301
ข่าว รพศ./รพท. / "รพ. พระนารายณ์มหาราช"
« เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2010, 16:48:42 »
คำถาม "รพ. พระนารายณ์มหาราช" อยู่จังหวัดไหนครับ?
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. 301
ข่าว รพศ./รพท. / "รพ. พระนารายณ์มหาราช"« เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2010, 16:48:42 »
คำถาม "รพ. พระนารายณ์มหาราช" อยู่จังหวัดไหนครับ?
302
ข่าวสมาพันธ์ / ด่วน! ความก้าวหน้า--เงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายรพศ./รพท.« เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2010, 22:07:44 »
สรุปลำดับเหตุการณ์
1.เนื้อหาใจความสำคัญ- สตง.-ทักทวง-กระทรวงสาธารณสุข ที่ ตผ 0020.1/5978 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ถนนพระรามที่ 6 กทม. 10400 24 พฤศจิกายน 2552 เรื่อง การกำหนดเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายของกระทรวงสาธารณสุข เรียน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อ้างถึง....... สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ตามหนังสือที่อ้างถึง 1 ถึง 11 นั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า 1. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนแนบท้ายข้อบังคับกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2552 ได้กำหนดการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง โดยกำหนดค่าตอบแทนแพทย์ ทันตแพทย์ ตั้งแต่ 10,000 – 15,000 บาท เภสัชกรตั้งแต่ 3,000 – 4,500 บาท พยาบาลวิชาชีพ ตั้งแต่ 1,200 – 1,800 บาท เจ้าหน้าที่ระดับปริญญาขึ้นไป ตั้งแต่ 1,200 – 1,800 บาท และต่ำกว่าปริญญา ตั้งแต่ 600 – 900 บาท นั้น เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ฯ การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีความแตกต่างกันในทางกายภาพ และลักษณะทางภูมิศาสตร์ หรือ ลักษณะของพื้นที่ บางแห่งเป็นพื้นที่ที่มีความทุรกันดารมาก บางแห่งมีความทุรกันดารน้อยมาก หรือ ไม่มีเลย การกำหนดอัตราเหมาจ่ายในลักษณะดังกล่าว จึงอาจเกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ที่มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานประจำในหน่วยบริการที่มีความทุรกันดารมาก แต่ได้รับค่าตอบแทนเท่ากันกับหน่วยบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารน้อย หรือน้อยกว่า เป็นต้น หลักเกณฑ์ดังกล่าว จึงไม่สอดคล้องตามเจตนารมณ์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนแนบท้ายข้อบังคับกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4 ) ข้อ 6 พ.ศ.2551และ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552 ซึ่งการกำหนดการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานสำหรับแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในพี้นที่ทุรกันดาร และขาดแคลนบุคลากร และแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากรในหน่วยบริการได้ 2.เนื้อหาใจความสำคัญ-กระทรวงสาธารณสุข-ชี้แจง-สตง. ที่ สธ 0201.041/4758 กระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี 11000 18 ธันวาคม 2552 เรื่อง ชี้แจงการกำหนดเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายของกระทรวงสาธารณสุข เรียน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อ้างถึง หนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ ตผ 0020/5978 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1008.3.3/547 ลงวันที่ 30 กันยายน 2552 กระทรวงสาธารณสุข ได้พิจารณาแล้วขอเรียน ดังนี้ 1. หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนแนบท้ายข้อบังคับกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2552 เป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง โดยมุ้งเน้นและคำนึงถึงลักษณะงานที่ปฏิบัติในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปเป็นสำคัญ ซึ่งจะแตกต่างจากการจ่ายเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามหลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 4) และฉบับที่ 6 ซึ่งจะพิจารณาถึงพื้นที่ทุรกันดารและความขาดแคลนบุคลากร อย่างไรก็ตามขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ศึกษาวิเคราะห์การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ในภาพรวมทั้งหมดว่ามีความถูกต้องเหมาะสมประการใดหรือไม่ และควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขในลักษณะใด ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์ฯ การจ่ายค่าตอบแทนฯ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2552 นี้ด้วย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะนำข้อทักท้วงของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวมาข้างต้น มาประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนภายหลังจากได้รับผลการศึกษาวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)แล้ว 3.ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้จ่ายเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายรพศ./รพท. 4.เลขาชมรม(ผอก)รพศ/รพท (พี่ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์) กล่าวให้กำลังใจพวกเราว่า จะสนับสนุนให้ผอก.รพศ./รพท.ทั่วประเทศ จ่ายเงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายแก่พวกเราโดยถ้วนหน้า เฮ....เฮ....เฮ 303
ข่าวสมาพันธ์ / ด่วน! หนัีงสือจากสมาพันธ์ถึงรมต.สาธารณสุข-12กพ2553« เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2010, 21:54:07 »
12 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2553
เรื่อง ข้อเสนอของสมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท. ต่อการแก้ไขปัญหาในกระทรวงสาธารณสุข เรียน ฯพณฯ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข สิ่งที่แนบมาด้วย บทความเรื่อง กระทรวงสาธารณสุขจะพัฒนาอย่างไร ของ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กระทรวงสาธารณสุขมีปัญหาในเชิงระบบหลายประการอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลายาวนาน การจะแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขรวมถึงเสนอข้อมูลรอบด้านแก่ผู้บริหาร เพื่อนำไปใช้ประกอบในการวางนโยบายและแผนงานที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริง สมาพันธ์แพทย์รพศ/รพท แห่งประเทศไทย เป็นองค์กรตัวแทนของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข อันประกอบไปด้วยแพทย์ประมาณ 6,000 กว่าคน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ประสบกับปัญหาดังกล่าวโดยตรง ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขไทย นอกจากกระทบถึงขวัญและกำลังใจการทำงานของแพทย์แล้ว ยังส่งผลกระทบถึงผู้ป่วยอีกด้วย เพื่อเป็นข้อมูลแก ฯพณฯ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุข สมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท.แห่งประเทศไทย จึงขอเสนอนำข้อมูลปัญหาและแนวทางการแก้ไขดังนี้ปัญหาและแนวทางแก้ไขดังนี้ 1.กรณีปัญหาการตรวจสอบการใช้งบประมาณไทยเข้มแข็ง คณะกรรมการตรวจสอบยังใช้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับความเป็นจริง มีการเลือกใช้ข้อมูลเพียงบางส่วนไปนำเสนอต่อสาธารณะ การสรุปผลการตรวจสอบหลายกรณีจึงไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทางสมาพันธ์แพทย์ฯ มีขอเสนอ ดังนี้ 1.1 ควรแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึกที่ประกอบด้วยบุคคลที่เชื่อถือได้และมีความเป็นกลาง การระบุว่ามีความผิดทุจริตคอรัปชั่น ควรมีหลักฐานที่ชัดเจน มีการกระทำผิดจริง เปิดโอกาสให้ชี้แจง อย่างเท่าเทียมกัน หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ควรดำเนินการจนถึงที่สุด 1.2 การจัดสรรงบประมาณควรพิจารณาถึงภาระงานเป็นหลัก ภารกิจบริการทุติยภูมิ และตติยภูมิมีความแตกต่างจากการให้บริการแบบปฐมภูมิในโรงพยาบาลชุมชนและศูนย์สุขภาพชุมชนอย่างสิ้นเชิง บริการปฐมภูมิในโรงพยาบาลชุมชนนั้น มีต้นทุนบริการรวมถึงเทคนิคบริการที่ไม่สลับซับซ้อน ให้บริการประชาชนจำนวนไม่มาก ในขณะที่การบริการแบบทุติยภูมิและตติยภูมินั้นสลับซับซ้อนมากกว่า ใช้เทคโนโลยีบริการที่สูงกว่า ให้บริการที่ครอบคลุมประชากรจำนวนมากกว่า จึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าบริการแบบปฐมภูมิ โดยต้นทุนบริการของทั้งสองระบบนั้น จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบในด้านของจำนวนและตัวเลขได้ 2. ปัญหาการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เงินงบประมาณตามรายประชากรส่งไม่ถึงหน่วยบริการทั้งหมด ทั้งนี้ในความเป็นจริง สปสช. ดำเนินการกันเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อจัดทำโครงการอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวการรักษาพยาบาล ทำให้หน่วยบริการประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน บางแห่งมีปัญหามากจนอาจไม่สามารถบริหารหน่วยบริการได้ในอนาคตอันใกล้ กรณีนี้สมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท. แห่งประเทศไทย มีข้อเสนอดังต่อไปนี้ 2.1 ควรแยกงบประมาณที่เป็นเงินเดือนของบุคลากรและค่าตอบแทนออกจาก เงินค่า รักษาพยาบาล/หัวประชากร 2.2 เสนอให้มีการตรวจสอบ และทบทวนการทำงานของสปสช. เพราะจากบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันสปสช.