แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - patchanok3166

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 19
166
กรมการแพทย์เผยสัญญาณเตือนเสี่ยง “โรคหลอดเลือดสมอง” หากพบอาการแขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง สับสนพูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง มองเห็นลดลง มีปัญหาการเดิน มึนงง ให้รีบไปพบแพทย์ใน 3 ชั่วโมงครึ่ง ช่วยรักษาชีวิตลดภาวะพิการได้ อัมพฤกษ์ - อัมพาต


จากกรณี “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ผู้จัดละครคนดัง เกิดอาการวูบกลางกองถ่ายจนต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาล โดยพบว่าเกิดจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ขณะนี้ทางครอบครัวแจ้งว่าอาการเริ่มดีขึ้น ตื่นเป็นระยะ และพูดคุยกับภรรยาและลูกได้เล็กน้อย


วันนี้ (17 ส.ค.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เส้นเตือดสมองตีบเป็นอาการหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมองซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งของโรคทางระบบประสาท และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในอันดับต้นๆ ของประเทศ โรคนี้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีส่วนใหญ่จะมีความพิการหลงเหลือตามมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีญาติสายตรงป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการเตือนสำคัญ คือ แขนและขาอ่อนแรงซีกเดียวของร่างกาย สับสน พูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง ตามองเห็นลดลง ข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มีปัญหาการเดิน มึนงง อาการเหล่านี้มักเกิดฉับพลันให้รีบมาพบแพทย์ด่วนที่สุดภายใน 3 ชั่วโมงครึ่ง จะรักษาชีวิตและฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงได้มากที่สุด สำหรับการลดความเสี่ยง ได้แก่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก งดเครื่องดื่มมึนเมา เลี่ยงสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปี


พญ.ไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คือ การที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จำเป็นต้องรักษาหรือฟื้นฟูด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ร่างกายมีสภาพที่ดีขึ้นสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น สำหรับวิธีการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตควรทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้ป่วยและผู้ดูแลเพื่อการดูแลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูผู้ป่วยที่เจ็บป่วยเรื้อรังหรือฉับพลันเพื่อลดความพิการหรือป้องกันความพิการให้ได้มากที่สุดสามารถใช้ชีวิตให้เป็นปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับการวินิจฉัยโรคว่าคนไข้อ่อนแรงจากอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือไม่ หรือเป็นที่กล้ามเนื้อและกระดูก แพทย์จะซักประวัติและอาจเอกซเรย์สมองร่วมด้วย หากพบว่าเป็นโรคดังกล่าวจะส่งให้แพทย์ดูแลอาการให้สภาพคงที่จากนั้นส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟูเพื่อกายภาพบำบัดตามลำดับ


“ประชาชนจึงควรมีความรู้เบื้อต้นในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและการทราบถึงอาการเบื้องต้นเพื่อการส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา จะยิ่งมีโอกาสสูงมากในการเยียวยาอาการให้ดีขึ้น เช่น การให้ยาละลายลิ่มเลือดในภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ และการดูแลที่เหมาะสมในผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองแตกจะช่วยลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ตลอดจนการลดอัตราการเสียชีวิตได้” พญ.ไพรัตน์กล่าว



 17 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

167
กรมควบคุมโรค เฝ้าระวัง "โรคอีโบลา" ประเทศคองโก หลังพบยอดตายล่าสุด 41 ราย สัปดาห์เดียวเพิ่มขึ้น 7 ราย คัดกรองเข้มต่อเนื่อง ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากประเทศระบาด


วันนี้ (17 ส.ค.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในเมืองนอร์ธกีวู ซึ่งเป็นการระบาดระลอกที่ 2 ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือและการดำเนินงานป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่ประเทศคองโก โดยสถานการณ์ล่าสุดมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในเมืองนอร์ธกีวู มีจำนวน 57 ราย และเสียชีวิตแล้ว 41 ราย มีผู้ป่วยที่ยืนยันเพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 14 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย และยังคงทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับหน่วยงานในประเทศที่จะควบคุมและยุติการระบาดในครั้งนี้


นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามประกาศ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีค้างคาวกินผลไม้เป็นพาหะ และเป็นโรคที่ติดต่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือรับประทานสัตว์ป่าที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสสารคัดหลั่ง การติดต่อจากคนสู่คน โดยการคลุกคลีใกล้ชิด สัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ เป็นต้น อาการสงสัยหลังสัมผัสเชื้อ ได้แก่ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว


"กรมควบคุมโรคยังคงเฝ้าระวังโรคดังกล่าวอย่างต่อเนื่องใน 3 ระดับ คือ 1.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 2.โรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชน และ 3.ในระดับชุมชน พร้อมกำชับด่านควบคุมโรคทั่วประเทศ ให้คัดกรองผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาดในทุกๆ ช่องทางเข้า-ออก ทั้งที่ด่านสนามบิน ด่านท่าเรือ และด่านชายแดน หากพบผู้เดินทางมีอาการคล้ายโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาจะรับเข้าดูแลในโรงพยาบาลที่จัดเตรียมไว้ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาตามมาตรฐานที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง" นพ.สุวรรณชัย กล่าว




 17 ส.ค. 2561    โดย: MGR Online





168
รพ.วัดไร่ขิง จัดโครงการตาปลอมเฉพาะบุคคล 999 ดวงฟรี ถวายเป็นพระราชกุศล รัชกาลที่ ๙ ถึงสิ้นปี 64 เผยยังเหลือโควตาอีก 332 ดวง ชวนผู้ยากไร้สูญเสียดวงตาเข้ารับบริการ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้ ส่วนใหญ่เสียดวงตาจากอุบัติเหตุรุนแรง เผย ดวงตาปลอมเฉพาะบุคคลครอบคลุมแค่สิทธิราชการ



วันนี้ (2 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) จ.นครปฐม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการ “การพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยผ่าตัดนำลูกตาออก และการใส่ตาปลอม” ว่า ผู้ป่วยที่จะต้องได้รับการผ่าตัดนำตาออกจากเบ้าตา มีหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ 80% พบว่า มาจากการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง จนลูกตาแตกไม่สามารถผ่าตัดเก็บลูกตาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการติดเชื้อที่รุนแรงหลังอุบัติเหตุ ซึ่งการผ่าตัดเอาลูกตาออกจะต้องใส่ตาปลอม โดยตาปลอมนั้นมี 2 ชนิด คือ 1.ตาปลอมสำเร็จรูป ซึ่งทำจากพลาสติก ราคาอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งผู้ป่วยทั้ง 3 สิทธิกองทุนสุขภาพ คือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการ สามารถเบิกจ่ายได้ แต่พบว่า ลูกตาปลอมสำเร็จรูปอาจไม่ได้มีสีเดียวกับดวงตาอีกข้างและใช้ได้ไม่นาน ทำให้ไม่มีความสมจริง และ 2.ตาปลอมเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นทำดวงตาให้เหมือนกับดวงตาอีกข้างที่เหลือมากที่สุด ทำจากอะคริลิก โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันกว่าบาท โดยสามารถเบิกจ่ายได้เฉพาะสิทธิข้าราชการ ส่วนสิทธิอื่นๆ ยังต้องจ่ายค่ารักษานี้เอง



นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ รพ.เมตตาประชารักษ์ จึงจัดโครงการตาปลอม 999 ดวงตาถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด้จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยที่สูญเสียดวงตาที่ยากไร้ด้อยโอกาส สามารถเข้าถึงบริการใส่ตาปลอมเฉพาะบุคคลได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ม.ค. 2560 ถึง 31 ธ.ค. 2564 ซึ่งขณะนี้การให้บริการตั้งแต่เริ่มจนถึง 1 ส.ค. 2561 มีผู้เข้ารับบริการตาปลอมเฉพาะบุคคลจากโครงการนี้ทั้งหมด 321 ราย และมีผู้ลงชื่อเข้าร่วมโครงการเพื่อรับตาปลอมเฉพาะบุคคลอีก 346 ราย ซึ่งสถานพยาบาลที่สามารถให้บริการดวงตาปลอมเฉพาะบุคคลได้ มีทั้งสิ้น 15 แห่งทั่วประเทศ โดยที่ต่างจังหวัดมีให้บริการได้มีเพียง จ.นครปฐม จ.ขอนแก่น และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่เหลืออยู่ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด ดังนั้น โครงการนี้ยังมีโควตารับผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการอีกประมาณ 332 ราย ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดที่ www.mettaprothesis.com หรือ โทร. 034-388700-2 ต่อ 3129 หรือ 3108



“สำหรับโครงการนี้อยากให้ผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมมาลงทะเบียน เนื่องจากยังไม่เป็นสิทธิประโยชน์ ส่วนสิทธิข้าราชการขอให้ไปใช้สิทธิตามระบบของตนเอง นอกจากนี้ สามารถร่วมบริจาคได้ที่ บัญชีชื่อ กองทุนเงินบริจาคเพื่อศูนย์ตาปลอม รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ธนาคารกรุงไทย สาขาสามพราน เลขที่ 734-0-56275-3 ซึ่งหากมีเงินบริจาคมากพอก็สามารถให้บริการผู้ด้อยโอกาสฟรีเพิ่มได้อีก” นพ.สมศักดิ์ กล่าว





เผยแพร่: 2 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

169
“หมอสุภัทร” ฝากถึงว่าที่ปลัด สธ.คนใหม่ ออกนโยบายติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาทุก รพ. ลดค่าไฟฟ้า ประหยัดเงินมาเพิ่มคุณภาพบริการ เผย รพ.จะนะ เตรียมติดตั้งเพิ่ม 20 กิโลวัตต์ คาด 4-5 ปี คืนทุน เงินบำรุงสิ้นปีจะไม่มีตัวแดง


วันนี้ (8 ส.ค.) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา และกรรมการชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ถึง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คนใหม่ ที่จะมารับตำแหน่งในวันที่ 1 ต.ค. 2561 ว่า ปัจจุบันค่าไฟฟ้าโรงพยาบาลจะนะ ในเดือนกรกฎาคม 2561 ลดลงจากปี 2560 น้อยกว่าที่คาด คือ ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า 213,129 บาท ลดลงจากกรกฎาคม ปี 2560 ราว 65,000 บาท ไม่มากอย่างที่หวัง เพราะค่าเฉลี่ยทั่วไปที่ลดได้อยู่ที่เดือนละ 80,000 บาท สาเหตุอะไรที่ค่าไฟพุ่ง ทั้งที่เดือนกรกฎาคม ก็แดดดี คิดไปคิดมา ก.ค.เป็นเดือนแห่งการประชุม ห้องประชุมที่มี 3 ห้อง แทบไม่ว่าง ด้วยทั้งจากการประชุมภายในเพื่อเตรียมการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (re-accreditation HAรอบ 3) หรือโครงการต่างๆ ที่ต้องเร่งรัดก่อนสิ้นปีงบประมาณ การใช้ไฟฟ้ากลางวันกับเรื่องแอร์จึงพุ่งขึ้น ส่วนแสงสว่างหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้านั้น ไม่ได้เป็นภาระเพิ่ม เพราะยอดผู้ป่วยทรงๆ


แบบนี้หากจะลดค่าไฟฟ้าลงไปให้ได้อีก ต้องติดตั้งแผงโซลาร์เพิ่มอีกครับ แปลว่า เรายังติดไม่มากพอ ผมก็บ่นๆว่าจะติดมาพักหนึ่งแล้ว เดือนกันยายนนี้ลงมือแน่นอนครับ ติดตั้งเพิ่มอีก 20 กิโลวัตต์ (จากเดิมที่ติดตั้งไปแล้ว 20 กิโลวัตต์เมื่อปี 2560)


เราติดตั้งด้วยเงินบำรุงของโรงพยาบาลเองครับ เงินที่เก็บสะสมมาเรื่อยตลอดปี (งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขหรือ สปสช.นั้นยังไม่มีและยังไม่เปิดช่องในเรื่องนี้) นี้คือ การลงทุนครับ ไม่เกิน 4-5 ปีก็คืนทุนแล้ว คุ้มค่าสุดๆ เงินบำรุงสิ้นปีงบของ รพ.จะนะก็ไม่ตัวแดง จึงพอจะควักกระเป๋าติดตั้งเพิ่มได้ครับเป็นงบสัก 750,000 บาท


ผมก็ฝันๆ ไว้ว่า ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านใหม่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย จะเห็นความสำคัญ มีนโยบายเรื่องการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาทุกโรงพยาบาล เพื่อลดค่าไฟฟ้า จะได้เอาเงินที่ประหยัดได้ตลอดอายุของระบบโซลาร์เซลล์ 25 ปี ซึ่งมีจำนวนมากโขอยู่ มาเพิ่มคุณภาพบริการ แถมยังได้ลดโลกร้อนตามแนวทาง SDG ให้ทั่วโลกเขาชื่นชมได้อีกด้วย



เผยแพร่: 8 ส.ค. 2561     โดย: MGR Online

170
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกถกเถียงกันเป็นประจำทุกปี สำหรับกรณีที่โรงเรียนแห่งต่างๆ มีการจัดกิจกรรมวันแม่เพื่อให้นักเรียนได้รำลึกถึงพระคุณของผู้เป็นแม่ ด้วยการนำพวงมาลัยมากราบเท้าแม่ ที่นอกจากจะสร้างความตื้นตันใจแก่แม่ลูกหลายคู่ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างประสบการณ์ไม่ได้ดีให้กับเด็กอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีแม่มาร่วมงานดังกล่าว


อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการจัดงานวันแม่จำ โดยได้เล่าระสบการณ์ส่วนตัวว่า สมัยที่ตนเป็นเด็กและมีงานวันแม่นั้น คุณแม่มักจะไม่สะดวกมาร่วมงาน เพราะต้องลางานมาจากที่ทำงาน ซึ่งพอตนโตขึ้น และได้ทำงานกับคนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของบาดแผลจากความสัมพันธ์ในวัยเด็ก (attachment trauma)


นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่า การจัดงานลักษณะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลลบกับเด็กหลาย ๆ คน เช่น เด็กที่ต้องอยู่กับญาติ เพราะพ่อแม่แยกทางกัน, เด็กที่ถูกทอดทิ้งทางอารมณ์ สนิทกับพี่เลี้ยงและสุนัขที่เลี้ยงมากกว่า, เด็กที่พ่อแม่ลำเอียง ปฏิบัติกับพี่น้องดีกว่าตัวเขา, เด็กที่ถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยวิธีการรุนแรงบ่อย ๆ หากทำอะไรไม่ถูกใจ รวมไปถึงเด็กที่แม่กำลังป่วยหนัก หรือเสียชีวิตไปแล้ว





14 ส.ค. 61  โดย sanook.com

171
กทม. ร่วมศิริราช และสมาคมพฤฒาวิทยาฯ ทำเกณฑ์ประเมิน “คลินิกผู้สูงอายุ” หวังเพิ่มคุณภาพ ให้บริการมีคุณภาพ ค้นพบโรคเรื้อรังได้ตั้งแต่ระยะต้น ช่วยผู้สุงอายุมีสุขภาพ คุรภาพชีวิตที่ดี เฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษามหาราชินี


วันนี้ (10 ส.ค.) นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมแถลงข่าวโครงการความร่วมมือพัฒนาคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพ กรุงเทพมหานคร - ศิริราชพยาบาล เฉลิมพระเกียรติ 86 พรรษามหาราชินี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมีคุณูปการต่อประชาชนผู้สูงอายุไทย โดยการขยายการดำเนินงานของคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพให้ครอบคลุมโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร



นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ และสมาคมพฤฒาวิทยาและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุไทย จะสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิชาการและการวิจัย เพื่อจัดทำคู่มือผู้สูงอายุกำหนดเกณฑ์การประเมินคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยจะนำหลักเกณฑ์ที่ได้ไปจัดทำคู่มือเพื่อให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถานพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ กทม. ใช้เป็นเกณฑ์ในการพัฒนาคลินิกผู้สูงอายุให้ได้มาตรฐานมีคุณภาพในการให้บริการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขต กทม. และจะขยายสู่ศูนย์บริการสาธารณสุขและคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อร่วมจัดบริการที่มีคุณภาพแก่ผู้สูงอายุต่อไป โดยคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการค้นพบโรคเรื้อรังในระยะเริ่มแรก ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเอง และดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งปัจจุบัน กทม.มีผู้สูงอายุจำนวน 978,455 คน


“การค้นพบโรคเรื้อรังในระยะเริ่มต้นในผู้สูงอายุ การส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพให้สามารถพึ่งตนเอง และช่วยเหลือสังคมได้ สร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุประกอบกิจกรรมร่วมกัน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม เป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุได้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง” นายทวีศักดิ์ กล่าว


ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สัดส่วนผู้สูงอายุในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2563-2564 คือ ประชากรมีอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งผู้ป่วยสูงอายุมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากผู้ป่วยผู้ใหญ่ทั่วไป เช่น หกล้ม ไม่เดิน ความสามารถทางสมองเสื่อมถอย เป็นต้น ซึ่งระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองต่อความจำเป็นและความต้องการในด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องมีคลินิกผู้สูงอายุ ซึ่งมีบทบาทไม่เพียงแค่ด้านการวินิจฉัยโรค การรักษาโรค แต่ต้องผนวกเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูบำบัด ตลอดจนการคำนึงถึงปัจจัยด้านสังคม



เผยแพร่: 10 ส.ค. 2561  โดย: MGR Online

172
สิทธิบัตรทองยังจำกัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ “มะเร็งเม็ดเลือดขาว-ต่อมน้ำเหลือง” ในเด็ก เฉพาะผู้บริจาคที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด หมอมะเร็งรามาฯ ชี้ โอกาสเข้ากันได้แค่ 25% เผยสามารถค้นหาเซลล์พ่อแม่เพื่อปลูกถ่ายให้ลูกได้ หวังพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุม ร่วมการใช้สเต็มเซลล์ผู้บริจาคสภากาชาดไทย เผยอยู่ระหว่างหารือ


ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง หัวหน้าโครงการโรคมะเร็งในเด็ก สาขาโลหิตวิทยาและโรคมะเร็ง ภาควิชากุมารศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะคณะทำงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ออกแบบสิทธิประโยชน์มะเร็งโลหิตวิทยาในเด็ก กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเด็ก เฉลี่ยแล้วพบถึงปีละ 600 คน และมีถึง 200 คน ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายเม็ดเลือด หรือการทำสเต็มเซลล์ไขกระดูก ซึ่งยังคงไม่พบว่า เกิดจากสาเหตุใด แต่สำหรับผู้ป่วยในสิทธิบัตรทอง ยังไม่สามารถครอบคลุมการรักษาได้ทั้งหมด เนื่องจากมีกฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า จะสามารถปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้จากผู้บริจาคที่เป็นพี่น้องตามสายเลือดเท่านั้น



ศ.นพ.สุรเดช กล่าวว่า กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่อาจรักษาให้หายได้ด้วยเคมีบำบัด แต่ต้องรักษาต่อยอดด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่ง สปสช.มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์โดยสามารถปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้เฉพาะกับพี่น้องที่มีเซลล์ตรงกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่เซลล์จะสอดคล้องกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับซึ่งเป็นพี่น้องกันมีโอกาสแค่ 25% ซึ่งเซลล์ของพ่อและแม่ไม่มีทางตรงกันอยู่แล้ว การพัฒนาขีดความสามารถในการรักษาพบว่า ปัจจุบันแพทย์สามารถค้นหาเซลล์ในพ่อแม่เพื่อปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้กับลูกที่ป่วยได้ แต่ต้องยอมรับว่าสิทธิประโยชน์ตรงจุดนี้ยังไม่ได้ถูกพัฒนา เพราะยังติดขัดด้านงบประมาณ เช่นเดียวกับการขอปลูกถ่ายจากผู้บริจาคของสภากาชาดไทยที่ยังติดขัดในแง่งบประมาณ แต่ขณะนี้ทราบว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อประสานงานไปยังสภากาชาดไทยในการขอรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีการพิจารณาเป็นอย่างไร



