แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 13
106
 ค้างคาวสายพันธุ์ใหม่ที่ได้ชื่อตามหน้าตาราวปีศาจ ปลาตาบอดในธารน้ำใต้ดิน งูเขียวหางไหม้ตาทับทิม และกบที่ร้องราวกับนก เป็นหนึ่งในสัตว์สายพันธ์ใหม่ 126 สายพันธุ์ ที่เพิ่งมีการค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงในปี 2554 และมีการกล่าวถึงในรายงาน Final Frontier ของ WWF
       
       ในจำนวนสัตว์สิบสายพันธุ์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษในรายงาน มีค้างคาวจมูกท่อบีลเซอบับ ที่ได้รับการตั้งชื่ออย่างเหมาะสมรวม อยู่ด้วย มันเป็นสัตว์ตัวเล็กจิ๋วแต่มีหน้าตาราวปีศาจที่พบได้เฉพาะในเวียดนาม ค้างคาวบีลเซอบับ พึ่งพาป่าเขตร้อนในการดำรง ชีวิตเช่นเดียวกับค้างคาวจมูกท่ออีกสองชนิดที่ค้นพบในปี 2554 และพวกมันเปราะบางต่อการทำลายป่าอย่างยิ่ง ซึ่งในช่วง เพียงสี่ทศวรรษ ป่าในแถบลุ่มแม่น้ำโขงหายไปถึงร้อยละ 30 แล้ว
       
       “การค้นพบในปี 2554 เป็นข้อพิสูจน์ว่าลุ่มแม่น้ำโขง เป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีววิทยาอย่างน่าทึ่ง แต่ขณะเดียวกัน สัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ก็ต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดเพราะถิ่นอาศัยเหลือน้อยลง มีเพียงการลงทุนเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่สงวน และการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เท่านั้น ที่เราจะได้เห็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ ได้รับการปกป้อง และทำให้ยังมีความหวังจะค้นพบสายพันธุ์สัตว์ที่น่าสนใจ ต่อไปในอนาคต”” นิก ค็อกซ์ ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ลุ่มแม่น้ำโขง WWF กล่าว
       
       ปลาตีนสายพันธุ์ใหม่ (Clarias gracilentus) ที่ค้นพบในลำธารบนเกาะฟู ก๊วก (Phu Quoc) สามารถเคลื่อนที่ข้ามพื้นดิน โดยใช้ ครีบอกเพื่อดันตัวให้ตรงขณะค่อยๆขยับตัวไปข้างหน้าด้วยวิธีการเคลื่อนที่คล้ายงู และปลาตัวจิ๋วเหลือบสี (Boraras naevus) ยาวเพียง 2 เซ็นติเมตร ที่มีการค้นพบทางภาคใต้ของประเทศไทย และตั้งชื่อตามจุดสีดำบนลำตัวสีทองของมัน (ซึ่งคำว่า naevus แปลว่าตำหนิ ในภาษาละติน)
       
       ปลาตัวสีขาวมุกอมชมพูจากตระกูลปลาคาร์ป พบอยู่ในฝูงปลาที่จับจากแม่น้ำเซบั้งไฟ แม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงบริเวณภาค กลางของประเทศลาว ซึ่งมีช่วง 7 กิโลเมตรที่ไหลผ่านน้ำพุหินปูนใต้ดิน ปลา Bangana musaei ที่อาศัยในถ้ำ เป็นปลาที่ตา บอดสนิท และได้รับการกำหนดให้เป็นปลาที่เสี่ยงสูญพันธุ์ทันที เพราะความที่มันต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด
       
       แม่น้ำโขงค้ำจุนปลาราว 850 สายพันธุ์ และยังเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่มีการทำประมงมากที่สุดในโลก ซึ่งการตัดสินใจของ ประเทศลาว ในการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีในลำน้ำโขง จึงเป็นการคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพที่สุดพิเศษ และความ อุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำโขง ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกื้อหนุนวิถีชีวิตของประชากร มากกว่า 60 ล้านคน
       
       “แม่น้ำโขงค้ำจุนความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำเป็นรองเพียงแม่น้ำอะเมซอน เขื่อนไซยะบุรีจะ กลายเป็นปราการที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้สำหรับปลาหลายสายพันธุ์ จึงเป็นเหมือนกับสัญญาณมรณะของสัตว์ ทั้งที่เป็นที่ รู้จัก และที่เพิ่งมีการค้นพบ” ค็อกซ์กล่าวเสริม
       
       กบต้นไม้สายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบในป่าพื้นที่สูงในประเทศเวียดนาม มีเสียงร้องที่ซับซ้อนจนฟังดูเหมือนเสียงนกร้องมากกว่ากบ ทั่วไป นอกจากนี้ขณะที่กบตัวผู้ส่วนใหญ่จะร้องเสียงเดิมซ้ำไปมาเพื่อดึงดูดตัวเมีย แต่กบต้นไม้ “ก๋วง” (Quang) จะเปลี่ยน เสียงร้องต่างไปในแต่ละครั้ง ไม่มีเสียงไหนที่เหมือนเดิม และเสียงร้องแต่ละครั้งก็จะเป็นเสียงที่มีการผสมกันของเสียงกริ๊ก เสียงหวีด และเสียงเชี้ยบ เรียงกันเป็นเอกลักษณ์
       
       และเมื่อพูดถึงกบในตระกูลอึ่ง Leptobrachium ทุกอย่างอยู่ที่ดวงตา ในจำนวนกว่า 20 สายพันธุ์ สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ ดวงตาที่มีสีสันหลายหลาก อึ่ง Leptobrachium leucops ค้นพบในปี 2554 ที่ป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาสูงในพื้นที่ภาคใต้ของ เวียดนาม มีความแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นเพราะมีดวงตาสีขาวดำตัดกันชัดเจน
       
       นอกจากนี้ยังมีการค้นพบสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูสายพันธุ์ใหม่อีกไล่เรียงมาอีก 21 สายพันธุ์ในปี 2554 ซึ่งรวมถึงงูเขียว หางไหม้ตาทับทิม (Trimeresurus rubeus) ที่พบในป่าใกล้นครโฮจิมินห์ อัญมณีแห่งป่าเม็ดใหม่นี้ ยังแพร่พันธุ์อยู่ตามแถบภูเขา เตี้ยๆทางใต้ของเวียดนาม และตามป่าตะวันออกบนที่ราบสูง Lang Bian ในเขตกัมพูชาด้วย
       
       งูเหลือมหางสั้นได้รับการค้นพบบริเวณก้นลำธารในศูนย์สงวนพันธุ์สัตว์ไจก์ทิโย (Kyaiktiyo) ในประเทศพม่า แต่แม้ว่าจะมีการ สำรวจซ้ำภายหลัง กลับไม่พบตัวงูเหลือมแคระไจก์ทิโย(Python kyaiktiyo) ที่หายากนี้อีก ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับนิเวศวิทยา การกระจายพันธุ์หรือภัยคุกคามของสัตว์สายพันธุ์นี้ จึงมีน้อยมาก อย่างไรก็ตา งูหลามขนาด 1.5 เมตรนี้ น่าจะเผชิญภัยกับภัย คุกคามเช่นเดียวกับงูเหลือมพันธุ์อื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงการสูญเสียถิ่นอาศัย และการลักลอบล่าเอาเนื้อ หนัง และเพื่อขายเป็น สัตว์หายาก
       
       “การลักลอบล่าสัตว์ป่าเพื่อค้าอย่างผิดกฏหมาย กลายเป็นภัยคุกคามที่หนักที่สุด และเสี่ยงจะทำให้สัตว์หลายสายพันธุ์ทั่วเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้สูญพันธุ์ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ WWF และ TRAFFIC จึงร่วมกันเปิดตัวแคมเปญ ระดับโลกในปีนี้ เพื่อเพิ่มการบังคับใช้กฏหมาย ออกข้อห้ามที่เข้มงวด และลดความต้องการสินค้าจากสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์” ค็อกซ์กล่าวเพิ่มเติม
       
       รายงาน Final Frontier เน้นให้เห็นถึงสัตว์สายพันธุ์ใหม่ 10 สายพันธุ์ที่เพิ่งมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ จากจำนวนพืช 82 พันธุ์ ปลา 13 พันธุ์ สัตว์เลื้อยคลาน 21 พันธุ์ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 5 พันธุ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 5 พันธุ์ ที่มีการค้นพบในปี 2554 ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ครอบคลุมกัมพูชา ลาว พม่า ไทย เวียดนาม ไปจนถึงพื้นที่มณฑลยูนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา มีการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ในเขตลุ่มน้ำโขงที่ได้รับการบันทึกทาง วิทยาศาสตร์มากถึง 1,710 สายพันธุ์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 ธันวาคม 2555

107
คณะกรรมการทางประวัติศาสตร์จีน- ญี่ปุ่น เผยว่า ญี่ปุ่นยอมรับว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นบุกทำลายสร้างความเสียหายกับประเทศจีนมหาศาล โดยเฉพาะในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง แต่ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริง
       
       การสังหารหมู่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดในช่วงสงครามที่ญี่ปุ่นบุกจีนในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ซึ่งจีนอ้างว่าชาวจีนล้มตายไปมากถึง 3 แสนคน ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นเชื่อว่ายอดผู้เสียชีวิตมีน้อยกว่านั้น
       
       คณะกรรมการประวัติศาสตร์ร่วมระหว่างจีนและญี่ปุ่นซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ได้เผยรายงานเมื่อวันจันทร์ (31 ม.ค.) ว่า “นักวิชาการฝั่งญี่ปุ่นยอมรับว่า ทองกัพอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นได้สังหารเชลยสงคราม ทหาร และพลเมืองในเมืองนานกิง (หนานจิง) ในเดือนธ.ค. พ.ศ.2480 พร้อมทั้งขืนใจ วางเพลิงและปล้นทรัพย์”
       
       กระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่บรรลุข้อตกลงเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต
       
       ฝ่ายญี่ปุ่นระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตน่าจะอยู่ระหว่าง 2 หมื่น - 2 แสน คน โดยญี่ปุ่นอ้างข้อมูลหลักฐานคนละชุดกับจีน ขณะที่จีนอ้างข้อมูลจากศาลภายในและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่รวบรวมคดีความ พร้อมจำนวนผู้ตายไว้กว่า 3 แสนคน
       
       โดยรายงานฯ อ้างจำนวนเหยื่อที่เสียชีวิตจากความกระหายสงครามของญี่ปุ่นที่เป็นคดีความ ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ถูกสังหารแบบใช้แก๊สพิษหรือแบบธรรมดา ตลอดจนการบังคับขืนใจให้สตรีตอบสนองทางเพศแก่ทหารในฐานะแรงงานทาสด้วย
       
       ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นบุกสร้างอาณานิคมไปทั่วเอเชีย ชาวจีนจำนวนมากเชื่อว่า ญี่ปุ่นไม่ได้แสดงความสำนึกผิดอย่างเพียงพอกับความโหดเหี้ยมที่ตนเองก่อไว้ ความรู้สึกไม่พอใจนี้ถูกจุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะหลังจากที่ ส.ว.อนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่นออกมาปกป้องปฏิบัติการของทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามฯ
       
