แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - seeat

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
ทั้งนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์นามก้องโลกคือ สตีเฟน ฮอว์คิง และ วารสารนักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอม ผู้จัดทำสัญลักษณ์ “นาฬิกาวันสิ้นโลก” ได้วิเคราะห์ปัญหาของโลกไปในทำนองเดียวกันว่า ชาวโลกเราได้ทำลายอารยธรรมของเราด้วยเทคโนโลยีที่อันตรายที่เราสร้างขึ้นมาเอง เทคโนโลยีอันตรายที่กำลังทำลายโลกดังกล่าวประกอบด้วย 3 อย่าง คือ (1) เทคโนโลยีพลังงานฟอสซิลซึ่งเป็นเครื่องจักรไอน้ำที่เป็นต้นเหตุสำคัญของภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือที่เรียกว่าปัญหาโลกร้อน (2) อาวุธนิวเคลียร์ และ (3) เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมโดยเฉพาะเรื่องจีเอ็มโอนั่นเอง
       
       อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครฟันธงลงไปเลยว่า ในบรรดา 3 เทคโนโลยีนี้ อย่างไหนอันตรายหรือทำลายโลกมากที่สุด เพราะหากเราได้ทราบว่าสิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างถูกจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
       
       ผมเองเป็นนักคณิตศาสตร์ประยุกต์ซึ่งถูกฝึกมาให้ตั้งคำถาม และมีกระบวนการเพื่อค้นหาคำตอบว่าอย่างไหนอันตรายที่สุด ภายใต้เงื่อนไขใด ในเชิงวิชาการเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “การวิเคราะห์มิติ (Dimensional Analysis)” แต่สำหรับปัญหาที่มีความซับซ้อนมากเช่นนี้ก็เป็นเรื่องยากมากที่ทำการวิเคราะห์ในเชิงปริมาณได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการเชิงคุณภาพซึ่งเกี่ยวข้องหลักปรัชญาและการให้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
       
       ผมโชคดีมากที่ได้มาเจอบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) วัย 88 ปี แห่งสถาบันเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ท่านเป็นทั้งนักภาษาศาสตร์ นักปรัชญา และนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีชื่อเสียงทั่วโลก รวมทั้งได้เขียนหนังสือกว่า 100 เล่ม ผมพบเรื่องนี้จากบทความของ Alexandra Rosenmann ซึ่งเพิ่งเผยแพร่เมื่อ 10 ก.พ.นี้เอง
       
       ประเด็นหลักในการสัมภาษณ์ซึ่งมีความยาวประมาณ 10 นาที คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังมีการคัดเลือกตัวแทนพรรคกันอย่างดุเดือด แต่ประเด็นที่หลุดออกมาเข้าทางที่ผมรอคอยคำตอบมายาวนานก็คือ ปัจจัยอะไรที่อันตรายต่อชาวโลกมากที่สุด ระหว่างโลกร้อน อาวุธนิวเคลียร์ และจีเอ็มโอ ดังที่ผมได้ยกมาตั้งแต่ต้น
       
       โนม ชอมสกี ได้ให้ความเห็นต่อสองพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคในสหรัฐอเมริกาว่า “ผมไม่คิดว่าจะมีความแตกต่างที่ใหญ่ๆ ระหว่างพรรคการเมืองทั้งหลาย แต่ความแตกต่างเล็กๆ มีอยู่จริงในระบบของอำนาจอาจจะสามารถส่งผลเสียหายต่อเนื่องอย่างมหาศาล” (หมายเหตุ : ผมจะค่อยๆ อธิบายขยายความในภายหลัง)
       
       “ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันทุกคนจะทิ้งระเบิดแบบปูพรหมในประเทศซีเรีย”
       
        “ปัจจุบันนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราเผชิญอยู่ คือ การทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ผู้ตัวสมัครเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันทุกคนต่างปฏิเสธหรือตั้งสงสัยประเด็นนี้ พวกเขาต่างพูดว่าจะขอทำลายโลกต่อไป ข้อตกลงที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนจากปารีสอาจจะไม่ผ่านสภาที่มีพรรครีพับลิกันครองอยู่”


        อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเด็นหลักของการให้สัมภาษณ์ คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ซึ่งท่านได้ประกาศว่าจะสนับสนุนนางฮิลลารี คลินตัน เพื่อต่อต้านพรรครีพับลิกันในสองประเด็นหลักคือสงครามซีเรีย และการทำลายสิ่งแวดล้อม) ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้ลงรายละเอียดว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดจากอะไร แต่ผมมั่นใจว่าท่านคงละไว้ในฐานที่เข้าใจ คือปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์คือการใช้พลังงานฟอสซิลนั่นเอง
       
       ก่อนที่ผมจะนำเสนอข้อมูลด้านผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน (ที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังคาดไม่ถึงว่ามันจะรุนแรงขึ้นขนาดนี้) รวมทั้งทางออกจากปัญหาดังกล่าว ผมขออนุญาตอธิบายขยายความที่ว่า “แต่ความแตกต่างเล็กๆ ที่มีอยู่จริงในระบบของอำนาจ อาจจะสามารถส่งผลเสียหายต่อเนื่องอย่างมหาศาล” รวมทั้งเรื่องการค้นหาปัจจัยสำคัญที่สุดของปัญหาในระบบ ซึ่งเป็นทั้งเรื่องเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ
       
       ถ้าเปรียบเทียบการวิเคราะห์ปัญหากับเกมฟุตบอล เราจะพบว่า บทบาทของนักกีฬาแต่ละคนจะมีความสำคัญมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งในสนาม และเวลาในเกมการแข่งขัน เช่น ผู้รักษาประตูอาจจะยืนตบยุงได้เมื่อลูกบอลอยู่หน้าประตูฝ่ายตรงข้าม แต่กลับมีความสำคัญมากๆ เมื่อลูกบอลอยู่ใกล้ประตูของตนเอง นักกีฬาคนไหนที่ฝีเท้าเด่นมากๆ อาจจะถูกตามประกบด้วยคู่ต่อสู้ถึง 2 คน ก็เพราะผลของการค้นหาปัจจัยที่สำคัญที่สุดของฝ่ายตรงกันข้ามนั่นเอง
       
       นอกจากนี้ยังพบว่า ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของนักฟุตบอลคนใดคนหนึ่งอาจจะส่งผลเสียหายต่อผลการแข่งขันก็เป็นได้ เพราะเกมฟุตบอลก็เป็น “โลกที่ซับซ้อน” ความผิดพลาดเพียงนิดเดียวคู่ต่อสู้อาจฉวยโอกาสยิงประตูได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่นักกิจกรรมทางสังคมระดับศาสตราจารย์ของสถาบันที่มีชื่อเสียงของโลกได้กล่าวเพียงสั้นๆ นั้น หมายถึงอย่างที่ผมว่าครับ
       
       ข้อตกลงจากที่ประชุมกรุงปารีสเมื่อปลายปี 2015 ที่ประกาศว่าจะไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่ปีนี้อุณหภูมิได้สูงเกินไปแล้วถึง 1 องศาเซลเซียสแล้ว น้ำแข็งละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น แต่เมื่อมาประกอบกับลมมรสุมก็ทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง ถนนปากพนัง –หัวไทร นครศรีธรรมราช บ้านผมเองก็ถูกกัดเซาะรุนแรงมาก
       
       อยากจะขอเรียนไว้ในที่นี้ว่า บ้านหลังที่ผมเกิดได้ค่อยๆ หายไปในทะเลมานานประมาณ 50 ปีแล้วครับ แต่นับจากนี้ไปมันจะรุนแรงมากขึ้นอย่างที่เราคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน
       
       ผมมีรายงานผลการวิจัย 2 ชิ้นล่าสุดสดๆ ร้อนๆ เพื่อยืนยันถึงสิ่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง เพื่อตอกย้ำความเห็นรวบยอดของโนม ชอมสกี แล้วจะตบท้ายด้วยความเห็นต่อเรื่องโซลาร์เซลล์ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเพิ่งได้กล่าวถึงเมื่อคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559
       
       งานวิจัยชิ้นแรก สนับสนุนการศึกษาโดยองค์การนาซา (กุมภาพันธ์ 2016) เป็นปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดของชาวโลกซึ่งจะทำให้คน 2 ใน 3 ของโลกต้องขาดแคลนน้ำจืดอย่างน้อย 1 เดือน โดยที่ประมาณครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในอินเดียและจีน และประมาณ 500 ล้านคนจะขาดแคลนตลอดทั้งปี

        งานวิจัยครั้งล่าสุดนี้ได้ตีพิมพ์ใน The Journal Science Advances โดยอ้างว่า งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ขาดแคลนน้ำจืดจำนวน 1.3 ถึง 3.1 ล้านคนนั้น เป็นการศึกษาที่ไม่ได้คิดเป็นฤดูกาล (แต่คิดรวมทั้งปี) และการแบ่งพื้นที่ศึกษามีขนาดกว้างเกินไป ผลงานวิจัยใหม่นี้ได้เพิ่มผู้เดือดร้อนถึง 4 พันล้านคน ผมนำแผนที่มาให้ดูด้วยครับ


        การขาดแคลนน้ำจืดจะส่งผลเสียหายต่อรายได้ของเกษตรกร รวมทั้งจะสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเค็มของดินด้วย
       
       งานวิจัยชิ้นที่สอง สนับสนุนโดย Norges Bank ผลการศึกษาได้เตือนนักลงทุนในพลังงานฟอสซิล คือถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวว่าจะสูญเสียเงิน เป็นการศึกษาที่ทันสมัยที่สุด (เผยแพร่มกราคม 2016) ของ Norges Bank ซึ่งเป็นธนาคารของกระทรวงการคลังประเทศนอร์เวย์ (อายุ 200 ปี)
       
       ผมได้สรุปคำเตือนพร้อมข้อมูลสำคัญไว้ในแผ่นภาพแล้วครับ ชื่อเรื่องที่ศึกษาก็คือ “Stranded Assets and Thermal Coal” (แปลตรงๆ ว่า สินทรัพย์ที่ทิ้งค้าง (ไม่มีการนำมาผลิต) และความร้อนจากถ่านหิน) สิ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้ออกมาเตือนนักลงทุนทั้งหลายก็คือ ผู้ลงทุนจะสูญเสียเงินจากการลงทุนในธุรกิจถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานลมและแสงแดดสามารถแข่งขันได้
       
       แต่ประเทศไทยเรากำลังพยายามจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 9 โรง ด้วยข้ออ้างที่เป็นเท็จมั่งจริงมั่งแต่ล้าหลังสุดๆ ที่กำลังเดือดๆ เพราะประชาชนคัดค้านก็ที่จังหวัดกระบี่ (800 เมกะวัตต์) และอำเภอเทพาจังหวัดสงขลาอีก 2,200 เมกะวัตต์
       
       จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เฉพาะที่จังหวัดกระบี่อย่างเดียวจะมีการนำเข้าถ่านหินวันละประมาณ 1 หมื่นตัน ทั้งๆ ที่พลังงานแสงแดดและลมเราไม่ต้องซื้อและสามารถแข่งขันกันได้แล้ว
       
       ล่าสุด จากบทความเรื่อง “World’s Tallest Solar Tower to Supply 120,000 Homes With Renewable Energy” โดย Lorraine Chow พบว่า ประเทศอิสราเอลกำลังก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 121 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุน $773 ล้าน (เฉลี่ย $6.4 ล้านต่อเมกะวัตต์) โรงไฟฟ้าชนิดนี้ผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องซื้อเชื้อเพลิง ไม่ปล่อยมลพิษ ไม่ทำลายการประมง ไม่ทำลายการท่องเที่ยว
       
       เท่าที่ผมเปิดดูจากบางหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาอย่างคร่าวๆ พบว่า ถ้าเป็นชนิด Coal-Gasification Integrated Comb Cycle (IGCC) ขนาด 1,200 เมกะวัตต์ ราคาเฉลี่ย $3.5 ล้านต่อเมกะวัตต์ โดยต้องซื้อเชื้อเพลิงทุกปี และทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
       
       อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือ ขณะนี้ประเทศไทยเรามีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมากเกินมาตรฐานโลก โดยมีสำรองถึง 40% แทนที่จะเป็น 15% ถ้าคอยได้ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนก็จะลดลงอีก


        เรื่องสุดท้าย จากรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” 19 กุมภาพันธ์ 2559
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากไปเยือนสหรัฐอเมริกา พอสรุปได้ว่า
       
       1. สองข้างทางในสหรัฐอเมริกามีการติดโซลาร์เซลล์เยอะมาก อยู่ตามโรงรถ (เรื่องนี้ ประธานาธิบดีโอบามา บอกว่า ในช่วง 7 ปี ในสมัยของเขา การติดโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้น 30 เท่าตัว ราคาลดลงปีละประมาณ 10%)
       
       2. “สมัยก่อนๆ นี้เขาบอกว่าทุกคนใช้พลังงานทดแทนจะทำให้ดีขึ้นโลก แต่ไม่ได้ดูว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ผมคิดว่าวันนี้เราต้องเร่งส่งเสริมการใช้โซลาร์เซลล์ในประเทศให้มากขึ้น โดยจะต้องมีบริษัทผลิตเอง เรามีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว ให้มากขึ้น การที่จะเอาข้างนอกมาใช้ก็โอเค” (หมายเหตุ ท่านต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ค้นหาเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าจะรอเพื่อผลิตเอง มันจะทันการหรือครับ)
       
       3. “ระบบสายส่งปัญหาเยอะแยะ กฎหมายก็มีปัญหาอยู่ระบบสายส่งก็ยังไม่ได้ครบมันใช้เงินสูงมาก”
       
