวย และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้
       
       สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับหมอสมหมาย ได้กล่าวติดตลกไว้ว่า “ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี!”
       
       ก่อนจะขยายความเสริมว่า “รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว”
       
       ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่มาทำการรักษากับหมอสมหมาย แม้แต่ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้ยินชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ ต่างก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้รักษาด้วยความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข
       
        “ถึงแม้นไม่ทำดีในแดนดิน จะถวิลถึงสวรรค์นั้นอย่าหมาย ถ้าแม้นไม่มีน้ำใจในอุรา ท่านจะหาน้ำใจจากใครได้” คติประจำใจของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2556

6560
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีที่บริษัทโรงพยาบาลพญาไท 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางปรียนันท์ หรือ ดลพร ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีที่จำเลยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ทางรายการเมืองไทยรายวัน ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ถึงการทำคลอดของโรงพยาบาลที่ส่งผลให้น้องเซ็นต์ บุตรชาย ต้องกลายเป้นคนพิการ ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน
       
       ศาลฎีกาเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างไปตามความเข้าใจเพื่อความชอบธรรมและปกป้องสิทธิตามคลองธรรมจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
       
       ตอนหนึ่งของคำพิพากษา ศาลฏีกามีคำวินิจฉัยว่าการรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพ
       
       ความผิดพลาดในการวินิจฉัยและการรักษาคนไข้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นปกติ ใครโชคดีนึกเฉลียวใจและพอจะมีกำลังทรัพย์ลองเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอ ผลการวินิจฉัยเป็นคนละเรื่องกับโรงพยาบาลแรก รอดตายหวุดหวิด หรือไม่ต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต
       
       ใครที่เชื่อหมอ ยอมรับในคำวินิจฉัย หรือสงสัยแต่ฐานะไม่เอื้ออำนวย หลายรายเสียชีวิตไปอย่างไม่น่าจะเสีย เหตุผลที่ทางโรงพยาบาลมักจะยกมาอ้างคือติดเชื้อในกระแสโลหิต หัวใจล้มเหลว ทั้งๆ ที่ตอนเข้าโรงพยาบาลไม่ได้เป็นโรคหัวใจ คนที่ไม่ตายก็ต้องกลายเป็นผัก หมดสติกลายเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราตลอดชีวิต
       
       กรณีเหล่านี้ เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงไม่แต่เฉพาะในประเทศไทยแต่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ละปีมีชาวต่างชาติเดินทางมารับบริการเพราะเชื่อในคำโฆษณาและมีราคาถูกเมื่อเทียบกับบ้านเขา เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นโรงพยาบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพงเป็นหลักแสนหลักล้าน แต่กลับต้องกลายเป็นศพหรือเป็นผักออกจากโรงพยาบาล
       
       ญาติผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะยอมจำนนต่อคำแก้ตัวและการบ่ายเบี่ยงปฏิเสธความรับผิดชอบของโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ยังคลางแคลงใจว่าผู้ป่วยน่าจะตาย หรืออาการทรุดหนักลง เพราะความผิดพลาดของหมอผู้รักษา เพราะไม่รู้จะไปสู้รบตบมืออย่างไรกับโรงพยาบาลและหมอที่เป็นต่อในทุกๆ ด้าน และยังมีองค์กรวิชาชีพที่กฎหมายให้การรับรอง คอยปกป้องการกระทำที่ผิดพลาดให้ด้วย
       
       นางปรียนันท์เขียนเล่าความเป็นมาของเรื่องนี้ไว้ในเฟซบุ๊กของเธอว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 เธอถูกเชิญไปออกรายการ เมืองไทยรายวัน ช่อง 9 อสมท.และเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2545 ได้ไปพูดที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เล่าข้อเท็จจริงว่า
       
       เธอไปคลอดลูกที่ รพ.พญาไท 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2534 เธอเป็นหญิงท้องแรก ลูกหนัก 4,050 กรัม อยู่ในท่าคลอดที่ผิดปกติ หงายหน้าออก พญ.ยรรยงค์ มังคละวิรัช หมอสูติฯ ไม่มาตรวจครรภ์ก่อนเข้าห้องคลอด สั่งให้ยาเร่งคลอดทางโทรศัพท์ หมอใช้เครื่องดูด จนท้ายทอยลูกห้อเลือดก้อนโต จึงนำเธอไปผ่าตัดฉุกเฉิน หลังผ่าตัด ก้อนเลือดละลายกลายเป็นน้ำดี ลูกตัวเหลืองมากส่องไฟไม่ลด
       
       นพ.สันติ สุทธิพินทะวงศ์ หมอเด็ก ถ่ายเลือดผ่านสายสะดือ ลูกติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง มีไข้สูง เม็ดเลือดขาวขึ้นสูงผิดปกติ 20,200 ตัว ร้องกวน น้ำหนักลด หมอไม่ให้ยาปฏิชีวนะ เพาะเชื้อยังไม่ทราบผล ให้นำลูกกลับบ้าน
       
       หนองทำลายข้อสะโพกซ้ายของเด็กจนเสียหายหมด กระดูกแขนซ้ายหัก และข้อแขนซ้ายถูกทำลาย ผลกระทบทำให้ลูกไม่มีข้อสะโพกซ้าย กระดูกต้นขาซ้ายหลุดอยู่นอกเบ้า ขาสั้นยาว ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน นั่งขัดสมาธิไม่ได้ เดินกระเผลก หลังคด ทรมานจากการผ่าตัดหลายครั้ง ตั้งแต่ขวบครึ่งถึงสามขวบครึ่ง ต้องใส่เฝือกนาน 6-8 เดือนหลายครั้ง ปวดขาเรื้อรัง ต้องทุบแรงๆ ทุกคืนนานนับสิบปี จึงจะนอนหลับได้ แขนซ้ายอ่อนแรงกว่าแขนขวา แกว่งเป็น 360 องศาไม่ได้ ไม่นับรวมความเสียหายทางจิตใจ การเสียโอกาสหน้าที่การงานในอนาคต
       
       โรงพยาบาลพญาไท 1 ปฏิเสธความรับผิดชอบ หลังอายุ 20 ปี ลูกต้องผ่าตัดใส่ข้อสะโพกเทียมทุก 10 ปี เพื่อแก้ไขการทรุดเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสันหลัง แต่การเคยติดเชื้อในกระดูกทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง ต้องใช้ข้อไททาเนียมหรือเซรามิกที่มีราคาสูงเท่านั้น แต่บัตรทองไม่ครอบคลุม ครอบครัวของเธอต้องสิ้นเนื้อประดาตัวกับการรักษาลูกและต่อสู้คดีความ
       
       ส่วนแพทยสภามีมติว่าคดีไม่มีมูลโดยไม่เคยเรียกเธอไปชี้แจง และฟังความเท็จ
       
       เรื่องที่เธอเล่านี้ ทำให้ถูกบริษัท รพ.พญาไท 1 จำกัด (มหาชน) ฟ้องในคดีแพ่งว่า หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยมีจำเลยร่วมอีก 6 คน แต่ต่อมา โจทก์ถอนฟ้องจำเลยคนอื่นๆ เหลือเธอเพียงคนเดียว ต่อสู้คดีมา 11 ปี
       
       “ดิฉันอดทนต่อสู้เพื่อต้องการสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมว่าคนไข้ผู้ถูกละเมิดไม่ควรถูกปิดปาก สามารถพูดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนได้โดยไม่มีความผิด”
       
       รพ.พญาไท 1 ยังฟ้องนางปรียนันท์ในคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ทำให้คดีสิ้นสุด
       
       ส่วนนางปรียานนท์ฟ้อง รพ.พญาไท 1 และหมอทั้งสองคนในคดีผู้บริโภค เรียกค่าเสียหาย 57 ล้านบาท แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะคดีหมดอายุความ ขณะนี้คดีอยู่ในศาลฎีกา
       

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ตุลาคม 2556

6561
วันที่ 10 ตุลาคม ภญ.สุภาพร ปิติพร หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากนายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ในฐานะประธานอนุกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ ในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพราะขณะนี้น้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรีเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร โดยน้ำกำลังจะไหลทลายกำแพงที่ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลช่วยกันนำถุงทรายมาวางกั้นเอาไว้รอบโรงพยาบาล

ภญ.สุภาพรระบุว่า หากน้ำทะลักเข้ามาในโรงพยาบาลนั้น จะทำให้โรงพยาบาลได้รับความเสียหายอย่างมาก อีกทั้งยังต้องฟื้นฟูอย่างมากภายหลังน้ำลด ไม่มีใครรู้ว่าจะลดเมื่อใด เพราะเวลานี้น้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรีอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาล มีเพียงถนนกั้นเอาไว้ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังหวาดหวั่นว่า กำแพงของโรงพยาบาลด้านหลังจะทนรับแรงการไหลของน้ำไม่ไหวจะพังลงมา ทำให้น้ำไหลเข้าเขตโรงพยาบาลทั้ง 2 ด้าน

ทางด้านนายรอยลกล่าวว่า ได้ประสานงานกับทางกรมทหารช่างและกระทรวงคมนาคมให้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ไปปกป้องพื้นที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอย่างเร่งด่วน เบื้องต้นจะต้องเสริมความแข็งแรงของกำแพงโรงพยาบาลด้านหลังก่อน เพราะเวลานี้น้ำสูงถึง 60 ซม. ส่วนด้านหน้ายังไม่น่าห่วงเท่าด้านหลัง ทั้งนี้จะเดินทางลงพื้นที่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อดูการทำงานในวันที่ 11 ตุลาคม ด้วยตัวเอง


มติชนออนไลน์  10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

6562
ชื่อแม่น้ำ มีที่มาให้เรียกได้หลายอย่างตั้งแต่โบราณกาล ไม่มีกำหนดตายตัว

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยอธิบาย (ตั้งแต่ พ.ศ. 2485) ในบทความเรื่องชื่อลำน้ำแม่กลองวินิจฉัยนาม แต่สรุปอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

1. เรียกตามตำบลที่ปากน้ำ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา มี ต. บางเจ้าพระยา อยู่ปากน้ำ, แม่น้ำท่าจีน มี ต. บางท่าจีน อยู่ปากน้ำ, แม่น้ำบางปะกง มี ต. บางปะกง อยู่ปากน้ำ

2. เรียกตามตำบลที่ต้นน้ำ เช่น แม่น้ำปิง, แม่น้ำน่าน, แม่น้ำป่าสัก, แม่น้ำแม่กลอง

3. เรียกตามชื่อย่านที่ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำท่าจีน เรียกชื่อต่างกันเป็นช่วงๆ ดังนี้ ทางต้นน้ำเรียกแม่น้ำมะขามเฒ่า เมื่อผ่านย่านมะขามเฒ่า (อ. วัดสิงห์ จ. ชัยนาท), เรียกแม่น้ำสุพรรณเมื่อผ่านเมืองสุพรรณ (จ. สุพรรณบุรี), เรียกแม่น้ำนครชัยศรีเมื่อผ่านเมืองนครชัยศรี (อ. นครชัยศรี จ. นครปฐม)

4. เรียกตามความเคยชิน โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และยังหาที่มาไม่ได้ เช่น แม่น้ำน้อย (ไหลแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ. ชัยนาท)

อาจมีอย่างอื่นอีกที่ผมไม่รู้

แม่น้ำบางปะกง มาจากไหน?