       ทั้งนี้ พวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้วของญี่ปุ่นอ้างว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิงนั้นถูกปั่นให้มากเกินจริง
       
       อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นและจีนตกลงกันว่า สงครามจีน-ญี่ปุ่น ในช่วงปี 2480- 2488 ถือเป็นการแสดงความก้าวร้าวของญี่ปุ่น
       
       ซูมิโอะ ฮาทาโนะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสึคุบะ เป็น 1 ใน 10 คนของนักประวัติศาสตร์ที่ร่วมชำระตัวเลขนี้ กล่าวว่า “สิ่งที่ทหารญี่ปุ่นทำได้สร้างความเจ็บปวดอย่างหนักต่อประชาชนพลเมืองจีน สร้างรอยแผลเป็นร้าวลึกในใจให้แก่ชาวจีนจำนวนมาก และแม้สงครามจะสิ้นสุดแล้ว ความเกลียดชังก็ยังไม่หมดไป”
       
       นายคัตสึยะ โอกาดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นยอมรับรายงานฉบับนี้ แม้ว่าผลจะออกมาล่าช้าและไม่ลงตัว เขากล่าวว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรก และจะเสนอให้มีการหารือในรอบถัดไป “หากสองฝ่ายมีความเข้าใจกันมากขึ้นเพียงเล็กน้อย เราก็พูดได้ว่า สำเร็จแล้ว”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2554

108
 ในช่วงสัปดาห์เดียวกับกระแสข่าวพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพนั้น มีข่าวการร่วมไว้อาลัยอย่างเงียบๆ ของชาวเน็ตจีน กับการจากไปของหมอจีนวัยชราในเมืองจี่หนันคนหนึ่ง เขาชื่อหมอซัน ผู้จากไปในวัย 103 ปี การเสียชีวิตของเขาไม่ได้เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ใดๆ จนกระทั่งข่าวแพร่ออกไปในช่วงใกล้วันครบรอบ 73 ปี เหตุการณ์กองทัพญี่ปุ่นบุกจีนและยึดครองนานกิงเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. พ.ศ.2480 (1937) ชาวเน็ตจึงได้ร่วมไว้อาลัยและรำลึกถึงเรื่องราวของเขา
       
       หมอยาจีนที่ชื่อ ซัน ในจี่หนันผู้นี้ เดิมอดีตเคยเป็นทหารญี่ปุ่นที่รบในปฏิบัติการ สะพานมาร์โค โปโล (Marco Polo Bridge Incident หรือ 卢沟桥事变) เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2480
       
       ชีวิตของเขาเคยได้รับการเสนอเป็นสารคดีข่าวในไชน่าเดลีย์ เมื่อปีที่แล้ว ก่อนเสียชีวิตหนึ่งปี ซึ่งหมอซัน ในวัย 102 ปีนั้นได้ให้สัมภาษณ์บอกเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตของเขาว่า มีชื่อจริงคือฮิโรชิ ยามาซากิ ซึ่งได้เปลี่ยนเป็น ซัน ในเวลาต่อมา และใช้ชีวิตเป็นหมอรักษาผู้ป่วยอยู่ที่เมืองจี่หนันมานานกว่า 70 ปีแล้ว
       
       "ผมเคยประจำการเป็นแพทย์อยู่นาน 6 เดือนในกองทัพญี่ปุ่น เข้าปฎิบัติการรบในศึกสะพานมาร์โค โปโล ก่อนที่จะหนีทัพ และตัดสินใจใช้ชีวิตในจีนเพื่อชดใช้คืนในสิ่งที่กองทัพญี่ปุ่นได้เคยก่อไว้" ยามาซากิกล่าวกับนักข่าวจีนเมื่อปีที่แล้ว
       
       ศึกสะพานมาร์โค โปโล คือการรบระหว่างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นกับกองทัพคณะปฏิวัติแห่งชาติจีน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ถือเอาว่า เป็นจุดแตกหักที่ทำให้เกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (พ.ศ. 2480-2488)
       
       โดยหลังจากการศึกที่สะพานมาร์โค โปโล กองทัพญี่ปุ่นซึ่งยามาซากิประจำอยู่ ก็เคลื่อนบุกตีเซี่ยงไฮ้ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจีนในเดือนถัดมา และเพื่อให้บรรลุภารกิจยึดจีนให้ได้ภายใน 3 เดือน กองทัพญี่ปุ่นจึงส่งกำลัง 3 เหล่าทัพ พร้อมเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าถล่มนานกิง
       
       นานกิง (หรือ หนานจิง) เมืองหลวงของจีนในเวลานั้นและยังเป็นที่ตั้งสุสานของดร.ซุนยัดเซ็น ถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกขยี้จนเจียงไคเช็กต้องถอยทัพหนีไปที่ ฉงชิ่ง ทิ้งพลเมืองเกือบ 1 ล้านคน กับกำลังทหารป้องกันนานกิงเพียงไม่กี่หมื่นคน กระทั่งนานกิงแตกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 และแปรสภาพกลายเป็นทุ่งสังหารหมู่ของปีศาจสงคราม

      "ฝูงปีศาจ"
       ประวัติศาสตร์นานกิงบันทึกว่า ทหารญี่ปุ่นทำลายทุกสิ่ง และทุกชีวิตที่ขวางหน้าอย่างวิปริต ฆ่า ปล้น เผา ข่มขืน ทรมานชาวนานกิงทั้งเมือง ยิงเป้า ตัดคอ แขวนคอ ตัดแขน-ขาทั้งสี่ ตัดอวัยวะเพศ ฝังและเผาทั้งเป็น บังคับให้ลูกชายข่มขืนแม่ พ่อข่มขืนลูกสาว
       
       ยามาซากิ ซึ่งประจำการเป็นแพทย์ทหารในกองกำลังที่ถูกเรียกว่า "ฝูงปีศาจ" นี้ ไม่อาจทนดูความวิปริตที่เพื่อนทหารของตนกระทำต่อชาวเมืองผู้ไร้ทางต่อสู้ ที่สุดจึงได้หาทางหลบหนีออกจากค่ายฯ
       
       "แรกเริ่มเดิมที ผมไม่เคยคิดจะเป็นทหาร แต่ด้วยเหตุที่รัฐบาลญี่ปุ่นออกกฎหมายบังคับให้ทุกครอบครัวต้องส่งลูกชายหนึ่งคนเข้าเกณฑ์ไปรบ ดังนั้น เพื่อไม่ให้พี่ชายที่เพิ่งแต่งงานมีครอบครัวต้องเสี่ยงชีวิต ผมซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว ตอนนั้นอายุ 31 ปี ทำงานเป็นแพทย์และยังไม่มีครอบครัว จึงรับหมายเกณฑ์มาเป็นทหาร"
       
       ยามาซากิถูกส่งตัวไปประจำการอย่างเร่งด่วน ในกองพลที่ปฏิบัติการรบบนสะพานมาร์โค โปโล ตลอดเวลา 6 เดือน หลังจากศึกครั้งนั้น เขาได้พบเห็นเพื่อนทหารญี่ปุ่นกลายสภาพเป็นปีศาจสงคราม สังหารผู้คนเพื่อความบันเทิง ครั้งหนึ่งเขาเห็นเด็กทารกชาวจีนถูกทหารญี่ปุ่นกระหน่ำแทงด้วยดาบปลายปืนอย่างสนุกสนานเหมือนแทงกระสอบซ้อมมือ ยามาซากิ พยายามเข้าไปยับยั้งความบ้าคลั่งและช่วยชีวิตทารกน้อยคนนั้น แต่สายเกินไป
       
       "เหตุการณ์นั้นทำให้ผมตัดขาดจากกองทัพ" ยามาซากิพูด และเล่าว่า ผมวางแผนหนีทัพในกลางดึกของคืนนั้น และเดินเท้ามุ่งหน้าไปทางชายฝั่งตะวันออก เพื่อหาทางกลับญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ไม่ได้กินอาหาร เป็นเวลา 4 วัน 4 คืน ในที่สุดก็ล้มหมดสติไป"
       
       "ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่า ตนเองอยู่ในบ้านของชาวนาจีนแก่ๆ ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งช่วยชีวิตและให้ที่พักกับอาหาร เมื่อผมสามารถลุกเดินได้ คู่สามีภรรยาวัยชรา ให้เสื้อผ้าชุดใหม่กับผม มันเป็นชุดใหม่ๆ สะอาด ชุดเดียวที่พวกเขามีอยู่ ผมมองดูเสื้อผ้านี้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทำได้เพียงแค่โค้งคำนับเขา
       
       "นอกจากนั้น พวกเขายังยอมสละแป้งข้าว ที่มีสำรองเพียงน้อยนิดมาทำอาหารให้ผมเก็บไว้กินตอนเดินทาง"
       
       ยามาซากิ หวนรำลึกภาพครอบครัวนี้ครั้งใด ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
       "พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าผมเป็นทหารญี่ปุ่น แต่ก็ยังช่วยชีวิตผม"
       
       ยังมีคนจีนอีกหลายคนที่ช่วยยามาซากิตลอดการเดินทาง ซึ่งในที่สุด ก็เดินไปจนถึงเมืองจี่หนัน เขาเปลี่ยนชื่อของตน เป็น ซัน ระหว่างที่รอข้ามทะเลกลับญี่ปุ่น เขาได้งานเป็นคนเฝ้าโกดังเก็บเสบียงของกองทัพญี่ปุ่นที่สถานีรถไฟ
       
       ที่นี่ ยามาซากิ ได้เห็นความลำบากของคนจีน เขาแอบเปิดประตูให้คนงานจีนขโมยอาหารประทังชีวิต รวมถึงเสบียงยังชีพอื่นๆ กระทั่งถูกจับได้ จึงโดนสอบสวนโบยตีอย่างทรมาน แต่เขาไม่ยอมเอ่ยปากซัดทอดหรือเป็นพยานว่ามีคนงานจีนคนไหนที่เกี่ยวข้อง
       
       การยอมรับโทษเพียงลำพังในครั้งนั้น ทำให้คนงานจีนรู้สึกถือเขาเสมือนหนึ่งเป็นพี่ชาย ถึงขนาดที่มีเพื่อนจีนคนหนึ่งได้แนะนำหญิงจีนให้เขารู้จัก เธอซึ่งต่อมาได้สมรสเป็นคู่ชีวิตเขา


       "เส้นทางสายใหม่"

       ที่จี่หนันนี้ ยามาซากิ ได้ตัดสินใจว่าจะประยุกต์ความรู้ทางการแพทย์ที่ตนมี และศึกษาเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนอย่างคร่ำเคร่ง เพื่อเปิดคลีนิคหมอรักษาผู้ป่วยชาวจีนที่ยากจนโดยไม่คิดค่ารักษา และไม่ยอมกลับญี่ปุ่นอีกเลยแม้ว่าสงครามระหว่างจีน - ญี่ปุ่นจะยุติไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2488
       
       "หลังจากที่กองทัพคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2492 ผมได้ฟังเสียงของประธานเหมา เจ๋อตง ที่ประกาศว่าจะดำเนินนโยบายอย่างเป็นมิตรกับชาวต่างชาติทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน ในเวลานั้น ผมรู้สึกตื้นตัน"
       