       ผมขอวิจารณ์สั้นๆ ในประเด็นที่สาม ประเทศเยอรมนี เขาให้ผู้ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนส่งไฟฟ้าได้ก่อน พลังงานสกปรกส่งได้ทีหลัง จึงไม่มีปัญหาเรื่องสายส่ง
       
       ประเทศสหรัฐอเมริกากว่า 43 รัฐ เขาใช้ระบบ Net Metering คือฝากไฟฟ้าไว้ในสายส่งในเวลากลางวัน พอเวลากลางคืนผลิตโซลาร์เซลล์ไม่ได้ ก็ดึงไฟฟ้าในสายส่งกลับมาใช้ในบ้าน ในราคาที่ถือว่าเป็นการแลกไฟฟ้ากัน ไม่ต้องมีราคาอย่างที่การไฟฟ้าของไทยกำลังทำกับบริษัทใหญ่บางบริษัท คือรับซื้อในราคาที่แพงมาก
       
       ท่านนายกฯ ประยุทธ์ ครับ ผมว่าท่านเริ่มมีดวงตาเห็นธรรม (ในเรื่องนี้) บ้างแล้ว แต่ถ้าท่านไม่รู้จักวิเคราะห์หาปัจจัยหลักปัจจัยรองอย่างที่ผมได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น ท่านจะถูกพวกเขี้ยวลากดินหลอก เพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์มหาศาล ขอท่านโปรดใคร่ครวญอย่างมีสติครับ อย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มพวกนี้เลย แล้วประวัติศาสตร์จะต้องจารึกท่านไว้อย่างแน่นอน จะให้เป็นอะไรขอท่านจงคิดเองครับ


โดย ประสาท มีแต้ม       21 กุมภาพันธ์ 2559
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000018719

2
สัปดาห์นี้ผมมี 3 เรื่องใหญ่ๆ มาเล่าให้ฟังครับ ความจริงแล้วทั้ง 3 เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกันคือเกิดจาก “ความผิดพลาดของมนุษย์เอง” ดังที่ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดัง ได้สรุปไว้
       
        เรื่องแรกครับ หลังจากบทความเรื่อง “มนุษยชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะความผิดพลาดของตนเอง” : สตีเฟน ฮอว์คิง ที่ผมเขียนได้ออกเผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมง สภาพอากาศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเราเองก็ได้เกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรง อุณหภูมิอากาศภาคเหนือ อีสาน รวมทั้งกรุงเทพมหานครได้ลดลงอย่างมากและฉับพลัน คือ 8 ถึง 12 องศาเซลเซียสในขณะที่สองฝั่งทะเลของไทยมีคลื่นลมแรงมาก
       
        ผมได้ตัดภาพจากเฟซบุ๊กเพื่อนๆ ของผมมาลงให้ดูด้วยครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ครับ

        ผมได้คุยกับเพื่อนบ้านวัยชราท่านหนึ่ง เธอเล่าว่า “ที่บ้านเดิมของเธอในจังหวัดเชียงราย อุณหภูมิลดลงมาเหลือ 8 องศาเซลเซียส บนภูเขาติดลบ 3 องศา” ผมถามว่าต่ำที่สุดไหม เธอตอบว่า “ปีที่ลูกสาวคนนี้เกิดอุณหภูมิเคยลงถึง 4 องศา ตอนนี้ลูกสาวอายุย่าง 39 ปีแล้ว” ถ้าจะสรุปว่าอุณหภูมิต่ำสุดในรอบ 39 ปีก็น่าจะได้นะ
       
        ผมได้ดูรายการสัมภาษณ์นักวิชาการทางทะเลท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าเกิดจากปัญหาโลกร้อน แต่เมื่อถูกถามต่อถึงต้นเหตุของโลกร้อน ท่านบอกว่าเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าและไม่ได้นำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง แต่ท่านไม่ยอมพูดถึงการใช้พลังงานฟอสซิลเลยซึ่งนักวิทยาศาสตร์เกือบทั้งโลกสรุปตรงกัน ท่านคงจะคิดไม่ทันเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนหรืออย่างไรผมไม่ทราบได้
       
        แต่ข้อมูลที่ผมได้นำเสนอพร้อมแหล่งอ้างอิงเสมอมาก็คือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาพลังงานฟอสซิลซึ่งได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติเป็นต้นเหตุรวมกันถึง 72% คือปัจจัยใหญ่ที่สุด แต่น่าเสียดายที่ท่านวิทยากรไม่ได้พูดถึงประเด็นสำคัญดังกล่าว
       
        อนึ่ง ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่สภาพอากาศโลกแปรปรวนอย่างรุนแรง รายการโทรทัศน์อย่างน้อย 3 ช่อง ได้เสนอรายการ “Talk” ที่เกี่ยวกับ “ตุ๊กตาลูกเทพ” ซึ่งผมได้รับรู้เป็นครั้งแรกและคำถามว่า “ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” ก็มาจากรายการดังกล่าวนี้แหละครับ
       
        เรื่องที่สอง ความเหลื่อมล้ำทางสังคมรุนแรงมากขึ้น
       
        จากรายงานซึ่งผมได้อ้างไว้ในแผ่นภาพแล้วพบว่า ย้อนหลังไป 5 ปี คือในปี 2010 มหาเศรษฐีโลกจำนวน 388 คน (ในจำนวนนี้มีคนไทย 2 คนรวมอยู่ด้วย) มีทรัพย์สินรวมกันเท่ากับทรัพย์สินของคนจนครึ่งโลกหรือประมาณ 3,600 ล้านคนรวมกัน
       
        ถ้าให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คนจำนวน 388 คนนี้สามารถโดยสารอยู่ในเครื่องบินเพียงลำเดียว ต่อมาในปี 2015 ความเหลื่อมล้ำรุนแรงมากขึ้นคือ เหลือมหาเศรษฐีจำนวน 80 คนเท่านั้น (แสดงว่าในช่วง 5 ปี ความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้นเยอะ) และคาดว่าเมื่อสิ้นปี 2016 สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นอีก คือจะเหลือเพียง 62 คนเท่านั้น คือสามารถนั่งรถบัสเพียง 1 คันเท่านั้น และในปี 2020 จะเหลือแค่รถตู้เพียงคันเดียวหรือ 20 คนเท่านั้น


        สันตะปาปา (Pope Francis) องค์ปัจจุบันได้ตรัสว่า “ความเหลื่อมล้ำคือรากเหง้าของปัญหาสังคม ('Inequality Is the Root of Social Evil': Big Deal?)”
       
        ผมได้พยายามสืบค้นว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมหรือในโลกนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดและเพราะอะไร
       
        คำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสถิติพบว่า ความเหลื่อมล้ำได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1784) แต่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ประมาณปี 1870 เป็นต้นมา ซึ่งมนุษย์ได้ใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำ ที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาผลิตไฟฟ้า เมื่อถ่านหิน (และน้ำมันดิบในเวลาต่อมา) เป็นวัสดุที่สามารถผูกขาดได้ง่าย การผูกขาด (ซึ่งต้องอาศัยอำนาจรัฐ) จึงเปิดโอกาสให้คนจำนวนน้อยมีรายได้มากขึ้น ในขณะเดียวผู้ได้รับผลกระทบ (ในตอนเริ่มต้นเป็นผลกระทบด้านสุขภาพและการทำมาหากิน) จึงยากจนลง ความเหลื่อมล้ำจึงขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ
       
        ภาพบนทางขวามือมาจากการจัดยุคของอุตสาหกรรมออกเป็น 4 ยุค โดย Klaus Schwab, ผู้ก่อตั้งและประธานผู้บริหาร World Economic Forum ซึ่งได้จัดประชุมระดับโลกเมื่อ 20-23 มกราคม 2016 แต่ละยุคมีปี ค.ศ. อยู่ด้วย ซึ่งก็สอดคล้องกับจีดีพีต่อหัวของประชากรในกลุ่มทวีปต่างๆ
       
        ดังนั้น ภายใต้การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระจายตัวอยู่ทั่วไป ซึ่งผูกขาดได้ยาก เราสามารถลดทั้งปัญหาโลกร้อนและความเหลื่อมล้ำของโลกได้
       
        ขณะนี้ ความเป็นความตายของโลกขึ้นอยู่กับความโลภของเจ้าของเทคโนโลยีเก่าที่ใช้พลังงานฟอสซิล และความรับรู้ของประชาชนต่อเทคโนโลยีใหม่ ความหวังที่มนุษยชาติจะอยู่อย่างปลอดภัยได้จึงขึ้นอยู่กับความรับรู้และร่วมปฏิบัติการของภาคประชาชนทั่วโลก ซึ่งในหลายๆ ประเทศได้เริ่มดำเนินการไปมากแล้ว แต่ประเทศไทยเรากำลังสนใจกับตุ๊กตาลูกเทพ
       
        เรื่องที่สาม คำพูดนายกฯรัฐมนตรีและข้อเท็จจริง
       
        จากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (อังคาร 26 มกราคม 59) “ซัด NGO พลังงาน! จ่อเซ็นโปรเจกต์ 9 แสนล้านบาท” ตอนหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า
       
        “พลังงานต่างๆ เราซื้อจากต่างประเทศหมด แล้ววันหน้าจะอยู่กันอย่างไร ทุกอย่างที่เป็นพลังงานเราต้องซื้อเขา วันหน้าถ้าเขาเลิกขาย เราก็จบ คนไทยเป็นประเภทที่บอกให้ไม่ต้องสร้าง สร้างแล้วมีผลกระทบกับอากาศ รอบบ้านเขามีหมดก็ซื้อเขาสิครับ สบายต่อสายไปอย่างเดียว คิดอย่างนี้ได้อย่างไร ผมไม่เข้าใจ วันหน้าความเสถียรของพลังงานไฟฟ้าจะทำยังไง”
       
        อีกตอนหนึ่งที่ท่านเปิดเผยความในใจถึงกระบวนการทำงานของท่านว่า
       
        “ผมยังยืนยันว่าจะทำงานแบบนี้ด้วยความร่วมมือของทุกคน ผมจะทำตัวเป็นแก้วน้ำที่เต็มแล้วสำหรับคนบางประเภท แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เคยรู้ ผมก็จะเป็นแก้วน้ำครึ่งแก้ว ผมเป็นคนแบบนี้จะรับฟังในสิ่งที่ผมควรจะฟัง สิ่งที่ไม่อยากฟังผมก็ค่อนข้างหงุดหงิด”
       
        ความจริงแล้ว วิธีการจำแนกประเภทของคนที่เราควรจะรับฟังหรือไม่รับฟังของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นเรื่องปกติ Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ (1951-1955) ก็เคยใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการพิจารณาคำอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา คือให้น้ำหนักกับคนพูดมากที่สุด ตามลำดับดังนี้ คือ (1) ใครพูด (2) วิธีการพูด และ (3) พูดว่าอะไร คือเนื้อหาที่พูดมีความสำคัญในอันดับสุดท้าย
       
        แต่ท่านเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ อยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีโอกาสได้พูด ได้นำเสนอ แต่ท่านประยุทธ์ฯ ท่านอยู่ในยุครัฐประหาร ที่ด้านหนึ่งท่านกำลังถูกห้อมล้อมด้วยข้าราชการประจำชั้นผู้ใหญ่ด้านพลังงานซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชน รวมทั้งด้านอื่นๆ ได้ถูกปิดปากหมด
       
        ท่านพูดเองว่า มีเรื่องที่ท่านไม่รู้ (เพราะท่านไม่เคยได้สนใจเรื่องพลังงานมาก่อน) แต่ท่านจะไม่มีทางรับรู้ความจริงได้เลยในสถานการณ์ปัจจุบัน ผมเองเป็นนักคณิตศาสตร์ ตอนแรกผมก็ไม่รู้เรื่องพลังงานเหมือนกับท่าน แต่ผมค่อยๆ แกะรอยและติดตามเรื่องพลังงานมานานเกือบ 20 ปี ทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชื่อมโยงหลายๆ ด้านเข้าด้วยกัน จึงได้มีความรู้มาแลกเปลี่ยนและแบ่งปันให้กับสังคมได้ระดับหนึ่ง
       
        ถ้าท่านพล.อ.ประยุทธ์ คิดอย่างที่ได้กล่าวข้างต้นจริง ผมเชื่อว่าเป็นอันตรายมากๆ ทั้งต่อตัวท่านเองและประเทศชาติโดยรวมด้วยเพราะผมเกรงว่า น้ำที่จะมาเติมให้เต็มแก้วน่าจะเป็นน้ำเน่า-ตกยุคเสียมากกว่าด้วยปัจจัยแวดล้อมรอบๆ ตัวท่าน
       
        ท่านน่าจะเคยรับรู้ว่า ในยุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” ซึ่งได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อ 5 - 6 ปีมานี้เอง นักวิชาการด้านธุรกิจจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้คาดการณ์ว่าอีกประมาณ 15 ปี หรือภายในปี 2030 การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่จะกระจายศูนย์ขนาดเล็ก ผลิตจากเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องซื้อหามาจากไหน (ตามที่ท่านพูด) แต่ได้มาฟรีๆ จากแสงแดดบนหลังคาบ้านของต้นเอง รวมทั้งพลังงานลมด้วย
       
        “ในสหรัฐอเมริกา การเพิ่มของโซลาร์เซลล์นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 72% มีการจ้างงานมากกว่าภาคพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและการเจาะก๊าซธรรมชาติ มีคนทำงานใน 8 พันบริษัทรวมกันถึง 2.09 แสนคน เพิ่มขึ้น 130% จากปี 2010 ในขณะที่ราคาลดลง 70% จากปี 2006” (จาก Solar Energy Industries Association, SEIA) ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภาว่า การตัดตั้งโซลาร์เซลล์ได้เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าตัวในช่วง 7 ปีในสมัยของเขา
       
        “ภายในปี 2020 ไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์จะเพียงพอสำหรับครอบครัวอเมริกัน 20 ล้านครอบครัว จะมีการจ้างงาน 2.2 แสนคน ภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์”
       