กำลังทำเกินหน้าที่ซึ่งกฎหมายกำหนด การกระทำดัวกล่าวส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการเป็นอย่างมาก 3. ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร ขณะนี้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทุกในระดับ โดยเฉพาะรพศ./รพท. ซึ่งมีภาระงานหนัก รวมถึงภารกิจพิเศษนอกแผนปฏิบัติงาน เนื่องมาจากการที่ สปสช และกระทรวงสาธารณสุขสั่งการลงมาเป็นกรณีพิเศษมาตลอดทั้งปี 3.1 ควรมีการกำหนดมาตรฐานภาระงานที่เหมาะสมของแพทย์ เพื่อประชาชนจะได้รับการดูแลรักษาที่มีคุณภาพ และนำไปสู่การจัดอัตรากำลังของแพทย์ที่ถูกสัดส่วนกับภาระงาน 3.2 กำหนดการร่วมจ่ายของประชาชนในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น ในโรคที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ป่วย เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ฯลฯ หรือการใช้บริการของโรงพยาบาลนอกเวลาราชการของผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะฉุกเฉิน หรือในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการบริการเพิ่มเติมจากบริการพื้นฐานของโรงพยาบาล ควรให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) เพื่อสร้างความตระหนักให้กับประชาชนให้มีการดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างดี รวมถึง เพื่อลดภาระ งานที่ไม่จำเป็นของบุคลากร และลดภาระทางการเงินที่โรงพยาบาลต้องแบกรับ 3.3 จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อจ่ายค่าตอบแทนทุกประเภท อย่างเป็นธรรม และพิจารณาเร่งรัดการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ชะลอเรื่องไว้ (ตั้งแต่ สตง. ได้ทำหนังสือท้วงติงมา) ทำให้บุคลากร ของ รพศ./รพท. สูญเสียขวัญและกำลังใจเป็นอย่างมาก 3.4 การจัดสรรโควตาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรอื่นๆของโรงพยาบาลต่างๆ ในปัจจุบันนี้ ไม่เป็นไปตามสภาพความต้องการที่แท้จริงของโรงพยาบาลในพื้นที่ มีการจัดสรรบุคลากรให้แก่รพศ./รพท. โดยบุคคลที่ไม่เข้าใจระบบการทำงานในรพศ./รพท. และไม่เข้าใจปัญหาในพื้นที่ต่างๆ อีกทั้งมีการใช้เหตุผลอื่นๆที่ไม่สมควร มากกว่าความจำเป็นของพื้นที่ 4. การแยกการบริหารงานบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขออกจากก.พ. ที่ผ่านมา ก.พ.ไม่เข้าใจงานกระทรวงสาธารณสุข มีการยุบหน่วยงานบางหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขไป (ซึ่งมีส่วนทำให้การบริหารงบประมาณไทยเข้มแข็ง มีปัญหา) ในขณะเดียวกัน กพ. ก็มีนโยบายลดจำนวนข้าราชการลง ในขณะที่บุคลากรทางสาธารณสุขยังมีจำนวนไม่พอเหมาะกับภาระงาน ทำให้เกิดความขาดแคลนบุคลากรในทุกระดับ นอกจากนี้ค่าตอบแทนที่บุคลากรได้รับยังไม่สอดคล้องกับภาระงาน ทั้งยังมีความแตกต่างจากภาคเอกชนค่อนข้างมาก นอกจากนี้กฎระเบียบของ กพ. บางส่วนยังเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหา และการพัฒนางานของโรงพยาบาล 5. ระบบคุณธรรม และหลักการบริหารงานแบบธรรมาภิบาลของกระทรวงสาธารณสุข การบริหารงานในกระทรวงสาธารณสุขที่ผ่านมา ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ในหลายกรณีว่าไม่เป็นไปตามนโยบายการกำกับดูแลองค์กรที่ดี (การบรรจุแต่งตั้ง การเลื่อน การย้าย และการโอน เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งระบบการให้รางวัล และการลงโทษ ต้องทำด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของกฎหมาย ความรู้ ความสามารถ และผลงานอย่างแท้จริง) ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศใช้นโยบายนี้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 2552 การบริหารโดยไม่ชอบด้วยคุณธรรม ไม่ยึดหลักธรรมาภิบาลดังกล่าว มีผลกระทบทำให้ข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถจำนวนไม่น้อย ขาดขวัญ และกำลังใจในการทำงาน ประกอบกับนโยบายของท่านรัฐมนตรีสาธารณสุขที่ได้ประกาศเมื่อวันที่20 ม.ค.2553 ว่าจะยึดหลักการ 3 ประการ คือ ความโปร่งใส ความสามัคคี และการมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันทุกฝ่ายในสังคมสาธารณสุข ทางสมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท.แห่งประเทศไทยขอมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และ ผลักดันให้มีการดำรงไว้ซึ่งระบบธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อเป็นคุณูปการแก่วงการสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน และอนาคต ขอแสดงความนับถืออย่างสูง ( พญ. พจนา กองเงิน) 304
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สธ.เตรียมประกาศใช้บัญชียาแผนไทยในรพ.-คมชัดลึก-10 กพ.2553« เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2010, 23:25:25 »
คมชัดลึก : กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง เตรียมประกาศใช้บัญชียาแผนไทย ในโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุข เพื่อใช้รักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วย ใช้เป็นรายการยาสมุนไพรที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สามารถเบิกจ่ายได้ คาดใช้ได้ในเดือนมีนาคมนี้
(10ก.พ.) นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและคณะผู้บริหารระดับสูง เดินทางไปที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น เยี่ยมชมระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน และการให้บริการงานแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก และมอบนโยบายการพัฒนางาน นางพรรณสิริ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนไทยและยาสมุนไพรไทย ใช้รักษาโรค อาการเจ็บป่วยต่างๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการซื้อยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง โดยจะให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ใช้ยาสมุนไพรที่มีผลการวิจัยรับรองประสิทธิภาพในการรักษาทดแทนยาแผนปัจจุบันไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ส่วนโรงพยาบาลชุมชนใช้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ปรับปรุงบัญชียาแผนไทยที่ใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุข เพื่อเตรียมประกาศใช้ในการรักษาโรค หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยของประชาชน เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยสามารถเบิกค่ารักษาได้เช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ยาแผนไทยต่างๆ เข้ามามีบทบาทในการรักษาโรค ได้รับการยอมรับจากบุคลากรการแพทย์ ใช้กันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น และยาแผนไทยมีราคาถูกกว่ายาแผนปัจจุบันหลายเท่าตัว แต่คุณภาพดีไม่แพ้กัน นางพรรณศิริกล่าวต่อว่า รายการยาไทยที่จะใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขครั้งนี้ จะต้องเป็นยาที่ใช้รักษาโรค หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลง ไม่รวมยาที่ใช้บำรุงสุขภาพ หรือยาที่ใช้ป้องกันโรค ประกอบด้วยยา 3 ประเภท ได้แก่ 1.ยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติพ.ศ. 2549 ซึ่งมี 19 รายการ ได้แก่ ยาแก้ไข้ห้าราก ยาเขียวหอม ยาเหลืองปิดสมุทร ยาจันทน์ลีลา ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง ยาธาตุบรรจบ ยาประสะกานพลู ยาประสะไพล ยาประสะมะแว้ง ยาหอมเทพจิตร ยาหอมนวโกฐ ขมิ้นชัน ขิง ชุมเห็ดเทศ บัวบก พญายอ พริก ไพล และฟ้าทะลายโจร 2.ยาที่เป็นเภสัชตำรับโรงพยาบาลซึ่งโรงพยาบาลต่างๆผลิตใช้เองทั้งยาสำเร็จ รูป เช่น การผลิตยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ยาที่ผลิตตามคัมภีร์ และยาที่ผลิตจากการศึกษาวิจัยและพัฒนา รวมทั้งยาที่โรงพยาบาลปรุงเพื่อใช้ในผู้ป่วยแต่ละราย และ 3. ยาที่ผลิตมาจากบริษัทเอกชนในประเทศที่ได้มาตรฐานการผลิตที่ดีหรือจีเอ็มพี( GMP ) และผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหลายแห่ง สามารถผลิตยาสมุนไพรที่ มีคุณภาพใช้เองในโรงพยาบาล โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จังหวัดปราจีนบุรี โรงพยาบาลดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี หากพัฒนาให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี ก็สามารถสนับสนุนให้โรงพยาบาลอื่นๆได้ 305