       ยามาซากิได้งานในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเก็บเงินเดือนให้กับผู้ยากจนอื่นๆ เขาไม่เคยพูดกับใครเกี่ยวกับความหลังของตนเอง แม้กระทั่งครอบครัว โดยบุตรสาวของเขาเพิ่งจะรู้ว่าพ่อของตนเคยเป็นใคร ก็เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง หลังจากที่บังเอิญไปได้ยินชายคนหนึ่งซึ่งพ่อเขาเคยช่วยรักษาเมื่ออดีต 40 ปีก่อน
       
       แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใด ยามาซากิ ไม่เคยลืมความจริงที่เขาเก็บไว้ข้างในเงียบๆ นั่นคือความทารุณที่ทหารญี่ปุ่นได้เคยทำไว้
       
       หลังจาก 40 ปี ที่เข้ามาเหยียบแผ่นดินจีนพร้อมกับกองทัพจักรพรรดิ์ ยามาซากิ ได้กลับไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2519 สี่ปีหลังจากที่จีนกับญี่ปุ่นได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูต
       
       "แม้ว่า ครอบครัวของผมที่ญี่ปุ่นจะดีใจมากและต้องการให้ผมกลับมาอยู่ในญี่ปุ่น ผมก็ได้แต่บอกครอบครัวว่า ประเทศจีนคือบ้านของผมแล้ว ผมต้องกลับบ้าน"
       
       ในปีนั้น ยามาซากิทราบข่าวว่า เมืองทากิโมโต บ้านเกิดของเขา ในญี่ปุ่น ต้องการที่จะสานมิตรภาพระหว่างเมืองกับเมืองจี่หนัน เขาจึงอาสาทำงานในโครงการนี้
       
       ยามาซากิ เขียนจดหมายไปถึงนายนากาโซเน่ ยาสุฮิโร นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในเวลานั้น ถึงแผนงานของเขา และได้รับจดหมายตอบกลับมาจากนายกฯ
       
       ซึ่งในที่สุดด้วยการร่วมปฏิบัติงานของเขา ทำให้การกระชับความสัมพันธ์ของสองเมืองนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีในปี พ.ศ. 2526 และเขาได้รับจดหมายแสดงความขอบคุณจากทางการทั้งสองเมือง
       
       "ยามาซากิ บอกว่า นี่คือสิ่งดีๆ สิ่งเดียวในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าทำสำเร็จ"
       
       ในความจริง ยามาซากิผู้เงียบขรึม ได้ทำมากกว่าที่เขาพูด ทุกๆ ปี ยามาซากิจะอุทิศเงินสวัสดิการที่ตนได้รับจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้กับชาวจีน เขายังได้สอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียนจีนที่สนใจ โดยไม่คิดเงินทอง และออกเดินทำงานกวาดถนนหนทางสาธารณะรอบๆ ที่พักของตน ทุกวัน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ อีกทั้งอุทิศหนังสือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นจำนวนมากแก่ห้องสมุดและโรงพยาบาลที่ยากไร้ในเมืองจี่หนัน
       
       เขาเชื่อว่า หนทางที่ดีที่สุดที่จะขอโทษ และชดใช้กับความรู้สึกผิดที่ตนและทหารญี่ปุ่นในครั้งนั้นได้เคยทำไว้ มีแต่เพียงการชดใช้ด้วยการทำความดีต่อคนจีนให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น
       
       เมื่อล่วงสู่วัยชรา บรรดาผู้คนที่เคยรู้จักอดีตของเขาเริ่มสูญหายตายจากไปเกือบหมด จนแทบไม่มีใครรู้จักยามาซากิ ทหารญี่ปุ่นคนนี้อีกต่อไป
       
       เส้นทางที่ยามาซากิตั้งใจเมื่อแรกหนีทัพกลับญี่ปุ่นนั้น ได้เปลี่ยนเป็นทางสายใหม่ ซึ่งนำไปสู่การอุทิศตนเพื่อชดใช้และสร้างสันติภาพ
       
       ยามาซากิ วัย 103 ปี เสียชีวิตอย่างสงบด้วยชราภาพ ในวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมานี้ โดยเมื่อครั้งที่เขายื่นคำร้องขอทำบัตรประจำตัวจากทางการจีนนั้น ยามาซากิได้ระบุแนบท้ายไว้ว่า "เมื่อผมตาย ผมขออุทิศร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ทางการแพทย์แก่ชาวจีน โปรดได้รับร่างกายนี้ไว้ด้วย"

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 ธันวาคม 2553

109
“การลืมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งที่ 2” นี่คือ ความคิดความเชื่อที่สร้างพลังอันแน่วแน่แก่ผู้หญิงเชื้อสายจีนตัวเล็กๆ ที่กำลังอยู่ในวัยดอกไม้บาน ความคิดนี้ยังได้กลายมาเป็นพลังให้เธอยืนหยัดกล้าหาญ อุทิศตัวในการสร้างงานที่สั่นสะเทือนมนุษย์ชาติชิ้นหนึ่งเมื่อวัยเพียง 29 ปี นั่นคือ The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll หนังสือเล่มนี้ เริ่มวางตลาดในปี ค.ศ. 1997 นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นรุกรานหนันจิงหรือนานกิง ฉบับภาษาอังกฤษเล่มแรก ที่ทำให้ผู้คนทั่วทั้งมุมโลกได้รับรู้เหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีนที่หนันจิงอันโหดเหี้ยมของกองทัพญี่ปุ่นอย่างรอบด้าน
       
       อีก 7 ปี ต่อมา ไอริส จางก็ได้สร้างความตื่นตะลึงแก่ชาวโลกอีกครั้ง ด้วยการสังหารตัวเองด้วยลูกปืน! ร่างสาววัย 36 ปี นอนตายอยู่ในรถยนต์บนถนนนอกเมืองในเซาท์เบย์ ซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2004 “ไอริส จางยิงตัวตาย” เป็นข้อสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของไอริส จางโดยฝ่ายตำรวจ แต่สิ่งที่กดดันให้เธอลั่นไกปืนปลิดชีพตัวเองอย่างน่าเศร้าสลดคืออะไรนั้น ยังคงเป็นปริศนา...หลายคนพูดกันว่า การตายของไอริส จาง เกิดจากอาการทางจิตประสาทที่เกิดจากการทำงานหนักรวบรวมข้อมูลที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เพื่อเขียน ‘The Rape of Nanking’ และการก่อกวนของพวกฝ่ายขวาญี่ปุ่น ที่กดดันเธอจนเสียสติ
       
       ทั้งนี้ กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดหนันจิง มณฑลเจียงซูของจีน วันที่ 13 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1937 ถึงต้นปี 1938 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง 8 สัปดาห์ของการบุกรุกนั้น ทหารญี่ปุ่นได้สังหาร ทำร้าย ข่มขืน ทรมานชาวหนันจิงอย่างโหดเหี้ยม มีเหยื่อเสียชีวิตราว 300,000 คน
       
       สาวน้อยผู้สวยงาม ชาญฉลาด และชะตาชีวิตที่แสนรันทด
       ไอริส จาง เชื้อสายจีน เกิดเมื่อปี 1968 ในพรินซีตัน นิวเจอร์ซีย์ มีชื่อจีนว่า จางฉุนหยู (张纯如)พ่อแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ ปู่และย่าเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง
       
       ไอริส จางเติบโตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม เป็นนักค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ขยันขันแข็ง ฉลาดปราดเปรื่อง จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาหนังสือพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ปี 1989 และได้เป็นผู้สื่อข่าวในช่วงเวลาสั้นๆที่ชิคาโก ทรีบูน และสำนักข่าวเอพี จากนั้น ก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการเขียนที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ปี 1990 จากนั้น ก็ยึดถืออาชีพเขียนหนังสือ และสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เขียนบทความให้กับนิวยอร์กไทมส นิวสวีค ลอสแองเจลิสไทมส์ เป็นต้น
       
       เธอได้แต่งงานกับดักลัส มีบุตรชาย 1 คนคือคริสโตเฟอร์ (ตอนที่จางเสียชีวิต หนูน้อยคริสโตเฟอร์อายุเพียง 2 ขวบ) ชีวิตของไอริส จาง นับเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นที่อิจฉาของผู้คน จากการที่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด สวยงาม เป็นภรรยาที่แสนดีแม่ที่น่ารัก ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ได้รับการยกย่องเป็นนักประวัติศาสตร์แถวหน้าและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ชน เป็น ‘แบบอย่างของหนุ่มสาวเชื้อสายจีนในสหรัฐฯ’
       
       ฝันร้ายเริ่มคุกคามไอริส จาง เมื่อเธอได้ตั้งปณิธานมั่นว่า จะตีแผ่เหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่หนันจิง อันเป็นบ้านเกิดของปู่และย่า ปณิธาณนี้ของเธอเริ่มเพาะตัวตั้งแต่วัยเด็กเมื่อปู่ได้เล่าประสบการณ์ชีวิตขณะเผชิญกับสงครามในหนันจิง เด็กหญิงไอริสได้ฟังเรื่องจริงที่แสนหฤโหดจากปู่ว่า “ทหารญี่ปุ่นได้หั่นเด็กทารกเป็น 3 ท่อน เอาผู้ชายมาฝึกฝนการต่อสู้ด้วยดาบ จับผู้หญิงตั้งครรภ์มาแหวกท้อง ลำน้ำในเมืองหนันจิงกลายเป็นสีเลือด...”
       
       หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าสยดสยองเหลือเชื่อจากปู่ เธอก็ได้ไปที่ห้องสมุดของโรงเรียน หมายจะค้นหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์กองทัพญี่ปุ่นบุกหนันจิงเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ปู่ย่าเล่าให้ฟัง แต่ก็หาไม่มีสักเล่ม ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1994 ไอริสได้เห็นภาพถ่ายเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เป็นครั้งแรก ในงานแสดงภาพถ่ายที่จัดแสดงที่ซิลลิคอนวัลเลย์ ภาพความโหดร้ายสุดขีดของมนุษย์ สร้างความตกตะลึง โกรธแค้นเดือดพล่านอย่างไม่อาจบรรยาย เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 เนินนานมากระทั่งใกล้ครบรอบ 60 ปีของเหตุการณ์ฯแล้ว (ในขณะนั้น) ทว่า มีเพียงหนังสือที่ไม่ใช่เรื่องแต่งที่เป็นภาษาอังกฤษเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ นอกไปจากนี้แล้ว ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์สั่นสะเทือนมนุษย์ชาติครั้งใหญ่ในหนันจิงที่เผยแพร่ในระดับสากลเลย
       
       ช่วงเวลา 2 ปี หลังจากนั้น ไอริสจึงได้เดินทางไปยังแห่งที่ต่างๆทั่วโลก ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เธอได้รวบรวมเอกสารข้อมูลที่เป็นภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ ตลอดจนสมุดบันทึกประจำวันอีกจำนวนมาก จดหมาย หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ในจำนวนนี้ มีเอกสารชิ้นสำคัญคือ สมุดบันทึกของสมาชิกนาซีแห่งเยอรมันจอห์น ราเบ้ (John Rabe)* ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์สงครามในหนันจิง สมุดบันทึกเล่มนี้ ได้รับสมญาว่า ‘ฮิตเลอร์แห่งประเทศจีน’
       