        สำหรับที่ท่านกังวลเรื่อง “ความเสถียรของพลังงาน” เขาก็มีวิธีการจัดการครับ ท่านนายกฯ กรุณาอย่ากังวลจนเกินไปจนตกเป็นเครื่องมือของพ่อค้าพลังงานฟอสซิลเลยครับ
       
        อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้คิด คือ (1) โดยเฉลี่ยค่าไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีราคาถูกกว่าประเทศไทยเล็กน้อย (2) ศักยภาพของพลังงานแสงแดดของสองประเทศก็ใกล้เคียงกัน (3) แต่ค่าแรงของประเทศเขาสูงกว่าประเทศเราราว 10-14 เท่าตัว และ (4) ค่าวัสดุอุปกรณ์เป็นราคาในตลาดโลก ส่วนใหญ่ผลิตจากประเทศจีน คำถามคือ ทำไมโซลาร์เซลล์ในสหรัฐอเมริกาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
       
        แต่ทำไมในบ้านเราจึงมีปัญหาเยอะแยะไปหมด
       
        เพื่อให้เห็นภาพของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ผมขอขยายความอีกสักนิด ปัจจุบันบริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ได้หันไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะว่าเมื่อเราหลุดออกไปจากกรอบ “เครื่องจักรไอน้ำ” อันเป็นเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยุคที่ 1 แล้วหันไปใช้เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์และคอมพิวเตอร์แทน ได้ส่งผลให้ความซับซ้อนของรถยนต์น้อยลงไปเยอะ แถมประสิทธิภาพก็สูงขึ้นหลายพันเท่าตัว จนมีผู้กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าคือคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนล้อ (Elon Musk: Model S not a car but a ‘sophisticated computer on wheels’)
       
        ท่านนายกฯ กำลังปวดหัวกับการแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงกว่าทุกปี การส่งเสริมให้ชาวบ้านติดโซลาร์เซลล์นอกจากจะเป็นการจ้างงาน ลดรายจ่ายค่าไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดปัญหาโลกร้อนซึ่งท่านนายกฯ ได้นำเสนอไว้ที่กรุงปารีสเมื่อปลายปีที่แล้วด้วย ท่านอย่าลืมสัญญากับประชาคมโลกซิครับ


        สัปดาห์นี้ผมมี 3 เรื่องใหญ่ๆ มาเล่าให้ฟังครับ ความจริงแล้วทั้ง 3 เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกันคือเกิดจาก “ความผิดพลาดของมนุษย์เอง” ดังที่ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดัง ได้สรุปไว้
       
        เรื่องแรกครับ หลังจากบทความเรื่อง “มนุษยชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะความผิดพลาดของตนเอง” : สตีเฟน ฮอว์คิง ที่ผมเขียนได้ออกเผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมง สภาพอากาศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเราเองก็ได้เกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรง อุณหภูมิอากาศภาคเหนือ อีสาน รวมทั้งกรุงเทพมหานครได้ลดลงอย่างมากและฉับพลัน คือ 8 ถึง 12 องศาเซลเซียสในขณะที่สองฝั่งทะเลของไทยมีคลื่นลมแรงมาก
       
        ผมได้ตัดภาพจากเฟซบุ๊กเพื่อนๆ ของผมมาลงให้ดูด้วยครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ครับ


โดย ประสาท มีแต้ม       31 มกราคม 2559
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000011019

3
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ไปร่วมประชุมที่สหรัฐอเมริกา ท่านได้นำมาเล่าในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” (19 ก.พ. 59) ว่า สองข้างทางที่ท่านผ่านมีการติดโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้ากันเยอะมาก
       
       “ผมเห็นแล้วผมก็ต้องสั่งให้ทุกส่วนราชการไปหาทางซิว่า จะใช้โซลาร์เซลล์นี้อย่างไร…เดี๋ยวทำเนียบรัฐบาลก็คงต้องดูนะ …ผมคิดว่าเราต้องมาเริ่มต้นอย่างนี้ก่อนดีกว่านะ เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มมันติดไปหมด ไม่ได้หมด เพราะฉะนั้นเราทำไฟฟ้าใช้เองเลยดีกว่า ดีไหมนะ เพียงแต่ว่าเดี๋ยวรัฐต้องไปดูซิว่าจะช่วยยังไงได้บ้าง ใครมีกำลังแล้วก็ใช้เถอะครับ ใช้เลย เศรษฐีต่างๆ จะได้ไม่ใช้ไฟข้างนอกมากนักนะ ไม่ต้องไปเพิ่มพลังผลิตให้มากมายวุ่นวายไปหมดนะ เริ่มปีนี้เลย”
       
       ก่อนหน้านี้เล็กน้อยท่านพูดถึงปัญหาการจัดการของประเทศไทยเราว่า “ระบบส่งเรายังมีปัญหาอยู่เข้าระบบสายส่งปัญหาเยอะแยะ กฎหมายก็มีปัญหาอยู่ ระบบสายส่งก็ยังไม่ได้ครบมันใช้เงินมากสูงมาก”
       แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยในหลายเรื่องกับรัฐบาลนี้ (เช่น การใช้มาตรา 44 เปลี่ยนผังเมืองให้สามารถสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในเขตที่เคยห้ามได้) แต่สำหรับคำพูดดังกล่าวข้างต้น ผมขอเชียร์และขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งขอแก้ไขสิ่งที่ผมเชื่อว่าท่านยังเข้าใจผิดอยู่ ดังต่อไปนี้ครับ
       
       1. การติดโซลาร์เซลล์ในรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการ
       
       ในวันที่ท่านนายกฯ พูด เว็บไซต์ Ecowatch ได้ลงข่าวว่า “รัฐสภาปากีสถานเป็นแห่งแรกในโลกที่ใช้พลังงาน 100% จากแสงอาทิตย์” โดยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศจีน ผมได้ตัดภาพมาเสนอด้วย


        เท่าที่ผมได้สืบค้นทราบว่า ขนาดติดตั้งทั้งหมด 80 เมกะวัตต์ (1 เมกะวัตต์อยู่บนอาคาร ซึ่งจะได้ไฟฟ้าปีละ 1.6 ล้านหน่วย ที่เหลืออยู่บนพื้นดิน) โดยที่ 62 เมกะวัตต์เพื่อใช้ในอาคารรัฐสภา และอีก 18 เมกะวัตต์เพื่อขายสู่ระบบสายส่งของชาติ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนมิถุนายนนี้
       
       นับเป็นใบอนุญาตแรกของประเทศปากีสถานที่ใช้ระบบ “Net Metering” ซึ่งออกโดย The National Electric Power Regulatory Authority ซึ่งก็คงจะเหมือนกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานของประเทศไทยเรา
       
       ระบบ “Net Metering” คือระบบที่อนุญาตให้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์แล้วเหลือใช้สามารถไหลเข้าสู่สายส่งของชาติได้ และในเวลากลางคืนซึ่งผลิตไฟฟ้าเองไม่ได้ ก็อนุญาตให้กระแสไฟฟ้าจากระบบสายส่งไหลกลับมาสู่อาคารรัฐสภาได้ เมื่อครบเดือนก็คิดบัญชีเพื่อหายอดรวมการใช้ ถ้าผลิตได้มากกว่าที่ใช้ ผู้ผลิตก็จะได้รับเงินในอัตราค่าไฟฟ้าที่ซื้อขายกันตามปกติ ไม่มีการบวกค่าไฟฟ้าเพิ่ม ไม่เป็นภาระกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น ไม่ต้องเก็บค่าเอฟทีจากคนทั่วประเทศแล้วไปจ่ายให้กับบางบริษัท (เหมือนที่ประเทศไทยทำ)
       
       “ระบบ Net Metering ได้ช่วยในการส่งกระแสไฟฟ้าและเพิ่มส่วนที่ผลิตได้เกินให้กับระบบสายส่งของชาติ โครงการนี้จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะมันช่วยลดการปล่อยก๊าซอันตราย” ประธานรัฐสภา Ayaz Sadiq กล่าวผ่านทางหนังสือพิมพ์ Dawn (http://www.dawn.com/news/1239167)
       
       “ต้องขอบคุณสมาชิกรัฐสภา เจ้าหน้าที่รัฐสภา และสื่อมวลชนที่ให้ความมั่นใจและการสนับสนุนที่ช่วยเป็นแรงส่งให้เกิดอนาคตที่ดีกว่า” ประธานรัฐสภากล่าว
       
       ในตอนท้ายของข่าวชิ้นนี้ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รัฐสภาของประเทศอิสราเอลก็ใช้โซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าเช่นกัน แต่ผลิตได้เพียง 10% ของความต้องการเท่านั้น ในขณะที่ของปากีสถานผลิตได้เกิน 100%
       
       สิ่งที่ผมต้องคิดอยู่หลายรอบ เพราะไม่มั่นใจในตัวเลขที่เขารายงาน ก็คือเรื่องของต้นทุนครับ เขาบอกว่าเงินลงทุนทั้งหมดมาจากประเทศจีน คิดเป็นมูลค่า 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเฉลี่ยต่อกิโลวัตต์และคิดเป็นเงินไทย (35 บาท/$) ก็เท่ากับ 22,750 บาทเท่านั้น
       
       ในขณะที่ราคาบางบริษัทในประเทศไทยเสนอขายอยู่ที่ 7-9 หมื่นบาท หรือที่โรงเรียนศรีแสงธรรมติดตั้งโดยไม่คิดค่าแรงและใช้แผงมือสอง ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นบาท ทำไมราคาจากประเทศจีนจึงได้ถูกมากถึงเพียงนี้ หรือว่าเขาไม่คิดภาษี ประเด็นนี้รัฐบาลช่วยได้ครับ
       
       สิ่งที่ต้องตอกย้ำและช่วยกันเผยแพร่ให้คนไทยได้ทราบกันมากๆ ก็คือ ระบบ “Net Metering” ที่ประเทศปากีสถานนำมาใช้นั้น ประเทศไทยเราถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายครับ ประเด็นนี้รัฐบาลต้องรีบแก้ไข
       
       ก่อนที่ผมจะแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพูดของท่านนายกรัฐมนตรี ผมขออนุญาตเสนออีก 2 ภาพเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ
       
       ภาพแรกเป็นภาพโซลาร์เซลล์บนอาคารทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา อาคารบริหารในประเทศญี่ปุ่น และอาคารรัฐสภาของประเทศออสเตรเลีย บางที่ก็ตั้งใจโชว์อย่างชัดเจน บางที่ก็หลบๆ ไม่ให้เสียทิวทัศน์


        ภาพที่สอง เพื่อให้เห็นความเอาจริงเอาจังและให้ทันกับสถานการณ์โลกร้อน ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลีย จากกราฟพบว่าในช่วงเวลา 60 เดือนจากปี 2010 ถึง 2015 ชาวออสเตรเลียซึ่งมีประชากรเพียง 24 ล้านคนได้ติดโซลาร์เซลล์ไปแล้ว 4,728 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นถึง 1038%
       
       ถ้าคิดเฉพาะ 10 เดือนสุดท้ายของปี 2015 พบว่า ทุกๆ 2 นาทีชาวออสเตรเลียติดตั้งเพิ่มขึ้น 3.1 กิโลวัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นโมเมนตัมของการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญและเป็นแบบอย่างให้กับภาคประชาชนในหลายประเทศ


        2. การลงทุน การใช้พื้นที่และผลตอบแทน
       
       โดยปกติหากติดตั้งเพียง 3 กิโลวัตต์จะใช้พื้นที่ประมาณ 21 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 แสนบาท จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 1,450 หน่วย ดังนั้น หากติดตั้งขนาด 3 กิโลวัตต์จะได้ไฟฟ้าเดือนละ 362 หน่วย หากเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรจะมีระยะเวลาคืนทุน 7.6 ปี (ดังแผ่นภาพ) โดยมีระยะการใช้งานนานถึง 25 ปี นั่นแสดงว่าที่เหลืออีกประมาณ 17 ปีจะได้ใช้ไฟฟ้าฟรี คุ้มไหมครับ นอกจากนี้ราคาแผงจะลดลงอีกปีละประมาณ 10%


        เท่าที่ผมทราบ ขณะนี้ส่วนราชการของไทยได้ค้างจ่ายค่าไฟฟ้ารวมกันทั่วประเทศคิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่ายทหารและโรงพยาบาล จะตัดไฟฟ้าก็ไม่ได้ ดังนั้น หากมีการติดโซลาร์เซลล์เกิดขึ้นก็สามารถลดภาระลงได้
       
       3. ปัญหาสายส่ง ตัวอย่างจากเยอรมนีและสหรัฐเมริกา
       
       ตามที่ท่านนายกฯ กล่าวว่า “ระบบส่งเรายังมีปัญหาอยู่เข้าระบบสายส่งปัญหาเยอะแยะ กฎหมายก็มีปัญหาอยู่ ระบบสายส่งก็ยังไม่ได้ครบมันใช้เงินมากสูงมาก” ผมขออธิบายอย่างง่ายๆ ดังนี้ครับ
       
       การไหลของไฟฟ้าก็เหมือนกับการไหลของน้ำ คือไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำกว่า ไฟฟ้าก็ไหลจากศักดาสูงไปสู่ศักดาต่ำ ไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์จะมีศักดาประมาณ 240 โวลต์ แต่ไฟฟ้าจากสายที่เข้าสู่บ้านเราจะมีศักดา 220 โวล์ตเท่านั้น ดังนั้น ไฟฟ้าที่ผลิตเองได้หากมีมากกว่าที่ใช้ ส่วนที่เหลือก็จะไหลเข้าสู่สายส่งไปตามธรรมชาติ
       
       ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากหลังคาบ้านว่าไปแล้วก็เปรียบเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ในลำธารใหญ่เท่านั้น นอกจากจะไม่ทำให้ระบบใหญ่ไม่มั่นคงแล้ว ยังช่วยระบบใหญ่มีความเสถียร ช่วยลดปัญหากระแสไฟฟ้าตก ลดการสูญเสียในสายได้ด้วย แต่ไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่จะทำให้สายส่งเต็มได้จริง แต่ทางราชการก็มีการอนุญาตให้มีได้ และจ่ายเขาในราคาแพงมาก!
       
