สืบเนื่องจากคดีความรับผิดของแพทย์กรณีผู้ป่วยวัณโรค ตอนแรกว่าจะไม่เขียนสเตตัสเรื่องนี้ เพราะอยากอ่านคำพิพากษาตัวเต็มก่อน แต่เมื่อคนรอบตัวสอบถามประเด็นนี้มาเป็นจำนวนมาก เลยขออนุญาตอธิบายทางนี้ด้วยละกันค่ะ (ยึดข้อมูลเพียงเท่าที่เห็นจากข่าวนะคะ และเป็นการอธิบายหลักการทั่วไปเฉยๆ ขออภัยล่วงหน้าหากต่อมาพบว่ามีรายละเอียดจากคำพิพากษาแตกต่างออกไปค่ะ)
ก่อนอื่น ขอแสดงความเห็นใจในผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ทุกท่านนะคะ เข้าใจว่าแทบทุกท่านทำการรักษาโดยมีเจตนาจะช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นเสมอมา พอมาเจอคำพิพากษาเช่นนี้อาจเป็นการบั่นทอนกำลังใจไปบ้าง แต่ขอให้รับฟังหน่อยนะคะว่าทำไมศาลตัดสินเช่นนี้ อย่าเพิ่งสิ้นหวังในกระบวนการยุติธรรมเลย
ในคดีผู้บริโภค มีกระบวนการพิจารณาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ให้บริการ เช่น เราไปกินข้าวร้านอาหารหนึ่ง ปรากฏว่าท้องเสียรุนแรง มันต้องเพราะอาหารร้านนี้สกปรกแน่ๆ เราเป็นผู้บริโภค ร้านอาหารเป็นผู้ให้บริการ เราซึ่งเป็นผู้บริโภคต้องการฟ้องผู้ให้บริการว่าเขาทำอาหารไม่ถูกสุขอนามัย ถ้าเป็นกรณีปกติ เราซึ่งต้องการฟ้องร้านอาหาร ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าร้านทำอาหารไม่ถูกสุขอนามัย เราเลยท้องเสีย (หน้าที่ที่เราต้องพิสูจน์เช่นนี้ เรียกว่า ภาระการพิสูจน์ ค่ะ โดยหลักแล้ว ใครกล่าวอ้างก็ต้องนำสืบให้เห็น อารมณ์ประมาณว่า มาหาเรื่องเขา ก็ช่วยแสดงให้เห็นด้วยว่าเขาทำผิดอย่างที่เราว่าเขาจริงๆ)
ทีนี้ การนำสืบว่าผู้ให้บริการ(ซึ่งคือร้านอาหาร) ทำอาหารไม่ถูกสุขอนามัย มันเป็นการยากที่ตัวเราในฐานะผู้บริโภค จะไปแสวงหาพยานหลักฐานได้ (คือจะให้แอบไปบุกครัวเขา ถ่ายคลิปความสกปรกในครัว ก็คงลำบากเกิน) ดังนั้น ในคดีผู้บริโภคเช่นนี้ กฎหมายจึงผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่ฝ่ายผู้ให้บริการ เพราะเป็นฝ่ายที่มีข้อมูลอยู่ในมือ สามารถนำมาแก้ต่างได้ ว่า เฮ้ย โจทก์มันมั่วละ ร้านผมสะอาดดี นี่ไงๆ ได้มาตรฐานสาธารณสุข บลา บลา บลา
คดีแพทย์นี้ก็เหมือนกันค่ะ เป็นคดีผู้บริโภค (ผู้ป่วยเป็นผู้รับบริการการรักษา เรียกง่ายๆคือเป็นผู้บริโภค) เมื่อฝ่ายแพทย์เป็นจำเลย ฝ่ายแพทย์มีภาระการพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ประมาทเลินเล่อในการรักษาผู้ป่วย
ทีนี้ แพทย์หลายท่านฟังเรื่องราวข้อเท็จจริงจากข่าวจะรู้สึกว่า เฮ้ย เป็นฉัน ฉันก็รักษาแบบแพทย์ที่เป็นจำเลยอะแหละ มันเป็นดุลพินิจในการรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพทั่วไปแล้ว ศาลไม่ใช่แพทย์เลยไม่เข้าใจขั้นตอนการรักษา (ไม่มีคำพูดเช่นนี้จริงๆ นะคะ เราใส่ไปเพื่ออรรถรส 555)
เข้าใจที่แพทย์รู้สึกนะคะ แต่ขออธิบายนิดนึง กระบวนการพิจารณาของศาลไทย ไม่ใช่แบบศาลไคฟงของท่านเปาบุ้นจิ้น โดยหลักแล้วศาลไทยรับฟังพยานหลักฐานเพียงเท่าที่นำเสนอในสำนวนและเพียงเท่าที่นำสืบเท่านั้น (ใช้คำว่าโดยหลักนะคะ เพราะบางเรื่อง กฎหมายให้อำนาจศาลในการเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติม) นั่นแปลว่า ไม่ว่าแพทย์จะเชี่ยวชาญแค่ไหน แต่ศาลจะคิดเองว่าแพทย์ถูกไม่ได้ ศาลจะพิจารณาตามสำนวนและการนำสืบเป็นหลัก
แม้แพทย์หลายท่านจะบอกว่า โดยปกติ ไม่มีใครเขามาส่งฟิล์มเอ็กซเรย์ไปให้แพทย์รังสีดูเสมอไป เข้าใจมากๆเลยค่ะ ถ้ามีการนำสืบเรื่องนี้เสียหน่อย เราว่าจำเลยน่าจะหลุดพ้นจากความผิดได้ไม่ยากนะคะ
เพราะอะไร?