       The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll เริ่มวางตลาดในปี 1997 นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงพากษ์ภาษาอังกฤษเล่มแรก และทำให้โลกตะวันตกได้เข้าใจอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่นที่หนันจิงอย่างรอบด้านเป็นครั้งแรก หนังสือได้รับการต้อนรับถึงขั้นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์เป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ทำสถิติยอดขายราว 100,000 เล่ม ได้รับการตีพิมพ์ 12 ครั้ง (ข้อมูล ปี 2004)
       
       หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’ วางตลาด ไอริส จางได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งว่า “นี่เป็นหนังสือที่ฉันไม่เขียนไม่ได้ การเขียนของฉันมาจากความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรม แม้ไม่ได้เงินแม้สตางค์เดียว ฉันก็ไม่สนใจ ฉันต้องการให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หนันจิงเมื่อปี 1937 สำหรับฉัน นี่คือ สิ่งสำคัญ”
       
       ในทางกลับกัน ไอริส จางต้องจ่ายราคามหาศาลในการเขียน ‘The Rape of Nanking’ นั่นคือ สภาพร่างกาย และจิตใจของเธอเสื่อมโทรมลงอย่างหนัก ระหว่างการเขียนนี้ เธอมักมี ‘อาการโกรธจนตัวสั่น นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมร่วงมากผิดปกติ’ กระทั่งถูกวินิจฉัยเป็นโรคจิตวิตกกังวลหวาดกลัว และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 5 เดือนในระหว่างที่เธอกำลังเขียนหนังสือเล่มที่สี่ ซึ่งเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน
       
       หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’วางตลาด กลุ่มฝ่ายขวาในญี่ปุ่นได้ตามก่อกวนเธอ ด้วยการโทรศัพท์ ส่งจดหมายข่มขู่ หลายครั้ง เธอต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์หลายครั้ง ไม่กล้าโทรศัพท์ ไม่กล้ารับการสัมภาษณ์ใดๆ เป็นต้น กระนั้น ไอริส จางยังคงเชิดหน้า กล่าวอย่างสงบและไร้ความกลัวใดๆว่า “การลืมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งสอง”
       
       ชาวจีนคนหนึ่งกล่าวว่า “ไอริส จาง ‘เพียงหนึ่งคน’ ได้รับภาระความรับผิดชอบแทนพวกเราทั้งหมด ในการบรรลุสิ่งที่พวกเรายังไม่ได้บรรลุในตลอด 60 ปีที่ผ่านมา”
       
       ติงหยวนเพื่อนสนิทของไอริส จางเล่าว่า ไอริสมักระบายความคับแค้นต่อเหตุการณ์โหดร้ายน่าเศร้าสลดว่า “ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบนโลกนี้? ทำไมคนจึงทำเช่นนี้ได้” --นับเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ และไอริส จางคงอยากให้ชาวโลกช่วยกันตอบคำถามเพื่อหยุดความเกลียดชัง การทำร้าย เข่นฆ่าชีวิต เรียนรู้บทเรียนเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า ซึ่งจะทำให้การบันทึกประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดโศกนาฏกรรมของมนุษย์ชาติ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ อย่าให้ไอริส จางผู้งดงามสูญแรงเปล่าเลย.
       
       แปลเรียบเรียงจาก เลี่ยวหวั่งตงฟางโจวคัน(Oriential Outlook )/เอเจนซีส์/เว็บไซต์ชีวประวัติไอริส จาง
       
       
       หมายเหตุ*จอห์น ราเบ้ (Jonh Rabe) เป็นสมาชิกองค์การนาซีแห่งเยอรมนี ที่เข้าไปประจำในเมืองหนันจิงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเห็นเหตุการณ์สงครามในหนันจิง จนไม่อาจทานทนได้ จึงได้รวบรวมชาวต่างประเทศกว่า 20 คน จัดตั้งเขตคุ้มครองความปลอดภัยในหนันจิง ซึ่งได้ช่วยชีวิตชาวหนันจิงราว 250,000 คน หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ด้วยสถานภาพสมาชิกนาซี นายรับถูกดำเนินคดี ไม่มีงานทำ อดอยาก ชาวหนันจิงที่ทราบชะตากรรมของเขา ได้ส่งข้าวของอาหารไปให้ นายรับเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเมื่อปี ค.ศ. 1950
       
       ประวัติและงานของไอริส จาง
       
       ไอริส จาง เกิดปี 1968 ที่พรินซีตัน นิวเจอร์ซีย์ มีชื่อจีนว่า จางฉุนหยู (张纯如)
       การศึกษา: ปริญญาตรี สาขาหนังสือพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ ปี 1989, ระดับปริญญาโทด้านการเขียนที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ปี 1990
       
       ผลงานหนังสือ: Thread of the Silkworm เริ่มวางตลาดปี 1996
       
       The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll วางตลาดปี 1997 (ฉบับพากษ์ไทยคือ ‘หลั่งเลือดที่นานกิง’ แปลโดย ฉัตรนคร องคสิงห์)
       
       The Chinese in America เริ่มวางตลาดปี 2003
       
       รางวัลเกียรติยศ: รางวัลจากโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศและสันติภาพของมูลนิธิจอห์น ดี. และแคทเธอรีน ที. แมคอาร์เธอร์, รางวัลผู้หญิงแห่งปีจากสมาคมชาวจีนอเมริกัน ปริญญากิตติมศักดิ์ 2 ฉบับจากวิทยาลัยวูสเตอร์ในโอไฮโอ และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เฮย์วาร์ด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 ธันวาคม 2548

110
เสียงไซเรนดังก้องทั่วนครหนันจิง (นานกิง) ในเช้านี้(13 ธ.ค.) ย้ำเตือนวาระรำลึกสงครามสังหารหมู่ครั้งใหญ่ “การข่มขืน” ครั้งหฤโหดโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อ 75 ปี ที่แล้ว ที่ชาวโลกรู้จักดีในชื่อ "ข่มขืนนานกิง" (Rape Nanjing)
       
       ประชาชน ถึง 9,000 คน ได้มายัง “พิพิธภัณฑ์สงครามสังหารครั้งใหญ่แห่งนานกิง” (Nanjing Massacre Museum) เข้าร่วมพิธีรำลึกสงครามสังหารหมู่ครั้งใหญ่ระหว่างที่กองทัพพระจักรพรรดิแดนอาทิตย์อุทัย บุกยึดเมืองนานกิง เมื่อปี 2480 (1937) เนื่องในวาระครบรอบ 75 ปี ของสงครามฯ ซึ่งได้กำหนดเป็นวันที่ 13 ธ.ค. ของทุกปี พิธีเริ่มด้วยการร้องเพลงชาติจีน เหล่าทหารถือพวงหรีดขนาดใหญ่ตบเท้าขึ้นมายังเวทีพิธีสักการะดวงวิญญาณเหยื่อผู้สูญเสียชีวิตในสงครามฯ
       
       ก่อนพิธีฯเริ่ม หญิงชราคนหนึ่งสะอื้อไห้ขณะวางดอกไม้ที่กำแพงป้ายชื่อผู้สูญเสียชีวิตในสงครามนานกิง ซึ่งมีรายชื่อผู้เป็นที่รักในครอบครัวของเธอรวมอยู่ด้วย กลุ่มพระสาวกพุทธศาสนาชาวจีนและชาวญี่ปุนได้ร่วมกันสวดมนต์วิงวอนสันติภาพโลก
       
       คืนวานนี้(12 ธ.ค.) ที่ลานสักการะ อนุสรณ์สถานแห่งหงตง ยังมี “พิธีจุดเทียนสันติภาพ สักการะแด่ดวงวิญญาณเหยื่อสงครามฆ่าล้างใหญ่ในหนันจิง” กลุ่มผู้เข้าร่วมพิธีจากทั่วโลก ได้แก่ ผู้แทนจากประเทศต่างๆ สหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซีย สาธารณรัฐเช็ก กรีก สเปน เกาหลีใต้ อินเดีย เนปาล ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง เป็นต้น ตลอดจนผู้แทนจากพิพิธภัณฑ์รำลึกสงครามต่อต้านญี่ปุ่นของกลุ่มชาวจีน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กองทัพญี่ปุนบุกยึดดินแดนจีน “จิ่ว อี ปา” หรือวันเหตุการณ์ 18 ก.ย.แห่งนครเสิ่นหยัง (วันที่กองมทัพญี่่ปุนบุกมาถึงดินแดนจีนครั้งแรกที่นครเสิ่นหยังปี 1931) พิพิธภัณฑ์พระราชวังจักรพรรดิแมนจูหุ่นเชิดแห่งนครฉางชุน ฯลฯ
       
       กลุ่มญาติมิตรของเหยื่อสงคราม ผู้รักสันติภาพจากทั่วโลก ได้เดินทางมาร่วมกันจุดเทียนฉายแสงวิงวอนขอสันติภาพอีกครั้งในวันรำลึกถึงเหยื่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่นครหนันจิง ปีที่ 75
       
       “พิธีจุดเทียนสันติภาพ สักการะแด่ดวงวิญญาณเหยื่อสงครามฆ่าล้างใหญ่ในหนันจิง” เป็นหนึ่งในกิจกรรมรำลึกถึงเหยื่อสงครามฯ จัดโดยอนุสรณ์สถานแด่พี่น้องร่วมชาติเหยื่อสงครามญี่ปุ่นบุกนานจิง กิจกรรมฯนี้เริ่มจัดมาแต่ปี 2552 และนับเป็นครั้งที่ 4 ที่มีการเชิญนักรณรรงค์ผู้รักสันติภาพทั่วโลกมาร่วมกิจกรรมด้วย
       
       น้ำตาหลั่งรินท่ามกลางกลุ่มเปลวเพลิงสั่นไหว
       กลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 400 คน ได้ทยอยกันจุดเทียน 3,000 เล่ม น้ำตาเทียนหยดลงอาบป้ายสีดำไร้ตัวอักษรรำลึกดวงวิญญาณของเหยื่อสงครามฯ ทีละป้าย...ทีละป้าย...ท่ามกลางบรรยากาศวิงวอนขอสันติภาพ
       
       นักเรียนจากฮ่องกงที่เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า “เหมือนอย่างในตำราบรรยายไว้เลย เต็มไปด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ เจ็บปวดอย่างสุดทนทาน....”
       