       ประเทศเยอรมนีได้ออกเป็นกฎหมายว่า “ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ ให้สามารถป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าสายส่งได้ก่อน” ผู้ผลิตจากพลังงานฟอสซิลส่งได้ภายหลัง ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ผลิตจากโซลาร์เซลล์ในปี 2558 ได้ถึง 38,500 ล้านหน่วย มากกว่า 90% ของที่ใช้ในภาคครัวเรือนคนไทยรวมกันทั้งหมด
       
       ผู้บริหารระดับสูงของการไฟฟ้าฯ ท่านหนึ่งได้ชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการพลังงานทดแทนของสภาปฏิรูปแห่งชาติว่า หากบริเวณใดมีการติดโซลาร์เซลล์แล้วไม่เกิน 20% ความสามารถของหม้อแปลงไฟฟ้าก็จะไม่มีปัญหา กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ ถ้ามีการติดโซลาร์เซลล์ไม่เกิน 20% ของจำนวนบ้านก็ไม่น่าจะมีปัญหา
       
       ทำไมหน่วยราชการไทยจึงชอบยกสิ่งที่ไม่มีปัญหามาเป็นปัญหา
       
       ข้อมูลเมื่อปี 2558 ของรัฐออสเตรเลียใต้ พบว่า โดยเฉลี่ยทุกๆ 5 หลังจะติดโซลาร์เซลล์หนึ่งหลังก็ไม่มีปัญหา
       
       ในสหรัฐอเมริกามีอย่างน้อย 43 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ ได้มีกฎหมายว่าด้วย Net Metering แล้ว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเสริมว่า ในปี 2015 ประชากรที่อาศัยอยู่ใน 6 เมืองที่ใหญ่ที่สุด (หรือประมาณ 30 ล้านคน) สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากสายส่ง (grid parity) แล้ว และในปี 2017 จะเพิ่มเป็น 71 ล้านคน (http://cleantechnica.com/2015/05/22/solar-parity-coming-faster-expected/)
       
       4. การผลิตไฟฟ้ากับความเหลื่อมล้ำ
       
       ท่านนายกฯ พูดอยู่บ่อยๆว่า รัฐบาลจะลดความเหลื่อมล้ำ เราลองมาพิจารณาการผลิตไฟฟ้าของประเทศดูบ้าง
       
       ในปี 2557 คนไทยจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าคิดเป็นมูลค่าถึง 6.62 แสนล้านบาท ทั้งหมดของเงินจำนวนนี้จะไหลทางเดียว คือออกจากกระเป๋าของผู้บริโภคไปสู่กระเป๋าของผู้ผลิตซึ่งเป็นระบบผูกขาดและมีไม่กี่ราย ปีแล้วปีเล่าเป็นเช่นนี้เสมอมา ความเหลื่อมล้ำจึงเพิ่มขึ้นๆ
       
       เราลองมาพิจารณาถึงระบบการผลิตไฟฟ้าในยุคใหม่ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วทั่วโลกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นั่นคือ กระแสไฟฟ้าสามารถเดินได้สองทาง จากผู้ผลิตรายใหญ่เข้าสู่บ้านผู้บริโภค และจากหลังคาบ้านผู้บริโภคเข้าสู่สายส่ง เงินจึงสามารถเดินได้สองทาง แทนที่จะเป็นทางเดียวอย่างเมื่อก่อน หากสามารถเป็นเช่นนี้ตลอดไปและในปริมาณที่มากขึ้น ความเหลื่อมล้ำก็จะค่อยๆ ลดลงตามความตั้งใจของนายกฯ
       
       ในกรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกะวัตต์ แต่ละวันเราต้องนำเข้าถ่านหิน 1 หมื่นตัน หากราคาตันละ $55 ในช่วง 30 ปี เงินจากประเทศไทยจะไหลออกไปรวม 2.1 แสนล้านบาท นี่แค่โรงเดียวนะครับ แต่เรามีแผนจะสร้างถึง 10 โรง แล้วเงินจะออกนอกประเทศถึง 2.2 ล้านล้านบาท เยอะนะ
       
       แต่ถ้าเราใช้พลังงานหมุนเวียนไม่ว่าจะเป็นเหลือจากปาล์มน้ำมันหรือแสงแดดซึ่งเรามีมากกว่าประเทศเยอรมนี เงินก็จะไม่ไหลออกนอกประเทศ ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลงได้ครับ
       
       นี่ยังไม่นับถึงผลกระทบของโรงไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลต่อปัญหาโลกร้อนซึ่งท่านนายกฯ ก็ได้ไปสัญญาไว้กับประชาคมโลกที่กรุงปารีสเมื่อปลายปีที่แล้ว
       
       ปัญหามันซับซ้อนนะครับท่าน เอาแค่ท่านสั่งการให้ข้าราชการทำตามได้ก็คงเหนื่อยแล้ว ยิ่งท่านบอกว่า “เริ่มปีนี้เลย” ท่านต้องเหนื่อยมากขึ้นหลายเท่า แต่ผมเชื่อว่าท่านสามารถทำได้อย่างแน่นอน ถ้าท่านมีความตั้งใจจริง


โดย ประสาท มีแต้ม       28 กุมภาพันธ์ 2559
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000021215

4
อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ออกมาตอบโต้พวกกล่าวหาว่าสร้างวัดร่องขุ่น เป็นพุทธพาณิชย์ ด้วยถ้อยคำที่ดุเดือด ตามสไตล์ ระบุทุ่มเทกำลังทรัพย์สร้างวัดร่องขุ่นด้วยตัวเอง ไม่รับเงินใคร แต่มีคนไทยสิ้นคิดบางคนมาด่าหาว่าสร้างวัดร่องขุ่นเป็นพุทธพาณิชย์ใช้เงินซื้อวัด

        วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย เป็นวัดบ้านเกิดของ “อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” ซึ่งหลังจากที่อาจารย์ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดพบว่าวัดแห่งนี้ทรุดโทรมมาก อ.เฉลิมชัย จึงตั้งปณิธานว่าถ้าตนเองมีความพร้อมก็อยากจะสร้างอุโบสถขึ้นมาใหม่

อ.เฉลิมชัย ปรี๊ดแตก!!! ด่าพวกกล่าวหา “วัดร่องขุ่น”เป็นพุทธพาณิชย์
        หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2540 เมื่อ อ.เฉลิมชัย มีความพร้อมทั้งในด้านชีวิต ชื่อเสียง และกำลังทรัพย์ ท่านจึงได้ทำการสร้างโบสถ์วัดร่องขุ่นขึ้นมาใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยคติจักรวาลมีสระน้ำรอบล้อมโบสถ์เปรียบดังมหานทีสีทันดร มีสะพานทอดข้ามผ่านเปรียบดังการเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิสู่พระอุโบสถที่เปรียบดังดินแดนแห่งการหลุดพ้น โดยตัวโบสถ์นั้นดูโดดเด่นไปด้วยงานปูนปั้นสีขาวประดับตกแต่งด้วยกระจกแวววับ เปรียบดังพระบริสุทธิคุณและพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล ซึ่งต่อมาภายหลังได้มีคำกล่าวว่า ผู้ที่มาเที่ยววัดร่องขุ่นเปรียบดังได้มาท่องแดนสวรรค์

อ.เฉลิมชัย ปรี๊ดแตก!!! ด่าพวกกล่าวหา “วัดร่องขุ่น”เป็นพุทธพาณิชย์
        ปัจจุบันวัดร่องขุ่นโฉมใหม่ ถือเป็นสถานที่ที่มีคนกล่าวขวัญไปทั่วในความสวยงามอลังการและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีผู้คนมาเที่ยวชมกันมากมาย

อ.เฉลิมชัย ปรี๊ดแตก!!! ด่าพวกกล่าวหา “วัดร่องขุ่น”เป็นพุทธพาณิชย์
ภาพ อ.เฉลิมชัย ออกมาตอบโต้ผ่านยูทูบ
        อย่างไรก็ดีวัดร่องขุ่นได้เกิดเป็นประเด็นปรากฏในโลกออนไลน์อยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักท่องเที่ยวจีน กรณี อ.เฉลิมชัย กับไกด์นำเที่ยว ออกมาตอบโต้กัน และล่าสุดวัดร่องขุ่นเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ อ.เฉลิมชัย ออกมาตอบโต้ตามสไตล์ผ่านยูทูบถึงพวกที่ด่าว่า อ.เฉลิมชัย สร้างวัดร่องขุ่นเป็นพุทธพาณิชย์ ด้วยถ้อยคำที่ดุเดือดตามสไตล์
       
       โดย อ.เฉลิมชัย ระบุว่าได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์ ทุ่มเททุกอย่างสร้างวัดร่องขุ่นด้วยตัวเอง ไม่รับเงินบริจาคจากใคร ไม่รับเงินจากรัฐบาล แต่กลับมีคนไทยสิ้นคิดบางคนมาด่าหาว่าสร้างวัดร่องขุ่นเป็นพุทธพาณิชย์ใช้เงินซื้อวัด อีกทั้งยังบอกว่าที่วัดร่องขุ่นมีพระจำวัด ซึ่งคนที่มากล่าวหาไม่ได้ศึกษาข้อมูลในการกล่าวหาคนอื่น
       
       "...รัฐบาลเอาเงินมาให้ก็ไม่เอา ใครเอาเงินมาให้ก็ไม่เอา เศรษฐีให้เงินไม่เอา ไม่เอาไม่เคยรับเงินตั้งแต่สร้างวัด ไม่เคยรับเงินเพื่อมาซ่อมแซมวัดเมื่อแผ่นดินไหว ..."ถ้อยคำบางส่วนที่ อ.เฉลิมชัยกว่าวตอบโต้ในยูทูบ
       
       ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถรับชมและรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=oXZB1UYQJC8&feature=youtu.be


โดย MGR Online    29 กุมภาพันธ์ 2559

5
เชื่อไหมว่าในโลกใบนี้ มีหนังสือที่ซื้อขายกันในราคาพันล้านร้อยล้านบาท

ใช่แล้ว หนังสือที่เราๆ ท่านๆ ชอบอ่านนั่นล่ะ หนังสือในความหมายของคนส่วนใหญ่ อาจจะมี "คุณค่า" มากกว่า "มูลค่า" แต่หนังสือ 10 เล่มที่ "http://flavorwire.com" รวบรวมไว้ ซื้อขายกันได้ในราคาแพงสุดสุดระดับโลก และถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์สำคัญ ถ้าใครมีไว้ในครอบครองละก็ กลายเป็นมหาเศรษฐีชั่วข้ามคืนได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลย

อันดับ 1 คือ "The Codex Leicester" ผลงานของจิตรกรระดับโลก "Leonardo da Vinci" หนังสือที่มีความหนาแค่ 72 หน้าเล่มนี้ (ซึ่งมีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่าราวกับสมุดเล็กเชอร์ของดาวินชี) มีราคาซื้อขายอยู่ที่1,040 ล้านบาท หนังสือทั้งเล่มเขียนโดยลายมือของลีโอนาร์โด ดาวินชี ด้วยตัวหนังสือแบบเงาสะท้อนในกระจกเป็นภาษาอิตาลีพร้อมรูประกอบมากมาย ทฤษฎีต่างๆ ตั้งแต่เรื่องฟอสซิลไปจนถึงการเคลื่อนไหวของน้ำ เมื่อปี 1994 "บิล เกตส์" มหาเศรษฐีชื่อดังได้ประมูลไปและอนุญาตให้มีการนำ The Codex Leicester ออกไปจัดแสดงในเมืองต่างๆ ทั่วทั้งโลก อาทิ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อเมริกา นอกจากนี้เขายังสแกนหนังสือเล่มนี้เพื่อใช้เป็นภาพพักหน้าจอของคอมพิวเตอร์ในระบบ ไมโครซอฟต์พลัส และวินโดวส์ 95 อีกด้วย

อันดับ 2 คือ "The Gospels of Henry the Lion" โดย "Order of Saint Benedict" ซึ่งมีราคาราว 395 ล้านบาท ในความหนา 266 หน้า ซื้อโดยรัฐบาลเยอรมัน เป็นหนังสือเพลงกอสเปลที่เขียนขึ้นเพื่อบูชาพระแม่มารีในศตวรรษที่ 12 เขียนเป็นภาษาโรมันด้วยลายมือ



อันดับ 3 "Birds of America" โดย "James Audubon" ราคา 388 ล้านบาท ซึ่งมีเพียง 119 เล่มในโลกนี้ โดย 106 เล่ม อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด สถาบัน และองค์กรชั้นนำของโลก เช่น ห้องสมุดวิคตอเรีย ในออสเตรเลีย มหาวิทยาลัย Meisei ของญี่ปุ่น และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ที่อังกฤษ ผู้เขียนเป็นนักธรรมชาติวิทยาซึ่งมีฝีมือทางจิตรกรรมอย่างหาตัวจับยาก เขาเดินทางไปทั่วอเมริกาเพื่อสำรวจและวาดภาพนกพันธุ์ต่างๆ โดยวาดภาพนกขนาดเท่าของจริงจากป่าในสหรัฐอเมริกา จำนวน 489 ชนิด อาทิ นกอินทรีย์ทอง นกเค้าแมวหิมะ และนกฟลามิงโก นอกจากนี้ ยังมีภาพของนกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 6 ชนิด คือนกแก้วแคโรไลนา นกพิราบนักเดินทาง เป็ดลาบราดอร์ นกอ็อกใหญ่ นกอีก๋อยเอสกิโม และฮีทเฮน พร้อมบทบรรยายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับนก ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1827