“ผู้ป่วยรายแรกที่ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เกิดขึ้นเมื่อราว 30 ปีก่อน แต่สำหรับสิทธิประโยชน์บัตรทองเพิ่งให้สิทธิมาประมาณ 10 ปี และมีเด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ไปแล้วราว 300 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับจำนวนผู้ป่วยในเด็ก เพราะปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยในเด็กจำนวนมากที่รอการปลูกถ่าย ซึ่งบางส่วนก็เป็นการปลูกถ่ายผ่านการบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาล ซึ่งต้องยอมรับว่าเงินบริจาคมีมากกว่างบประมาณที่ สปสช.ให้มา ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็กมีความจำเป็นต้องปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งแผนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมมากกว่าเดิมเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ซึ่งต้องดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมประชุมกันเพื่อหาประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย” ศ.นพ.สุรเดช กล่าว






เผยแพร่: 3 ส.ค. 2561   โดย: MGR Online

173
จากกรณีข่าวที่ ไขมันทรานส์(Trans Fat) จะถูกห้ามผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายในประเทศไทย มีผลบังคับใช้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือภายในเดือน ม.ค. 62 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในราชกิจจานุเบกษา นับจากวันที่ 11 ก.ค. 61 นั้น เรามาทำความรู้จักไขมันชนิดนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า


ขมันทรานส์ (Trans Fat) จัดเป็นกลุ่มไขมันในกลุ่มไขมันอิ่มตัว เป็นชนิดไขมันที่จะเข้าไปเปลี่ยนไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆ จะส่งผลให้ระดับ “ไขมันเลว” (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และ “ไขมันชนิดดี” (HDL) ลดลง จึงมีผลทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาสารพัด ดังนี้



ไขมันทรานส์ (Trans Fat) เสี่ยงโรคอะไรบ้าง


1.โรคอ้วน
เพราะ ไขมันทรานส์ เป็นไขมันที่ย่อยได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องใช้วิธีสลายไขมันชนิดนี้ด้วยวิธีต่างจากปกติ จึงก่อให้เกิดความผิดปกติ คือ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินมากขึ้นนั่นเอง


2.โรคหลอดเลือดหัวใจ
เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด อีกทั้งยังติดอันดับ 1 ใน 4 การเสียชีวิตของประชาชนเกือบทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย โรคนี้เกิดจากการมีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้น การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์และอาหารที่มีไขมันสูงก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคนี้ได้


3.โรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง
ไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงภาวะสมองขาดเลือด เส้นเลือดอุดตันทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้


4.ความดันโลหิตสูง
เป็นภาวะความดันเลือดภายในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติตลอดเวลา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน โซเดียมสูงจนเกินไป และการบริโภคไขมันก็มีส่วนเป็นเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมาได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ธัญพืช ปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดีต่อร่างกายแทน

5.โรคเบาหวาน
ไขมันทรานส์ ส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้

6.โรคซึมเศร้า
รู้หรือไม่ว่าการรับประทานไขมันทรานส์ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ มีงานศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยสเปนได้ตีพิมพ์ในห้องสมุดแพทย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล่าวไว้ว่าไขมันทรานส์มีส่วนทำให้เกิดอาการของโรคซึมเศร้าได้ โดยจากการเก็บข้อมูลของนักศึกษาจำนวน 12,059 คน เป็นเวลา 6 ปี มีรายงานว่านักศึกษาจำนวน 657 คนเกิดอาการของโรคซึมเศร้าชนิดใหม่ขึ้นมา และงานวิจัยชิ้นนี้ยังพบว่าการกินไขมันทรานส์มากๆ มีแนวโน้มจะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย

7.โรคอัลไซเมอร์
มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าคนที่มีระดับไขมันทรานส์ในเลือดสูงจะมีขนาดของสมองที่เล็กกว่าคนทั่วไป และการที่สมองหดเล็กลงนั้นถือเป็นอาการหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์อย่างหนึ่ง ซึ่งการรับประทานอาหารที่กรดไขมันโอเมกา-3 สามารถช่วยป้องกันโรคดังกล่าวได้

8.โรคจอประสาทตาเสื่อม
เพราะไขมันสามารถเข้าไปอุดและสะสมที่หลอดเลือดที่เอาไว้เลี้ยงจอประสาทตา จึงทำให้สายตาแย่ลงได้

นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก ถุงน้ำดีอักเสบ โรคมะเร็ง เป็นต้น



ไขมันทรานส์ (Trans Fat) พบได้ในอาหารประเภทไหน

สามารถพบได้มากในอาหารทอด ขนมขบเคี้ยว และมักใช้ในการทำอาหารและขนมของคนตะวันตก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป คุกกี้ แครกเกอร์ โดนัท เฟรนช์ฟราย พิซซา ไก่ทอด ป็อปคอร์น ลูกชิ้นทอด ขนมปัง ตลอดจนส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรีอย่างมาการีน เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น

วิธีห่างไกล ไขมันทรานส์ (Trans Fat)

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารที่ปรุงด้วยเนยเหลว เนยขาวหรือมาการีน


2. ตรวจสอบข้อมูลโภชนาการและส่วนผสมที่ฉลากบรรจุภัณฑ์ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารนั้นปราศจากไขมันทรานส์


3.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่ปราศจากไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน เป็นต้น
4.เลือกรับประทานไขมันชนิดดีแทน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก อัลมอนด์ อะโวคาโด ฯลฯ เพราะไขมันชนิดดีจะช่วยทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด โดยจะขับออกจากร่างกายผ่านตับ และน้ำดีนั่นเอง
5.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 30-60 นาที



เผยแพร่: 31 ก.ค. 2561   โดย: MGR Online

174
น้ำถือได้ว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เพราะในร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% หรือ 4/5 ของน้ำหนักตัว ดังนั้น น้ำจึงเป็นปัจจัยหลักสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยอยู่เหมือนกันว่า แล้วการดื่ม “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น” แบบไหนดีกว่ากัน?


