แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 654
6556
กรมการแพทย์เผยแนวทางดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายในหออภิบาลคุณภาพชีวิตช่วยให้ผู้ป่วย ใช้ชีวิตเสมือนอยู่บ้าน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น
       
       วันที่ 15 ตุลาคม 2556 ที่โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “World Hospice and Palliative Care Day” ว่า จากข้อมูลขององค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติโดยองค์การอนามัยโลก คาดการณ์สถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทยว่า ในปี พ.ศ. 2563 จะมีผู้ป่วยใหม่จำนวน 148,729 ราย และมีผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต 95,804 ราย และในปี พ.ศ. 2573 จะมีผู้ป่วยใหม่ จำนวน 176,301 ราย และมีผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต 120,689 ราย
       
       กรมการแพทย์ในฐานะที่มีบทบาทในการดูแลและรักษาผู้ป่วยมะเร็ง รวมถึงพัฒนา ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง โดยมีหน่วยงานที่ให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ซึ่งโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรีเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ต้องอยู่กับความทุกข์ทรมาน ทั้งทางด้านร่างกายจากอาการปวด ความรู้สึกสูญเสียทุกอย่าง ผู้ป่วยจึงต้องการที่พึ่งทางใจเพื่อช่วยเป็นพลังความหวังในการปรับตัวเพื่อก้าวผ่านปัญหาอุปสรรค และก่อให้เกิดความเข้มแข็งภายในตนเอง ซึ่งความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งในการเสริมสร้างพลังดังกล่าว ดังนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงเน้นการดูแล เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายและครอบครัว จึงได้มีการตั้งหออภิบาลคุณภาพชีวิตขึ้นตั้งแต่ปี 2543 ภายในหอผู้ป่วยมีการจัดสิ่งแวดล้อมให้มีลักษณะคล้ายบ้าน มีห้องหรือมุมต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ห้องประกอบกิจกรรม ทางศาสนา ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร มุมพักผ่อน มุมนั่งเล่น เป็นต้น โดยมีรูปแบบการดูแลแบบองค์รวม ลดความทุกข์ทรมาน จากอาการของโรค อาการเจ็บปวดต่างๆ มีการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องที่บ้านได้อย่างถูกต้อง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
       
       นายแพทย์ธนเดช สินธุเสก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเน้นการดูแลเพื่อลดความทุกข์ทรมานจากอาการต่างๆ และให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งมีองค์ประกอบได้แก่ ทีมสหสาขาวิชาชีพทั้งแพทย์ พยาบาล ผู้นำศาสนา นักสงคมสงเคาระห์ เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยและครอบครัว ให้คำปรึกษา แนะนำ แก่ญาติเพื่อเตรียมสภาพจิตใจ หรือการประกอบกิจกรรมตามความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งกิจกรรมมิตรภาพบำบัดที่มีอาสาสมัครทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมทำกิจกรรมกับผู้ป่วยและครอบครัว การนำแพทย์พื้นบ้านและแพทย์ทางเลือก มาผสมผสานในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย การจัดสิ่งแวดล้อมให้มีลักษณะคล้ายบ้าน และทีมเยี่ยมบ้านเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องที่บ้าน
       
       จากการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายตามรูปแบบดังกล่าว พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และครอบครัวได้รับการดูแลแบบองค์รวม มีการเตรียมความพร้อม และเน้นการตอบสนองคุณภาพชีวิต จากผลสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายในด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณและจิตสังคม จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและครอบครัวของผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น การดำเนินงานหออภิบาลคุณภาพชีวิตที่มีการพัฒนาแนวทางและวิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นแล้วนั้น ยังเป็นศูนย์กลางความรัก ความอบอุ่น และสานสัมพันธ์ในครอบครัว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2556

6557
จุฬาฯ ชี้ยกระดับ “ไซลาซีน” เป็นยาควบคุมพิเศษ ทำให้สัตวแพทย์ใช้งานยากขึ้น แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะมีการควบคุมเข้มขึ้น เหตุเป็นยาที่มีอาการข้างเคียง อย.คาดไม่นำมาใช้กับคนเพราะอาจมีโทษ จึงพัฒนาใช้ในสัตว์เท่านั้น
       
       วันนี้ (21 ต.ค.) ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.น.สพ.มาริษศักร์ กัลล์ประวิทธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางยาสลบในสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แถลงข่าว เรื่อง “Xylazine : ยารักษาสัตว์หรืออาชญากรรม” ว่า ไซลาซีนเป็นยาสงบประสาทในสัตว์ คณะสัตวแพทย์ จุฬาฯ เริ่มใช้มานานกว่า 40 ปี เพื่อบังคับสัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กที่ดุร้าย และสัตว์ที่ต้องการรักษาแล้วไม่ยอม เพื่อให้สัตวแพทย์เข้าถึงตัว โดยใช้การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เข้ากล้ามเนื้อ และเข้าใต้ผิวหนัง ทั้งนี้ ยาดังกล่าวมีฤทธิ์ระงับปวด ทำให้สัตว์ซึมหรือหลับ มีผลต่อการทำงานหลายระบบของร่างกาย นรวมถึงยังมีฤทธิ์หย่อนกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำจะทำให้หัวใจเต้นช้าและความดันเลือดสูงในระยะ 5-10 นาทีแรกก่อนจะมีความดันเลือดต่ำ
       
       “ส่วนตัวไม่เคยพบรายงานทางวิชาการว่ามีการนำไซลาซีนมาใช้กับคน หากเป็นยากลุ่มนี้ที่ใช้ในคนจะเป็นยาโคลลิดีน ซึ่งใช้เป็นยาลดความดัน แต่ไม่แน่ใจว่ายังมีการใช้หรือไม่ เพราะเป็นยาที่เก่ามาก แต่เมื่อห้องปฏิบัติการ รพ.รามาธิบดียืนยันว่าเป็นไซลาซีน บวกกับการให้การของผู้ต้องหา จึงน่าจะเป็นไซลาซีนที่นำมาใช้ก่อเหตุปลดทรัพย์ญาติและผู้ป่วยในโรงพยาบาลจริง” ศ.น.สพ.มาริษศักร์ กล่าวและว่า การใช้ยานี้ในสัตว์ใช้ในรูปแบบฉีดเท่านั้น ไม่เคยใช้รูปแบบกิน แต่ยาที่ใช้ในสัตว์ส่วนใหญ่เป็นยาคน เพราะก่อนที่จะนำยามาใช้กับคนมีการทดลองในสัตว์มาก่อน
       
       ศ.น.สพ.มาริษศักร์ กล่าวอีกว่า ยาตัวนี้ไม่ใช่ยาสลบ แต่เป็นยาสงบประสาทที่มีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรงกว่าตัวอื่น ถ้าใช้ปริมาณมากอาจทำให้หลับได้ เพราะฉะนั้น ลักษณะการสงบประสาท จึงเป็นกึ่งสลบ ตามคลินิกใช้ยาตัวนี้ในการเย็บแผลและใส่เฝือกได้ แต่ไม่จัดเป็นการสลบแค่หลับลึกกว่าปกติ หาก อย.ยกระดับเป็นยาควบคุมพิเศษ อาจจะทำให้สัตวแพทย์มีการใช้ยานี้ลำบากขึ้น และต้องเสียเวลาในการทำรายงานการใช้ทุกเดือน แต่ถือเป็นการดีที่มีการควบคุมเข้มขึ้นสัตวแพทย์จะได้มีการะวังการใช้มากขึ้น เนื่องจากการใช้ในสัตว์เองก็มีผลข้างเคียงที่ต้องระมัดระวัง
       
       ภญ.พิสชา ลุศนันท์ หัวหน้ากลุ่มยาสัตว์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า จากการสืบค้นการขึ้นทะเบียนของ อย.ไม่มีการขึ้นทะเบียนการใช้ยานี้ในคน ใช้สำหรับสัตว์เท่านั้น มีการขึ้นทะเบียนกับ อย. 9 ตำรับ ในรูปแบบฉีด ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นยาอันตรายสามารถซื้อได้ในร้านขายยาที่มีเภสัชกร แต่ในวันที่ 30 ต.ค.นี้ คณะกรรมการยาจะพิจารณาว่าจะยกระดับเป็นยาควบคุมพิเศษตามที่คณะอนุกรรมการควบคุมยาในสัตว์เห็นชอบก่อนหน้านี้หรือไม่ ทั้งนี้ จากการที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนยานี้สำหรับใช้ในคน อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อใช้กับคน แสดงว่าน่าจะมีการทำให้เกิดโทษ จึงพัฒนาให้ใช้เฉพาะในสัตว์เท่านั้น โดยพบอาการข้างเคียง เช่น หัวใจเต้นช้า ผิดจังหวะ ปัสสาวะมาก และควาดดันโลหิตต่ำ เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2556

6558
คกก.พัฒนาโครงสร้างระบบราชการ สธ.เห็นชอบภารกิจใหม่ของ สธ.12 บทบาท ทั้งการตั้งเขตบริการสุขภาพ ตั้งศูนย์ข้อมูลหลักประกันสุขภาพในรูปแบบองค์กรมหาชน
       
       พญ.พรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของ สธ.ที่มี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีมติเห็นชอบในหลักการ บทบาทภารกิจใหม่ของ สธ. การจัดตั้งเขตบริการสุขภาพ 1-12 และเขต กทม.รวมทั้งการขอจัดตั้งศูนย์การจัดการข้อมูลหลักประกันสุขภาพ (National Data Clearing House) เป็นองค์กรมหาชน ทั้งนี้ เนื่องจากสาธารณสุขมีความซับซ้อนกว่าในอดีต จึงต้องปรับบริบทในการทำงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้การบริหารงบประมาณและการกระจายตัวที่ไม่เหมาะสมของทรัพยากรด้านสาธารณสุข
       
       พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า สธ.ได้กำหนดบทบาทภารกิจใหม่ 12 บทบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังนี้

1.กำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ของประเทศบนข้อมูลและฐานความรู้

2.การสร้างและจัดการความรู้ด้านสุขภาพ และการสื่อสารประชาสัมพันธ์

3.การประเมินนโยบายและเทคโนโลยีด้านสุขภาพ

4.การกำหนดมาตรฐานบริการต่างๆ

5.การพัฒนาระบบกลไกการเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ

6.การพัฒนากลไกด้านกฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาและดูแลสุขภาพประชาชน

7.การพัฒนางานสุขภาพโลกและความร่วมมือระหว่างประเทศ

8.การกำกับดูแล ติดตามและประเมินผลของภาครัฐ ท้องถิ่นและเอกชน

9.การให้ข้อคิดเห็นต่อระบบการเงิน การคลัง ด้านสุขภาพของประเทศ

10.การพัฒนาข้อมูลข่าวสารให้เป็นระบบเดียวมีคุณภาพใช้งานได้

11.การกำหนดนโยบายและจัดการกำลังคน ด้านสุขภาพ และ

12.การพัฒนาเขตสุขภาพ โดยตั้งเขตบริการสุขภาพ 1-12 และเขตกทม.ให้เกิดการบริการจัดการทรัพยากรร่วมที่มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่า บริการกำลังคนให้สอดคล้องกับภาระงาน
       
       นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอจัดตั้งศูนย์การจัดการข้อมูลหลักประกันสุขภาพ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 26 มีนาคม 2556 เห็นชอบให้หน่วยงานหลักประกันสุขภาพ มีความร่วมมือในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลด้านบริการสาธารณสุข (National Clearing House) รวมทั้งการประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ สปสช. เป็นหน่วยงานกลางในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยสถาบันวิจัยกระทรวงสาธารณสุข ได้ศึกษารูปแบบองค์กร บทบาทหน้าที่และกลไกความเชื่อมโยง เพื่อการจัดตั้งหน่วยงานกลางทำหน้าที่ธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลด้านสาธารณสุข เป็นองค์กรมหาชน ทำหน้าที่ประเมินข้อมูลประเมินผลการเบิกจ่ายของสถานพยาบาลและสถานบริการ วิจัยพัฒนาการเบิกจ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่คลังข้อมูลกลางและจัดทำสารสนเทศ เพื่อการบริหารเชิงระบบให้กับหน่วยราชการ ทั้งนี้ได้ตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานขึ้นกรรมการประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2556

6559
“สรวงศ์” นำผู้บริหาร และพยาบาลถวายพานพุ่มสักการะ “สมเด็จย่า” เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ ด้าน ผอ.สำนักพยาบาลเผย ตั้งผู้บริหารพยาบาลหวังกระจายกำลังพยาบาลให้เหมาะสมกับเขตบริการสุขภาพ หลังพบยังขาดแคลนกว่า 30,000 คน ชี้ กทม.และภาคกลาง มีพยาบาล 1 คนต่อประชากร 200 คน อีสาน 1 คนต่อประชากร 1,000 คน เร่งกระจายให้เท่าเทียม

       วันนี้ (21 ต.ค.) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังนำผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนพยาบาลจากภาครัฐและเอกชน และนักศึกษาพยาบาล ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้วันที่ 21 ต.ค.ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาล และตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา วิริยะอุตสาหะ นำสิริสุขแก่ปวงชนทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง สมควรเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ให้ตระหนักในภารกิจของวิชาชีพแห่งตนว่าเป็นงานบริการสุขภาพที่มีความสำคัญ
       
