แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - seeat

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 28
46
สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีเรื่องน่าสนใจในอเมริกาเรื่องหนึ่งซึ่งสื่อส่วนใหญ่ดูจะไม่สนใจเท่าไรนัก

ทั้งนี้ คงเพราะมีเหตุการณ์เล็กใหญ่หลายเรื่องเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ในเมืองไทย ความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้กับนักกีฬาเทควันโดไทยได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ในต่างประเทศก็มีเรื่องเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียถูกยิงตกที่ยูเครนและอิสราเอลส่งกองทัพเข้าไปในฉนวนกาซาเพื่อไล่ล่าศัตรู เรื่องที่ไม่ค่อยมีสื่อรายงานได้แก่การตัดสินของศาลอเมริกันในรัฐฟลอริดาให้บริษัทผลิตบุหรี่อาร์. เจ. เรย์โนลด์จ่ายค่าเสียหายให้แก่แม่หม้ายคนหนึ่งเป็นเงินถึง 23,600 ล้านดอลลาร์ ใช่แล้ว! 23,600 ล้านดอลลาร์ซึ่งคิดเป็นเงินได้เกือบ 8 แสนล้านบาท

เงินจำนวนมหาศาลนั้นเป็นผลของคดีที่แม่หม้ายฟ้องอาร์. เจ. เรย์โนลด์ว่าไม่เตือนผู้สูบบุหรี่ถึงอันตรายร้ายแรงของการสูบบุหรี่ทั้งที่บริษัทรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นความจริง สามีของแม่หม้ายตายเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคมะเร็งปอดอันเกิดจากการสูบบุหรี่ เรื่องศาลตัดสินให้บริษัทผลิตบุหรี่ชดใช้ค่าเสียหายในแนวเดียวกันนี้มีมาก่อนแล้วหลายราย แต่ไม่มีกรณีไหนที่ประเมินค่าเสียหายเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ ผู้สันทัดกรณีจึงมองกันว่าเรื่องยังไม่จบเพราะบริษัทจะอุทธรณ์และศาลชั้นต่อไปอาจสั่งให้กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น

ในปัจจุบันนี้ เรื่องอันตรายของการสูบบุหรี่ย่อมเป็นที่ทราบกันดีแล้ว ฉะนั้น การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะจึงกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดี ยังไม่มีสังคมไหนออกกฎหมายห้ามขาย หรือสูบบุหรี่ ตรงกันข้าม ผลของการสูบบุหรี่ที่เป็นอันตรายกลับนับว่าเป็นของดีในทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับการผลิตใบยาสูบและการนำใบยาสูบไปทำบุหรี่ เมื่อผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล สิ่งที่นำมาใช้ในกระบวนการนั้นนับเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ด้วยเหตุนี้ ที่มาของจีดีพีจึงมีความสำคัญและตัวเลขจีดีพีที่เราต่างเชื่อกันว่ายิ่งสูงยิ่งดีนั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา มันอาจใช้ชี้วัดระดับการพัฒนาและความสุขของสังคมมิได้เสมอไป

อนึ่ง อาจไม่เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางนักว่า จีดีพีเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คิดขึ้นมาใช้วัดมูลค่าสินค้าและบริการเมื่อราว 80 ปีมานี้เองทั้งที่มนุษยชาติผลิตสิ่งต่างๆ มานับแสนปีแล้ว เนื่องจากจีดีพีนับเฉพาะกิจกรรมถูกกฎหมายโดยไม่แยกว่ากิจกรรมให้คุณหรือให้โทษ ฉะนั้น วันใดที่รัฐบาลตรากฎหมายให้กิจกรรมที่มักเป็นอันตรายและเคยผิดกฎหมายมาก่อนเป็นสิ่งถูกกฎหมาย วันนั้น จีดีพีก็จะเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้มีแนวโน้มในอเมริกาเรื่องการตรากฎหมายให้สิ่งที่มักเป็นอันตรายและเคยผิดกฎหมายให้ประชาชนทำได้อย่างกว้างขวางขึ้นโดยเฉพาะในด้านการพนันและการสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ หรือเพื่อความเพลิดเพลิน

การพนันที่สำคัญมักเป็นในรูปของการออกหวยและการเปิดบ่อนซึ่งตอนนี้มิได้มีเฉพาะในเมืองลาสเวกัสและเมืองแอตแลนติกซิตี้ที่โด่งดังเท่านั้น หากกระจายออกไปในหลายท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลมักอ้างถึงการขยายฐานของการเก็บภาษี การมีงานทำของประชาชนและการปราบปรามการพนันใต้ดินในการอนุญาตให้ออกหวยและตั้งบ่อนการพนัน แต่ไม่ให้ความสำคัญแก่ผลเสียหายร้ายแรงที่กิจกรรมเหล่านั้นมีต่อบุคคลและสังคม อาทิเช่น การติดการพนันและการใช้เงินหมดไปในการเล่นหวยของคนที่มีรายได้ต่ำแทนที่จะนำไปซื้อสิ่งที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต

ทางด้านการห้ามสูบกัญชาเพื่อสันทนาการซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายมานาน (บางรัฐอนุญาตให้ผู้ป่วยด้วยโรคบางอย่างที่ไม่มียารักษาสูบกัญชาเพื่อบรรเทาอาการได้) รัฐบาลของรัฐต่างๆ เริ่มเปิดให้ทำได้อย่างกว้างขวางขึ้นเริ่มจากรัฐโคโลราโดและต่อด้วยรัฐวอชิงตัน คาดว่าอีกไม่นานรัฐอื่นๆ จะทำตาม การสูบกัญชาทำให้มึนเมาซึ่งอาจนำไปสู่การทำอะไรโดยขาดสติเป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ รัฐที่อนุญาตให้สูบกัญชาเพื่อสันทนาการได้จึงควบคุมการขายให้แต่ละบุคคลอย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ดี ผู้สูบกัญชามีโอกาสติดมากหากสูบเป็นประจำซึ่งจะทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ เนื่องจากทั้งสองรัฐเพิ่งอนุญาตให้สูบกัญชาได้อย่างเสรี ผลทางด้านนี้จึงยังไม่มีออกมา ตอนนี้มีรายงานว่าฝ่ายรัฐบาลดีใจที่เก็บภาษีได้มากเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการผลิตและขายกัญชา ฝ่ายนักนิยมสูบกัญชาก็พากันดีใจที่จะได้กัญชามาสูบอย่างเสรี ส่วนผลร้ายไม่ค่อยมีใครพูดถึงซึ่งในวันหนึ่งข้างหน้าอาจจะออกมาในรูปของคดีที่ศาลคิดค่าเสียหายเป็นหมื่นล้านดอลลาร์เช่นเดียวกับคดีของการสูบบุหรี่ก็ได้

นอกจากเรื่องภาครัฐอนุญาตให้ทำสิ่งที่เป็นอบายมุขได้อย่างกว้างขวางขึ้นแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสื่อมิได้รายงานอย่างกว้างขวางนัก นั่นคือ ศาลตัดสินว่ามหานครนิวยอร์กขัดรัฐธรรมนูญเรื่องตรากฎหมายห้ามขายน้ำหวานอัดลมขนาดใหญ่กว่า 16 ออนซ์ในสถานที่สาธารณะ อาทิเช่น โรงภาพยนตร์และสนามกีฬา นครนิวยอร์กต้องการทำเช่นนั้นเพื่อป้องกันมิให้จำนวนคนอ้วนเกินพอดีเพิ่มขึ้น ในขณะนี้การอ้วนเกินพอดีระบาดอย่างกว้างขวางจนสร้างความเสียหายร้ายแรง

เนื่องจากอเมริกาเป็นผู้นำในหลายด้าน ความเป็นไปในอเมริกาจึงมักมีผู้จ้องดูและทำตาม เมื่อไม่นานมานี้ อุรุกวัยเปิดเสรีให้ปลูกและสูบกัญชาได้ทั่วประเทศ การพนันและการขายน้ำหวานอัดลมขนาดยักษ์จากร้านอาหารจานด่วนและร้านสะดวกซื้อที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาก็กำลังแพร่กระจายออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทางลบและเป็นกิจกรรมที่ตรงข้ามกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง

จึงน่าจับตาดูว่าผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะทำอะไรต่อไปในแผ่นดินที่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงถือกำเนิด



โดย : ดร.ไสว บุญมา
กรุงเทพธุรกิจ 25 กรกฎาคม 2557

47
นั่งดู "คนดี" หักโค่น "คนดี"Ž ในแวดวงสาธารณสุขตอนนี้อย่างระทึกใจ

ระทึกใจด้วยขณะนี้ มิใช่การต่อสู้ในเชิงแนวคิด หรืออุดมการณ์ อย่างเดียว

แม้จะมีประเด็นระบบประกันสุขภาพของไทยเป็นประเด็นหลัก

แต่เบื้องหลัง ประเด็นเหล่านั้น มีเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงการนำอยู่ข้างหลังอย่างเด่นชัด

แตกต่างหรือไม่แตกต่าง จากการเคยชี้นิ้วใส่คนอื่น โดยเฉพาะ "ฝ่ายการเมือง-นักเลือกตั้ง"Ž ไม่อยากวิจารณ์

เชื่อว่า "มาตรฐานคุณธรรมสูง"Ž ของฝ่ายที่มีปัญหากัน ย่อมวินิจฉัยได้

และอยากให้วินิจฉัยออกมาจริงๆ

เพราะ "ปรากฏการณ์"Ž ที่เกิดขึ้นขณะนี้ต้องยอมรับว่าไปไกลจาก "ความดี"Ž อย่างยิ่ง

ฟากหนึ่งชี้นิ้วใส่อีกฟาก ด้วยประเด็นทุรลักษณ์

กล่าวหาเป็นร่างทรงนักการเมือง

ทำลายโรงพยาบาลชุมชน เอื้อประโยชน์โรงพยาบาลเอกชนในเมืองใหญ่

หยุดทำซีแอลยา เอื้อประโยชน์ให้บริษัทยาข้ามชาติ

ทำลายโรงงานผลิตวัคซีนของไทยที่ใกล้สร้างเสร็จ

แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องเข้าเป็นบอร์ดและผู้บริหารองค์การเภสัช ทำให้ธุรกิจถูกกระทบอย่างหนัก ยอดจำหน่ายยาลดลง

ยึดอำนาจที่เคยกระจายให้นายแพทย์สาธารณสุข 76 จังหวัด ผอ.รพ. กว่า 1,000 แห่ง มารวมศูนย์ที่ผู้ตรวจราชการ 12 เขต เพื่อง่ายต่อการสั่งการ เปิดช่องแสวงหาประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างได้ง่ายขึ้น

รวบหน่วยงานตระกูล ส. อาทิ สปสช. สสส. สช. สพฉ. ให้กลับไปอยู่ภายใต้อำนาจกระทรวง เปิดยุคความขัดแย้งครั้งใหญ่ในระบบสาธารณสุข

อีกฟากหนึ่ง กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเขียนกฎหมายเพื่อดึงเอางบประมาณแผ่นดินมาตั้งกองทุน

จากนั้นตั้งตัวเองและพวกพ้องเข้ามาบริหารกองทุน หรือบางทีก็กลับมาเป็นผู้รับทุนเอง

กองทุนที่ว่านั้นปรากฏผ่านรูปแบบของการตั้งมูลนิธิทางด้านสาธารณสุข โดยไม่สามารถตรวจสอบการทำงานได้

ส่อว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชั่น

พร้อมทั้งแขวนป้ายให้เบ้อเร่อเทิ่ม ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ มีลักษณะเครือข่ายเหมือน "ระบอบทักษิณ"Ž

ระบอบทักษิณ ที่เหล่าคนดีขนลุกขนพองในความสามานย์ และรวบรวมสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงเอาไว้ในนั้น

วันนี้ วาทกรรมนี้กำลังถูกนำมากล่าวหา "คนดี"Ž อีกฟากอย่างไม่อ้อมค้อม

ที่สำคัญ "โคลน"Ž ที่สาดเข้าใส่กัน ส่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ฉ้อราษฎร์บังหลวงแทบทั้งสิ้น

ต้องไม่ลืมว่า กลุ่มที่ขัดแย้งกันอยู่นี้เคยต่างชูธงคุณธรรม และประกาศตนขัดขวางการทุจริตอย่างสุดจิตสุดใจ

ร่วมกันเป่านกหวีด แขวนป้ายต่อต้านคน-ระบอบที่โกงมาทั้งสิ้น

แล้ววันนี้ มากล่าวหากันเองด้วยข้อหาดังกล่าว เลยชักมีอารมณ์ร่วม อยากเรียกร้องเหล่าคนดีทั้งหลายมาร่วมกันตรวจสอบข้อกล่าวหาต่างๆ ให้ชัดเสียเลยดีไหม

อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปเด็ดขาด

มิเช่นนั้น จะถูกนินทาว่าเทศน์โดยที่ใจไม่เชื่อ

ซึ่งนั่นย่อมทำให้ภาพลักษณ์ "สีขาวมัวหมอง"

ภาพอันกระตือรือร้นของบุคลากรในแวดวงสาธารณสุขบนเวที กปปส. ที่เป่านกหวีดเรียกร้อง "การปฏิรูป" และ "ขจัดนักการเมืองโกง"


ภาพของโรงพยาบาลและสถาบันสาธารณสุข หลายแห่งแขวนป้ายต่อต้านการคอร์รัปชั่น

ยังติดตรึงอยู่ในใจของหลายคน

จึงอยากเห็น มาตรฐาน อันสูงส่งนั้น มาเคลียร์ในสิ่งที่กล่าวหากันให้มีคำตอบที่ชัดเจนได้ไหม

 
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

(ที่มา:มติชนรายวัน 20 ก.ค.2557)

48
กรณีอันเกิดกับ ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี เนื่องแต่แถลงการณ์ของ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ที่ออกในนามชมรมคนไทยรักชาติ (ครสช.)

เป็นเรื่องของ "คนดี"

แม้ ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี จะได้ชื่อว่าเป็น "คนดี" แต่บังเอิญที่ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา รู้สึกว่าพวกของตนเป็น "คนดี" มากกว่า

เรื่องแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในแวดวง "พลังงาน"

ภายหลังจากเสร็จสมในการเคลื่อนไหวขับและโค่นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรดา "คนดี" ในแวดวงพลังงานก็เริ่มแสดงตัว

แสดงตัวเหมือนกับ "คนดี" ในแวดวง "สาธารณสุข"

ในแวดวง "สาธารณสุข" อาจมีคนดีอย่าง ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี คู่ขนานกับคนดีอย่าง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์

ขณะที่ในแวดวงพลังงานมี "ปิยสวัสดิ์" คู่ขนานกับ "รสนา"

ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าในแวดวง "สาธารณสุข" ไม่ว่าในแวดวง "พลังงาน" ล้วนร่วมกันพุ่งปลายหอกเข้าใส่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้วทั้งสิ้น

แต่ใน "ปัจจุบันขณะ" กำลัง "เล่นงาน" กันเอง

ในห้วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-กันยายน 2549 ในห้วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2556-เดือนพฤษภาคม 2557

พวกเขาล้วนมี "เป้าหมาย" เดียวกัน

เป้าหมาย 1 คือ สิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" เป้าหมาย 1 คือรัฐบาลอันมีพื้นฐานมาจาก พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ตามลำดับ

ในเบื้องต้นใต้ร่มธงแห่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในกาลต่อมาก็พัฒนาเป็น "กปปส." โดยการนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และขุนพลจากพรรคประชาธิปัตย์

เคลื่อนไหวผ่านสโลแกน "ขบวนการคนดี"

แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามธรรมชาติแห่งการศึกสงครามทุกครั้ง ภายหลังจากกำชัยสามารถ โค่นล้มปรปักษ์ลงได้

ก็ถึงคราต้อง "แบ่งสมบัติ"

ภายในแวดวง "พลังงาน" ใครจะได้รับเลือกจาก "กรรมการ" ให้เข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญภายในแวดวง "สาธารณสุข" ใครจะได้รับเลือกจาก "กรรมการ" ให้เข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญ วาระแห่งการจิกตีจึงได้เริ่มขึ้น

ต่างล้วน "เปลือยกาย" ออกมาอย่าง "ล่อนจ้อน"

ทําไมต้องมีการเปิดโปงและโจมตี ทำไมต้องมีการสาวไส้ขดเล็กขดน้อยที่เคยดำรงอยู่ภายใต้หลักการการสร้างพันธมิตร

"แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"

หากสะท้อนความรู้สึกของบรรดาสมาชิกแห่ง "ชมรมแพทย์ชนบท" ออกมาก็คงจะอุทานด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

ทำไมต้องเป็น ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี

สรุปตามสำนวนจีนก็ต้องว่า ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ไม่ผิด แต่ผิดที่อีกฝ่ายประเมินว่า "หยก" อาจอยู่ในมือของ ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี

เหมือนกับประเมินว่า "หยก" อาจอยู่ในมือของ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์

การเปิดโปงและโจมตี กระบวนการสาวเอาไส้ทั้งขดเล็กและขดใหญ่จากอีกฝ่ายจึงดำเนินไปด้วยความเมามันในอารมณ์เป็นปฏิบัติการทั้งด้วยกระบวนการสาด "น้ำร้อน" เป็นปฏิบัติการทั้งด้วยกระบวนการสาด "น้ำเย็น"

ดำเนินไปในลักษณะ "เตะสกัดขา"

เพราะ "หยก" อันเป็นเป้าหมายของแต่ละฝ่ายหมายถึง "ตำแหน่ง" สำคัญทั้งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ และการผลักดันคนในแวดวงของตนเข้าไปในหลักหมายอันเปี่ยมด้วยผลประโยชน์

สุดท้ายปลายทาง คือ ตำแหน่ง "รัฐมนตรี"

ใครก็ตามที่อ่านวรรณกรรม "เมาคลีลูกหมาป่า" จะได้คำตอบจากคำถามของเมาคลีได้อย่างหมดสิ้น

เมาคลีเมื่อมองจากมุมของหมาป่าไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนจึงพากันยื้อแย่ง "ทองคำ" แม้กระทั่ง พวกเดียวกัน เคยเป็นสหายกันก็ถึงกับฆ่าฟันกันอย่างเหี้ยมโหด