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / กทม.เตรียมความพร้อมทีมแพทย์ฉุกเฉิน รับสาธารณภัยในกลุ่มชน-มติชน-9 กพ.2553« เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2010, 07:50:43 »
กทม.เตรียมความพร้อมทีมแพทย์ฉุกเฉินจัดอบรมเชิงปฏิบัติการทางการแพทย์ใน สาธารณภัยกลุ่มชน แก่บุคลากรในเครือข่ายระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน 44 แห่ง และ 8 แห่งจากมูลนิธิต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้นในกรุงเทพมหา นครได้อย่างเป็นระบบ
นพ.สราวุฒิ สนธิแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการจัดอบรมครั้งนี้ว่าการเกิดภัยพิบัติและสาธารณภัยในประเทศไทย และในโลกมีแนวโน้มที่จะเกิดบ่อยขึ้นอีกทั้งมีความรุนแรงมากขึ้น มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุสาธารณภัยจำนวนมาก ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครก็มีเหตุสาธารณภัยขึ้นบ่อยครั้งและอาจเกิดเหตุ สาธารณภัยขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้ กรุงเทพมหานครจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุสาธารณภัย นพ.เพชรพงษ์ กำจรกิจการ ผู้อำนวยการศูนย์เอราวัณ กล่าวว่า สำนักการแพทย์ กรุงเทพหมานครโดยศูนย์เอราวัณ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการทางการแพทย์ในสาธารณภัยกลุ่มชนแก่บุคลากรในเครือข่ายระบบการแพทย์ฉุกเฉินพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 9 แห่ง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติโรงพยาบาลสังกัดทบวงหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ รวมทั้งชุดปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินจากมูลนิธิที่ขึ้นทะเบียนหน่วยบริการระดับพื้นฐานในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 8 มูลนิธิจำนวนรวมกว่า 180 คน เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้อย่างเป็นระบบ โดยรูปแบบการมีทั้งการบรรยาย การสาธิตและฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง นอกจากจะเป็นการเสริมความรู้จากการบรรยาย การสาธิตและยังได้รับประสบการณ์จริง จากการฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง ทำให้ได้รู้ข้อผิดพลาดในการฝึกปฏิบัติที่ชุดปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินยังมีอยู่และนำไปพัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้พร้อมรับสถานการณ์จริงอย่างเหมาะสมต่อไป ผู้อำนวยการศูนย์เอราวัณกล่าวอีกว่า ในการเตรียมความพร้อมในการฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง ชุดปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินต้องเตรียมพร้อมและสามารถปฏิบัติการประสานสั่ง การร่วมกับชุดปฏิบัติการอื่นตามแผนปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วย เหลือผู้ป่วยฉุกเฉินและบาดเจ็บสู่ความปลอดภัยให้ได้มากที่สุดอย่างรวดเร็ว ไม่สับสนและทุกทีมปลอดภัย การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อรองรับเหตุสาธารณภัยที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนเวลาใดและรุนแรงเพียงใด การเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการรับมือกับเหตุสาธารณภัยเพราะเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดความวุ่นวายสับสนมาก ถ้าไม่เตรียมการให้พร้อมไว้ก่อนกรุงเทพมหานครอาจจะไม่สามารถรับมือกับ เหตุการณ์สาธารณภัยขนาดใหญ่ได้ 306
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / 'จุรินทร์'เผยทางเยียวยา นศ.พยาบาลโคราช-เดลินิวส์- 8 กุมภาพันธ์ 2553« เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2010, 07:47:03 »
วันนี้(8 ก.พ.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข แถลงภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้มีการแก้ไขปัญหากรณีวิทยาลัยนครราชสีมา สาขาวิชาการพยาบาลแล้ว โดยเมื่อตรวจสอบพบว่ากระบวนการเรียนการสอนหลักสูตรได้รับการรับรองเฉพาะปี 2548-2549 แต่เมื่อปี 2550 สภาการพยาบาลได้ขอให้วิทยาลัยมีการปรับปรุงกระบวนการ ทั้งเรื่องเกณฑ์อาจารย์ที่สอนอาจารย์ที่มีชื่อแต่ไม่ได้ไปสอนจริง ซึ่งสภาการพยาบาลได้ให้ข้อมูลว่า ทางวิทยาลัยดังกล่าวได้เพิกเฉยไม่ได้ดำเนินการ ดังนั้นในปี 2550 จึงได้มีมติไม่รับรองหลักสูตร จึงเป็นปัญหาสำหรับเด็กที่เรียนตั้งแต่ปี 2548 และย่างเข้าสู่ปีที่ 3 ที่ไม่มีการรับรองหลักสูตร และยังถือเป็นปัญหาของเด็กปี 1 ในปี 2550-2551 เป็นต้นมาอีกด้วย
รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า สำหรับทางแก้ปัญหา กระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าควรดำเนินการทางสถาบันและผู้บริหารสถาบันโดยเคร่งครัดตามกฎหมาย โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนนักศึกษาให้แยกออกเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรก ให้สถาบันพระบรมราชชนกช่วยหาสถานที่เรียนให้เด็กที่ประสบปัญหา โดยใช้วิธีการโอนหน่วยกิตไปยังสถาบันการศึกษาใหม่ที่หาได้ ส่วนแนวทางที่ 2 ให้วิทยาลัยพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข 29 แห่ง ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสภาการพยาบาลช่วยพิจารณารับเด็กที่เรียนไม่จบหรือ แม้แต่เรียนจบแล้วไม่สามารถไปขอใบประกอบวิชาชีพได้ ให้มีโอกาสเข้ามาเรียนเพิ่มเติม จนสามารถเข้าไปขอใบประกอบวิชาชีพได้ ถือว่าเข้าเกณฑ์เป็นการเยียวยาทั้งเด็กที่จบแล้วและยังไม่จบหลักสูตร. 307
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ถกแพทย์ภาคอังกฤษ มศว11ก.พ.-คมชัดลึก-8.กพ.2553« เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2010, 08:21:17 »
คมชัดลึก :นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีแพทยสภาอนุมัติหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ว่า คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ
ที่มี นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน จะเปิดรับความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป และแพทยสภาจะทบทวนเรื่องนี้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่ง สธ.มีตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการแพทยสภาหลายคน โดยเฉพาะ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. ร่วมเป็นกรรมการด้วย น่าจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้การดำเนินการใดๆ ก็ตามจะต้องไม่กระทบต่อการผลิตแพทย์เพื่อดูแลสาธารณสุขสำหรับคนไทยในปัจจุบัน รวมทั้งต้องไม่กระทบต่อการบริการของประชาชนชาวไทยด้วย ด้าน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภายืนยันว่าไม่ได้รับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติ หรือหลักสูตรอินเตอร์ แต่เป็นการรับรองหลักสูตรแพทยศาสตร์ ภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ หลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทั้งฝ่ายที่คัดค้านและเห็นด้วย จะรับรองมติที่เกิดขึ้น ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า แนวคิดการจัดตั้งหลักสูตรแพทยนานาชาติ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ประสงค์อยากให้เป็นองค์กรอิสระ แต่หลักสูตรดังกล่าวยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของสภามหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ยืนยันว่า มศว เป็นมหาวิทยาลัยที่ติดดิน มีปรัชญาที่ชัดเจนว่าการช่วยคนต้องช่วยคนในถิ่นฐานก่อน โดยฉพาะในประเทศไทยมีคนที่มีชีวิตขัดสนอย่างมาก ยังต้องการความช่วยเหลือจากองค์กร สังคมอีกมากมาย เรื่องนี้ขอให้แก้ปัญหาด้วยหลักการและเหตุผลบนฐานคิดของสังคมไทย ที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากศาสตร์ต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยอีกมาก 308
ข่าว รพศ./รพท. / ผลกระทบของระบบสาธารณสุขปัจจุบันต่อประชาชน« เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2010, 00:08:05 »
---ประชาชนต้องเดินทางจากอำเภอหนึ่งสู่ตัวจังหวัด หรืออีกอำเภอหนึ่งเพื่อรับบริการการตรวจรักษา หรือจากจังหวัดหนึ่งสู่อีกจังหวัดหนึ่งมากเกินไป(น่าจะเดินทางน้อยกว่านี้ ถ้า...)
---ประชาชนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางมาที่โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป รอคิวตรวจ เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมาก หากมาช้าอาจต้องรอทั้งวันกว่าจะได้ตรวจ ---เมื่อได้คิวตรวจ แพทย์ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการตรวจ ดูเหมือนตรวจไม่ละเอียด และผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจ ---ยาที่ได้รับ ผู้ป่วยก็ไม่มั่นใจ เพราะรู้ว่าโรงพยาบาลพยายามใช้ยาราคาถูกๆ บางครั้งก็ดูเหมือนแพทย์ให้ยาไม่กี่อย่าง น้อยกว่าแต่ก่อน ---ในโรคที่รื้อรังซึ่งต้องพบแพทย์เป็นระยะๆ แพทย์ก็นัดตรวจแต่ครั้งบางทีนาน 3 ถึง 4 เดือน ผู้ป่วยรู้สึกนานเกินไป ---การนัดตรวจบางอย่าง เช่น การตรวจมะเร็งเต้านมโดยใช้แมมโมแกรม โรงพยาบาลบางแห่งกว่าจะนัดได้ต้องใช้เวลาถึง 3 ถึง 6 เดือน การผ่าตัดบางอย่าง เช่น การผ่าตัดต้อกระจก การผ่าตัดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบางแห่งกว่าจะได้คิวผ่าตัดก็นานหลายเดือน การทำกายภาพบำบัดก็เหมือนกัน บางแห่งกว่าจะได้คิวก็รอจนเบื่อ ---ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล(โดยเฉพาะแผนกอายุรกรรม และศัลยกรรมในโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป) มีมากเกินกว่าจำนวนเตียงที่มี ต้องนอนเตียงเสริม ---จำนวนพยาบาลในโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป มีไม่พอ ไม่เหมาะสมกับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องดูแลรักษา กระทบต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ---อื่นๆ อีกมากมาย ช่วยกันบรรยายหน่อย----------- 309
ข่าว รพศ./รพท. / หัวข้อที่ต้องการความคิดเห็นจากสมาชิก« เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2010, 09:46:24 »
ปัญหาที่เผชิญหน้า
วิกฤตวิชาชีพแพทย์ วิกฤตระบบสาธารณสุขไทย วิกฤตกระทรวงสาธารณสุข ปัญหาที่มีอยู่จริง---ใครรู้-ใครเห็น-ใครทำอะไร? ---ที่ผ่านมาใครทำอะไร---กระทรวงสาธารณสุข-แพทยสภา-แพทยสมาคม ---(ราช)วิทยาลัยแพทย์-โรงเรียนแพทย์ (กระทรวงสาธารณสุขที่กลุ่มแพทย์ชนบทมีอิทธพลมายาวนานทำอะไรบ้าง /ทำเป็นหรือเปล่า/แก้ปัญหาหรือสร้างปัญหา?) ประเด็น-คิดว่ามีปัญหาหรือเปล่า?-รู้สาเหตุของปัญหาหรือเปล่า?-รู้วิธีแก้ปัญหาหรือเปล่า?-แก้ปัญหาตรงจุดหรือเปล่า?-แก้ปัญหาหนึ่งแล้วสร้างอีกปัญหาหนึ่งหรือเปล่า?) วิกฤต/ปัญหาที่สำคัญ ๑. ระบบคุณธรรม/ธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข ---เป็นรากเหง้าของทุกปัญหา ---การเข้าสู่ตำแหน่งของผู้บริหารระดับต่างๆ-การแต่งตั้ง/โยกย้าย(ด้วยเกณฑ์อะไร?/เหตุผลอะไร?/โปร่งใส?/ด้วยเป้าหมายอะไร?/ผลงาน/ความสามารถอะไร? หรือด้วย..............) ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ ทั้งหมด การทำให้บ้านเมือง มีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ -------------------------------พระบรมราโชวาท ๑๑ ธค. ๒๕๑๒ การบรรจุแต่งตั้ง การเลื่อน การย้าย และการโอน เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งระบบการให้รางวัล และการลงโทษ ต้องทำด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของกฎหมาย ความรู้ ความสามารถ และผลงานอย่างแท้จริง -------นโยบายการกำกับดูแลองค์การที่ดี สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๙ มค. ๒๕๕๒ ผู้บริหารทุกระดับ เข้าสู่ตำแหน่งเพื่ออำนาจ(บริหาร) ผ่านช่องทางต่างๆ(ที่ไม่ใช่ธรรมาภิบาล) จึงทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาตัวให้อยู่ในอำนาจ(บริหาร) หรือให้มีอำนาจ(บริหาร)มากขึ้น ไม่ใช่มุ่งทำผลงานเพื่องาน ----- เราต้องการให้คนดี(ที่มีความกล้า)ได้เป็นผู้บริหารกระทรวงฯในทุกระดับ คนดีไม่ได้รับการส่งเสริม คนดีถูกกลั่นแกล้ง คนดีถูกมองข้าม ----------------------------------------คนดีจะหมดกำลังใจ คนดีจะสูญหาย กระทรวงฯจะ......................? ๒. ความขาดแคลน/การกระจายแพทย์ ---ใคร(หน่วยงานใด/องค์กรใด)รับผิดชอบเรื่องนี้?-ทำไมถึงแก้ไม่ได้สักที หรือไม่ตั้งใจแก้? ---ใครรู้? ใครเห็น? ใครทำอะไร? ---อุปสรรค/ปัญหา คือ ๑-๒-๓-----? ---ต้องแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น(แล้ว)กับประชาชน และสังคม เพื่อให้ทุกฝ่ายผลักดัน -การรอเพื่อตรวจรักษา/วินิจฉัยที่รพศ/รพท.-ผู้ป่วยนอก-ผ่าตัดบางอย่าง-ตรวจพิเศษ -ความละเอียดในการตรวจรักษา(เวลาในการตรวจผู้ป่วยแต่ละราย)-นาที? -การที่ต้องถูกส่งตัวไปตรวจรักษา/วินิจฉัยจากรพช.ไปยังรพศ/รพท.(ความไม่สะดวก-ความล่าช้า-ผลการรักษาไม่ดี) -ความแออัดของผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวในรพศ/รพท.(เตียงเสริม) -ผู้ป่วยหนักไม่มีห้องไอซียูให้นอน ต้องนอนในหอผู้ป่วยรวม -ยาราคาถูกที่โรงพยาบาลจัดซื้อมาใช้รักษาผู้ป่วย คุณภาพดีหรือ? ---ข้อมูลเชิงประจักษ์ -การไหลออกของแพทย์-ภาพรวม-ภาพย่อย -ค่าตอบแทน/ภาระงาน -ความเสี่ยงต่อการถูกร้องเรียน/ฟ้องร้อง(จำนวน-ภาพรวม-ภาพย่อย---ความรุนแรง) -คุณภาพของผู้เลือกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์/สัดส่วนชาย:หญิง -การเลือกเรียนแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ -จำนวนผู้ป่วย(นอก/ใน)ของรพศ/รพท-จำนวนผู้ป่วยส่งต่อ -จำนวนผู้ป่วย(นอก/ใน)ของรพช-จำนวนผู้ป่วยส่งต่อ -จำนวนผู้ป่วยหนักในรพศ/รพท/รพช -การผ่าตัด/หัตถการในรพศ/รพท/รพช ๓. ระบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ---ผู้ป่วยไม่ต้องรับผิดชอบ---ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจรักษา---ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง---ร้องเรียนฟ้องร้องตามสบาย(ฟรีด้วย) ---โรงพยาบาลที่ส่งต่อผู้ป่วยไม่ต้องตามจ่าย---ส่งอย่างเดียว---ไม่อยากรับกลับ ---ผู้บริหารไม่ต้องรับผิดชอบ---ระดับโรงพยาบาล---ระดับกรมกองต่างๆ---ระดับกระทรวง? ๔. ประเด็นย่อย ๔.๑ ระบบการให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม? ๔.๒ มาตรฐานวิชาชีพ/การทำงาน? ๔.๓ ระบบการส่งต่อผู้ป่วย? ๔.๔ ระบบการสร้างสุขภาพ/ซ่อมสุขภาพ? ๔.๕ การแยกตัวออกจากกพ.? ๔.๖ ความผิดจากการประกอบวิชาชีพแพทย์ไม่เป็นคดีอาญา? เชิญชวนเพื่อนๆสมาชิก แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยครับ 310
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / รพ.เอกชนชื่อดังเมืองโคราชผ่าตัดต้อกระจกพ่อผู้พิพากษา ตาบอดสนิท-มติชน-5 กพ. 2553« เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2010, 01:01:53 »
จาก กรณีที่ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นายกฤษดา ศรีกัลยา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยนางเกษมศรี ศรีกัลยา ได้นำนายพินิจพงษ์ ศรีกัลยา อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/2 ถ.สุรนารายณ์15 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบิดา เดินทางเข้ายื่นหนังสือเพื่อร้องเรียนและขอความเป็นธรรม ต่อสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากนายพินิจพงษ์ ได้เข้าทำการผ่าตัดดวงตาข้างซ้าย เพื่อรักษาอาการโรคต้อกระจก ที่โรงพยาบาลเซ็นต์เมรี่ นครราชสีมา แล้วเกิดอาการบอดสนิท แต่ทางโรงพยาบาลกลับปัดความรับผิดชอบ ไม่ยอมทำการรักษาต่อโดยให้ไปหาทางรักษาเอาเองที่ รพ.แห่งอื่นแทน อีกทั้งยังไม่รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งที่จ่ายค่ารักษามีราคาสูงแต่กลับถูกปฏิเสธการรับผิดชอบในทุกด้าน โดยมีนายพลกฤต เนาว์ประโคน ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนครั้งนี้
