สยามรัฐรายวัน พุธนี้ (๑๘ สิงหา)
เสียงจากคุณหมอ : จ่ายแล้วต้องจบจริงๆ
แก้วสรร อติโพธิ
...
หลังจากไทยแลนด์ฟอรั่ม ฉบับ ตัณหานักบุญ ? ๑๒-๑๕ สิงหา ได้ผ่านพ้นไป ผมก็ได้รับ
ความเห็นจากคุณหมอผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่นำเสนอว่าการจัดการความเสี่ยงในการรักษาพยาบาลครั้งนี้
น่าจะยังผลกระทบระบบทั้งระบบเลยก็ได้ ผมอ่านแล้วก็เห็นว่าเป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่ควร
รับฟังประกอบการพิจารณา จึงขอถ่ายทอดมายังเราๆท่านๆ ที่ยังไงก็ต้องเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดังนี้
เรียน อ.แก้วสรร ที่รัก
ผมได้อ่านข้อความที่ลงใน Thailand Forum 12-15 ส.ค. แล้ว และอ่านซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ผมเลยเกิดความคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งด้วยครับ
ขอให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะรับร่าง พรบ.คุ้มครองฯ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
ร่าง พรบ. ที่จะจ่ายเงินให้ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ (ร่าง พรบ.เรียกว่าผู้เสียหาย) จากการรับบริการสาธารณสุขนั้น ดูอย่างผิวเผินน่าจะเรื่องที่ดีมากๆ เลย แต่ มันเป็นไปได้หรือครับในเนื้อหาและวิธีปฏิบัติ ตามร่าง พรบ.ฉบับนี้ ที่ จะมีแต่ได้กับได้ มันจะไม่มีเสียเลยหรือ? ลองพิจารณาดูนะครับ
1. ผู้ป่วยที่มารับการรักษา สิ่งแรกที่ผู้ป่วย คาดหวังคือ อยากจะหายจากโรค หมอและโรงพยาบาลร้อยทั้งร้อยก็อยากจะให้ผู้ป่วยหายจากโรค เช่นกันแต่รักษาไปแล้ว หายจากโรคก็มีมาก ไม่หายก็มีไม่น้อย เลวลงและมีโรคแทรกก็มีบ้าง เสียชีวิตก็มีเช่นกัน พวกที่ไม่หายจนถึงตาย สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือไหม??? และถ้าช่วยจะช่วยอย่างไร
2. ถ้าคิดแบบก่อนๆ ก็บอกว่ามันเป็นกรรมเก่า คนคลอดกันเยอะแยะไม่เป็นอะไร แต่ภรรยาเราไปคลอดกลับตายทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าคิดว่าเป็นกรรมเก่ามันก็คงจบเรื่อง แต่ถ้าคิดว่าทำไมภรรยาเราตาย แต่ภรรยาคนอื่นทำไมไม่ตาย? ก็มีช่องทางให้อยู่แล้ว (นอกเหนือจากการเจรจากับแพทย์และโรงพยาบาลซึ่งอาจจะตกลงกันได้ก็ได้) คือ
1. การฟ้องร้องคดีผู้บริโภค ซึ่งง่ายมากไม่ต้องใช้ทนาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เจ้าหน้าที่ที่ศาลจะเขียนคำฟ้องให้เอง แล้วรอคอยการไกล่เกลี่ยและถ้าไม่สำเร็จเพราะได้เงินมาไม่พอใจ ก็รอการตัดสินของศาล หรือ
2. แจ้งความตำรวจ ให้ดำเนินคดีอาญา หรือถ้าไม่อยากรออัยการฟ้องก็
3. นำคดีขึ้นสู่ศาลเอง เพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ (ซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่เห็นศาลก็จะประทับรับฟ้อง หมอก็คงเป็นจำเลยในคดีอาญานี้ และต้องต่อสู้กันในศาลต่อไป ซึ่งกรณีเช่นนี้ทำให้คุณหมอขวัญเสียมาก เพราะถึงแม้หมอจะชนะแต่ก็ขวัญเสียไปแล้วและคงถอดใจที่จะรักษาต่อไป)