จริงๆ แล้ว น้ำอุ่น และ น้ำเย็น ล้วนแล้วแต่ก็มีประโยชน์แตกต่างกันไป

ประโยชน์ของ “น้ำอุ่น” มีดังนี้

1.มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน

2.เพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวหนัง และซ่อมแซมเซลล์ผิวพรรณ

3.บรรเทาอาการท้องผูก โดยการดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำจะช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ได้ดี

4.ช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกายทั้งจากทางเหงื่อ และการขับถ่าย

5.ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน ช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลงได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นด้วย

6.มีส่วนช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย

7.เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต

8.บรรเทาอาการคอแห้ง

9.ช่วยลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อได้ เช่น การดื่มน้ำอุ่นช่วยลดอาการปวดประจำเดือน เพราะน้ำอุ่นจะช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดีนั่นเอง

เวลาที่ดีในการดื่มน้ำอุ่น

•เวลา 05.00-07.00 น. ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนตัว พร้อมสำหรับขับของเสีย สิ่งที่ควรทำคือ ควรปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร

•เวลา 07.00-09.00 น. ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว เนื่องจากเวลานี้กระเพาะอาหารจะทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหาร สิ่งที่ควรทำคือ รับประทานอาหารเช้าที่ย่อยและดูดซึมง่าย

•เวลา 11.00-13.00 น. ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว เพื่อให้หัวใจสูบฉีดเลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย เพราะเวลานี้เป็นช่วงที่จะทำงานหนักเป็นพิเศษ สิ่งที่ควรทำคือ รับประทานอาหารเที่ยง และหลีกเลี่ยงความเครียด

•เวลา 15.00-17.00 น. ดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อย 2 แก้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีในการระบายความร้อนออกจากร่างกาย สิ่งที่ควรทำคือ ออกกำลังกายให้เหงื่อออก โดยเฉพาะเวลา 17.00 น.จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด

•เวลา 17.00-19.00 น. ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว เนื่องจากไตจะเก็บสะสมพลังงานเป็นทุนสำรองของร่างกาย สิ่งที่ควรทำคือ รับประทานอาหารเย็น ทำจิตใจให้สดชื่น

• เวลา 21.00-23.00 น. ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว เพราะพลังงานในร่างกายเชื่อมถึงกัน เป็นเวลาที่เกิดการพักฟื้น สิ่งที่ควรทำคือ ทำร่างกายให้อบอุ่น ไม่อาบน้ำเย็น




ประโยชน์ของการดื่มน้ำเย็น


หากต้องทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ออกกำลังกาย โดยการปั่นจักรยาน วิ่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น การดื่มน้ำเย็นจะช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายได้ดีกว่าการดื่มน้ำอุ่น อีกทั้งการดื่มน้ำเย็นจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายให้ทำกิจกรรมนั้นๆ ได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อย



ข้อแนะนำในการดื่ม น้ำอุ่น และ น้ำเย็น

- หลังจากรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำอุ่นทุกครั้ง เพราะหากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง

- หลังการออกกำลังกาย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่น เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงมากอยู่แล้ว ให้ดื่มน้ำเย็นแทน เพราะจะสามารถช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายและช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ได้



ปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสม


สำหรับผู้ที่อายุ 4-8 ปี 5 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,200 มิลลิลิตร)
สำหรับผู้ที่อายุ 9-13 ปี 7-8 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,600-1,900 มิลลิลิตร)
สำหรับผู้ที่อายุ 14-18 ปี 8-11 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,900-2,600 มิลลิลิตร)
สำหรับผู้หญิงที่อายุ 19 ปีขึ้นไป 9 แก้วต่อวัน (ประมาณ 2,100 มิลลิลิตร)
สำหรับผู้ชายที่อายุ 19 ปีขึ้นไป 13 แก้วต่อวัน (ประมาณ 3,000 มิลลิลิตร)



เผยแพร่: 13 ก.ค. 2561 18:58  โดย: MGR Online

175
ยามเมื่อได้ไปใช้บริการในสระว่ายน้ำตามที่ต่างๆ นั้น แน่นอนว่านอกจากที่จะได้ใช้ประโยชน์สถานที่แห่งนี้แล้ว หลายๆ คนก็น่าจะได้ความเพลิดเพลินจากสระว่ายน้ำได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่หากเกิดเผลอไปดื่มน้ำในสระน้ำแล้วจะเกิดอะไรต่อร่างกายหรือไม่ ทางแฟนบุ๊กเพจ “ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว” ก็ได้อธิบายถึงปัญหาดังกล่าว ดังนี้


จากปัญหาที่ว่า เราควรที่จะดื่มน้ำจากสระว่ายน้ำได้หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ไม่ควรดื่ม โดยมี 2 เหตุผล คือ

1.เชื้อบางชนิดทนคลอรีน

โดยเชื้อ Cryptosporidium เป็นปรสิตที่มีเปลือกอันแข็งแกร่ง มีความสามารถทนทานต่อคลอรีนในสระน้ำได้หลายวัน หากมีคนที่มีอาการท้องเสียแล้วล้างก้นไม่สะอาด หรือล้างก้นแล้วไม่ฟอกสบู่ และไปลงสระน้ำ เชื้อโรคก็จะลอยละล่องเข้าสู่ปากของคนอื่นได้ แล้วเชื้อดังกล่าวนี้ก็เป็นเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียระบาดในสระว่ายน้ำที่พบบ่อยในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

2.คลอรีนในสระน้ำบางแห่งไม่เพียงพอ

แม้ว่าในสระว่ายน้ำบางแห่งจะมีใส่สารคลอรีนลงไป แต่เนื่องด้วยสารในบางทีนั้นอาจจะไม่เพียงพอต่อแต่ละจุด แล้วพอเกิดเหตุดังกล่าวก็ส่งผลต่อให้เกิดการท้องเสียได้ โดยเฉพาะสาร Norovirus E Coli Shigella ที่ส่งผลต่อร่างกายพอสมควร อาจจะเกิดอาการดังกล่าวได้

สำหรับข้อแนะนำในการใช้สระน้ำ คือ ต้องมีความระมัดระวังไม่ให้ตัวเองกลืนน้ำลงไป และหลังจากใช้สระว่ายน้ำเรียบร้อยแล้ว ควรอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายด้วย





เผยแพร่: 19 ก.ค. 2561 12:27  โดย: MGR Online

176
นายกสมาคมโรคตับฯ เผย มีคนไทยอีก 1 ล้านคน ป่วย “ไวรัสตับอักเสบ” ไม่รู้ตัว อยู่นอกระบบการรักษา สธ.เร่งค้นหา จัดบริการตรวจหาเชื้อไวรัสฯ ฟรี 83 รพ.ทั่วประเทศ วันที่ 31 ก.ค.- 3 ส.ค. นี้ ด้าน สปสช.บรรจุยาใหม่เพิ่ม 2 สูตร เอ็นจีโอร้องเงื่อนไขใช้ยาใหม่มีปัญหา


