สถานรักษายาเสพติดต้องขึ้นทะเบียน และติดตามความรู้ที่ถูกต้อง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของนายแพทย์ผู้หนึ่ง กรณีใช้ยาน้ำแก้ไอผสมโคเดอีนค่อนข้างมากให้กับผู้ป่วยในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ณ โรงพยาบาลเอกชนสองแห่ง จึงขอให้แพทยสภาตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหานั้นถูกต้องตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ เลขาธิการแพทยสภาส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการจริยธรรม พิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริง
คณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ พิจารณาข้อร้องเรียนประกอบคำชี้แจงข้อเท็จจริงของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา ความเห็นจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และคำโต้แย้งชี้แจงประเด็นความผิดของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา จากเอกสารข้อมูลที่รวบรวมได้ทั้งหมด รวมทั้งพยาน หลักฐานที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีการจ่ายยาน้ำแก้ไอผสมเดอีนเพื่อการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่ามีการจ่ายยาน้ำแก้ไอผสมโคเดอีนจริง โดยมีนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้สั่งจ่ายยาดังกล่าวทั้งสองโรงพยาบาล และจากคำชี้แจงข้อเท็จจริงของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้ปฏิเสธการสั่งจ่ายยาดังกล่าวให้กับผู้ติดสารเสพติด คณะอนุกรรมการจริยธรรมพิจารณาว่าเป็นคดีมีมูล ส่งให้กรรมการสอบสวนดำเนินการ
คณะอนุกรรมการสอบสวนได้พิจารณาข้อมูลประกอบการพิจารณาทั้งหมดแล้วเห็นว่า กรณีนี้ นายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา ได้สั่งน้ำยาแก้ไอผสมโคเดอีนให้กับผู้ป่วยจำนวนมาก ประมาณ 5-6 ขวดต่อสัปดาห์ โดยอ้างว่าผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับยาดังกล่าวไม่เช่นนั้นผู้ป่วยเหล่านี้จะฆ่าตัวตาย
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มีความเห็น (ครั้งที่ 1 ) ว่า การใช้ยาสูตรดังกล่าวในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดนั้น ไม่ถูกต้องตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ด้วยเหตุผลดังนี้
1. การรักษาผู้ป่วยที่ติดยาโคเดอีน ไม่ปรากฏว่ามีรายงานการรักษาด้วยวิธีการให้โคเดอีนรับประทาน
อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างใด
2. มีรายงานการรักษา การติดยาโคเดอีนด้วยการใช้ยากลุ่ม ที่ยับยั้ง cytochrome P450 2D6 เช่น
quinidine, fluoxetine
3. ในต่างประเทศมีการรักษาผู้ที่ติดยา โดยวิธีถอนพิษยาอย่างรวดเร็ว โดยการวางยาสลบและให้ยา naltrexone
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มีความเห็น (ครั้งที่ 2) เกี่ยวกับข้อมูลของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา
โต้แย้งความเห็นของราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ยืนยันความเห็นเดิมที่ว่า การรักษาผู้ติดโคเดอีนไม่ปรากฏว่ามีรายงานการรักษาด้วยวิธีการให้ยาโคเดอีน รับประทานขนาดต่ำต่อไปเรื่อยๆ และหลักการรักษาผู้ป่วยติดสารเสพติดประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ (1) การเตรียมผู้ป่วย (2) การถอนสารพิษ และ (3) การฟื้นตัวและฟื้นสภาพ ซึ่งวิธีการให้ยาเพื่อทดแทนหรือการลดขนาดยาเป็นหนึ่งในขั้นตอนการถอนพิษยาแต่หลักการในการให้ยาลดอาการถอนพิษสารในผู้ป่วยคิดสารเสพติดชนิดฝิ่นคือ ยาที่ใช้ลดอาการออกฤทธิ์ ดับสารเสพติด หรือออกฤทธิ์กับสารเสพติด หรือออกฤทธิ์ผ่านกลไกอื่นซึ่งทำให้อาการถอนฤทธิ์ลดลงได้ (Principles of Addition Medicine 3 rd Edition, Section 5 Chap-ter 4, ASAM inc. Maryland 2003) และระยะเวลาในการถอนพิษสารส่วนใหญ่ ไม่เกิน 21 วัน