       “ในส่วนของ สธ.พยาบาลนับเป็นบุคลากรที่มีมากที่สุด และเป็นกำลังหลักในระบบบริการสาธารณสุข ปัจจุบันมีพยาบาลปฏิบัติงานอยู่ในสถานบริการสังกัดกระทรวงฯซึ่งมี 12,027 แห่ง รวม 86,591 คน ซึ่งยังขาดแคลนอีกประมาณ 30,000 คน ในปีนี้ สธ.ได้จัดระบบบริการออกเป็นเขตบริการสุขภาพรวมทั้งหมด 12 เขตบริการ เขตละ 5-6 จังหวัด ใช้การบริหารทรัพยากรร่วมกันทั้งงบประมาณ กำลังคนทุกสายวิชาชีพ อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ เตียงนอนผู้ป่วย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างมีคุณภาพ” รมช.สาธารณสุข กล่าว
       
       ด้าน ดร.กาญจนา จันทร์ไทย ผู้อำนวยการสำนักการพยาบาล กล่าวว่า ขณะนี้ สำนักการพยาบาล ได้กำหนดให้มีผู้บริหารทางการพยาบาลภาครัฐ หรือ (CNO:Chief Nurse Officer) ประจำเขตบริการทั้ง 12 เขต เพื่อให้เป็นผู้นำการพยาบาล ทั้งในระดับประเทศ ระดับเขต และระดับจังหวัด เพื่อให้การปฏิบัติงานดูแลสุขภาพประชาชน เป็นไปตามนโยบาย ทั้งนโยบายระหว่างประเทศ ระดับประเทศ นโยบายรัฐบาล และของกระทรวงสาธารณสุข โดยงานที่พยาบาลจะเน้นหนักในยุคการปฏิรูประบบสุขภาพ คือ การส่งเสริมสุขภาพดี และป้องกันโรคไม่ให้เจ็บป่วย เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย การดำเนินการดังกล่าว จะเน้นหนักในโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เน้นหนักในด้านคุณภาพการรักษาพยาบาล
       
       ดร.กาญจนา กล่าวอีกว่า จะเร่งกระจายกำลังคนด้านพยาบาลในสถานบริการดังกล่าว ให้ได้ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกกำหนด คือพยาบาล 1 คน ต่อประชากร 550 คน ขณะนี้มีการกระจายตัวของกำลังคนด้านพยาบาลยังไม่ได้มาตรฐานที่กำหนด มีการกระจุกและกระจายตัว เช่น กทม.และภาคกลาง เฉลี่ยพยาบาล 1 คน ต่อประชากร 200 คน ส่วนที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราพยาบาล 1 ต่อ ประชากร 1,000 คน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ตุลาคม 2556

6560


๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖

สวัสดี เพื่อนแพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ทุกท่าน
   
ข่าวคนร้ายวางยาคนไข้ในโรงพยาบาล ทำให้ทุก รพ.ต้องหามาตรการเฝ้าระวัง รักษาความปลอดภัยให้ผู้ป่วย แต่ข่าวแพทย์สังกัด สป. ถูกวางยา โดย ฉ. ๔ ซึ่งได้กล่าวไว้ในจม.ฉบับที่แล้ว ทำให้สมาพันธ์ฯมีแนวคิดเฝ้าระวัง รักษาความสามัคคีและบรรยากาศอันดีในการทำงาน กลับมาสู่แพทย์ในสังกัด สป. โดยได้รับความร่วมมือจากแพทยสภา คาดว่าจะมีการจัดประชุมสัมมนา ในเดือน พย. หรือ ธค.นี้ ขอเพื่อนแพทย์ทุกท่านมาร่วมประชุมกันมากๆ

   เมื่อวันที่ ๑๑  ตค. ที่ผ่านมา ตัวแทนสมาพันธ์ฯทั้ง ๑๒ เขต ได้รับเกียรติจากกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ กับ อธิบดี รองอธิบดี ผู้ตรวจฯ และชมรมต่างๆ ในหัวข้อ “การพัฒนาประสิทธิภาพของกระทรวงสาธารณสุข” โดยมี รมต. สธ. และปลัด สธ. เป็นผู้บรรยาย แต่ไม่ทราบว่าเพราะผู้เข้าประชุมแรงไปหรือเปล่า หม้อแปลงไฟฟ้าเลยระเบิด เกิดไฟดับ ประกอบกับ รมต.ติดภารกิจ ต้องเลื่อนการประชุมจากเช้า เป็นตอนบ่าย ตัวแทนสมาพันธ์ฯ จึงอยู่ไม่ครบ แต่อย่างไรก็ตาม รมต. สธ. และปลัด สธ.อยู่พูดคุยกับพวกเราตลอดบ่ายจนปิดการประชุม

   เนื้อหาการประชุม เป็นการชี้แจงการเปลี่ยนแปลงการทำงานของกระทรวง สธ. โดยจะทำหน้าที่เป็น regulator ติดตามการดำเนินงานของ provider หรือผู้ให้บริการสุขภาพอย่างพวกเราชาว รพศ./รพท. และเพื่อนๆ รพช. รพ.สต. ซึ่งจะรวมตัวกันให้บริการสุขภาพในรูปแบบเครือข่าย ๑๒+๑ เขตทั่วประเทศ มีการ ส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสุขภาพร่วมกันในแต่ละเขต ใช้ทรัพยากรร่วมกัน บริหาร “คน เงิน ของ” กระจายไปในเขตของตน เนื้อหาส่วนนี้ สมาพันธ์ฯเคยมีจม.เกริ่นให้เพื่อนแพทย์ทราบมาบ้างแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ แต่ไม่มีความคืบหน้าในทางปฏิบัติเท่าที่ควร จนสงสัยว่ายกเลิกโครงการไปแล้วหรือยัง เมื่อได้รับการยืนยันจากผู้บริหาร สธ.ทั้งสองท่านแล้วนั้น หลังการประชุมครั้งนี้ คาดว่าทุกเขตคงมีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพระดับเขต เพื่อดำเนินการตามนโยบายกระทรวงต่อไป

   ในช่วงหนึ่งของการประชุม ได้มีการชี้แจง การจ่ายเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือ ให้ สปสช. โอนเงินทั้งหมดไปยังหน่วยบริการเช่นเดิม ไม่มีการกันเงินไว้บริหารที่กระทรวง สธ.หรือ เขตบริการสุขภาพ ตามที่กลุ่มแพทย์ชนบทเข้าใจ ซึ่งท่านปลัดฯ ได้กล่าวว่า “ถ้ากันเงินไว้ที่กระทรวง กระทรวงก็เป็นโจร ถ้ากันเงินไว้ที่เขต เขตก็เป็นโจร” เป็นการตอกย้ำว่า หน่วยบริการจะได้เงินจาก สปสช.โดยไม่มีการหักหัวคิวจากกระทรวง หรือเขตบริการสุขภาพเป็นแน่ อื่ม!! ....ที่ สปสช. หักหัวคิวไว้ ๑% ของงบทั้งหมด ปีละกว่าพันล้าน (ค่าบริหารจัดการของสำนักงาน) แล้วยังมีหักค่าบริหารของกองทุนย่อยๆ(vertical program)  กองละ ๕-๑๐ % และ ถ้า สปสช. เขต กักเงินของหน่วยบริการไว้อีก จะเรียก สปสช.ว่า ท่านมหา... ดีไหม

      จาก... สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แห่งประเทศไทย (สพศท.)

6561
12 ปีก่อน นโยบายที่สร้างชื่อให้กับรัฐบาล "พรรคไทยรักไทย" อย่างมาก คือ การปฏิรูประบบสาธารณสุข ด้วย "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค" ซึ่งมีกระจายงบประมาณไปสู่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศโดยคิดตามหัวประชากร ตามหลักปรัชญา "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" ทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง "คนจน" และ "คนรวย" ถือเป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในระดับ แต่นั่นก็เป็นผลงานในสมัย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" มาถึงสมัย "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายจะปฏิรูประบบสาธารณสุขอีกครั้ง ในนาม "พรรคเพื่อไทย" (เปลี่ยนพรรคใหม่) โดยมี "นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กลับกลายเป็นไม่ว่าจะมีนโยบายใดออกมาสู่สาธารณะก็เป็นอันต้องเจอกระแสสังคมคัดค้าน และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

แม้แต่ "นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากพรรคเดียวกัน และเป็นคนสำคัญที่ร่วมผลักดันโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เมื่อ 12 ปีก่อน ก็ยังอดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่ได้

"ผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ครั้งนั้น...แกนนำสำคัญที่ทำให้โครงการ 30 บาทสำเร็จ คือ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ความจริงผมไม่ควรพูด หรือให้ความเห็นใดๆ ที่เกี่ยวกับการเมือง เพราะวันนี้ผมยังถูกตัดสินทางการเมืองเพราะถูกยุบพรรค 5 ปี แต่ในเดือนธันวาคม 2556 ผมจะได้คืนสิทธิทางการเมืองอีกครั้ง และผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก จึงอดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความคิดเห็นในฐานะคนที่เคยสัมผัสงานด้านสาธารณสุขมากก่อน ไม่ว่ารัฐบาลจะฟังในสิ่งที่ผมพูดหรือไม่ก็ตาม" นพ.สุรพงษ์กล่าว

อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ.เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้เคยเสนอปัญหาของระบบสาธารณสุขไปพรรคเพื่อไทย เช่น การดำเนินการตามนโยบายจ่ายเงินตามผลปฏิบัติงาน หรือ "พีฟอร์พี" (P4P: Pay for Performance)

"ผมได้ส่งผ่านความเห็นไปยังผู้ที่มีบทบาทในการนำเสนอนโยบายภายในพรรค นำเสนอด้วยความห่วงใยว่าปัญหาอาจลุกลามยากแก้ไข ซึ่งสุดท้ายก็มีการประชุมรับฟังความเห็นกัน ส่วนในเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณสุข มีข้อเสนอ แต่อาจไม่เป็นทางการนัก แต่เป็นข้อเสนอที่อยากให้มีการปฏิรูปอย่างแท้จริง ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าหากไม่เคยทำโครงการ 30 บาทมาก่อน โดยมาเริ่มในปี 2556 การผลักดันอาจจะยากมาก เพราะเป็นการปฏิรูประบบงบประมาณครั้งใหญ่ ที่มีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คนไม่เห็นด้วยเมื่อ 12 ปีที่แล้ว อย่างมากก็แสดงความคิดเห็น มีการประท้วงสวมปลอกแขนดำในโรงพยาบาล แต่มายุคนี้ อาจมีการฟ้องร้องศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดรัฐธรรมนูญ อาจทำให้หลายสิ่งหลายอย่างทำไม่ได้ ยิ่งในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน มุ่งเน้นเกมการเมือง ไม่เน้นผล หรือประสิทธิผลก็ยิ่งยาก" นพ.สุรพงษ์กล่าว

สำหรับเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณสุขในปัจจุบันนั้น นพ.สุรพงษ์บอกว่า หากอุปมาอุปไมย อย่างการร่างนโยบายสาธารณสุขของพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2542 การปฏิรูปส่วนใหญ่เป็นนโยบายชุดเล็กๆ เช่น ทำอย่างไรจะฉีดวัคซีนในทารกแรกเกิด 100% จะรณรงค์ไม่สูบบุหรี่อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร ทั้งหมดเป็นเรื่องของการคิดเป็นชิ้นๆ สุดท้ายมาตั้งคำถามว่า นโยบายนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงมิติใหม่ของการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขได้หรือไม่ ซึ่งไม่ได้ จึงเกิดคำถามกับ นพ.สงวนว่า ในชีวิตนี้มีอะไรที่เป็นความฝันที่อยากทำ จึงได้คำตอบว่า "เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" จนเป็นที่มาที่ไปของโครงการ 30 บาท

นพ.สุรพงษ์วิเคราะห์ว่า เมื่อหันมามอง ณ ปัจจุบัน หากกระทรวงสาธารณสุขจะปฏิรูปงานที่เน้นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ย่อมไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพีฟอร์พี การจัดทำ เขตบริการสุขภาพ 12 เขต โดยให้อำนาจผู้ตรวจราชการ สธ. การกำหนดเรื่องเงินค่าตรวจในแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นรูปธรรมชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาก ถ้าจะปฏิรูปต้องมองโครงสร้างภาพใหญ่

นพ.สุรพงษ์บอกว่า เมื่อปี 2544 การปฏิรูประบบสาธารณสุข เป็นเรื่อง "ระบบงบประมาณ" ที่เปลี่ยนจากการจัดสรรงบ ตามโครงการที่โรงพยาบาลเสนอ ตามฐานเงินเดือนของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง มาสู่ระบบงบประมาณรายหัวของประชาชนที่ขึ้นทะเบียนรับบริการจากโรงพยาบาลนั้นๆ