       เกา เหยาฮั่น วัย 78 บุตรชายของทหารนักบินที่ขับเครื่องบินรบโจมตีศัตรูผู้รุกราน ก็ได้มาร่วมพิธีฯ “หวังงว่ากิจกรรมรำลึกฯที่จัดนี้ จะช่วยให้คนทั่วโลกเข้าใจประวัติศาสตร์ โลกไม่ต้องการสงคราม” ทุกครั้งที่มาที่นี่ ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวใจ อย่างยากที่จะข่มให้สงบนิ่งลงได้
       
       นักรณรงค์สันติภาพจากสเปน บอกกับผู้สื่อข่าวจีน ว่า การเดินทางมาร่วมกิจกกรรมฯนี้ เป็นการมาเยือนหนันจิงเป็นครั้งแรกของเธอ เธอเพิ่งได้รู้เกี่ยวกับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากภาพยนตร์เรื่อง "ดอกไม้กลางไฟสงครามนานกิง" (《金陵十三钗》/The Flowers Of War) พวกเขารังเกลียดสงครามมาก และหวังในโลกสันติภาพ
       
       สงครามสังหารใหญ่ในนานกิง เริ่มต้นเมื่อกองทัพญี่ปุนได้ยาตราทัพยึดเมืองนานกิงเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 1937 จากนั้นทหารญี่ปุ่นก็ได้ทำลายล้างเมือง สังหาร ข่มขืน อย่างโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ข้อมูลฝ่ายจีนระบุ ชาวจีนทั้งทหารและพลเรือน 300,000 คน สังเวยชีวิตในการสังหารอย่างบ้าคลั่ง

       กลุ่มสถาบันการศึกษาต่างแดนระบุจำนวนเหยื่อฯต่ำกว่านี้ อาทิ นักประวัติศาสตร์จีนชื่อดัง นาย โจนาธาน สเปนซ์ (Jonathan Spence) ระบุตัวเลขเหยื่อสงครามนานกิง ได้แก่ ทหารและพลเมือง 42,000 คน ถูกสังหาร, ผู้หญิง 20,000 คน ถูกข่มขืน โดยหลายๆคนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
       
       นาย ไค ซาโตรุ (Kai Satoru) บุตรชายของทหารญี่ปุ่นที่ประจำการในจีนช่วงสงครามนานกิง ได้มาเข้าร่วมพิธีฯในวันนี้ด้วย
       
       “ผมยอมรับโดยดุษณีต่ออาชญากรรมทั้งหมด พวกเขา (ทหารญี่ปุ่น) แข่งขันกันสังหารประชาชน” ไค ซาโตรุ บอกกับกลุ่มผู้สื่อข่าว “พวกเราที่รอดชีวิต ล้มหายตายจากไปทุกๆปี เราต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะไม่ทำผิดกันอีก”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2555

111
 แม้ส่วนใหญ่จะยอมรับกันว่าสาเหตุที่ “ไดโนเสาร์” สูญพันธุ์นั้นเกิดจากอุกกาบาตพุ่งชนโลก แต่ก็ยังมีหลายทฤษฎีที่แย้งทฤษฎีดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือทฤษฎีเกี่ยวกับการระเบิดของภูเขาไฟที่เป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ และล่าสุดมีข้อมูลใหม่ที่สนับสนุนว่าไดโนเสาร์ไม่ได้สูญพันธุ์จากสาเหตุนอกโลก
       
       ข้อมูลจากงานวิจัยใหม่ระบุว่า เมื่อหลายสิบล้านปีก่อนลาวาที่ไหลจากพื้นที่ภูเขาไฟเดคคันแทรปส์ (Deccan Traps) ซึ่งปัจจุบันอยู่ใกล้เมืองมุมไบของอินเดียอาจพ่นซัลเฟอร์และคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่เป็นพิษสู่ชั้นบรรยากาศ และเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เนื่องจากทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและน้ำในมหาสมุทรเป็นกรด
       
       รายงานของไลฟ์ไซน์ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวถูกนำเสนอภายในการประชุมของสหพันธ์ธรณีฟิสิกส์อเมริกัน (American Geophysical Union) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการถกเถียงทางวิชาการว่า ระหว่างถูกอุกกาบาตพุ่งชนหรือการระเบิดของภูเขาไฟ อะไรคือสาเหตุการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งรู้จักกันอีกชื่อว่าการสูญพันธุ์เคที (K-T extinction)
       
       เกอร์ตา เคลเลอร์ (Gerta Keller) นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) สหรัฐฯ เป็นผู้ที่โต้แย้งมาหลายปีว่า แท้จริงแล้วกิจกรรมภูเขาไฟคือสิ่งที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์กล่าวว่า ข้อมูลใหม่จากงานวิจัยที่เขานำทีมศึกษานี้ เป็นเสียงปลุกให้เราต้องกลับมาประเมินกันใหม่ว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้ของการสูญพันธุ์เคที
       
       ขณะที่ผู้สนับสนุนทฤษฎีไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากอุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกที่ชิคซูลูบ (Chicxulub) เม็กซิโก เมื่อราว 65 ล้านปีก่อนแย้งว่า การพุ่งชนดังกล่าวได้ปลดปล่อยฝุ่นและก๊าซที่เป็นพิษสู่ชั้นบรรยากาศ กั้นแสงอาทิตย์จนความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่ว และอุดตันการหายใจของไดโนเสาร์และเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และยังอาจกระตุ้นให้เกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวและสึนามิ
       
       หากแต่ อีริค ฟอนท์ (Eric Font) นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยลิสบอน (University of Lisbon) โปรตุเกส ซึ่งไม่ได้มีส่วนในงานวิจัยใหม่นี้ ให้ความเห็นว่า ข้อมูลจากงานวิจัยใหม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เดคคันแทรปส์นั้นเกิดขึ้นก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหม่ไม่นาน และอาจมีส่วนทำให้เกิดการสูญพันธุ์ในบางส่วนหรือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ได้
       
       ทั้งนี้ เมื่อปี 2009 บริษัทน้ำมันได้ขุดเจาะชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย และพบตะกอนดินที่มีลาวาเก่าจาก 2 ยุคทับถมและถูกฝั่งอยู่ใต้ผิวมหาสมุทรประมาณ 3.3 กิโลเมตร ซึ่งเคลเลอร์และทีมวิจัยของเธอได้รับสิทธิในการเข้าไปวิเคราะห์ตะกอนดินดังกล่าว และพบว่าตะกอนดินนั้นเต็มไปด้วยฟอสซิลจากรอยต่อระหว่างยุคครเตเชียส (Cretaceous) และยุคเททอร์เทียรี (Tertiary) หรือรอยต่อเคที (K-T Boundary) ซึ่งเป็นช่วงที่ไดโนเสาร์ถูกกวาดล้างไปจากโลก
       
       อาดาท ธีแยร์รี (Adatte Thierry) นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยโลซาน (University of Lausanne) ในฝรั่งเศส ผู้ร่วมวิจัยกับเคลเลอร์กล่าวว่า ตะกอนดินดังกล่าวถูกเจาะพรุนไปด้วยชั้นของลาวา ซึ่งเดินทางไกลราวๆ 1,600 กิโลเมตรจากเดคคันแทรปส์ ปัจจุบันอาณาบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟแผ่กว้างกินพื้นที่พอๆ กับประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อครั้งที่ภูเขาไฟปะทุในยุคครีเตเชียสนั้นกินพื้นที่เกือบเท่าทวีปยุโรปในตอนนี้
       
       ในร่องรอยของฟอสซิลเผยให้เห็นแพลงก์ตอนที่มีจำนวนน้อยกว่า ขนาดเล็กกว่าและมีเปลือกที่ซับซ้อนน้อยกว่าอยู่ในชั้นถัดจากลาวาไม่มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่ปีหลังภูเขาไฟปะทุ โดยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ค่อยๆ ตายลง
       
       ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่น้อยนั้น ก็มีสิ่งมีชีวิตในสกุลแพลงก์ตอนที่ทรหด มีขนาดเล็กและมีโครงสร้างแข็งภายนอกที่ไม่สามารถจัดเข้าพวกใดได้ ชื่อว่า “กิมบิลิเทรีย” (Guembilitria) โผล่ขึ้นมาในฟอสซิล และทีมของเคลเลอร์พบแนวโน้มคล้ายๆ กันนี้จากการวิเคราะห์ตะกอนดินทะเลที่พบในอียิปต์ อิสราเอล สเปน อิตาลี และในเท็กซัส สหรัฐฯ โดยพบกิมบิลิเทรียปรากฏในฟอสซิล 80-98% ขณะที่สิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่นๆ นั้นหายไปหมด
       
       “เราเรียกมันว่านักฉวยโอกาสจากหายนะ มันเหมือนกับแมลงสาบ ซึ่งขณะที่ทุกอย่างนั้นกำลังเลวร้าย มันกลายเป็นสิ่งเดียวที่อยู่รอดและเจริญเติบโตได้” เคลเลอร์กล่าว
       
       กิมบิลิเทรียอาจครองโลกในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยซัลเฟอร์ปริมาณมากจากการปลดปล่อยของภูเขาไฟเดคคันแทรปส์และก่อให้เกิดฝนกรดตกสู่มหาสมุทร แล้วสร้างพันธะทางเคมีกับแคลเซียม จนอยู่ในรูปที่สิ่งมีชีวิตในทะเลไม่อาจนำไปใช้เพื่อสร้างเปลือกและโครงสร้างกระดูกได้
       
       สำหรับงานที่ผ่านมาของทีมเคลเลอร์พวกเขาได้พบหลักฐานที่ชิคซูลูบ ซึ่งฉายแววสิ่งที่น่าเคลือบแคลงเกี่ยวกับการเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เนื่องจากอุกกาบาตพุ่งชนโลก โดยพวกเขาพบตะกอนดินที่มีธาตุเออริเดียม อันเป็นส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญของอุกกาบาตในช่วงเวลาหลังการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเธอกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อว่า อุกกาบาตเป็นสาเหตุให้เกิดการตายอย่างฉับพลัน
       
       นอกจากนี้เคลเลอร์ยังกล่าวอีกว่า การพุ่งชนของอุกกาบาตนั้นไม่น่าจะทำให้เกิดซัลเฟอร์และคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นพิษได้มากพอ ที่จะสัมพันธ์กับระดับที่พบในหินต่างๆ โดยเป็นไปได้ว่าอุกกาบาตอาจเสริมให้การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เลวร้ายลงไป แต่ไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
       
       “อุกกาบาตนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์” เคลเลอร์กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2555

112
โนเกีย อดีตผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่เบอร์ 1 ของโลกจากฟินแลนด์ประกาศในวันอังคาร (4) จำเป็นต้องขายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่นอกกรุงเฮลซิงกิเพื่อนำเงินมาใช้แก้ปัญหาสภาพคล่องภายในองค์กรที่เข้าขั้นวิกฤต
       
       รายงานข่าวระบุว่า อดีตผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ตัดสินใจขายสำนักงานใหญ่ในเมืองเอสปูที่เป็นบ้านของโนเกียมาตั้งช่วงทศวรรษที่ 1990 ให้กับ “Exilion” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของฟินแลนด์ในวงเงิน 170 ล้านยูโร (ราว 6,821 ล้านบาท) โดยคาดว่าการซื้อขายดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ และหลังจากนั้นทางโนเกียจะยื่นเรื่องขอ “เช่า” อาคารหลังนี้ซึ่งมีชื่อว่า “โนเกียเฮาส์” แทน แม้พนักงานของโนเกียจำนวนมากจะต้องรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเปลี่ยนสถานะจาก “เจ้าของบ้าน” กลายเป็น “ผู้เช่า”
       
       ด้านทิโม อิฮามูติลา ประธานฝ่ายการเงินของโนเกียเผยว่า การเป็นเจ้าของอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์มิใช่ส่วนหนึ่งในแผนธุรกิจหลักของโนเกียในขณะนี้ และทางบริษัทจำเป็นต้องเร่งขายทรัพย์สินที่มิใช่หัวใจในการทำธุรกิจออกไปเมื่อโอกาสมาถึง
       