วันนี้ (23 ก.ค.) นพ.สมบัติ แทนประเสริฐสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสัปดาห์รณรงค์ตับอักเสบโลก “ตรวจเร็ว รักษาได้ ห่างไกลมะเร็งตับ” ว่า โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ โดยไวรัสตับอักเสบที่เป็นปัญหาสาธารณสุขในไทย คือ ไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งคาดว่า ในไทยจะมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2.2-3 ล้านราย ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง 3-7 แสนราย สำหรับสัปดาห์รณรงค์ตับอักเสบโลก ประจำปี 2561 คำขวัญ คือ “ตรวจเร็ว รักษาได้ ห่างไกลมะเร็งตับ” ขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีได้ฟรี ระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-3 ส.ค. 2561 ที่โรงพยาบาลสังกัด สธ.ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 83 แห่ง ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422


รศ.พญ.วัฒนา สุขีไพศาลเจริญ นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศไทยมีอุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีประมาณร้อยละ 5-8 และไวรัสตับอักเสบซีประมาณร้อยละ 1-2 พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม จากการทำงานที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยยังมีผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบที่อยู่นอกระบบอีกกว่า 1 ล้านคน เพราะไม่แสดงอาการ ทำให้ไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการคาดการณ์ตัวเลข จากการที่ตนทำงานด้านนี้ในพื้นที่ทางภาคอีสานมาประมาณ 10 ปี ซึ่งพบว่า คนอีสานเดินมา 10 คน จะพบ 1 คน มีเชื้อไวรัสตับอักเสบไม่กลุ่มซีก็บี ซึ่งเมื่อมีการคาดการณ์กับตัวเลขของแต่ละภาค ทำให้เชื่อว่าในภาพรวมทั้งประเทศจะมีคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าติดเชื้ออีกประมาณ 1 ล้านคน ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกกำหนดนโยบายให้ทุกประเทศร่วมมือกันกำจัดไวรัสให้หมดไปในปี 2573 จึงจำเป็นต้องจัดระบบตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับได้ โดยมะเร็งตับพบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย อันดับ 3 ในเพศหญิง แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบมะเร็งตับมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ทั้งหญิงและชาย

รศ.พญ.วัฒนา กล่าวว่า หลายคนไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นที่ต้องคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วย 1.คนที่ติดเชื้ออยู่แล้ว ที่มีญาติหรือคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด สามารถบอกเขาให้มาตรวจเชื้อได้ 2.กลุ่มที่ได้รับเลือด ซึ่งมาจากการรับบริการก่อนปี 2535 เนื่องจากสภากาชาดไทยมีการจัดระบบการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นไป 3.กลุ่มที่มีการสัก เจาะที่อาจมีการปนเปื้อนเลือดก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง 4.กลุ่มผู้ที่ใช้สารเสพติด คนที่อยู่ในคุก และ 5.กลุ่มที่มีประวัติครอบครัวป่วยโรคมะเร็งตับ หรือตับอักเสบหรือมีภาวะตัวเหลือง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่ไปตรวจสุขภาพแล้วพบตับอักเสบ ต้องรีบรักษา ส่วนคนตั้งครรภ์ก็ต้องตรวจด้วยเช่นกัน เมื่อทราบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง จะได้เข้าสู่ขบวนการรักษา ซึ่งรัฐบาลให้การรักษาฟรีทุกกองทุน หากทุกคนตระหนักและคัดกรองอย่างต่อเนื่อง ถ้าติดเชื้อก็เข้าสู่การรักษาอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยก็สามารถจะเดินไปถึงการกำจัดไวรัสตับอักเสบให้สิ้นซากได้ในอีก 12 ปีข้างหน้า

ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2561 สปสช. ได้กำหนดสิทธิประโยชน์และดำเนินการจัดหายาเพิ่มเติม สำหรับให้บริการผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพิ่มขึ้นอีก 2 สูตร คือ 1.ยาเม็ดรับประทานโซฟอสบูเวียร์ (Sofosbuvir) 400 มิลลิกรัม เพื่อใช้ร่วมกับยาฉีดเพกอินเตอเฟอรอน (Peginterferon) และยาเม็ดรับประทานไรบาวิริน (Ribavirin) สำหรับการรักษาการติดเชื้อตับอักเสบซีเรื้อรังสายพันธุ์ที่ 3 และ 2.ยาเม็ดสูตรผสมโซฟอสบูเวียร์ 400 มก. และเลดิพาสเวียร์ (Ledipasvir) 90 มก. สำหรับการรักษาการติดเชื้อตับอักเสบซีเรื้อรังสายพันธุ์อื่นทั้งที่มีหรือไม่มีภาวะตับแข็งร่วมด้วย

“สูตรยาที่เพิ่มมานี้ จะสามารถลดระยะเวลาในการรักษาลง จาก 24 สัปดาห์ เป็น 12 สัปดาห์ และมีประสิทธิผลการรักษาที่ดีขึ้นกว่าการใช้ยาฉีดเพกอินเตอเฟอรอน และยาไรบาวิริน สูตรเดิมอย่างเดียว ทั้งนี้ สปสช. ได้ร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถีและองค์การเภสัชกรรม ดำเนินการจัดหาและกระจายให้กับหน่วยบริการตั้งแต่เดือนเมษายน 2561 เป็นต้นมา คิดเป็นมูลค่ายาเม็ดทั้งสิ้น 66,360,000 บาท ซึ่งเป็นการจัดหายาระดับประเทศ ทำให้มีอำนาจในการต่อรองและได้ยาในราคาที่ถูกลงกว่ากระจายให้หน่วยบริการจัดหาเอง” ภก.คณิตศักดิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงาน นายวัชรศักดิ์ วิจิตรจันทร์ เจ้าหน้าที่แผนและนโยบาย มูลนิธิรณรงค์เพื่อการรักษาเอดส์ ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อขอให้มีการปรับเกณฑ์การใช้ยาของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีในระบบหลักประกันสุขภาพมีตัวยาโซฟอสบูเวียและเลดิพาสเวียร์ สำหรับรักษาในจีโนไทป์ที่ 1, 2, 4, 5, 6 และเพกอินเตอเฟอรอน โซฟอสบูเวียร์ ไรบาวิริน สำหรับรักษาจีโนไทป์ที่ 3 แต่ทั้งหมดนี้ได้บรรจุในบัญชียา จ (2) ที่มีเงี่อนไขและแนวทางกำกับที่ชัดเจน โดยเฉพาะการระบุว่า รพ.ที่จะทำการวินิจฉัยโรคต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรองหรือมีประสบการณ์ด้านทางเดินอาหารไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งในความเป็นจริง รพ. ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ รพ.ในท้องถิ่นทีจำนวนแพทย์ดังกล่าวไม่เพียงพอ หากผู้ป่วยต้องการตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซีในแต่ละครั้ง ต้องเดินทางข้ามจังหวัดเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่ได้อยู่ในระบบการรักษา เนื่องจากปัญหาค่าใช้จ่ายและการเดินทาง