มีผู้ข้องใจเรื่องแม่น้ำบางปะกงที่ผมเคยเขียนย่อๆไปคราวก่อน จึงจะบอกเล่าให้ชัดเจนเพิ่มอีก

แม่น้ำบางปะกง เกิดจากแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำนครนายก (จ. นครนายก) กับแม่น้ำปราจีนบุรี (จ. ปราจีนบุรี) ไหลรวมกันที่ อ. บางน้ำเปรี้ยว จ. ฉะเชิงเทรา แล้วเรียกชื่อใหม่ว่าแม่น้ำบางปะกง ไหลลงอ่าวไทยที่ ต. บางปะกง อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา

แม่น้ำปราจีนบุรี มีต้นน้ำจาก 2 ทาง คือทางเหนือ กับทางใต้

ทางเหนือ ไหลลงใต้ จากทิวเขาใหญ่ มี 4 สาย คือ 1. แม่น้ำพระปรง 2. แม่น้ำหนุมาน 3. ห้วยยาง 4. ห้วยโสมง ทั้ง 4 สาย ไหลไปรวมกันที่ อ. กบินทร์บุรี จ. ปราจีนบุรี เรียกแม่น้ำปราจีนบุรี

จากนั้นไหลผ่าน อ. ศรีมหาโพธิ, อ. ประจันตคาม, อ. เมืองปราจีนบุรี

ทางใต้ ไหลขึ้นเหนือ มี 1 สาย เรียกคลองพระสทึง (สทึง เป็นภาษาเขมร แปลว่า คลอง) จากทิวเขาอำเภอต่างๆใน จ. จันทบุรี คือ อ. มะขาม, อ. โป่งน้ำร้อน, และ อ. สอยดาว

ผ่านอำเภอต่างๆใน จ. สระแก้ว คือ อ. วังสมบูรณ์, อ. วังน้ำเย็น, อ. เขาฉกรรจ์, และ อ. เมืองสระแก้ว แล้วรวมกับแม่น้ำพระปรง ไหลไป อ. กบินทร์บุรี รวมกับแม่น้ำหนุมาน เรียกแม่น้ำปราจีนบุรี

(ท้องที่ อ. กบินทร์บุรี จ. ปราจีนบุรี จะเห็นว่าเป็นที่รวมรับน้ำอย่างน้อย 5 สาย จากทิศทางต่างๆกัน จึงมีน้ำหลากมารวมท่วมมากกว่าที่อื่น)

บริเวณแนวคลองพระสทึง (ทำแนวเหนือ-ใต้) เป็นที่ดอนกลายเป็นสันปันน้ำ แบ่งน้ำเป็น 2 ส่วน ไหลไปทางตะวันตกลงอ่าวไทย กับไหลไปทางตะวันออกลงโตนเลสาบ กัมพูชา

แม่น้ำบางปะกง ยังมีลำน้ำสาขาอีก 1 สาย เรียกคลองท่าลาด (อยู่ใน จ. ฉะเชิงเทรา) เกิดจากแควระบม (อ. สนามชัยเขต) กับแควสียัด (อ. ท่าตะเกียบ) รวมกันที่ ต. เกาะขนุน อ. พนมสารคาม ไหลผ่าน อ. ราชสาส์น ลงรวมแม่น้ำบางปะกงที่ ต. ปากน้ำ (เจ้าโล้) อ. บางคล้า จ. ฉะเชิงเทรา

ปะกง (ในชื่อบางปะกง) กร่อนจากคำเขมรว่า บงกง แต่อ่าน บ็องกอง แปลว่า กุ้ง แสดงว่าแม่น้ำบางปะกงสมัยโบราณมีกุ้งชุกชุมเป็นที่รู้ทั่วกัน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดหรือเดาขึ้นมาเองโดยไม่ตรวจสอบ แต่สรุปจากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2545) และจากประสบการณ์ตรงที่เคยไปสำรวจถึงบริเวณต้นน้ำทุกสายหลายปีมาแล้ว

ถึงกระนั้นก็ไม่มั่นใจจะถูกต้องทุกอย่าง เพราะผมอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือเข้าใจต่างจากหลายๆท่านก็ได้ ดังนั้นขอให้ทักท้วงที่เห็นว่าบกพร่อง


โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
คอลัมน์ สยามประเทศไทย /มติชนรายวัน 10 ต.ค.2556

6563
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความคืบหน้าอาการป่วยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน หลังเข้ารับการรักษาอาการเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ว่า อาการของร.ต.อ.เฉลิม ดีขึ้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คาดว่าจะเดินทางออกจากโรงพยาบาลได้ภายในวันนี้ (10 ต.ค.) ทั้งนี้ อาการดังกล่าวถือว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยๆ และรักษาให้หายได้

 เมื่อเวลา 15.30 น. ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เดินทางออกจากโรงพยาบาลหลังเข้ารับการผ่าตัดด้วยภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีร.ต.อ.ดวง อยู่บำรุง บุตรชายคนเล็กเดินทางมารับพร้อมข้าราชการระดับสูงกระทรวงแรงงาน
 
 ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตอนเข้าโรงพยาบาลเป็นเพราะมีอาการปวดศีรษะ เดินเอนๆ ที่ผ่านมาไม่อยากผ่าตัดเนื่องจากเป็นเรื่องของสมอง จึงใช้วิธีทานยา แต่ก็คิดว่าอาการไม่น่าจะดีเพราะออกกำลังกายได้น้อยลง จึงตัดสินใจเข้าผ่าตัด แพทย์มีฝีมือ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ไม่ต้องเปิดสมอง ทำเพียงเจาะช่องเล็กๆ และใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเศษ
 
 "อาการของผมคือเลือดไหลในสมอง 2 ข้าง แต่เป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เลือดไม่ไหลเข้าไปในสมองส่วนที่สำคัญ แพทย์เจาะเอาเลือดออกไปเยอะพอสมควร ส่วนการดื่มไวน์ไม่เกี่ยวเพราะเลิกดื่มมานานแล้ว และสามารถทานอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จ"
 
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิมเดินออกจากห้องผู้ป่วยด้วยตัวเอง แต่ต้องค่อยๆ เดิน โดยมีร.ต.อ.ดวงเดินประกบตลอดเวลา และมีสีหน้ายิ้มแย้มขณะให้สัมภาษณ์

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันในโซเชียลมีเดียมีกระแสข่าวลือว่า ร.ต.อ.เฉลิมเสียชีวิตแล้ว


ข่าวสดออนไลน์  10 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา

6564
น้ำเซาะประตูระบายน้ำตะกุดอ้อ อ.กบินทร์บุรี พังยาวกว่า 50 เมตร น้ำทะลักเข้าพื้นที่ประจันตคาม ขณะที่ รพ.ประจันตคาม น้ำท่วมสูงเกือบเมตร ต้องย้ายแผนกผู้ป่วยฉุกเฉินและ OPD ไปอยู่ที่ศูนย์ป้องกันบรรเทาและสาธารณภัยฯ ชั่วคราว...

วันที่ 10 ต.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา บริเวณประตูระบายน้ำตะกุดอ้อม หมู่ 7 ต.วังดาล อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ได้ถูกน้ำเซาะจนพื้นที่หูช้างขาด ยาวกว่า 50 เมตร จนทำให้มวลน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรี จำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่พื้นที่ อ.ประจันตคาม อย่างรวดเร็ว ทางราชการจึงได้แจ้งหน่วยงานต่างๆ ให้อพยพทรัพย์สิน รวมทั้งประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ด้วยเป็นเวลากลางดึก ทำให้ประชาชนไม่ทราบข่าวมาทราบอีกครั้ง เมื่อมวลน้ำได้ไหลเข้าพื้นที่บ้าน จนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยอนุสรณ์จึงได้จัดกำลังออกไปช่วยชาวบ้านในการขนย้ายสิ่งของ


ส่วนที่ รพ.ประจันตคาม ก็ถูกน้ำท่วมพื้นที่โดยรอบ สูง 70 ซม. ทางโรงพยาบาลต้องระดมกำลังทหารมาช่วยในการขนย้ายเครื่องมือแพทย์ ไปทำการรักษาที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปราจีนบุรี รวมทั้งมีการหนุนสะพานทางเข้าโรงพยาบาลให้สูงขึ้นอีก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เดินเข้า-ออกในตัวอาคารได้ เนื่องจากทางโรงพยาบาลยังจำเป็นต้องปฏิบัติงานบางส่วนอยู่ในตัวอาคาร

นพ.พงศธร สร้อยคีรี ผู้อำนวยการ รพ.ประจันตคาม เปิดเผยว่า ทางโรงพยาบาลก็มาทราบในเวลา 01.00 น. ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ได้เตรียมการอยู่ก่อนแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมาระดับน้ำสูงขึ้นรวดเร็วมาก ท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีได้พิจารณาสั่งการ และแนะนำให้เคลื่อนย้ายแผนกฉุกเฉิน พร้อมแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือแพทย์และ OPD ไปอยู่ที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดปราจีนบุรี เนื่องจากเป็นที่สูง สะดวกในการให้บริการ และเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยด้วย


ส่วนผู้ป่วยใน ทางโรงพยาบาลได้ย้ายไปอยู่ที่ รพ.กบินทร์บุรี 4 ราย รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร 1 ราย ขณะนี้ก็รับเพียงผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยนอก ส่วนโรงไฟฟ้า โรงครัว และโรงซักล้าง ทางโรงพยาบาลสามารป้องกันไว้ได้ มีเพียงแต่ระบบบำบัดน้ำเสีย น้ำได้ล้นออกนอกระบบ จึงจำเป็นต้องย้ายผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังมีบ้านพักเจ้าหน้าที่อีก 13 หลัง ที่ถูกน้ำท่วมด้วยเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้น ทางชุมสายโทรศัพท์ของ อ.ประจันตคาม ได้ถูกน้ำท่วมสูงประมาณ 1.50 เมตร ทางเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำกระสอบทรายมาทำแนวป้องกัน ไม่ให้น้ำไหลเข้าไปภายในตัวอาคาร รวมทั้งมีการยกหม้อแปลงไฟฟ้าให้สูงพ้นระดับ และหากถูกน้ำท่วมจะส่งผลต่อระบบโทรศัพท์ทั้งอำเภอ ไม่สามารถใช้การได้


นอกจากนี้ ในตลาดเทศบาลตำบลประจันตคาม ซึ่งเป็นชุมชนย่านเศรษฐกิจ ก็ถูกน้ำท่วมสูงเฉลี่ยประมาณ 30 ซม. พบว่าบรรดาร้านค้าต่างเร่งวางแนวกระสอบทรายและก่ออิฐถือปูน เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าร้าน ซึ่งจากการสอบถาม นางประพร สวัสดิรัตน์ อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67 ถนนศิวบูรณ์ ต.ประจันตคาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมาจนตอนนี้ ยังไม่เคยเจอน้ำท่วม ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร.

