แพทยสภารุกหนัก เตรียมฟ้องร้องศาลปกครอง ยกเลิก ม.12 สิทธิการตาย ชี้ กม.ช่องโหว่เพียบ อาจเข้าข่ายหมอเจตนาฆ่าคนไข้ แม้มีบทบัญญัติยกเว้นโทษให้ แต่ถือว่าขัดกับหลักกฎหมายอาญา กมธ.สาธารณสุขระบุ อาจเคลมประกันไม่ได้ "เลขาธิการ สช." ไม่ออกความเห็นยันเป็น กม. ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2554 ศ.คลินิค นพ.อำนาจ กุสสลานันท์ นายกแพทยสภา แถลงว่า ภายหลังจากออกกฎกระทรวง ม.12 เรื่อง การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็น ไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตนั้น แพทยสภาได้มีการออก แนวปฏิบัติ 6 ข้อ ส่งให้กับแพทย์ทั่วประเทศ ดังนี้
1.เมื่อได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องต้องแน่ใจว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยผู้ป่วยขณะที่มีสติสัมปชัญญะ เช่น หนังสือแสดงเจตนาฯ ที่กระทำโดยอยู่ในความรู้เห็นของแพทย์ เช่นนี้ แล้วให้ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย ยกเว้นกรณีตามข้อ 5
2. หนังสือแสดงเจตนาฯ นอกเหนือจากข้อ 1 ควรได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำโดยผู้ป่วยจริง
3. ในกรณีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ถึง "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ นี้ ให้ดำเนินการรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
4.การวินิจฉัยวาระสุดท้ายของชีวิตให้อยู่ในดุลย พินิจของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในภา วะวิสัยและพฤติการณ์ในขณะนั้น
5.ไม่แนะนำให้มีการถอดถอน (with draw) การรักษาที่ได้ดำเนินอยู่ก่อนแล้ว
6.ในกรณีที่มีความขัดแย้งกับญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่อง "ความจริงแท้" ของหนังสือแสดงเจตนาฯ
นายกแพทยสภา กล่าวต่อ ว่า ที่ผ่านมา แพทยสภาได้รับข้อร้องเรียนจากแพทย์ และประชาชน รวมถึงข้อสรุปจากการสัมมนากรรมา ธิการวุฒิสภา เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2554 ต่อการทำหนังสือไม่ขอรับสิทธิการรักษาดังกล่าว โดยที่ประ ชุมมีมติเสนอให้แพทยสภาเป็นตัว แทนในการดำเนินฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ยกเลิกข้อบังคับใน กฎกระทรวงฉบับนี้ โดยจะนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาวันที่ 14 ก.ค.นี้ เพื่อหาข้อยุติว่าจะดำเนินการอย่าง ไร หากที่ประชุมมีมติให้ฟ้องร้องทาง แพทยสภาก็จะเร่งดำเนินตาม มติก่อนจะแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทราบอีกครั้ง แต่หากที่ประชุมมีมติไม่ดำเนินการฟ้องร้องจะมีการ เพิ่มมาตรการที่เข้มข้น และศักดิ์ สิทธิ์มากกว่าแนวปฏิบัติที่ออกไป
ต่อข้อถามว่า ล่าสุด สธ.เตรียม แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการตาม กฎกระทรวงกำหนดแล้ว ทางแพทย สภาจะเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่ นา ยกแพทยสภา กล่าวว่า กฎกระทรวงฯ ไม่ได้ตั้งแพทยสภาเป็นกรรมการด้วย ดังนั้น เราต้องดำเนินการในส่วนของเราไป แต่แนวคิดก็คงจะเหมือน กัน เบื้องต้นเราจะต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติ 6 ข้อ ที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่ฟ้อง อาจจะมีการออกเป็นแนวปฏิบัติที่เข้มข้นและศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้
นพ.โชติศักดิ์ เจนพานิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า โดยส่วนตนเห็นว่า แนวปฏิบัติข้อที่ 5 จากทั้งหมด 6 ข้อนั้น เป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุด เพราะระบุไม่ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจหรือยุติการรักษา เพราะหากพิสูจน์ได้ภายหลังว่าหนังสือแสดงเจตนาไม่ใช้สิทธิการรักษาเป็นหนังสือเท็จ หรือมีความเห็นต่างของญาติ อาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องได้ ซึ่งการฟ้องร้องจะมีความแตกต่าง จากเมื่อก่อนที่เข้าข่ายการ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่หากแพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจตามหนังสือฯ จะกลายเป็นการเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ นอกจากนี้ ในประเด็นที่ระบุว่าผู้กระทำการรักษาตามหนังสือดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นโทษทั้งปวงนั้น จากการหารือแล้ว เห็นว่าเป็นกฎกระทรวงที่ขัดกับกฎหมายอื่นที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำกฎกระทรวงฉบับนี้ไปยกเว้นความผิดทางอาญา
ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า จากการสัมมนาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือเรื่องสิทธิการตายคืออะ ไร ซึ่งวาระสุดท้ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อีกทั้งวิทยาการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงกำหนดไม่ได้ว่าใครถึง วาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว เป็นเรื่อง ที่ผู้ป่วยและญาติต้องตกลงกัน นอก จากนี้ การทำหนังสือแสดงเจตนาใน การรักษาพยาบาลฯ จะทำให้ผู้ป่วย เสียสิทธิในหลายด้านเช่น
1.หากผู้ ป่วยถือสิทธิบัตรทอง จะเสียสิทธิเรียก ร้องค่าเสียหายตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2.อาจจะเสียสิทธิในการได้รับค่าทดแทนประกันชีวิต เพราะการแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการเจตนาฆ่าตัวตาย
3.ในส่วนของแพทย์ หากไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายอย่างชัดเจนแล้ว การกระทำการใดๆ อาจจะเป็นการทำผิดกฎหมายอื่นๆ อีกได้
ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นมติที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา แต่คิดว่าเป็นความเห็นของคณะแพทย์กลุ่มหนึ่ง จึงไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้ แต่ทั้งหมดนี้ ตนยืนยันว่าการออกกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการดำเนินการตาม กฎหมายโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมถึงแพทย์ พยาบาลที่ดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่เห็นปัญหาที่เกิดจากกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด
"ผมนั่งอยู่ตรงนี้ได้รับการประสานโดยตลอดจากทั้งแพทย์ พยาบาล ว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งในส่วนของ รพ.เองก็มีการพัฒนาระบบมารองรับเรื่องนี้อยู่ด้วย และก็มีประชาชนติดต่อเข้ามาขอข้อมูล แบบฟอร์มด้วย จึงไม่ทราบว่าตรงนั้นคิดอะไร และจะมีประโยชน์มากกว่าอย่างไร" เลขาธิการ สช.กล่าว.
ไทยโพสต์ 1 กรกฎาคม 2554