รศ.พญ.วัฒนา กล่าวว่า เรื่องนี้ทั้งฝ่ายวิชาการและทางภาครัฐก็ทราบเรื่องดี ซึ่งกำลังเตรียมนำยาที่สามารถรักษาได้ทุกสายพันธุ์เข้ามา ซึ่งอยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) และกำลังหาข้อมูลทางวิชาการมารองรับในเรื่องการตรวจคัดกรองที่ลดราคาลง แต่สามารถตรวจได้ไม่แพ้ของเดิม ทั้งนี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจ อยู่ระหว่างดำเนินการ





เผยแพร่: 23 ก.ค. 2561 โดย: MGR Online

177
วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ร่วมกับสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต จัดการเสวนาวิชาการ เรื่อง “การนำใช้กัญชาทางการแพทย์ตามหลักวิชาการและกฎหมาย” วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ศาลากวนอิม สถาบันจีน-ไทย แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต



โดยมีวิทยากรและหัวข้อบรรยายดังนี้


1. “การใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคตามหลักฐานเชิงประจักษ์”
โดย นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรังสิต


2. “การศึกษาวิจัยเพื่อนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ในต่างประเทศ”
โดย ดร.ภก.วิโรจน์ สุ่มใหญ่ ประธานบริหาร สำนักงานปราบปรามยาเสพติด ประจำกรุงเวียนนา


3. “การขออนุญาตนำกัญชาของกลางมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์”
โดย พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ อำมาตย์โยธิน ผู้กำกับการฝ่ายกฎหมายและวินัยกองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด


4. “การพัฒนาเภสัชภัณฑ์จากสารสกัดกัญชาที่มีประสิทธิผลและความปลอดภัย”
โดย รศ.ดร.ภญ. นริศา คำแก่น ผู้อำนวยการฝ่ายเภสัชกรรมสมุนไพร
และ ผศ.ดร.ภก. ธนภัทร ทรงศักดิ์ คณบดีวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต


ดำเนินรายการโดย อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต


ผู้สนใจเข้าร่วมการเสวนาสามารถลงทะเบียนได้ที่ link : https://goo.gl/forms/dIiDZDI7R2w3fvpm1 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (รับจำนวนจำกัด)




เผยแพร่: 23 ก.ค. 2561   โดย: MGR Online

178
“ขนมปังที่เพิ่งจะซื้อมา ขึ้นราเสียแล้ว” เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่อากาศทั้งร้อน ทั้งชื้น ถ้าเห็นก่อนว่าขนมชิ้นนั้นมันขึ้นรา แล้วก็ทิ้งมันไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ากินเข้าไปจนจะหมดแล้ว ค่อยมาเห็นทีหลังนี่สิ เอามาเพ่งดู ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเห็นชัด ว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเชื้อราอย่างเดียวเท่านั้น แล้วที่นี่จะทำอย่างไร


Omar Oyarzabal ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารของมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ แนะนำว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานขนมปัง และอาหาร ที่มีลักษณะเหมือนมีเชื้อราติดอยู่ แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคของอาหารที่ต่างก็ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อมาสารพัด แตก็ยังมีโอกาสที่เราจะพบเชื้อราในอาหารได้ หากสังเกตเห็นว่าขนมปัง มีจุดเล็กๆ ที่อาจจะเป็นเชื้อรา ให้ทิ้งมันไปทั้งชิ้นเลย


เพราะเชื้อรานั้น จะมีลักษณะเป็นเส้นๆ เหมือนเส้นผมที่เล็ก และบางมาก มันมีราก และแผ่ขยายออกไปแม้ในพื้นผิวที่เรามองไม่เห็น ดังนั้น หากพบเชื่อราเพียงจุดเล็กๆ 1 จุด บนชิ้นขนมปัง ก็ให้โยนมันทิ้งไปให้หมดทั้งก้อน และการจะหลีกเลี่ยงการกินเชื้อรา ก็ทำได้วิธีเดียวคือ สังเกตอย่างรอบคอบ


แต่หากเราเผลอกินอาหารที่มีเชื้อราเข้าไปเรียบร้อยแล้ว จะทำอย่างไรต่อดี?


เชื้อราบนขนมปัง นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นอันตรายมากนัก บางคนกังวลมากว่า เชื้อราเป็นสารพิษ และยังก่อให้เกิดอาการแพ้ แต่เชื่อหรือไม่ เชื้อราธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า เพนิซิลเลี่ยม ที่เป็นราเขียวๆ บนขนมปัง เรานำมาใช้ทำยาปฏิชีวนะที่ชื่อว่า “เพนิซิลิน” แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เชื้อรา แล้วบังเอิญกินเข้าไป อาจเป็นอันตรายได้ อาการแพ้อาจรุนแรงถึงขั้นความดันตก หายใจลำบาก ไปจนถึงหัวใจล้มเหลวเลยทีเดียว

แต่ถ้าหากไม่แพ้ และเผลอกินเชื้อราเข้าไป ก็ไม่ต้องตื่นตกใจ เพราะเชื้อราจะทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ในกรณีที่กินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเท่านั้น

 

เราจะหลีกเลี่ยงเชื้อราได้อย่างไรบ้าง?

1. การหมั่นสังเกต อาหารที่จะซื้อ และก่อนที่จะรับประทานเข้าไป การดม ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเชื้อราไม่มีกลิ่น และลองสังเกตตัวเอง ว่ามีอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น คัดจมูก คัน น้ำตาไหล น้ำมูกไหล คันปาก คันจมูก จากการทานอาหารบ้างหรือไม่


2.  ควรรักษาความสะอาดภายในบ้านให้ดี เพราะนั่นเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเพี่อป้องกันเชื้อรา นอกจากนี้เชื้อราสามารถเติบโต และแพร่สปอร์ออกไปตามพื้นผิวต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ดังนั้นตามตู้เย็น ผ้าเช็ดจาน ภาชนะใส่อาหาร หรือแม้กระทั่งเคาท์เตอร์ในครัว ก็อาจจะมีสปอร์ของเชื้อราเกาะอยู่ได้ จึงควรทำความสะอาดบ่อย ๆ


3. เชื้อราเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้น หากเป็นไปได้ ควรควบคุมระดับความชื้นภายในบ้าน ไม่ให้เกิน 40%


4. ควรทำความสะอาดภายในตู้เย็นบ่อยๆ อย่างน้อยเดือนหรือสองเดือนครั้ง ด้วยการนำเบกกิ้งโซดา มาละลายน้ำ แล้วเช็ดทำความสะอาด และจุดไหน ที่น่าสงสัยว่าจะมีเชื้อรา ก็ให้นำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำ มาขัดออก ส่วนผ้าเช็ดจาน หากเริ่มมีกลิ่น ก็ให้นำไปทิ้งเสียดีกว่าจะซักมาใช้อีก เพราะนั่นอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อราแพร่กระจายในบ้านต่อไป