"เพียงแค่พลิกวิธีคิด ก็เกิดการปฏิรูปเป็นโดมิโน เอฟเฟ็กต์ (Domino effect) จากระบบกระจายทรัพยากร กระจายแพทย์บุคลากรสาธารณสุขดีขึ้น เพราะทุกคนเริ่มรู้ว่า หากมีฐานประชากรมาก ก็จะได้รับงบประมาณมาก จากนั้นก็มีการปฏิรูปการบริหารจัดการ เช่น ปี 2545 มีการปฏิรูประบบบริหารจัดการของโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพด้วย แต่วันนี้...นโยบายพีฟอร์พีเป็นเพียงจุดเล็กมากในการพัฒนาประสิทธิภาพ เพราะการพัฒนาประสิทธิภาพ ต้องอยู่ที่โรงพยาบาล จะทำพีฟอร์พีก็ต้องให้โรงพยาบาลจัดการกันเอง ไม่ใช่ให้ผู้บริหารใน สธ.หรือส่วนกลางทำ เพราะไม่มีทางรู้ปัญหาในพื้นที่ได้ดีเท่ากับคนทำงานในพื้นที่" นพ.สุรพงษ์กล่าว

หากรัฐบาลคิดจะปฏิรูประบบสาธารณสุขอีกครั้ง นพ.สุรพงษ์ บอกทันทีว่า ผู้บริหาร สธ.ไม่ว่าจะเป็น "ฝ่ายการเมือง" หรือ "ฝ่ายข้าราชการประจำ" จะต้อง "กระจายอำนาจ"

"คำตอบมีอยู่แล้ว คือ ต้องให้โรงพยาบาลเป็น ′องค์การมหาชน′ แบบเดียวกับโรงพยาบาล (รพ.) บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ที่ สธ.มีการนำร่องมากว่า 13 ปี วันนี้...พิสูจน์แล้วว่าเป็นรูปแบบที่มีความร่วมมือทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม นำไปสู่การสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ ผมเชื่อว่ายังมีโรงพยาบาลอีกมากที่มีศักยภาพ แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมา

สธ.ไม่มีการพัฒนาโรงพยาบาลให้เป็นองค์การมหาชนเลย มาวันนี้คิดจะทำเขตบริการสุขภาพ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริการ และการบริหาร ก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะสุดท้ายมีหลายจังหวัดรวมกัน แต่ 3-4 จังหวัด ปัญหาก็ไม่เหมือนกันอีก การตัดสินใจก็ไม่ได้อยู่ที่พื้นที่ ยังอยู่ที่ส่วนกลาง โดยผู้ตรวจราชการ สธ. จึงไม่ใช่การกระจายอำนาจ แต่เป็นการกระจุกอำนาจ" นพ.สุรพงษ์กล่าว

การมี 12 เขตบริการสุขภาพ โดยการดึงอำนาจการตัดสินใจจากโรงพยาบาลไปให้ผู้ตรวจราชการ สธ. นพ.สุรพงษ์ บอกว่า เหมือนเป็นการ "ถอยหลังเข้าคลอง" เพราะเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะมีโครงการ 30 บาท อำนาจอยู่กับ สธ. แต่เมื่อมีโครงการ 30 บาทได้กระจายงบไปให้โรงพยาบาล ถือเป็นการกระจายอำนาจโดยตรง แต่เมื่อมีการทำ 12 เขตบริการสุขภาพ เท่ากับดึงอำนาจการตัดสินใจกลับไปส่วนกลางอีกครั้ง ซึ่งไม่แตกต่างจากเมื่อ 12 ปีก่อน ที่สำคัญ ไม่มีใครการันตีว่าผู้ตรวจราชการ สธ.ทุกคน จะสามารถเป็น "ซีอีโอ" ของเขตนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เที่ยงธรรม หรือไม่ กลายเป็นว่ากำลังไปฝากอนาคตที่ตัวบุคคล ไม่ใช่ตัวระบบ หากตัวบุคคลไม่ดี มีปัญหา ใครเป็นคนตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนผู้ตรวจราชการ สธ.ซึ่งก็ยังไม่มี

นพ.สุรพงษ์บอกว่า หากจะทำองค์การมหาชน ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โรงพยาบาลขนาดเล็ก รวมกันก็ได้ ทำเป็นเครือข่าย แต่เป็นองค์การมหาชน ให้บริหารและตัดสินใจกันเอง ดังนั้น หากจะกระจายอำนาจจริงๆ ต้องให้ถึงที่สุด 10 กว่าปีที่แล้ว อาจมีเฉพาะ รพ.บ้านแพ้ว ที่พร้อม แต่วันนี้เชื่อว่าหลายพื้นที่มีความพร้อม อยู่ที่ว่าผู้บริหารกระทรวงจะกล้าตัดสินใจหรือไม่

"ผมขอย้ำว่าแม้จะมีเขตบริการสุขภาพ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาขาดสภาพคล่องจริง ต้องถามว่าปัญหาดังกล่าวมาจากอะไร ก็มาจากการมีไขมันมากหรือไม่ ซึ่งแก้ง่ายๆ หน่วยงานไหนมีคนมากกว่ากว่างานก็ให้เกลี่ยไปอยู่ในจุดที่ขาดบุคลากร ผู้บริหารต้องกระจายคนให้เหมาะสม อย่าทุบโต๊ะ และแก้ไขด้วยวิธีนี้ เท่าที่ผมทราบ เคยมีผู้บริหาร สธ.บางคน ตั้งข้อสังเกตว่าโครงการ 30 บาท ไม่ได้ให้บริการคนในระบบหลักประกันสุขภาพกว่า 48 ล้านคนทั้งหมด ก็ต้องชี้แจงว่าปรัชญาพื้นฐานของระบบหลักประกันสุขภาพคือ การเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ไม่จำเป็นที่ทั้ง 48 ล้านคน จะต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลพร้อมกัน คนมีสุขภาพดีอยู่แล้ว หรือมีฐานะที่พอจะดูแลตัวเองได้ สามารถที่จะไปใช้บริการรักษาพยาบาลในรูปแบบอื่นได้ แต่หากไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเอง หรือเริ่มลำบาก พวกเขายังสามารถไปใช้บริการ 30 บาท ได้ นี่คือหลักประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน เหมือนการทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ไม่มีใครซื้อประกันแล้วอยากไปโรงพยาบาล แต่เป็นการกระจายความเสี่ยง" นพ.สุรพงษ์ย้ำ

ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงพยาบาลนั้น นพ.สุรพงษ์ เน้นว่า ต้องให้พวกเขาดูแลตัวเอง เพราะหากทำได้ ปัญหาขาดสภาพคล่องก็จะลดลง ยกตัวอย่าง รพ.มหาราชนครราชสีมา อาจพัฒนาเป็นองค์การมหาชน โดยมีคณะกรรมการระดับจังหวัด และทุกภาคส่วนในพื้นที่เข้ามาบริหารจัดการกันเอง เพราะโดยหลักชาวบ้านไม่ได้อยากไปเข้ารับการรักษาพยาบาลไกลบ้าน อยากรักษาใกล้บ้าน หาก รพ.มหาราชนครราชสีมา มีประสิทธิภาพ ชาวบ้านก็จะไม่ไปไหน สิ่งที่ตามมาไม่ใช่งบ ในส่วนสาธารณสุข แต่ยังมีงบ จากท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่อาจเข้ามาอุดหนุนอีกทางหนึ่ง เพราะธรรมชาติของประชาชนเขาอยากบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลที่พวกเขาคิดว่าดูแลพวกเขาดีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการเพื่อให้โรงพยาบาลเป็นองค์การมหาชนนั้น นพ.สุรพงษ์เตือนว่า เริ่มต้นทำอาจไม่ราบรื่น แต่เชื่อในภาพสุดท้ายจะดี โดยในระยะเปลี่ยนผ่านจะพบอุปสรรคมากมาย และจะรุนแรงกว่าในปี 2544 เพราะครั้งนี้คือ การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งต้องพิสูจน์กันที่ "ความเข้มแข็ง" ของผู้บริหารทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ คือ การ "ลดอำนาจ" ของผู้บริหารอย่างแท้จริง

สุดท้ายการปฏิรูประบบสาธารณสุขในทศวรรษนี้จะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม...



มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2556

6562

เฟซบุ๊ก Leeprapan Lee ได้รายงานว่า มหาวิทยาลัยไถต้า ประเทศไต้หวัน นายแพทย์หวังเจิ่นอิ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระเพาะอาหารและลำไส้ได้บอกด้วยความปราถนาดีว่าให้กินผลไม้ ในช่วงที่เวลาท้องยังว่างนั่นก็คือก่อนอาหารนั่นเองและหลังอาหารให้ดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน เท่านี้ คนที่เป็นมะเร็งก็จะไม่ตายแล้วไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ซึ่งวิธีการรักษาได้ถูกค้นพบแล้ว

               ศาสตราจารย์ นายแพทย์หวังเจิ่นอิ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยไถต้าพูดต่อว่าการนำวิธีดังกล่าวมาใช้นั้น สัมฤทธิ์ผลถึง 80% ซึ่งคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมีโอกาสจะหาย ไม่ว่าท่านจะเชื่อ หรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าวิธีการรักษาได้ถูกค้นพบแล้ว

               สำหรับผู้ที่บำบัดและรักษาด้วยวิธีที่ใช้อยู่โดยทั่วไปซึ่งสุดท้ายผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไปและข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หลังบำบัดมีคนไข้ไม่กี่คนที่สามารถอยู่รอดได้เกิน 5 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่รอดได้ 2-3 ปีเท่านั้น จึงถูกมองว่าการรักษาที่ใช้โดยทั่วไปแล้วดูแล้วไม่น่าจะได้ผล ปกติ ผู้ป่วยไม่รับการรักษาใดใดทั้งสิ้น ผู้ป่วยก็สามารถอยู่รอดได้ถึง 2-3 ปีอยู่แล้ว การรักษาที่ใช้โดยทั่วไปนั้น คนไข้จะถูกบำบัดด้วยเคมีหรือระบบฉายแสง ซึ่งทำให้เซลที่ดีของคนไข้ พลอยได้รับพิษเข้าไปด้วย มีผลทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลง เซลจะไม่มีแรงต่อต้านอีด้วย จึงทำให้เชื้อแพร่กระจายเร็วขี้น และมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฎิกิริยาในด้านอื่นๆอีก

รับประทานผลไม้สด

               เมื่อพูดรับประทานผลไม้สดก็จะนึกถึง ผลไม้หั่นเป็นชิ้นๆ เคี้ยวแล้วรีบกลืนลงท้อง ความจริงไม่ง่ายเช่นนั้น ถ้าต้องการกินที่ได้ผล ต้องพิถีพิถันในเวลารับประทานผลไม้ดังกล่าว อะไรคือการกินแบบถูกวิธี ? อย่ากินผลไม้หลังอาหาร ควรกินช่วงเวลาที่ท้องว่างเปล่าเท่านั้น เช่นนี้แล้ว ผลไม้ถึงจะได้บรรลุผลในการฆ่าเชื้อ และสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย รวมถึงลดความอ้วนได้อีกด้วยและมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฎิกิริยาในด้านอื่นๆอีก ผลไม้จึงจัดได้อาหารที่มีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิต

               ลองนึกภาพดู เรากินขนมปัง 2 แผ่น หลังจากนั้น กินผลไม้ 1 ชิ้น ตามหลักแล้ว ผลไม้จะผ่านผนังกระเพาะอาหารก่อนเข้าสู่ลำไส้ แต่กลับถูกกีดกันจากอาหารอื่นที่รับประทานก่อนหน้าที่จะรับประทานผลไม้ เมื่อผลไม้ที่กินเข้าไปได้ถูกผสมกับอาหารและน้ำย่อยที่เป็นกรดในกระเพาะอาหารสรรพคุณผลไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย


การรับประทานผลไม้ก่อนอาหาร

               หลังอาหารแล้วรับประทานผลไม้ คุณคงเคยได้ยินคนบ่นว่า ทุกครั้งที่กินแตงโมก็จะสอึก ถ้ากินทุเรียน ท้องจะจุก หากกินกล้วยหอม จะระบายอ่อนๆ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มาจากผลไม้และอาหารที่ที่เริ่มย่อยสลายผสมผสานจนเกิดแก๊สขี้น แต่ทว่า ถ้ารับประทานผลไม้ก่อนรับประทานอาหารก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าว ผมขาว ผมร่วงศรีษะล้าน เคร่งเตรียด นอนหลับน้อยจนขอบตา ดำ เมื่อทานผลไม้ในขณะท้องว่าง ลักษณดังกล่าวเบื้องต้น ก็จะจางหายไป

               ดร. เฮ่อโป๋ ได้บอกผลวิจัย ไว้ว่าเมื่อผลไม้เข้าสู่ร่างกายจะมีผลเป็นด่าง ดั่งเช่น ผลส้ม หรือมะนาวที่มีรสเปรี้ยวก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นอาหารที่มีความเป็นด่างนั่นเอง ประเด็นสำคัญ คือการรับประทานผลไม้ในเวลาที่ว่างเปล่า เพื่อให้ผลไม้ได้ช่วยเสริมความสวยงาม และอายุจะได้ยืนยาวนาน สุขภาพที่แข็งแรง มีพลามัยที่ดี มีความสุขและหุ่นดีอีกด้วย เมื่อคุณคิดจะดื่มน้ำผลไม้ ก็อย่าดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง อย่านำผลไม้หรือน้ำผลไม้ไปอุ่นให้ร้อน เพราะจะเหลือเพียงรสชาติ คุณประโยชน์ที่ดีของผลไม้จะถูกทำลายสิ้น การรับประทานผลไม้ทั้งลูกย่อมดีกว่าดื่มน้ำผลไม้ แต่ถ้าต้องดื่มน้ำผลไม้ ต้องดื่มเป็นคำคำไปเพื่อให้น้ำลายได้คลุกเคล้ากันให้ทั่ว ก่อนดื่มลงไป คุณสามารถรับประทานผลไม้ 3 วัน ติดต่อกัน เพื่อชะล้างร่างกายให้สะอาด ผิวพรรณจะนวลผ่อง ผู้พบเห็นจะตื่นตาตื่นใจ

