ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-27 ก.ค.2556  (อ่าน 899 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9789
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-27 ก.ค.2556
« เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2013, 23:10:09 »
 1. มือดีแพร่คลิปอ้างอัลกออิดะห์ขู่ฆ่า “ทักษิณ” ล้างแค้นแทนชาวมุสลิมภาคใต้ที่ถูกสังหาร ชี้ เวลาของ “ทักษิณ” หมดแล้ว!

       เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ได้มีผู้ใช้นามว่า mansoor ahmed Volvo โพสต์คลิปวิดีโอลงในเว็บไซต์ยูทูบ โดยใช้หัวข้อว่า “Al-Qaeda video against former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra.” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “คลิปวิดีโอจากอัลกออิดะห์เพื่อต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร” โดยมีความยาวประมาณ 2.45 นาที จำนวน 2 คลิป ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกัน
       
       สำหรับเนื้อหาในคลิป ถูกแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นภาพชายในชุดเสื้อคลุมคล้ายชาวอาหรับพร้อมผ้าคลุมหน้า โดยชายคนหนึ่งถืออาวุธปืน ขณะที่อีกคนถือกระดาษที่พิมพ์ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผู้หลบหนีคำพิพากษาโทษจำคุก 2 ปีของศาลฎีกาฯ ขณะที่ชายคนกลางอ่านแถลงการณ์เป็นภาษาต่างประเทศ ส่วนช่วงที่ 2 ของคลิปเป็นภาพชายสวมชุดคลุมสีขาวเปิดหน้า หนวดเคราเฟิ้ม พร้อมชูภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่มีเสียงภาษาอังกฤษอ่านประกอบ แปลความเป็นภาษาไทยว่า “ทักษิณ ชินวัตร เวลาของคุณหมดลงแล้ว สิ่งที่คุณได้ทำไว้กับพี่น้องชาวมุสลิมของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ตอนนี้ถึงเวลาต้องชำระความแล้ว คุณได้สังหารพี่น้องชาวมุสลิมของเราในภาคใต้ของไทย และคุณได้สั่งให้มีการโจมตีมัสยิดกรือเซะ ในเมืองไทยในการลุกฮือขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2004 และฆ่าชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์ และตอนนี้คุณก็ยังดำเนินนโยบายอันชั่วร้ายในภาคใต้ของไทย ผ่านรัฐบาลหุ่นเชิดที่ดำเนินการโดยน้องสาวของคุณ คุณจะเห็นทีมล่าสังหาร (Dead Squad) ด้านหลังของผม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราขอแจ้งเตือนคุณไว้ก่อนว่า เราจะพยายามสังหารคุณทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าที่ไหนในโลก คุณจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เราจะฆ่าคุณเพื่อล้างแค้นให้กับพี่น้องชาวมุสลิมของเรา และเราขอเรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั้งหมดทุกชาติในโลกให้จดจำคุณและสังหารคุณในทุกที่ ...”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คลิปดังกล่าวถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 64 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ พอดี แต่ยังไม่แน่ชัดว่า คลิปดังกล่าวว่ามาจากอัลกออิดะห์ องค์กรก่อการร้ายระดับโลกจริงหรือไม่
       
       2. วิป รบ. เมินม็อบต้าน ดันสภาพิจารณาร่าง กม.นิรโทษฯ 7 ส.ค. ด้าน ปชป. ขู่ยื่นศาล รธน. ขณะที่ อพส. ย้ำ ชุมนุม 4 ส.ค.!

       เมื่อวันที่ 24 ส.ค. คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ได้ประชุมเพื่อลงมติว่าหลังสภาเปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปในวันที่ 1 ส.ค.แล้ว จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใดก่อน ซึ่งชัดเจนว่า วันที่ 1 ส.ค.จะไม่มีการพิจารณาร่างกฎหมาย เพราะต้องพิจารณากระทู้ถามและกระทู้ถามสด ส่วนวันที่ 7-8 ส.ค. มีปัญหาว่า จะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับใดก่อน ระหว่างร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย หรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ ส.ว. ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 คาดว่าจะเข้าที่ประชุมสภาในวันที่ 14-15 ส.ค. ส่วนร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่วาระในวันที่ 21-22 ส.ค.
       
       ด้านนายวรชัย เหมะ พยายามผลักดันให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรกในวันที่ 7 ส.ค. โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน พร้อมชี้ว่า กลุ่มที่คัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษฯ ก็หน้าเดิมๆ ดังนั้นรัฐบาลไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้ารัฐบาลจะล้มก็ให้รู้ไป ซึ่งในที่สุด วิปรัฐบาลได้มีมติให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรกในการประชุมสภาฯ วันที่ 7 ส.ค. โดยอ้างว่า เพราะเป็นวาระที่ได้เลื่อนค้างไว้ตั้งแต่สมัยประชุมที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ในวันดังกล่าวจะเป็นการประชุมวาระ 1 คือรับหลักการเท่านั้น ส่วนจะนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับอื่นมาร่วมพิจารณาด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสมาชิก
       