ขอขอบคุณ
21 ก.ค.61  ข้อมูล :rodalesorganiclife.com

179
วันนี้ (23 ก.ค.) รศ.ดร.จิรดา สิงขรรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การออกประกาศห้ามใช้ “ไขมันทรานส์” ในการห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่าย ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารไทย จึงต้องปรับตัว โดย มธ.มีข้อแนะนำใน 4 ขั้นตอน เพื่อลดต้นทุนในการกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร คือ 1. เลือกใช้น้ำมันที่สกัดจาก “ปาล์ม” หรือ “มะพร้าว” แทน เพราะมีคุณสมบัติยืดอายุอาหารคล้ายไขมันทรานส์ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และต้นทุนต่ำ 2. ผสมน้ำมันเมล็ดปาล์มกับน้ำมันอื่นๆ เพื่อปรับลักษณะให้ใกล้เคียงกับไขมันทรานส์ คือจุดหลอมเหลวสูง เสถียรต่อการเกิดออกซิเดชันสูง อ่อนตัวได้เร็ว สัดส่วนไขมันที่เป็นของแข็ง และการทำสมบัติต่อการอบขนมที่ดี 3. เปลี่ยนแปลงผ่านเทคนิคทางเคมี ได้แก่ เปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยา มิให้เกิดไขมันทรานส์ในกระบวนการผลิต การเติมสารสร้างความเป็นเจลให้กับน้ำมัน เป็นต้น และ 4. การปรับเปลี่ยนพันธุกรรม สำหรับน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน



ผศ.ดร.บุศราภา ลีละวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มธ. และผู้อำนวยการโครงการผลิตและจำหน่ายขนมอบ ภายใต้แบรนด์ Bake@Dome กล่าวว่า กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Bake@Dome ได้คัดเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี การเลือกใช้น้ำมันหรือไขมันทุกชนิดในสูตร จะเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับล่าสุดกำหนด ทั้งนี้ ในปัจจุบัน มีผู้ผลิตมาการีน หรือเนยขาว ที่ปราศจากไขมันทรานส์ออกมาจำหน่ายหลากหลายบริษัทด้วยกัน ควรเลือกใช้มาการีนที่มีจุดหลอมเหลวสูง ทนต่อการรีดหรือพับในกระบวนการผลิต และมีปริมาณไขมันทรานส์ที่ฉลากโภชนาการเป็น “ศูนย์” จะทำให้ได้ชั้นแป้งที่เกิดจากแผ่นแป้งหลายชั้นซ้อนกันจากเนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นภายในแป้ง พายชั้นที่ได้มีความกรอบเบา และมีรสชาติอร่อย นอกจากนี้ ยังเลือกใช้เนยสดซึ่งเป็นไขมันธรรมชาติจากน้ำนมวัวเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ประเภทเค้ก คุกกี้ ขนมปัง เช่น เค้กคัสตาร์ต มัฟฟินลูกเกด พายหมูหยอง ขนมปังเนยสด คุ้กกี้เนยสด ฯลฯ มานานแล้ว โดยที่ไม่ได้ผสมไขมันประเภทมาการีนหรือเนยขาวที่เป็นแหล่งของไขมันทรานส์เลย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของทางร้านมีกลิ่นรส และรสชาติที่อร่อยเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค




ผยแพร่: 23 ก.ค. 2561   โดย: MGR Online

180
สธ.เตรียมจัดงานครบรอบ 100 ปี วันที่ 18-20 ก.ค. ลั่นศตวรรษหน้าลุยระบบการแพทย์ปฐมภูมิ ไม่ใช่รอป่วยแล้วไปหาหมอ ต้องสร้างเสริมสุขภาพดีตั้งแต่ต้น


วันนี้ (2 ก.ค.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การสาธารณสุขได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2461 ซึ่งในปี 2561 ก็ถือว่าครบรอบ 100 ปีการสาธารณสุขไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขมีความเจริญก้าวหน้ามาก ผ่านมาทั้งวิกฤตและโอกาส จนทำให้ประเทศไทยที่แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ไม่ร่ำรวย แต่ก็มีระบบการสาธารณสุขที่เป็นตัวอย่างให้กับนานาชาติได้หลายๆ เรื่อง และสามารถสร้างสุขภาวะให้แก่ประชาชนได้ดีที่สุดเท่าที่จะมีโอกาส และทิศทางอนาคตต่อจากนี้ จะเน้นเรื่องการระบบการแพทย์ปฐมภูมิ ไม่ใช่รอป่วยแล้วไปหาหมอเพื่อรักษาอย่างเดียว แต่เราจะต้องเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีตั้งแต่ต้น มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ดูแลคนไทยในจำนวนที่เหมาะสม เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องรักษาก็สามารถให้การรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ค่ารักษาที่เหมาะสม


นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สธ.จะมีการจัดงานครบรอบ 100 ปี การสาธารณสุขไทย ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพคเมืองทองธานี ในวันที่ 18-20 ก.ค.นี้ โดยในวันที่ 18 ก.ค.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานพร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อสุขภาพคนไทย” พร้อมกันนี้ ภายในงานยังจะมีการจัดแสดงนิทรรศการด้านการสาธารณสุขให้ชมอีกด้วย


ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ถ้าพูดถึงเรื่อง 100 ปี ก็ต้องนึกถึงการแพทย์โบราณ ยาสมุนไพร ภูมิปัญญาท้องถิ่น ดังนั้นทางกรมจึงได้จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 15 ขึ้นในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย ภายใต้หัวข้อ “โลกมั่นใจ สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย” ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องสำคัญ ที่มีบทบาทใยการดูแลสุขภาพของคนไทยมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ท่านนายกฯ เองบอกว่านอกจากเอาสมุนไพรไทยมาช่วยส่งเสริมสุขภาพของคนไทยแล้วก็น่าจะต่อยอดในทางเศรษฐกิจได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสมุนไพรไทยถือว่าได้รับความนิยมมาก นำรายได้เข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี เช่น เครื่องสำอาง มีมูลค่า 192,600 ล้านบาท อาหารเสริม 51,848 ล้านบาท และยาสมุนไพร 7,548 ล้านบาท หรืออย่างลูกประคบก็ได้รับความนิยมมีการจำหน่ายปีละกว่า 1 แสนลูก ดังนั้น ขอเชิญชวนประชาชนไปเที่ยวชมได้






เผยแพร่: 2 ก.ค. 2561   โดย: MGR Online

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 19