ไทยรัฐออนไลน์ 10 ตค 2556

6566
 เอเอฟพี – ประธานาธิบดี กริสตินา เคิร์ชเนอร์ ของอาร์เจนตินา ถูกแพทย์สั่งพักฟื้น 1 เดือน หลังจากตรวจพบว่าเธอมีอาการเลือดคั่งในสมอง ซึ่งมีสาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม โฆษกของเธอระบุเมื่อวันเสาร์ (5 ต.ค.)
       
       เคิร์ชเนอร์ วัย 60 ปี “ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม และผลตรวจสมองในตอนนั้นไม่พบความผิดปกติใดๆ” อัลเฟรโด สกอกซิมาร์โร โฆษกของเธอชี้
       
       ทว่าผลตรวจครั้งใหม่เหล่านี้ระบุว่าเธอมีอาการเลือดคั่งในสมอง ประเภทฮีมาโตมาใต้เยื่อดูราอย่างเรื้อรังและ “แพทย์สั่งให้เธอพัก 1 เดือน” เขาระบุในคำแถลง
       
       สกอกซิมาร์โรกล่าวว่า แพทย์ไม่ได้สั่งให้ผู้นำหญิงซึ่งมาจากการเลือกตั้งคนแรกผู้นี้นอนพักตลอดเวลา
       
       อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้บอกว่าเธอจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้มากน้อยเพียงไร เพียงแต่ระบุว่าแพทย์จะติดตามดูอาการของเคิร์ชเนอร์อย่างใกล้ชิด
       
       นอกจากนี้ โฆษกของเคิร์ชเนอร์ไม่ได้ชี้แจงว่า รองประธานาธิบดี อามาโด โบว์โดว์ จะเข้ามาสานต่อภารกิจใดบ้าง ในช่วงที่เคิร์ชเนอร์ต้องพักฟื้น ทั้งนี้ โบว์โดว์ วัย 50 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ
       
       เคิร์ชเนอร์มีปัญหาทางสุขภาพหลายอย่างขณะดำรงตำแหน่ง โดยแพทย์ระบุว่าเธอมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง
       
       เมื่อเดือนมกราคม ปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนเข้าสู่สมัยที่ 2 ของการเป็นประธานาธิบดี เธอได้เข้ารับการผ่าตัดมะเร็งต่อมไทรอยด์ แต่กลับพบว่าแพทย์วินิจฉัยผิดพลาดว่าเธอเป็นโรคมะเร็ง
       
       ในช่วงที่เคิร์ชเนอร์ทดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เธอได้ยกเลิกการปรากฏตัวตามกำหนดการหลายครั้ง และให้เหตุผลว่าเธอมีอาการอ่อนเพลีย
       
       เนสเตอร์ เคิร์ชเนอร์ สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดีสองสมัย ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างล้นหลาม เขาเสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวายในปี 2010 แต่ก็ยังทันเห็นภรรยารับช่วงเป็นประธานาธิบดีต่อจากเขา
       
       สำหรับบทบาทภายในประเทศ คริสตินา เคิร์ชเนอร์ ต้องเผชิญกับกับภาวะเงินเฟ้อที่กำลังทวีความเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ และค่าเงินเปโซที่อ่อนตัวลง ตลอดจนบทบาททางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ นโยบายจำกัดจำนวนเงินดอลลาร์ที่ประชากรแต่ละคนจะถือครองได้ อันเป็นนโยบายที่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน
       
       ในระดับนานาชาติ เธอยังคงผลักดันกรณีพิพาทเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะฟอล์กแลนด์เข้าไปอยู่ในการพิจารณาขององค์การสหประชาชาติ ทั้งนี้หมู่เกาะดังกล่าวอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แต่อาร์เจนตินาซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาก ได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2556

6567
ภาพที่ 1: แสดงประวัติศาสตร์เส้นทางเดินของมะพร้าว
     
       
       ด้วยความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ได้นำน้ำมันมะพร้าวซึ่ง มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated oil) มาใช้เป็นอาหาร ยา และเครื่องสำอางค์นับเป็นพันๆปี โดยที่คนในสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรคเหมือนกับคนในสมัยนี้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคธัยรอยด์ โรคผิวหนัง ฯลฯ ที่น่าสนใจก็คือแม้โลกจะไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันเรื่องข้อมูลข่าวสารเหมือนกับยุคนี้ แต่คนทั่วโลกที่ใช้น้ำมันมะพร้าวในอดีตต่างรู้สรรพคุณในการใช้ใกล้เคียงกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งในด้านการปรุงอาหาร เป็นยารักษาโรค ทาแผลจากของมีคมและฟกช้ำ ใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวและเส้นผม ทั้งในอินเดียที่ใช้กันมากว่า 5,000 ปี ชาวปาปัวนิวกินี ชาวปานนามาชาวจาไมก้า ชาวไนจีเรีย โซมาเลีย และเอธิโอเปียชาวแอฟริกากลางและแอฟริกาใต้ ชาวพื้นเมืองในเกาะซามัว ชาวศรีลังกา ชาวฟิลิปปินส์ ชาวอินโดนีเซีย ชาวไทย นิยมใช้น้ำมันมะพร้าวมาปรุงอาหาร คาวหวาน โดยเฉพาะกะทิ ใช้เป็นยา เป็นเครื่องประทินบำรุงผิว รักษาผิว
       
        ด้วยคุณสมบัติที่เป็นน้ำมันพืชที่มีสรรพคุณหลายด้านที่เห็นผลตรงกันในหลายประเทศ ทำให้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำมันมะพร้าวจึงกลายเป็นน้ำมันที่นิยมใช้ในการปรุงอาหารและยาทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แม้ในยุโรปในเวลานั้นก็มีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้สำหรับคนป่วยที่มีปัญหาระบบย่อยอาหารหรือการดูดซึมอาหารที่ไม่ดี ตลอดจนใช้สำหรับเด็กเล็กที่ย่อยไขมันชนิดอื่นไม่ค่อยได้ สร้างภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

ภาพที่ 2 : แสดงพื้นที่ในกรอบเส้นสีแดงที่เป็นแหล่งของมะพร้าวตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้คิดตามว่าหากคนในโลกนี้เปลี่ยนน้ำมันพืชมาเป็นน้ำมันมะพร้าวประเทศใดจะได้รับประโยชน์สูงสุด


       ต่อมาเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484 -2488) กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศฟิลิปปินส์และหมู่เกาะต่างๆในย่านเอเชียและแปซิฟิก ส่วนไทยก็เป็นทางผ่านร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นด้วย ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนี้ต้องหยุดส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯไปโดยปริยาย
       
        เมื่อน้ำมันมะพร้าวขาดแคลนในสหรัฐอเมริกาจึงทำให้ต้องมีการสานต่อการผลิตน้ำมันพืชชนิดอื่นขึ้นมาแทน ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้มีการคิดค้นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated oil) ขึ้นมา เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันงา น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วลิสง ฯลฯ ผลก็คือทำให้เกิดการปลูกพืชเหล่านี้กันอย่างแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรในยุคนั้นอย่างมหาศาล และทำให้สมาคมถั่วเหลืองในสหรัฐอเมริกากลายเป็นกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
        ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ประเทศญี่ปุ่นตกกลายเป็นผู้แพ้สงคราม หลังจากนั้น น้ำมันมะพร้าวจึงเริ่มส่งออกจำหน่ายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ในเวลานั้นสงครามทางการค้าระหว่าง "น้ำมันพืชอิ่มตัว" และ "น้ำมันพืชไม่อิ่มตัว" ได้เริ่มต้นรุนแรงขึ้น
       
        และคู่แข่งอันสำคัญในเวลานั้น ฝ่ายน้ำมันพืชอิ่มตัวก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" จากเอเชียและแปซิฟิก
       
        และฝ่ายที่เป็นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวก็คือ "น้ำมันถั่วเหลือง" ที่ปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น
       
        กลุ่มสมาคมถั่วเหลืองแห่งอเมริกัน(American Soybean Association หรือ ASA) ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวว่าเป็นไขมันอิ่มตัว ทำให้เป็นคอเลสเตอรอลได้ง่าย ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ง่าย อ้วนง่าย และทำให้เป็นอัมพาต !!!
       
        ในปี พ.ศ. 2500 เป็นเวลา 12 ปีหลังจากยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ปฏิบัติการทำลายความน่าเชื่อถือน้ำมันมะพร้าวได้รุนแรงขึ้นไปอีก โดยได้มีงานวิจัยที่ประดิษฐ์ขึ้นหลายชิ้น ที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะทำให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อัมพาต และโรคอ้วน โดยงานวิจัยชิ้นเหล่านั้นนั้นมีการใช้ความร้อนและเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันมะพร้าวในส่วนที่ยังเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ให้เป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตที่ผิดธรรมชาติ เพื่อทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดแล้วโจมตีน้ำมันมะพร้าวให้เสียหายโดยตรง เพราะงานวิจัยชิ้นนั้นไม่สอดคล้องกับงานวิจัยต่อๆกันมาอีกจำนวนมากในรอบ 50 กว่าปีที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังเลยแม้แต่น้อย
       
        แต่งานวิจัยการโจมตีไขมันอิ่มตัวไม่มีเพียงลักษณะดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายชิ้นแต่ไม่ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติโดยตรงเพราะรู้ว่าโจมตีได้ยาก จึงเน้นการโจมตีน้ำมันที่เป็น "ไขมันอิ่มตัว" ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ และทำให้เชื่อว่าไขมันอิ่มตัวคือผู้ร้ายในวงการน้ำมันที่ใช้สำหรับปรุงอาหาร เพื่อเชื่อมโยงทางอ้อมว่าน้ำมันมะพร้าวคือไขมันอิ่มตัว ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงต้องทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพด้วย
       