อันดับ 4 "The Canterbury Tales" โดย "Geoffrey Chaucer" เขียนขึ้นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องย่อยที่รวบรวมกันเป็นหนังสือ (2 เล่มเป็นร้อยแก้ว อีก 22 เล่มเป็นร้อยกรอง) โดยเป็นตำนานที่เล่าโดยนักแสวงบุญ แต่แทนที่จะเป็นเรื่องราวของชนชั้นขุนนางตามธรรมเนียมกลับเป็นเรื่องเล่าแห่งสามัญชน เชื่อว่าเล่มนี้ป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วรรณกรรมพื้นบ้านภาษาอังกฤษสามารถปักหมุดหมายในโลกวรรณกรรมได้ เพราะในยุคนั้นวรรณกรรมชั้นยอดมักเป็นภาษาฝรั่งเศสและภาษาละติน ราคาเล่มนี้คือ 253 ล้านบาท

อันดับ 5 "First Folio" โดย "William Shakespeare" เชื่อว่าผลงานของนักเขียนระดับโลกเล่มนี้เหลืออยู่เพียง 228 เล่มในโลกเท่านั้น ทำให้กลายเป็นหนังสือที่นักสะสมตามหามากที่สุดเล่มหนึ่งของโลก และในปี 2001 "พอล แอลเลน" ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ ก็ประมูลไปด้วยราคา 203 ล้านบาท

อันดับ 6 "The Gutenberg Bible" ไบเบิลนี้มีราคาถึง 165 ล้านบาท เพราะเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์เป็นเล่มแรก และเมื่อการผลิตทำได้ง่ายกว่าเดิมจึงกลายสัญลักษณ์ของยุคกระจายความรู้ผ่านหนังสือ

อันดับ 7 "Traite des arbres fruitiers" หรือ "Treatise on Fruit Trees" โดย "Henri Louis Duhamel du Monceau" และภาพประกอบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อดัง 2 คน คือ "Pierre Antoine Poiteau" และ "Pierre Jean Francois Turpin" ถือเป็นหนังสือเกี่ยวกับผลไม้ที่แพงที่สุดในโลกคือราคา 152 ล้านบาทโดยใน 1 ชุดจะมีหนังสือ 5 เล่ม

อันดับ 8 "Geographia Cosmographia" โดย "Claudius Ptolemy" นักปราชญ์ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักภูมิศาสตร์คนสำคัญของโลก หนังสือแผนที่เล่มแรกของโลก ราคา 135 ล้านบาท ว่าด้วยความรู้ด้านภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่ 2

อันดับ 9 "The Tales of Beedle the Bard"โดย "J.K. Rowling" นักเขียนชื่อดังแห่งโลกปัจจุบัน ซึ่งเขียนขึ้นก่อน "แฮร์รี พอตเตอร์" โดยมีเพียง 7 เล่มบนโลก อยู่ในมือของเพื่อนๆ และบรรณาธิการของเธอ แต่ในปี 2007 มีการประมูลออนไลน์ 1 เล่ม จนกลายเป็นหนังสือเขียนด้วยมือสมัยใหม่ที่แพงที่สุดในโลก และรายได้จากการประมูล 134 ล้านบาท นำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศล

และสุดท้ายอันดับ 10 คือ "The First Book of Urizen" โดย "William Blake" ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1794 เป็นผลงานชิ้นเอก (บ้างเชื่อว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุด) ในชุดหนังสือคำทำนายของเบลค ซึ่ง 1 ใน 8 เล่มที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ถูกนักสะสมประมูลจากสำนักประมูลซอธบีย์ ที่นิวยอร์กเมื่อปี 1999 ในราคาสูงถึง 75 ล้านบาท

"แต่ที่สุดแล้วนี่ก็แค่ "มูลค่า" ที่ไม่มีทางเทียบ "คุณค่า" ได้แน่นอน"



ที่มา:มติชนรายวัน 15 ก.ค.2558

6
คอหนังสงครามที่อายุ "40 อัป" คงจะเคยได้ชม หรืออย่างน้อยก็เคยได้ยินเกี่ยวกับภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สำหรับกลุ่มที่อายุต่ำกว่าอาจจะยังไม่เคย และ วันนี้อาจจะต้องคิด ภาพยนตร์ฮอลลีวูดทั้งสองเรื่องได้กลายเป็นหนังสงครามยอดเยี่ยม ในใจของผู้ชมที่ร่วมยุคสมัย จากผลการโหวตที่จัดโดยเว็บไซต์นิตยสารมิลิแทรีไทม์ส (Military Times) ซึ่งเป็นสื่อยอดนิยมของคอข่าวกลาโหม และ ข่าวสารในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
       
       ภาพยนตร์ Full Metal Jacket ของ สแตนลีย์ คูบริค (Stanley Kubrick) ผู้กำกับชาวอังกฤษที่ล่วงลับไปแล้ว สามารถคว่ำภาพยนตร์สงครามชั้นเยี่ยมอีก 15 เรื่อง ด้วยคะแนนแบบทิ้งห่าง ในการโหวตออนไลน์ ในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา และมีการประกาศผลสัปดาห์นี้ รวมทั้ง Patton, The Longest Day (วันเผด็จศึก) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระดับมหากาพย์ รวมทั้ง Saving Private Ryan ที่กวาดรางวัลออสการ์ไปหลายรางวัลเมื่อสัก 20 ปี ก่อนโน้น และ Battle of Britain (สงครามอินทรีเหล็ก) ที่ได้ชื่อเป็นภาพยนตร์ สงครามเวหาดีที่สุดอีกด้วย
       
       เว็บไซต์แห่งนี้กล่าวว่า มีผู้ร่วมโหวตออนไลน์ทั้งหมดประมาณ 275,000 ครั้ง เพื่อตัดสินกันว่า ภาพยนตร์สงครามเรื่องใดยอดเยี่ยมที่สุด นับตั้งแต่เคยสร้างกันมา นับย้อนหลังไปตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง All Quiet on the Western Front ที่สร้างในคริสต์ทศวรรษที่ 1930 จนถึงภาพยนตร์ใหม่ล่าสุด ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ปีนี้ คือ American Sniper (อเมริกันสไนเปอร์) กับ Fury (ฟีวรี)
       
       เมื่อออกฉายในปี 2530 เคยมีการตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า "เกิดมาฆ่า" แต่เนื้อหากลับเป็นภาพยนตร์แนวต่อต้านสงครามกลายๆ โดยปูพื้นจากการฝึกทหารเกณฑ์ เพื่อให้เป็นนาวิกโยธิน ก่อนส่งไปรบในเวียดนาม การฝึกแบบโหดทำให้ทหารใหม่คนหนึ่ง เกิดความเครียดจัด ตัดสินใจใช้ไรเฟิลกระสุนตะกั่วหุ้มทองแดง หรือ Full Metal Jacket ที่กลายมาเป็นชื่อของภาพยนตร์ ยิงครูฝึกเสียชีวิต ก่อนอมปากกระบอกปืน เหนี่ยวไกสังหารตัวเองตามไปด้วย
       .
       


       .
       อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ในเวียดนาม ท่ามกลางกระสุนและระเบิด นาวิกโยธินที่ผ่านการฝึกรุ่นเดียวกัน ต่างรู้สึกและสำนึกในบุญคุณของจ่าสิบเอกฮาร์ตแมน (Gunner Sergeant Hartman) ที่ฝึกพวกเขามาอย่างหนัก ..
       
       ภาพยนตร์ Full Metal Jacket นำแสดงโดยดาราสำคัญไม่กี่คน รวมทั้งแมทธิว โมดีน (Matthew Modine) และ อะดัม บอลด์วิน (Adam Baldwin) ซึ่งในช่วงปีโน้นยังไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากมายเช่นในขณะนี้ แต่ก็ได้เรทติ้งถึง 8.3 จากการโหวตโดยผู้ชม ผ่านเว็บไซต์ imdb.com ส่วนภาพยนตร์เรื่องนี้จะดีเด่น สมกับคะแนนโหวตหรือไม่อย่างไร ต้องดูด้วยตัวเอง
       
       ภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้สแตนลีย์ คูบริค ได้คะแนนโหวตมากกว่า Hamburger Hill หนังสงครามเวียดนามร่วมสมัยอีกเรื่องหนึ่งถึง 68% และ ยังได้คะแนนโหวต มากกว่า "พลาทูน" (Platoon) หนังสงครามเวียดนามดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง โดยผู้กำกับมือวางอันดับ 1 โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone)
       
       และในการโหวตรอบสุดท้าย Full Metal Jacket ยังคว่ำ ทอม แฮ้งค์ (Tom Hank) กับ ทีมของเขาใน Saving Private Ryan ได้อีก จนกระทั่งมาเจอคู่เปรียบสุดท้าย และ สามารถคว่ำ "แพ็ตตันนายพลกระดูกเหล็ก" ลงได้
       
       ภาพยนตร์ที่ถูกนำมาให้พิจารณาโหวต ยังมีจำนวนหนึ่งที่ผู้อ่าน-ผู้ชม เสนอเข้าไปทางอีเมล์อีกด้วย รวมทั้ง Dr Strangelove ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของสแตนลีย์ คูบริค ที่ตกอันดับไปตั้งแต่รอบแรก
       
       สำหรับ "วันเผด็จศึก" เป็นเรื่องราวในช่วงท้ายๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบก ที่หาดนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไล่ล่ากองทัพนาซีของอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แต่แล้วก็ต้องพ่าย "นายพลกระดูกเหล็ก" ในรอบสุดท้าย เช่นเดียวกันกับภาพยนตร์ยอดนิยมตลอดกาลอีก 2 เรื่อง คือ Midway ที่มีจอห์น เวย์น นำแสดง กับ Deer Hunters ที่โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Nero) แสดงนำ
       
       เป็นที่เห็นได้ชัดว่า ผู้อ่านจากกองทัพเรือจำนวนมาก ได้ทุ่มคะแนนโหวตให้แก่ภาพยนตร์ Top Gun แบบสุดๆ จนกระทั่งเฉือน "หนังใหญ่" อย่าง Apocalypse Now ภาพยนตร์สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) และ นำแสดงโดย มาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) แต่สุดยอดภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง พ่ายคะแนนโหวตของ Patton ในรอบสุดท้าย
       
       หลายคนชมภาพยนตร์ Patton แล้ว รู้สึกเห็นใจนายพลกระดูกเหล็กยอดนักรบ ที่มีผลงานยอดเยียมและโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งจากสงครามในยุโรป แต่ตกอับในยามสงบ ทั้งๆ ที่ควรจะได้เป็น General of the Army "นายพลห้าดาว" คนหนึ่งของกองทัพสหรัฐ อย่างสมน้ำสมเนื้อ
       
       หากยังไม่ได้ชม Full Metal Jacket และ Patton ช่วงวันหยุดยาวนี้อาจจะเหมาะที่สุด ถึงจะเคยดูมาแล้ว ก็ยังดูได้อีก.


ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 เมษายน 2558

7
“ไอชา ดานนูปาวา” แม่บ้านลูกสามชาวไนจีเรีย ยื่นฟ้องขอหย่ากับ “สามีใหม่” ของเธอที่เพิ่งแต่งงานอยู่กินกันได้เพียงแค่ 1 สัปดาห์ โดยเธอให้เหตุผลว่าสามีใหม่มีขนาดของ “องคชาต” ที่ใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าที่เธอจะรับไหว
       
       รายงานข่าวสุดพิลึกนี้เกิดขึ้นที่รัฐซัมฟารา ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย หลังจากที่นางไอชา ดานนูปาวาแม่บ้านลูกสามซึ่งเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งตัดสินใจยื่นเรื่องต่อศาลอิสลามในพื้นที่เพื่อขอหย่าขาดจากอาลี ไมซินารี สามีคนใหม่ที่เพิ่งแต่งงานกันได้แค่สัปดาห์เดียว โดยดานนูปาวาให้เหตุผลว่า สามีใหม่ถอดด้ามของเธอมีขนาดของอวัยวะเพศที่ใหญ่มหึมาเกินไปซึ่งทำให้เธอต้อง “ทนทุกข์” ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยมากกว่าที่จะทำให้เธอพบกับ “ความสุขสม”
       
       ตามธรรมเนียมท้องถิ่นในแถบชนบทของไนจีเรียนั้น ตัวเจ้าสาวจะได้รับเชิญให้เข้ามาอาศัยในบ้านของ “พ่อสามี-แม่สามี” ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับสามีแบบเต็มตัว และที่บ้านหลังนี้เองที่ดานนูปาวาและสามีใหม่ของเธอได้มีเพศสัมพันธ์กันเป็นครั้งแรก
       
       “เราร่วมรักกัน แต่ประสบการณ์ที่ดิฉันได้รับมันคือฝันร้ายอย่างแท้จริง แทนที่ดิฉันจะได้สุขสม แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่นแทน และนั่นก็เป็นเพราะอวัยวะส่วนนั้นของเขาที่มันใหญ่มหึมาเกินไป” ไอชา ดานนูปาวาเผยต่อศาล
       
       หลังการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แม่ของฝ่ายหญิงซึ่งได้ทราบถึงความเจ็บปวดของลูกสาวได้จัดหายาสูตรพิเศษให้กับเธอเพื่อหวังจะช่วยให้ชีวิตสมรสของลูกสาวเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ดี ยาสูตรพิเศษดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้ผลและไม่อาจช่วยให้ดานนูปาวามีความสุขสมได้ ในระหว่างที่เธอและสามีใหม่ร่วมเพศกันเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็น “ครั้งสุดท้าย”
       