กีวี่

ผลเล็กแต่มากด้วยสรรพคุณ ประกอบด้วยสาร โปรตัสเซี่ยม แมกเนเซี่ยม วิตามินE และไฟเบอร์ มีวิตามินC เป็น 2 เท่าของผลส้ม

แอปเปิล

มีวิตามีC ต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้วิตามินCตื่นตัว ช่วยลดการเกิดมะเร็งในลำใส้โรคหัวใจและโรคลมชัก
จึงมีคำพังเพยที่ว่า “รับประทานแอบเปิลวันละผล แพทย์จะจน เพราะทุกคน สุขภาพดี”

สตรอเบอรี่

เสมือนหนึ่งเป็นผู้คุ้มกันปกป้องร่างกายเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงได้รับฉายาว่า ราชาแห่งผลไม้ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องมิให้เกิดมะเร็ง การแข็งตัวของเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดและสารอนุมูลอิสระ

ส้ม

รับประทานวันละ 2-4 ผล สามารถต่อต้านไข้หวัด ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหรือสลายนิ่วในไตลดการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำใส้

แตงโม

ประกอบด้วยน้ำถึง 95% :ซึ่งแก้กระหายได้ดี มีกลูตาไธโอนเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีตัวสำคัญของไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน Cและโปแทสเซี่ยม

ฝรั่งและมะละกอ

มีวิตามิน C มากที่สุด ฝรั่งมีไฟเบอร์มากซึ่งแก้ท้องผูกได้ดี มะลกอ จะมีคาระตินส่งผลดีต่อดวงตา

               เชื่อหรือไม่ ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารก็จะเกิดมะเร็งได้ง่าย ดังนั้นหลังอาหารแล้วควรดื่มน้ำร้อน เพราะน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่กินเข้าไปแข็งตัว ซึ่งส่งผลเสียต่อการย่อย ไขที่แข็งตัว ทำปฎิกิริยากับกรดในกระเพาะ ทำให้ไขเป็นเกล็ดเล็ก ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมในลำใส้ และจะฝังในผนังของลำใส้ ก่อตัวเป็นไขมัน ก่อให้เกิดมะเร็งนั่นเอง

               สุภาพสตรีต้องรู้ว่า การเป็นโรคหัวใจกำเริบมิได้เริ่มต้นมาจากอาการปวด ของไตด้านซ้ายมือ แต่กลับต้องระวังเมื่อเพดานปากล่าง มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง และการปวดหน้าอกอยู่เนืองๆ อาการที่ตามมาก็คือพะอืดพะอม เหงื่อออกมาก และ60%ของคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ มักกำเริบในช่วงเวลาที่หลับสนิท จนไม่ตื่นอีกเลย การเกิดอาการปวดเพดานล่างของช่องปากจนตื่นขึ้น ต้องเอาใจใส่ และต้องยกระดับการเฝ้าระวังให้มากขึ้น หากเรามีความรู้ยิ่งมากเท่าไหร่ อัตราการมีชีวิตอยู่รอดก็มากขึ้นตาม


คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 16-10-2556

6563
ข่าวสมาพันธ์ / Oreos May Be As Addictive As Cocaine---That stuf is addictive
« เมื่อ: 17 ตุลาคม 2013, 13:25:37 »

If you have ever found yourself unable to resist just one more Oreo, you’re not alone. That “stuf” is like crack, neurologically speaking.

A new study from Connecticut College shows that Oreos are as addictive as cocaine, at least for lab rats. According to the new study,  eating the iconic black and white cookies activated more neurons in the rat brain’s “pleasure center” than drugs such as cocaine.

“I haven’t touched an Oreo since doing this experiment,” neuroscience assistant professor Joseph Schroeder said in a school press release.

(MORE: 100 Years of Oreos: 9 Things You Didn’t Know About the Iconic Cookie)

The research looked at the rats’ behaviors and the effects the cookies had on their brains. Rats were put into a maze and given the choice of hanging out near rice cakes or Oreos. The tasty sandwich cookies won that popularity contest handily. Those results were compared to a different test, where rats were given the choice of loitering in an area of a maze where they were injected with saline or in another corner where they could get a shot of cocaine or morphine.

The rats in the study liked the cookies about as much as they liked the drugs, congregating near the cookie side of the maze as much as they would on the drug side.

Much like humans, rats also prefer the delicious creamy center to the cookie. “They would break it open and eat the middle first,” said Jamie Honohun, one of the students who worked on the study.

“These findings suggest that high fat/sugar foods and drugs of abuse trigger brain addictive processes to the same degree and lend support to the hypothesis that maladaptive eating behaviors contributing to obesity can be compared to drug addiction,” Schroeder’s team writes in a statement describing the study.

Not addictive? Rice cakes. “Just like humans, rats don’t seem to get much pleasure out of eating them,” Schroeder said.

Read more: http://newsfeed.time.com/2013/10/16/oreos-may-be-as-addictive-as-cocaine/#ixzz2hxQnGy4r



By Melissa Locker @woolyknickersOct. 16, 2013
http://newsfeed.time.com/2013/10/16/oreos-may-be-as-addictive-as-cocaine/

6564
กรมแพทย์แผนไทย ดัน “หมอพื้นบ้าน” เข้าระบบโรงพยาบาล ชมเป็นคลังความรู้ช่วยแพทย์แผนไทยในการดูแลรักษา ระบุดึงร่วมรักษาแล้ว 40 แห่งทั่วประเทศ ทั้งสมุนไพร รักษากระดูกหัก นวดพื้นบ้าน หมอตำแย ตั้งเป้าให้เป็นแพทย์ทางหลักของไทย
   
        นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (พทท.) กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาและนำองค์ความรู้หมอพื้นบ้านทั่วประเทศเข้ามาใช้ในระบบบริการของรัฐ ว่า กรมฯพยายามค้นหา พัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมหมอพื้นบ้าน ซึ่งเป็นผู้ดูแลสุขภาพคนในชุมชนด้วยการสืบทอดองค์ความรู้มาจากบรรพบุรุษ เพื่อให้หมอพื้นบ้านช่วยดูแลส่งเสริมอนามัยของประชาชนในเบื้องต้น ซึ่งปัจจุบันมีหมอพื้นบ้านขึ้นทะเบียนในฐานข้อมูลของสำนักคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแล้ว 52,000 คน โดยในจำนวนนี้ 2,000 คน เป็นหมอพื้นบ้านฝีมือดี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ภาครัฐดำเนินการรับรองและส่งเสริมศักยภาพ และล่าสุดมีหมอพื้นบ้านฝีมือดีผ่านการประเมินจากคณะกรรมการระดับจังหวัดในปี 2555 และปี 2556 แล้วจำนวน 1,200 คน
       
        นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า หมอพื้นบ้านผ่านการประเมินและได้หนังสือรับรองตามระเบียบของกรมฯ จะต้องมีคุณสมบัติ 8 ข้อ คือ
1.ยังคงมีบทบาทรักษาคนไข้ในชุมชนอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี
2.ไม่หวงวิชา
3.เป็นผู้สืบทอดความรู้จากบรรพบุรุษ
4.มีการถ่ายทอดความรู้
5.ไม่เรียกร้องค่ารักษามากเกินควร
6.เป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่
7.มีคุณธรรม และ
8.มีความสามารถในการบำบัดรักษาโรค

โดยแยกหมอพื้นบ้านได้เป็น 6 สาขา คือ
1.หมอยาสมุนไพร
2.หมอรักษากระดูกหัก
3.หมอนวดพื้นบ้าน
4.หมอตำแย
5.หมอพิธีกรรม และ
6.อื่นๆ
ซึ่งขณะนี้หมอพื้นบ้านอีก 800 คน อยู่ระหว่างการประเมิน
       
        "ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สถานบริการของรัฐทุกระดับประมาณ 40 แห่ง มีความร่วมมือกับหมอพื้นบ้านใน 4 ภาค ได้แก่ อีสาน 11 แห่ง เหนือ 7 แห่ง กลาง 13 แห่ง และใต้ 9 แห่ง ให้บริการรักษาบำบัดผู้ป่วย เช่น ยาสมุนไพร รักษากระดูกหัก นวดพื้นบ้าน หมอตำแย รวมถึงทำหน้าที่ดูแลสุขภาพแม่และเด็ก เป็นต้น ถือเป็นการยอมรับองค์ความรู้ที่สืบทอดเข้าสู่ระบบการให้บริการด้านแพทย์แผนไทยที่กรมฯพยายามผลักดันให้มีในทุกสถานบริการ เพื่อให้แพทย์แผนไทยเป็นแพทย์ทางหลักของประเทศ” อธิบดี พทท.กล่าว
       
        นพ.ธวัชชัย กล่าวด้วยว่า หมอพื้นบ้านเหล่านี้เปรียบเสมือนคัมภีร์เดินได้ที่พร้อมจะถ่ายทอดความรู้ความสามารถแก่กลุ่มแพทย์แผนไทยรุ่นใหม่ ซึ่งหลายแห่งเปิดโอกาสให้แพทย์แผนไทยรุ่นใหม่รู้จักหมอพื้นบ้านที่เก่งและชำนาญ ซึ่งบางพื้นที่นำตำรับยาหมอพื้นบ้านมาใช้ในโรงพยาบาล นอกจากนี้หลายพื้นที่หมอพื้นบ้านสามารถบำบัดและฟื้นฟูโรคข้อกระดูก รวมถึงการสร้างภูมิต้านทานในผู้ป่วยมะเร็งตับได้ผลดีซึ่งช่วยทำให้ลดต้นทุนด้านการรักษาและผ่าตัดได้อีกทาง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ตุลาคม 2556

6565
  โรงพยาบาลเฮ! หมดห่วงปัญหาขาดสภาพคล่อง กรณี สปสช.กระจายงบหลักประกันฯปี 2557 ล่าช้า เพราะขาดตัวเลขเงินเดือนจาก สธ.ระบุจะจัดสรรงบให้ก่อน โดยใช้ตัวเลขงบปี 2556 คือ 1.32 ล้านบาท ชี้เมื่อได้ยอดสุทธิแล้วจึงค่อยหักล้างทางบัญชีและจัดสรรเพิ่มให้ต่อไป

        นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีการจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพประจำปี 2557 ล่าช้า เนื่องจากยังไม่ได้ตัวเลขเงินเดือนของหน่วยบริการแต่ละแห่ง ทำให้ไม่สามารถโอนงบไปยังหน่วยบริการได้ ว่า ที่ผ่านมา สปสช.จะจัดสรรงบไปยังหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ โดยประมาณการจากผลงานในปีงบประมาณและหักลบด้วยตัวเลขเงินเดือนของหน่วยบริการแต่ละแห่ง ซึ่งขณะนี้ สปสช.จัดทำตัวเลขประมาณการผลงานเสร็จแล้ว แต่ไม่มีตัวเลขเงินเดือนของหน่วยบริการแต่ละแห่ง ซึ่งปีนี้ยังไม่ได้ตัวเลขดังกล่าวจาก สธ.ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด
       
        นพ.วินัย กล่าวอีกว่า เพื่อไม่ให้หน่วยบริการขาดสภาพคล่อง สปสช.จะจัดสรรงบประมาณในไตรมาสแรกให้กับหน่วยบริการไปก่อน ภายในวันที่ 18 ต.ค.นี้ โดยใช้ตัวเลขเดิมในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2556 ราว 13,266.32 ล้านบาท และเมื่อได้ตัวเลขการปรับเกลี่ยเงินเดือนจาก สธ.แล้ว จึงจะมาทำการหักล้างทางบัญชีและจะจัดสรรเพิ่มเติมให้กับหน่วยบริการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ตุลาคม 2556

6566
“ริว อาทิตย์” เปิดใจชีวิตในโรงพยาบาลบ้า เผยครอบครัวผวาพูดเรื่องเงินเป็นต้นไม้ แถมจะไปทำธุรกิจกับ “ป้าเชง” เลยคิดว่าบ้าจะจับตัวส่งโรงพยาบาล ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลกเพื่อจะใช้หนีตำรวจ ซื้อรถอัลพาร์ดไว้เป็นบ้านเคลื่อนที่เวลาหลบซ่อน แถมไปขอมอบตัวกับตำรวจเพราะอยากอยู่ในห้องขังคิดว่าในนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว สุดท้ายโดนเพื่อนหลอกให้มาเจอจะพาไปตรวจสุขภาพก่อนจะโดนจับฉีดยาสลบไป 2 วันตื่นมาอยู่ในโรงพยาบาลบ้า โดนจับมัดมือมัดเท้าฉีดยาจนเบลอลืมอดีตพูดจาไม่รู้เรื่อง ต้องอยู่ร่วมกับคนบ้าและเข้าครอสรักษา 4 ปี ลั่นไม่ได้บ้า
       