       ความเคลื่อนไหวล่าสุดของโนเกียมีขึ้นหลังบริษัทเพิ่งประกาศผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันจากยอดขายที่ลดฮวบและไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น จนส่งผลต่อสภาพคล่องภายในองค์กร และนำมาซึ่งการตัดสินใจขายทรัพย์สินต่างๆ เพื่อความอยู่รอด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 ธันวาคม 2555

113
ผลการศึกษาจากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยกรานาดาในสเปนพบว่า อุณหภูมิที่บริเวณจมูกของคนเราจะพุ่งสูงขึ้น เมื่อบุคคลผู้เป็นเจ้าของจมูกนั้นกำลังพูดโกหก
       
        ผลการวิจัยล่าสุดจากแดนกระทิงดุซึ่งใช้กระบวนการตรวจจับความร้อนเป็นเกณฑ์ได้ข้อสรุปว่า พบการพุ่งสูงขึ้นของอุณหภูมิบริเวณจมูกรวมถึงกล้ามเนื้อรอบเบ้าตา ในขณะที่อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองกำลังพูดโกหก รวมถึง กลุ่มตัวอย่างที่กำลังเผชิญกับภาวะที่มีความวิตกกังวลสูง ซึ่งทำให้เกิดการพุ่งขึ้นของอุณหภูมิในบริเวณดังกล่าวของร่างกายได้เช่นกัน โดยผู้วิจัยเชื่อว่าร่างกาย จิตใจและภาวะทางอารมณ์ของมนุษย์ต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก อันเป็นผลมาจากการทำงานของสมองในส่วนที่เรียกว่า “อินซูลา” ที่ควบคุมความตระหนักรับรู้ของมนุษย์
        นอกจากนั้น ทีมวิจัยยังพบข้อมูลว่า อุณหภูมิของร่างกายบริเวณหน้าอกและอวัยวะเพศจะพุ่งสูงขึ้นในหลายโอกาส เช่น เมื่อเผชิญกับความตื่นเต้นหรือการปลุกเร้าทางเพศ
       
        อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาชิ้นล่าสุดถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ เนื่องจากในอดีตก็เคยมีผู้ที่ค้นคว้าและทดลองในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้มาแล้ว อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อสรุปที่ว่าคนพูดโกหกจะมีอุณหภูมิบริเวณจมูกพุ่งสูงขึ้นนั้น อาจไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องเสมอไป โดยเฉพาะหากต้องเผชิญหน้ากับพวกนักโกหกมืออาชีพ หรืออาชญากรระดับพระกาฬที่มีประสบการณ์ในการถูกตำรวจสอบสวนมาแล้วอย่างโชกโชน


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ธันวาคม 2555

114
 กุมารแพทย์หนุนปรับลดเวลาเรียนเด็กไทย ชี้สอนอัดแน่นเกินไป ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์เด็ก แนะปูพื้นคุณธรรม จริยธรรมก่อนวิชาการ โดยเฉพาะช่วงอนุบาลถึงประถมต้น เน้นออกกำลังกาย เล่นกีฬา เรียนรู้นอกห้อง สอนวิธีการเรียนรู้ให้เด็ก เชื่อ ช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กได้ดีกว่าการนั่งท่องจำ
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (บอร์ด กพฐ.) ให้ทบทวนจำนวนคาบเรียนต่อวัน ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปว่าจะปรับหรือลดแน่ชัดหรือไม่ ว่า ปัจจุบันการเรียนการสอนของประเทศไทยมีจำนวนวิชามากจนเกินไป โดยเฉพาะเด็กในช่วงชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งสมควรสอนในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมากกว่าวิชาความรู้อื่นๆ ที่อัดแน่นตั้งแต่เด็ก ซึ่งตนมองว่าวิชาเหล่านั้นสามารถเรียนรู้ในภายหลังได้ เนื่องจากเรียนรู้ไวเกินไปสุดท้ายก็ลืมหมด แต่ควรที่จะต้องปลูกฝังความเป็นคนดีให้แก่เด็กตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เพื่อให้เด็กรู้จักความสามัคคี การรู้แพ้ รู้ชนะ การออกไปเรียนรู้หรือทดลองปฏิบัตินอกห้องเรียน รวมไปถึงกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ
       
       “ในต่างประเทศทั้งประเทศแถบสแกนดิเนเวีย หรือญี่ปุ่น ต่างสอนเด็กของเขาในเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเขาต้องการให้พื้นฐานของเด็กดีก่อน มีสุขภาพที่แข็งแรง และรู้จักสังคม ตนเห็นด้วยหากจะปรับลดจำนวนคาบการเรียนการสอน โดยหันไปเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การเรียนจากของจริงนอกห้องเรียนมากกว่าเรียนในกระดาษ รวมไปถึงการออกกำลังกาย เล่นกีฬาบ่อยๆ สอนวิธีการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ามานั่งท่องจำเยอะๆในห้องเรียน” ปธ.ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ กล่าว
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จะสังเกตได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว การเรียนการสอนจะน้อย ไม่อัดแน่นเหมือนประเทศไทยที่เด็กนั่งเรียนกันจนไม่มีเวลาคิดอะไรที่สร้างสรรค์ ซึ่งในต่างประเทศให้เด็กเรียนเพียงครึ่งวัน จากนั้นจึงให้ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาสมอง และวิธีการเรียนรู้ ทั้งนี้ หากประเทศไทยจะปรับลดจำนวนคาบเรียน ควรมีการหากิจกรรมให้เด็กทำ แต่ครูต้องไม่เข้าไปสอน เพราะหากมีการสอนมากๆ เด็กก็จะหันไปเล่นเกมแทน แต่หากมีกิจกรรมให้เด็กได้ทำก็จะช่วยลดการคลายเครียดด้วยการเล่นเกมมากๆ ได้ นอกจากนี้ ควรเน้นในเรื่องการอ่านเพื่อสร้างจินตนาการให้เด็กด้วย เชื่อว่า จะช่วยพัฒนาให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพที่ดีได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤศจิกายน 2555

115
 ตื่น! ฟิลิปปินส์เรียกเก็บบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเกาหลี หลังพบสารก่อมะเร็ง “เบนโซ (เอ) ไพรีน” ในเครื่องปรุงรส อย.เพิ่งสะดุ้ง สั่งตรวจการนำเข้าเข้ม หากพบเตรียมอายัดผลิตภัณฑ์เพื่อตรวจสอบ ร่อนหนังสือขอทุกร้านร่วมมือเก็บผลิตภัณฑ์ออกจากชั้นวาง จนกว่าจะทราบผลตรวจ
       
       วันนี้ (6 พ.ย.) นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนกรณีหนังสือพิมพ์ประเทศฟิลิปปินส์ ลงข่าวการเรียกเก็บ บะหมี่กึ่งสําเร็จรูปของ บ.นองชิม (Nongshim) จากเกาหลีใต้ หลังได้รับรายงานมีสารก่อมะเร็ง ว่า อย.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ขณะนี้ได้สั่งให้สํานักอาหารและสํานักด่านอาหารและยา ของ อย.ตรวจสอบเฝ้าระวังเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดแล้ว ส่วนสารก่อมะเร็งที่พบเป็นสารเบนโซ (เอ) ไพรีน อยู่ในเครื่องปรุงรสในบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ซึ่งมีการผลิตที่ประเทศเกาหลีใต้ ดังนั้น ประเทศในโซนเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ จึงเรียกเก็บคืนบะหมี่ที่พบปัญหาดังกล่าว ในส่วนของประเทศไทย อย.ได้สั่งการให้ด่านอาหารและยาทั่วประเทศ เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โดยขณะนี้ หากพบมีการนําเข้าในไทย ขอให้อายัดผลิตภัณฑ์ไว้ที่ด่านก่อน เพื่อตรวจสอบและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในทุกรุ่นที่มีการนําเข้า และส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อหาสารก่อมะเร็งดังกล่าว

       นพ.บุญชัย กล่าวอีกว่า สําหรับมาตรการการกํากับดูแลในประเทศ อย.จะขอความร่วมมือให้ผู้นําเข้าเพื่อจําหน่ายเรียกคืนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และขอความร่วมมือสถานที่จําหน่ายให้นําผลิตภัณฑ์ออกจากชั้นวางของชั่วคราว จนกว่าผลการตรวจวิเคราะห์พบอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ อย.จะสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบหาการปนเปื้อนสารดังกล่าวในบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปของบริษัท นองชิม ที่วางขายในร้านค้าปลีกอย่างเร่งด่วนด้วย
       
       “ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจการดําเนินงานของ อย.ที่จะตรวจสอบ เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อาหารสําเร็จรูปทุกชนิดที่นําเข้ามาจําหน่ายในไทย มิให้มีผลิตภัณฑ์ที่มีสารปนเปื้อนอันตรายเล็ดรอดจําหน่ายในท้องตลาด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ผู้บริโภค โดยในช่วงที่ผ่านมา อย.สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่วางจําหน่ายตามท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากพบการนําเข้าผลิตภัณฑ์อาหารสําเร็จรูปใดมีสารปนเปื้อน หรือสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพปนเปื้อนอยู่จัดเป็นการนําเข้าเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์จะถูกดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หากผู้บริโภคพบเห็นการจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพใดคาดว่าผิดกฎหมาย หรือมีสารอันตรายปนเปื้อนแจ้งร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย.โทร.1556” เลขาธิการ อย.กล่าว
       
       น.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร อย.กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือเรียกเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อนำมาตรวจสอบแล้ว คาดว่า 2 สัปดาห์จะทราบผล หากไม่พบสารเบนโซ (เอ) ไพลีน ก็จะให้จำหน่ายได้ตามเดิม อย่างไรก็ตาม สำหรับสารเบนโซ (เอ) ไพลีน เป็นสารกลุ่มหนึ่งในสาร PHA (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอน อย่างปิ้งย่างเนื้อสัตว์ด้วยไฟแรง เป็นต้น แต่ในกรณีนี้เกิดขึ้นได้ตรงผงปรุงรส ซึ่งทำมาจากเนื้อสัตว์ที่นำไปเคี่ยวและอบด้วยความร้อนสูงๆ ก็อาจมีโอกาสพบสารก่อมะเร็ง แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่พบ ต้องรอการตรวจวิเคราะห์ก่อน ซึ่งล่าสุดในเกาหลีใต้ ก็มีข่าวยืนยันว่า ไม่พบ และจำหน่ายได้ตามเดิมแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤศจิกายน 2555

116
แม้ว่า “มนุษย์” ในปัจจุบัน คือ มนุษย์สายพันธุ์เดียวที่เหลือรอดอยู่บนโลกใบนี้ จากที่อดีตเคยมีมนุษย์สายพันธุ์อื่นโลดแล่นอยู่ด้วย ซึ่งรวมถึง “นีแอนเดอร์ทัล” มนุษย์โบราณที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว แต่จากการวิเคราะห์พันธุกรรมฟอสซิลของมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้น พบว่าพวกเขาเคย “ผสมข้ามพันธุ์” กับบรรพบุรุษของเราในอดีต
       