นาย พินิจพงษ์ ศรีกัลยา ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองเริ่มมีอาการดวงตาฟ่าฟาง ซึ่งเชื่อว่า อาจจะเกิดจากการขับรถตอนกลางคืน จึงเข้าไปปรึกษาแพทย์ที่ รพ.เซ็นต์เมรี่ โดยแพทย์ระบุว่า เป็นตาต้อกระจก ถ้าจะรักษาให้หายขาดได้จะต้องทำการผ่าตัดดวงตาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งทางโรงพยาบาลจะคิดค่าผ่าตัดดวงตาข้างละ 17,000 บาท ตนจึงขอผ่าตัดทีละข้างก่อน และเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2552 ที่ผ่านมาได้ทำการผ่าตัดดวงตาข้างซ้าย ทั้งนี้หลังจากการผ่าตัดมีอาการปวดที่ดวงตา ทั้งที่กินยาที่แพทย์ให้มาสม่ำเสมอและปฎิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่ง ครัด จากนั้นอีก 3 วันเข้าไปปรึกษาแพทย์บอกเป็นอาการปกติ ขณะที่อาการปวดของตายังไม่หาย เวลาล่วงเลยผ่านไป 7 วัน จึงเข้าไปปรึกษาแพทย์อีกครั้ง แพทย์ก็ยังยืนยันว่า เป็นอาการปกติดี จากนั้นเวลาผ่านมาประมาณ 2 สัปดาห์ หลังผ่าตัดเกิดอาการปวดที่ดวงตาอย่างรุนแรง ตนจึงเข้าไปพบแพทย์อีก แต่ครั้งนี้แพทย์บอกว่าไม่สามารถรักษาอาการนี้ได้แล้ว พร้อมกับแนะนำให้ไปหาทางรักษาเองที่โรงพยาบาลแห่งอื่น ตนจึงให้บุตรชายพาไปรักษาต่อที่ รพ.ราชวิถี แพทย์วินิจฉัยว่าจอประสาทตาที่ทำการผ่าตัดนั้น เสื่อมแล้ว ตนมีความรู้สึกเสียใจมาก โชคยังดีที่ไม่ผ่าตัดทั้ง 2 ข้างตามคำบอกของแพทย์ ด้าน นายกฤษดา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ บุตรชายของนายพินิจพงษ์ฯ กล่าวว่า สาเหตุที่พาบิดาไปทำการรักษาที่ รพ.เอกชน เนื่องจากเชื่อว่า การให้บริการในหลายๆ ด้านสะดวกรวดเร็ว และน่าจะดีกว่า รพ.ของรัฐ จึงยอมควักเงินส่วนตัวทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษารวมกว่า 2 แสนบาท ทั้งที่ถ้าจะรักษาใน รพ.ของรัฐ ก็รักษาฟรีและสามารถเบิกได้ตามระเบียบ และหลังจากทราบผลการรักษาของบิดาแล้ว ตนได้พยายามติดต่อโรงพยาบาลเซ็นต์เมรี่ เพื่อให้ทำการรักษาต่อให้จนหายเป็นปกติ แต่ทาง รพ.กลับไม่สนใจบอกว่าให้ไปหาทางรักษาเอาเองที่ รพ.อื่นแทน และตนได้ทักท้วงให้ทาง รพ.แสดงความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เนื่องจากตนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง จึงอยากเรียกร้องให้ทาง รพ.ออกมาแสดงรับผิดชอบ เพราะทั้งหมดเกิดจากความผิดพลาดของทาง รพ.เอง ทั้งนี้หากบิดาของตนรับการผ่าตัดดวงตาทั้งสองข้าง ตามคำแนะนำของแพทย์ เชื่อว่ายิ่งจะทำให้การดำเนินชีวิตของบิดาตนเองมีความลำบากมากกว่านี้อย่าง แน่นอน ด้าน นายพลกฤต เนาว์ประโคน ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนว่า จากการตรวจพยานหลักฐานที่เห็นเบื้องต้น นั้นทางโรงพยาบาลน่าจะต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ หรือให้คำปรึกษาเพื่อหาทางออก ไม่ควรจะปฏิเสธอย่างเดียว อย่างไรก็ตามทางสภาทนายความ จะเร่งดำเนินการตามที่ผู้เสียหายร้องขอมา โดยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น 311
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หมอชนบทออกแถลงการณ์ต้านมศว.เปิดหลักสูตรแพทย์ภาษาอังกฤษ-มติชน-4กพ. 2553« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2010, 22:51:01 »
แถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท
ต่อกรณี มศว.จะเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ อันจะส่งผลในทางลบต่อการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในชนบท วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553 โดยนายแพทย์เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท สืบ เนื่องจากการที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้มีความพยายามที่จะเปิดหลัก สูตรแพทยศาสตร์นานาชาติ โดยให้เหตุผลเพื่อให้การแพทย์ไทยสามารถก้าวทันกระแสโลกได้ โดยได้ผลักดันผ่านสภามหาวิทยาลัยไปแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากแพทยสภา ซึ่งหากอนุมัติก็จะสามารถรับนักศึกษาแพทย์ได้ในปีการศึกษา 2553 นี้ ท่ามกลางการคัดค้านของกลุ่มคณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และความคลุมเครือไม่ชัดเจนต่อนโยบายการผลิตแพทย์นานาชาติของประเทศไทย ไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมาแพทยสภาก็ได้อนุมัติหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติของคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นที่เรียบร้อยอย่างเงียบ ๆ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 และจะมีการรับรองมติการประชุมในเดือนกุมภาพันธ์2553 นี้ โดยมีการเปลี่ยนชื่อเรียกจากหลักสูตรนานาชาติมาเป็นหลักสูตรโปรแกรมภาษา อังกฤษ (English program) เพื่อลดแรงต้านจากสาธารณะ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรนี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของนโยบายการผลิตบัณฑิตแพทย์ในสถาบัน ของรัฐของประเทศไทย แม้ว่าในเบื้องต้นหลักสูตรดังกล่าวจะระบุว่าผลิตบัณฑิตแพทย์เพียงแค่ปีละ 20 คน รับเฉพาะสัญชาติไทย เรียนจบต้องใช้ทุน 3 ปี เช่นเดียวกับแพทย์ในหลักสูตรอื่น อย่างไรก็ตามด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ค่าเล่าเรียนต่อปีของหลักสูตรนี้ที่มีราคาสูงถึงคนละ 1.2 ล้านบาทต่อปี ตลอด 6 ปีต้องใช้เงินเป็นค่าเล่าเรียนกว่า 7.2 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งย่อมจะสะท้อนให้เห็นว่า หลักสูตรนี้จะมีก็แต่ลูกหลานของคนมีเงินเท่านั้นที่มีโอกาสได้เข้าเรียนได้ ประกอบ กับมาตรการปกติในปัจจุบันที่บังคับให้ใช้ทุน 3 ปีนั้น หากบัณฑิตแพทย์คนใดไม่ประสงค์จะใช้ทุน ก็สามารถใช้เงินเพียง 4 แสนบาทเท่านั้น จ่ายคืนรัฐบาลเป็นการชดใช้ทุนแทน ซึ่งคิดเป็นปริมาณเงินที่จ่ายเพื่อที่จะไม่ต้องใช้ทุนเพียง 5% ของค่าเทอมตลอดหลักสูตรภาษาอังกฤษนี้เท่านั้น ซึ่งก็พอจะทำนายได้ว่า ยากที่บัณฑิตแพทย์ที่พ่อแม่ผู้มีอันจะกินลงทุนลงเงินมามากขนาดนี้จะให้ลูก หลานบัณฑิตแพทย์ไปใช้ทุนยังโรงพยาบาลที่มีความขาดแคลนในชนบท ใช้เงินอีกเพียง 4 แสนบาทในการชดใช้ทุนแทนการออกไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนก็เป็นเรื่องที่ ไม่ยากเย็นเลยและ ที่สำคัญกว่านั้น การผลิตบัณฑิตแพทย์ด้วยการเก็บค่าเทอมสูงถึง 1.2 ล้านบาท/ปีนั้น เป็นเงินที่สูงมากนั้น น่าจะเป็นการมุ่งเน้นการทำรายได้ให้กับคณะและผู้บริหารของคณะมากกว่าที่จะ เกิดประโยชน์ใดๆกับสังคมไทย การเรียนแพทย์ต้องมีการฝึกเย็บแผลผ่าตัดจริงกับผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยที่มาเป็นเสมือนผู้ เสียสละให้นักศึกษาแพทย์ฝึกฝนความเชี่ยวชาญ จนเมื่อเก่งแล้วจบการศึกษาแล้วก็หวังว่าจะได้เป็นที่พึ่งของประชาชนคนธรรมดา ต่อไป แต่การเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์โปรแกรมภาษาอังกฤษครั้งนี้ กลับเป็นการตอบสนองกระแสการผลิตแพทย์เพื่อการพานิชย์อย่างชัดเจน มศว.เป็น มหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นองค์กรที่ควรจะเป็นแบบอย่างในการผลิตแพทย์เพื่อดูแลคนไทย โดยเฉพาะคนไทยในชนบทที่ยังขาดแคลนแพทย์อยู่อีกมาก มศว.มิต้องเป็นห่วงการแพทย์เชิงพานิชย์ว่าจะไม่มีแพทย์ที่เก่งภาษาอังกฤษมา เข้าสู่ระบบ เพราะสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็มีภาวะสมองไหลจากชนบทสู่เมือง จากโรงพยาบาลรัฐสู่โรงพยาบาลเอกชน และจากประเทศไทยสู่ประเทศตะวันตกอยู่แล้ว โดยที่มีต้องไปผลิตแพทย์เป็นการเฉพาะเพื่อป้อนตลาดระดับบน มศว.ใน อดีตได้ผลิตแพทย์ที่มีอุดมการณ์ในการดูแลประชาชนในชนบทอย่างทุ่มเทหลายคน ที่โดดเด่นมากคือ นายแพทย์วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ แพทย์มศว.