       ตั้งแต่ “ริว อาทิตย์ ตั้งสวัสดิ์รัตน์” ตกเป็นข่าวใหญ่โตโดนอดีตแม่ยายแฉเละว่าไม่ส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาและลูกตามที่ให้สัญญา พร้อมกับเปิดเผยว่า ริวมีอาการสติหลุดไปยืนแก้ผ้าด่าบริษัทโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง เพราะไม่พอใจที่คิดค่าโทรศัพท์แพง เท่านั้นไม่พอยังบีบคอภรรยาคนที่สองซึ่งคือภรรยาคนปัจจุบัน จนภรรยาต้องจับส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบเพราะริวก็หายเงียบไป
       
       แต่ล่าสุดริวปรากฏตัวในงานเปิดร้านโปรน้อง สวยเด้ง สั่งได้ด้วยปลายนิ้ว ที่ “ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด” เพื่อนรักริวเป็นหุ้นส่วน ทำเอาทุกสายตาจับจ้องเพราะริวผูกสายสิญจน์มาเต็มข้อมือทั้งสองข้าง ทีมข่าว Exclusive บันเทิง ผู้จัดการออนไลน์ จึงไม่พาดที่จะสัมภาษณ์เปิดใจริว “บ้า” หรือ “ไม่บ้า” ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่า โดนครอบครัวจับส่งไปโรงพยาบาลบ้าจริง โดยได้เปิดเผยถึงชีวิตปัจจุบันก่อนว่าขณะนี้ทำธุรกิจอยู่ 5 บริษัท
       
       “ถ้าถามว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ ผมทำธุรกิจอยู่ 5 บริษัท ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหัวใจหลักของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน ไฟแนนเชียล วางแผนเรื่องภาษี ดูแลกฎหมาย ดูแลเรื่องการบริการที่จะประสานงานระหว่างลูกค้าต่างประเทศกับองค์กรภาครัฐ และดีลงานกันให้ผ่านไปในกรอบกฎหมายไทย แต่ละบริษัทจะทำการซัพพอร์ทลูกค้า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของผมจะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะมีทั้งลงทุนชาวไทยและต่างประเทศ ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของกลุ่มไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น”
       
       “อย่างบริษัทคัฟเวอร์ลิงค์ ก็จะดีลงานด้านธุรกิจทั้งหมด ดูด้านการเงินภาษี บริษัทแกรนด์ยูนิคอล ก็จะรับงานเฉพาะที่เป็นลูกค้ายักษ์ใหญ่อย่างล่าสุดที่ทำคือบริษัทแม็กซิสเป็นยางรถยนต์ คิดว่าอีกไม่นานก็จะเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ คือบริษัทของเราจะคิดการตลาดให้เขาตั้งยอดขายให้เขาซึ่งยอดขายที่ผมตั้งก็ไม่ได้ตั้งแต่แบบ 10 ล้าน 20 ล้าน ก็ตั้งไป 400 - 500 ล้านต่องานที่เขาจะขายได้”
       
       “ผมทำงานบนพื้นฐานของความใส่ใจ ทำงานบนแฟคเตอร์ที่มันจริงๆ ผมสามารถรวมเจ้าใหญ่ๆ มาร่วมงานได้ และทำให้งานมันยิ่งใหญ่จัดระดับประเทศ ผมเคยเสนอแนะให้ผู้บริหารทั่วโลกบินมาก็ถือเป็นงานระดับทวีป ล่าสุดก็ไปจัดที่อิมแพ็คงานครบรอบ 10 ปีแม็กซิสก็ถือว่าประสบความสำเร็จครับ”
       
       “งานของผมจะเกี่ยวข้องกับการตลาดและภาครัฐ ดีลกับกรมสรรพกร โรงงานอุตสาหกรรม ก็จับงานด้านนี้มา 10 ปีแล้วครับ ที่หายจากวงการไปก็ทำธุรกิจด้านนี้มาตลอด ผมทำงานนี้โดยที่ไม่ได้จบการตลาดหรือจบบริหารมาแต่ผมเป็นคนมีความฝัน ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดว่าทำไมเขาไม่ทำธุรกิจแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนี้ แต่พอคิดไปแล้วตอนเด็กๆ เราไม่สามารถทำได้เพราะเราไม่มีเงินลงทุนเราได้แต่คิดแล้วก็บอกให้คนอื่นทำ ก็ทำให้คนอื่นรวยไปเยอะแล้ว เขาเอาความคิดผมไปทำจนรวยเป็น 100 ล้านหลายคนแล้ว”
       
       “กับข่าวที่ผ่านมามันทำให้คนมองผมในแง่ร้ายได้ ผมกลายเป็นคนเลวของสังคม แต่อยากให้มาดูสังคมของผมบ้าง มาดูคนที่เขารักผมบ้าง เขาเอ็นดูผมเขารักผม เขาให้กำลังใจผมมาตลอด แต่วงการบันเทิงไม่ได้ให้กำลังใจผมเลย ข่าวที่ลงก็เอามาลงแบบ..... พูดว่าเสียใจก็เสียใจนะ ผมก็เฮิร์ตอยู่ประมาณช่วงหนึ่งของชีวิตเหมือนกัน”
       
       “ผมอยู่วงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กและผมก็ผูกพันกับวงการนี้มาก ผมทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจ ทำด้วยความสนุกแต่พอผมไปอ่านข่าวแล้ว...ทำไมเขามองผมแบบนั้นล่ะ จากที่เราไม่สนใจความจริงก็คือความจริง ก็มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอ่ะ แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้เวลาเราเดินไปที่ไหน มันเจอคำถาม ทำให้เราคิดว่า เขาคิดแบบนั้นกับเราจริงๆ เหรอ อ้าว...ก็แปลว่า คนที่อ่านข่าวเขาเชื่อสื่อมวลชน อ้าวตายแล้วชีวิตเราโดนตราหน้าว่าเป็นคนบ้าเป็นคนเพี้ยน ทิ้งลูกทิ้งเมียด้วย ทิ้งตรงไหนก็ยังอยู่กันหมดน่ะ”
       
       “ลูกผมก็เติบโตมาดี เรียนโรงเรียนที่ดี มีเงินใช้เรียนนานาชาติจะค่าเทอมเท่าไหร่ เขาก็อยู่ของเขาในชีวิตวัยเด็ก ผมก็รับผิดชอบช่วยกัน ปัจจุบันนี้ผมอยู่กับภรรยาคนที่สอง หลักๆ ก็คืออยู่กับลูกสาว ส่วนลูกชาย(ที่เกิดจากภรรยาคนที่หนึ่ง) ผมก็ไปหา ผมมีภรรยาสองคน มีลูก 3 คน ลูกกับภรรยาคนแรก 2 คน ภรรยาคนที่สอง 1 คน”
       
       “ผมอยู่กับภรรยาคนที่สองเราช่วยกันรวย ผมเกิดมาไม่เคยเกาะใครกิน ครอบครัวผมก็มีที่ผมก็มีก็มีมรดกที่ทางเยอะแยะ ผมยังทิ้งมรดกให้ลูกคนละ 30 ล้านเลย แต่เราอยู่กันเหมือนเพื่อนมากกว่า เขาก็ไปทำงานต่างจังหวัดผมก็ทำงานของผมต่างคนก็ต่างทำงานก็ไปๆ มาๆ บางทีลูกสาวก็อยู่บ้านกับอาอี๊ซึ่งดูแลเขาตั้งแต่เด็ก ผมกลับมาก็กอดหอมมานั่งเล่นเกมส์กัน”
       
       “ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งเขาก็เก่งเขาก็ทำเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆ ที่มีขายอยู่ตามห้าง ไม่มีใครเดือดร้อนครับ ไม่มีใครมานั่งเศร้าสร้อยเหมือนในข่าว ผมก็ไปเยี่ยมลูกกับภรรยาคนที่หนึ่งตามปกติว่างก็ไปเลย ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ยายก็ดีครับ ตอนนั้นที่ออกมามันเป็นอารมณ์ครับ มันเป็นอารมณ์ของม่าม๊าผมก็เข้าใจอารมณ์ท่าน พอท่านโมโหปรี๊ดไปทีนึงผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
       
       โต้ไปยืนแก้ผ้าด่าบริษัทมือถือที่คิดค่าบริการแพง แต่ยอมรับว่าครอบครัวมองว่าบ้า เพราะพูดเรื่อง “เงินคือต้นไม้”
       
       
       “จะบ้าเหรอถ้าผมไปแก้ผ้าที่นั่นเขาก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ก็ต้องมีภาพออกมาสินี่ไม่เห็นมีรูปออกมาเลย ข่าวไม่เห็นจะมีมูลเลย ถ้าจะแก้ผ้าก็คงจะแก้ผ้าอยู่ในห้องส่วนตัว(สรุปช่วงชีวิตเราเคยเพี้ยนเคยบ้าไหม) ไม่มี มีแต่คนมองว่าผมเพี้ยนเขาก็จับผมเข้าโรงพยาบาลและเขาก็ฉีดยาผม(ใคร) ก็ทุกคนน่ะ พอผมเข้าโหมดของธรรมชาติก็โดน”
       
       “ก็ธรรมชาติน่ะพี่เคยไหมตอนเด็กๆ ฝนตกแล้วแก้ผ้าวิ่งไปเล่นน้ำฝน แต่ผมไม่ได้ทำถ้าผมทำอย่างนั้นตำรวจก็จับผมเข้าคุกสิ แต่ผมจะชอบพูดแบบว่า เงินทองมันทำมาจากต้นไม้ มันคือกระดาษ กระดาษก็คือเงิน มันมาจากต้นไม้ ผมก็พูดแบบนี้ ทำไมจะต้องมาให้ความสำคัญกับกระดาษ ทำไมจะต้องให้ความสำคัญกับคำว่าเงินด้วย แล้วทุกวันนี้ทุกคนนั่งดิ้นรนค้นหาตัวเองไปแย่งชิงกระดาษกัน ก็พูดให้คนอื่นฟังพูดแล้วก็ขำ เขาก็มองว่าผมความคิดแตกแยก ผมก็แบบ...ก็ดีเนอะเอากระดาษไปแลกกับยางพารา แล้วยาพาราคืออะไร ก็ล้อรถยนต์ผลิตมาจากยางพารา เขาก็มองว่าผมบ้าแล้ว”
       
       “ผมถามหน่อยเงินทำมาจากระดาษใช่ไหม แล้วกระดาษมาจากอะไร ต้นไหมใช่เปล่า แล้วไปแลกกับอะไร ไปแลกกับรถยนต์ รถยนต์คืออะไร เหล็ก แร่ธาตุเหล็ก ดีบุก แก้ว อลูมิเนียม ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่บนโลกทั้งนั้นเลย เรื่องนี้พวกนี้มันอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ผมพูดในมุมมองของผม ก็เอาต้นไม้ไปแลกยางพารา ก็พูดลอยๆ ของเราไปไม่ได้อธิบายเขาก็หาว่าผมบ้า ก็เลยจับเข้าโรงพยาบาลฉีดยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ทำให้สมองผมเบลอ พูดช้า ลิ้นรัว เพ้อๆ เพี้ยนๆ นี่เพราะโดนฉีดยาเยอะ ผมโดนจับมัดเข้าเตียง ผมก็บอกจะบ้าเหรอไม่ได้เป็นอะไร ยิ่งบอกว่าไม่บ้าก็แปลว่ามึงต้องบ้า เขาหาว่าคนบ้ามันไม่ยอมรับว่ามันบ้า”
       
       “แล้วหมอก็ขู่ว่า ถ้าไม่ทำตามครอสรักษาจะไม่ให้ออก ผมก็รักษาไป 4 ล้าน ผมยอมให้หมอฉีดยา ผมไปอยู่โรงพยาบาลเต็มๆ 1 เดือน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของหมออีก 4 ปี ผมต้องเข้ามารับยาเพราะถ้าไม่เข้าหมอจะไม่เซ็นให้ป็นคนปกติ”
       
       “วิธีการรักษาก็คือฉีดยา ไปอยู่ที่นั่นเราก็นอนไม่หลับเพราะไม่ใช่ที่ของเราเขาก็มาฉีดยา ให้กินยานอนหลับสมองผมก็เบลอสิครับ ผมก็โวยวายแหละเพราะเราไม่ได้เป็นอะไร เราก็อยากออกเราไม่อยากอยู่ คือเราปกติแล้วให้ไปอยู่กับคนบ้าจริงๆ เราก็จะบ้าตาย แรกๆ เข้าไปนี่โดนมัดเลย มัดแขนมัดขาเพราะเราอยากออกไปข้างนอก อยากออกไปเที่ยว อยากออกไปหาลูกคิดถึงลูกแต่มันไปหาไม่ได้มันเจ็บปวดนะ พอเราร้องไห้หมอก็บอกว่าซึมเศร้าให้ยามาอีก โอ๊ย...ตายไม่ต้องมีสติสตางค์กันเลย”
       
       “ทุกวันนี้ผมไม่กินยาแล้ว จริงๆ ไม่กินมานานแล้วแต่ผมโกหกหมอว่าผมกิน ตอนนี้ยามันก็ยังกองอยู่ที่บ้านอยู่เลย ทุกวันนี้ถ้าผมไปหาหมอเขาก็ต้องสั่งยาให้กิน แต่ผมไม่กินจะกินทำไมเพราะเราเป็นปกติ”
       
       อยากลงทุนทำธุรกิจกับ “ป้าเชง” ทำให้ครอบครัวและทุกคนมองว่า บ้าแน่ !
       “ช่วงนั้นผมอยากทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินและมีโอกาสได้รู้จักป้าเชงด้วย น่าน..เดี๋ยวป้าเชงก็โดนอีก(หัวเราะ) คือป้าเชงเขาทำน้ำหมักชีวภาพ ผมก็เข้าไปศึกษาว่าเขาทำยังไง ตอนนี้ก็มีคนเอาไปทำแทนป้าเชงก็รวยกันไป แต่ป้าเชงกลับถูกมองว่าบ้าทำไม่ถูกต้องป้าเชงคิดเองเออเอง พอผมจะไปทำกับป้าเชงทุกคนก็มองว่าผมบ้า”

หนีหัวซุกหัวซุน เพราะครอบครัวจะจับส่งโรงพยาบาลบ้า ถึงขั้นไปมอบตัวกับตำรวจ ขอไปนอนในห้องขังเพราะรู้สึกว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย !!
       