       มีเพียงชาวแอฟริกันทางตอนใต้ของทะเลซาฮารา หรือ ซับ-ซาฮารันแอฟริกัน (sub-Saharan African) ในปัจจุบันเท่านั้นที่ไม่มีเชื้อสายของมนุษย์โบราณ “นีแอนเดอร์ทัล” (Neanderthal) ซึ่งไลฟ์ไซน์ได้อ้างตามรายงานล่าสุดของนักวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสารพลอส-วัน (PLoS ONE)
       
       งานวิจัยใหม่ชี้ว่าชาวแอฟริกาเหนือ (North African) ในปัจจุบันมีร่องรอยพันธุกรรมที่ได้มาจากนีแอนเดอร์ทัล ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดมนุษย์ยุคใหม่มากที่สุด และสูญพันธุ์ไปแล้ว และจากการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม พบว่า มนุษย์สายพันธุ์นี้เคย “ผสมข้ามสายพันธุ์” กับบรรพบุรุษของเรา โดยการประเมินล่าสุดเผยว่าจีโนมของชาวยูเรเซีย (Eurasian) หรือชาวยุโรปและเอเชียนั้นมีดีเอ็นเอของนีแอนเดอร์ทัลอยู่ 1-4%
       
       แม้ว่าการผสมข้ามพันธุ์ดังกล่าวจะให้กำเนิดลูกหลานไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะส่งต่อระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้แก่มนุษย์บางคนในปัจจุบัน และจากจีโนมของนีแอนเดอร์ทัลยังเผยให้เห็นว่า คนที่อาศัยอยู่นอกแอฟริกานั้นมีพันธุ์ของนีแอนเดอร์ทัลมากกว่าชาวแอฟริกัน
       
       สิ่งที่น่าจะอธิบายได้ คือ มนุษย์ยุคใหม่นั้น “ผสมข้ามพันธุ์” กับนีแอนเดอร์ทัลเพียงไม่นานหลังสายพันธุ์ใหม่เริ่มออกไปจากแอฟริการาว 100,000 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างน้อย หรือภาพที่ซับซ้อนมากกว่านั้นอีก คือ มนุษย์แอฟริกาที่เป็นบรรพบุรุษทั้งของนีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์ปัจจุบันนั้นแยกพันธุกรรมจากมนุษย์แอฟริกาอื่นเมื่อประมาณ 230,000 ปีก่อน และมนุษย์กลุ่มนั้นก็ยังคงมีพันธุกรรมที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจนจนกระทั่งออกจากแอฟริกา
       
       เพื่อหาคำตอบว่าทำไมนีแอนเดอร์ทัลจึงมีพันธุกรรมคล้ายคลึงคนที่อาศัยอยู่นอกแอฟริกามากที่สุด ไลฟ์ไซน์ ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องวิเคราะห์พันธุกรรมของชาวแอฟริกันเหนือ และนักวิจัยบางคน ก็ระบุว่า กลุ่มเหล่านั้นคือต้นตอของกลุ่มอพยพออกนอกแอฟริกา ซึ่งท้ายสุดได้ขยายเผ่าพันธุ์ออกไปทั่วโลก โดยสนใจความผันแปรทางพันธุกรรม 780,000 ตำแหน่ง ในคน 125 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนจาก 7 ถิ่นอาศัยที่แตกต่างกันในแอฟริกาเหนือ
       
       ทีมวิจัยพบว่า ชาวแอฟริกาเหนือนั้น มีความผันแปรทางพันธุกรรมสูงและสัมพันธ์กับนีแอนเดอร์ทัลมากกว่าชาวแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา ซึ่งความผันแปรทางพันธุกรรมของนีแอนเดอร์ทัลในชาวแอฟริกาเหนือนี้ อยู่ในระดับเดียวกับที่พบได้ในชาวยูเรเซียปัจจุบัน และนักวิทยาศาสตร์ยังพบด้วยว่า พบสัญญาณทางพันธุกรรมของนีแอนเดอร์ทัลสูงขึ้นในชาวแอฟริกาเหนือ ซึ่งบรรพบุรุษได้จับคู่ข้ามสายพันธุ์กับคนในแถบตะวันออกใกล้ (ตุรกี เลบานอน อิสราเอล อิรัก ฯลฯ) หรือยุโรป อันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าสัญญาณทางพันธุกรรมดังกล่าว มาจากการผสมรวมกันแต่โบราณกับนีแอนเดอร์ทัล ไม่ใช่เพิ่งมาผสมข้ามพันธุ์กับมนุษย์ปัจจุบันที่มีบรรพบุรุษผสมข้ามพันธุ์กับนีแอนเดอร์ทัล
       
       “มีประชากรกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ไม่มีพันธุกรรมของนีแอนเดอร์ทัลปนมา นั่นคือกลุ่มคนแอฟริกันใต้ทะเลทรายซาฮารา” ชารลส์ ลาลูซา-ฟอกซ์ (Carles Lalueza-Fox) ผู้วิจัยเรื่องนี้และเป็นนักบรรพชีวินวิทยาจากสถาบันชีววิทยาวิวัฒนาการ (Institute of Evolutionary Biology) ในบาร์เซโลนา สเปน กล่าว
       
       ทีมวิจัยกล่าวว่า สิ่งที่พวกเขาพบนั้นไม่ได้แสดงว่า นีแอนเดอร์ทัลเข้าไปยังแอฟริกาและมีความสัมพันธ์กับชาวแอฟริกันโบราณ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการบอกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โบราณ 2 เผ่าพันธุ์นั้นเกิดขึ้นนอกแอฟริกา ซึ่งอาจจะเป็นตะวันออกใกล้ แล้วพวกเขาก็อพยพกลับไปยังแอฟริกาบางส่วน แล้วกลายเป็นประชากรของแอฟริกาเหนือ คล้ายๆ การเข้าไปแทนหรือการปะปนไปในประชากรของบรรพบุรุษ และยังชี้ว่ากลุ่มในแอฟริกาเหนือนั้นไม่ใช่กลุ่มที่ทำการอพยพครั้งใหญ่ แต่อาจจะเป็นชาวแอฟริกาตะวันออกที่นำขบวนอพยพครั้งใหญ่นั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤศจิกายน 2555

117
ริค เฮย์ นักสรีรวิทยาเชิงโภชนาการ มีของว่างที่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งช่วยข่มอาการอยากอาหารต่าง ๆ ชนิดมาฝากกัน

ของว่าง 5 อย่างสำหรับคนรักช็อกโกแลต

- ช็อกโกแลตดำ 75% 2-3 ชิ้น ถ้าเป็นช็อกโกแลตออร์แกนิกได้ก็ยิ่งดี
- โยเกิร์ตออร์แกนิกแบบกรีก สูตรไร้น้ำตาล ผสมผงช็อกโกแลตล้วนครึ่งช้อนชา
- ถั่วลิสงเคลือบช็อกโกแลตกับอัลมอนด์สัก 4-5 เมล็ด
- ถั่วเปลือกแข็ง 4-5 เมล็ด กับลูกเกดเคลือบช็อกโกแลต 6-7 เมล็ด
- ขนม Cocoa Orange Nak′d Bar ครึ่งแท่ง

ของว่าง 5 อย่างสำหรับคนรักของเค็ม

วางถุงมันฝรั่งทอดกรอบและกระปุกถั่วคลุกเกลือลงได้แล้ว

- ข้าวเกรียบแบบจีน 4 แผ่น เลือกที่ทำจากข้าวกล้องและแต่งรสด้วยซอสถั่วเหลือง
- มันฝั่งทอดกรอบชนิดไขมันและเกลือต่ำ ตอนสายครึ่งถุง และบ่ายอีกครึ่งถุง
- ถั่วแระญี่ปุ่น 1 กำมือ โรยเกลือนิดหน่อย
- เค้กข้าวโอ๊ตทามาร์ไมต์บาง ๆ 2 ชิ้น
- ไข่ต้มโรยเกลือทะเล เกลือก้อนหรือเกลือหิมาลัยสีชมพู ซึ่งไม่ส่งผลต่อร่างกายเท่าเกลือแกง

ของว่าง 5 อย่างสำหรับคนรักรสหวาน
เมื่อคุณอยากของหวาน หวานแล้วและหวานอีก ลองเปลี่ยนมาเป็น

- องุ่น 1 กำมือ กับถั่วอัลมอนด์ ช่วยข่มอาการอยากของหวานได้เป็นอย่างดี
- บลูเบอร์รี่ 1 ถ้วย กับโยเกิร์ตน้ำตาลต่ำ 1 ช้อนเล็ก ๆ
- ผลไม้อบแห้ง / เมล็ดพืช / ถั่วผสมครึ่งถุง
- น้ำผลไม้ 1 แก้ว ผสมกับโซดาในอัตราส่วน 1:1
- ผลไม้อบแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ จะเป็นลูกพรุน มะเดื่อ หรือสับปะรดก็ได้ กินแทนลูกอมได้เลย !

ของว่าง 5 อย่างสำหรับคนรักนมเนย
คิดถึงรสชาติมัน ๆ หรือคะ ต้องนี่เลย

- โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองไขมันต่ำ อย่าลืมอ่านฉลากให้แน่ใจก่อนว่าน้ำตาลไม่ใช่ 1 ใน 3 ส่วนผสมหลัก
- นมรสกล้วย แก้วขนาดกลาง 1 แก้ว จะเป็นนมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลืองก็ได้ พร้อมโรยอบเชยนิดหน่อย
- แอปเปิ้ลตุ๋นถ้วยเล็ก ๆ กับครีมสด 1 ช้อนน้อย ๆ
- ขนมปังกรอบไรย์วิต้าทาชีส จะเป็นคอนเทจชีส เชดดาร์ชีส หรือชีสนมแพะก็ได้
- ไอศกรีม 2 ช้อนชา โรยด้วยถั่วบดและเบอร์นี่นิดหน่อย

ที่มา : woman&home

26 ต.ค. 2555 เวลา 17:50:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

118
ผลจากความผิดพลาดในระบบการศึกษาจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้วันนี้เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจและสังคมไทยเริ่มถอยหลังลงคลอง ล้าหลังกว่าประเทศที่เคยด้อยพัฒนากว่าเราเมื่อหลายปีก่อน

ซ้ำร้ายกำลังถูกประเทศที่เคยมีการพัฒนาสูสีกับไทยจะแซงหน้า เกิดอะไรกับระบบการศึกษาของไทยและการพัฒนาคน
ในงานเปิดสำนักสิริพัฒนา ศูนย์อบรมของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การพัฒนาคน" โดยมี "ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เป็นองค์ปาฐก

อธิการบดีนิด้ากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การจะสร้างชาติให้มีความจริญก้าวหน้า ต้องเริ่มจากการสร้างคนให้มีคุณภาพ ซึ่งได้มีการทำวิจัยมาแล้วในหลายประเทศว่า ชาติที่ลงทุนในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สูงและมีความต่อเนื่อง จะส่งผลให้การพัฒนาของประเทศในระยะยาวมีการเจริญเติบโตยั่งยืน แต่หากประเทศใดทุ่มงบประมาณไปที่การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้คนมีคุณภาพต่ำ และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างคุ้มค่า ก่อให้เกิดหนี้จากการกู้ยืมเงินมาลงทุน