รุ่น 1 ซึ่งจบแล้วก็อาสาไปทำงานดูแลประชาชนที่ยากไร้ในพื้นที่ชายแดนที่กันดารที่สุดที่โรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปี นี่คือต้นแบบและภารกิจที่ คณะแพทย์ มศว. ควรทำมากกว่าหลักสูตรแพทย์ภาษาอังกฤษที่ไม่ได้มีไว้เพื่อการตอบสนองความต้อง การของสังคมไทย ชมรม แพทย์ชนบทเห็นว่า การเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์โปรแกรมภาษาอังกฤษดังกล่าว มีความรีบเร่งในการอนุมัติหลักสูตรโดยขาดความรอบคอบและขาดการตรวจสอบจาก สาธารณะถึงข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วน การผลิตแพทย์เพื่อตอบสนองการแพทย์พานิชย์นั้นจะส่งผลในเชิงลบต่อระบบการ กระจายแพทย์ในระยะยาว และการอนุมัติในครั้งนี้จะส่งผลให้มหาวิทยาลัยอื่นๆเอาเป็นแบบอย่างได้ จนเชื่อว่าจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ต่อไปในอนาคตมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของรัฐอาจสนใจผลิตแพทย์หลักสูตรภาษา อังกฤษมากกว่าหลักสูตรปกติก็เป็นได้ เพราะมีผลประโยชน์และสร้างรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยมากกว่าหลักสูตรการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนค่าเทอมเพียงปีละ 3 แสนบาทเท่านั้น ชมรมแพทย์ชนบทขอเชิญชวนคณาจารย์ชาวศรีนครินทรวิโรฒ ศิษย์เก่าของ คณะแพทย์ มศว. รวมทั้งนิสิตแพทย์ทุกคน ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นคัดค้านการตัดสินใจที่มุ่งประโยชน์ของคนส่วนน้อยใน ครั้งนี้ และขอเชิญร่วมชื่นชมและเป็นกำลังใจกับอาจารย์ 6 ท่านที่กล้าออกมาสะท้อนความไม่ชอบธรรมในครั้งนี้ต่อสาธารณะ ดังนั้นชมรมแพทย์ชนบทจึงขอเรียกร้องต่อสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยศรีนคริน ทรวิโรฒ ได้ทบทวนการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ และขอให้แพทยสภายุติการอนุมัติหลักสูตรดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในระยะยาว วันนี้ แพทยสภามีแนวทางในการแก้ปัญหาสมองไหลจากชนบทสู่เมือง และการแก้ปัญหาความขาดแคลนแพทย์ในชนบทอย่างไร สิ่งนี้คือภารกิจของแพทยสภามากกว่าการไปผลิตแพทย์เพื่อตอบสนองการแพทย์พานิชย์อย่างเช่นหลักสูตรนี้ 312
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หวั่นกำลังซื้อคนไข้ต่างชาติทำคนไทยไม่ได้รับรักษาพยาบาลมีคุณภาพ-มติชน-4 กพ. 2553« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2010, 22:49:03 »
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยผลวิจัยพบ โรงพยาบาลเอกชนปรับตัว ชูจุดขาย "ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพ" ของภูมิภาคเอเชีย (Medical Hub) ให้บริการรักษาคนไข้ต่างชาติกำลังซื้อสูง ส่งผลแพทย์และพยาบาลสมองไหลออกจากระบบ กระทบโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นักวิชาการหวั่นหากไม่เร่งแก้ปัญหาอาจเหลือแต่แพทย์มือใหม่ไว้รักษาคนจน แนะเร่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์เสริมเข้าสู่ระบบหรือเปิดรับแพทย์ต่างชาติ เข้ามารักษาคนไข้ต่างชาติเพื่อลดผลกระทบ
ปัจจุบันกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเติบโตเป็นศูนย์กลางสุขภาพของภูมิภาค (Medical Hub) ชั้นแนวหน้าของเอเชียเทียบชั้นประเทศต้นแบบอย่างสิงคโปร์ (ซึ่งไทยก็แซงหน้าด้านจำนวนคนไข้ไปแล้วด้วย) ได้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวของโรงพยาบาลเอกชนมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 และตั้งแต่ปี 2546 ทุกรัฐบาลก็มีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของทวีปเอเชีย แต่ความสำเร็จนี้กลับส่งผลกระทบกับการโครงการหลักประกันสุขภาพต่าง ๆ จากปัญหาราคาค่ารักษาที่สูงขึ้น และยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ ทันตแพทย์และพยาบาลรุนแรงขึ้น ทั้งนี้จากการศึกษาเรื่อง "แนวทางการพัฒนาศูนย์กลางสุขภาพของประเทศไทย (Thailand Medical Hub"ซึ่งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มอบหมายให้ รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง จากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ รศ.นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำการศึกษา พบว่าโรงพยาบาลเอกชนปรับตัวหันมาให้บริการคนไข้ชาวต่างชาติที่มาทำงานและ ท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากขึ้นเป็นลำดับ และหลังจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของบริการทางด้านสุขภาพ ของเอเชีย พบว่าในปัจจุบันมีคนไข้ชาวต่างชาติที่รับการรักษาในประเทศไทย (รวมนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่มาทำงานหรือตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคนี้) มากถึงปีละ 1.4 ล้านคน การปรับตัวของโรงพยาบาลเอกชนเพื่อรองรับคนไข้กลุ่มนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มที่เน้นการรักษาด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลก กลุ่มที่เน้นการรักษาที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของสถานพยาบาล (เช่น ในด้านศัลยกรรมตกแต่ง) กลุ่มที่เน้นการรักษาด้วยเทคโนโลยีระดับสูงแต่ยังอยู่ในขั้นทดลอง (เช่น การรักษาด้วยเซลล์ต้นแบบหรือ Stem Cell) กลุ่มที่เน้นการรักษาด้านทันตกรรม และกลุ่มที่เน้นการให้บริการตรวจสุขภาพ โดยใช้วิธีการทำตลาดในต่างประเทศที่หลากหลาย ทั้งการใช้ตัวแทนในประเทศและต่างประเทศ หรือบางแห่งทำตลาดด้วยตนเอง รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า การขยายตัวของการให้บริการทางการแพทย์กับชาวต่างชาติมีผลกระทบทั้งในด้านบวก และด้านลบ โดยในด้านเศรษฐกิจนั้น บริการนี้ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มประมาณร้อยละ 0.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่การที่คนไข้ชาวต่างชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้ปัญหาการขาดแคลน บุคลากรทางการแพทย์ (โดยเฉพาะแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล) มีความรุนแรงมากขึ้น การที่ชาวต่างชาติเข้ามาพร้อมกับกำลังซื้อที่สูงกว่าคนไทยมากมีส่วนสำคัญใน การดึงดูดแพทย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งอาจารย์แพทย์และทีมงานจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปสู่โรงพยาบาลเอกชนกลุ่มที่เน้นการรักษาคนไข้ต่างชาติมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการผลิตแพทย์ในระยะยาว การที่มีกำลังซื้อเข้ามาอย่างมากมีส่วนที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล เอกชนเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นในระยะหลัง และมีแนวโน้มที่จะทำทั้งในสถานพยาบาลและโครงการหลักประกันสุขภาพต่าง ๆ ของรัฐ (ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ หรือ โครงการประกันสังคม) มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในการรักษาบุคลากรไม่ให้ถูกดึงออกไปมากจนเกิดผลกระทบ รุนแรงต่อคุณภาพบริการของโครงการเหล่านี้ ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาสมดุลของผลกระทบในด้านบวกและลบนี้ คณะผู้วิจัยได้จัดทำข้อเสนอแนะหลายประการ โดยนอกจากเสนอให้ผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอย่างเต็มที่แล้ว ยังเสนอให้ปรับปรุงกฎระเบียบของแพทยสภาให้เอื้อกับการนำแพทย์ชาวต่างชาติที่ มีคุณภาพเข้ามาเพื่อบรรเทาผลกระทบในด้านการขาดแคลนบุคลากรซึ่งมีความรุนแรง มากขึ้นจากการที่มีคนไข้ต่างชาติเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย เพิ่มขึ้น และในกรณีที่จำนวนคนไข้ต่างชาติกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็เสนอให้เก็บค่าธรรมเนียมพิเศษเฉพาะจากคนไข้ต่างชาติที่มีจุดประสงค์หลักใน การเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับบริการด้านรักษาพยาบาล แล้วนำรายได้ส่วนนี้มาอุดหนุนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มและช่วยเพิ่ม แรงจูงใจในการรักษาและเพิ่มจำนวนอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงเรียนแพทย์ ด้วย "ปัจจุบันเราก็มีปัญหาขาดแคลนแคลนบุคลกรทางการแพทย์อยู่แล้ว ถ้าบุคลากรจำนวนมากต้องไปให้บริการคนไข้ต่างชาติอีก ก็จะยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น อีกทั้งแพทย์ที่จะไปรักษาคนต่างชาติมักเป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ทาง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนเป็นสิบปี การที่อาจารย์แพทย์เหล่านี้ถูกดึงไปรักษาคนไข้ต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงก ว่า ก็จะมีผลกับคุณภาพการเรียนการสอนของแพทย์ไทยด้วย และการดึงแพทย์ระดับรองลงมาให้อยู่ในระบบของภาครัฐก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ตามไปด้วย ซึ่งผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องนำเรื่องเหล่านี้มาพิจารณาด้วย" รศ.