คนนั้นไม่ผิด แต่ผิดที่มี "ทองคำ"

(ที่มา:มติชนรายวัน 18 ก.ค.57)

49
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ประกาศรายชื่อทีมยอดเยี่ยม หรือ "ALL STAR TEAM" ของการแข่งฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ผลปรากฎว่า จากรายชื่อ 11 นักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลกนั้น มีแข้งจากทีมชาติเยอรมนี แชมป์โลก 4 สมัย ติดเข้ามามากที่สุด 5 คน ได้แก่ มานูเอล นอยเออร์, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, โทนี่ โครส และ โธมัส มุลเลอร์

สำหรับรายชื่อทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลโลก 2014 ตามการจัดของ ฟีฟ่า (ระบบ 4-4-2)

ผู้รักษาประตู : มานูเอล นอยเออร์ (เยอรมนี)
กองหลัง : มาร์กอส โรโฆ (อาร์เจนตินา), มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ (เยอรมนี), ติอาโก้ ซิลวา (บราซิล), สเตฟาน เด ฟราย (เนเธอร์แลนด์)
กองกลาง : ออสการ์ (บราซิล), โทนี่ โครส (เยอรมนี), ฟิลิปป์ ลาห์ม (เยอรมนี), ฮาเมส โรดริเกซ (โคลอมเบีย)
กองหน้า : อาร์เยน ร็อบเบน (เนเธอร์แลนด์), โธมัส มุลเลอร์ (เยอรมนี)

ทั้งนี้ 11 ผู้เล่นทีมยอดเยี่ยมเกิดขึ้นจากการเก็บสถิติของทาง "คาสตรอล อินเด็กซ์′′ ซึ่งจะเก็บสถิติและข้อมูลของผู้เล่นทุกคน ซึ่ง โทนี่ โครส มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนี เป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด โดยทำได้ถึง 9.79 จากคะแนนเต็ม 10 รองลงมาเป็น อาร์เยน ร็อบเบน (9.74) และ
สเตฟาน เด ฟราย (9.7) 2 ผู้เล่นจากเนเธอร์แลนด์ ทีมอันดับ 3 

ขณะที่ 2 แข้งซูเปอร์สตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า นักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นท์ และ เนย์มาร์ กองหน้าคนสำคัญทีมชาติบราซิล ไม่มีชื่อติดทีมชุดนี้

มติชนออนไลน์  16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

50
ทีมข้อมูลของ Facebook ได้สำรวจปริมาณการพูดคุยจากทั่วโลกเกี่ยวกับศึกลูกหนังระดับโลก โดยสำรวจอันดับยอดนิยมของโลกโซเชียลแบ่งตามหมวดหมู่ต่างๆ ได้แก่ แมทช์และช่วงเวลาสำคัญ ลักษณะประชากร ประเทศ ผู้เล่นที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด รวมถึงโพสต์ของบรรดานักเตะที่ได้รับการมีส่วนร่วมสูงสุด การแข่งขันทัวร์นาเมนท์นี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่บน Facebook ด้วยปริมาณการพูดคุยที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของ Facebook  เยี่ยมชมบล็อกของเราได้ที่นี่

ระหว่างวันที่ 12 มิ.ย. – 13 ก.ค. ผู้คน 350 ล้านคนร่วมพูดคุยบน Facebook และมีปฏิสัมพันธ์กว่า 3 พันล้านครั้ง (รวมโพสต์ คอมเมนท์ และไลค์) เกี่ยวกับทัวร์นาเมนท์ลูกหนังระดับโลก โดยผู้คน 88 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook มากกว่า 280 ล้านครั้ง (รวมโพสต์ คอมเมนท์ และไลค์) ในการแข่งขันนัดสุดท้ายที่เยอรมนีพบอาร์เจนตินาเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา  ส่งผลให้แมทช์ดังกล่าวทำลายสถิติการพูดคุยสูงสุดบน Facebook เมื่อเทียบกับการแข่งขันกีฬาระดับโลกอื่นๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด โดยสามารถดูได้จากอินโฟกราฟฟิกดังแนบ

แมทช์ยอดนิยมของโลกโซเชียล

1.      เยอรมนีพบอาร์เจนตินา รอบชิงชนะเลิศ (ผู้คน 88 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook กว่า 280 ล้านครั้ง)
2.      บราซิลพบเยอรมนี รอบรองชนะเลิศ (ผู้คน 66 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook กว่า 200 ล้านครั้ง)
3.      บราซิลพบโครเอเชีย แมทช์เปิดสนาม (ผู้คน 58 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook กว่า 140 ล้านครั้ง)
4.      อาร์เจนตินาพบเนเธอร์แลนด์ รอบรองชนะเลิศ (ผู้คน 39 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook กว่า 83 ล้านครั้ง)
5.      บราซิลพบชิลี รอบ 16 ทีมสุดท้าย (ผู้คน 31 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook กว่า 75 ล้านครั้ง)

5 ช่วงเวลาสำคัญยอดนิยมของโลกโซเชียล

    บราซิลพบเยอรมนี รอบรองชนะเลิศ (นาทีที่ 29): ซามี เคดีรา ยิงประตูที่ 4 ให้เยอรมนีในช่วงเวลาเพียง 7 นาที ส่งผลให้เยอรมนีขึ้นนำ 5-0 ขณะเหลือเวลาการแข่งขันถึง 1 ชั่วโมงเต็ม
    เยอรมนีพบอาร์เจนตินา รอบชิงชนะเลิศ (จบการแข่งขัน):  ช่วงเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ส่งผลให้เยอรมนีครองแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 4
    บราซิลพบเยอรมนี รอบรองชนะเลิศ (นาทีที่ 26):  โทนี โครส ยิงประตูที่สองของเขาในแมทช์ดังกล่าว ส่งผลให้เยอรมนีขึ้นนำ 4-0 ท่ามกลางความตกตะลึงของทีมและกองเชียร์บราซิล
    เยอรมนีพบอาร์เจนตินา รอบชิงชนะเลิศ (นาทีที่ 113): มารีโอ เกิทเซ่ ยิงประตูจากลูกจ่ายสุดสวยของอังเดร เชอร์เล่ ส่งผลให้เยอรมนีขึ้นนำ 1-0 ในช่วงต่อเวลา
    บราซิลพบโครเอเชีย แมทช์เปิดสนาม (นาทีที่ 29): เนย์มาร์ยิงประตูแรกของเขาในการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกซึ่งเป็นประตูแรกของบราซิลในแมทช์ดังกล่าวเช่นกัน ส่งผลให้บราซิลตีเสมอโครเอเชีย 1-1

ผู้เล่นที่ได้รับการพูดถึงสูงสุด

1.      เนย์มาร์ (บราซิล)
2.      ลีโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา)
3.      คริสเตียโน โรนัลโด (โปรตุเกส)
4.      หลุยส์ ซัวเรซ (อุรุกวัย)
5.      ดาวิด ลูอีซ (บราซิล)
6.      ชูลิโอ เซซาร์ (บราซิล)
7.      โธมัส มุลเลอร์ (เยอรมนี)
8.      เมซุต โอซิล (เยอรมนี)
9.      ฮัลค์ (บราซิล)
10.  อาร์เยน ร็อบเบน (เนเธอร์แลนด์)

ผู้เล่นที่ได้รับการกล่าวถึงเพื่อเป็นเกียรติ: มารีโอ เกิทเซ่ (เยอรมนี)

5 อันดับลักษณะประชากรที่พูดคุยเกี่ยวกับศึกฟุตบอลระดับโลก

1.      ชาย อายุ 18-24 ปี (คิดเป็นร้อยละ 22 ของการพูดคุยทั้งหมด)
2.      ชาย อายุ 25-34 ปี
3.      หญิง อายุ 18-24 ปี
4.      หญิง อายุ 25-34 ปี
5.     ชาย อายุ 35-44 ปี

5 ประเทศที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับศึกฟุตบอลระดับโลกมากที่สุด (ตามจำนวนคน)

1. บราซิล: ผู้คน 55 ล้านคนในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค.
2. สหรัฐอเมริกา: ผู้คน 48 ล้านคนในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค.
3. เม็กซิโก: ผู้คน 19 ล้านคนในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค.
4. อินโดนีเซีย: ผู้คน 18 ล้านคนในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค.
5. อินเดีย: ผู้คน 14 ล้านคนในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค.

5 ประเทศที่มีส่วนร่วมมากที่สุด (ตามสัดส่วนผู้ใช้งาน Facebook ในประเทศ)

1. บราซิล:ร้อยละ57 ของผู้ใช้ Facebook ในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่12มิ.ย.-13ก.ค.
2. คอสตาริกา:ร้อยละ52 ของผู้ใช้Facebookในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่12มิ.ย.-13ก.ค.
3. อุรุกวัย:ร้อยละ52 ของผู้ใช้ Facebook ในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่12มิ.ย.-13ก.ค.
4. อาร์เจนตินา:ร้อยละ50ของผู้ใช้Facebookในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่12มิ.ย.-13 ก.ค.
5. มัลดีฟส์:ร้อยละ50 ของผู้ใช้ Facebook ในประเทศร่วมสนทนาเกี่ยวกับเทศกาลลูกหนังโลกระหว่างวันที่12มิ.ย.-13ก.ค.

5 ประเทศที่มีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวกับศึกฟุตบอลระดับโลกมากที่สุด (ร้อยละ)

1. บราซิล: ร้อยละ 26 ของจำนวนปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด
2. สหรัฐอเมริกา: ร้อยละ 10 ของจำนวนปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด
3. อินโดนีเซีย: ร้อยละ 6 ของจำนวนปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด
4. เม็กซิโก: ร้อยละ 5 ของจำนวนปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด
5. อาร์เจนตินา: ร้อยละ 4 ของจำนวนปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด
6 ผู้เล่นที่มีแฟนบน Facebook มากที่สุด

แบ่งตามจำนวนไลค์ที่เพิ่มขึ้น

1.  เนย์มาร์ + 14,933,027
2.  ดาวิด ลูอีซ  + 11,058,571
3.  เจมส์ โรดริเกซ  + 9,018,742
4.  คริสเตียโน โรนัลโด  + 6,432,460
5.  ลีโอเนล เมสซี  + 5,836,489
6.  ออสการ์ ดอส ซานโตส เอ็มโบบา  + 3,119,703

แบ่งตามร้อยละที่เพิ่มขึ้น

1.  เมมฟิส ดีเพย์ + 678%
2.  ทิม ฮาวเวิร์ด  + 334%
3.  ริคาร์โด้ โรดริเกซ  + 318%
4.  เจมส์ โรดริเกซ  + 269%
5.  อัสเมียร์ เบโกวิช,  + 209%
6.  เฟร็ด + 197%

10 โพสต์ยอดนิยมของผู้เล่น

1.      เนย์มาร์และซิลวาถ่ายเซลฟี่ โพสต์เมื่อ 21 มิ.ย.
2.      คริสเตียโน โรนัลโด ถ่ายรูปคู่กับภาพเหมือนของเขาที่แกะสลักลงบนเมลอน โพสต์เมื่อ 21 มิ.ย.
3.      ลีโอเนล เมสซี แชร์รูปคู่ของเขากับเนย์มาร์เพื่ออวยพรให้เนย์มาร์หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว โพสต์เมื่อ 4 ก.ค.
4.      ดาวิด หลุยซ์ อวยพรเนย์มาร์เพื่อนร่วมทีม ให้หายจากอาการบาดเจ็บ โพสต์เมื่อ 5 ก.ค.
5.      ลีโอเนล เมสซีแชร์รูปที่ถ่ายในห้องแต่งตัวหลังเอาชนะสวิสเซอร์แลนด์ โพสต์เมื่อ 1 ก.ค.
6.      ดาวิด หลุยซ์อวยพรเนย์มาร์ เพื่อนร่วมทีมให้หายจากอาการบาดเจ็บ โพสต์เมื่อ 7 ก.ค.
7.      ลีโอเนล เมสซี โพสต์ในวันเกิดของเขา “อยากให้ของขวัญวันเกิดปีนี้เป็นชัยชนะจากการแข่งขันฟุตบอลระดับโลก”
8.      เนย์มาร์ขอบคุณแฟนๆ และเพื่อนร่วมทีมสำหรับกำลังใจที่ได้รับ โพสต์เมื่อ 8 ก.ค.
9.      ลีโอเนล เมสซี ภาพเซลฟี่ก่อนรอบ 16 ทีมสุดท้าย “การแข่งขันฟุตบอลระดับโลกที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นแล้ว มาสร้างความผลงานที่น่าทึ่งกัน” โพสต์เมื่อ 30 มิ.ย.
10.   เอเซเกียล ลาเบซี แชร์รูปที่ถ่ายกับเพื่อนร่วมทีม เมสซีและดิ มาเรียในห้องแต่งตัวหลังจากเอาชนะสวิสเซอร์แลนด์ โพสต์เมื่อ 1 ก.ค. 

ผู้คน 88 ล้านคนทั่วโลกมีปฏิสัมพันธ์บน Facebook มากกว่า 280 ล้านครั้ง เกี่ยวกับการแข่งขันนัดสุดท้ายของศึกลูกหนังระดับโลกที่เยอรมนีพบอาร์เจนตินา ประกอบด้วย
·       10.5 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา
·       10 ล้านคนในบราซิล
·       มากกว่า 7 ล้านคนในอาร์เจนตินา
·       5 ล้านคนในเยอรมนี

มติชนออนไลน์  16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

51
ประชากรในประเทศไทยทั้งหมด 66 ล้านคน
---อยู่นอกระบบข้อมูลรายได้ของทางการ 25.5 ล้านคน(38.6 เปอร์เซ็นต์)

ผู้มีรายได้ที่อยู่ในระบบ   40.4   ล้านคน
อยู่ในระบบประกันสังคม  38      ล้านคน
อยู่ในระบบราชการ          2.2   ล้านคน
อยู่ในรัฐวิสาหกิจ            0.25 ล้านคน

---อยู่ในระบบ แต่ไม่ยื่นภาษี  29.4 ล้านคน(72.8 เปอร์เซ็นต์)

ผู้มีรายได้ และยื่นภาษี 11 ล้านคน
---มายื่นภาษีแต่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี 8.7 ล้านคน(79 เปอร์เซ็นต์)

สรุป
คนไทย 66 ล้านคน จ่ายภาษีเงินได้เพียง 2.2 ล้านคน(3.3 เปอร์เซ็นต์)
...........................................................................

   

52
ย้อนรอย "พระอดิศักดิ์" แฉ "ธัมมี่" หมดเปลือก "..เขาคิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด เขาเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมดบนพระนิพพาน.."

พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก เป็นหนี่งใน 3 ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย อดีตมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสและเหรัญญิก ซึ่งได้เปิดใจกับ "สยามธุรกิจ" เกี่ยวกับกรณีอื้อฉาวของวัดพระธรรมกาย

สยามธุรกิจ : พฤติกรรมของวัดพระธรรมกายจุดหลัก ๆ ที่อาจารย์มองเห็นว่าไม่ถูกต้อง แยกออกเป็นประเด็นอะไรได้บ้าง
พระอดิศักดิ์ : แยกแยะออกได้คือ ประเด็นเทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายเป็นเทคนิคที่พยายามจะเร่งเร้า เรี่ยไรบอกบุญในรูปแบบของบริษัท รูปแบบของธุรกิจมากกว่าที่จะสร้างศรัทธาให้คนเห็นความสำคัญของการทำบุญด้วยจิตใจ การเรี่ยไรนั้นจัดเป็นขบวนการ มิใช่เป็นการบอกบุญธรรมดา แต่พยายามไปเซ้าซี้ พยายามที่จะไปทำให้ชาวบ้านเกิดความรำคาญและเกิดความเกรงใจแล้วก็ทำบุญกันมาซึ่งทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน แม้กระทั่งเขาไม่มีเงินก็ไปทำให้เขาเกิดความงมงาย ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหนี้เป็นสิน ซึ่งมันผิดหลักของพุทธศาสนา ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการเผยแพร่ในทางที่ผิด

อีกประการหนึ่งก็คือว่า การเผยแพร่พุทธศาสนาแทนที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง ให้เกิดความสงบ ให้เกิดความสุขกลับตรงกันข้าม เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาออกไปให้คนเกิดความโลภยิ่งขึ้น คือเร่งเร้าให้เขาทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน แลกกับสวรรค์ ยิ่งทำบุญมากเท่าไหร่ยิ่งได้สวรรค์ใหญ่โตมากเท่านั้น ซึ่งมันผิด

สยามธุรกิจ : เขาบอกว่าเขาไม่ได้บังคับในเรื่องการทำบุญ
พระอดิศักดิ์ : คือเขาพูดนะพูดได้ แต่การปฏิบัติมันไม่เหมือนคำพูด

สยามธุรกิจ : เพราะฉะนั้นการที่มาพูดว่า เข้าถึงธรรมกายแล้วสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานเป็นเรื่องไม่จริง
พระอดิศักดิ์ : ล้วนเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการยกย่องตนเอง เป็นเรื่องของการสร้างสัญลักษณ์ให้กับตนเอง ว่าเป็นผู้วิเศษ

สยามธุรกิจ : คิดว่าเขาเข้าใจผิดหรือเจตนาที่จะหลอกลวง
พระอดิศักดิ์ : เป็นทั้ง 2 สองอย่างนั่นแหละ คืออันที่หนึ่งก็คือว่าหลงไป จิตวิปลาสไป อีกอย่างหนึ่งก็คือต้องการให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของตนเอง คือต้องการความยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา ยิ่งใหญ่ในทางโลก ในทางอำนาจและในทางเงินตรา

สยามธุรกิจ : คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามั้ย
พระอดิศักดิ์ : คือ เขาคิดว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด เขาเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมดบนพระนิพพาน

สยามธุรกิจ : ตรงนี้เขาเคยแสดงออกให้อาจารย์เห็นหรือไม่
พระอดิศักดิ์ : ตรงนี้เขาเคยประชุมสานุศิษส์จำนวนมากที่เขาต้อน หรือพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมดึงขึ้นไปดอยสุเทพ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเศรษฐีณีที่เขาสอบประวัติอย่างแน่นอนแล้วว่า คนเหล่านี้มีทรัพย์สมบัติมหาศาล แล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เขาจะส่งสาวกไปทาบทามไว้ล่วงหน้าแล้ว มีจุดอ่อนจุดแข็งที่ไหนอย่างไรแล้วก็พยายามที่จะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้เกิดศรัทธาให้เห็นว่าเขา เป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด มีสิทธิ์มีเสียงมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ที่จะสั่งพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทำอะไรก็ได้ มีสิทธิ์ที่จะลงโทษพระพุทธเจ้าได้

สยามธุรกิจ : คุณไชยบูรณ์คิดแผนการอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
พระอดิศักดิ์ : แกคิดแผนการนี้ตอนที่ไปอยู่ที่นั่นแล้วที่คลองสอง แกคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้า เมื่อถึงตรงนี้เราพูดได้เลยว่าสำหรับคุณไชยบูรณ์หรือวัดธรรมกาย เราไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันเลยว่าหลักธรรมมันเป็นพุทธหรือเปล่า มันพูดได้เลยว่า มันเป็น 18 มงกุฎดี ๆ นี่เองมันคงเกิน 18 แล้ว มันวิปริตไปแล้วจากพุทธศาสนา เป็นเพียงแค่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินเท่านั้นเอง

สยามธุรกิจ : นอกจากพยายามสร้างภาพตัวเองว่าเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว ที่หลัก ๆ และที่น่าเกลียดมาก ๆ มีอะไรอีก
พระอดิศักดิ์ : น่าเกลียดมาก ๆ ก็คือ การเย้าแหย่สีกา เช่น เจอสีกาที่สวย ๆ ถูกใจก็จะเย้าแหย่แหมวันนี้นะคุณแดง (สมมุติชื่อ) แก้มแดง น่าหยิก แหมหูสวย หน้านวล จมูกโด่ง คือชมกันแบบชายหนุ่มเกี้ยวหญิงสาว มันก็เหมือนหมาหยอกไก่นั่นแหละก็เคยมีคนมาสารภาพให้อาตมาฟังว่ามันติด เข้าใกล้แล้วมันลืมโลกไปเลย แล้วก็มีเรื่องเยอะแยะเกี่ยวกับสีกา ซึ่งอาตมาตอนอยู่ที่นั่นเป็นคนคอยกันสีกาออกไป แล้วก็พบเรื่องสีกาแย่งกันไปแย่งกันมา ถึงกับทะเลาะเบาะแว้งกันบางคนก็มาร้องห่มร้องไห้ อาตมาก็ไล่ออกไปหลายคน เพราะว่าอาตมาจับหลักฐานได้ ถึงขั้นสีกานั้นเขียนจดหมายมาสารภาพ คือคนๆ นี้เป็นคนวิปริตโดยบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งเขียนมาสารภาพถึงความยิ่งใหญ่และความเก่งของตนเอง ซึ่งหมายถึงหลังจากมีการประพฤติผิดกันแล้ว ให้เขียนจดหมายมาว่าคนนี้เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็จับจดหมายได้

สยามธุรกิจ : เหตุการณ์นี้ปีพ.ศ.อะไร
พระอดิศักดิ์ : ประมาณพ.ศ.2524-25

สยามธุรกิจ : สีกาคนนี้มีสามีหรือไม่
พระอดิศักดิ์ : มีสามีมีลูก 2 คน ฐานะอยู่ในขั้นปานกลางค่อนข้างดี ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐีณี แต่เขาสวย ไม่ใช่สีกาอี๊ด

สยามธุรกิจ : อยากให้ท่านเรียบเรียงความเกี่ยวข้องกับสีกาตั้งแต่เริ่มต้นมา ใครเป็นคนแรก
พระอดิศักดิ์ : คนแรกถ้านับจากสมัยชีวิตเขาเป็นฆราวาส เยอะเหลือเกินหลายคน แต่สมัยนั้นอาตมาก็ไม่เชื่อนึกว่าผู้หญิงพวกนี้มันบ้า เห็นผู้ชายหล่อไม่ได้ ตามตื้อ มาร้องห่มร้องไห้ เขาก็บอกเขาไม่มีอะไร ผู้หญิงมันบ้าเอง เราก็เลยช่วยกันกีดกันออกไปหลายรายทีเดียว ตอนสมัยฆราวาสเขาก็เคยมาเล่าให้ฟังว่า เขาเคยพาผู้หญิงไปทำมิดีมิร้าย จนกระทั่งเขาบวชแล้วซัก 1-2 พรรษาโรคมันก็กำเริบ จนถึงกับต้องให้ชิดชัยที่บวชเป็นพระในภายหลังพาไปหาหมอ โรคมากำเริบหลังจากบวชแล้ว ต่อๆ มามีผู้หญิงที่แวะเข้ามาเยอะ เมื่อเป็นพระแล้วเขาก็รูปหล่อ ผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดคือคนที่จับจดหมายได้ แต่อาตมาไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ ก็สีกาตุ๊นี่แหละ คือมีสามีและมีลูกแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีความสุขมีลูก 2 คนแล้วยังไม่เท่ากับนายไชยบูรณ์เลย สีกาตุ๊เข้ามาในเวลาใกล้เคียงกับสีกาอี๊ด ต่างคนต่างมา มาแล้วก็เลยมาชิงรักหักสวาทกันเดิมทีก็บอกว่ามาช่วยงานวัด แต่ในที่สุดก็มาช่วยเป็นเจ้าของวัด เกิดความเสื่อมเสียมาก อาตมาก็เลยกันสีกาตุ๊ออกไป ในที่สุดสามีเขาก็รู้ข่าว ก็เลยเลิกไป เนี่ยคือทำให้ครอบครัวเขาแตก

สยามธุรกิจ :สีกาตุ๊มาพัวพันอยู่นานมั้ย
พระอดิศักดิ์ :ก็สัก 2-3 ปีได้ เป็นสีกาที่เด่นที่สุด สีกาอี๊ดมาในยุคใกล้ๆกัน สีกาตุ๊ชัดกว่า แต่ว่าในภายหลังสีกาอี๊ดก็ชัดมาก

สยามธุรกิจ : สีกาอี๊ดเกี่ยวข้องธุรกิจมากเหลือเกิน
พระอดิศักดิ์ : เท่าที่อาตมาอยู่ที่นั่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปีๆหนึ่ง ทอดผ้าป่าหลายครั้ง ทอดกฐินอยู่ 1 ครั้ง เงินแต่ละครั้งได้มาทีหลายสิบล้าน แล้วก็เอาธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่มาทั้งสำนักงานเลย เรายกอาคารให้ 1 หลัง อาคารหลังใหญ่ แค่เช็คเคลียร์ตัวเลขอย่างเดียว ไม่นับแบงก์นะ ตั้งแต่เช้ามืด ยันเที่ยงคนไม่จบ ไปจบเอาวันรุ่งขึ้น คือ วันจันทร์ เงินทั้งหมดในนามของมูลนิธิ เดิมทีใช้คำว่ามูลนิธิธรรมประสิทธิ์ ต่อ ๆ มาเป็นมูลนิธิธรรมกาย เงินนี้เข้าแบงก์กสิกรไทยในวันนั้น แล้วก็กระจายทันทีไปตามแบงก์ต่าง ๆ ทั้งหมดกระจายออกไปในนามของแบงก์ต่างๆ เสร็จแล้วก็ย้อนกลับเข้ามาในแบงก์กรุงเทพอีกที รู้สึกจะเป็นสาขาแถวสะพานควายในนามของสีกาอี๊ด จากสีกาอี๊ดก็กระจายออกไปอีกในนามของบริษัทต่าง ๆ สีกาอี๊ดเป็นหน้าฉากของนายไชยบูรณ์ กระจายออกไปตามแบงก์ต่างๆ คือพูดง่าย ๆ ทำให้ระบบการเงินสับสน หาตัวเลขไม่เจอ ติดตามได้ลำบาก

สยามธุรกิจ : ทำไมสีกาอี๊ดถึงได้รับการยอมรับอย่างสูง
พระอดิศักดิ์ : จริง ๆแล้วคน ๆ นี้เป็นคนใจกล้า เป็นนักธุรกิจขายยา อะไรต่าง ๆ ให้กับทางหน่วยราชการ ให้กับโรงพยาบาล ขายทั่วๆไปแม้กระทั่งขายอาวุธ เป็นนายหน้าติดต่อ เพราะฉะนั้นคน ๆ นี้พูดเก่ง หน้าตาก็ไม่ได้สวย แต่พูดเก่งและใจกล้า กล้าทำทุกเรื่อง จนกระทั่งไชยบูรณ์ก็สนใจความกล้า แรก ๆ ก็เข้ามาเป็นสานุศิษย์ เบ็ดเสร็จแล้วในที่สุดก็ยกระดับฐานะตัวเอง เขาบอกเขาเป็นทุกอย่างของไชยบูรณ์ เขามากับสามี สามีก็เป็นลูกศิษย์ด้วย คือเขาเป็นคนพาสามีเข้าวัดแล้วก็เป็นคนชักจูงสามีทุกเรื่องราว ในที่สุดพอเขามายุ่งกับตัวเงินมากเข้า เขาก็กลัวว่าสามีจะติดร่างแหของความทุจริต อาจจะถูกสอบ เพราะสามีเป็นข้าราชการ ก็เลยทำนิติกรรมหย่าร้างกันก็ยิ่งสนุกใหญ่ แล้วก็กลับไปใช้นามสกุลเดิม แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ยังอยู่กับสามี

สยามธุรกิจ : ความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับคุณไชยบูรณ์ สามีทราบหรือไม่
พระอดิศักดิ์ : สามีคงไม่ทราบเพราะว่าสามีเข้าใจว่าภรรยาตัวเองเก่ง

สยามธุรกิจ : ธุรกิจหลัก ๆ ของคุณไชยบูรณ์โดยสีกาอี๊ดช่วงนั้นมีอะไรบ้าง
พระอดิศักดิ์ : มีค้าน้ำมันอีสานกับสีกาอี๊ด จริง ๆ แล้วเป็นการค้าขายกับคุณวาสนา แต่เลิกค้ากันไปค้ากันมาเจ๊งยับเยิน คุณวาสนาเห็นว่าไอ้บริษัทนี่เหลือแต่ชื่อกลวง ๆ แล้ว ก็ยกย่องสีกาอี๊ดขึ้นมาเป็นผู้จัดการ ช่วงนั้นเข้าใจว่า หมดไปเป็นพัน ๆ ล้าน

สยามธุรกิจ : ธุรกิจจัดสรรที่ดินทำกันอย่างไร
พระอดิศักดิ์ : สีกาอี๊ดเป็นคนจัดการ กว้านซื้อที่ดินรอบบริเวณวัด บุกรุกป่าทำสารพัดก็อาศัยสีกาอี๊ดเป็นคนวิ่งเต้นขึ้นเหนือลงใต้ทุกอย่าง เป็นตัวจักรเด่นชัดที่สุด คนอื่นเป็นเพียงแต่ฉากประกอบ

สยามธุรกิจ : ช่วงหลังสีกาอี๊ดห่างเหินไปจากวัดธรรมกาย
พระอดิศักดิ์ : ช่วงระยะสั้นๆ เนื่องจากมีสีกาอีกคนหนึ่งเข้ามา สีกาเมียเสี่ยพ.เข้ามาทั้งรูปสวย รวยทรัพย์ สมบัติมหาศาล นายไชยบูรณ์หลงไประยะหนึ่ง พาไปไหนต่อไหนด้วยกัน จนกระทั่งสีกาอี๊ดทนไม่ได้เพราะมีคนเห็นไปกัน 2 ต่อสองที่เชียงใหม่ ถึงขั้นมาคาดคั้นนายไชยบูรณ์ นายไชยบูรณ์บอกว่าไม่จริง ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้ในที่สุดเขาก็อ้างพยานได้ว่ามีคนเห็นไปอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ที่ไหนอย่างไร จนในที่สุดจนด้วยหลักฐาน พยานบุคคล

สีกาอี๊ดโกรธมากถามว่าจะเลือกใครระหว่างคนนั้นกับตน คนนั้นมีเงินมากมายมหาศาลและสามีตายแล้ว นายไชยบูรณ์เขาบอกว่าเขาเลือกคนนั้น สีกาอี๊ดโกรธมาก นายไชยบูรณ์เป็นคนหวาดระแวงว่า ตายจริงธุรกิจทั้งหมดอยู่ในมือของสีกาอี๊ดหมดเลย ก็เลยให้คนปลอมลายเซ็นต์ของสีกาอี๊ด โอนกิจการกลับคืนมาหมด ได้ข่าวว่าถึงขั้นฟ้องร้องกันว่าปลอมลายเซ็นต์ ในที่สุดนายไชยบูรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแล้วก็เลยออกมาโอ๋สีกาอี๊ด ทุกอย่างก็เงียบไปเพราะเขามีวาทะศิลป์ดี

สยามธุรกิจ : โอนธุรกิจกลับมาอยู่ในมือใคร
พระอดิศักดิ์ : ตอนนั้นไม่ทราบว่า กลับมาอยู่ในมือใคร คงอยู่ในมือของสาวกคนอี่น แต่ความที่เขาไม่ไว้ใจใครเลย ฉนั้นพอมีปัญหาที่เขาแสวงหาเหมืองทอง เพชรนิลจินดาแถวพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์หลายแห่งในย่านนั้น เขาก็บอกแถวนั้น หยกชั้นหนึ่ง มรกตก็มีอะไรก็มี เขาไปสืบเสาะมาหมดเลยในช่วงนั้นประมาณ ปีพ.ศ. 2528 ได้ คุณไชยบูรณ์เล่าให้อาตมาฟังว่า เมืองไทยอุดมสมบูรณ์มาก มีเพชรนิลจินดา พวกมรกตชั้นหนี่ง พวกเหมืองทองแถวพิษณุโลกหรือที่อี่น ๆ เต็มไปหมด แล้วก็บอกว่า คนอื่นจะยึดเลยยึดเสียเอง ความที่เขาไม่ไว้ใจใคร การซื้อที่ ซื้อเหมืองจึงใช้ชื่อเขา จึงเป็นเรื่องขึ้นมาให้เห็น

สยามธุรกิจ: ตกลงสีกาอี๊ดยังไม่ใช่อดีต
พระอดิศักดิ์: ได้ข่าวว่ายังเป็นปัจจุบันอยู่

สยามธุรกิจ:แสดงว่าปัจจุบันยังมีหลายคน มีสีกาอี๊ด เมียเสี่ย พ.
พระอดิศักดิ์: และคุณวิชญา หรือนัส คนนี้เป็นเจ้าแม่ที่นั่นเลย และสีกา ส.ที่ทำบริษัทจิวเวอร์หลายคนที่เดียว

สยามธุรกิจ : แล้วกรณีแม่ชีจันทร์สถานะในวัดเป็นอย่างไร
พระอดิศักดิ์ : จุดเริ่มต้นจริงๆ ต้องไปกล่าวย้อนถึงในสมัยโน้นตอนที่นายไชยบูรณ์ เป็นนิสิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แกก็ไปอ่านวิปัสนาบันเทิงสารของแม่ชีวรมัย กบิลสินธ์ ซึ่งเขียนว่าวัดปากน้ำมีแม่ชีปฏิบัติธรรมมะ และมีคุณวิเศษเกิดขึ้น และแกก็เขียนเป็นวิปัสนาบันเทิงสารซึ่งเราก็ต้องเข้าใจว่า มันมีลักษณะเป็นนิยายอิงความจริงบ้าง เขาบอกว่ามีแม่ชีเหาะขึ้นไปบัดระเบิดบ้าง และอ้างถึงว่ามีแม่ชีไม่รู้อ้างถึงชื่อรึเปล่าไม่ทราบ อาจจะอ้างถึงแม่ชีจันทร์ขึ้นไปบัดระเบิด เสร็จแล้วนายชัยบูรณ์จึงเกิดติดอกติดใจแบบเด็กหนุ่มยังเรียนหนังสืออยู่ ก็รีบเลยเพราะอยากจะเป็นผู้วิเศษบ้าง ก็มาวัดปากน้ำ และถามหาแม่ชีจันทร์ ก็เจอแม่ชีคนหนึ่งซึ่งผอมหน้าตาก็เป็นแม่ชีบ้านนอกพูดจาไม่ค่อยชัดหนังสือก็อ่านไม่ออก ก็มีความรู้สึกว่าคนนี้บริสุทธิ์ดี ก็ถามหาแม่ชีจันทร์ที่เขาบอกว่าปัดระเบิดได้ ยายนี่ก็เลยสวมรอย ว่าฉันนี้คือแม่ชีจันทร์แล้วก็ไม่มีสอบประวัติใด แล้วก็กราบก้นโด่ง ในที่สุดก็ยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ สอนสมาธิ สอนต่างๆ และแกก็รับสมอ้างเป็นศิษย์เอกวัดหลวงพ่อปากน้ำ

จริงแล้วแม่ชีจันมีจริงแต่ตายไปแล้วถ้าอยู่ป่านนี้ก็อายุ 100 กว่าแล้ว แม่ชีจันทร์ท่านเก่งจริงๆ เป็นที่ยกย่อง แต่แม่ชีนี้ก็เก่งเหมือนกันคือ ตอแหล คือ อยากดัง ก็เลยร่วมมือกับนายชัยบูรณ์ นายเผด็จ เขียนนวนิยายปัดระเบิดปรมาณูไปลงที่ฮิโรชีม่า กับนางาซากิ อาตมาก็อยากจะ ถามว่าถ้ามีความสามารถทำได้ ไม่รู้หรือว่าระเบิดนั้นฆ่าคนได้ แล้วเมื่อปัดไปลงที่นั้น มีคนตายเป็นแสนๆ คน แกไม่เกิดความสลดใจบ้างหรือ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับชื่นชมกันใหญ่มีความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่เหลือเกินที่ฉันสามารถปัดระเบิดไปลงที่นั่นคนตายกันเกลื่อน คนที่มีคุณธรรมเนี่ยที่มีธรรมะอยู่ในใจควรจะสังเวชต่อบาปกรรมที่ตัวเองทำหรือไม่แต่ถ้าทำไม่ได้แสดงว่า นี่คือนวนิยายโกหกตอแหล เพื่ออะไรเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างทรัพย์สมบัติ สร้างเงินสร้างทอง เกียรติยศให้กับตนเอง นี่คือความเท็จเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน

สยามธุรกิจ : โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
พระอดิศักดิ์ : ธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจสวมรอยชาวบ้าน ได้มาฟรี ๆ

สยามธุรกิจ : แล้วส่วนที่ผันเงินของวัดไปทำธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง
พระอดิศักดิ์ : เจ๊ง เจอวิบัติหมด เช่น น้ำมันอีสานหมดเป็นพัน ๆ ล้าน หรือที่เอาไปปั่นหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ ลูกศิษย์ของอาตมาเล่าให้ฟังว่า หมดไปประมาณ 2 หมื่นล้าน

สยามธุรกิจ : จุดเริ่มการเล่นหุ้นพอจะลำดับความได้อย่างไร
พระอดิศักดิ์ : เดิมที มีการเล่นหุ้นน้ำมันของแม่ชม้อย นายไชยบูลย์เป็นหัวคิว เชียร์ลูกน้องให้ เล่นด้วยเพื่อหวังรวย แต่ในสุดท้ายลูกศิษย์ก็ซวยเจ๊งไปตาม ๆ กัน นายไชยบูลย์จึงหลบหน้าไปพักหนึ่ง

สยามธุรกิจ : หลบหน้าไปไหน
พระอดิศักดิ์ : หลบหน้าไป ไม่รับผิดชอบ ไปเชียงใหม่ กบดานอยู่ในที่นั่น แต่ก็ไปปั้มเงินจากที่นั่น อีกจากเศรษฐีหน้าโง่ต่อไป เสร็จแล้วหลังจากนั้น ทราบว่า มีลูกศิษย์ผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เล่นหุ้น มีครอบครัวแล้ว และประสบความสำเร็จมากในการเล่นหุ้น ก็เลยอยากจะได้กำไรด้วย ก็เลย เรียกลูกศิษย์ให้นำเงินวัดไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

สยามธุรกิจ : พูดชัด ๆ อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ
พระอดิศักดิ์ : ใช่ ลูกศิษย์ก็เลยตกใจ ไม่รู้จะถอนตัวอย่างไรได้ ก็เลยบอกว่ามีลูกอยู่คนหนึ่งกำลังโตเป็นสาว กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อ สามีก็อายุมากแล้ว อยากขอตัวไปดูแลลูกสามีก่อนสักปีสองปี เมื่อลูกโตแล้วจะรีบกลับมาช่วย พูดง่าย ๆ ก็ คือ ชิ่ง หลังจากนั้นจึงไม่กลับมาเลย เพราะรู้ว่า เจ้าอาวาสมีเจตนาทุจริต

สยามธุรกิจ : ทำไมลูกศิษย์ถึงรับไม่ได้กับข้อเสนอเพราะการเล่นหุ้นเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง
พระอดิศักดิ์ : ใช่ แต่เป็นพระเล่นธุรกิจได้อย่างไร แกเอามาเล่าให้อาตมาฟัง เห็นว่า ไม่ถูกต้อง แกก็เลยหนี หนีเสร็จในช่วงนั้น นายสอง ซึ่งเพิ่งจบธรรมศาสตร์ใหม่ ๆ ฐานะทางบ้านปานกลางไม่มีงานทำ ไปเรียนหมอนวดจากหมอนวดไทยคนหนี่ง เรียนเสร็จแล้วมารับใช้เจ้าอาวาส เพราะน้องชายบวชอยู่ที่นั่น มาบีบมานวดนายไชยบูลย์ นายไชยบูลย์ก็ชอบด้วยเห็นว่าคุยเก่งเห็นว่า เด็กคนนี้มีแววดี ก็เลยอุปโลกน์นายส.เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ชี้ตัวโน้นขึ้นตัวนี้ลง ปั่นหุ้นจนกระทั่งติดอันดับเสร็จแล้วก็เอาเงินจากลูกศิษย์ที่ไว้ใจเอามาเล่น แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินของวัด ชี้ตัวไหนตัวนั้นขึ้น ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว

แต่ในที่สุดเวรกรรมตามทันนั้น หุ้นเจ๊งระเนระนาด นาย ส.เกือบเป็นบ้า นายไชยบูลย์หมดตัวเป็นเงิน 2 หมื่นล้าน ก็เลยต้องเรี่ยไรต่อ สร้างโครงการสวรรค์วิมานในฝันต่อ แต่สร้างอะไรไม่ได้ตังค์รวดเร็วเท่ากับโกหกหลอกลวง

สยามธุรกิจ : เสี่ยส.เป็นตัวแทนของชัยบูลย์ในการเล่นหุ้น
พระอดิศักดิ์ : ใช่

สยามธุรกิจ : มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับเมียเสี่ยพ.หรือเปล่า
พระอดิศักดิ์ : ช่วงนั้นสีกาอี๊ดชักไม่พอใจ ในเวลาเดียวกัน เสี่ยส.เริ่มเข้ามามีอิทธิพลเรื่องการเงินการทอง ดึงความสำคัญของสีกาอี๊ดไป ในขณะเดียวกันเสี่ยส.ก็เข้ากันได้กับเมียเสี่ย พ.แล้วก็มีการเอาเงินส่วนหนี่งของเสี่ยพ.มาปั่นหุ้นด้วย

สยามธุรกิจ : เงินส่วนใหญ่กองอยู่ในธุรกิจ แล้วมีเงินสดสำรองอยู่มากไหม
พระอดิศักดิ์ : ได้มาก็นำเงินไปหมุนซื้อที่จัดสรรต่อไป โครงการจัดสรรที่ดินมีจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน หมุนอยู่ในที่ เมื่อเศรษฐกิจพัง เขาจึงหมดตัว จึงต้องเรี่ยไรไม่หมดไม่สิ้น พยายามสร้างสวรรค์วิมานต่าง ๆ บอกบุญอย่างบ้าระห่ำ

สยามธุรกิจ : ที่ดินอย่างที่เป็นข่าวมีที่ไหนอีกบ้าง
พระอดิศักดิ์ : เยอะมากแทบพูดได้ว่า แทบทุกจัดหวัด

สยามธุรกิจ : มาถึงตอนนี้สรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเลย
พระอดิศักดิ์ : เพี้ยน 100 เปอร์เซ็นต์

สยามธุรกิจ : เป็น 18 มงกุฎหลอกลวงมาตลอดเวลา
พระอดิศักดิ์ : เป็นอย่างนั้น

สยามธุรกิจ : ที่มีคนพูดว่า จะเป็นนิกายใหม่อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นที่จะต้องมาวิเคราะห์
พระอดิศักดิ์ : ไม่ใช่เป็นนิกายใหม่ เป็นการหลอกลวง

สยามธุรกิจ : เนื่องจากทางวัดมีรายรับเยอะ มีการซื้อความสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทั้งจากฆราวาสและบรรพชิตบ้างไหม
พระอดิศักดิ์ : ครั้งหนี่งเคยทะเลาะกับอาตมา เขาให้อาตมาเซ็นเช็คจ่ายเงินกี่แสนแล้วจำไม่ได้ ซื้อพระรูปหนึ่ง เพราะพระรูปนั้นต่อไปมีโอกาสเป็นพระผู้ใหญ่ โดยพูดว่าเราซื้อเอาไว้ใช้สักคนไม่ได้เชียวหรือ อาตมาก็บอกว่า เงินนี้เขามาบริจาคสร้างวัด ถ้าเอาไปซื้อพระมันผิดวัตถุประสงค์ อาตมาก็ไม่ยอมเซ็นเช็คให้ เมื่ออาตมาไม่ยอม ก็รู้สึกโกรธแต่ไม่รู้จะทำยังไง เขาก็เลยหาเงินก้อนใหม่ที่ไม่ผ่านบัญชีมาให้ ซื้อพระองค์นั้น ความที่อาตมาไม่ยอม กลายเป็นที่เขม่นของพระองค์นั้น เมื่อเขาเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งขณะนี้พระองค์นี้มีตำแหน่งใหญ่จริง ๆ

สยามธุรกิจ : พระไชยบูรณ์จ่ายเงินมากไหมสำหรับการซื้อตัวพระรูปนั้น
พระอดิศักดิ์ : มากหรือไม่ต้องไปถามพระมโน พระเมตตาเพราะท่านอยู่ใกล้ชิดข้อมูล จ่ายเท่า ไหร่ จ่ายอะไรบ้าง

สยามธุรกิจ : กรณีอย่างนี้เกิดขึ้นกับพระรูปเดียว
พระอดิศักดิ์ : เท่าที่รู้มีหลายรูป

สยามธุรกิจ เห็นบอกว่ามีการซื้อรถเบนซ์ให้พระบางรูป
พระอดิศักดิ์ : ใช่ เบนซ์ 500

สยามธุรกิจ : รูปเดียวกันกับที่เอ่ยถึงเมื่อกี้
พระอดิศักดิ์ : คนละรูป ที่ให้เบนซ์ 500 รู้สึกว่าจะให้กันเป็นประจำ ให้เพื่อซื้อยศ 2-3 คน ซี่ง เงินที่ใช้ซื้อยศเป็นเงินของชาวบ้านทั้งนั้น เดิมทีเราบอกว่า ไม่เอายศ ตอนนี้ต้องไล่ซื้อ

สยามธุรกิจ : นอกจากได้ยศแล้วได้แบกอัพจากพระผู้ใหญ่ด้วย
พระอดิศักดิ์ : ใช่ทุกอย่าง

สยามธุรกิจ: มีผู้ที่เป็นทั้งพระ ทั้งสานุศิษย์เดิม ๆ ที่เห็นข้อเท็จจริงแล้วถอยออกมาบ้างไหม
พระอดิศักดิ์ : มีอยู่เยอะ จำนวนมหาศาล แต่บุคคลเหล่านี้ไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะอิทธิพลเขามาก ทั้งอิทธิพลทางฆราวาสและในวงศาสนามากมายมหาศาล แม้ความชั่วของเขามากมายขนาดนี้ เขายังลอยนวลได้

สิ่งที่อยากพูด คือ การบิดเบือนหลักพระพุทธศาสนา คือ เขาจะเชิญชวนญาติโยมไปทำบุญในวันอาทิตย์ทุกต้นเดือน อันนี้สำคัญที่สุด จุดนี้คือจุดหาเงิน คนเก็บหอมรอบริบเพื่อไปซื้อบุญมีเป็นจำนวนมาก เพราะเขาโฆษณาว่า การทำบุญในวันอาทิตย์ต้นเดือนหนึ่งครั้ง ได้บุญกว่าการทำบุญ กับพระพุทธเจ้าจริง ๆ เสียอีกมากกว่าเป็นอสงไขยเท่า

ไชยบูลย์ให้เหตุผลว่า ยายชีจันทร์สามารถเอาธรรมกายน้อมนำเอาอาหารที่ชาวบ้านไป ถวายมากลั่นเป็นอาหารทิพย์ เอากายมนุษย์ที่ละเอียดมาไว้ที่ศูนย์กลางของยายชี นี่เป็นคำพูดของนายไชยบูลย์ จากนั้นก็กลั่นให้ละเอียดขึ้นพระนิพพาน ซี่งคำสอนอย่างนี้ชัดต่อหลักพระพุทธศานานอกจากนี้แล้ว การกลั่นอาหารทิพย์เอาไปถวายพระพุทธเจ้านับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนมี บุญนับไม่ถ้วน แม้เราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอย่างมากเจอแค่พระพุทธเจ้าองค์เดียว

แต่ด้วยความวิเศษของยายชีจันทร์ บวกด้วยความสามารถของนายไชยบูลย์ ทำให้เราทุกคนสา มารถเอากายขึ้นไปเที่ยวพระนิพพานได้ เหมือนอย่างจัมโบ้เจ็ต มีโอกาสน้อมนำอาหารทิพย์พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าสวดมนต์อวยพรเจ็ดวันเจ็ดคืน บุญนี้ไหลหลั่งนับไม่ถ้วน คำสอนดังกล่าวนี้นับว่า อุตริมากเป็นการทำลายหลักการพระพุทธศาสนาอย่างยับเยิน

เพราะหากทำตามคำสอนดังกล่าวแล้วเราไม่ต้องทำความดีอะไรอีกแล้ว เพราะเสียเงินไม่กี่บาท อาศัยชีจันทร์หลับตาหน่อยเดียวก็ได้บุญมหาศาล เป็นคำสอนวิปริต ตกลงคนไม่ต้องคิดถึงความดีอย่างอื่น ไม่ต้องทำภาวนาอะไรทั้งสิ้น แม้โจรยังสามารถไปนิพพานได้ เพราะขอให้ไปวันนั้นจะได้บุญมหาศาล ฉนั้นไม่จำเป็นต้องทำความดี แม้ทำความชั่วยังไปสวรรค์ได้ นิพพานได้ รอวันนี้วันเดียววันอาทิตย์ต้นเดือน

อยากให้สื่อเขียนเรื่องถวายข้าวพระและการปัดระเบิด เพราะในวันอาทิตย์ที่ 27 นี้เขานัดชุมนุมสาวกไปวันเกิดยายชีจันทร์ คนจะได้รู้ว่า ยายชีเป็นตัวปลอม แล้วจะได้รู้ว่า การปัดระเบิดเป็นบาปมหาศาล เพราะถ้าทำอย่างนั้นจริง ๆ ตายไปตกนรกขุมอเวจีเป็นอย่างน้อยเพราะฆ่าคนเป็นแสน ๆ แล้วการ

จาก Facebook -- คนไทยสนับสนุนกองทัพไทยในการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์
17 กค 2557

53
ทำไมระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงทำลายระบบสาธารณสุขไทย

คนทั่วไปที่ไม่ได้มีวิชาชีพทางด้านการแพทย์และธารณสุขส่วนใหญ่แล้ว มักจะเข้าใจว่า โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือที่เรียกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายประชานิยมที่ดี เป็นโครงการสวัสดิการเพื่อประชาชน และบางคนที่มองเห็นว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เป็นสำนักงานบริหารโครงการนั้น เป็นการป้องกันไม่ให้ "นักการเมือง" เข้ามา "ล้วงลูก" การบริหารและไม่สามารถ"ทุจริตคอรัปชั่น" งบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ แต่คนส่วนมากก็ไม่เคยได้รับทราบว่า โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่บริหารในรูปคณะกรรมการนี่เอง เป็นแหล่งที่ทำให้มีแพทย์กลุ่มหนึ่งใช้เป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์จากเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนหลายแสนล้านบาทต่อปี โดยการคอรัปชันนี้ มีทั้งในรูปแบบที่เรียกว่า "ตามน้ำ" และในรูปแบบที่แปลกประหลาดพิศดาร จนคนทั่วไปคิดไม่ถึง และยังมีการให้ "รางวัล"ในฐานะ "ผู้บริหารกองทุนดีเด่น"ติดๆกันมา 2-3 ปีแล้ว ทั้งๆที่บุคลากรทางการแพทย์ในภาคราชการซึ่งเป็นบุคลากรส่วนใหญ่ที่ต้องทำงาน "ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข" แก่ประชาชนในระบบ 30 บาท นั้น ต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า การบริหารจัดการด้านการเงินในระบบ 30 บาทของสปสช.นั้นก่อให้เกิดการตกต่ำของมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยเนื่องจากการกำหนดรายการยาของสปสช.และคณะกรรมการยาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักหรือเป็นโรคที่รุนแรง (ร้ายกาจ)นั้น ไม่ได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต้องการใช้เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรค

ทั้งนี้ คนบางคนกลับคิดว่าการที่ไม่กำหนดรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้แพทย์ใช้ยาฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น และเผยแพร่ความคิดนี้ที่ว่าแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์(การแพทย์) หรือในโรงพยาบาลทั่วไป (ประจำจังหวัด)นั้นชอบใช้ยาราคาแพง แต่แพทย์โรงพยาบาลชุมชนนั้นเป็นแพทย์ที่ดี เพราะใช้ยาเฉพาะยาราคาถูกที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติเท่านั้น

แต่คนที่คิดเช่นนี้ เป็นคนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลแต่ละระดับ เขานึกแต่เพียงว่า งบประมาณเหมาจ่ายต่อหัวของสปสช.นั้น ควรจะเหมือนๆกันสำหรับจ่ายให้โรงพยาบาลแต่ละแห่ง

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลชุมชน ย่อมต้องน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลศูนย์(การแพทย์) อย่างแน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากโรงพยาบาลชุมชน เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคสามัญธรรมดาที่อาการไม่มากและการรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อน ต้นทุนการรักษาจึงมีราคาไม่แพง ตัวอย่างเช่น การเจ็บป่วยเป็นไข้เป็นหวัด ท้องเสีย ท้องผูก ปวดท้อง เป็นลม วิงเวียนศีรษะ บาดแผลเล็กๆน้อยๆ ฯลฯ

แต่เมื่อไหร่ที่การเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่นจากไข้หวัดกลับลุกลามกลายเป็นหลอดลมอักเสบ ปอดบวม ปอดเป็นหนอง หรือการปวดท้องกลับกลายเป็นการมีก้อนมะเร็งที่ลำไส้ ตับ ต่อมน้ำเหลืองในท้อง ฯลฯการรักษาก็จะต้องใช้ยาที่มี"ความแรงและมีความจำเพาะ มีประสิทธิผลสูงสุด" ในการรักษโรคเพิ่มขึ้น ต้องใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจวินิจฉัยและ/หรือรักษาการเจ็บป่วย รวมทั้งผู้ป่วยก็ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น และยังอาจจะมีโรคแทรกซ้อนต่างๆเพิ่มเข้ามาอีก

ซึ่งในที่สุดแล้ว ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยอาการหนักเหล่านี้ก็ย่อมที่จะมากขึ้นกว่าการรักษาโรคธรรมดาๆในโรงพยาบาลชุมชนอย่างแท้จริง ฉะนั้น การจัดสรรงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลแต่ละระดับจึงต้องแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับภาระงานในการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยของแต่ละโรงพยาบาล