       “ดิฉันคิดได้ว่า คงไม่มียาสูตรใดช่วยเราได้ และการแยกทางถือเป็นเพียงทางเลือกเดียวที่จะช่วยให้ดิฉันไม่ต้องเผชิญกับอวัยวะที่ใหญ่โตโอฬารของเขาอีก” ดานนูปาวากล่าว
       
       ด้านอาลี ไมซินารี ซึ่งไม่ได้ออกมาปฏิเสธใดๆ ต่อเรื่องความใหญ่โตขององคชาตของเขา ได้ออกมาระบุว่า เขายินดีหย่าขาดจากดานนูปาวา หากเขาได้ “สินสอด” คืน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่ต้องเสียไประหว่างขั้นตอนการหย่า
       
       ก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาของ ดร.ริชาร์ด ลีนน์ แห่ง “มหาวิทยาลัยอัลสเตอร์” ในไอร์แลนด์เหนือ ที่พบข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า องคชาตของผู้ชายชาวแอฟริกันถือเป็นองคชาตที่มีขนาด “ใหญ่-ยาวที่สุดในโลก” ขณะที่ผู้ชายทางตะวันออกและตอนเหนือของทวีปเอเชียถือเป็นผู้ที่มีขนาดองคชาต “เล็ก-สั้นที่สุดในโลก”
       
       ทั้งนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า ผู้ชายจากทวีปแอฟริกาโดยทั่วไปมักมีองคชาตที่ยาวโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 17.2-18 เซนติเมตร ซึ่งถือว่ายาวกว่าองคชาตของชาวอเมริกันและอังกฤษที่มีค่าความยาวเฉลี่ยราว 12.9-13.9 เซนติเมตร
       
       ขณะที่ผู้ชายไทยมีความยาวเฉลี่ยขององคชาตอยู่ที่ 10 เซนติเมตร เท่ากับผู้ชายอินเดีย ส่วนผู้ชายจากเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ ครองสถิติชนชาติที่มีองคชาต “สั้นที่สุดในโลก” ด้วยค่าเฉลี่ยเพียง 9.6 เซนติเมตรเท่านั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 มีนาคม 2558

8
ใครว่าผู้ชายจับจ่ายไม่เก่ง ต้องขอบอก...ว่าคุณกำลังคิดผิด! และพลาดโอกาสโกยเงินจากกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้ชายยุค Spornosexual ที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมใช้จ่ายเงินทุกรูปแบบเพื่อให้ตนเองดูดี มีซิกแพค และ 'กล้ามโต' หวังดึงดูดเพศตรงข้าม แต่กว่าหุ่นจะฟิตเฟิร์มพร้อมโชว์ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้านที่ล้วนแลกด้วยรายจ่ายที่ค่อนข้างสูง ล่าสุดจึงกลายเป็นเทรนด์ตลาดที่นักการตลาดต้องรู้
       
       กลายเป็นกระแสในยุคนี้ที่ผู้ชายมักถอดเสื้อโชว์กล้ามให้สาวๆ ได้กรี๊ด (หรือจะเพศเดียวกันก็ไม่ว่ากัน) ทำให้เกิดศัพท์ใหม่วงการตลาดที่เรียกว่า Spornosexual เกิดจากการผสานคำว่า Sport+Porn+Metrosexual ถอดความให้เข้าใจง่ายคือ ผู้ชายที่ชอบออกกำลังกาย เล่นกีฬา โชว์เรือนร่าง ดึงดูดทางเพศ และใช้หุ่นฟิต เฟิร์มแทนเครื่องประดับ
       
       แต่หัวใจหลักของกลุ่ม Spornosexual ที่นักการตลาดต้องรู้ คือ ผู้ชายกลุ่มนี้จะลงทุนสูงเพื่อการดูแลตัวเอง แถมยังกล้าใช้จ่ายกับสิ่งที่พอใจ หากใครทำธุรกิจ และจับลูกค้ากลุ่มนี้ได้อยู่หมัด รับรองว่าคุณจะได้ลูกค้าในระยะยาวอย่างแน่นอน

“ผู้ชายกล้ามโต” เทรนด์ตลาดอนาคตไกล...กินเวย์เล่นเวทธุรกิจหนทางรวย!
นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดสัมมนาในหัวข้อ "รู้ รับ ปรับ รุก ไลฟ์สไตล์ชายกล้ามโต"
        เห็นอย่างนี้แล้วนักการตลาดจะมองข้ามกันอีกหรือไม่?
       
       @@@วิจัย 'จับจริต' หนุ่มกล้ามโต@@@
       
       ล่าสุดหลายคนที่ 'จับจริต' ลูกค้ากล้ามโตถูกจุด ต่างโกยรายได้เข้ากระเป๋าช่วงชิงธุรกิจที่คู่แข่งยังมองไม่เห็นช่องว่างทางการตลาด อย่าง เสื้อกล้ามเพื่อคนมีกล้าม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกล้าม และยังมีอีกหลายธุรกิจที่น่าสนใจ อย่าง อาหารในชีวิตประจำช่วยเสริมสร้างกล้าม เป็นต้น
       
       นอกจากเทรนด์ Spornosexual ที่นักการตลาดต้องใส่ใจแล้ว นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังให้ความสำคัญเลือกเป็นหัวข้องานวิจัย ในหัวข้อ “Spornosexual รู้ รับ ปรับ รุก ไลฟ์สไตล์ชายกล้ามโต ที่นักการตลาดต้องรู้” ซึ่งผลการวิจัยมีรายละเอียดน่าสนใจ สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลให้นักการตลาดได้นำไปขบคิดต่อ เริ่มจาก 1.กลุ่ม Spornosexual เป็นนักลงทุนเวลา เงิน เพื่อสร้างกล้ามตัวเองให้ดูดี และไม่ได้เป็นลูกค้าแค่ครั้งเดียว เพราะกว่าจะได้กล้ามโตสมใจนั้นต้องอาศัยเวลา 2.มูลค่าผลิตภัณฑ์สร้างกล้ามในปี 2013 ที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 4,800 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2558 จะแตะที่ 6,300 ล้านบาทอย่างแน่นอน

        @@@1 ใน 4 ชายกล้ามโตชอบเพศเดียวกัน!@@@
       
       เมื่อรู้มูลค่าทางการตลาดสูงเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีให้แก่นักการตลาดแล้ว เรื่องไลฟ์สไตล์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า 1 ใน 4 ของชายกล้ามโต จะสนใจเพศเดียวกัน และผู้ชายใน 1 ส่วนที่เหลือ ประมาณ 38% ชอบทั้งเพศชายและหญิง โดยแรงจูงใจที่ทำให้บรรดาหนุ่มๆ ต้องการมีกล้ามแบบแฟชั่นโมเดลนั้นพบว่ากว่า 50% ต้องการดึงดูดทางเพศ 29% ขาดความมั่นใจในตัวเอง 6% อกหัก และที่เหลืออยากเป็นเหมือนเพื่อน ซึ่งหนุ่ม Spornosexual ก็มีไอดอลกับเขาอยู่เหมือนกัน อย่าง ดีเจภูมิ, ดีเจ เพชรจ้า, เวียร์ สกลวัฒน์
       
       การที่รูปร่างจะฟิตแอนด์เฟิร์มนั้น คงเสกขึ้นมาเองไม่ได้ อาหารจึงเป็นกลไลสำคัญ โดยเฉพาะโปรตีนสกัด หรือที่เรียกกันติดปากว่า 'เวย์โปรตีน' และวิตามินต่างๆ ซึ่งหนุ่มกล้ามโตประมาณ 39% บริโภคอยู่ และยินดีที่จะจ่ายในแต่ละเดือนอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาท ซึ่งหากมีผลิตภัณฑ์มาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการดื่มหรือรับประทานได้ง่ายขึ้น รวมถึงสะดวกในการพกพา ราคาไม่สูงเกินไป และมีข้อมูลระบุรายละเอียดชัดเจน จะสามารถดึงกลุ่มคนเหล่านี้มาเป็นลูกค้าได้ถึง 61% อย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น “FITWHEY” ธุรกิจออนไลน์ ผู้นำด้านอาหารเพื่อการสร้างกล้ามและอุปกรณ์ออกกำลังกาย ของ “แดนนี่-ดนุพล ชิลลี่” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในวันนี้ เขาบอกว่า การทำธุรกิจให้ชนะใจหนุ่มกล้ามโตได้นั้น ต้องเริ่มจาก “การสร้างความอยาก” ให้เกิดขึ้น อยากมีกล้าม อยากกล้ามโต และให้ข้อมูลที่มากพอ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นพวกที่ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ

        เมื่อ 'กินเวย์แล้วก็มาเล่นเวท' หรือการออกกำลังกายควบคู่กันไป เห็นได้ชัดจากฟิตเนส (Fitness) ของ Fit Juction โดย “ฟ้าใส พึ่งอุดม” พบว่า มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยเขาบอกว่าส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาใช้บริการต้องการสร้างกล้าม รวมถึงข้อมูลที่ชัดเจนในการสร้างกล้ามได้จริง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดขายหนึ่งที่เขาสามารถตอบโจทย์ลูกค้า Spornosexual ได้โดนใจ

        ถัดมาเป็นเสื้อผ้าเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อหนุ่ม Spornosexual เพราะเมื่อมีเสื้อหุ่นเฟิร์มขึ้น เสื้อผ้าก็ต้องเน้นรูปร่างโดยปริยาย ล่าสุดเกิดขึ้นแล้วสำหรับ 'เสื้อเพื่อคนมีกล้าม' แบรนด์ Muscolo ของ “ภาณุวัฒน์ เข็มเพ็ชร” ดีไซน์ให้ใส่ได้ทั้งไปออกกำลังกายและโชว์กล้ามโตให้ได้กรี๊ด จากเนื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี ซับเหงื่อแต่แห้งไว คุณสมบัติเหล่านี้เรียกว่าถูกใจหนุ่ม Spornosexual สุดๆ โดยเขาเน้นขายผ่านช่องทางออนไลน์ แสดงความจริงใจแก่ลูกค้าหากไม่พอใจในสินค้ายินดีเปลี่ยนคืน

        เรียกได้ว่าตลาด Spornosexual ยังอนาคตไกล แถม 'ผู้เล่น' ในตลาดยังน้อย หากใครสามารถเข้าจับจองพื้นที่ในใจ เจาะลึกถึงความต้องการบริโภคสินค้าได้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าโอกาสสร้างธุรกิจรวยด้วยเทรนด์ Spornosexual คงไม่ไกลเกินเอื้อม...

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มกราคม 2558

9
 เอเอฟพี - บรรดาหมอในฝรั่งเศสพากันหยุดงานในวันนี้ (23 ธ.ค.) เพื่อประท้วงร่างกฏหมายสุขภาพฉบับใหม่ที่กำลังจะคลอดออกมา ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่าโรงพยาบาลหลายแห่งอาจจะต้องเผชิญกับช่วงคริสต์มาสที่วุ่นวายและไม่อาจดูแลคนไข้ได้อย่างทั่วถึง
       
       สหภาพแรงงาน 3 กลุ่ม ได้เรียกร้องให้แพทย์ทั่วไปหยุดงานเพื่อประท้วงร่างกฏหมายที่จะทำให้เภสัชกรสามารถฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยได้โดยตรง ซึ่งเดิมทีแทบจะมีแต่หมอที่ทำได้
       
       ร่างกฏหมายดังกล่าว ยังมุ่งสร้างระบบที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องชำระเงินคืนย้อนหลัง สำหรับการไปตรวจเยี่ยมคนไข้ของหมอ โดยจะให้ประกันสังคมจ่ายเงินส่วนนี้แทน ทำให้บรรดาหมอพากันกลัวว่า อาจจะมีการจ่ายเงินล่าช้าเกิดขึ้น
       
       อ้างอิงจากข้อมูลของ โคลด ไลเชอร์ ประธานของ เอ็มจี ฟรองซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสหภาพแรงงานที่เรียกร้องให้มีการสไตรค์ คาดว่ามีแพทย์ทั่วไปประมาณ 80 - 100 เปอร์เซ็นต์เข้าร่วมการหยุดงานประท้วงครั้งนี้
       
       นอกจากนี้ในวันพุธ (24 ธ.ค.) ยังจะมีอีกหนึ่งสหภาพแรงงานของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและแพทย์ทั่วไป ที่เรียกร้องให้สมาชิกหยุดงานประท้วงไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก สำหรับในช่วงเทศกาลวันหยุดที่มักจะมีการกินเลี้ยงสังสรรค์กันจนท้องไส้ปั่นป่วนและเป็นหวัดกันอย่างแพร่หลาย
       
       ปกติแล้วในช่วงเทศกาลแบบนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งมักจะต้องเจอกับผู้ป่วยที่แห่กันมาเข้าโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ต้องเข้ารักษาในห้องฉุกเฉินอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงที่มีคนไข้มากที่สุดนั้น เวลาเฉลี่ยสำหรับการรอเข้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลที่กรุงปารีสนั้นนานเกือบ 4 ชั่วโมง
       
       ในตอนแรก หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในปีนี้จะแย่กว่าที่เคย เพราะบรรดาแพทย์ห้องฉุกเฉินที่มักจะทำงานหนัก ก็ยังมีแผนจะหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าแรงโอทีและขอลดชั่วโมงการทำงาน แต่แผนการประท้วงก็ต้องหยุดไป หลังจากที่สามารถเจรจากับรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2557

10
วอจเซียช เซสนีย์ มือกาว “ปืนโต” อาร์เซนอล ถูกปรับเงิน 20,000 ปอนด์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) เนื่องจากสูบบุหรี่ หลังเกม พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ บุกพ่าย “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน 0-2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา
       
        กรณีความประพฤติทำนองนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือ อาร์เซนอล ไม่พอใจอย่างมาก ยิ่งทีมต้องพบกับความพ่ายแพ้ออกจากถิ่น เซนต์ แมรีส์ นอกจากนี้ เซสนีย์ ดีกรีทีมชาติโปแลนด์ ยังถูกบังคับให้ขอโทษเพื่อนๆ ทุกคน รวมถึงลุ้นด้วยว่าเกม พรีเมียร์ ลีก เปิด เอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือ สโต๊ก ซิตี วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคมนี้จะได้ออกสตาร์ทหรือไม่
       
        สำหรับเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ อาร์เซนอล เปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดียม ชนะ ฮัลล์ ซิตี 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ตำแหน่งนายด่านตัวจริงตกเป็นของ ดาวิด ออสปินา ขณะที่ตัวสำรองเป็นของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2558

11
จะว่าทะลึ่งไหม จะปฏิเสธก็ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะเนื้อหาส่วนนี้มันเกี่ยวข้องกับบางอย่างที่อยู่ใต้สะดือของท่านชายทั้งหลาย  เพราะสำหรับบางคนเรื่องขนาดกลับกลายเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ ทำให้หมดความมั่นใจไปเลยก็มี แต่ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นก็เยอะ  วันนี้ Gie เลยนำข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก



เริ่มจากภาพแรกอธิบายง่ายๆให้เข้าใจก็คือสีเขียวคือแถบประเทศที่มีอวัยวะเพศชายใหญ่ที่สุดเฉลี่ยอยู่ที่  6.3-7.1 นิ้ว เช่น ประเทศแถบแอฟริกา อเมริกากลางและใต้   ไล่มาตามสีซึ่งประเทศที่ขนาดอวัยวะเพศชายเล็กที่สุดจะเป็นแถบสีแดงเฉลี่ย  3.8-4.6 นิ้ว รวมถึงประเทศไทยด้วยนั่นเอง



ประเทศที่ได้รับการพูดถึงที่สุดเกี่ยวกับขนาดอวัยวะเพศที่ใหญ่เกินมนุษย์มนาก็คือประเทศคองโกที่อวัยวะเพศเฉลี่ยยาวได้ถึง 17.9 เซนติเมตร  ส่วนพี่ไทยของเรายังไม่ใช่อันดับสุดท้ายเพราะยังมีเกาหลีใต้ที่รั้งท้ายอยู่ที่ความยาวเฉลี่ย 9.6 เซนติเมตร



อย่างไรก็ตาม Gie ยังเชื่อว่าเรื่องขนาดไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรมากมายเพราะเรื่องแบบนี้เรากำหนดไม่ได้อยู่แล้ว  แต่สิ่งที่เราทำได้เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไปคือลีลาและทักษะบนเตียงเหมือนที่แพทย์ในด้านนี้แนะนำมา

สุดท้ายเชื่อเถอะครับว่าประเทศที่มีอวัยวะเพศใหญ่เกินไปมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวและมีเพศสัมพันธ์ได้ลำบากกว่าเรา  ดังนั้นภูมิใจเถอะครับที่เรามีขนาดที่พอเหมาะพอควร พกพาไปไหนก็สะดวก


By Gee Gee |  MAN โซนผู้ชาย |  26 ธันวาคม 2014
http://www.gieday.com/2014/12/26/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/

12
 ‘กายพร้อม ใจพร้อม มีชัยไปกว่าครึ่ง’
       ดูจะเป็นวลีที่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง และชัดเจนขึ้นเมื่อนำมาเกี่ยวโยงกับเรื่องเซ็กซ์ วันใดมีครบทั้งสองประการจะเหมือนพรจากสวรรค์ ความสามารถบนเตียงค่อนข้างหวือหวาครบเครื่องจนเราภูมิใจตัวเอง แถมยังปลื้มมากขึ้นหากเห็นฝ่ายหญิงมีรอยยิ้มเพราะสุขสมไปพร้อมๆ กัน ในทางตรงกันข้าม บางครั้งอาจพบว่าวันนี้ใจเราพร้อมรับมือกับสาวๆ แต่ครั้นถึงเวลามีเซ็กซ์ อาวุธประจำกายกลับแข็งไม่เต็มที่ หรือไม่อึดอย่างควรเป็น
       อาการไม่สู้ดังกล่าวคงจะไม่เป็นที่ประจักษ์ จนกว่าจะถึงขั้นตอนปฏิบัติจริง เพราะภายใต้ร่างกายที่ดูกำยำอาจกำลังถดถอยด้วยปัจจัยแวดล้อมซึ่งเรารับเข้ามาทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว อาทิ มลภาวะรอบตัว ความเครียด หรือนิสัยนอนดึก โดยเฉพาะหนุ่มนักปาร์ตี้ประเภทร้านไม่ปิดไม่ยอมวางแก้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกาย เป็นภัยเงียบที่ต้องเอาใจใส่ อย่าละเลย เพราะอาจจะสายเกินไป
       มีหลากวิธีช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพที่สูญเสียจากการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วง หนึ่งในนั้นคือต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งนอกจากจะสร้างสมดุลสุขภาพโดยรวมแล้ว บางชนิดยังแสดงผลชัดเจนในเรื่องเซ็กซ์ จนรู้สึกได้ถึงความฟิต อวัยวะเพศแข็งเต็มที่ตลอดช่วงการใช้งาน นำพาคุณไปถึงฝั่งฝันจนสาวๆ ยิ้มแก้มปริในความคึกคักที่คุณมอบให้เธอ ส่วนจะมีอะไรนั้นลองมาดูกัน
       
       วิตามินซี
       ดูจะหาทานง่ายที่สุดสำหรับผู้รักสุขภาพ เพราะพบในผักผลไม้แทบทุกชนิด คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าวิตามินซีจะอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาวหรือผลกีวีเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงกลับมีอยู่มากในบร็อกโคลี่ มะละกอสุก ฝรั่ง แม้กระทั่งพริกเขียวและพริกแดงที่เรานำมาประกอบอาหาร ก็มีวิตามินชนิดนี้ในปริมาณค่อนข้างสูงเช่นกัน ผลลัพธ์คือช่วยขยายหลอดเลือดพร้อมสูบฉีดไปยังอวัยวะเพศ ซึ่งเส้นเลือดและปลายประสาทมากมายอยู่รวมกัน ก่อเกิดเป็นแท่งเนื้ออันทรงพลัง ไม่เพียงเท่านั้นยังดูแลสเปิร์มตัวน้อยให้แข็งแรง พร้อมทะยานสู่เป้าหมาย และเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรรับประทานผักผลไม้สดที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งเป็นประจำ
       
       โครเมียม (Chromium)
       ชื่อนี้อาจคุ้นหูในวงการอุตสาหกรรม แต่กับร่างกายมันคือธาตุตัวหนึ่งที่คุณผู้ชายขาดไม่ได้ หากมีน้อยจนเกินไปจะส่งผลต่อจำนวนสเปิร์ม ผลร้ายมหันต์ตามมาเป็นเงาตามตัวคือความต้องการทางเพศลดลง ถ้าไม่อยากให้สาวๆ เสียอารมณ์เมื่อเธอกวักมือชวนคุณเล่นจ้ำจี้ คงต้องป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยการมองหาอาหารที่ทำมาจากเมล็ดธัญพืชไม่แปรรูป และอาหารเช้าประเภทซีเรียล ซึ่งอย่างหลังมีข้อดีคือคุณสามารถทานไปพร้อมกับนมสด ช่วยบำรุงร่างกายอีกทาง
       
       สังกะสี (Zinc)
       เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการสร้างสเปิร์ม เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย มีผลวิจัยว่าหากขาดแร่ธาตุชนิดนี้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะเสี่ยงเป็นหมันได้ เนื่องจากต่อมลูกหมากไม่สามารถผลิตน้ำอสุจิตามจำนวนที่เหมาะสมกับการใช้งาน บางรายอาจถึงขั้นกามตายด้านกันเลยทีเดียว สำหรับเมนูอาหารครองตำแหน่งเจ้าแห่งธาตุสังกะสีคือหอยนางรมสด นอกจากนี้ยังมีอยู่ในเนื้อลูกแกะ เนื้อวัวไม่ติดมัน ตับลูกวัว มัสตาร์ดแบบแห้ง ไข่ จมูกข้าวสาลี กระทั่งเม็ดกวยจี๊ก็ยังมี
       
       อาร์จินีน (Arginine)
       ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหู แต่กลับพบได้ในอาหารที่คุณคุ้นเคยอย่างเนื้อแดงของสัตว์ เนื้อจากสัตว์ปีก อาหารทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า กุ้ง ปู พืชตระกูลถั่ว และผักโขม เป็นต้น แม้อาร์จินีนจะมีลักษณะเป็นกรดอะมิโน ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองก็ตาม แต่การบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของสารชนิดนี้ในปริมาณพอเหมาะราว 2-6 มื้อต่อสัปดาห์จะช่วยให้เห็นผลชัดเจนขึ้น อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มขนาด นอกจากนี้ยังกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ช่วยชะลอความแก่อีกด้วย
       
       นอกจากอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุบำรุงเซ็กซ์ที่ต้องรับประทานกันเป็นประจำแล้ว ก่อนทำกิจกรรมสักครึ่งชั่วโมงลองใช้ไม้เด็ดกระตุ้นอารมณ์รักของคุณเองง่ายๆ เพียงรับประทานช็อกโกแลต ไม่ว่าจะเป็นแบบชงร้อนหรือแบบแท่ง เพราะในช็อกโกแลตมีสารช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย จึงเป็นการง่ายที่น้องชายของคุณจะถูกปลุกขึ้นมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดค่ำคืนอันยาวนาน


Marsmag    23 พฤศจิกายน 2557

13
 ได้ยินวลี ‘เคมีตรงกัน’ มานาน เกิดคำถามคิดไม่ตก ‘เคมี’ ที่ว่าหมายถึงอะไร แล้วมันไปแอบแฝงอยู่ส่วนไหนของความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว สืบไปค้นมาพบความจริงต้องบอกต่อ เมื่อสิ่งเชื่อมโยงความต้องการสองฝ่ายเข้าด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่อุปมาอุปไมย แต่เป็นสสารจับต้องได้จริงบนโลกนี้

        ‘เคมีแห่งการเชื้อเชิญ’
       มีในตัวมนุษย์ทุกคน ถูกสร้างเป็นรหัสจำเพาะเพื่อให้เกิดความกระหายใคร่ใกล้ชิด บอกชื่อไปหลายท่านคงถึงกับร้องอ๋อ เพราะเจ้าสิ่งนี้เรียกว่า ‘Pheromones’ นัยหนึ่งของมันคือกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์บุคคล โดยฟีโรโมนส์จะโชยออกมาอ่อนๆ จากใต้วงแขน แม้บางครั้งมากเกินไปถึงกับเหม็นจนร้องยี้ แต่กับบางสังคมมันคือกลิ่นสุดแสนเย้ายวนชวนลุ่มหลง
       
       การโชยกลิ่นบางๆ สามารถกระตุ้นความรู้สึกเพศตรงข้ามให้เหลียวมามอง อยากโผเข้ามาอยู่ในวงกอดชนิดไม่อาจต้านทานความกระสันได้ และด้วยสรรพคุณสุดแสนวิเศษนี้เอง ฟีโรโมนส์จึงถูกนำไปปรุงแต่งในส่วนผสมของน้ำหอมชั้นนำมากมาย และราคาขายก็ไม่ใช่ถูกๆ เสียด้วย แถมบางยี่ห้อยังไม่ได้สกัดมาจากฟีโรโมนส์ของแท้ ดังนั้นหากสนใจเลือกซื้อมาใช้ควรตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วน
       
       ‘เคมีแห่งการตกหลุมรัก’
       เชื่อว่าคุณหนุ่มๆ ส่วนใหญ่เมื่อพบเจอหญิงสาวที่ตนปรารถนา จะออกอาการหัวใจเต้นแรง มือไม้สั่น มีเหงื่อออก หน้าแดงจากอาการเขิน รวมถึงท้องไส้ปั่นป่วน...
       