"ในอดีตการลงทุนด้านการศึกษาไทยต่ำมาก หากไปดูที่เกาหลีใต้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เขาล้าหลังกว่าไทยมาก แต่ปัจจุบันเกาหลีใต้กลับพัฒนาตนเองและเติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยสูงมาก"
ในเวลาเท่ากันอัตราการเจริญเติบโตของรายได้เฉลี่ยของคนเกาหลีใต้สูงกว่าคนไทยมากกว่า 4 เท่า ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เหตุที่เกาหลีใต้สามารถประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาคน เห็นได้จากมีการลงทุนด้านการศึกษาเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD

"วันนี้เกาหลีเขาพัฒนาตนเอง มีสินค้า

ส่งออกมากมาย เราลงเครื่องบินเห็นโฆษณาฮุนได เห็นซัมซุง แอลจี ซึ่งเป็นสินค้าเทคโนโลยี รวมไปถึงความสำเร็จในเรื่องสินค้าวัฒนธรรม สร้างกระแสเคพ็อป ละครเกาหลี เพราะเขาลงทุนด้านการพัฒนาคนเป็นอันดับหนึ่ง และสำเร็จในเรื่องการพัฒนาคนเก่งให้เป็นครู ขณะที่สินค้าของประเทศไทยยังก้าวไปไม่ถึงจุดนั้น"

หากกระบวนการสร้างคนที่คุณภาพมากที่สุดคือการศึกษาในระบบ ลองกลับมาดูระบบการศึกษาในเมืองไทยว่า

ล้มเหลวอย่างไร หลังจากเปลี่ยนโครงสร้างทางการศึกษาใหม่ ใน พ.ร.บ.การศึกษา 2542 ผ่านมาเป็น 10 ปี ประสบความสำเร็จเพียงการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก แต่ล้มเหลวเรื่องการสร้างคุณภาพ

แม้รัฐบาลจะลงทุนเรื่องการศึกษา โดยจัดสรรงบประมาณให้แก่กระทรวงศึกษาธิการสูงสุด ในปี 2556 ถึง 4.6 แสนล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 19.18 ของงบประมาณรวม 2.4 ล้านล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับ GDP หรือรายได้ประชาชาติต่อหัว ของประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ

โดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย หรือประเทศในเอเชียที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างเกาหลีใต้"สมัยก่อนเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยอนาคตไม่มี แต่วันนี้ที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีมากกว่านักศึกษา เราไม่มีปัญหาเรื่องโอกาส แต่ปัญหาที่ตามมาคือเรื่องคุณภาพการศึกษา ดูจากผลโอเน็ต ปี 2555 เด็กนักเรียน ม.ปลาย 3 แสนคน มีวิชาเดียวที่สอบได้คะแนนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ คือวิชาสุขศึกษา นอกนั้นวิชาวิทย์ คณิต สังคม ภาษา มีเฉลี่ยคะแนนอยู่ที่ 20% เท่านั้น"

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมีโอกาสในการคัดเลือกเด็กเก่ง ไม่น่าห่วง แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่าจะต้องรับมือกับการสร้างคุณภาพทางการศึกษาที่หนักกว่า ถ้าเด็กจบมาไม่มีคุณภาพก็นับว่าเป็นความสูญเปล่าทางการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นต้นน้ำของการศึกษาทั้งระบบซึ่งการจะสร้างคนที่มีคุณภาพได้นั้น มหาวิทยาลัยอาจต้องมีการลงทุนด้วยทรัพยากรจำนวนมากหันมาดูประเทศในภูมิภาคอย่างประเทศสิงคโปร์ มีประชากร 3.2 ล้านคน เทียบกับประเทศไทยที่มี 65 ล้านคน แต่จีดีพีมากกว่าประเทศไทยถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดเพราะรัฐบาลสิงคโปร์เห็นความสำคัญและคุณค่าของการศึกษา จึงลงทุนอย่างมากในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างคน

"เฉพาะมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์แห่งเดียวก็ได้รับงบประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยรัฐของไทยทั้งหมด
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสิงคโปร์ถึงมีขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นอันดับ 6 ของโลก" อีกปัญหาที่ตามมาสำหรับเมืองไทยคือขาดบุคลากรการสอนหรือครูที่มีคุณภาพ

เขากล่าวต่อว่า นอกจากความขาดแคลนครูในการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นต้นน้ำของการศึกษากว่า 9 หมื่นคนแล้ว ยังมีปัญหาด้านคุณภาพของครูที่ไม่สามารถสอนให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ได้ รวมถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่จ้างครูอัตราจ้างเข้ามา ทำให้ไม่สามารถดึงดูดครูเก่งไว้ได้ ถือเป็นระบบที่ทำลายคุณภาพการศึกษาอย่างยิ่ง

"การสร้างครูจึงต้องเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกคนที่มีความเหมาะสม พัฒนาให้เก่ง และที่สำคัญเมื่อเรามีคนเก่งแล้วต้อง

รักษาเขาไว้ให้ได้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยมีความอดทน ทำให้มีการเทิร์นโอเวอร์สูงมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาหลักสูตรการเรียนการสอนที่จะสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์แก่นักเรียน ซึ่งต้องสร้างครูให้มีความสามารถในการสอนในทางนั้นด้วย"

การพัฒนาคนให้มีศักยภาพและมีความสามารถสูง จะส่งผลไปยังความสำเร็จของธุรกิจและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะบริหารจัดการและสร้างคนให้มีคุณภาพ หากปัญหายังแก้ไม่ตรงจุด ความอ่อนแอของไทยอาจจะถูกเผยให้เห็นชัดเจนหลังเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 ถึงเวลานั้นคนที่อยู่รอดคือคนที่มีโอกาสมากกว่าและปรับตัวทันเท่านั้น

29 ต.ค. 2555 เวลา 11:32:38 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

119
รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมปฏิรูปแผนการศึกษาใหม่ โดยให้ทุกโรงเรียน บรรจุภาษาเอเชียไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย
 
นายกรัฐมนตรีจูเลีย กิลลาร์ด ของออสเตรเลีย เผยแผนส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาในภูมิภาคเอเชีย ให้เด็กออสเตรเลีย โดยประกาศว่าภายในปี 2568 โรงเรียนทุกแห่งในประเทศ จะต้องเปิดการเรียนการสอนภาษาของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าที่สำคัญของออสเตรเลีย ทั้งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และอินเดีย
 
ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียมุ่งมั่นจะให้โรงเรียนทุกแห่งในประเทศเปิดการเรียนการสอนภาษาเอเชียผ่านระบบออนไลน์ กับโรงเรียนในประเทศต่าง ๆ ตามเป้าหมายให้ได้ ภายในปี 2568 โดยให้เหตุผลว่า การชี้นำให้เด็กเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้และมีความสามารถในการใช้ภาษาเอเชีย เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตและอาชีพของเด็ก

ที่มา : สำนักข่าวไทย

29 ต.ค. 2555 เวลา 17:00:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

120
เชื่อหรือไม่การดูหนังสยองขวัญหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Horror Film สักหนึ่งเรื่อง มีพลังกระตุ้นช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ระดับช็อคโกแลตหนึ่งแท่งได้เลยทีเดียว

ผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ระบุว่าคนที่ชมภาพยนตร์สยองขวัญระดับ 90 นาที จะช่วยสูบฉีดอะดรีนาลีน ซึ่งทำการเผาผลาญได้ถึง 113 แคลอรี่ หรือใกล้เคียงกับการเดินในครึ่งชั่วโมง ซึ่งช่วยเผาผลาญช็อคโกแลตหนึ่งแท่ง

และสุดยอดภาพยนตร์สยองขวัญที่ได้รับเลือกให้เป็นหนังสยองขวัญช่วยลดความอ้วนได้มากที่สุดหรือพูดง่ายๆช่วยเบิร์นไขมันในร่างกายได้ยอดเยี่ยมเลยคือภาพยนตร์สยองขวัญแนวจิตThe Shining หนังหลอนยุค 80 ความน่าสะพรึงของมันยกนิ้วให้ว่าเป็นหนังสยองที่สร้างจากนิยายแจ้งเกิดในวงกว้างที่ยอดเยี่ยมของราชานิยายสยองขวัญสตีเฟ่น คิงซึ่งหนังเรื่องนี้มีผลวิจัยระบุว่าเผาผลาญได้ถึง184แคลอรี่

แต่ถ้าใครคิดว่า The Shining นั้นหลอนเกินไป ขอให้ลองชมภาพยนตร์เรื่อง Jaws หนังฉลามสุดโหดที่ช่วยเผาผลาญได้ถึง 161 แคลอรี่ทีเดียว ตามมาด้วยอันดับสามยกให้หนังหมอผีที่มีคนอาเจียนในโรงภาพยนตร์ขณะดูมาแล้วนั่นคือ The Exorcist ที่ช่วยเผาผลาญได้ 158 แคลอรี่

ว่าแต่ผลวิจัยนี้วัดอะไรแบบไหน ทางผู้วิจัยระบุว่าใช้การวัดค่าพลังงานโดยรวมระหว่างชมภาพยนตร์มีการบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณออกซิเจน รวมทั้งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้ค้นพบจำนวนค่าเฉลี่ยการเผาผลาญแคลอรี่ที่เพิ่มขึ้นในขณะชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ชมตกใจจะมีการเบิร์นแคลอรี่เพิ่มขึ้นด้วยพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น

ดร.ริชาร์ด แมคเคนซี่ มหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้พยายามอธิบายว่าการชมภาพยนตร์สยองขวัญมีส่วนในการผลักดันชีพจรและเพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจและการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น หรือพูดง่ายๆคือในฉากที่่น่าตกใจผู้ชมจะมีอะดรีนาลีนสูบฉีดแรงเร็วขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในห้วงที่มีภาวะความเครียดที่รุนแรงช่วงสั้นๆ หรือในกรณีที่มาจากความหวาดกลัว ภาวะเช่นนี้จะทำให้มีความอยากอาหารต่ำ และไปเพิ่มอัตราการเผาผลาญเมตาโบลึซึ่มในร่างกายทำให้มีการเบิร์นสูงขึ้นของแคลอรี่นั่นเอง

ฟังดูแล้วเหมือนการดูหนังสยองขวัญอาจจะช่วยลดความอ้วนได้ไม่แน่ใจว่าหนังผีหนังสยองเมืองไทยหรือเกาหลีจะยิ่งเบิร์นแคลอรี่ยิ่งกว่าหนังฝรั่งหรือไม่แต่หากนับว่าผลวิจัยนี้บอกว่าดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีฉากช็อคๆใน 90 นาที ช่วยเบิร์นแคลอรี่เท่ากับเดินครึ่งชั่วโมง ฟังดูดี แต่ก็อาจต้องระวังว่าสุขภาพจิต และสุขภาพหัวใจจะต้องแข็งแรงไม่ช็อคกันไปซะก่อน

โดย "ติสตู" twitter @tistoo
ประชาชาติธุรกิจ  30 ต.ค. 2555

หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 13