เพราะการประมาทเลินเล่อหมายถึง การไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์ (จริงๆความหมายยาวกว่านี้ แต่ขอตัดตอนมาสั้นๆ) นั่นแปลว่า ถ้าฝ่ายจำเลยนำสืบได้ว่า แพทย์ทั่วไปที่อยู่ในวิสัยเช่นเดียวกันกับแพทย์จำเลยก็จะวินิจฉัยอย่างเดียวกัน และพฤติการณ์การเจ็บป่วยประกอบกับปริมาณจำกัดของแพทย์รังสีในการตรวจดูฟิล์มเอ็กซเรย์ล้วนแสดงให้เห็นว่าขั้นตอนการวินิจฉัยของแพทย์จำเลยมีความสมควรและเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติทั่วไปของแพทย์แล้ว แล้วนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญเข้ามายืนยันแนวทางตรงนี้ ศาลก็คงน่าจะไม่ตัดสินว่าฝ่ายแพทย์จำเลยนั้นประมาทเลินเล่อในการรักษาค่ะ
เท่าที่เห็นจากข่าว ซึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิอีกที ไม่ปรากฏว่ามีการนำสืบเช่นนี้นะคะ เท่าที่เห็นคือนำสืบแค่ว่าแพทย์ทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ไม่ได้นำสืบว่าแพทย์ที่อยู่ในวิสัยและพฤติการณ์เดียวกันกับแพทย์ผู้รักษา (ซึ่งเป็นแพทย์ฝ่ายจำเลย) ก็จะทำแบบเดียวกัน ศาลเลยนำกรณีของแพทย์ผู้รักษาท่านแรกไปเทียบกับแพทย์อีกท่านที่มีแนวทางการรักษาต่างออกไปแทน
จริงๆแล้ว ฝ่ายจำเลยสามารถนำสืบได้ว่า แพทย์ท่านนั้นอยู่ในวิสัยและพฤติการณ์ที่แตกต่างกัน เพราะผู้ป่วยผ่านขั้นตอนการรักษามานานแล้ว หรืออาจนำสืบว่าแนวทางปฏิบัติของแพทย์จำเลยสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติหลักแล้ว แล้วก็ยื่นบัญชีระบุพยานผู้เชี่ยวชาญเข้ามานำสืบ
ขอเน้นย้ำอีกครั้งนะคะ ศาลตัดสินอะไรตามความรู้สึก ตามความเห็นใจ หรือตามความรู้ส่วนตัวของตนไม่ได้ค่ะ ตัดสินได้เพียงเท่าที่มีพยานหลักฐานและนำสืบเท่านั้น
เหมือนเช่นกรณีนาย ก กู้เงิน นาย ข 1 ล้านบาท ยืมกันจริงๆ ให้เงินกันจริงๆ ทุกคนรู้ ศาลก็รู้ แต่นาย ข ดันไม่ได้แนบสัญญากู้เงินเข้ามาเป็นพยานหลักฐาน ต่อให้คนทั้งโลกจะรู้ว่านาย ก ติดเงินนาย ข 1 ล้านบาท ศาลก็พิพากษาให้นาย ก ชำระหนี้นาย ข ไม่ได้ค่ะ
คดีที่เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นได้ชัดมากว่า บางครั้งคดีจะแพ้ชนะ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาความจริงอย่างเดียว (แม้จะพูดกันว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตายก็ตาม) แต่อยู่ที่กระบวนการสู้คดีและพยานหลักฐานได้เหมือนกัน
ดังนั้น เพื่อผลิตนักกฎหมายที่ดีมีคุณภาพ เป็นทนายเด็ดๆไปช่วยเหลือแพทย์ นิสิตก็คงไม่ว่าเนอะ เวลาเราออกข้อสอบยากๆ
ด้วยรักและหวังดีต่อนิสิตซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
#อาญาเซ็ค๒
>> เพิ่มเติม* (แก้ไขเพิ่มอีกรอบค่ะ หลังจากมีโอกาสได้อ่านคำพิพากษาแล้ว)
1. หลายท่านมีข้อสงสัยว่าฝ่ายโจทก์มีแพทย์ความงาม ซึ่งความเชี่ยวชาญไม่เท่ากับกุมารแพทย์ซึ่งเป็นของฝ่ายจำเลย เช่นนั้นแล้วเหตุใดศาลถึงเชื่อฝั่งแพทย์ความงามมากกว่ากุมารแพทย์
ตรงจุดนี้ขอย้ำอีกครั้งนะคะ โดยหลักแล้ว ภาระการพิสูจน์ให้พ้นจากความรับผิดอยู่ที่ฝ่ายจำเลยค่ะ การแพ้ชนะจึงอยู่ที่ว่าฝ่ายจำเลยจะนำสืบได้ไหมว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ
ทั้งนี้ เมื่อได้อ่านคำพิพากษาแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการนำสืบให้เห็นว่าบุคคลอื่นที่อยู่ในวิสัยและพฤติการณ์เดียวกันกับแพทย์จำเลย (ซึ่งหมายถึงแพทย์คนอื่นโดยทั่วไป) จะกระทำเช่นเดียวกับแพทย์จำเลย แต่กลับเป็นการนำสืบว่า การที่แพทย์วินิจฉัยโรคแล้วยังไม่ให้ยาวัณโรคทันที แพทย์มีเหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนั้น
จริงอยู่ แพทย์ฝ่ายจำเลยมีเหตุผล แต่เป็นเหตุผลส่วนตัวของแพทย์ค่ะ ไม่ได้นำสืบว่าโดยทั่วไปแล้วแพทย์ท่านอื่นๆก็มีแนวทางการรักษากันแบบนี้ (เท่ากับ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าแพทย์ผู้รักษาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นเดียวกับบุคคลอื่นที่อยู่ในวิสัยและพฤติการณ์เดียวกัน)
ต่อให้นำสืบว่าแพทย์ฝ่ายจำเลยมีเหตุผลอย่างไร ที่ปฏิบัติไปมีเหตุผลอย่างไร ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า แพทย์คนอื่นๆโดยทั่วไปเขาทำกันอย่างแพทย์ฝ่ายจำเลยค่ะ กรณีนี้ จำเลยจึงไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่อในการรักษา การนำสืบพลาดตรงนี้ไป เลยทำให้แพ้คดีไปอย่างน่าเสียดาย
1.1 (แทรกหน่อยค่ะ) มีบางท่านมาถามว่าสรุปคดีนี้กระทรวงสาธารณสุขหรือแพทย์กันแน่ที่โดนฟ้อง ตามคำพิพากษาที่ปรากฏคือเป็นการฟ้องกระทรวงสาธารณสุขนะคะ เป็นการฟ้องให้หน่วยงานรัฐต้องรับผิดในความประมาทเลินเล่อของแพทย์ค่ะ (แพทย์รัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุขค่ะ) ถ้อยคำในการเขียนข้างต้น เราพยายามใช้ภาษาง่ายๆค่ะ จึงใช้คำว่าฝ่ายแพทย์จำเลย หรืออะไรประมาณนี้ แต่จริงๆผู้ถูกฟ้องคือกระทรวงสาธารณสุขค่ะ
2. ก็คงต้องหาทางออกกันต่อไป ว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้หมอต้องรับผิดในกรณีที่หมอทำตามมาตรฐานแล้ว จะสร้างเสริมสนับสนุนแนวคิดหรือแนวปฏิบัติทางกฎหมายใหม่อย่างไรดี หรือศาลควรใช้ดุลพินิจเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเองได้มากน้อยแค่ไหนในบริบทต่างๆ หรืออะไรยังไงต่อไปล้านแปด นักกฎหมายไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ มีข้อเสนอต่างๆมากมาย แต่หลายท่านเขียนแล้ว เราขอไม่พูดซ้ำ (แค่นี้สเตตัสก็ยาวมากละ 555) อย่างที่บอกค่ะ เห็นใจหมอมากจริงๆจากใจ
หลายท่านตกใจ นึกว่าแพทย์โดนโทษจำคุกนะคะ ไม่ใช่น้า อันนี้คดีแพ่งเรียกค่าเสียหายค่ะ ศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานค่ะ (ถ้าเป็นคดีอาญา ต้องนำสืบจนปราศจากข้อสงสัยค่ะ)
3. กม.ลักษณะพยานเป็นเรื่องยาก ยุ่งและวุ่นวาย เราก็ร้างลามานาน จำได้คร่าวๆเท่านั้น จึงเขียนเพียงหลักการโดยคร่าวๆ หากอยากทราบโดยพิสดาร ให้ไปถามนิสิตนิติปี 3 ดูค่ะ ถ้าพวกนางตอบไม่ได้ อย่างน้อยพวกนางจะเกิดอาการจิตตกและรีบไปอ่านหนังสือค่ะ จัดการพวกนางหน่อยก็ดี 555
https://www.facebook.com/thitinant.tengaumnuay/posts/1070809292957765