การดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพเป็นหน้าที่หลักของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายการการป้องกันรักษาโรคของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเข้าถึงการบริการมากที่สุด แม้รัฐบาลจะผ่านไปกี่ยุคสมัยแต่เป้าหมายหลักของ สปสช.ก็ยังเป็นการทำงานเพื่อดูแลป้องกันสุขภาพประชาชนให้ห่างไกลจากโรคร้ายโดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้อยู่อย่างมีความสุขไม่เป็นภาระครอบครัวและสังคม
น.พ.วินัย สวัสดิวร เลาขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ สปสช.ในปี 2555 ยังมีเป้าหมายในการทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน การสร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตามความจำเป็น และไม่ล้มละลายจากการเจ็บป่วย ด้วยบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และประชาชนพอใจ โดยคำนึงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงให้ความสำคัญกับการป้องกันรักษาสุขภาพของตนเอง และพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีความคล่องตัวรวดเร็ว และการกระจายงบประมาณอย่างทั่วถึง รวมทั้งการจัดกิจกรรมตามแนวพระพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สปสช.ได้มีการจัดโครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระต่างๆ เป็นโครงการต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้พิการที่ยากไร้ได้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ห่างไกลจากความพิการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาทิ โครงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับในเด็กที่มีภาวะตับวายแต่กำเนิดเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสครบรอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กโรคท่อน้ำดีตีบตันตั้งแต่กำเนิด (Biliary atresia) ซึ่งในแต่ละปีมีเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับประมาณ 30-40 รายต่อปี โครงการจัดหาและบริการดวงตาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 82 พรรษา ตั้งแต่ปี 2552-2556 โดยจะให้บริการดวงตาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายกระจกตา และอบรมการเจรจา การจัดหา การจัดเก็บ การจัดสรร และการจัดหาดวงตา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทักษะความรู้ เทคนิค และประสบการณ์ในการพัฒนาระบบการจัดเก็บ การจัดสรรดวงตา และการจัดหาให้มีประสิทธิภาพและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาผู้ป่วยกระจกตาพิการ รวมถึงวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาโครงการส่งเสริม สุขภาพและป้องกันภาวะตาบอดจากเบาหวาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานได้รับการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนทางตาและผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนทางตา ได้รับการยิงเลเซอร์ป้องกันภาวะตาบอดจากเบาหวาน
โครงการผ่าตัดเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 84 พรรษา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรง โดยศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นศูนย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางด้านการดูแลรักษาผู้ที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรง (severe craniofacial deformities) เพื่อให้การรักษาผ่าตัดผู้ที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะชนิดรุนแรงทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และโครงการแพทย์ชนบทคืนถิ่น "แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว" เป็นการมอบทุนศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศกับแพทย์ในชนบทที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มพูนพัฒนาทักษะการรักษาคนไข้ ก่อนกลับมาปฏิบัติงานชดใช้ทุนใน รพ.ชุมชน
น.พ.วินัย กล่าวว่า สำหรับการบริหารจัดการระบบที่มีเอกภาพ จะช่วยยกระดับการรักษาให้มีมาตรฐานและความรวดเร็วในการให้บริการ ผู้รับบริการจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด โดยมีเป้าหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็น CEO ของเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพ ส่วนองค์กรท้องถิ่นจะมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายงานสร้างสุขภาพ และกระจายงบประมาณลงสู่พื้นที่ สนับสนุนให้หน่วยบริการเอกชนเข้าร่วมให้บริการ เพื่อลดเวลาการรอคิวรับการผ่าตัดในโรคที่สำคัญ เช่น หัวใจ มะเร็ง ต้อกระจก
นอกจากนี้ สปสช.ยังได้จัดงบประมาณกว่า 90 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 41 รวมทั้งสนับสนุนให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยระดับจังหวัด ผ่านกลไกภาครัฐและประชาชน โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือจำนวนประมาณ 700 บาท
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีความกังวลว่า หากมีการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทในการรักษา จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนที่ยากไร้ในเรื่องดังกล่าว ทางคณะกรรมการ สปสช.และผู้เกี่ยวข้องได้มีข้อสรุปว่า การเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทนั้นจะเน้นให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนมากที่สุด สำหรับกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น คือ กลุ่มคนยากจน และกลุ่มที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือ โดยขอความร่วมมือจาก อสม. และ อบต.ทำการสำรวจและจัดส่งฐานข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบสิทธิ
อีกทั้งจะมีการพัฒนาสถานบริการใกล้บ้านใกล้ใจ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อลดความแออัดใน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมทั้งพัฒนาระบบการส่งต่อ-รับกลับแบบไร้รอยต่อ ซึ่งการบริหารจัดการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ สปสช.จะจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการต่างๆ เป็นจำนวน 329.65 บาทต่อหัว ผ่านกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อการพัฒนาระบบการสร้างเสริมสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
น.พ.วินัย กล่าวว่า หากมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ โรคระบาด และภัยสุขภาพ ทาง สปสช.ได้มีการเตรียมงบประมาณจากทุนสำรองกรณีฉุกเฉินมีสามารถเบิกจ่ายได้ทันทีพร้อมกับเตรียมแผนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
การทำงานเชิงรุกด้านการป้องกันเป็นอีกงานหนึ่งที่ทาง สปสช.ได้ดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคัดกรองผู้ป่วยในโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็งปากมดลูก รวมทั้งการส่งเสริมให้เด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ รวมทั้งแรงงานต่างด้าว ได้รับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีนแก่สตรีตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีน ฟื้นฟูผู้พิการ และส่งเสริมให้มีการใช้แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบสาธารณสุขทุกระดับ ตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งในภาพรวมจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศ และเป็นการสนับสนุนภูมิปัญญาไทย
"ส่วนการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ให้บริการได้รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ เพื่อการเข้าถึงบริการและช่วยลดความขัดแย้งในระบบริการ สุขภาพ ผ่านกลไกสื่อและประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งสื่อท้องถิ่น พัฒนาศูนย์บริการประชาชนให้เป็น National Health Call Center ที่เชื่อมโยงกับบริการสายด่วนของรัฐ ด้านสุขภาพ และพัฒนาเว็บไซต์ของ สปสช. เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลด้านบริการสุขภาพของประชาชนและหน่วยบริการ ดังนั้นการให้ความรู้เรื่องสิทธิและข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินงานในระบบประกันสุขภาพไปในทิศทางเดียวกันทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ" น.พ.วินัย กล่าว
บ้านเมือง 8 ตุลาคม 2554