       
       “เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ครอบครัวมองว่าผมบ้า ทุกคนก็มองว่าผมบ้า จริงๆ ผมก็เป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งที่นิสัยปัญญาอ่อนยังไม่โตทำตัวแง้วๆ เหมือนเล่นกับลูกผมก็จะเล่นเหมือนเด็กว่ายน้ำรู้เรื่องกันสองคน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดไหนที่ทำให้คนมองว่าเราเพี้ยน แต่ที่แน่ๆ ทุกคนวางแผนจับผม เพราะผมไม่เชื่อใคร เขาหาวิธีจับผมจ้าละหวั่นทั้งเมือง”
       
       “ตอนนั้นผมออกจากบ้านมาพักนึงแล้วผมกลัว ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจ้องจะจับผมส่งโรงพยาบาล เขาเคยเอารถฉุกเฉินมาถึงที่บ้านเลย หมอพยาบาลมาถึงที่ผมไล่ออกไปเลย อย่านะ อย่าเข้ามา ผมไม่ได้เป็นอะไร ยิ่งบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาก็ยิ่งหาว่าผมบ้า ผมก็หนีออกจากบ้านไปเลย หนีสิ ไม่หนีก็โดนจับสิ”
       
       “ผมยังเข้าไปมอบตัวที่โรงพักเลย ทำไมไล่จับผมกันจัง ผมไม่ได้เป็นผู้ร้ายนะ ผมไปมอบตัวที่สถานีวังทองหลาง ตำรวจเขาถามว่า แล้วคุณทำผิดอะไรมา ผมก็บอกว่า ผมไม่ได้ทำผิดผมเป็นคดีแต่ขอไปอยู่ในห้องขังได้ไหม เพราะข้างนอกมันไม่ปลอดภัย เพราะเขาจะจับผมเข้าโรงพยาบาล ผมขอเข้าไปอยู่ข้างในเงียบๆ ได้เปล่า อย่าไปบอกใครว่าผมอยู่ในนี้นะผมขอหลบซ่อนตัวแป๊บนึง ตำรวจเขาก็ไม่ได้จับผม เขาให้ผมไปนั่งเล่นเกมส์ฟุตบอลอยู่ในห้องพักจนเช้า ผมไม่กลัวคนอื่นมองว่าบ้า แต่ไม่รู้จะไปไหนแล้วพึ่งตำรวจดีกว่า เช้ามาตำรวจก็บอกเช้าแล้วกลับบ้านที่บ้านเป็นห่วงแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้ากลับกลัวจะโดนจับเข้าโรงพยาบาล”
       
       วางแผนหนีการจับส่งโรงพยาบาลสุดชีวิต ลงทุนซื้อมอเตอร์ไซค์ความเร็วสูงไว้หนีตำรวจ ซื้อรถตู้ไว้เก็บของหลับนอน แค่อาทิตย์เดียวหมดเงินหลายล้าน
       
       
       “ผมก็ไปเที่ยวของผม ไปเที่ยวทะเล(ไปคนเดียว) เอ๋า...ก็คนอื่นจ้องจะจับอยู่เนาะ(หัวเราะ) แล้วผมจะไปกับใครล่ะ โทรศัพท์ผมก็ทิ้ง ทิ้งหมดเลยผมไม่เอาเดี๋ยวคนตามได้ ตอนนั้นผมเซ็นเช็คไว้มั่วเลย วางแผนกับตัวเองไว้ว่า จะต้องมีรถคันใหญ่ 1 คันไว้หนี ก็เลยซื้อฮายาบูสะเป็นรถที่แรงที่สุดในโลก เพราะจะหนีได้เร็วที่สุด ออกได้เร็วที่สุด ใครก็ตามไม่ได้ ตำรวจก็ตามไม่ได้ ตำรวจไม่กล้าขับเกิน 250 อยู่แล้ว แต่ผมไปได้เพราะรถผมขับ 300 ได้ รถยนต์ก็ตามต้องหาที่ไม่เป็นที่จุดเด่น ผมก็ซื้อรถตู้อัลพาร์ด เพราะมันเปลี่ยนเสื้อผ้านอนในรถได้มันเป็นเหมือนบ้านเคลื่อนที่ ผมก็เซ็นเชคไว้ให้เขาเตรียมรถไว้แต่งรถไว้เพื่อเตรียมหนี เดี๋ยวผมจะมาเอารถ ก็เซ็นๆ ไว้เลย แค่อาทิตย์เดียวผมใช้เงินหมดไปหลายล้าน”
       
       “พอจะหนีผมก็ไปเอารถ แล้วมอเตอร์ไซค์ผมก็เอาไปซ่อน เผื่อเวลาเบื่อขับรถก็ใส่หมวกกันน็อคไม่ให้ใครเห็น ต่อมาผมก็ทิ้งรถด้วยนะ ทิ้งรถอัลพาร์ดจอดทิ้งไปเลยพวงกุญแจก็ทิ้งทิ้งหมด ประตูก็ไม่ได้ล็อกของก็อยู่ในรถนั่นแหละ เขาก็ตามรถกันจนเจอนะ แต่ผมน่ะไปไกลแล้ว ไปอยู่ในที่พักผ่อนของผมไปในมุมของผม ผมมีแหล่งกบดานของผม แต่ไม่บอกว่าที่ไหน บอกไม่ได้เป็นความลับแต่ผมเหมือนเด็กผมเล่นเหมือนเด็ก”
       
       หนีไม่รอด ถูกจับเข้าโรงพยาบาล ฉีดยาจนเบลอจำใครไม่ได้ลืมอดีต กลายเป็นหัวโจกของกลุ่มผู้ป่วยด้านจิต ล้างแค้นครอบครัวที่จับส่งโรงพยาบาลโดยการสั่งอาหารมาเลี้ยงคนป่วยเดือนเป็นล้าน
       
       “เขาติดต่อผมไม่ได้ แต่ผมก็ติดต่อคนอื่นได้นะ ผมซื้อเบอร์อื่นโทรไปหารุ่นพี่เพื่อที่จะตามข่าวว่าที่บ้านเป็นยังไงบ้าง คือผมอยากรู้ว่าที่บ้านถึงไหนแล้ว เราก็ต้องสืบข่าวเพื่อที่จะก้าวนำไปกว่าเขา รุ่นพี่เขาก็หักหลังผม นัดเจอผมว่าจะไปเจอที่ซอยนี้ เพราะผมไม่ให้ใครเห็น เขาก็นั่งรถเบนซ์มา พอผมก้าวขึ้นรถเบนซ์ก็มีรุ่นพี่ที่ผมไว้ใจ 4 คนมารวมตัวกันเต็มเลย ผมก็บอกดีๆ เดี๋ยวไปกินข้าวกันดิ ปรากฏว่าเขาก็นั่งปิดไม่ให้ผมลงไปไหน แล้วผมก็เอะใจแล้วจะพาไปไหนเนี่ย เขาก็เนียนกันไข้ขึ้นเปล่าไปเชคให้พี่สบายใจหน่อยสิว่าร่างกายโอเคไหม ผมก็ทำไมจะต้องไป จะพาไปโรงพยาบาลใช่ไหม ก็โวยวายละ เขาก็บอกเฮ้ย..ใจเย็นๆ ทำเพื่อพี่ได้ไหม พี่เป็นห่วง พี่รัก ผมก็เอ้า...ทำเพื่อพี่ก็ได้ ผมเข้าโรงพยาบาลไปเชคก็ได้”
       
       “ไปถึงผมโรงพยาบาลมันหรูมากไม่รู้สึกว่าเป็นโรงพยาบาล หมอก็ไม่ได้แต่งชุดเป็นทางการมาก ไปถึงพยาบาลเขาก็ฉีดยาผมไปหนึ่งเข็ม ซึ่งเขาเตรียมกันมาแล้วผมไม่รู้ ผมสลบไปสองวัน ตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมีกล้องวงจรปิด กูอยู่ไหนเนี่ย เราก็อ้าว..ทำไมโดนขังแบบนี้ แล้วไมผมต้องเล่าหมดเนี่ย(หัวเราะ) คนอื่นฟังก็สนุกแหละ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พูด(แล้วไงต่อ) ถามต่ออีก ก็อยู่ในครอสการรักษาโดยที่ไม่เต็มใจ”
       
       “ยาเขาแรงมากทำให้เราลืมได้ ลืมอดีตไปเลย ช่วงที่รักษายาเขาทำให้ผมจำอดีตไม่ได้นึกไม่ออกเลยเจอคนรู้จักก็ยังนึกว่าไม่รู้จัก จนเขาบอกว่าจำไม่ได้เหรอ พี่ไงๆ ผมก็ไม่รู้ใครอ่ะ สมองเรามันโดนล้างขนาดนั้น คนที่มาเยี่ยมก็ยิ่งคิดว่ามันบ้าจริง มีบอดี้การ์ดดูแลผมด้วยนะ”
       
       “ผมก็อยู่ที่นั่นเป็นเดือนก็นั่งดูคนที่เพี้ยนๆ ในนั้นจะมีห้องส่วนตัว มีเวลาที่ออกมาเที่ยวมานั่งรวมกัน เวลาออกมาห้องโถงก็จะมีคนแบบจิตหลายประเภท ผมก็นั่งดูดิแต่ละคนเป็นยังไง บางคนก็ไฮเปอร์แอ็คทีฟบ้าบอคอแตก ตรงนั้นร้องเพลงเสียงดัง อีกคนก็เอาหนังสือมาอ่าน แต่เอาหนังสือมาติดหน้าเลยนะ บางคนก็เดินจงกลมถือลูกประคำเดินกันไปมา ผมก็นั่งดูพวกเขา”
       
       “ผมมีเพื่อนด้วยนะ ผมเป็นหัวโจกในนั้น ไปถามมาดูสิรุ่นนั้นเขาจะรู้จักผมหมด เพราะผมจะสั่งของมากินเยอะสงสารเขาไง คืออยู่ในนั้นผมใช้เงินอะไรไม่ได้นะ แต่อยากกินอะไรกินได้หมดยกเว้นสิ่งมึนเมา ผมก็จะสั่งอาหารเละเลย เช็คบิลมาเดือนเดียวก็ล้านกว่า เพราะผมสั่งเลี้ยงทุกคนเลย นั่นแหละอยากจับผมเข้าไปนัก”
       
       “1 เดือนที่อยู่โรงพยาบาลผมโกรธทุกคนหมดเลยเพราะจับผมเข้าโรงพยาบาล ผมไม่ให้ใครมายุ่งโกรธเป็นอารมณ์งอน ทำไมต้องจับเราแบบนี้มันเสียใจเจอหน้าแล้วแบบโกรธ พอวันที่ออกมาก็เจอหมดทุกคนเขาก็กลัวผม กลัวว่าเข้าบ้านแล้วผมจะเป็นยังไง อาการจะเหมือนคนปกติหรือเปล่า เขาก็สังเกตและหวาดระแวงเรา ผมจะทำอะไรผมจะพูดอะไรเขาก็คิดว่าผมจะทำอะไร”
       
       “เขาเป็นแบบนี้อยู่ 3 จะ 4 ปีเต็มๆ จนผมไม่ไหวแล้วนะ ผมทนอย่างนี่ไม่ได้แล้วนะ คุณคิดว่าผมบ้าใช่ไหม เอาไหมเดี๋ยวผมทำอะไรให้ดู ว่าคนบ้าน เขาทำได้ไหม ผมก็ทำธุรกิจให้เขาดู ทำอะไรก็ได้ที่ให้ได้เงินเร็วๆ แล้วผมก็ทำได้เขาก็ค่อยเริ่มโอเค แต่เกือบ 4 ปีที่ผ่านมาผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะหมอไม่ให้ทำอะไรเขาบอกว่าผมเป็นคนไข้ตรรกะความคิดคุณไม่ถูกต้องทำอะไรแล้วอาจจะพลาด ตอนนี้พึ่งจะพ้น 4 ปีก็ทำได้ คือคนป่วยแบบนี้จะโดนตีตราว่าเป็นคนบ้า ไปเจอใครเขาก็หวาดระแวงน่าสงสารนะ"
       