ส่วนเรื่องการรักษาผู้ป่วยเสพติดเฮโรอีน ด้วยเฮโรอีนเม็ด โดยอ้างอิงสารที่ไม่ปรากฏที่มาของสาร (มีเพียงเลขหน้า 662-663) ไม่สามารถประเมินความน่าเชื่อถือได้ และวิธีดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ส่งความเห็นครั้งที่สาม สรุปได้ความว่ายืนยันความเห็นเดิมว่า วิธีรักษาดังกล่าวไม่ใช่การถอนพิษสารโดยการลดจำนวนสารเสพติดลง เนื่องจากหลักการถอนพิษสาร โดยการลดปริมาณสารเสพติดลงนั้น วิธีการที่เป็นมาตรฐานส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 21 วัน แต่การรักษาดังกล่าวเป็นการให้สารเสพติดแบบคงระดับยาไว้ ซึ่งราชวิทยาลัยจิตแพทย์ฯ ได้เคยให้ความเห็นแล้วว่าไม่ปรากฏว่ามีรายงานการักษาด้วยวิธีนี้ในเอกสารทางการแพทย์ในฐานะข้อมูลทางการแพทย์ และเอกสารที่ผู้ถูกร้องเรียนส่งให้เพื่อโต้แย้ง นอกจากผู้เขียนบทความจะไม่ใช้แพทย์แล้ว ยังไม่มีชื่อหรือเลขที่กำกับหนังสือใด เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของบทความ รวมถึงไม่พบอยู่ในฐานข้อมูลทางกรแพทย์ และผู้ถูกร้องเรียนได้อ้างว่า การรักษาผู้ติดยาแก้ไอปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานและวิธีที่เป็นมาตรฐานนั้น
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ฯ ยืนยันว่าหลักการในการรักษาผู้ป่วยติดสารเสพติด คือ codeine ซึ่งเป็นสานอนุพันธ์ฝิ่นนั้น มีวิธีการถอนฝิ่นที่เป็นมาตรฐานโดยการให้สารทดแทนในกลุ่ม alpha 2 agonist เช่น clonidine หรือ lofexidine
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ในกรณีนี้ซึ่งมีการรักษาผู้ป่วยติดสารเสพติดในสถานพยาบาลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสภานพยาบาลเพื่อบำบัดรักษาผู้เสพติดสารเสพติดกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ
ดังนั้น คณะอนุกรรมการสอบสวน ได้พิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้ว จึงเห็นว่าการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของนายแพทย์ผู้ถูกกล่าวหา ที่ให้การรักษาผู้ป่วยติดยาแก้ไอโดยจ่ายยาแก้ไอที่ประกอบด้วย ยาเสพติดตัวเดียวกัน สัปดาห์ละ 6 ขวดนั้น เป็นการรักษาผู้ป่วยโดยไม่ได้มาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ถือว่าเป็นความผิดตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 หมวด 4 ข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ ภายใต้ความสามารถและข้อจำกัดตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์ที่มีอยู่ จึงเห็นควรลงโทษ ว่ากล่าวตักเตือนกรณีไม่รักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
บทเรียนนี้เห็นได้ว่า แพทย์ไม่ทราบว่าการรักษาผู้ป่วยติดสารเสพติดในสถานพยาบาลนั้น ต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อบำบัดรักษาผู้เสพติดกับกระทรวงสาธารณสุขและการรักษาจะต้องมีหลักการทางการแพทย์ที่พิสูจน์แล้ว มิใช่คิดขึ้นเองโดยไม่มีใครรับรองซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
จาก หนังสือ เรื่องเล่าจากแพทยสภา
โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา
พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2558