       เหล่านี้ล้วนมาจากปฏิกิริยาของสารชื่อ ‘Monoamines’ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจังหวะการเต้นของหัวใจที่มากขึ้น ซึ่งพิจารณาแล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาการข้างต้นเป็นเรื่องดีกับบุคลิกภาพคุณผู้ชายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มันช่วยสื่อให้คุณรู้สึกตัวว่า ‘ผู้หญิงตรงหน้า’ คือเป้าหมายสำคัญต้องพิชิตใจให้ได้ โดยสารโมโนเอมีนส์ตัวนี้สามารถพบในอาหารจำพวกช็อกโกแลตและสตรอว์เบอร์รี่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสาวๆ ชอบหยิบยื่นของหวานให้แฟนทาน อาจเป็นอุบายเพื่อให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่ออยู่กับเธอก็เป็นได้

        ‘เคมีสร้างความต้องการทางเพศ’
       เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Testosterone’ พระเอกในกายชาย สามารถปลุกม้าศึกให้คึกคัก พร้อมขับเคลื่อนพลังหนุ่มสู่เป้าหมายในสนามรบ
       
       เทสโทสเตอโรนมีในทุกช่วงอายุเริ่มตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแปรสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย อาทิ ขนดกขึ้น เสียงห้าว และมีกล้ามเนื้อ โดยจะเด่นชัดในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 40 ปี และค่อยๆ ลดลง ส่วนจะตกวูบเพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยของพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การบริโภคอาหารไม่ครบหมวดหมู่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย คอเลสเตอรอลสูง หรือมีความเครียดสะสมมากเกินไป เป็นต้น ซึ่งวิธีสังเกตง่ายๆ ว่าฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเรายังมีพอใช้อยู่ก็คือ อวัยวะเพศแข็งตัวขณะตื่นตอนเช้า
       
       ‘เคมีห่วงโซ่ความผูกพัน’
       เมื่อมีแรงเย้ายวนให้ถวิลหาจากฟีโรโมนส์ แรงผลักกระทั่งตกหลุมรักผ่านโมโนเอมีนส์ และแรงขับอารมณ์ทางเพศของเทสโทสเตอโรน เคมีทั้ง 3 คงไร้ความหมายหากปราศจากการเชื่อมโยงสายใย อันเป็นเส้นทางแห่งความผูกพัน นั่นคือ ‘Oxytocin’ หรือ ‘เคมีแห่งความผูกพัน’ ช่วยสร้างพันธะระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวให้แนบแน่นมากขึ้น
       
       เคมีดังกล่าวมีบทบาทชัดเจนขณะมีเพศสัมพันธ์ และจะหลั่งมากเป็นพิเศษช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอด โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาความลับของออกซิโตซินว่าทำไมจึงช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นได้ แต่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าคู่รักยิ่งมีเพศสัมพันธ์ถี่มากเพียงไร ทั้งสองจะยิ่งสนิทแนบแน่นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

        จากคุณสมบัติของเคมีทั้ง 4 ตัว สามารถอธิบายได้ถึงที่มาที่ไปของพฤติกรรมระหว่างชายหญิงตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบบนเตียง กระนั้นยังมีเคมีอีกตัวหนึ่ง แม้ไม่สามารถจับต้องได้ แต่หากคู่ใดมีสิ่งนี้อยู่ในปริมาณล้นเหลือจะนำพาชีวิตรักไปไกลเกินกว่าจบแค่การร่วมเพศ นั่นคือ ‘เคมีแห่งความรัก’ แม้ไม่อาจตรวจพบ และพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นที่ยอมรับกันมานานว่ามีอยู่จริง และช่วยผลักดันให้มนุษยชาติดำรงเผ่าพันธุ์ได้ตราบเท่าทุกวันนี้

เรื่อง : Omechi
 Marsmag    24 ธันวาคม 2557

14
“เทียนฉาย” อนุมัติงบปฏิรูปประเทศ 260 ล้านบาท กรรมาธิการยกร่างฯ ได้ 50 ล้านบาท ขณะที่กรรมาธิการ 24 คณะ ได้อื้อ 182 ล้านบาท และอนุกรรมาธิการ 77 จังหวัด ได้เพียง 23 ล้านบาท
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ได้เห็นชอบการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานของสปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 256,184,600 บาท โดยแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน
       
       1. ค่าใช้จ่ายของกรรมาธิการวิสามัญ สปช. 24 คณะ จำนวนเงิน 182,400,000 บาท แบ่งเป็นคณะละ 7.6 ล้านบาท โดยคำนวณค่าจ่ายเฉลี่ยเท่ากันทุกคณะ ประกอบด้วย รายการค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก และค่าพาหนะ จำนวน 24,000,000 บาท แบ่งเป็นคณะละ 1 ล้านบาท ค่าอาหารเลี้ยงรับรองต่อกรรมาธิการวิสามัญ สปช. จำนวน 86,400,000 บาท แบ่งเป็นคณะละ 3.6 ล้านบาท ค่าจ่ายการส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการวิสามัญ สปช. จำนวน 24,000,000 บาท แบ่งเป็นคณะละ 1 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายการสัมมนาของคณะกรรมธิการวิสามัญ สปช. 24,000,000 บาท แบ่งเป็นคณะละ 1 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ภายในประเทศของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สปช. จำนวน 24,000,000 ล้าน แบ่งเป็นคณะละ 1 ล้านบาท
       
       2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 1 คณะ ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ได้งบประมาณทั้งสิ้น 50,684,600 ล้านบท ประกอบด้วย ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก และค่าพาหนะ จำนวน 975,000 บาท ค่าอาหารเลี้ยงรับรองกรรมาธิการและคณะอนุฯ จำนวน 23,709,600 บาท ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 10,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการสัมมนา 16,000,000 บาท
       
       3. อนุกรรมาธิการวิสามัญประจำ 77 จังหวัด รวม 23,100,000 บาท แบ่งเป็นจังหวัดละ 300,000 บาท

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2557

15
เชฟไทยสร้างชื่อคว้ารางวัลแชมป์โลก 2 เหรียญทอง 3 เหรียญเงินรวม 5 ประเภทการแข่งขัน ทั้งจาก Professional Team และ Junior Team ในรายการใหญ่ระดับโลกด้านอาหาร The Culinary World Cup 2014 จากประเทศลักเซมเบิร์ก เมื่อเร็วๆ นี้
       
       การแข่งขันในรายการ The Culinary World Cup 2014 จัดขึ้นที่ EUXEPO Exhibition and Conference Center, Luxembourg ในชื่องาน EXPOGAST 12th INTERNATIONAL TRADE SHOW FOR GASTRONOMY โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำทุก 4 ปี ในปีนี้มีผู้เข้าชมงานมากกว่า 40,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบริการอาหาร และมีผู้เข้าแข่งขันจาก 53 ประเทศ รวม 1,700 คน

เชฟไทยเจ๋ง! คว้า 2 เหรียญทองการแข่งขันอาหารโลก
ทีมเชฟไทย Professional Team ที่คว้าเหรียญทองประเภท Community Catering
        ปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่เชฟไทยเข้าสู่เวทีการแข่งขันอาหารระดับโลกในรายการนี้ โดยเชฟวิลแมน ลีออง ประธานชมรม Thailand Culinary Academy ผู้ปลุกปั้นทีมเชฟไทยและส่งเชฟ 20 คนเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เล่าว่า ตนไม่คาดคิดว่าทีมเชฟไทยจะสามารถคว้ารางวัลมาได้หลายรางวัล เพราะเป็นการแข่งขันรายการใหญ่ระดับโอลิมปิกด้านอาหารก็ว่าได้ สำหรับทีม Professional เราเน้นการใช้วัตถุดิบอาหารไทยในสัดส่วนถึง 80% และนำเสนอเมนูอาหารไทยเป็นหลัก ส่วนทีม Junior ยิ่งสร้างความเซอร์ไพรส์และภาคภูมิใจให้อย่างมากที่สามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งประเภท Hot Cooking Catergory และเหรียญเงินจากประเภท Cool Display Catergory

        สำหรับเชฟไทยที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง 2 รางวัล ได้แก่ การแข่งขันประเภท Community Catering Professional Team (5 คน) โดยเชฟทีม Professional Team ที่ประกอบด้วยเชฟเอก ชาติตระกูล (ผู้จัดการทีม), เชฟอรรถพล (ไนโตะ) ถังทอง (กัปตันทีม), เชฟพงศ์ศักดิ์ มีขุนทอง, เชฟจารึก ศรีอรุณ และเชฟรวีกานต์ ทักขิณเสถียร (Pastry Chef) และอีก 1 เหรียญทองจากการแข่งขัน Hot Cooking Category Junior Team ( 6 คน)
       
       ส่วนเหรียญเงิน 1 เหรียญ ได้แก่ การแข่งขันประเภท Cool Display Category Junior Team (6 คน) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทเป็นการแข่งขันโดยทีมเชฟเยาวชนไทย Junior Team ประกอบด้วย นายศุภกิณห์ บูชา นายกฤษฎา ผามั่ง นางสาวสุธานิต แก้วเก้า นางสาวสุชารัตน์ ปิยะโชคไพศาล นายอภิญญะ สุนพคุณศรี และเชฟจตุพร จึงมีสุข เป็นผู้จัดการทีม
       
       ส่วนเหรียญเงินอีก 2 รางวัล ได้แก่ การแข่งขันประเภทเดี่ยว Culinary Art Display Category Individual (1 คน) ได้แก่ เชฟพัทธนันท์ ธงทอง และ Pastry Display Category Individual (1คน) ได้แก่ เชฟกนก ชวลิตพงษ์

        เชฟอรรถพล (ไนโตะ) ถังทอง กัปตันทีม Professional ที่คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันประเภท Community Catering เล่าว่า “เราชูคอนเซ็ปต์ ASIAN MEETS EUROPEAN เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยเข้ากับความเป็นตะวันตก เมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย ใช้วัตถุดิบไทย ได้แก่กลุ่ม Salad Buffet : ผักสลัดเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดต้มยำ, น้ำสลัดซีอิ๊วผสมบัสสามิสโก้, น้ำสลัด มายองเนสวาซาบิ, ปลาแซลมอนอบในน้ำมันมะกอกเสิร์ฟคู่กับยำส้มโอ, ยำเนื้อแกะย่างเสิร์ฟคู่กับน้ำพริกหนุ่ม, สลัดเมี่ยงคำแบบดั้งเดิม

        นอกจากนี้ก็ยังมีส้มตำไก่ย่างเสิร์ฟมาในแป้งกรอบทาโก้ Soup : ซุปข้นฟักทองรสแกงเลียง เสิร์ฟคู่กับข้าวตังและหมูฝอย Meat Main Course : แกงมัสมั่นเนื้อแบบ 2 สไตล์ Fish Main Course : ห่อหมกสองสีเสิร์ฟคู่กับแกงเขียวหวาน Side Dishes : ข้าวอบธัญพืช 7 ชนิด, มันเทศผัดไข่ใส่โหระพา, ผัดผักน้ำมันหอยใส่เนยสด, มะเขือเทศอบในน้ำพริกอ่อง Chef Action Vegetarian Conner : เกาเหลาผัดไทยห่อในแป้งบางๆ แล้วย่างเสิร์ฟคู่กับผักสลัดและซอสมะขาม Dessert เค้กข้าวเหนียวมูลมะม่วงสุกหวาน เสิร์ฟคู่กับครีมกะทิกลิ่นตะไคร้

        โดยนำปิ่นโตมาเป็นลูกเล่น เป็นภาชนะสำหรับใส่อาหาร สร้างสีสันในการรับประทาน ทั้งยังสื่อถึงวัฒนธรรมการรับประทานอาหารกลางวันของคนไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี เมื่อบวกกับกลิ่นและรสชาติของวัตถุดิบอาหารไทย และสมุนไพรไทยที่มีความเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการตกแต่งที่สวยงาม จึงทำให้ถูกใจกรรมการและได้รับรางวัลในที่สุด ซึ่งในการแข่งขันมีเวลาในการจัดเตรียม 6 ชั่วโมง จำนวน 150 เสิร์ฟในลักษณะบุฟเฟต์ สำหรับแขกที่เข้าร่วมงานเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 20 ยูโรต่อคน มีเวลาในการรับประทาน 2 ชั่วโมง”

        ด้าน เชฟจตุพร จึงมีสุข ผู้จัดการทีมเชฟ Junior เผยว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากที่ทีมเชฟเยาวชนสามารถคว้าเหรียญทองและเหรียญเงินจากการแข่งขันครั้งนี้ เพราะถือเป็นรายการใหญ่ระดับโลก โดยก่อนไปทุกคนมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ปัจจุบันเชฟเยาวชนทุกคนยังเป็นนักศึกษาด้านการทำอาหารจากสถาบันต่างๆ แต่ได้มารวมตัวกันทุกอาทิตย์เพื่อหมั่นฝึกฝนการทำอาหารในลักษณะทีมเวิร์ก ซึ่งเป็นหัวใจของการแข่งขันในลักษณะทีม และนำความสำเร็จมาสู่ประเทศไทยในที่สุด

        สำหรับเมนูอาหารที่ทำให้ได้เหรียญทองจากการแข่งประเภท Hot Cooking Category Junior Team นั้น ทีมเชฟมีเวลาในการจัดเตรียม 6 ชั่วโมง จำนวน 70 เสิร์ฟ แขกที่เข้าร่วมงานมีเวลาในการรับประทาน 3 ชั่วโมง เป็นลักษณะ Sit down dinner อาทิ Appetizer : ห่อหมกปลากราย, ยำมะม่วง, มูสหอยเชลล์ต้มข่า แตงกวาน้ำอาจาด, ปลาฮาริบัตนึ่ง, ยำกุนเชียงซอสบาบิยอง, ถุงทองไส้ปลา Main Course 1: สันในแกะอบ, ไส้กรอก มัสมั่นแกะ, สตูถั่วมัสมั่นซอสตะไคร้ Dessert : ไวต์ช็อกโกแลตและครีมชีสมูสสอดไส้สตรอเบอร์รี, ขนมปังราดซอสเบอร์รีเสิร์ฟกับซอสซาบายอง แชมเปญและราสเบอร์รี”
       
       ด้าน นายเพ็ชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สถาบันอาหารเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้การสนับสนุนทีมเชฟไทยในการแข่งขัน The Culinary World Cup 2014 ณ ประเทศลักเซมเบิร์ก และสามารถคว้ารางวัลแชมป์โลกมาได้หลายรายการซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของวงการเชฟไทยในการสร้างชื่อเสียง และนำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยอย่างมาก โดยสถาบันอาหารเตรียมเดินหน้าส่งเสริมอาหารไทย และวัตถุดิบไทยผ่านฝีมือเชฟไทย ตระเวนจัดแสดง ถ่ายทอดความรู้การปรุงอาหารไทยให้เชฟต่างชาติทั่วโลก ทั้งสนับสนุนการจัดแข่งขันปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบไทยในเวทีระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป

        “การแข่งขันครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะจากสมาคมเชฟประเทศไทย ในการพัฒนาเชฟรุ่นใหม่ รวมถึงเชฟมืออาชีพให้มีความรู้และสามารถพัฒนาฝีมือสู่ระดับสากล โดยมีเป้าหมายในการส่งเชฟเข้าร่วมแข่งขันในเวทีระดับโลก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเชฟไทย ซึ่งเชฟไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมอาหารไทย ส่งเสริมวัตถุดิบไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก และร่วมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็นครัวคุณภาพของโลก” นายเพ็ชรกล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2557

หน้า: [1] 2 3 ... 32