3. ถ้าคิดว่าผู้ป่วยเป็นผู้ที่น่าสงสาร ต้องได้รับการช่วยเหลือ อยากจะช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหนอย่างไร รัฐบาลก็จัดวงเงินมาให้เพื่อจ่ายให้ผู้ป่วย (หรือญาติ) ตามสภาพที่เป็นอยู่ก็สามารถทำได้ โดยจ่ายให้เพราะผู้ป่วยเป็นผู้ที่น่าสงสาร เป็นผู้มีเคราะห์กรรม ก็เป็นสิ่งที่น่ากระทำนะครับ เพราะปัจจุบันนี้รัฐบาลก็ดูแลสงเคราะห์ผู้ที่น่าสงสารอยู่แล้ว คนแก่ได้ 500 บาท/เดือน พิการได้ 500 บาท/เดือน ทั้งแก่ด้วยพิการด้วยได้ 1,000 บาท/เดือน รักษาฟรี การศึกษาฟรี รถประจำทางฟรี, รถไฟฟรี ค่าไฟฟ้าฟรี ค่าน้ำฟรี เพิ่มอีก 1 อย่าง ไม่เห็นจะสิ้นเปลืองเพิ่มเติมอะไรและจะควบคุมว่าปีหนึ่งจะให้เท่าไรก็ได้ เพราะสำนักงบประมาณเป็นผู้กำหนดวงเงิน
4. แต่ถ้าสร้างระบบที่จ่ายให้ผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลและแพทย์อีก ต้องเรียกแพทย์มาให้การ ต้องไปให้โรงพยาบาลรายงานว่าจะปรับปรุงอย่างไร ทั้งๆที่ในขณะที่เวลานี้โรงพยาบาลมีขบวนการพัฒนาดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยและความเสี่ยงอยู่ทุกโรงพยาบาลอยู่แล้ว อยู่ดี ๆ ก็ไปเพิ่มภาระให้ทางโรงพยาบาลอีก โดยเฉพาะโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขมีงานล้นมาก แต่ก็ตั้งใจทำสุดความสามารถของมนุษย์ (ไม่ใช่ทำชุ่ย ๆ) แต่ว่า ยิ่งงานมากผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ก็จะมีจำนวนมากเป็นเงาตามตัวและก็ต้องไปให้การต้องเขียนแผนการแก้ไขมากราย ซึ่งต้องใช้เวลาทั้งนั้น รักษาผู้ป่วยก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว ต้องมีภาระเพิ่มเติมอีก ผลสุดท้ายจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้ออกแบบระบบให้แพทย์และโรงพยาบาลอยากจะทำงานช่วยผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะมีกำลังทำได้ กลับกลายเป็นว่าทำมาก ๆ ไปทำไม เสี่ยงมากก็มีเรื่อง ต้องเข้าให้การมาก ต้องเขียนแผนการแก้ไขมาก สู้ทำน้อย ๆ ทำโรคง่าย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ ?
ถ้าเมื่อไรแพทย์และโรงพยาบาลทั้งหมดคิดอย่างนี้ผมว่าผู้ป่วยลำบากแน่นอน จึงมีความเห็นว่า อยากจะจ่ายให้ใครเท่าไรก็จ่ายไปเถอะครับ แค่อย่ามาทำให้แพทย์โรงพยาบาลยุ่งไปมากกว่านี้
5. ถ้ากองทุนมาจากภาษีก็คงจะไม่มีเรื่อง แต่ถ้าต้องไปเก็บจากโรงพยาบาลคนไข้ยิ่งมามากโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายให้กองทุนมาก ดูมันสวนทางกับความเป็นจริงยังไงก็ไม่รู้ ถ้ายังงั้น ให้มาน้อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ? ผู้ป่วยในก็รับตามจำนวนที่มีอยู่ ตามโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ ที่ตั้งเตียงเสริมไว้ตามระเบียงตามทางเดินก็จะค่อยๆ หายไป ผู้ป่วยก็จะต้องเดือดร้อนอีก
ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบัตรทอง ประกันสังคม ที่เป็นทางเลือกของประชาชนก็ต้องเก็บเงินส่งเข้ากองทุน โรงพยาบาลคิดราคาตามต้นทุนอยู่แล้ว ถ้าต้นทุนสูงขึ้นการคิดราคาก็สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปรกติถ้าต่อครั้งไม่มากนัก คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยก็จะเดือดร้อนโดยไม่ได้รับอะไรชัดเจน ที่จับต้องได้ เพราะโดยปรกติแล้ว ต้นทุนสูงขึ้น จากการที่มีแพทย์ให้เลือกมากขึ้น มีเครื่องมือใหม่ๆ ทันสมัยมีสถานที่สะดวกสบายเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยสามารถจับต้องได้ และได้รับโดยตรง แต่ต้นทุนสูงขึ้นประเภทนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่จ่ายไป จะไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลย
ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า วัตถุประสงค์เดียวและแท้จริง ของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์นั้น ต้องการมารักษาโรค ซึ่งอาจจะหายบ้างไม่หายบ้าง ตายบ้างก็ตามสภาพที่มีความหลากหลาย และมีเงื่อนไขและองค์ประกอบเยอะมากๆ เราคงไม่ได้มาโดยตั้งใจว่าถ้ามันไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ ก็จะมีการตอบแทนให้ในรูปแบบของการช่วยเหลือ และชดเชย แต่ถ้ามีกฎหมายว่าด้วยการช่วยเหลือและชดเชยแล้ว ซึ่งแน่นอนเลยว่า ผู้ได้รับช่วยเหลือและชดเชยอาจจะมีน้อยครั้ง ซึ่งไม่น่าจะเกิน 1% ของจำนวน 200 ล้านครั้ง ของการมารับบริการสาธารณสุข แต่กลับไปปรากฏว่าทำให้เกิดความกังวล ความไม่แน่ใจ ความไม่เต็มใจ ในการรักษาพยาบาล ดังนั้น ประชาชนคนไทยทั้ง 64 ล้านคน ที่ไปรับการรักษาปีละกว่า 200 ล้าน ก็ต้องเป็นผู้เสียประโยชน์อย่างแน่นอน (กรุณาอ่านข้อ 4 อีกครั้งหนึ่ง) แล้วเหตุไฉนจึงจะให้มันเกิดขึ้นละครับ ช่องทางที่จะให้การช่วยเหลือก็สามารถทำได้ตามข้อ 3 มาเป็นร่าง พรบ.ใหม่ หรือจะเอา ม.๔๑ ซึ่งได้ดูแล 47 ล้านคนมาแก้ไขเพิ่มเติมจนครอบคลุมทั้ง 63 ล้านคน โดยที่จะเพิ่มเติมเงินเป็นเท่าไรก็ให้สำนักงบประมาณกำหนดให้เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะของประเทศ
ข้อคิดข้อเสนอของผมนี้ อาจจะไม่ถูกใจคนบางกลุ่มที่ตั้งใจว่า ถ้าโรงพยาบาลและหมอทำไม่ดีต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนตามอำนาจศาลเตี้ย (เพราะไม่ได้เอาความรู้เฉพาะวิชาชีพมากำหนดเป็นมาตรฐาน) และนอกเหนือจากนี้แล้วก็อยากที่จะมีอำนาจในการให้โรงพยาบาลเขียนแผนที่จะพัฒนาและปรับปรุงมาให้ดู (โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นผู้มีประสบการณ์อย่างมากในการบริหารโรงพยาบาลและบริหารความเสี่ยงเลย)