       “ชีวิตครอบครัวตอนนี้ก็เป็นปกติแล้ว ลูกคนโต 11 คนกลาง 10 คนเล็ก 5 ผมก็เข้าออกสองบ้านได้ปกติไม่มีอะไรเพราะเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้ถือว่าเราต้องเป็นผัวเป็นเมียไม่ใช่เลย ทุกวันนี้ไม่มีเมียบอกได้เลย(ไม่มีได้ไงตอนนี้อยู่กับภรรยาคนที่สอง) เราไม่เรียกว่าเมีย ทุกวันนี้เราเรียกว่าเป็นเพื่อน เราคุยแบบเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราอยู่กันบนความรู้สึกนี้(งี้เราก็ไปมีคนอื่นได้สิ) จะบ้าเหรอ...ใครจะไปทำอย่างนั้นได้ล่ะ มันมีบทบาททางสังคมอยู่ มันไม่มีใครที่จะบ้าเรื่องประเภทนี้หมกมุ่น มีแต่เรื่องจะไปเที่ยวไหน กินอะไร ทำงานนี้เสร็จยัง งานนี้เสร็จเมื่อไหร่ว่างพร้อมกันก็พาน้องๆ ออฟฟิศไปกินข้าว น้องๆ คนไหนทำงานได้ดีก็ซื้อบ้านให้ซื้อรถให้ จริงๆ ที่บริษัทผมเป็นแบบนี้จริงๆ”
       
       “ผมไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีความอ่อนไหว อ่อนโยน มีความรัก มีความรู้สึกต้องดูแลมีความผูกพัน มีความรักที่จะมีให้ลูก มีความรักที่จะมีให้แม่ มีความน้อยใจถ้าเขาไม่รักเรามันเป็นปกติของทุกคน แต่แค่ว่าการทำงานของผมมันอยู่ในโลกความคิดจินตนาการ และก็เอาจินตนาการของตนเองไปถ่ายทอดให้คนอื่น ให้คนเดินแบบนั้น ชี้แบบนั้น เดินแบบนี้ ทำแบบนี้จะชนะอย่างโน้น จะได้อย่างโน้น ยิงนกนัดเดียวได้นกกี่ตัว”
       
       วันนี้ “ริว” มาร่วมงานโดยที่มีสายสิญจน์ผูกมาเต็มสองข้อมือ ทำให้อดที่จะถามไม่ได้ว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมา กลายเป็นคนทรงเจ้าแล้วหรือเปล่า
       “ไม่มีผมไม่มีเรื่องนั้น สายสิญจน์อันนี้ไปทำบุญไปสร้างวัดที่สุรินทร์ ประเพณีที่นั่นก็เหมือนมีการเรียกขวัญขอบคุณสาธุอนุโมทนาที่เราได้ไปทำให้เขา แต่คนก็อาจจะคิดไปว่าผมบ้า แต่จริงๆ คือผมไม่อยากจะตัดเพราะยายแก่ๆ ตั้งร้อยกว่าคนที่ผูกให้เรา แล้วเราจะไปตัดความรู้สึกนี้ทำไม เราอยากเก็บไว้ในความทรงจำ เขาพึ่งผูกผมไปเมื่อวานเอง”
       
       “มางานในวันนี้คนก็มอง ถ้าเขามองว่าผมบ้าก็ขำดี ผมว่าคนที่มองว่าผมว่ามาคุยกับผมดีกว่า ผมจะดูว่าความคิดเขาใช้ชีวิตแบบไหน ผมจะดูว่าชีวิตคุณอยู่แค่ไหน ก็ไม่ได้แคร์ถ้าใครจะคิดแบบไหน ถ้าใครอยากจะรู้ว่าชีวิตผมเป็นยังไงก็เข้ามาดูที่เฟซบุ๊คผม ริว อาทิตย์ ไปดูเลย ท้าคนทั้งประเทศเข้าไปดูเลย ยินดีต้อนรับครับ”
       
       พอสัมภาษณ์ปัญหาที่คาใจมา 4 ปีเสร็จว่า “ริว” บ้าไม่บ้า เราก็ยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณในการสัมภาษณ์ ด้านริวไหว้กลับและยิ้มถามว่า “สวัสดีครับพี่ สบายดีนะครับ” เล่นเอามึนไป 10 วินาที ก่อนจะแหย่กลับไปว่า “ตกลงบ้าหรืออำเนี่ย ?!” ทำเอาริวหัวเราะลั่น ทิ้งเป็นปริศนาอีกแล้ว......

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ตุลาคม 2556

6567
 ใครรับข้อมูลข่าวสารนี้คงสลดใจกับบริการสาธารณะสุขของไทยไปตามๆ กัน กรณีฉาวที่ถูกฮีโร่กู้ภัยคนดังโพสต์ผ่าน Facebook Fanpage 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์' เรื่องราวของหญิงท้องแก่ใกล้คลอด ขอรับสิทธิประกันสังคมแต่สิทธิเจ้ากรรมดันหมดอายุเสียก่อน กลายๆ ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าทำคลอดโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เธอจึงได้รับทางเลือกให้ไปทำคลอดที่โรงพยาบาลใกล้เคียง แต่ท้ายที่สุดหญิงสาวกลับมาที่บ้านพักคลอดทารกเพียงลำพังซ้ำร้ายสายรกพันคอทารกเสียชีวิต
       
        ใครที่ได้อ่านข้อมูลจากเพจนี้ย่อมก่นด่า ผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ..ไร้มนุษยธรรมธรรม จิตใจคับแคบ หน้าเลือดเห็นแก่เงิน ฯลฯ.. จนลืมไปว่าเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวที่ถูกนำเสนอออกมา ด้านแพทย์ผู้ที่ถูกอบรมเรื่องในจริยธรรมจรรยาบรรณมาอย่างเป็นดิบดี จะใจไม้ไส้ระกำได้เพียงนี้เชียวหรือ? แน่นอนว่า การตัดสินใจดังกล่าวผ่านดุลพินิจของสูตินารีแพทย์แล้ว
       
        เค้าว่า.. ไม่มีตังค์เตรียมตัวตาย
        ขออนุญาติหยิบยกข้อเท็จจริงที่ทำให้หลายท่านคลางแคลงใจต่อการปฏิบัติงานของแพทย์ และเรื่องราวอันน่ารันทดของหญิงสาวท้องแก่ที่บอบช้ำจากระบบงานสาธารณะสุขของไทย จาก Facebook Fanpage บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ความว่า
       
        “สวัสดีครับเพื่อนๆ.. นี่คือทารกที่เพิ่งคลอดออก มาได้ประมาณ3-4ชั่วโมงแล้วเสียชีวิต เหตุเนื่องจากว่าแม่น้องมีอาการปวดท้องคลอด แล้วไป รพ. ตามที่เธอมีประกันสังคมที่ รพ. แห่งนี้ใน กทม. (ผมไม่อยากเอ่ยนาม) แต่เธอถูกปฏิเสธในการใช้สิทธิคือไม่ครอบคลุมถึงการคลอดลูก รพ. บอกว่าถ้าเธอจะคลอดเธอ ต้องจ่าย18,000 บาท แต่ตอนนั้นหมอตรวจให้แล้วว่ามีเลือดซึมออกมาที่ช่องคลอด เธอไม่มีเงินในการทำคลอด หมอจึงให้เธอกลับไป
       
        “เธอกลับมาที่ห้อง เธอมาคลอดอยู่ที่ห้องตามลำพัง สามีเธอเป็นยามไม่ได้อยู่กับเธอ เธอเบ่งลูกแต่ลูกเธอมาคาอยู่ตรงช่องคลอด เธอช็อกและเสียเลือดมาก เกือบชั่วโมง ที่มีเพื่อนบ้านกลับมาเห็นและเข้ามาช่วยเธอ แต่เสียดายครับ เด็กเสียชีวิตแล้ว เพื่อนบ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูมาช่วยแม่ส่ง รพ. เพราะเสียเลือดมาก เจ้าหน้าที่ต้องส่งถึง 2-3 รพ. เพราะไม่มี รพ. ไหนรับ สุดท้าย รพ.รามา ก็รับแม่เอาไว้ ผมไม่อยากโทษใครครับ แต่เงินแค่ 18,000 บาทกับ2ชีวิตที่ต้องเกือบเสียไปทั้งหมด ผมเห็นภาพแล้วอยากจะร้องไห้ ต่อไปนี้ใครมีปัญหาเรื่องคลอดลูก ช่วยแชร์มาด้วยนะครับ เสียใจจริงๆ กับ รพ. แห่งนี้”
       
        หลังจากโพสต์ข้างบนเผยแพร่สู่โลกออนไลน์ เกิดกระแสโจมตีถล่มด่า แพทย์ โรงพยาบาล ฯลฯ เป็นจำนวนมาก ผู้คนต่างพากันแชร์เรื่องน่าเศร้า กดไลน์ให้กับเรื่องราวที่กู้ภัยคนดังตีแผ่ออกมา
       
        ไม่นานแพทย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์โพสต์ข้อเท็จจริงอีกด้านเพื่อให้สังคมรับรู้ในทันที ผ่าน Facebook Sorarit Kiatfuengfoo ความว่า
       
        เรื่องที่เกิดขึ้นคิดว่าทุกๆ คนคงได้อ่านจากทางฝั่งของคุณบิณฑ์กันมาแล้วเลยอยากจะเล่าเรื่องจากทางอีกฝั่งบ้าง
       
        8.00 น. เคสนี้ผู้ป่วยมารพ.ด้วยเรื่อง มีเลือดออกทางช่องคลอด ไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ทางแพทย์จึงได้ทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นพบว่าหน้าท้องมีขนาดโตขึ้นมาเหนือระดับสะดือพอสมควร นั่นแสดงถึงว่าผู้ป่วยตั้งครรภ์มากกว่า 5 เดือนแล้ว แต่ผู้ป่วยให้ประวัติว่าประจำเดือนขาดมา 2 เดือน ..ผู้ป่วยไม่เคยฝากครรภ์ และครั้งนี้เป็นการท้องครั้งที่ 4”
       
        ก่อนวิจารณ์ ให้ฟังความรอบด้าน
        แพทย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์ เล่าเหตุการณ์ผ่านหน้าวอลล์ของตนต่อ ความว่า หลังจากปรึกษาสูติแพทย์แล้ว ได้ทำการตรวจภายในและอัลตราซาวนด์พบว่าหัวใจเด็กยังเต้นปกติดีอยู่ ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร จึงได้ให้ผู้ป่วยเข้ารับการคลอด
       
        เนื่องจากการใช้สิทธิ์ประกันสังคมเพื่อคลอดนั้นกำหนดไว้ว่าผู้ที่เข้ามารับบริการต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อนแล้วมาทำเรื่องเบิกคืนทีหลัง ทางจนท.จึงได้แจ้งแก่ผู้ป่วยและญาติเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ทางผู้ป่วยกับญาติบอกว่าไม่มีเงินจึงขอกลับบ้าน จนท.เลยบอกให้ญาติพาไปคลอดที่ รพ. ของรัฐใกล้ๆ กัน และก่อนที่ผู้ป่วยจะขึ้น taxi ออกจากรพ. สูติแพทย์เป็นคนไปบอกและกำชับคนขับ taxi ให้ไปส่งที่ รพ. ด้วยตัวเอง
       
        14.00 น. ญาติผู้ป่วยไปพบห่อผ้าสองห่อในห้องผู้ป่วยโดยห่อนึงเป็นเด็กอีกห่อเป็นรก สอบถามผู้ป่วยจึงได้ความว่าคลอดเองประมาณเที่ยงๆ จึงได้ทำการแจ้งตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานเพราะจะนำศพไปเผาที่วัด
       หลังจากแจ้งความแล้วตำรวจได้โทรเรียกรถร่วมให้ไปรับศพ และก็เป็นข่าวอย่างที่เห็นที่แชร์กัน...
        ปล... ญาติผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี และไม่มีปัญหาใดๆ กับการดูแลรักษา
        ปล2.... นี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีแก่ประชาชน ขนาดเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มีรพ. จนท. หมอ พยาบาล มาให้ข้อมูลก็เยอะแต่ทำไมคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ์ประกันสังคมหรือบัตรทองของตัวเองเลย
        ปล3.... คุณบิณฑ์คงแค่ฟังเค้าเล่ามานะครับ เพราะญาติบอกว่าไม่ได้รับการติดต่อจากคุณเลย
        ปล4...... แม่สบายดีนะครับ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร
       
        ล่าสุด แพทย์ท่านเดิมได้โพสคลิปสัมภาษณ์ผู้ป่วยหญิงที่กำลังเป็นโจทย์ของสังคม ผ่าน Youtube เรื่อง กรณีผู้ป่วยคลอดที่บ้าน ซึ่งข้อเท็จจริงจากมุมผู้ป่วยกลับตาลปัตรไปจากฝั่งกู้ภัยผู้มีจิตสาธารณะ
   
        ฉุกเฉิน.. หมอไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
        อย่างไรก็ตาม การรับสิทธิบริการทางการแพทย์ด้วยสวัสดิการที่ภาครัฐตระเตรียมสำหรับประชาชน เป็นที่ทราบกันดีว่าว่ารูปแบบงานบริการเป็นไปตามกฎระเบียบขั้นตอน มิหน้ำซ้ำ เรื่องการรักษา หรือเรื่องยา ก็เข้ามาเป็นปัญหาต่องานสาธารณสุขสวัสดิการเหล่าอีกด้วย
       
        ในประเด็นนี้ เรื่องสิทธิมนุษยชนคงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการถกเถียง ผศ.ดร.ปาริชาด สุวรรณบุบผา ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า สิ่งที่สำคัญก่อนจะตัดสินใจต่อเรื่องใดๆ คือการรับรู้ข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 ฝ่าย ข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจก่อความเข้าใจผิดๆ ได้
       “ข้อมูลไม่ครบถ้วนเราก็จะหลงผิด แล้วจะแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายมาโจมตีกัน เป็นฝ่ายหมอ เป็นฝ่ายคนไข้ ซึ่งมันไม่ใช่วิธิการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
       