ดร.อัญชนา กล่าว พร้อมกับบอกว่า ปัญหาวิกฤติทางการเมืองในประเทศไทยอาจทำให้ผู้ป่วยต่างชาติจำนวนหนึ่งยังไม่ กล้าเข้ามารักษา แต่เมื่อวิกฤตินี้หายไป ธุรกิจนี้ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และถ้าภาครัฐไม่มีมาตรการรับมือ ก็อาจเกิดปัญหาตามมามากมายทั้งในด้านการขาดแคลนแพทย์ที่รักษาคนไทย ค่ารักษาพยาบาลสำหรับคนไทยก็จะแพงขึ้น และที่สำคัญต้นทุนของโครงการหลักประกันสุขภาพต่างๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าจะลดผลกระทบเหล่านี้ นอกจากการเร่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นรวมถึงควรเปิดโอกาสให้แพทย์ ชาวต่างชาติเข้ามาด้วยแล้ว รัฐบาลควรหันไปเน้นการสนับสนุนธุรกิจเชิงสุขภาพอื่นๆ เช่น สมุนไพร สปา หรือการนวดแผนไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยส่งผลกระทบด้านลบต่อการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล ของคนไทยมากเหมือนกับการส่งเสริมธุรกิจด้านการรักษาพยาบาล 313
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หนังสือกล่าวโทษ สปสช. (ต่อ ปปช.) โดย พญ.เชิดชู-พญ.อรพรรณ์« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2010, 13:58:43 »
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
เรื่อง ขอกล่าวโทษ เรียน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้าพเจ้า แพทย์หญิงเชิดชู อริยศรีวัฒนา อายุ ๖๔ ปี อาชีพข้าราชการบำนาญ อยู่บ้านเลขที่ ๙๙๙/๓๘ หมู่ ๒ แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และแพทย์หญิงอรพรรณ์ เมธาดิลกกุล อายุ ๕๔ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๓๖/๖ หมู่ ๑๗ แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มีความประสงค์จะขอกล่าวโทษ ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งดำรงตำแหน่งและเคยดำรงตำแหน่งคณะกรรม การหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหรือในสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ ข้อ๑. เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕ จนถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๓ วันและเวลาใดไม่ปรากฏแน่ชัด ได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐประกอบด้วยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้กำหนดอัตราเงิน เดือนบุคลากรได้เอง โดยต่างก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้อำนาจไว้ ปัจจุบันเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีเงินเดือนๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท(สองแสนบาทถ้วน) ส่วนบุคลากรคนอื่นๆ ก็จะมีเงินเดือนและค่าตอบแทนสูงกว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อ ๒. เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕ จนถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๓ วันและเวลาใดไม่ปรากฏแน่ชัด คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกันกระทำความ ผิดต่อกฏหมาย โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติเห็นชอบ อนุมัติแผนการเงินให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปทำงานวิจัย และงานประชาสัมพันธ์ โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีกฎหมายใดกำหนดอำนาจ หน้าที่ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผู้กระทำการดังกล่าว ทำให้ต้องสูญเงินไปนับหลายล้านบาทเข้าข่ายเป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อ ๓. เมื่อระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๕๒ จนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ วันเวลาใดไม่ปรากฏแน่ชัด คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมกันกระทำความผิด โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติเห็นชอบอนุมัติแผนการเงินให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปทำโครงการ การจัดบริการหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์ ระยะที่ ๒ (CMU Tract 2) ในปีงบประมาณ ๒๕๕๐ โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีกฎหมายใดกำหนดอำนาจ หน้าที่ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผู้กระทำการดังกล่าว ทำให้ต้องสูญเงินไปนับหลายล้านบาทเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อ ๔. เมื่อระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๕๒ จนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ วันเวลาใดไม่ปรากฏแน่ชัด ภายหลังที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ มีมติเห็นชอบอนุมัติแผนการเงินให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินงการ การจัดบริการหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์ ระยะที่ ๒ (CMU Tract 2) ในปีงบประมาณ ๒๕๕๐ แล้ว เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และรองสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(นายประทีป ธรกิจเริญ) ได้ร่วมกันบริหารโครงการดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีกฎหมายใดกำหนดอำนาจหน้าที่ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผู้กระทำการดังกล่าว ทำให้รัฐต้องเสียหายไปหลายล้านบาทเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อ ๕. เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ นายแพทย์มงคล ณ สงขลา ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งในการออกข้อบังคับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ ว่าด้วยพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๐ ในข้อ ๑๒ โดยให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ มีอำนาจในการอนุมัติการจัดหาพัสดุประเภทยาเช่น ยาต้านไวรัสเอดส์จากองค์การเภสัชกรรม ในวงเงินครั้งละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีอำนาจเช่นนั้น และรู้อยู่แล้วว่าไม่มีกฎหมายใด ให้อำนาจเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ เป็นผู้มีหน้าที่ซื้อยาให้แก่หน่วยบริการ (โรงพยาบาล) รายละเอียดปรากฎตามสำเนาข้อบังคับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ ว่าด้วยพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๐ การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อ ๖. เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๒ รองเลขาธิการสำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติ(นายประทีป ธรกิจเจริญ) ได้อาศัยอำนาจในตำแหน่งรักษาการแทนรองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ออกประกาศรองเลขาธิการสำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การบริหารงานงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าจูงใจให้บุคลากรของผู้ให้บริการ ทั้งๆที่ไม่มีอำนาจ หน้าที่ให้กระทำการเช่นว่านั้น ทำให้รัฐเสียหาย เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท จึง เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้าพเจ้าทั้งสองจึงขอกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวข้างต้นว่า เป็นผู้กระทำความผิดทางอาญา ขอท่านได้โปรดรับเรื่องกล่าวโทษฉบับนี้ไว้พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป 314