เปรียบเหมือนกับการจัดสรรงบประมาณในการจัดการศึกษาเล่าเรียนให้แก่โรงเรียนหรือสถานศึกษาในระดับต่างๆกัน ก็ต้องแตกต่างกันออกไป เช่น ระดับโรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวะศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องการอาคารสถานที่ อุปกรณ์/เทคโนโลยี /สถานที่ฝึกงาน และความรู้ความสามารถของครู/อาจารย์ ในการสอนที่แตกต่างกันออกไปในสถานศึกษาแต่ละระดับ การจัดสรรงบประมาณสำหรับโรงพยาบาลในแต่ละระดับตามขีดความสามารถหรือศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยก็จำเป็นที่จะแตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน

แต่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ มีต้นกำเนิดจากแพทย์กลุ่มที่เป็นผู้รักษาพยาบาลผู้ป่วยในโรงพยาบาลชุมชน กลุ่มแพทย์ที่เป็นผู้วางแผนการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาท) ล้วนเป็นแพทย์ที่มาจากผู้มีประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลชุมชน จึงได้คิดงบประมาณค่าเหมาจ่ายต่อหัวโดยคิดเฉลี่ยเท่ากันหมดไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลระดับใด และเมื่อมีการส่งตัวผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้นจากโรงพยาบาลชุมชนไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลระดับสูงขึ้น โรงพยาบาลระดับต้น(ได้แก่รพ.ชุมชน) ก็ไม่ตามไปจ่ายเงินค่ารักษาที่โรงพยาบาลระดับสูงซึ่งได้แก่โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ หรือโรงพยาบาลในมหาวิทยลัย(คณะแพทยศาสตร์) จึงทำให้โรงพยาบาลระดับสูงกว่าโรงพยาบาลชุมชนประสบปัญหาการขาดต้นทุนในการดำเนินการให้บริการรักษาผู้ป่วยมาตลอดเวลาหลังจากการมีระบบหลักประกันสุขภาพ

แม้ต่อมาจะมีการรวบเอาเงินงบประมาณเหมาจ่ายต่อหัวมาบริหารจัดการใหม่ โดยสปสช.ไม่จ่ายงบประมาณโดยตรงตามจำนวน(หัว) ประชาชนให้แก่โรงพยาบาลโดยตรง แต่สปสช.เอางบประมาณทั้งหมดในการรักษาผู้ป่วยมาบริหารจัดการเอง และส่งเงินให้แก่โรงพยาบาลตามแต่ประเภทและตามข้อมูลสถิติและรายงานการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลส่งให้แก่สปสช. แต่สปสช.ก็ไม่สามารถจัดสรรเงินให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยจริง ทำให้โรงพยาบาลแต่ละระดับประสบปัญหาขาดต้นทุนในการให้การรักษาผู้ป่วยอย่างดีตามมาตรฐานทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ตามความรู้ความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทาง (specialist) ทำให้ผู้ป่วยได้รับความเสียหาย รักษาไม่หาย ดื้อยา และโรคลุกลามไป บางรายก็พลาดโอกาสที่จะมีสุขภาพแข็งแรงดังเดิม บางคนก็พลาดโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือตายโดยยังไม่สมควรตาย

แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องรับภาระในการดูแลรักษาผู้ป่วยจึงสรุปได้ว่า ระบบการบริหารจัดการของสปสช.ทำให้ระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขไทย กลายเป็นเสมอภาคและเท่าเทียมกันแบบ "เลวเท่ากันหมด" และ"สาธารณสุข" กลายเป็น "สาธารณทุกข์"

แต่คนนอกวงการแพทย์ไม่รับทราบความจริงข้อนี้ เพราะสปสช.และกรรมการบอร์ดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ปกปิดบิดเบือนความจริงที่น่าสลดหดหู่นี้จากประชาชน สปสช.ไม่เคยยอมรับความจริงว่างบประมาณไม่คุ้มกับต้นทุนในการรักษา แต่สปสช.จะบอกแต่เพียงผลการสำรวจว่าประชาชนพึงพอใจในระบบหลักประกันสุขภาพมากมายมหาศาลเกือบ 100 % (พอใจเพราะไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษา)แต่สปสช.ไม่เคยกล่าวถึงคุณภาพการรักษาที่ตกต่ำลงจากระบบนี้แต่อย่างใด ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่า 30 บาทสามารถรักษาได้ทุกโรคเป็นอย่างดี

นอกจากงบประมาณที่มีไม่เหมาะสมต่อต้นทุนการทำงานแล้ว ผู้รับผิดชอบในการบริหารรสปสช.ยังฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรมาให้เป็นค่าดูแลรักษาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย คอรัปชั่นจากการจัดซื้อจัดจ้าง คอรัปชั่นในการบริหารงาน และการเอางบประมาณค่ารักษาประชาชน ไปให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มของตน ไปดูงานต่างประเทศ (ไปเที่ยว อ้างการดูงานบังหน้า) หรือแม้แต่เอาไปให้เป็นทุนการศึกษาแก่พวกพ้องชมรมแพทย์ชนบท

การคอรัปชันเหล่านี้ บางครั้งก็มีการตรวจสอบแล้วจากสตง. แต่ยังไม่มีการลงโทษผู้กระทำผิด และยังมีคอรัปชันที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอีกมากมาย เป็นการคอรัปชั่นโดยผู้บริหารและคณะกรรมการที่ไม่ดูแลแก้ไขและตรวจสอบ ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณไปสู่ผู้ทุจริตทุกๆปี และทำให้ประชาชนได้รับการดูแลรักษาที่ไม่มีมาตรฐานทางการแพทย์ที่เหมาะสมเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต

จึงสมควรที่จะมีการตรวจสอบและรื้อระบการจัดสรรงบประมาณและการบริหารงบประมาณของโครงการหลักประกันสุขขภาพโดยด่วน ทั้งนี้เพื่อให้งบประมาณแผ่นดินไม่ตกไปอยู่ในกลุ่มผู้บริหารองค์กรอิสระโดยมิชอบ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ในการดูแลรักษาสุขภาพอย่างดี มีมาตรฐาน ปลอดภัย และงบประมาณแผ่นดินตกถึงมือประชาชนอย่างเต็มที่ และระบบบริการสาธารณสุขไม่ถูกทำลายให้อ่อนด้อยลงไปอีก

จาก Facebook --- Churdchoo Ariyasriwatana
17กค2557

54
เมื่อฝุ่นควันเริ่มจาง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งเมื่อความจริง เบื้องหลัง “ชมรมแพทย์ชนบท” ได้รับการเปิดเผย ทำให้สังคมได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้ว ความเคลื่อนไหวของ “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่อ้างเรื่องต่อต้านการเปลี่ยนแปลงภายในกระทรวงสาธารณสุขนั้นโยงใย กับ“สามพรานฟอรั่ม” แบบแยกไม่ออก!!!

โดย “ชมรมแพทย์ชนบท” นั้นก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2523 และได้จัดตั้งมูลนิธิแพทย์ชนบทขึ้นมาในปี พ.ศ. 2525 เพื่อระดมเงินทุนมาทำงานของชมรมซึ่ง “ประธานชมรมแพทย์ชนบท” ในอดีตที่ผ่านมา ก็ได้แก่ น.พ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ , น.พ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์, น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ , น.พ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ , น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ , น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ, น.พ.ประทีป ธนกิจเจริญ , น.พ.พงษ์พิสุทธ์ จงอุดมสุข , น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา , น.พ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ , น.พ.วชิระ บถพิบูลย์ และล่าสุด น.พ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนปัจจุบันและมีบุคคลสำคัญ อย่าง น.พ.ประเวศ วะสี เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของชมรม

แล้ว “สามพรานฟอรั่ม” ล่ะ … มีใครบ้าง ??? ถึงได้มีอิทธิพลต่อ “แพทย์ชนบท” !!!
สำหรับกลุ่ม “สามพรานฟอรั่ม” นั้น ในวงการสาธารณสุข รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า มีต้นตอมาจากพื้นที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่ง “แพทย์กลุ่มหนึ่ง” นัดพบปะหารือกันเป็นจำนำโดยวงพบปะดังกล่าว นั้นว่ากันว่ามีสมาชิกคนสำคัญประกอบด้วย น.พ.ประเวศ วะสี บิ๊กเบิ้มวงการหมอ ,น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ พี่ใหญ่ชมรมแพทย์ชนบท ,น.พ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เชี่ยวชาญงานวิชาการและวิจัย ,น.พ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐบาล คมช. ,น.พ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทคนปัจจุบัน รวมไปถึง นายอัมมาร์ สยามวาลา นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งการที่ชื่อบุคคลที่เคยเป็น “อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท” ที่ซ้ำไปซ้ำมากับ “ชื่อบุคคล” ในวง “สามพรานฟอรั่ม” นั้นเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดว่าเพราะอะไร ทั้ง “สองวง” นี้จึงมีอิทธิพลต่อกันอย่างยิ่ง

นอกจากนี้เป็นที่รู้กันภายในกระทรวงสาธารณสุขว่า “สามพรานฟอรั่ม” นั้นมีอิทธิพลต่อวงการสาธารณสุขไทยมายาวนาน และครอบคลุมจนนับได้ว่าเป็น “เครือข่าย” ที่ใหญ่ที่สุด เครือข่ายหนึ่งในวงการสาธารณสุขก็ว่าได้

ยกตัวอย่าง “น.พ.มงคล ณ สงขลา” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐบาล คมช. ก็รั้งตำแหน่ง “ประธานกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ”

หรือย่าง น.พ.วิชัย โชควิวัฒน พี่ใหญ่ชมรมแพทย์ชนบท นอกจากจะเคยเป็น “ประธานบอร์ดองค์การเภสัชฯ” ก็เคยครองมาแล้วทั้งตำแหน่ง “รองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส)” และ กรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

โดยในรายของ “น.พ.วิชัย โชควิวัฒน” นั้นจะชัดเจนที่สุด ในเรื่อง “กว้างขวาง” เพราะมีชื่อรวมเป็น “บอร์ด” ต่างๆ มากมาย กระทั่งช่วงส่งท้ายปีเก่า 2554 ต้อนรับปีใหม่ 2555 ถูก “สื่อมวลชน” ประจำกระทรวงสาธารณสุข ตั้งฉายาให้ว่า “หมอร้อยบอร์ด” !!!

เนื่องจากมีชื่อในคณะกรรมการในหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.)

ซึ่งที่น่าสนใจ ในการตั้ง “ฉายา” ของ สื่อมวลชน ให้กับบุคคลในแวดวงสาธารณสุข ในครั้งนั้นก็คือ “น.พ.ประเวศ วะสี” หัวขบวน “สามพรานฟอรั่ม” ก็ได้รับเกียรติ ถูกตั้งฉายา ว่า “หมอหลังม่านเหล็ก” !

โดยมีเหตุผลสั้นๆ ที่สื่อในขณะนั้นอธิบายฉายา “หมอหลังม่านเหล็ก” เอาไว้ว่า “น.พ.ประเวศ” คือ ผู้อยู่ “เบื้องหลัง” การเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์เอ็นจีโอเกือบทั้งหมด !!!


จาก Facebook ---Churdchoo Ariyasriwatana 
12 มิ.ย. 2013 22:13น.

55
ในที่สุดก็จบลงไปเสียที สำหรับมหกรรมกีฬาชื่อก้องของโลก อย่าง “ฟุตบอลโลก” หรือ FIFA World Cup 2014 ณ ประเทศบราซิล ซี่งอย่างที่ทราบกันว่า ขุนพล “อินทรีเหล็ก” ทีมชาติเยอรมัน สามารถเอาชนะ “ฟ้าขาว” ทีมชาติอาร์เจนตินา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ด้วยสกอร์ 1-0 จากฝีเกือกของ Mario Gotze คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 4 อย่างน่าประทับใจ

       และนอกจากสถิติ 171 ประตูจาก 64 เกม พร้อมกับยอดผู้ชมทั้งหมด 3,429,873 ราย (ยอดผู้ชมเฉลี่ยอยู่ที่ 53,592 คนต่อเกม) แล้ว แน่นอนว่า ศึกฟุตบอลโลกเวอร์ชันแซมบ้าในครั้งนี้ ก็มีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพื่อนอกจากเป็นความทรงจำแล้ว ยังเอาไว้หวนคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลา 1 เดือนของ “FIFA World Cup” 2014 ครั้งนี้ ส่วนจะมีเหตุการณ์ใดบ้างนั้น เรามาย้อนเวลาไปพร้อมๆ กันครับ


       แจ้งเกิดที่สุด
       
       โดยปกติแล้วในทุกทัวร์นาเมนต์มักจะมีนักเตะแจ้งเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งใน “ฟุตบอลโลก 2014” นี้ ก็มีบรรดานักเตะหลายคนที่พร้อมใจกันแจ้งเกิด แต่ที่เด่นที่สุดของงาน ก็คงจะต้องเป็นในรายของ James Rodriguez กองกลางตัวจี๊ดของทีมชาติโคลัมเบียจาก AS Monaco ที่กลายเป็นสตาร์ที่เด่นสุด เพราะเป็นกำลังสำคัญให้ทีมได้ทะยานเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แถมยังสามารถโชว์ฟอร์มได้สุดยอดด้วยการทำสกอร์ถึง 6 ประตู ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วที่จะได้รางวัล Golden Boot หลังจากจบรายการนี้แต่เพียงผู้เดียว


       สะเทือนใจที่สุด
       
       เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นที่สะเทือนใจที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ย่อมหนีไม่พ้น การถูกทำฟาวล์ของ Neymar ศูนย์หน้าจอมเทคนิคของชาติเจ้าภาพ บราซิล ที่โดน Juan Camilo Zuniga กองกลางของโคลัมเบีย ใช้เข่าอัดกระแทกเข้าที่กลางหลัง ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ทั้งคู่พบกัน จน Neymar ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังร้าว และหมดสิทธิช่วยทีมในเกมที่เหลือ ซึ่งจากการตรวจสอบภายหลัง พบว่า หากแผลดังกล่าวอยู่สูงกว่าจุดที่เป็นประมาณ 2 เซนติเมตร ศูนย์หน้าจาก Barcelona คงจะต้องกลายเป็นอัมพาตและนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว...

       ทะเล่อทะล่าที่สุด
       
       ในเกมสุดท้ายของกลุ่ม G ระหว่าง เยอรมัน กับสหรัฐอเมริกา นั้น ถ้าไม่นับผลชัยชนะ 1-0 ของทัพอินทรีเหล็ก มันอาจจะกลายเป็นเกมที่เงียบเหงาที่สุดอีกเกมหนึ่งไปแล้วก็ได้ หาก Jermaine Jones มิดฟิลด์ตัวรับของทัพลุงแซม ไม่ทำเกมนี้กลายเป็นที่กล่าวขานอีกเกมหนึ่ง เพราะกองกลางเชื้อสายเยอรมันรายนี้ กระทำการดังต่อไปนี้ : วิ่งชนผู้ตัดสิน, วิ่งชนเพื่อนร่วมทีมกันเอง, ลื่นล้มในจังหวะลุ้นทำประตู และพยายามจะเล่นนอกเกม อีก ซึ่งหลังจากจบเกมแล้ว เราอยากจะมอบ “ปี๊บ” ให้ซะจริงๆ...


       แท็กติกที่ได้ผลที่สุด
       
       ถือว่าเป็นแท็กติกที่เสี่ยง แต่ “ชาญฉลาด” มาก สำหรับ Louis Van Gaal เฮดโค้ชของทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูจาก Jesper Cillessen มาเป็น Tim Crul เพื่อเอาไว้ดวลจุดโทษโดยเฉพาะ ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่พบกับคอสตาริกา ซึ่งมือกาววัย 26 จาก Newcastle United ก็ตอบแทนความไว้วางใจ ด้วยการสวมบทฮีโร่ เซฟ 2 จุดโทษจาก Bryan Ruiz และ Micheal Umana 2 นักเตะคอสตาริกา ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จอีกด้วย


      เซอร์ไพรส์ที่สุด
       
       ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น หลายๆ ฝ่ายต่างหมายหัว ทีม ”กล้วยหอม” คอสตาริกา ว่าจะต้องเป็นทีมแจกแต้ม สำหรับกลุ่มดี ที่มี 3 ทีมอดีตแชมป์โลก อย่าง อังกฤษ อิตาลี และอุรุกวัย เป็นแน่ แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวแทนจากโซนคอนคาเคฟ กลายสภาพมาเป็น “กล้วยหอมจอมซน” ของทัวร์นาเมนต์ ด้วยการพลิกล็อกเอาชนะทั้งอุรุกวัย 3-1 และอิตาลี 1-0 ก่อนที่จะยันเสมออังกฤษ 0-0 คว้าแชมป์กลุ่มไปหน้าตาเฉย ซึ่งลูกทีมของ Jorge Luis Pinto ก็ต่อยอดตำนานพลิกล็อกด้วยการล้มทีมชาติกรีซในรอบสอง ด้วยลูกจุดโทษสกอร์ 5-3 (สกอร์ 90 นาที 1-1) ก่อนที่จะพ่ายทีมชาติฮอลแลนด์ ด้วยลูกจุดโทษ 3-4 (สกอร์ 90 นาที 1-1) ตกรอบไปอย่างน่าประทับใจคนทั้งโลก สำหรับทีมนี้


       ตื่นเต้นที่สุด
       
       อาจจะถือได้ว่าเป็นเกมที่ระทึกขวัญสั่นประสาทแฟนบอลทั่วโลกและตื่นเต้นที่สุดก็ว่าได้ สำหรับคู่ของ ทีมชาติฮอลแลนด์ กับทีมชาติเม็กซิโก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่รูปเกม กลายเป็นทัพจังโก้ที่เล่นดีกว่าทัพอัศวินสีส้ม อย่างเห็นได้ชัด จนสามารถทำประตูขึ้นนำไปก่อน จาก Giovani Dos Santos ในนาทีที่ 48 ซึ่งเม็กซิโกกำลังจะได้เข้ารอบอยู่แล้ว ถ้าไม่โดน “ความแสบ” ของทีมชาติฮอลแลนด์ จาก 2 ประตูท้ายเกม จาก Wesley Sneijder ในนาทีที่ 88 และลูกจุดโทษของ Klass-Jan Huntelaar ในนาทีสุดท้ายของเกม ปล่อยให้ทีมชาติเม็กซิโกตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกันอย่างปวดร้าว