        ผศ.ดร.ปาริชาด ทิ้งท้ายถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่คาบเกี่ยวกับประเด็นร้อนข้างต้น “เรื่องสิทธิมนุษยชนเบื้องต้น สิทธิมนุษยชนเราไม่ได้พูดถึงกฎหมายอย่างเดียว เราพูดถึงเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ เราต้องเข้าใจเรื่องคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทุกคนอยากมีความสุขทั้งนั้น ทีนี้คนเจ็บป่วยเค้ากำลังจะคลอดลูกมันเป็นเรื่องเบื้องต้น ตามกฎราชการอาจจะเบิกอะไรไม่ได้ แต่เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนด้วยว่าต้องเคารพสิทธิการเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นก็คงต้องช่วยเค้าไว้ก่อน แล้วเรื่องเอกสารหรืออะไร กฎหมาย มันก็จัดการกันได้”
       
        ทีมข่าวฯ ติดต่อสอบถามไปยังราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และสูตินรีแพทย์ชื่อดัง แต่ถูกปฏิเสธในการตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้นต่อประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ข้องเกี่ยวกับบุคคกรในวิชาชีพแพทย์ ซึ่งตนไม่มีอำนาจหน้าที่ และไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์บุคลาการทางการแพทย์
       
        ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ย้ำเตือนประว่าแพทย์ทุกท่านมีดุลพินิจ หากสังคมคลางแคลงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ก็คงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป
       
        “คือหมอถ้าเวลาฉุกเฉินจริงๆ ปฏิเสธคนไข้ไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันฉุกเฉินหรือเปล่า เป็นคำถามที่ต้องดูรายละเอียดว่ามันมีเวลาที่จะไปที่อื่นได้ เค้าก็ให้ไปได้ ฉะนั้น ฉุกเฉินไปไม่ได้แน่ๆ เค้าจะปฏิเสธไม่ได้ ต้องดูข้อเท็จจริง
       
        “สมมติ เป็นน้ำมูกไหลมาแน่นอนว่าให้ไปได้ คุณไปหาที่นู้น แบบนี้ไปได้เพราะเวลามีพอไม่เดือดร้อน ถ้าฉุกเฉินใกล้ตายปฏิเสธไม่ได้”
       
        อย่างไรก็ตาม นายกแพทยสภา ย้ำชัดว่า แต่ละโรงพยาบาลมีเงินสำรองอยู่แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายคงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตหากต้องรับรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน เหตุการณ์ที่กำลังถกเถียงกันนี้ คาดว่าเป็นไปตามดุลพินิจของสูตินรีแพทย์ เพราะเห็นควรจึงมีการตัดสินใจลงไป

ASTVผู้จัดการรายวัน    14 ตุลาคม 2556

6568
 กระทรวงสาธารณสุขในยุครัฐมนตรี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์และปลัดกระทรวง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ มีการชูธงการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขในหลายด้าน และหัวใจประการหนึ่งซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่จะสถาปนาให้มีความสำคัญขึ้นมาคือ “เขตสุขภาพ”
       เขตสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขนั้นก็คือการรวมเอาหลายจังหวัดในภูมิภาคเดียวกันมารวมกันนั่นเอง แบ่งออกมาเป็น 12 เขตสุขภาพ คือภาคเหนือ มี 2 เขต ภาคกลาง-ตะวันออก 4 เขต ภาคอีสาน 4 เขต และภาคใต้ 2 เขต โดยมีผู้ตรวจราชการ 12 คนรับผิดชอบบริหารจัดการในเขตสุขภาพนั้นๆ ซึ่งโดยหลักคิดก็ดูจะมีเสน่ห์ไม่น้อย ถือเสมือนเป็นความก้าวหน้าในการกระจายอำนาจจากกรุงเทพ-นนทบุรีในส่วนกลาง กระจายมาที่เขตสุขภาพในแต่ละภูมิภาคแทน แต่แท้จริงหาได้สวยหรูเช่นนั้นไม่
       การจัดการอำนาจนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับมากที่สุดคือการออกนอกระบบ ปกครองตนเอง เฉกเช่นกรณีของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(มหาชน) ระดับมากคือการกระจายอำนาจ โดยยกอำนาจส่วนใหญ่ในตัดสินใจการบริหารจัดการให้แก่องค์กรในพื้นที่ โดยส่วนกลางทำหน้าที่เพียงการควบคุมกำกับทิศทางและผลลัพธ์เป็นสำคัญ ซึ่งสำหรับกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังไม่เคยมีกระจายอำนาจในลักษณะนี้ให้เห็น ส่วนรูปแบบการจัดการอำนาจที่กระจายน้อยสุดก็คือการมอบอำนาจ หมายความว่าอำนาจยังอยู่ที่ส่วนกลาง หรือปลัดกระทรวงเช่นเดิม แต่มอบอำนาจบางส่วนที่ปลัดมีให้กับผู้ตรวจราชการในแต่ละเขตเป็นผู้ใช้อำนาจแทน แต่อำนาจเหล่านี้ยังถูกกำกับและขอคืนได้จากส่วนกลาง
       ด้วยกรอบคิดการจัดการอำนาจที่มี 3 รูปแบบหลักนี้ เขตสุขภาพที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้นมานี้เป็นเพียงการจัดการอำนาจแบบการมอบอำนาจเท่านั้น จากเดิมที่มอบนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ก็มาเพิ่มขั้นตอนอีกชั้นผ่านระดับเขตก่อนถึงกระทรวง ผู้ตรวจราชการทุกคนยังต้องรอสัญญาณการหันซ้ายหันขวาจากกรุงเทพ ยังต้องฟังเสียงและทำตามแนวทางหรือข้อตกลงที่สั่งการจากกรุงเทพไม่ใช่ฟังจากพื้นที่ การมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ที่มาเป็นกรรรมการก็เป็นเพียงผู้แบ่งเค้กภายใต้กรอบและกติกาที่ส่วนกลางกำหนดมาแล้ว จึงหาได้เป็นการกระจายอำนาจไม่ แต่คือการกระชับอำนาจมากกว่า
       นพ.บรรพต พินิจจันทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ ถ้าให้ สธ.จัดสรรเงิน แทน สปสช.สิ่งที่น่ากลัวคือ การจัดสรรหรือไม่จัดสรรตามใจผู้มีอำนาจ ดังเช่นที่โรงพยาบาลมโนรมย์โดนมาแล้ว ที่ผู้ตรวจราชการไม่จัดสรรเงินงบประมาณเพิ่มส่วนที่ควรจะได้เหมือนโรงพยาบาลอื่นให้ เพราะเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ยอมทำ P4P ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นเรืิ่องที่ สปสช.ไม่เคยทำ สปสช.จะยึดหลักเกณฑ์จากบอร์ดแล้วจัดสรรตามหลักเกณฑ์นั้น ไม่ใช้อำนาจส่วนตัวหรือความเห็นส่วนตนมาบิดเบือนเหมือนผู้ใหญ่ของ สธ.”
       เขตสุขภาพไม่ใช่การกระจายอำนาจ แต่แท้จริงคือการกระชับอำนาจ จัดแถวปราบกบฏ และเพิ่มขั้นตอนการควบคุม ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ภาคประชาชนไม่มีที่ยืนในกรรมการระดับเขต หรือแม้แต่โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก็ยังหาที่ยืนยาก ไม่ได้มีส่วนร่วม ไม่มีหลักประกันว่า ผู้ใหญ่ในกระทรวงจะมีความเป็นกลางและเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร ไม่มีหลักประกันว่า การมีเขตสุขภาพที่ยึดอำนาจการจัดสรรงบประมาณมาจาก สปสช.จะไม่ละเลงงบด้วยระบบพรรคพวกและมือใครยาวสาวได้สาวเอา
       
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ตุลาคม 2556

6569
สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ มีผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนมากอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าในปี 2593 ไทยจะมีผู้สูงอายุล้นเมือง คือมีมากถึงร้อยละ 27 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งปัญหาสำคัญคือ นอกจากขาดแคลนแรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในการดูแลร่างกายวัยปลดเกษียณคงบานปลายจนเกินกว่าภาครัฐจะรับได้ไหว

       เพราะต้องยอมรับว่า ผู้สูงอายุที่ร่างกายเสื่อมโทรมและสึกหรอไปตามวัย คงไม่สามารถคงสภาพความแข็งแรงไว้ได้ดังเดิม โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพจิต ที่เป็นปัญหามากก็คือ 20% ของผู้สูงอายุ มักต้อวทนทุกข์ทรมานอยู่กับปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาทางระบบประสาท โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อม!!
   
       ซึ่งภาวะดังกล่าว นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า เป็นความผิดปกติในการทำงานของสมอง ที่ได้รับผลกระทบจากโรค หรือความผิดปกติบางอย่าง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการความจำเสื่อม มีความถดถอยของพฤติกรรมและบุคลิกภาพ เกิดอาการสับสน และอาการผิดปกติด้านการพูดและความเข้าใจ อาการเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทบกระเทือนกับการใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคมของผู้ป่วย
       
       "คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประมาณ 35.6 ล้านคน ทุก 20 ปี จะมีปริมาณผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และภายในปี ค.ศ. 2050 จะมียอดผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมรวมกว่า 115.4 ล้านคน โดยโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดร้อยละ 60-80 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด รองลงมาคือ ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เคยคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมไว้ประมาณ 229,000 คน ในปี 2005 และมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยโรคอัลไซเมอร์ มีร้อยละ 40-70 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด"
       
       นพ.เจษฎา บอกว่า บางกลุ่มอาการรักษาไม่ได้ แต่ก็มีบางกลุ่มอาการที่สามารถรักษาได้ ถ้าค้นพบสาเหตุได้ชัดเจน การวินิจฉัยโรคที่รวดเร็วและแม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่คงไม่เท่าการป้องกันโรคนี้ได้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 เทคนิคด้วยกันคือ
       
       1.บริหารสมอง โดยฝึกทักษะการใช้มือ เท้า และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้สามารถรับรู้และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น เต้นรำ เล่นหมากรุก หมากล้อม โยคะ รำมวยจีน ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานบ้านหรืองานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น

       2.บริโภคอาหาร โดยรับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น เลือกรับประทานอาหารที่บำรุงสมอง เช่น ธัญพืชหรือถั่ว ผักใบเขียวทุกชนิด ถั่วเหลือง อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ผลไม้รสเปรี้ยว ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทูน่า เป็นต้น
       
       3.รักษาร่างกาย โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ หากมีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน ที่สำคัญ ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม เป็นต้น
       
       และ 4.ผ่อนคลายความเครียด โดยการหารูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุดและสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริง เช่น การฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ การฝึกสมาธิ การพูดคุย หรือพบปะผู้อื่นบ่อยๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่างๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ตุลาคม 2556

6570
 รพ.ราชวิถีเผยลักษณะผู้ร้ายมอมยาตีสนิทคนสูงอายุอ้างอำนวยความสะดวกแทน เร่งประชาสัมพันธุ์เพิ่มการตรวจตาอย่างเคร่งครัดรุบะที่ผ่านมายังไปพบผู้ป่วยถูกหลอก
       
       วันนี้(12 ต.ค.)นพ.อุดม เชาวรินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวถึงกรณีปัญหามิจฉาชีพแฝงตัวมอมยาผู้ป่วยปลดทรัพย์ ว่า ในส่วนของโรงพยาบาลจากการตรวจสอบยังไม่พบปัญหาคนไข้ถูกมอมยาหรือประสงค์ต่อทรัพย์ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข่าว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางโรงพยาบาลมีมาตรการออกเสียงตามสายและประชาสัมพันธ์ตลอดเวลาในช่วงเช้าและบ่าย เนื่องจากในอดีตโรงพยาบาลราชวิถีเคยประสบปัญหาทั้งเรื่องมิจฉาชีพลักทรัพย์ แก๊งลักเด็กมาก่อน ทำให้มีมาตรการเฝ้าระวังอยู่แล้ว โดยจะเป็นการประกาศเตือนอย่าหลงไว้ใจมิจฉาชีพเข้ามาตีสนิท
       
       อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจสอบบริเวณด้านล่างของอาคาร มีกล้องวงจรปิด บริเวณจุดบริการผู้ป่วยนอก โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมของคนร้าย ที่เคยพบในโรงพยาบาล จะเป็นลักษณะการหลอกเข้ามาตีสนิทกับผู้ป่วยสูงอายุ หลอกว่า จะอำนวยความสะดวกให้ในการซื้อยา จ่ายเงิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินไปที่แผนกด้วยตนเอง ทำให้หลงมอบเงินให้ และหนีหายไปเลย ทำให้ผู้ป่วยสูญเงินและไม่ได้รับยาตามที่ต้องการ
       
       ผอ.โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ทาง โรงพยาบาลได้มีการปรับปรุงตึกผู้ป่วยนอกใหม่ จะเร่งติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่ม ส่วนการประชาสัมพันธ์ก็จะย้ำตามปกติ เหมือนที่ปฏิบัติ แต่จะให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเฝ้าระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ตุลาคม 2556

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 654