รีบ ๆ ทำเถอะครับ อย่าให้ความแตกแยกมันเกิดขึ้นและต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ผลกระทบ พอไม่รู้ก็รู้สึกไม่ชอบใจว่าของดี ๆ อย่างนี้พวกแพทย์ไปต่อต้านมันทำไม ทั้งหมดนี้เพราะผู้ป่วยไม่ได้ทราบถึงผลกระทบที่ผมกล่าวแล้ว
ดังนั้นถ้าจะช่วย ก็จ่ายให้เถอะครับ แต่ ขอให้จบลงแค่การจ่าย อย่าไปทำเรื่องยุ่งให้กับโรงพยาบาลและแพทย์อีกเลย
นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์
จากที่คุณหมอเอื้อชาตินำเสนอมานี้ ท่านก็ได้แสดงความเห็นเป็นจุดยืนของท่านไว้ชัดเจนในตอนท้ายว่า อยากจะช่วยจะสงเคราะห์อะไรกันท่านก็เห็นด้วย ขอแต่อย่าให้ไปทำเรื่องยุ่งกับหมอและโรงพยาบาลอีกก็แล้วกัน ซึ่งก็น่าจะทำได้ในกรอบต่อไปนี้
๑. อย่าเอาความคิดเรื่องความรับผิดจากการรักษาพยาบาลไม่ได้มาตรฐานมา เกี่ยวข้อง เพราะมีระบบฟ้องร้องหรือซื้อประกัน เป็นเครื่องมืออยู่แล้ว
๒. อาจทำได้โดยคิดเป็นรัฐสวัสดิการ เช่นคนต้องถูกตัดขาเพราะเป็นเบาหวาน ก็มีกองทุนของรัฐช่วยเหลือไปเลย
๓. น่าสังเกตว่า คุณหมอเอื้อชาติไม่ได้แยกแยะระหว่าง กรณีที่แผลลุกลามมาจากบ้านจนต้องตัดขา กลับแผลมาลุกลามที่โรงพยาบาลเพราะติดเชื้อ กรณีหลังนี้เป็นความเสียหายจากการรักษาพยาบาลเหมือนกับผ่าต้อกระจกแล้วตาบอด ถ้าแยกแยะเฉพาะกรณีหลังนี้ออกมาจากกรอบคิดสวัสดิการ ก็จะปรากฏเป็นปัญหาการจัดการความเสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยเฉพาะ
การชดเชยความเสียหายในกรอบอย่างนี้ ถ้าไม่ต้องการให้ไปทำเรื่องยุ่งกับโรงพยาบาลและหมอเลย ก็ต้องเข้าสู่ระบบประกันที่ชดใช้ให้โดยไม่ต้องพิจารณาเลยว่าหมอรักษาได้มาตรฐานหรือไม่ เช่นตาบอดจากผ่าต้อกระจกก็จ่ายทันที ไม่ต้องสอบสวนว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือเปล่า ( ร่างกฎหมายของซุ้ม เอ็นจีโอ ยังซิกแซกแอบกำหนดให้มีการตรวจสอบมาตรฐานอยู่ ) ถ้าใครยังข้องใจก็ให้ไปว่ากล่าวเอาเอง
๔. ท้ายสุดคุณหมอท่านก็บอกเล่าว่าถ้าภาระใหม่ข้างต้นนี้ตกแก่โรงพยาบาลแล้ว ถ้าเป็นการรักษาพยาบาลในโครงการ ๓๐ บาท รัฐก็ต้องแบกรับแทนด้วย ถ้าเป็นการรักษานอก ๓๐ บาท ก็จะต้องถูกผลักให้ตกแก่คนไข้แน่นอน คุ้มค่าหรือไม่ทุกคนพร้อมจ่ายหรือไม่ ก็คิดดูเอาเอง
ส่วนเงินเหล่านี้ถ้าตกลงใจจะยอมเสียกันจริงๆ แล้วนั้น จะจัดการมารวมเป็นกองทุนที่รัฐจัดตั้งแล้วมอบให้กลุ่มเอ็นจีโอแฝงฝังอยู่ หรือจะใช้วิธีออกกฎหมายบังคับให้ไปซื้อประกันกันเอง เหมือนประกัน พรบ.รถยนต์ ตรงนี้คุณหมอท่านไม่ได้พูดถึง
ส่วนตัวผมเองนั้นพูดไว้ชัดเจนแล้วว่า ถ้าต้องเจอกองทุนอิสระมีเอ็นจีโอรับจ๊อบอยู่เต็มไปหมดนี่ผมไม่เห็นว่าจะเลวน้อยไปกว่าราชการที่ตรงไหนเลย ตรวจสอบก็ไม่ได้....แล้วแถมยังต้องยกย่องอีกต่างหาก
บังคับให้ทุกหน่วยบริการซื้อประกันจากบริษัทรับประกันภัยดีกว่าตั้งกองทุนแน่นอนครับ ผมเบื่อนักบุญกินสองเด้งอย่างนี้ เต็มทีแล้ว
..................................