       รุนแรงที่สุด
       
       เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็น “ความรุนแรง” ที่สุดแล้วในการแข่งขันสำหรับกรณีของ Luis Suarez ศูนย์หน้าทักษะเจ๋งของทีม “จอมโหด” อุรุกวัย ที่กระทำการอื้อฉาวให้กับตนเองและทัวร์นาเมนต์ จากจังหวะที่ไป “งับไหล่” ของ Giorgio Chielini เซ็นเตอร์แบ็กชาวอิตาเลียน ในเกมที่อุรุกวัยเฉือนชนะไปอย่างหวุดหวิด 1-0 ซึ่งจะเรียกว่าได้ว่า “หาเรื่องใส่ตัว” ก็ไม่ผิดนัก เพราะในที่สุด ว่าที่ศูนย์หน้าของ Barcelona ก็ต้องถูกห้ามแข่งเป็นเวลา 4 เดือน 9 เกม จากการกระทำในครั้งนี้เป็นการตอบแทน


       เหนียวที่สุด
       
       หากจะให้พูดถึงผู้รักษาประตูที่ “โชว์ฟอร์มเหนียว” ที่สุดของรายการนี้ แน่นอนว่าต้องมีมือเฝ้าเสาหลายราย สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลก็หลายเกม แต่ Guillermo Ochoa ผู้รักษาประตูหมายเลข 13 ของเม็กซิโก ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เด่นที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ เพราะพี่แกโชว์ฟอร์มเหนียวหนึบอย่างสุดยอดในเกมที่พบกับเจ้าภาพ บราซิล ทั้งจังหวะเซฟหลายครั้งหลายครา จนสามารถยันสกอร์ไว้ที่ 0-0 หลังจากจบเกม ซึ่งแมตช์ดังกล่าวก็กลายเป็นเกมแจ้งเกิดของมือโกล์วัย 28 ปี และบรรดาทีมต่างๆ ในยุโรป ก็สนใจอยากได้ตัวเขามาร่วมงานในขณะนี้ด้วย


      สถิติที่สุด
       
       พากเพียรทำประตูเก็บสถิติเรื่อยมาตลอด 3 ครั้งการแข่งขัน ในที่สุดวันของ Miroslav Klose ศูนย์หน้าตัวเก๋าวัย 36 ของทีมชาติเยอรมัน ก็มาถึง เมื่อเขากด 2 ประตูจากในเกมรอบแรกที่เสมอกับกานา 2-2 และเกมรอบรองชนะเลิศที่ชนะบราซิล 7-1 ซึ่งทำให้ยอดรวมของ Klose เพิ่มเป็น 16 ประตู จนสามารถทำลายสถิติของ Ronaldo อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล ที่เป็นเจ้าของสถิติผู้ที่ยิงประตูเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกเดิมที่ 15 ประตู ไว้เป็นเบื้องหลังแทน


       ยับเยินที่สุด
       
       นี่คือเกมที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดของทัวร์นาเมนต์แล้ว สำหรับการแข่งขันรอบรองชนะเลิศระหว่างเจ้าภาพ บราซิล กับ ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งก่อนเกม ก็นับว่าน่าดูอยู่แล้ว เพราะทั้งสองทีมขึ้นชื่อด้วย “ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ” อยู่ แต่พอจบเกม เรียกได้ว่ากลายเป็นเกมช็อกโลกไปเลย เมื่อขุนพลอินทรีเหล็ก ไล่ถล่มชาติเจ้าภาพอย่างไม่เกรงใจแฟนบอลเจ้าถิ่นในสนาม ด้วยสกอร์ 7-1 โดยครึ่งแรก เยอรมันนำไปก่อน 5-0 ซึ่งเกมนี้ ถือว่าเป็นการปราชัยที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ของบราซิล และเป็นการแพ้ในบ้านของทัพแซมบ้าในเกมระดับชาติที่ยับเยินในรอบ 38 ปีของทีมอีกด้วย

Marsmag    15 กรกฎาคม 2557

56
ตะลึง!! เมื่อผู้ปกครองเปิดบทเรียน “การอ่านภาษาไทย” ของเด็กชั้นประถมขึ้นมาแล้วต้องถึงกับอึ้ง! เพราะอ่านไม่ออก!! มานั่งเพ่งพินิจดูยิ่งงงหนักว่า ภาษาไทยที่เคยเข้าใจหายไปไหน... แปด อ่านว่า “ปอ-แอ-ดอ”, โต อ่านว่า “ตอ-โอ”, จำ อ่านว่า “จอ-อำ” การผสมคำแบบเดิมๆ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
       
        เพราะที่อยู่บนหน้ากระดาษกลับสอนรูปแบบพิสดารให้เด็ก... แปด อ่านว่า “แอ-ปอ-ดอ”, โต อ่านว่า “โอ-ตอ” และ จำ อ่านว่า “จอ-อำ-อา”!! เกิดปัญหาเด็กอ่านหนังสือไม่แตก ผู้ใหญ่อ่านแบบเรียนเด็กไม่รู้เรื่อง กลายเป็นประเด็นดราม่าที่ดุเดือดอยู่บนโลกออนไลน์ในขณะนี้!!
                   
       หลักสูตรพิเรนทร์? ต้องฟ้องถึงครูใหญ่!!
 
        เมื่อคำว่า “เก” ไม่ได้อ่านว่า “กอ-เอ” แต่อ่านว่า “เอ-กอ”
        เมื่อคำว่า “จำ” ไม่ได้อ่านว่า “จอ-อำ” แต่อ่านว่า “จอ-อำ-อา”
        เมื่อคำว่า “มือ” ไม่ได้อ่านว่า “มอ-อือ” แต่อ่านว่า “มอ-อือ-ออ”
        เมื่อคำว่า “เสื่อ” ไม่ได้อ่านว่า “สอ-เอือ-เสือ-ไม้เอก-เสื่อ” แต่อ่านว่า “เอ-สอ-อือ-ไม้เอก-ออ”!!!
       
        ทั้งหมดนี้คือวิธีการสอนที่เขียนลงไปในแบบเรียนของเด็กชั้นประถมของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งจริงๆ โดยให้เหตุผลที่ต้องสอนให้แตกต่างจากความคุ้นชินของคนทั่วๆ ไปเอาไว้ว่า
       
        “สะกดอ่านเรียงไปตามตัวอักษร เพื่อให้เด็กเขียนได้เร็วและถูกต้อง สามารถวางตำแหน่งของสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ และตัวสะกด ได้ถูกที่”
       
        มองเผินๆ แล้วอาจจะเป็นวิธีการสอนที่ดูสร้างสรรค์และน่าจะช่วยให้เด็กๆ เขียนหนังสือได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะการสอนด้วยวิธีเดิมๆ อาจทำให้เด็กเขียนผิดได้ง่ายๆ เช่น ถ้าอ่านคำว่า “เก” เป็น “กอ-เอ” ตามวิธีการสอนที่หลายคนร่ำเรียนกันมา อาจทำให้เด็กเขียนตามคำอ่านจนกลายเป็น “กเ” หรือ คำว่า “แปด” ถ้าอ่านว่า “ปอ-แอ-ดอ” จะก็เป็น “ปแด”
       
        แต่หารู้ไม่ว่า วิธีการสอนแบบใหม่นี้แหละที่น่าจะ “สร้างปัญหา” มากกว่าจะ “แก้ปัญหา” เพราะการสอนให้เด็กอ่านแยกชิ้นส่วนตามตำแหน่งการวางของพยัญชนะ-สระ-วรรณยุกต์ และตัวสะกด ทำให้เด็กเขียนถูกก็จริง แต่กลับทำให้พวกเขา “เขียนถูกแต่อ่านไม่ออก” และอีกสารพันปัญหาที่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยโวยว่อนเน็ตว่า จะไม่ยอมให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนที่สอนแบบนี้เด็ดขาด!!
       
        “แทนที่จะแก้ปัญหา คิดว่าน่าจะสร้างปัญหามากกว่านะคะ เพราะแทนที่จะให้เด็กรู้จักสระของภาษาไทยให้ครบ ให้ถูกต้อง แต่นี่มาใช้วิธีให้เด็กท่องเป็นส่วนๆ ทีนี้เด็กก็จะงงว่า เอ๊ะ! สระภาษาไทยมีกี่ตัวกันแน่ เรารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการสอนที่ไม่มององค์รวมของคำน่ะค่ะ เรารู้สึกว่าเขาไปโฟกัสแก้ปัญหาเรื่องเขียนผิดมากเกินไป แต่สิ่งที่ควรจะทำคือต้องสอนให้เด็กรู้จัก พยัญชนะ-สระ-วรรณยุกต์ ในภาษาไทยให้ครบต่างหาก
       
        เราทำงานแปล อยู่กับตัวอักษร เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าเสียดายภูมิปัญญาของบรรพบุรุษค่ะ สมมติว่าโรงเรียนอื่นเห็นว่าวิธีสอนแบบนี้ดีและทำตามกัน มันไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ อย่างเรามี “สระเออ” เวลามาอ่านสะกดคำแบบนี้ก็จะกลายเป็นแค่ “สระเอ+อ อ่าง” เพราะเขาอ่านแยก เด็กก็จะจำไม่ได้ว่ามันมาจากสระเออ และทำให้เด็กไม่ได้รู้จักภาษาไทยที่ถูกต้อง ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความลึกซึ้งในตัวเองค่ะ ไม่ใช่จะเอาสัญลักษณ์มาใส่รวมกันแล้วมองแค่นั้น
       
        เพื่อนๆ ที่เป็นแม่เหมือนกันก็ตกใจเหมือนกันค่ะที่เห็นแบบเรียนนี้แชร์กัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่า ฉันคงสอนลูกฉันไม่ได้แน่ๆ และเราจะไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่สอนแบบนี้ บอกเลยค่ะ (น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว) ถ้าอยากจะให้ลูกเราเรียนแบบนี้ อย่าเรียกมันว่าภาษาไทยค่ะ เรียกว่าการสะกดคำ คือถ้าจะให้เรียน คุณต้องมีหลักภาษาที่ถูกต้องสอนเด็กด้วย สมมติว่าถ้าลูกเราเรียนโรงเรียนที่มีหลักสูตรสอนแบบนี้ เราคงเอาปัญหานี้ยื่นร้องเรียนไปถึงอาจารย์ใหญ่เลยค่ะ
       
        ส่วนตัวแล้วก็โตมากับโรงเรียนที่ไม่ได้สอนหลักสูตรสามัญเหมือนกันค่ะ คือมันขึ้นอยู่กับโรงเรียนมากกว่า ถ้าจะสอนให้แตกต่างแล้วสามารถพัฒนาให้เด็กเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นมันก็ดีค่ะ แต่ทำแล้วมันไปผิดทางแบบนี้ก็อยากให้กลับไปพิจารณากันใหม่ด้วยว่ามันใช่หรือไม่ใช่กันแน่ ถ้ามีคน เอ๊ะ! เยอะขนาดนี้ มันไม่ใช่แล้วล่ะ
       
        คิดดูสิคะเวลาลูกมาให้เราสอนการบ้าน เราจะสอนเขายังไง คือเราอาจจะสอนลูกได้แหละค่ะ แต่เป็นแบบผิดๆ ถูกๆ ก็อาจจะต้องบอกลูกว่า หนูไปถามครูแล้วกัน แม่สอนการบ้านหนูไม่ได้แล้วล่ะ เพราะแม่ก็มึนกับแบบเรียนของหนูเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่คำตอบที่เราควรให้ลูกนะ” จิ-ปติมา รัชตวรรณ คุณแม่ลูกหนึ่ง นักแปลผู้คร่ำหวอดในวงการตัวอักษรขอแสดงความคิดเห็นแบบจัดเต็ม!!       
             
      สงครามเพื่อลูก เผยโรงเรียนหลักสูตรพิสดาร!!      
       
ตัวอย่าง เด็กเขียนผิด เพราะวิธีการสอนแบบเก่า "ปอ-แอ-ดอ = แปด"

        แน่นอน! หลายคนคงอยากรู้ว่าโรงเรียนประเภทไหนกันแน่ที่มีหลักสูตรการสะกดคำออกมาแบบนี้ จากข้อมูลที่เหล่าผู้ปกครองเข้ามาโต้เถียงกันบนโลกออนไลน์ ได้ความว่า “โรงเรียนสารสาสน์” และโรงเรียนในเครือคือต้อตอแบบเรียนเจ้าปัญหาที่ว่านี้ และนี่คือข้อดีและข้อเสียของการสอนด้วยวิธีนี้จากปากคำของผู้ผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเอง
       
        “การสอนอ่านแบบสารสาสน์ฯ ไม่ใช่หลักสูตรใหม่อะไรเลยค่ะ ตัวเราเองก็จบจากสารสาสน์ ก็เรียนการสะกดและเขียนอ่านแบบนี้มา ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กก็เรียนสารสาสน์ฯ อยู่ชั้น KG3 ก็เขียนอ่านได้ อ่านนิทานได้เองแล้ว”
       
        “กำลังจะพาลูกย้ายโรงเรียนไปที่โรงเรียนสารสาสน์ฯ สายไหมค่ะ ซึ่งได้พาลูกไปทดสอบ เพื่อนเข้าเรียนต่อ แต่มีปัญหานิดหนึ่งค่ะ อย่างโรงเรียนเดิมลูก ก็จะสอนภาษาไทย แบบว่า สระเ-า (เอา) เวลาเอาตัวพยัญชนะไปผสม เช่น ก+เ-า = เกา... แต่ที่โรงเรียนสารสาสน์ฯ บอกว่าที่โรงเรียนมีหลักการสอน การอ่านและเขียน เช่น คำว่า “เกา” จะอ่านว่า เอ+กอ+อา = เกา
       
        ผลที่จากที่ลองสอน ลูกสาวจะอ่านว่า “กา” ค่ะ ไม่เป็น “เกา” เหตุผลที่คุณครูให้ในหลักการสอนวิธีนี้คือ น้องจะได้เขียนได้ถูกต้อง ไม่ต้องจำสระเป็นชุดๆ ตอนแรกก็เห็นด้วยค่ะ เลยกลับมาลองสอน แต่ลูกสาวออกเสียง พยัญชนะ+สระ ไม่ได้เลยค่ะ เหมือนเขางง ส่วนตัวแม่เองก็งงค่ะ คือสอนแบบใหม่ก็ดีในแง่เขียน แต่ในแง่เสียงอ่านนี่ มันยากมากเลยค่ะ”
       
       “ลูกเรียนที่สุราษฎร์ธานี ร.ร.ธิดาแม่พระ ก็สอนให้เด็กสะกดแบบ เอ-กอ-อา = เกา เหมือนกันค่ะ ข้อดีคือ เด็กจะเขียนหนังสือได้เร็ว ส่วนข้อเสียคือ เด็กไม่รู้จักสระที่ถูกต้อง สระเอือ, เอือะ, เอีย, เอียะ ฯลฯ พวกนี้ถ้าเราอ่านออกเสียง แรกๆ ลูกเขียนคำนั้นไม่ถูกเลย
       
        เทอมที่ผ่านมา อนุบาล 3 ลูกมีการบ้านเขียนตามคำบอกทุกวัน วันละ 20 คำ ปัญหาที่เจอคือ เราบอกให้เขียนคำว่า "เลอะเทอะ" ลูกจะสะกดว่า เอ-ลอ-ออ-อะ = เลอะ, เอ-ทอ-ออ-อะ = เทอะ แต่ถ้าวันไหนเขาเหนื่อย ไม่ค่อยจะยอมทำ เขาจะถามว่ามันสะกดยังงัย พอเราสะกดให้ฟังว่า "ลอ-เออะ = เลอะ" ลูกทำหน้างงเลย เพราะเขาจำสระเออะไม่ได้ ไม่ชินกับการสะกดแบบนี้
       
        ที่ทราบมาคือ พอขึ้น ป.1 ร.ร.จะสอนการอ่านเหมือนแบบที่เราเคยเรียนมาสมัยเด็กๆ จึงไม่เข้าใจว่าการให้เด็กสะกดแบบตามตัว เพื่อผลที่จะให้เด็กเขียนได้เร็วนั้น เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า เพราะพอ ป.1 เด็กคงงงน่าดู เพราะต้องสะกดอีกแบบแล้ว”
       
        “ร.ร.ในเครือสารสาสน์สอนแบบนี้ทั้งเครือค่ะ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนแบบนี้นะคะ เพราะเด็กจะไม่รู้จักสระที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องแล้วแต่พ่อแม่พิจารณาแหละค่ะว่าชอบแนวการสอนของ ร.ร. มั้ย”
       
        “สอนแบบนี้ มันไม่ถูกหลักภาษานะคะ สอนให้จำ แต่ไม่สามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ เช่น ถ้าเราสอนแบบปกติ คำว่า “เดา” เด็กก็จะอ่าน “ดอ-เอา-เดา” พอคำว่า “เบา” เด็กก็จะอ่าน “บอ-เอา-เบา” แค่รู้จักสระเอาก็จะนำไปใช้สะกดตัวอื่นๆ ได้ แต่ถ้าอ่านแบบแยกว่า “เอ-กอ-อา = เกา” มันเป็นการปูพื้นภาษาที่ผิดมากๆ ตอนแรก คิดว่าจะให้ลูกเรียนที่นี่เพราะใกล้ เจอหลักสูตรพังๆ แบบนี้ คิดหนักเลยค่ะ!!”
       