        สำหรับในประเทศไทยก็มีการโฆษณาน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อหนึ่งว่าน้ำมันถั่วเหลืองของยี่ห้อตัวเองแช่ตู้เย็นแล้วไม่เป็นไข แต่น้ำมันอิ่มตัวแช่ตู้เย็นแล้วเป็นไข เพื่อชักชวนผู้บริโภคให้รู้สึกหวาดกลัวว่าเมื่อเป็นไขแล้วจะเป็นก้อนไขมันอุดตันในเส้นเลือดในท้ายที่สุด โดยผู้บริโภคในยุคนั้นไม่เคยฉุกคิดเลยสักนิดว่าน้ำมันมะพร้าวจะเริ่มจับตัวเป็นไขเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 36.4 - 37.0 องศาเซลเซียส จึงไม่มีทางจะเกิดไขขึ้นได้เลยในร่างกายมนุษย์
       
        แต่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะเป็น "สงครามทางการค้า" ที่มีความรุนแรงอย่างมาก สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน เผยแพร่และรณรงค์อย่างหนักในช่วงปี พ.ศ. 2523 - 2532 ให้คนอเมริกันเลิกกินไขมันอิ่มตัว ซึ่งรวมถึงน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ซึ่งเรียกรวมๆว่าเป็นน้ำมันจากเขตร้อน (Tropical Oil) เป็นอันตราย ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพื่อให้คนทั้งโลกไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Oils) โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลืองแทน
       
        หลังจากนั้นคนอเมริกันและคนทั่วโลกก็หลงอยู่ในมายาคติและการโฆษณาชวนเชื่อ จึงตื่นตระหนกและรังเกียจใช้น้ำมันมะพร้าวมากขึ้น ส่งผลทำให้คนบริโภคน้ำมันมะพร้าวน้อยลงอย่างรวดเร็ว และคนบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ ราคามะพร้าวตกลง มีการโค่นต้นมะพร้าวในเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากแล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นทดแทน เช่น ปาล์มน้ำมัน

ภาพที่ 3 : แสดงการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะหลังช่วงการรณรงค์ให้คนอเมริกันหวาดกลัวกับไขมันอิ่มตัว
     

ภาพที่ 4 : แสดงการเปลี่ยนแปลงของประชากรคนอ้วนและน้ำหนักเกินในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 19 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2533 - 2552)
       ในที่สุดสงครามน้ำมันพืชยุติลง "น้ำมันถั่วเหลือง" ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย!!!
     
 
        แต่สิ่งที่คนอเมริกันและทั่วโลกที่หันไปใช้น้ำมันถั่วเหลือง กลับได้รับคือ คอเลสเตอรอลที่มีอนุมูลอิสระทำลายหลอดเลือดสูงขึ้น เป็นโรคเบาหวานมากขึ้น อ้วนมากขึ้น(จนมีคนอ้วนมากที่สุดในโลก) และโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันมากที่สุด ทั้งๆที่ใช้น้ำมันถั่วเหลืองกันอย่างมหาศาลแล้ว และทำให้ในช่วง 15-20 ปีมานี้คนอเมริกันเริ่มตื่นตัวกับปัญหาสุขภาพของตัวเองกันมากขึ้น

ภาพที่ 5 : แผนภูมิแสดงเปรียบเทียบ % ของ 10 สาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรในสหรัฐอเมริการสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

 
      เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าการอ้วนขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันอาจไม่ได้มาจากน้ำมันพืชก็ได้ ก็มีส่วนจริงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ขอให้เก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน เพราะจะกล่าวถึงการศึกษาค้นคว้าและงานวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคเหล่านี้ต่อไป แต่ในชั้นนี้เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าการโฆษณาชวนเชื่อว่าการหยุดกินไขมันอิ่มตัวจากน้ำมันมะพร้าวแล้วหันมากินน้ำมันถั่วเหลืองแทนจะทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคอ้วนนั้น ก็ไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด


       แต่ในทางตรงกันข้าม ดร.เรย์ พีท (Ray Peat) ผู้เชี่ยวชาญด้านธัยรอยด์ และฮอร์โมน แห่งมลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ได้เขียนรายงานเอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548 ค้นพบว่า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการรณรงค์ในเรื่องการโจมตีน้ำมันมะพร้าวอย่างหนักหน่วง ทำให้คนเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วนคอเลสเตอรอลในเลือดสูง และอ้วนง่าย ในช่วงเวลานั้นมีรายงานบันทึกปรากฏในหนังสือเอนไซโคลพีเดียแห่งสหราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2489 ว่า ผู้เลี้ยงหมูได้ซื้อน้ำมันมะพร้าวเอาไปเลี้ยงหมูเพราะเชื่อว่าจะทำให้หมูอ้วนเร็วทำน้ำหนักง่ายตามการโฆษณาของสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน แต่เมื่อนำน้ำมันมะพร้าวมาให้หมูกินแล้วปรากฏว่า...
       
        หมูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าว "ผอมลง"ทั้งเล้า!!!
       
        หลังจากนั้นวงการธุรกิจปศุสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ทั่วโลกต่างก็ได้มีความรู้มากขึ้นว่าหากจะเลี้ยงให้สัตว์ตัวเองอ้วนขึ้นนั้น ต้องให้กิน "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" เพราะล้วนแล้วแต่เป็นธัญพืชที่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสิ้น ไม่มีใครเลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวอีกต่อไป เพราะรู้ว่าน้ำมันจาก "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" นั้นเป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วเหลืองในยุคหลังมีการตัดแต่งพันธุกรรมจะกดการทำงานของไทรอยด์ให้ต่ำลง ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ช้าลง สัตว์จึงกินน้อยแต่ขุนให้อ้วนง่าย ไขมันเยอะ เหมาะอย่างมากในการทำน้ำหนักให้ได้กำไรในการขาย

ภาพที่ 6 : ภาพจากภาพยนตร์ Food Inc. สารคดีเปิดโปงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารได้รับรางวัลออสก้า แสดงการเปรียบเทียบขนาดของไก่ในยุคเมื่อปี พ.ศ. 2493 (ซ้ายมือ) หลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมา 5 ปีที่ใช้เวลาเลี้ยง 70 วัน กับ ไก่ที่เลี้ยงในยุคปี พ.ศ. 2551 (ขวามือ) ที่กินถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรมและฉีดยาปฏิชีวนะในช่วงเวลา 48 วัน


       และเมื่อปี พ.ศ. 2554 ดังเต รอคชีซาโน (Dante Roccisano) และ มาเช เฮนเนอเบอร์ค (Maciej Henneberg) จากหน่วยงานวิจัยทางด้านชีวมนุษยวิทยาและกายวิภาคเชิงเปรียบเทียบ จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแอดเดลเลทด์ (University of Adelaide) ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำหัวข้อการศึกษาในเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองโดยเฉพาน้ำมันถั่วเหลืองต่อหัวประชากรในหลายประเทศโดยอาศัยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก พบว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันถั่วแหลืองมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญสอดคล้องกับภาวะโรคอ้วน
       
        ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะมาปฏิวัติน้ำมันพืช เอาความจริงกลับคืนมา และไม่ให้พวกมันหลอกพวกเราอีกต่อไป

 ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    4 ตุลาคม 2556

6568
1. “ยิ่งลักษณ์” เมินเสียงทัดทาน ลงนามทูลเกล้าฯ ร่างแก้ รธน.ที่มา ส.ว.แล้ว ด้าน 40 ส.ว. ยื่นราชเลขาธิการระงับทูลเกล้าฯ ชี้ นายกฯ กระทำการไม่บังควร!

       ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ก.ย. เดินหน้าลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ในวาระ 3 โดยไม่สนเสียงทักท้วงของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.สรรหา ที่เสนอให้ชะลอการโหวตวาระ 3 เพื่อรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะมีหลายประเด็นที่ส่อว่าขัด โดยเฉพาะกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในการลงมติวาระ 2 ทั้งนี้ ทันทีที่ผ่านวาระ 3 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือตราขึ้นโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งมาตรา 154 ระบุว่า หากมี ส.ส.หรือ ส.ว.เข้าชื่อเสนอเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะต้องระงับการทูลเกล้าฯร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน
       
       แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่สนและพยายามเร่งทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี บอกว่า นายกฯ ต้องทำตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วันหลังได้รับร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาวาระ 3 จากประธานรัฐสภา พร้อมคาดว่าจะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในวันที่ 1 ต.ค.
       
       นอกจากนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ประสานเสียงหนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องชะลอการทูลเกล้าฯ โดยอ้างว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว.ไม่สามารถยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาเพื่อใช้สิทธิตามมาตรา 154 ได้ เพราะมาตรา 154 ยื่นได้เฉพาะกรณีที่เป็นร่าง พ.ร.บ.เท่านั้น ไม่ใช่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งไม่รับคำร้องให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 154 มาแล้วในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
       
       หลังพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่านายกฯ จะไม่ชะลอการทูลเกล้าฯ แน่ กลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน และ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา จึงได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อขอให้ระงับการทูลเกล้าฯ ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และว่า หากนายกฯ เร่งนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาขึ้นทูลเกล้าฯ อาจเป็นการกระทำที่ไม่บังควร เพราะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นายกฯ อาจถูกกล่าวโทษว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 167 ทั้งนี้ นอกจากจะยื่นหนังสือถึงนายกฯ แล้ว ทางกลุ่ม 40 ส.ว.ยังได้ยื่นหนังสือถึงราชเลขาธิการเพื่อระงับการทูลเกล้าฯ อีกทางหนึ่งด้วย
       
       ขณะที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เตือนนายกฯ เช่นกันว่า การรีบทูลเกล้าฯ โดยไม่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะกระทบต่อเบื้องพระยุคลบาท เพราะตามกฎหมาย รัฐบาลยังมีเวลา 20 วันในการทูลเกล้าฯ แต่หากนายกฯ รีบทูลเกล้าฯ แล้วพระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยใน 90 วันตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 151 กำหนด หรือหากไม่พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องนำร่างกฎหมายนั้นมาปรึกษากันใหม่ หากมีมติยืนยันตามเดิมด้วยเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภา ให้นายกฯ นำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้ง หากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยใน 30 วัน ให้นายกฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ซึ่งกรณีนี้เกรงว่าจะกระทบต่อสถาบัน
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่สนเสียงทักท้วงและคำเตือนของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว. เดินหน้าลงนามเพื่อทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. เมื่อวันที่ 1 ต.ค. โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ลงนามเพื่อทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนของฝ่ายเลขาฯ ครม. พร้อมยืนยัน ตนทำตามข้อกฎหมาย และได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบข้อกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ในฐานะนายกฯ จึงมีหน้าที่นำเสนอตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถยึดหลักอื่นได้
       
       ขณะที่นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เผยเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ถึงความคืบหน้าการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯ ว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับสำนักราชเลขาธิการ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายกฯ ลงนามเพื่อนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ 1 วัน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ต.ค.ให้ยกคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับพวก ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วยการให้นายกฯ ชะลอทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่มีเหตุจำเป็นที่ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวใดๆ ไปยังนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้องของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้วินิจฉัยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.เป็นโมฆะ เนื่องจากมีการเสียบบัตรลงมติแทนกันของสมาชิกรัฐสภา ทั้งนี้ ศาลฯ ได้ให้นายพีระพันธุ์ทำสำเนาคำร้องส่งศาล 312 ชุด เพื่อส่งให้ผู้ถูกร้องและผู้เกี่ยวข้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
       
       ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้ตรวจพบความไม่ชอบมาพากลของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. จึงได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ตรวจสอบเมื่อวันที่ 3 ต.ค. โดยระบุว่า สำเนาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำแจกให้กับสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2556 ไม่ได้มีการลงลายมือชื่อจริงจากสมาชิก 1 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 291 มีเพียงตัวพิมพ์ชื่อเท่านั้น นอกจากนี้เนื้อหาในมาตรา 115(9) และมาตรา 116 วรรคสอง ก็ไม่ตรงกับเนื้อหาในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการพิจารณาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีข้อความไม่ตรงกันประมาณ 5 จุด จึงถือว่าร่างดังกล่าวเป็นร่างปลอมหรือญัตติปลอมหรือไม่ ถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้อาจผิดต่อกฎหมาย จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ เร่งตรวจสอบ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติรับเรื่องดังกล่าว และให้อนุกรรมาธิการไปตรวจสอบรายละเอียด โดยจะเชิญเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร วิปรัฐบาลและผู้เที่กี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อไป
       
       2. ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ 8 เสียง ชี้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี’57 ไม่ขัด รธน. แต่แนะ ครั้งต่อไป กมธ.ควรให้องค์กรอิสระได้ชี้แจงความจำเป็นใช้งบ!