ข่าวสมาพันธ์ / สมาพันธ์แพทย์ รพศ/รพท. ขอเชิญประชุมใหญ่ในวันศุกร์ที่ 12 กพ นี้« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2010, 13:53:20 »
สมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท. แห่งประเทศไทย
ร.พ.บุรีรัมย์ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 เรื่อง ขอเชิญประชุมเรื่อง“ ความคืบหน้าค่าตอบแทนของบุคลากรรพศ./รพท.” เรียน ประธานองค์กรแพทย์หรือตัวแทน รพศ./รพท. เนื่องจากในเดือนพฤศจิกายน 2552 มีหนังสือทักท้วงจากสตง. ให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนแก่บุคลากร รพศ./รพท.(ฉบับที่ 7) และให้พิจารณายกเลิก ฉบับที่ 8 ทำให้เกิดความสับสน ปลัดฯให้ผู้อำนวยการร.พ.แต่ละที่พิจารณาเอง บางร.พ.ถือโอกาสหยุดจ่ายชั่วคราว บางร.พ.ขู่ว่าจะมีการเรียกเงินคืน เพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง และร่วมกำหนดบทบาทของสมาพันธ์ฯ ในการผลักดันให้ผอก.ร.พ. จ่ายค่าตอบแทน ตามฉบับที่7 อย่างเท่าเทียมกันทั่วทั้งประเทศ และกำหนดรูปแบบการประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูล ในภารกิจสำคัญอื่นๆที่เกี่ยวข้องในการจรรโลงธรรมาภิบาล ในกระทรวงสาธารณสุข ในการบริหารงบประมาณของสปสช. รวมทั้งการแยกข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขออกจาก ก.พ. ต่อไป จึงขอเชิญท่านหรือตัวแทน เข้าร่วมประชุม ในวันศุกร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุมนายแพทย์ไพจิตร ปวะบุตร อาคาร 7ชั้น 9 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาเข้าร่วมประชุม ในวันและเวลา กล่าว ขอแสดงความนับถือ ( พญ.พจนา กองเงิน ) ประธานสมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท.แห่งประเทศไทย ************ในวันเดียวกัน มีการเชิญแพทย์เข้าประชุมเรื่องจริยธรรม เกี่ยวกับ stem cell ของแพทยสภา(เช้าถึงเที่ยง) ขอให้เพื่อนๆแจ้งชื่อเข้าประชุมของแพทยสภา(มาประชุมได้ โดยมีสิทธิเบิกเบี้ยเลี้ยง+ค่าเดินทาง คิดว่าประัธานองค์กรแพทย์ของทุกโรงพยาบาลน่าจะได้หนังสือเชิญแล้ว ตอบตกลงที่จะเข้าร่วมประชุมเลย) กินมื้อเทีียงเสร็จ สมาพันธ์ฯก็ประชุมกันต่อเลย ประหยัดเวลา และงบ จะได้คุยกันในเรื่องที่พวกเราต้องทำกันต่อในหลายๆเรื่อง เพื่อนๆมีเรื่องใดที่คิดว่าสำคัญ น่าสนใจ ก็เตรียมนำเสนอกันได้ 315
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / อาจารย์หมอ มศว.โวย แพทยสภา ข่มขู่คุกคาม-ไทยรัฐ-วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553« เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2010, 22:38:27 »
จากกรณี แพทยสภาได้มีมติอนุมัติในหลักการ ของหลักสูตรแพทยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ แทนหลักสูตรแพทย์ศาสตร์นานาชาติ ที่เสนอโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ม.ค.และจะมีการรับรองมติในการประชุมวันที่ 12 ก.พ. ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่าจะส่งผลต่อการผลิตแพทย์ที่จะไปรักษาคนไทยในชนบท โดยเฉพาะกลุ่มคณาจารย์ 6 ท่าน จากคณะแพทยศาสตร์ มศว ได้ออกมาคัดค้านการอนุมัติหลักสูตรดังกล่าวนั้น
นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว ) กล่าวเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ผู้บริหารของแพทยสภาได้ส่งอีเมล์ถึงกรรมการแพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และ ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มศว ที่เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เพื่อขอแนวทางปฏิบัติ ต่อกลุ่มคณาจารย์ 6 คนจากคณะแพทยศาสตร์ มศว ที่นำเสนอบทความบทบาทแพทยสภากับการผลิตบัณฑิตแพทย์เพื่อคนไทย โดยระบุว่า เป็นการกล่าวหาแพทยสภาที่ไม่ถูกต้องนัก จากนั้นคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มศว ยังได้มีการเผยแพร่อีเมล์ดังกล่าว ไปยังหัวหน้าภาควิชาทุกคนของคณะแพทย มศว พร้อมกับข่าวที่กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์สนับสนุนหลักสูตรดังกล่าวด้วย อาจารย์ ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทย์ศาสตร์ มศว กล่าวต่อว่า การที่มีการเวียนอีเมลล์ฉบับดังกล่าวที่ระบุว่า "เพื่อขอแนวทางปฏิบัติ" ในการดำเนินการกับแพทย์ที่คัดค้าน เหมือนเป็นการขู่ และคุกคามว่าอย่ามายุ่ง หรือคัดค้านหลักสูตรนี้ เพราะอาจจะถูกดำเนินการอะไรบางอย่าง เพื่อให้เกิดความกลัวหรือไม่ แม้ว่าในหนังสือดังกล่าวจะไม่ได้บอกว่า จะฟ้องร้องหรือสอบสวนใดๆ แต่ก็ไม่ได้กลัว เพราะหากกล้าพูดต้องกล้ารับผิดชอบต่อคำพูด นพ.สุธี ร์ กล่าวอีกว่า การแสดงออกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการว่ากล่าวตัวบุคคล แต่เป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการเท่านั้น หากหนังสือดังกล่าวมาจากแพทยสภาจริง จะสะท้อนถึงวุฒิภาวะของแพทยสภามากกว่า เพราะหากเป็นคนที่มีวุฒิภาวะก็ควรจะเชิญให้กลุ่มแพทย์ทั้ง 6 คน ที่ไม่เห็นด้วยเข้าให้ข้อมูล หรือ รับฟังความคิดเห็น อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องร้องจริงคงต้องหาคนช่วย เพราะเป็นอาจารย์แพทย์แสดงความคิดเห็นทางวิชาการ จึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และการอนุมัติหลักสูตรแพทยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ถือเป็นการเลี่ยงทุกวิธีทางที่จะให้หลักสูตรดังกล่าวออกมาให้ได้มากกว่า "คง ต้องพิจารณาว่ามีการเปลี่ยนหรือปรับหลักสูตรอย่างไรหรือไม่ แต่หากเป็นหลักสูตรเดิมก็ถือว่า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยที่ต้องการหลักสูตรนานาชาติ เพื่อให้ชาวต่างชาติเข้ามาเรียน ดังนั้น หลักสูตรดังกล่าวควรมีการนำกลับเข้ามาที่คณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร เพื่อปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสม ไม่ใช่เป็นการพูดคุยกันระหว่างแพทยสภากับคณบดีแพทย์ มศว เท่านั้น" อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ มศว กล่าว ด้าน นายชัยรัตน์ แสงอรุณ กรรมการมูลนิธิ และที่ปรึกษาศูนย์ทนายอาสาของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ขณะนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และศูนย์ทนายอาสา กำลังเกาะติดเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะถือว่าเป็นการแสดงความเห็นที่เกี่ยวพันกับผู้บริโภคโดยตรง หากแพทยสภาจะเอาผิด หรือดำเนินการทางกฎหมายกับคณาจารย์ทั้ง 6 คนที่ออกมาคัดค้านหลักสูตรฯ ดังกล่าว ศูนย์ฯพร้อมให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ขณะที่ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า การเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติ จริงๆ แล้วเท่ากับการเปิดโรงเรียนแพทย์เอกชนในโรงเรียนแพทย์ของรัฐ ใช้ทรัพยากรของรัฐ อาจารย์ของรัฐ เพื่อหารายได้เข้ามหาวิทยาลัย การเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติควรทำในโรงเรียนแพทย์เอกชน ไม่ใช่มาทำในโรงเรียนแพทย์ของรัฐ เพราะไม่ใช่ภารกิจของรัฐบาล เลขาธิการ มูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ไม่เป็นการสนับสนุนการกระจายแพทย์ไปสู่ชนบท แต่จะทำให้ช่องว่างทางสังคม คือ คนรวยที่ลูกสอบแพทย์ไม่ได้จะสมัครมาเรียน แพทย์ในหลักสูตรนานาชาตินี้มากขึ้น เพราะไม่ต้องส่งลูกไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศแล้ว |