        “โรงเรียนเอาง่าย ให้เด็กเขียนได้ไวๆ จะได้ดูเหมือนกับว่าเด็กเก่ง ผมว่าน่าสงสารนะครับ เพราะต่อๆ ไปเด็กจะอ่านหนังสือไม่ออก ถามว่าทำไมเขาถึงสอนมาได้หลายรุ่นแล้ว ก็หลายรุ่นแล้วที่เด็กอ่านไม่ออก สมัยรุ่น หลักสูตร แม่ กอ-กา เด็ก ป.4 ยังอ่านหนังสือคล่องกว่าเด็ก ม.1 สมัยนี้อีก”
       
        “ผมว่าเป็นการสอนภาษาไทยที่งี่เง่ามากครับ รุ่นพี่ผมก็เอาลูกจาก รร.นี้ เพราะเรื่องนี้เช่นกันครับ มีที่ไหน ภาษาไทยแต่ให้ฝรั่งเป็นคนแต่งหนังสือ”
                 
       หลักสูตรอะไร ถ้าไม่ “ใส่ใจ” ก็จบ!
        หลายหลายความคิดเห็นช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์วิธีการสอนที่หลายคนเรียกว่าทำให้ภาษาไทย “พิสดาร” และหลักสูตร “พัง” ลองมาฟังความคิดเห็นของ ศ.ดร.อารี สัณหฉวี อาจารย์ประจำโรงเรียนสาธิตบางนา ผู้ศึกษาเรื่องการเรียนการสอนเด็กอนุบาล-ประถมวัยกันดูบ้าง เรื่องนี้อาจารย์ไม่ขอยำเละอะไรมากมายนัก บอกได้คำเดียวว่า สาเหตุที่เด็กอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ อยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะครูผู้สอน-ผู้ระบุหลักสูตรนี่แหละที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาแก้ไขเรื่องที่ไม่ควรแก้ และละเลยเรื่องที่ควรใส่ใจ จึงทำให้ “เละ” กันอยู่แบบนี้
       
        “ไปดูที่เกาหลี ตามบ้านชาวนา เขามีห้องสมุดทุกบ้านนะคะ เพราะเขาปลูกฝังการรักการอ่านมาตั้งแต่เล็กๆ ให้มี “หนังสือเล่มแรก” ที่ทำขึ้นมาเฉพาะสำหรับสอนเด็กก่อนวัยเรียนเลย ซึ่งคิดว่าถ้าเมืองไทยเราอยากจะแก้ปัญหาเรื่องการอ่าน เราต้องมาจริงจังกับเรื่องนี้ และน่าจะได้ผลตอบรับเรื่องทำให้พ่อแม่กับลูกมีความสนิทสนมกันไปด้วยเลยทีเดียว ถ้าพ่อแม่ให้ลูกนั่งตัก อ่านหนังสือให้ฟัง เด็กจะได้ความอบอุ่น มีความสุข ทำให้เขาชอบหนังสือ
       
        แต่ทุกวันนี้ เด็กของเราส่วนใหญ่ไม่เคยได้ทำความคุ้นเคยกับหนังสือเลย ไม่ค่อยได้ฟังพ่อแม่หรือครูเล่านิทานให้ฟัง พอมาถึงตอนเรียนหลักสูตรสะกด-ผสมคำ ก็เริ่มมาอ่าน กอ-อา = กา กันเลย มันก็เลยไม่ค่อยไปไหน จริงๆ แล้วมันต้องเริ่มมาจากพื้นฐานเลยค่ะ มันเริ่มช้าไปแล้ว เด็กก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและจำไม่ได้ เพราะยิ่งถ้าให้เด็กเริ่มอ่านจากหลักสูตร บังคับให้เด็กสะกดเป็นตัวๆ มันก็แอบทารุณเหมือนกันนะ เด็กบางคนไม่ได้ถูกสอนมาตั้งแต่อนุบาล ไม่มีใครคุยด้วย พอมาสอนตามหลักสูตรแบบนี้ปั๊บ เด็กก็เลยจำไม่ได้สักที
       
        ส่วนตัวแล้วคิดว่า ควรจะให้เน้นเรื่องการอ่านออกเป็นหลักก่อน ส่วนเรื่องการเขียนมันสอนที่หลังได้ค่ะ เปรียบเทียบง่ายๆ จากเด็กอายุ 3 ขวบนะคะ ถ้าบังคับให้เขาเขียนตั้งแต่เล็กๆ เขาจะเขียนไม่ค่อยถูก จับดินสอไม่เป็น กำดินสอแน่นเลย ส่วนเด็กที่เริ่มโตแล้วอย่างเด็กประถม ที่เห็นว่ายังเขียนผิดกันอยู่ อาจจะเพราะเขาอ่านน้อยหรือไม่เข้าใจหลักการสอน เราต้องให้เขาเห็นตัวหนังสือบ่อยๆ ค่ะ เขาก็จะจำได้ เรื่องความจำของมนุษย์เรา ต้องฝึกบ่อยๆ ค่ะ แล้วจะจำได้เอง
       
        เพราะฉะนั้น สิ่งที่อยากเห็นก็คืออยากให้ครูผู้สอนสนใจสอนเด็กแบบตัวต่อตัวมากขึ้นค่ะ เพราะอย่างสมัยก่อนสอนแบบ “เลข-คัด-เลิก” คือครูเขียนโจทย์ไว้บนกระดาน แล้วให้เด็กมาตอบทีละคน เด็กก็อ่านออกเขียนได้กัน เพราะครูคอยจี้ แต่สมัยนี้ การฝึกหัดครูของเราแย่หน่อย โดยเฉพาะครูประถม เราไปเน้นทฤษฎีมากเกินไป ไม่ได้ฝึกภาคปฏิบัติ ครูเลยไม่ชินกับการสอนเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือเรียกเด็กมาอ่านทีละคุณเหมือนสมัยก่อนแล้ว จะสอนรวมๆ กัน ทำให้เด็กไม่ค่อยได้ ทำให้เกิดปัญหาเด็กอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ อันนี้ไม่ได้โทษครูนะคะ แต่โทษหลักสูตรการฝึกหัดครู มันไม่มีภาคปฏิบัติที่ดีพอ
       
        ถ้าอยากให้เด็กอ่านออก-เขียนได้ เราก็ต้องปลูกฝังเขามาตั้งแต่แรกๆ และช่วยกันสนับสนุนให้มีหนังสือเด็กมากขึ้น ให้เด็กได้อ่านเยอะๆ อย่างน้อยๆ ตอนเย็นก่อนกลับบ้าน อยากให้ครูเล่านิทานให้เด็กฟัง เพราะเวลาเขาฟัง ใจเขาจะคิดตาม เขาจะมองเห็นภาพ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ อ่านหนังสือตอนเช้าๆ ให้เด็กฟังก็ได้ ให้เขาได้อ่านได้ฟังได้พูดมากๆ แต่ทุกวันนี้ เราไม่ค่อยได้ให้อะไรแบบนั้นกับเด็ก แต่ให้เด็กมานั่งเรียงกัน 40-50 คน ครูสอนด้วยไมโครโฟน น่าสงสารเด็กนะ เพราะถึงจะสอนด้วยวิธีใหม่แค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ใส่ใจนักเรียน เด็กก็อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้อยู่ดี”
       
        ก็ได้แต่หวังว่าคำแนะนำจากอาจารย์และคำติชมจากผู้ปกครองครั้งใหญ่ครั้งนี้ จะทำให้ผู้ขยันสร้างหลักสูตรพิสดารหันกลับมาฉุกคิดอะไรได้บ้าง ก่อนที่จะทำให้หายนะเกิดขึ้นกับภาษาไทยและสมองน้อยๆ ของเด็กๆ แม้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...
       
       ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
       ขอบคุณข้อมูล: กระทู้พันทิป Pantip.com

ASTVผู้จัดการรายวัน    1 กรกฎาคม 2557

57
เปิดข้อมูลค่าเบี้ยประชุม "คณะอนุฯ-ทำงาน" กสทช. เบ็ดเสร็จ 84 ชุด ทำงานปีเดียว เบิกกระฉูด 49.3 ล้าน ชุดประสานงานบริหารคลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงของรัฐ รับเน้นๆ 2.2 ล้าน

นอกเหนือจากข้อมูลการแต่งตั้งบุคคลภายนอกจำนวน 31 คน เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประจำตัวคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยกำหนดอัตราค่าตอบแทนคนละ 100,000 -120,000 บาท ต่อเดือน ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำเสนอข้อมูลไปแล้วนั้น

(อ่านประกอบ : รายชื่อ 31“ที่ปรึกษา”กสทช.รับค่าตอบแทน 100,000-120,000 บาท/เดือน)

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า ในกระบวนการทำงานของคณะกรรมการ กสทช. ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กสทช. และคณะทำงาน ขึ้นมาช่วยงานในการพิจารณาเรื่องต่างๆ ของคณะกรรมการ กสทช. ในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา รวมจำนวนทั้งสิ้น  84 ชุด แยกเป็น คณะอนุกรรมการ 56 คณะ และคณะทำงาน 28 คณะ

ในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการ กสทช. และคณะทำงาน จำนวน 84 ชุด ได้มีการเบิกเบี้ยประชุมไปแล้วเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 49,305,225 บาท แยกเป็น คณะอนุกรรมการ กสทช. จำนวน 46,180,950 บาท และ คณะทำงาน จำนวน 3,124,275 บาท

สำหรับคณะอนุกรรมการ กสทช. ที่มีการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมสูงสุด ได้แก่ อนุกรรมการประสานงานการบริหารคลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงของรัฐในกิจการโทรคมนาคมและกิจการวิทยุคมนาคม จำนวน 2,207,000 บาท ส่วนอนุกรรมการที่เบิกจ่ายเบี้ยประชุมน้อยที่สุด ได้แก่ อนุกรรมการเพื่อศึกษาและเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ จำนวน 27,000 บาท

ส่วนคณะทำงาน ที่เบิกจ่ายเบี้ยประชุมสูงสุดได้แก่ คณะทำงานประสานงานการบริหารคลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงของรัฐในกิจการโทรคมนาคมและกิจการวิทยุคมนาคม จำนวน 612,500 บาท ส่วนคณะทำงานที่เบิกจ่ายเบี้ยประชุมน้อยสุดได้แก่ คณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงาน กสทช. จำนวน 10,500 บาท


วันพุธ ที่ 02 กรกฎาคม 2557
สำนักข่าวอิศรา
.................................................................................
รายชื่อ 31“ที่ปรึกษา”กสทช.รับค่าตอบแทน 100,000-120,000 บาท/เดือน

เปิดรายชื่อ บอร์ด กสทช.ตั้ง“ที่ปรึกษา”ประจำตัว 31 คน รับค่าตอบแทน 100,000-120,000 บาท รวม 3.6 ล้านต่อเดือน

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้แต่งตั้งบุคคล 31 คน เป็นที่ปรึกษาประจำตัว กสทช. กำหนดอัตราค่าตอบแทนคนละ 100,000 -120,000 บาท ต่อเดือน ดังนี้

1.พลอากาศเอกธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. มีที่ปรึกษา 4 คน คือ นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ พลเอกชิตศักดิ์ ประเสริฐ นายสุเจตน์ จันทรังษี รับค่าตอบแทนคนละ 110,000 บาท และ นายประสพสุข บุญเดช (อดีตประธานวุฒิสภา) รับค่าตอบแทน 120,000 บาท

2.พ.อ. ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นายณกฤช เศวตนันทน์ และนายวรรณชัย สุวรรณกาญจน์ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

3.พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คนคือ พลตำรวจเอกชาญชิต เพียรเลิศ (อดีตรองผบ.ตร.) นายสวัสดิ์ โชติพานิช (อดีตประธานศาลฎีกา) และ พลเอกสุเจตน์ วัฒนสุข รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

4.รศ.ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ นายไพรัช วรปาณิ นายเชิดชัย ขันธ์นะภา และนายเหรียญชัย เรียววิไลสุข (อดีตกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ) รับค่าตอบแทนคนละ 100,000 บาท

5.พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ พลอากาศเอกอาคม กาญจนหิรัญ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร (อดีตเลขาฯ กทช.) พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

6. พลโท ดร. พีระพงษ์ มานะกิจ กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล นางอรพินธ์ บุญชูเศรษฐ์ และนายธงชัย ตรีพิพัฒน์กุล รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

7. พันตำรวจเอก ทวีศักดิ์ งามสง่า กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ นายสถิตย์ สิริสวัสดิ์ พ.ต.อ. (พิเศษ)ชัยทัศน์ รัตนพันธุ์ และนายวิศาล วุฒิศักดิ์ศิลป์ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

8. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คน คือ นายสวัสดิ์ รัฐพิทักษ์สันติ นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์ และนายทศพร ซิมตระการ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

9. ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คนคือ นายกิตติน อุดมเกียรติ นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ และนายสงขลา วิชัยขัทคะ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

10.น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. มีที่ปรึกษา 3 คนคือนายจอน อี๊งภากรณ์ นายต่อพงศ์ เสลานนท์ และนายนคร ชมพูชาติ รับค่าตอบแทนคนละ 120,000 บาท

รวมที่ปรึกษา 31 คน รับค่าตอบแทนจากสำนักงาน กสทช. 3,630,000 บาท ต่อเดือน

น่าสังเกตว่า นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ไม่มีปรากฏว่ามีที่ปรึกษา

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 59 กำหนดให้ สำนักงาน กสทช. เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กสทช.และสำนักงาน กสทช.ให้ประชาชนทราบทางระบบเครือข่ายสารสนเทศ หรือวิธีการอื่นที่เห็นสมควรในอย่างน้อยต้องเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้ (4) รายละเอียดอัตราค่าตอบแทนกรรมการ กสท. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์) กทค. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม) อนุกรรมการ และ ที่ปรึกษาต่างๆเป็นรายบุคคล


วันจันทร์ ที่ 16 มิถุนายน 2557
สำนักข่าวอิศรา

58
ชุมพรจัดแข่งขัน “วิ่งแหวกทะเล” หนึ่งเดียวในไทย จากฝั่งข้ามไปยัง “เกาะพิทักษ์” เป็นระยะทาง 14 กิโลเมตร ในวันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน 2557 ณ เรือจำลองจักรีนฤเบศร ปากน้ำหลังสวน - เกาะพิทักษ์ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
       
       องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ร่วมกับ อำเภอหลังสวน องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด เทศบาลปากน้ำหลังสวน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานชุมพร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงาน “วิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ 10 ประจำปี 2557” ในวันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน 2557 ณ เรือจำลองจักรีนฤเบศร ปากน้ำหลังสวน - เกาะพิทักษ์ อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์ ในจังหวัดชุมพรให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดชุมพรเพิ่มมากขึ้น

       งานวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน เป็นการจัดการแข่งขันวิ่ง “หนึ่งเดียวในสยาม” ที่แตกต่างจากการแข่งขันมินิมาราธอนทั่วไป ด้วยการ “วิ่งแหวกทะเล” จากฝั่งข้ามไปยัง “เกาะพิทักษ์” เป็นระยะทาง 14 กิโลเมตร เริ่มปล่อยตัวบริเวณเรือจำลองจักรีนฤเบศร ปากน้ำหลังสวน ใช้เส้นทางถนนเลียบชายทะเลที่สวยงาม และเข้าสู่เส้นชัยบนเกาะพิทักษ์ซึ่งอยู่ห่างฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งจะต้องวิ่งลุยน้ำทะเล ระดับน้ำประมาณ 30 เซนติเมตร และมีการแข่งขัน “วิ่งฟันรัน” ระยะทางเพียง 3.5 กิโลเมตร มีจุดปล่อยตัว ณ ศูนย์หมู่บ้าน หมู่ที่ 12 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และเข้าเส้นชัยที่เกาะพิทักษ์เช่นกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มิถุนายน 2557

59
 ผลการสำรวจ “ทริปอินเด็กซ์ ซิตี้” ของทริปแอดไวเซอร์ เผยกรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีราคาค่าที่พักถูกที่สุด หากเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆที่ทำการสำรวจ ส่วนนิวยอร์คยังคงครองแชมป์เมืองที่มีค่าที่พักราคาแพงที่สุด ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 4 เมืองค่าใช้จ่ายสบายกระเป๋า โดยไต่ขึ้นมาจากปีที่แล้ว 2 อันดับ
       
       “ทริปอินเด็กซ์ ซิตี้” ของทริปแอดไวเซอร์ เผยผลการสำรวจ ซึ่งทำการสำรวจเพื่อเปรียบเทียบราคาประจำปีนี้จัดทำโดยบริษัทวิจัยอิสระอิปซอสโมริ ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีราคาค่าที่พักถูกที่สุด หากเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆที่ทำการสำรวจ โดยราคาค่าห้องพักในโรงแรม ระดับ 4-4.5 ดาว เฉลี่ยใน กรุงเทพฯอยู่ที่ 2,779 ส่วนนิวยอร์คยังคงครองแชมป์เมืองที่มีค่าที่พักราคาแพงที่สุด มีราคาเฉลี่ย ห้องพัก 1 คืนในโรงแรมระดับ 4-4.5 ดาวอยู่ที่ 11,794 บาท

กรุงเทพฯแชมป์ เมืองที่มีราคาที่พักถูกที่สุด
ฮานอย เวียดนาม คว้าแชมป์เมืองที่มีค้าใช้จ่ายโดยรวมถูกที่สุด
       ด้านความคุ้มค่าของการใช้จ่ายโดยรวมกรุงเทพฯ ไต่ขึ้นมาสองอันดับจากเมื่อปี 2556 มาอยู่ที่อันดับ 4 ที่มีความคุ้มราคาของเมืองค่าใช้จ่ายสบายกระเป๋า โดยค่าใช้จ่ายในการออกท่องราตรีและเข้าพัก 1 คืนในโรงแรมระดับสี่ดาวสำหรับสองคนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 5,257 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาในฮานอยที่เป็นเมืองที่มีความคุ้มราคาที่สุดในโลกเพียง 300 บาท นอกจากนี้กรุงเทพฯ ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีค่าห้องพักในราคาสบายกระเป๋าที่สุด โดยเฉลี่ยราคาห้องพักในโรงแรมระดับสี่ดาวอยู่ที่ 2,779 บาท
       
       นอกจากนี้ “ทริปอินเด็กซ์ ซิตี้” ยังเปรียบเทียบราคาค่าใช้จ่ายในการท่องราตรีในเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ 48 เมืองทั่วโลก ด้วยการพิจารณาราคาโดยทั่วไปสำหรับค็อกเทลก่อนมื้ออาหารที่โรงแรมระดับ 5 ดาว อาหารนอกบ้าน 1 มื้อ และห้องพัก 1 คืนในโรงแรมระดับสี่ดาวสำหรับ 2 คนในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม

กรุงเทพฯแชมป์ เมืองที่มีราคาที่พักถูกที่สุด
ลอนดอน คว้าแชมป์เมืองค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงสุดของ 10 เมืองน่าไปถ้างบไม่จำกัด
       ลอนดอนถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางที่มีค่าใช้จ่ายแพงสุดในโลก โดยมีค่าใช้จ่ายโดยรวมเฉลี่ยที่ 16,856 บาท ซึ่งสูงเป็น 3 เท่าของค่าใช้จ่ายในการไปพักผ่อนในฮานอยที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 4,957 บาท เมืองหลวงของเวียดนามซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 ด้านจุดหมายปลายทางที่มีความคุ้มราคาในปีที่แล้ว ในปีนี้ได้ยึดอันดับ 1 มาจากเมืองโซเฟีย (ประเทศบัลกาเรีย) ในขณะที่ลอนดอนขยับขึ้นมา 6 ตำแหน่งจากเดิมและเขี่ยออสโลตกจากตำแหน่งเมืองที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุด
       
       ทวีปยุโรปอันเป็นที่ตั้งของ 7 ใน 10 เมืองที่ติดอันดับ ยังคงครองความเป็นจุดหมายปลายทางที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุด ในขณะที่จุดหมายปลายทางในเอเชียอันได้แก่ ฮานอย จาการ์ตา กรุงเทพฯ มุมไบ และกัวลาลัมเปอร์ ติด 5 ใน 10 อันดับเมืองที่มีความคุ้มราคา
       
       มิส จีน โอ-ยอง ตัวแทนทริปแอดไวเซอร์ ให้ความเห็นว่า “รายชื่อเมืองใน ทริปอินเด็กซ์ ซิตี้ ช่วยให้นักเดินทางที่กำลังวางแผนเดินทางทราบว่าด้วยเงินที่มีอยู่จะเดินทางไปได้ไกลสุดแค่ไหน ผลการจัดอันดับในปีนี้แสดงให้เห็นว่าจุดหมายปลายทางในยุโรปยังคงติดอันดับต้นๆของจุดหมายปลายทางที่แพงที่สุด ในขณะที่จุดหมายปลายทางในเอเชียยังคงเป็นที่ที่นักเดินทางสามารถจับจ่ายได้มากที่สุด นักเดินทางชาวไทยที่กำลังมองหาเมืองสำหรับพักผ่อนไม่ไกลบ้านสามารถพิจารณาเมืองต่างๆ เช่น ฮานอย จาการ์ตา และกัวลาลัมเปอร์”
       
       มิสโอ-ยองกล่าวต่อไปว่า “นักเดินทางที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ในเมืองต่างๆที่ติดอันดับค่าใช้จ่ายสูงสุดไม่จำเป็นต้องยกเลิกแผนการเดินทาง แต่สามารถหาวิธีลดค่าใช้จ่ายได้โดยเข้าไปชมหน้าเว็บเกี่ยวกับเมืองนั้นๆบนเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ (ตัวอย่างเช่น ทริปแอดไวเซอร์ กรุงเทพฯ) ที่นักเดินทางสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พักและร้านอาหารที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับงบของตน”


       สำหรับผลการสำรวจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่างๆ มีดังนี้
       
       เครื่องดื่มก่อนมื้ออาหารค่ำ: ค็อกเทลในแคนคูนราคาถูกที่สุด
       วอดก้ามาร์ตินี่สำหรับดื่มก่อนอาหารค่ำในแคนคูน (ประเทศเม็กซิโก) มีราคาถูกที่สุดโดยมีราคาเฉลี่ยที่ 109 บาทสำหรับสองคน ด้วยเงินจำนวนเดียวกันนี้นักเดินทางสามารถซื้อค็อกเทลได้หนึ่งแก้วครึ่งในเคปทาวน์ หรือซื้อค็อกเทลครึ่งแก้วในฮานอย แต่ซื้อได้แค่ผลมะกอกในปารีสเนื่องจากค็อกเทลสองแก้วในปารีสมีราคาสูงเป็น 15 เท่าของราคาในแคนคูน กล่าวคือเฉลี่ยอยู่ที่ 1,675 บาท
       
       อาหารค่ำ: อาหารค่ำในสต็อคโฮล์มแพงที่สุด
       ผลสำรวจทริปอินเด็กซ์ในปีนี้ชี้ว่าสต็อคโฮล์มเป็นจุดหมายปลายทางที่มีค่าอาหารแพงที่สุด ราคาโดยเฉลี่ยสำหรับอาหารค่ำสำหรับสองคนพร้อมไวน์ในสต็อคโฮล์มอยู่ที่ 5,545 บาท ด้วยราคานี้นักเดินทางสามารถจ่ายเป็นค่าอาหารค่ำสำหรับสองคนพร้อมไวน์และค็อกเทล ค่ารถแท็กซี่ ค่าห้องพัก 1 คืนในโรงแรมระดับสี่ดาวในฮานอย และยังเหลือเงินทอนอีกด้วย เนื่องจากราคาค่าอาหารค่ำในฮานอยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,107 บาท ซึ่งถูกกว่าในสต็อคโฮล์มถึง 5 เท่า


       เดินทางในตัวเมือง: เดินทางได้ไกลกว่าในราคาที่ถูกกว่าในจาการ์ตา
       การนั่งแท็กซี่ในออสโลเป็นระยะทางสั้นๆประมาณ 3 กิโลเมตรขาไปและมีระยะทางเท่ากันในขากลับ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,825 บาท คิดเป็นเกือบ 20 เท่าของราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่ในระยะทางเท่ากันในจาการ์ตา ซึ่งอยู่ที่ 94 บาท และด้วยราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่ไป-กลับในออสโล นักเดินทางจะสามารถนั่งแท็กซี่ได้ 13 กิโลเมตรในโตเกียว หรือ 27 กิโลเมตรในเคปทาวน์ และนั่งได้ไกลถึง 122 กิโลเมตรในจาการ์ตา
       
       ห้องพักในโรงแรม: กรุงเทพฯ มีราคาค่าห้องพักถูกที่สุด
       เมื่อพูดถึงการพักค้างคืน นับเป็นปีที่สองแล้วที่นิวยอร์คครองอันดับ 1 ด้านเมืองที่มีค่าที่พักแพงที่สุด โดยค่าห้องพัก 1 คืนในโรงแรมระดับสี่ดาวเฉลี่ยอยู่ที่ราคา 11,794 บาท ในขณะที่ค่าห้องพัก 1 คืนในโรงแรมสี่ดาวในกรุงเทพฯ ถูกกว่าในนิวยอร์ค 4 เท่า คือราคาเฉลี่ยเพียง 2,779 บาท ด้วยราคาค่าห้องพัก 1 คืนในนิวยอร์ค นักเดินทางสามารถพักได้ 3 คืนในบัวโนสไอเรสหรือ 2 คืนในบาร์เซโลนา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มิถุนายน 2557

60


ตลอดระยะประวัติศาสตร์ยุคใกล้อเมริกาสร้างความเจ็บปวดและขมขื่นให้กับประเทศเล็กประเทศน้อยมาเสมอ วิลเลียม บลูม อดีตข้าราชการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ลาออกจากราชการด้วยความไม่เห็นด้วยในนโยบายการเมืองของรัฐบาลกล่าวว่า สหรัฐฯได้แทรกแซงประเทศต่างๆมาแล้วมากกว่า 25 ประเทศ ได้แก่ จีน อิตาลี กรีซ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ แอลเบเนีย เยอรมนี อิหร่าน กัวเตมาลา ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน อินโดนีเซีย กายาน่า เวียดนาม กัมพูชา ซาอีร์ บราซิล สาธารณรัฐโดมินิกัน คิวบา ชีลี นิการากัว เกรนาดา ลิเบีย ปานามา อัฟกานิสถาน เอลซาวาดอ เฮติ ฯลฯ ระยะอันใกล้สหรัฐฯยังเข้าไปยุ่มย่ามทั้งในอียิปต์ ยูเครน และกำลังยุ่มย่ามเข้ามาในประเทศไทยอีกด้วย

ทีนี้ลองมาดูมิติทางสังคมและสุขภาพบ้าง วิถีชีวิตแบบเสพกินและบริโภคนิยมของอเมริกันก่อให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ หนี้สินครัวเรือนและหนี้สินประชาชาติเพิ่มทวีขึ้น ญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามถูกทำให้เป็นแบบอเมริกัน(Americanization) ผลวิจัยของนักวิจัยชื่อคากาว่า ติดตามแนวโน้มการกินอาหารของคนญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปจากปีค.ศ.1950 ถึง 1975 พบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมวัวเพิ่มขึ้น 15 เท่าตัว และกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 7.8 เท่าตัว ผลก็คือผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 300%

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาส่งเสริมการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและต้องการตัดคู่แข่งคือน้ำมันมะพร้าวจากประเทศเอเชียแปซิฟิก บริษัทน้ำมันถั่วเหลืองยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯได้ว่าจ้างนักวิจัยชื่ออาร์เรนส์ เอาน้ำมันมะพร้าวทำฮัยโดรจีเนตให้ผิดธรรมชาติ กลายเป็นน้ำมันอิ่มตัวไปทั้งหมดเป็นน้ำมันทรานส์(trans fat) แล้วนำไปเลี้ยงหนูทดลองจนเกิดอาการของโรคหัวใจหลอดเลือด จากนั้นเอาไปป้อนให้ชนเผ่าบันตูในแอฟริกา โดยให้กินน้ำมันชนิดนี้คนละ 100 กรัมต่อวัน(1/2 ถ้วย) ก็พบว่าทำให้คอเลสเตอรอลสูงและหลอดเลือดแข็งตัวกันถ้วนทั่ว ชนเผ่านี้น่าจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ถูกป้อนน้ำมันทรานส์ จนไขมันเลือดสูงและเส้นเลือดอุดตันจากการวิจัยที่ไร้มนุษยธรรมดังกล่าว จากนั้นบริษัทน้ำมันถั่วเหลืองของสหรัฐฯก็ประโคมข่าวว่าน้ำมันมะพร้าวก่อให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือด แล้วผลักดันน้ำมันถั่วเหลืองเข้าสู่ตลาดโลก ความกลัวน้ำมันมะพร้าวยังแฝงฝังอยู่ในความเชื่อของผู้คนตราบเท่าทุกวันนี้

เพื่อครอบครองตลาดโลกทางด้านเกษตรกรรม บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งของสหรัฐฯผู้ผลิตพืชจีเอ็มโอ(GMOs)พยายามเผยแพร่พันธุ์พืชดังกล่าวไปทั่วโลก ประเทศไหนยังต่อต้านก็ได้ดำเนินการลักลอบหรือร่วมมืออย่างลับๆกับข้าราชการของประเทศนั้นแอบปลูกพืชจีเอ็มโอสอดแทรกเข้าไป ทั้งๆที่ละเมิดกฎหมายของประเทศเหล่านั้น จนพืชพันธุ์พื้นเมืองของหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย กำลังประสบปัญหาการปนเปื้อนจากพืชจีเอ็นโอ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพแก่ประชากรของแต่ละประเทศในระยะยาว

สหรัฐฯคือเจ้าแห่งกิจการค้ายาในขอบเขตทั่วโลก บริษัทค้ายายักษ์ใหญ่ได้ใช้เล่ห์เพทุบายหลายประการส่งเสริมการบริโภคยาโดยขาดความจำเป็นในหลายๆกรณี เริ่มต้นจากบริษัทเมอร์คผู้ค้ายาลดไขมันสแตตินตั้งแต่ค.ศ.1987 ต่อมาก็ยาลิปิเตอร์ของไฟเซอร์ซึ่งเป็นบรรษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขายยานี้ราว 2 แสนล้านดอลล่าห์ต่อปี กลเม็ดของการเพิ่มยอดขายของยาลดไขมันอยู่ที่การกำหนด “ค่าปกติของคอเสเตอรรอล” ซึ่งจะกำหนดโดยคณะกรรมการชุดหนึ่งด้านการใช้ยาในสหรัฐฯ

หลายคนคงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้ระดับคอเลสเตอรอลที่ปกติอยู่ที่ 250 มก./ดล. แต่ต่อมาด้วยการ “ทำใต้โต๊ะ” ของบริษัทยาที่ให้กับคณะกรรมการดังกล่าว จึงมีการกำหนดค่านิยามใหม่เมื่อปีค.ศ.2001 ไว้ที่ 200 มก./ดล. ผลก็คือคนทั่วโลกที่มีระดับคอเลสเตอรอลในระหว่าง 200-250 มก./ดล. เมื่อวันก่อนยังเป็นคนสุขภาพปกติ ก็กลายเป็นผู้ป่วยด้วยโรคไขมันเลือดสูงภายในชั่วข้ามคืนเดียว ยาลดไขมันจึงกลายเป็นยาที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปัจจุบันความจริงก็ปรากฏขึ้น บริษัทเมิร์ค/เชอริงเพลายอมรับว่า ยาซีเทีย((Zetia) ของบริษัทตนเองซึ่งขายดีติดอันดับหนึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่กินยาดังกล่าวจะลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้แต่อย่างใด แท้จริงการใช้ยาลดไขมันก็เป็น “วิทยาศาสตร์จอมปลอมที่ก่อกระแสการต่อต้านคอเลสเตอรอล(the bad science that create cholesterol con)” เท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกวาดเงินจากคนทั่วโลกโดยแพทย์ส่วนใหญ่รวมทั้งผู้ป่วยอีกจำนวนมหาศาลก็ยังไม่ทราบความจริงข้อนี้

นอกจากยาลดไขมันจะไม่เกิดประโยชน์ในการลดโรคหัวใจแล้วยังเกิดโทษอีกหลายประการ ที่สำคัญคือยาลดไขมันมีกลไกอยู่ที่การเพิ่มปุ่มรับ(receptor) บนเซลล์ตับให้จับคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับให้มากขึ้น ดังนั้นไขมันในเลือดจึงเพียงแต่ถูกย้ายที่จากในเลือดให้ไปสะสมอยู่ในตับ ซึ่งเท่ากับการกลบเกลื่อนปัญหาเหมือนกวาดขยะไปซุกไว้ใต้พรม ด้วยเหตุนี้การกินยาลดไขมันไปนานๆจึงเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ ตับอักเสบและตับแข็ง นี่คือ “อุบายขายโรค” ที่กระทำโดยบริษัทขายยาของสหรัฐอเมริกาโดยมีคนไทยและคนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อ

ในด้านอาหารการกิน สหรัฐฯคือต้นแบบของอาหาร “แดกด่วน” น้ำอัดลมคือแบบอย่างของเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ นอกจากความหวานแล้วยังอุดมด้วยฟอสฟอรัสเพื่อรักษาความเป็นฟองฟู่ประกายในขวด เมื่อกินฟอสฟอรัสเข้าไปมากร่างกายต้องใช้แคลเซียมจากกระดูกให้ละลายออกมาจับกันเป็นแคลเซียมฟอสเฟตเพื่อขับทิ้งทางปัสสาวะ น้ำอัดลมจึงเป็นเหตุของโรคกระดูกพรุน ในอีกด้านหนึ่งอลูมิเนียมที่ใช้เคลือบกระป๋องน้ำอัดลมคือที่มาของสารโลหะหนัก เป็นเหตุหนึ่งของโรคไขมันเลือดสูง แถมเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์

ฟาสต์ฟูดแบบอเมริกันคือสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคอ้วน ไขมันเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง รวมทั้งมะเร็งด้วย สาเหตุเพราะฟาสต์ฟู้ดเป็นอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน และยังมีปัญหาน้ำมันทอดซ้ำเกิดอนุมูลอิสระ บริษัทฟาสต์ฟู้ดอเมริกันในประเทศคือตัวการหนึ่งที่ทำให้น้ำมันทอดซ้ำกระจายออกไปสู่ปากท้องของประชาชนไทย เรื่องมีอยู่ว่าสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติของไทยได้ค้นพบวิธีทำไบโอดีเซล ผู้อำนวยการสถาบันดังกล่าวจึงไปติดต่อขอซื้อน้ำมันที่เหลือจากการทอดไก่ทอดและเฟรนช์ไฟรด์จากบริษัทฟาสต์ฟู้ด 2 บริษัทใหญ่ที่อยู่ตามศูนย์การค้า เพื่อนำมาใช้ทำไบโอดีเซล แทนที่จะทิ้งไปเปล่าๆ จากนี้เองจึงได้พบความจริงว่า พวกเขาไม่ได้ทิ้งน้ำมันใช้แล้วเหล่านั้นอันอุดมด้วยอนุมูลอิสระไปเลย แต่แอบขายไปให้แม่ค้าตลาดล่างที่ทำอาหารประเภททอดๆทั้งหลาย และอีกส่วนหนึ่งขายต่อไปให้กับโรงงานทำก๋วยเตี๋ยว กลับมาสู่ปากท้องของผู้บริโภคอีกครั้งหนึ่ง เรื่องของน้ำมันทอดซ้ำนี้ถ้าเป็นประเทศในยุโรปจะมีกฎหมายห้ามนำกลับมาใช้ในห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ดังนั้นบริษัทไก่ทอดและแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกันที่เข้าไปในยุโรปจะไม่สามารถขายน้ำมันทอดซ้ำไปให้แก่ผู้บริโภคได้ แต่ในประเทศไทยอาศัยที่เราไม่มีกฎหมายควบคุม บริษัทอเมริกันเหล่านี้จึงเอาเปรียบคนไทยขายน้ำมันทอดซ้ำให้กลับสู่ปากท้องของคนไทยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่าน้ำมันทอดซ้ำก่อให้เกิดโรคหลายอย่างรวมทั้งมะเร็งด้วย

เหล่านี้คือความเลวร้ายและเอารัดเอาเปรียบของสหรัฐฯและบริษัทสัญชาติอเมริกันที่กระทำต่อประชาชนประเทศต่างๆ รวมทั้งประชาชนคนไทยด้วย ถึงเวลาหรือยังที่คนไทยควรจะทำประการใดประการหนึ่งเพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐอเมริกา?

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 28