       เมื่อวันที่ 4 ต.ค. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมลงมติกรณีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กับคณะรวม 50 คน และคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กับคณะรวม 62 คน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 154 วรรคหนึ่ง (1) ว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรคแปด และวรรคเก้า หรือไม่ เนื่องจากมีการปรับลดงบของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จนอาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน โดยศาลได้ให้ตัวแทนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ สภาผู้แทนราษฎร ,ผู้แทนสำนักงบประมาณ ,สำนักงานศาลยุติธรรม ,ศาลปกครอง และ ป.ป.ช.เข้าชี้แจงเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ชี้แจงโดยยืนยันว่า อาจมีความเข้าใจผิดคิดว่ามีการตัดงบองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ใช่ เป็นเพียงการปรับลดงบประมาณลง และปรับลดน้อยมาก
       
       ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุม นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมตุลาการฯ มีมติเอกฉันท์ 8 เสียง วินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรคแปด และวรรคเก้า เนื่องจากมาตรา 168 วรรคเก้า บัญญัติเพียงว่า การพิจารณางบประมาณรายจ่ายของรัฐสภา ศาล และองค์กรอิสระตามวรรคแปด หากองค์กรนั้นเห็นว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรให้ไม่เพียงพอ สามารถเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการได้โดยตรง ทั้งนี้เพื่อให้คณะกรรมาธิการซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติได้พิจารณาอย่างรอบคอบว่า การที่ฝ่ายบริหารปรับลดงบประมาณขององค์กรดังกล่าว เป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่และเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่ โดยมิได้มีบทบังคับเด็ดขาดให้คณะกรรมาธิการต้องเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในการแปรญัตติแต่อย่างใด
       
       ประกอบกับคณะตุลาการฯ เห็นว่า สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และ ป.ป.ช. มีโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผลการขอเพิ่มงบประมาณต่อคณะอนุกรรมาธิการฯ ซึ่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้รับรายงานของคณะอนุกรรมาธิการฯ และได้รับทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวประกอบการพิจารณาแล้ว จึงไม่ปรากฏเหตุที่จะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่เนื่องจากบทบัญญัติมาตรา 168 วรรคแปดมีวัตถุประสงค์ให้คณะกรรมาธิการฯ ให้ความเป็นธรรมแก่หน่วยงานดังกล่าวจึงควรที่จะให้หน่วยงานดังกล่าวได้แสดงเหตุผลและความจำเป็นต่อคณะกรรมาธิการได้โดยตรง
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีครั้งต่อไป กรรมาธิการฯ จะต้องให้
       ผู้แทนขององค์กรอิสระเข้าชี้แจงความจำเป็นในการของบประมาณขององค์กรตนเองใช่หรือไม่ และหากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายพิมล กล่าวว่า เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น และว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2557 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็สามารถนำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยต่างออกมาขอบคุณศาลเป็นการใหญ่ โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค บอกว่า ขอบคุณที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความรวดเร็ว และถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ พร้อมติงพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว.ที่ยื่นเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นการเล่นเกมการเมืองเพื่อหวังให้กระทบรัฐบาล
       
       ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า การที่ตนและคณะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2557 เนื่องจากเห็นว่าตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคแปด เรื่องการจัดสรรงบประมาณในส่วนขององค์กรอิสระนั้นน้อยเกินไป จึงยื่นคำร้องไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ขององค์กรอิสระโดยไม่ได้มีนัยใดๆ ทั้งสิ้น การที่ศาลตัดสินออกมาเช่นนี้ ก็ไม่ได้ติดใจอะไร และจะได้เป็นบรรทัดฐานต่อไป
       
       3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับจำคุก “สนธิ” 2 ปี คดีหมิ่นสถาบัน พูดซ้ำ “ดา ตอร์ปิโด” ด้าน “สุวัตร” ข้องใจ ศาลไม่ดูเจตนา ชี้เคยมีบรรทัดฐานศาลฎีกา มั่นใจชนะแน่!

       เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” ที่ปราศรัยหมิ่นสถาบัน มาปราศรัยซ้ำบนเวทีพันธมิตรฯ
       
       คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2551 จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และทางอินเตอร์เน็ตให้คนไทยและต่างชาติได้รับชมทั้งในและต่างประเทศ โดยจำเลยได้นำเอาคำปราศรัยของ น.ส.ดารณีที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ซึ่งมีถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์มาพูดซ้ำ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
       ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องนายสนธิ เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การพูดของจำเลยมีเจตนาเพื่อเรียกร้องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ดำเนินคดี น.ส.ดารณี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการขยายคำพูดของ น.ส.ดารณี ที่มีเจตนาโดยตรงเพื่อหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ด้านอัยการ ในฐานะโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์
       
       ซึ่งศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนา แต่กลับเอาคำพูดของ น.ส.ดารณีมาพูดซ้ำในที่สาธารณะ ทำให้คนไทยบางส่วนที่ไม่ทราบว่าเนื้อหาที่ น.ส.ดารณีพูดเป็นอย่างไร ก็ได้มาทราบจากที่จำเลยพูด ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ส่งผลกระทบต่อสถาบัน อันเป็นการกระทำที่ไม่ระมัดระวังเพียงพอ การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบของความผิดแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษากลับ ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 2 ปี
       
       หลังฟังคำพิพากษา นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพของบริษัท วิริยะประกันภัย วงเงิน 5 แสนบาท เพื่อขอประกันตัว ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา
       
       ด้านนายสนธิ กล่าวยอมรับว่า ได้นำคำพูดของ น.ส.ดารณีมาปราศรัยบนเวทีจริง แต่เป็นคำพูดเพียงบางส่วนเท่านั้น และเจตนาเพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี น.ส.ดารณี อย่างไรก็ตามจะต่อสู้คดีนี้ในชั้นฎีกาต่อไป นายสนธิ ยังให้สัมภาษณ์เปิดใจในเวลาต่อมา โดยตั้งข้อสังเกตว่า ศาลชั้นต้นยกฟ้องตน เพราะตนและทนายนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตนไม่ได้มีเจตนากระทำผิด แต่ทำไมศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาโดยไม่ดูที่เจตนา ทั้งที่ประมวลกฎหมายอาญา ต้องดูข้อเท็จจริงเรื่องเจตนาของผู้กระทำผิดเป็นหลัก “คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีเนื้อหาสาระในกระดาษไม่เกิน 1 หน้าครึ่งกระดาษ ท่านสั่งลงโทษจำคุกผมโดยใช้ดุลพินิจว่าผมนำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาพูดจริง ซึ่งยอมรับว่าจริง แต่เจตนาทำไมถึงไม่นำมาพูดถึงว่าผมนำคำพูดมาเพื่อเจตนาอะไร เพื่อการปกป้องสถาบันใช่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งชาติทราบดี อย่างไรก็ตาม ผมยังยืนยันที่จะทำหน้าที่ปกป้องสถาบันในฐานะคนไทยคนหนึ่งต่อไป ไม่รู้สึกหวั่นไหวใดๆ ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลฎีกา เพราะประมวลกฎหมายอาญาต้องดูที่เจตนาในการกระทำความผิดเป็นหลัก”
       
       นายสนธิ ยังแฉผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทางเอเอสทีวีด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ มีนัยทางการเมือง มีกระบวนการที่จะเอาตนติดคุกให้ได้ เหมือนมีคำสั่งมาจากต่างประเทศ แล้ววิ่งไปที่เครือข่ายศาลของเขา และว่า แม้แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องตน ก็ถูกกดดันจากอย่างหนักเพื่อเอาตนติดคุกให้ได้ แต่ท่านไม่ยอม นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เร็วผิดปกติ เหมือนเป็นการวางยาวางเครือข่ายเอาไว้ เพราะหลังจากอัยการอุทธรณ์ได้แค่ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสิน ซึ่งตนเคารพคำพิพากษา เพราะเคารพหลักนิติรัฐ แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เป็นคำพิพากษาที่ดุลพินิจใช้ไม่ได้ เพราะไม่พิจารณาเรื่องเจตนาเลยแม้แต่นิดเดียว
       
       นายสนธิ ยังประกาศด้วยว่า ตนไม่เคยกลัวติดคุก แล้วจะไม่หนีด้วย แต่จะเตือนผู้พิพากษาที่แกล้งตน รับงานเขามา ใครที่ทำกับตนแบบนี้ต้องมีอันเป็นไปทุกคน เพราะสิ่งที่ตนทำเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหากถึงจุดสุดท้าย ตนต้องติดคุกด้วยคดีหมิ่นเบื้องสูง ก็จะติด จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษด้วย และหากการติดคุกของตนมีส่วนให้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมในวงการผู้พิพากษา มันก็คุ้ม “ไม่ต้องกังวล ผมไม่ท้อใจ ผมไม่รู้สึกอะไร ถ้าผมจะต้องเป็นอะไรไป เพราะผมต้องสู้ให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ให้เป็นไป อย่างน้อยที่สุดผมก็ตายอย่างนอนตาหลับ เกิดมามันคุ้มค่าที่เป็นคนไทย เป็นมนุษย์ แล้วเป็นคนเอเอสทีวี แล้วก็เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"
       
       ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ เผยว่า ตนรับไม่ได้กับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และจะฎีกาภายใน 30 วัน พร้อมมั่นใจว่าศาลฎีกาจะเห็นเจตนาในการพูดที่แตกต่างกันระหว่างนายสนธิกับ น.ส.ดารณี ซึ่งเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในอดีตแล้วว่า การนำคำพูดคนอื่นมาพูดต่อ จะมีความผิดก็ต่อเมื่อคนพูดทีหลังต้องมีเจตนาเดียวกับผู้พูดครั้งแรก แต่นี่ศาลอุทธรณ์ไม่พิจารณาถึงเจตนาของนายสนธิเลย ตนมั่นใจว่าศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
       
       นายสุวัตร ยังย้ำด้วยว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ดูเจตนาเลย บอกแต่ว่านายสนธิยอมรับว่าพูดจริง ทั้งที่สิ่งที่นายสนธิเอามาพูดยังไม่ถึง 1 ใน 5 ที่ดา ตอร์ปิโด พูดด้วยซ้ำ สรุปออกมาแค่ 3 ประโยค ทั้งที่ดา ตอร์ปิโด พูดตั้ง 3 วัน 3 ครั้ง ครั้งละเป็นชั่วโมง และเนื้อหาในการสรุปของนายสนธิก็ไม่มีข้อความใดที่เป็นความผิดมาตรา 112 เลย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์บอกว่าการกระทำของนายสนธิไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ นายสุวัตร แย้งว่า ศาลได้อ่านหรือยังว่าดา ตอร์ปิโด พูดอะไร แล้วนายสนธิสรุปแค่ 3 ประโยค แบบนี้ไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอหรือ และที่ศาลอุทธรณ์บอกว่านายสนธิไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายทอดซ้ำ นายสุวัตร แย้งว่า ทั้งที่ดา ตอร์ปิโด พูด 3 วัน 3 คืนที่สนามหลวง ไม่มีใครลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันเลย แบบนี้จำเป็นหรือยัง หรือใครจะหมิ่นประมาทในหลวงก็ได้ ไม่ต้องมีคนลุกขึ้นมาปกป้องใช่หรือไม่
       
       4. “หมอเลี้ยบ-อดีตปลัดไอซีที” รอด ที่ประชุมวุฒิฯ มีมติไม่ถอดถอนออกจากตำแหน่ง หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีแก้สัญญาดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป!

       เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ประชุมวุฒิสภาได้ดำเนินกระบวนการถอดถอน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) และนายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที ออกจากตำแหน่งตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ หลังบุคคลทั้งสองถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
       
        ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ว่า การที่นายไกรสร และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ เสนอความเห็นให้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ด้วยการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน) หรือบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) ในปัจจุบัน จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เป็นการกระทำที่มิชอบและเอื้อประโยชน์ต่อชินคอร์ป เพราะทำให้ชินคอร์ปในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทไทยคม ไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนหุ้นร้อยละ 51 ของตนเอง แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้การลดสัดส่วนการถือหุ้นลงร้อยละ 11 ย่อมส่งผลให้ชินคอร์ปได้รับทุนคืนจากการขายหุ้นดังกล่าวด้วย อีกทั้งการลดสัดส่วนการถือหุ้นยังส่งผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของชินคอร์ป ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
       
       ส่วน นพ.สุรพงษ์ นั้น ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เนื่องจากได้อนุมัติแก้ไขสัญญาการลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปดังกล่าว โดยไม่มีการเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อน ถือว่ามีมูลความผิดทางอาญา มาตรา 157 ป.ป.ช.จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้อง นพ.สุรพงษ์-นายไกรสร และนายไชยยันต์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายไกรสรและนายไชยยันต์ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ด้วย จึงมีมติส่งรายงานและความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้บุคคลทั้งสองเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยต่อไป
       
        สำหรับการลงมติว่าจะถอดถอน นพ.สุรพงษ์และนายไกรสรออกจากตำแหน่งหรือไม่ของที่ประชุมวุฒิสภานั้น ใช้วิธีลงคะแนนลับ ซึ่งการจะถอดถอนได้ต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่หรือ 90 เสียง ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติถอดถอน นพ.สุรพงษ์ 71 เสียง ไม่ถอดถอน 59 เสียง และมีมติถอดถอนนายไกรสร 66 เสียง ไม่ถอดถอน 66 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง เมื่อเสียงถอดถอนไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด จึงถือว่าที่ประชุมวุฒิสภามีมติไม่ถอดถอนบุคคลทั้งสองออกจากตำแหน่ง

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2556

6569
      4. ศาลปกครอง พิพากษาให้ “อสมท” คืนเงินส่วนลดโฆษณาให้ “ไร่ส้ม” 55 ล้าน ด้าน อสมท เล็งอุทธรณ์ ชี้ ไร่ส้มทุจริต ไม่มีสิทธิ์ได้ส่วนลด!

       เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ศาลปกครองกลาง ได้พิพากษาคดีที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ซึ่งมีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดังเป็นประธานกรรมการ ยื่นฟ้องบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) คู่สัญญาผลิตรายการโทรทัศน์ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท หรือโมเดิร์นไนน์ทีวี กรณีเรียกเก็บค่าโฆษณาส่วนเกิน โดยไม่ให้ส่วนลดทางการค้า 30% ตามสัญญา และค่าโฆษณาที่ อสมท โฆษณาเกินส่วนแบ่งตามเวลาที่ตกลงไว้
       
        ทั้งนี้ ตุลาการเสียงข้างมากพิพากษาให้ อสมท คืนเงินค่าโฆษณาส่วนเกินที่หักส่วนลด 30% ตามสัญญา ในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2548 และวันที่ 14 ก.ค.2549 ให้บริษัทไร่ส้ม รวมเป็นเงิน 55,523,763.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากนี้ยังให้ อสมท ชดใช้กรณีที่ได้โฆษณาล้ำไปในเวลาโฆษณาของบริษัทไร่ส้มอีก 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-21 ธ.ค.2549 รวมเวลา 1.15 วินาที เป็นเงิน 253,255.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องคดีเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ชำระเงินทั้งหมดภายใน 90 วัน หลังจากคดีถึงที่สุด
       
        องค์คณะตุลาการยังพิจารณาด้วยว่า กรณีที่บริษัทไร่ส้มโฆษณาเกินเวลา ทาง อสมท ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือทักท้วงว่าบริษัททำไม่ถูกต้อง อีกทั้งการจัดคิวและควบคุมเวลาโฆษณาก็เป็นเจ้าหน้าที่ของ อสมท ทั้งหมดที่ควบคุมไม่ให้มีการโฆษณาเกินเวลา ดังนั้นจึงยากที่บริษัทไร่ส้มจะปกปิดคิวโฆษณาที่เกินไปโดยไม่ยื่นใบคิวแจ้งล่วงหน้าตามที่ อสมท กล่าวอ้าง และว่า การที่บริษัทไร่ส้มโฆษณาเกินส่วนแบ่งเวลาไปมาก คิดเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท เป็นเวลาปีเศษ ตั้งแต่เดือน เม.ย.2548-ก.ค.2549 โดย อสมท ยังไม่มีการเรียกเก็บเงิน ก็เป็นเรื่องผิดปกติทางการค้าอย่างมาก จึงถือเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดและระบบงานของ อสมท เองที่ไม่ควบคุมตรวจสอบและเรียกเก็บเงินจากบริษัทไร่ส้มภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของ อสมท
       
        อีกทั้งเมื่อบริษัทไร่ส้มได้รับแจ้งจาก อสมท ให้ชำระเงิน ทางบริษัทก็ได้รีบนำเงินไปชำระเพื่อป้องกันข้อครหาและไม่ให้เกิดความคลางแคลงใจต่อสังคม จึงยังไม่อาจฟังได้ว่า การที่บริษัทไร่ส้มจ่ายเงินให้ อสมท เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจหรือฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนกรณีที่ อสมท อ้างว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงพบเหตุการณ์ทุจริตการโฆษณาเกินเวลาของบริษัทไร่ส้ม โดยพบว่านางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด พนักงานธุรการ อสมท ที่มีหน้าที่จัดทำใบคิวและคิวโฆษณาได้รับเงินค่าจ้างจากบริษัทไร่ส้มเพื่อลงคิวโฆษณาส่วนเกินโดยไม่ต้องแจ้งซื้อโฆษณานั้น องค์คณะตุลาการเห็นว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการสอบภายใน อสมท เอง แม้จะมีส่วนน่าสงสัย แต่ก็ยังไม่อาจรับฟังได้ จึงพิพากษาให้ อสมท คืนเงินค่าโฆษณาส่วนเกินที่หักส่วนลด 30% ให้บริษัทไร่ส้มเป็นเงินกว่า 55 ล้านบาทดังกล่าว
       
        ขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นว่า เมื่อปรากฏหลักฐานว่า บริษัทไร่ส้มโฆษณาเกินเวลาเป็นจำนวนมากคิดเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาท แต่บริษัทไร่ส้มกลับไม่แสดงความจำนงที่จะชำระเงิน แต่รอจนกระทั่งปีเศษ เมื่อ อสมท มีหนังสือทวงถาม บริษัทไร่ส้มจึงนำเงินมาชำระ การกระทำดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติทางการค้าระหว่างคู่สัญญาในเรื่องโฆษณาส่วนเกินและการรับส่วนลด อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด โดยคู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา
       
        ทั้งนี้ นายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความบริษัทไร่ส้ม เผยว่า คำพิพากษาเป็นไปตามคำฟ้องที่ขอให้ อสมท คืนเงินส่วนลดทางการค้า แต่ในส่วนที่ศาลพิพากษาให้ อสมท คืนเงินค่าโฆษณาส่วนที่ล้ำไปในเวลาของบริษัทไร่ส้มนั้น เห็นว่า ศาลไม่ได้พิจารณาในหลักการแบบไทม์แชร์ริ่ง ซึ่งทางบริษัทได้ฟ้องโดยเรียกค่าเสียหายเต็มจำนวนเวลารวมแล้วกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้นจะกลับไปพิจารณาร่วมกับบริษัทไร่ส้มอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
       
        ขณะที่ทางผู้บริหาร อสมท ยืนยันแล้วว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้ เพราะมองต่างจากศาลปกครอง โดยนายธนะชัย วงศ์ทองศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท เผยว่า เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ต้องแยกคดีระหว่าง อสมท กับบริษัทไร่ส้ม ออกเป็น 2 ประเด็น เพราะมี 2 คดี คดีแรก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดบริษัทไร่ส้ม กรณีทุจริตโฆษณาเกินเวลาของ อสมท ซึ่งเป็นคดีอาญา ส่วนคดีนี้ บริษัทไร่ส้มฟ้องต่อศาลปกครอง กรณีที่บริษัทไร่ส้มจ่ายค่าโฆษณาเกินเวลาแก่ อสมท แล้ว ซึ่ง อสมท เรียกเก็บเต็มจำนวน แต่บริษัทไร่ส้มเรียกร้องส่วนลด ซึ่ง อสมท มองว่าบริษัทไร่ส้มไม่ซื่อตรงต่อคู่สัญญา จึงไม่ควรได้รับส่วนลด
       
       สำหรับความคืบหน้าคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดบริษัทไร่ส้มทุจริตยักยอกค่าโฆษณา อสมท ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องบริษัทไร่ส้มนั้น มีรายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ว่า อัยการเห็นว่าคดีนี้ยังไม่สมบูรณ์ในบางประเด็น ซึ่งตามขั้นตอน เมื่ออัยการเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ จะส่งเรื่องกลับไปให้ ป.ป.ช. เพื่อตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่วมกัน แต่หากยังหาข้อยุติร่วมกันไม่ได้ ทาง ป.ป.ช.จะเป็นผู้ส่งฟ้องคดีต่อศาลเอง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 กันยายน 2556

6570
1. รัฐบาล เดินหน้าลาก “สภาผัวเมีย” ผ่านรัฐสภาวาระ 3 แล้ว เมิน ปชป.- ส.ว.สรรหาวอล์กเอาต์ ด้าน “อภิสิทธิ์” จี้ นายกฯ ชะลอทูลเกล้าฯ !

       ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมรัฐสภาได้ผ่านวาระ 2 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. พร้อมกำหนดให้มีการลงมติในวาระ 3 ภายใน 15 วัน คือวันที่ 28 ก.ย. ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศว่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากมีหลายประเด็นไม่เป็นไปรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานรัฐสภาใช้อำนาจเกินขอบเขตในการตัดสิทธิผู้สงวนคำแปรญัตติ ,กรรมาธิการเสียงข้างมากมีการเพิ่มเติมเนื้อหามากกว่าหลักการในวาระ 1 โดยให้ครอบครัว ส.ส. สามีภรรยา และบุตร สามารถลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.ได้ ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ขัดกัน ดังนั้นอาจส่งผลให้กระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นโมฆะได้
      
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้นำทีม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่พรรคได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและคุ้มครองชั่วคราวด้วยการสั่งระงับการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ในวาระ 3 ไว้ก่อน ล่าสุด พรรคมีคลิปภาพหลักฐานใหม่ที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม โดยเป็นกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเสียบบัตรแทนกันระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.เวลา 17.33น. ช่วงการลงมติ และมาตรา 10 วันที่ 11 ก.ย. เวลา 16.43น. ช่วงลงมติปิดอภิปรายและลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าวผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมาตรา 126 ที่บัญญัติว่า สมาชิกมีสิทธิลงมติหนึ่งคนต่อหนึ่งเสียงและจะต้องมีสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งในการลงมติ ดังนั้นการเสียบบัตรแทนกัน ทำให้เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญถูกละเมิด
      
       สำหรับการแถลงข่าวครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้นำคลิปวิดีโอมาเปิดให้สื่อมวลชนดู 3 คลิป โดยภายในคลิป มีภาพ ส.ส.คนหนึ่งนำบัตรแสดงตนของสมาชิกมาให้กับ ส.ส.คนหนึ่งที่นั่งอยู่ พร้อมใช้บัตรที่รับมาสลับกันเสียบเข้าไปยังเครื่องลงคะแนน นับได้ประมาณ 4 ใบ
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังพรรคประชาธิปัตย์ออกมาแฉเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้ออกมายอมรับว่า เป็น ส.ส.ที่อยู่ในคลิปวิดีโอจริง แต่อ้างว่า ไม่ได้มีการเสียบบัตรแทนกัน ตนเพียงแค่เสียบบัตรคาไว้ในที่นั่ง แต่มี ส.ส.อีกคนเข้ามานั่งแทน ตนจึงเข้าไปเอาบัตรและย้ายที่นั่ง ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้จี้ให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา สอบเรื่อง ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน แต่นายสมศักดิ์บ่ายเบี่ยง โดยอ้างว่า ให้รอฟังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเลยทีเดียว
      
       ด้านศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติ 5 ต่อ 2 รับคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่านายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กับพวกรวม 310 คน กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งวินิจฉัยว่านายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ผู้ถูกร้องที่ 2 กับพวกรวม 309 คน ได้ร่วมกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ต่อนายสมศักดิ์ โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือไม่ โดยตุลาการเสียงข้างมากมีมติรับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่าคดีมีมูล แต่ไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามที่ขอ
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ไว้วินิจฉัย พรรคประชาธิปัตย์จึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการลงมติวาระ 3 ในวันที่ 28 ก.ย.ออกไป เพื่อรอคำวินิจฉัยของศาลก่อน แต่ทั้งรัฐบาลและนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ไม่สน ยืนยันลงมติตามกำหนดเดิม ขณะที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาสำทับว่า เมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ผ่านวาระ 3 ในวันที่ 28 ก.ย.แล้ว นายกฯ ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญด้วยการนำร่างดังกล่าวทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยของศาล เพราะต้องแยกส่วนกัน
      
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดวันประชุมลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ในวาระ 3 (28 ก.ย.) ปรากฏว่า วิปฝ่ายค้านและ ส.ว.สรรหา ได้ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการลงมติ เพื่อรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่พอใจ จึงประท้วงอยู่ตลอดเวลา สุดท้าย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาตัดสินใจให้เดินหน้าลงมติวาระ 3 ทันที ท่ามกลางเสียงทักท้วงของฝ่ายค้าน
      
       และทันทีที่เลขาธิการรัฐสภาขานชื่อสมาชิกทีละคนเพื่อลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และ ส.ว.สรรหา ได้ประท้วงด้วยการวอล์กเอาต์จากห้องประชุมทันที ขณะที่นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำพวงหรีดมีข้อความว่า “สภาทาส” ไปให้นายสมศักดิ์ที่หน้าบัลลังก์ แต่นายสมศักดิ์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่นำพวงหรีดดังกล่าวออกไป
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าประชุมเพื่อลงมติในครั้งนี้ด้วย โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 258 เสียง ไม่เห็นด้วย 2 เสียง งดออกเสียง 30 เสียง เมื่อคะแนนเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่ง จึงถือว่าร่างฯ ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว
      
       ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน รีบยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อ ส.ส.143 คน ต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาฉบับนี้มีข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมาตรา 154 ระบุว่า เมื่อสมาชิกรัฐสภามีการยื่นเรื่องตามมาตราดังกล่าวแล้ว นายกรัฐมนตรีจะต้องระงับการทูลเกล้าฯ ร่างกฎหมายฉบับนั้นไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินหน้าหรือชะลอการทูลเกล้าฯ ร่างดังกล่าว
      
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนหน้านี้ว่า ไม่ควรรีบนำร่างดังกล่าวทูลเกล้าฯ เพราะนายกฯ มีเวลา 20 วัน ควรรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก่อน ซึ่งหวังว่าศาลจะมีข้อยุติภายใน 20 วัน หากนายกฯ รีบทูลเกล้าฯ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายกฯ ต้องรับผิดชอบ
      
       2. ช่อง 9 ปิดหูปิดตา ปชช. แบน “คนค้นฅน” ตอนศศินเดินเท้าค้านเขื่อนแม่วงก์ ด้านสมาคมต้านโลกร้อน ซัด เชลียร์ผู้มีอำนาจ ขู่ฟ้องศาลปกครอง!

       จากกรณีที่นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร และกลุ่มนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนหนึ่ง ได้เดินเท้าจาก อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ มายัง กทม. ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.-22 ก.ย. ที่ผ่านมา รวมระยะทาง 388 กิโลเมตร เพื่อคัดค้านรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA) โครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งเป็น 1 ในโครงการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลนั้น
      
       ปรากฏว่า ทันทีที่นายศศินและผู้ร่วมเดินเท้ามาถึง กทม. ได้มีประชาชนไปให้การต้อนรับและร่วมคัดค้านเขื่อนแม่วงก์อย่างล้นหลาม ทั้งนี้ นายศศิน ขึ้นเวทีปราศรัยว่า พื้นที่สร้างเขื่อนแม่วงก์เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าใหญ่ เช่น เสือ อาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ในอีเอชไอเอไม่ได้บอกว่าเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ “พวกเรามองว่าสิ่งที่จะเสียไปไม่คุ้มค่ากับการก่อสร้าง เพราะหากเปรียบกับปริมาณน้ำท่วมในปี 2554 จะสามารถรับน้ำได้เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น รวมทั้งสามารถส่งน้ำไปพื้นที่บริการได้เพียง 1 แสนไร่เท่านั้น ไม่ใช่ 3 แสนไร่ อย่างที่บอกกับชาวบ้านในพื้นที่” ทั้งนี้ นางรตยา จันทรเทียร ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้เป็นตัวแทนยื่นหนังสือคัดค้านอีเอชไอเอต่อรัฐบาลผ่านนายอุดม ไกรวัตนุสรณ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
      
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดถึงกระแสคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ว่า คงต้องประเมินว่าประชาชนต้องการธรรมชาติที่อาจจะให้ความสวยงาม หรือต้องการเขื่อนที่จะทำให้ประเทศเจริญ และสามารถเก็บน้ำเพื่อการชลประทานได้ ซึ่งคงต้องหารือกัน รัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ก่อน
      
       ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า จะสร้างเขื่อนแม่วงก์แน่นอน เพราะผืนป่าจะอยู่เหนือความปลอดภัยของประชาชนทั้งประเทศไม่ได้ และต่อให้การสร้างเขื่อนดังกล่าวช่วยลดปัญหาน้ำท่วมได้แค่ 1% ก็ต้องสร้าง และว่า รัฐบาลมีแผนสู้กับน้ำท่วม 9 เรื่อง การสร้างเขื่อนเป็น 1 ในนั้น โดยจะสร้างเขื่อนเล็กและใหญ่รวม 21 เขื่อน
      
       ทั้งนี้ กระแสคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยมีดารานักแสดงหลายคนออกมาร่วมคัดค้านเช่นกัน เช่น “นก” ฉัตรชัย เปล่งพานิช ได้โพสต์ข้อความคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ลงในอินสตาแกรมว่า “ถ้ามึงจะทำร้ายผืนป่า ทำร้ายธรรมชาติ สัตว์นรกจะมารอรับมึงแน่ แต่มึงคงไม่ตกใจ เพราะมึงเห็นในกระจกอยู่ทุกวัน คิดทำสิ่งสร้างสรรค์บ้างได้มั้ย”
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ บอกว่าพร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเรื่องเขื่อนแม่วงก์ แต่ในทางปฏิบัติกลับมีความพยายามปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้รับรู้ข้อมูลจากผู้ที่คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เช่นกรณีที่โมเดิร์นไนน์ทีวี(ช่อง 9) ระงับการออกอากาศรายการ “คนค้นฅน” ตอน “ศศิน เฉลิมลาภ 388 KM จากแม่วงก์สู่ กทม.” ซึ่งมีกำหนดออกอากาศเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 28 ก.ย. ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดีย บางคนถึงกับระบุว่า “รัฐนี้เป็นรัฐแห่งอวิชชา เพราะไม่ยอมให้คนในชาติได้รับความจริงแท้ ...แปลตรงๆ ว่า สิ่งที่รัฐนำเสนอย่อมปลอมปนด้วยสิ่งมอมเมาเขลาโง่”
      
       ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือเช็ค ผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน และผู้บริหารบริษัททีวีบูรพา ซึ่งเจ้าตัวพร้อมให้สัมภาษณ์ แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยคำพูด แต่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการนำเทปกาวสีดำชิ้นแรกมาปิดปาก ชิ้นที่ 2 ปิดตาทั้งสองข้าง ชิ้นที่ 3 ปิดหูขวา และชิ้นที่ 4 ปิดหูซ้าย ซึ่งสะท้อนว่ามีการแทรกแซงและพยายามหยุดการสื่อสารเรื่องแม่วงก์ออกสู่สาธารณะ
      
       ด้านนายธีรัตน์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รีบออกมาปฏิเสธว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งแบนรายการคนค้นฅนดังกล่าว และว่า ทราบจากทาง อสมท ว่า เป็นการตัดสินใจของหน่วยงานเซ็นเซอร์ของทางช่อง 9 เอง เพราะรายการให้ข้อมูลไม่รอบด้าน
      
       ขณะที่นางกมลาสิริ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายดูแลสายงานโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ยอมรับว่า มีการระงับการออกอากาศรายการคนค้นฅนตอนดังกล่าวจริง เพราะนำเสนอข้อมูลไม่รอบด้าน และว่า อสมท เป็นกลาง เวลาออกข่าว ต้องออกให้สมดุลรอบด้าน จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อทางรายการให้ไปสัมภาษณ์อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแก้ต่าง แต่ทางรายการไม่ทำ และทำไม่ได้ จึงบอกไปว่า ถ้าพร้อมทำเมื่อไหร่ จะออกอากาศให้ นางกมลาสิริ ยังย้ำด้วยว่า การระงับรายการดังกล่าว ไม่มีการเมืองแทรกแน่นอน
      
       ด้านรายการคนค้นฅนได้เผยแพร่คำชี้แจงทางโซเชียลมีเดียว่า หลังฝ่ายพิจารณาเทปออกอากาศแจ้งว่า อยากให้ปรับแก้เนื้อหาให้สมดุลทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายสนับสนุนการสร้างเขื่อนและฝ่ายคัดค้าน รวมทั้งตัดทอนเนื้อหาที่ทางสถานีฯ เห็นว่าจะทำให้เกิดการยั่วยุ ขัดแย้งออก ทางรายการก็ได้ปรับแก้ตามที่ทางสถานีฯ ห่วงใย บนพื้นฐานที่ไม่ให้เสียจุดยืนและรูปแบบของรายการ ที่เป็นสารคดีชีวิต ไม่ใช่สารคดีเชิงข่าว นอกจากนี้ทางรายการยังเพิ่มเติมเนื้อหาว่า พร้อมจะนำเสนอข้อมูลของฝ่ายที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนในโอกาสต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณาให้ออกอากาศแต่อย่างใด ทางรายการฯ จึงได้นำเทปรายการตอนดังกล่าว มาเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ เพื่อให้สังคมได้ร่วมพิจารณาและหาทางออกอย่างสันติและเป็นธรรม
      
       ทั้งนี้ หลังช่อง 9 แบนรายการคนค้นฅนตอนดังกล่าว ปรากฏว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของช่อง 9 ว่าเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 30 พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ มีรายการของรัฐบาลทางช่อง 9 ที่โฆษณาชวนเชื่อและเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวออกมามากมาย แต่ช่อง 9 ก็ไม่ได้สั่งห้ามเผยแพร่แต่อย่างใด พฤติกรรมของช่อง 9 จึงเป็นการเชลียร์ผู้มีอำนาจอย่างออกหน้าออกตา “ปิดหูปิดตาประชาชน” ที่มีสิทธิจะรับรู้ความจริงอีกด้าน ทั้งๆ ที่ช่อง 9 เป็นบริษัทมหาชน ที่มาจากเงินภาษีประชาชน ไม่ใช่เงินของรัฐมนตรีหรือนักการเมืองคนใด ทางสมาคมฯ จึงขอให้ช่อง 9 ทบทวนพฤติกรรม พร้อมเรียกร้องให้ กสทช.สั่งการให้ช่อง 9 นำเทปรายการคนค้นฅนตอนตอนดังกล่าวมาออกอากาศโดยเร็ว หากช่อง 9 ยังเพิกเฉย สมาคมฯ จำเป็นต้องร่วมกับผู้ชมและนักอนุรักษ์พึ่งอำนาจศาลปกครองโดยเร็วแน่นอน
      
       3. รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” เพิ่งได้ฤกษ์แถลงผลงาน 1 ปี ด้าน ปชป.ซัด รัฐบาลล้มเหลว-ถังแตก-เพิ่มหนี้ให้ประชาชน!

       เมื่อวันที่ 24-25 ก.ย. ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ เพื่อรับทราบรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ครบรอบ 1 ปี(23 ส.ค.2554-23 ส.ค.2555) ของการบริหารราชการของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำหรับการแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาลครั้งนี้ ถือว่าช้ากว่ากำหนดมาก เพราะขณะนี้รัฐบาลบริหารประเทศมากว่า 2 ปีแล้ว และการแถลงผลงานครั้งนี้ก็มีขึ้นหลังจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาเตือนว่า รัฐบาลกำลังทำผิดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ยอมแถลงผลงานหลังครบ 1 ปี
      
       ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงภาพรวมผลงาน 1 ปีของรัฐบาลว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ และประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ไทยในปี 2554 รัฐบาลจึงต้องตัดงบปกติจากทุกกระทรวงเป็นเงิน 1.2 แสนล้านบาทในการป้องกันอุทกภัย และยังเสนอให้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน และว่า รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้โดยยึดจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 1.การสร้างเศรษฐกิจสมดุล 2.การสร้างความเชื่อมั่น และ 3.การเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
      
       ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภารกิจด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ดำเนินแนวนโยบายที่ครอบคลุมถึง 14 ด้าน เช่น เพิ่มรายได้ ,ลดรายจ่าย ,ขยายโอกาส ,สร้างรากฐานอนาคต และที่สำคัญ รัฐบาลกำลังลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมในหลายเส้นทาง
      
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) อภิปรายว่า คำมั่นสัญญาต่างๆ รัฐบาลไม่สามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้ ไม่เท่านั้นรัฐบาลยังซ้ำเติมประชาชนในแง่ค่าครองชีพ และราคาน้ำมัน ขณะที่เกษตรกรภาคใต้ชุมนุมมีปัญหาราคายางพาราตกต่ำ โดยปี 2554 ราคาอยู่ที่ กก.ละ 125 บาท แต่วันนี้อยู่ที่ กก.ละ 74 บาท ส่วนการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลพูดเรื่องปรองดอง แต่กลับผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการปรองดองที่เลือกปฏิบัติ
      
       ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า พรรคเพื่อไทยเคยขึ้นป้ายหาเสียงว่า ล้างหนี้ประเทศไทย สร้างรายได้ประชาชน เอาความสุขที่เคยได้รับคืนมา แต่กลับล้มเหลว นอกจากทำไม่ได้ตามสัญญาแล้ว รัฐบาลยังทำให้อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 188,774 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 30,000 บาทจากปี 2554 และว่า สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลถังแตก เพราะความล้มเหลวในโครงการรถยนต์คันแรกที่รัฐบาลใช้งบบานปลาย จาก 30,000 ล้านเป็น 90,000 ล้านบาท
      
       ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงภาพรวมผลงานของกระทรวงการต่างประเทศว่า ก่อนที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเข้ามาบริหารประเทศ ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ดีนัก เมื่อเข้ามาบริหาร จึงเน้นนโยบายด้านการต่างประเทศด้วยการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ แต่ฝ่ายค้านพยายามกล่าวหาว่า นายกฯ เดินทางไปเยอะและไม่ประสบผลสำเร็จอะไร นายสุรพงษ์ ยังเย้ยด้วยว่า สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์บริหารประเทศ 2 ปี 8 เดือน ไปเยือนต่างประเทศแค่ 20 ประเทศ ขณะที่มีผู้นำต่างประเทศมาเยือนไทยแค่ 8 คนเท่านั้น แต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผู้นำต่างประเทศมาเยือนถึง 22 คน เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐมนตรีที่ต่างชาติและสังคมโลกให้การยอมรับนั่นเอง
      
       ด้านนายอภิสิทธิ์ สวนกลับนายสุรพงษ์ว่า เหตุที่ตนตัดสินใจไม่ไปเยือนหลายประเทศ เพราะเห็นว่าปัญหาในประเทศหนักกว่า ส่วนที่นายสุรพงษ์อ้างว่า มีผู้นำต่างประเทศมาเยือนไทยน้อยในสมัยรัฐบาลตนนั้น เป็นการกล่าวหาที่ใช้ไม่ได้ เพราะหลังจากเสื้อแดงบุกที่ประชุมอาเซียนที่พัทยา ทำให้รัฐบาลตนลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าหากเชิญผู้นำต่างประเทศมา แล้วจะเจอปัญหาอะไรบ้าง
      
       ขณะที่นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงการทำงานในสภาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า มีการลงมติกฎหมายสำคัญในสภา 55 ครั้ง แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเซ็นชื่อแค่ 9 ครั้ง โดยไม่ยอมร่วมลงมติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่บอกว่ามีอะไรให้มาพูดกันในสภา แต่นายกฯ กลับไม่ให้ความร่วมมือกับที่ประชุมสภา
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการแถลงและการอภิปรายผลงานรัฐบาลดำเนินมาถึงช่วงบ่ายวันที่สอง(25 ก.ย.) ปรากฏว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ได้ยุติการถ่ายทอดสด โดยเปลี่ยนเป็นการถ่ายทอดสดภารกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไปเป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจดีเด่น ที่ศูนย์ประชุมไบเทคแทน ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ เพราะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงเสนอให้ประธานสั่งพักการประชุมจนกว่าช่อง 11 จะสามารถถ่ายทอดการประชุมได้ ทั้งนี้ บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ในฐานะประธานที่ประชุม จึงขออภัยและขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นได้มีการอภิปรายต่อ กระทั่งหมดจำนวนผู้อภิปรายในช่วงเย็น เป็นอันเสร็จสิ้นการแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาล
      
 

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 653