       ด้านพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ไม่เห็นด้วยกับมติของวิปรัฐบาล จึงได้ประกาศจุดยืนของพรรคฯ ว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ จะเป็นชนวนสร้างความรุนแรงในประเทศ ดังนั้นพรรคฯ ขอยืนยันจุดยืนเดิมให้รัฐบาลถอนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษฯ 6 ฉบับออกจากวาระการประชุมสภา จากนั้นให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการหารือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาทางออกให้ประเทศ สำหรับแนวทางในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ นั้น พรรคฯ จะประชุม ส.ส.เพื่อหาข้อสรุปในวันที่ 31 ก.ค. พร้อมย้ำว่า พรรคฯ ไม่ได้มีส่วนในการปลุกม็อบให้มาชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ แต่อย่างใด
       
       ส่วนกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ต่อที่ประชุมพรรค เพื่อส่งประกบเข้าไปพิจารณาในสภาฯ โดยมีเนื้อหาคล้ายร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับประชาชนของคนเสื้อแดงที่เสนอโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหา 3 ประเด็น คือ ขยายเวลาการนิรโทษฯ ให้ครอบคลุมถึงปี 2548 ,ไม่นิรโทษฯ ให้กับความผิดที่จงใจก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินราชการและเอกชน และไม่นิรโทษฯ ความผิดในคดีทุจริตและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ปรากฏว่า มติพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยที่จะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ประกบเข้าไปพิจารณาในสภาฯ เนื่องจากเห็นว่า ควรถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ทุกฉบับออกจากสภามากกว่า แล้วมาหาทางออกให้กับประเทศร่วมกัน ซึ่งนายอลงกรณ์ไม่ได้ติดใจและพร้อมทำตามมติพรรค ด้วยการไม่ใช้สิทธิ ส.ส.เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ของตนเข้าสภาฯ
       
       ทั้งนี้ การที่รัฐบาลพยายามเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ให้ผ่านสภา โดยไม่สนใจจะแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีของรัฐบาลต่อสภาฯ ก็ส่งผลให้นายศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพราะการไม่ยอมรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลต่อรัฐสภาภายในกำหนด 1 ปี ถือว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 และผิดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 ถือเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง จึงเป็นอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการตามมาตรา 270 เพื่อส่งเรื่องให้วุฒิสภาใช้อำนาจถอดถอนต่อไป
       
       ขณะที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า วันที่ 30 ก.ค. คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) จะประชุมหารือกรณีที่สภาจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เป็นวาระแรก เพราะขณะนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เกรงว่าวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาฯ วันแรก จะมีการรวบรัด อาศัยจังหวะที่ผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ยังไม่มา เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ทันที โดยเชื่อว่าการกำหนดพิจารณาร่างดังกล่าวในวันที่ 7 ส.ค. เป็นเพียงเกมหลอกเท่านั้น นายบุญยอด ยังเตือนด้วยว่า หากมีการพิจารณากฎหมายดังกล่าวจริง จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอน เพราะร่างกฎหมายฉบับนายวรชัย มีผู้เซ็นชื่อสนับสนุน 7-8 คน ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย คนเหล่านี้มีสิทธิเสนอกฎหมายนิรโทษฯ ที่ตัวเองมีส่วนได้เสียหรือไม่ จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
       
       สำหรับความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ที่เตรียมชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ทางแกนนำกลุ่ม ได้แก่ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ,พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตแกนนำเครือข่ายคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน และนายไทกร พลสุวรรณ ได้ประชุมและออกแถลงการณ์ให้กองทัพประชาชนฯ ในแต่ละจังหวัด จัดตั้งมวลชนเพื่อมาเข้าร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 ส.ค. และว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ จึงให้แต่ละจังหวัดเตรียมความพร้อมสูงสุดในการระดมมวลชนเข้าร่วมเป็นระยะ ส่วนสถานที่ชุมนุมนั้น ยังไม่ขอเปิดเผย เพราะเกรงว่ารัฐบาลจะขัดขวางการชุมนุม
       
       ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) ก็เตรียมกำลังไว้รับมือม็อบแล้ว โดยบอกว่า บช.น.เตรียมกำลังไว้ 9 กองร้อย พร้อมกำลังเสริมอีก 9 กองร้อย เพื่อรับมือผู้ชุมนุมกลุ่ม อพส.และกลุ่มต่างๆ ที่นัดชุมนุมในวันที่ 4 ส.ค. และว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาคต่างๆ นำกำลังมาเสริมด้วย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังพูดเหมือนขู่ผู้ชุมนุมด้วยว่า “ไม่มีอีกแล้วที่จะไปยึดทำเนียบฯ ปิดรัฐสภา เป็นม็อบอันธพาลแบบเก่า ไม่มีอีกแล้ว ต้องอยู่ในจุดที่กำหนดไว้ แต่ม็อบที่จะไปปิดล้อมไม่ให้เขาเข้า ต้องไม่มี ต้องอยู่ในกรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเข้าไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย คุณจะไปปิดไม่ให้เขาเข้าเพื่ออะไร เรื่องนี้ใครผิดก็ว่ากันไป”
       
       ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมายืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ไปยุ่งกับผู้ชุมนุมกลุ่ม อพส.ในวันที่ 4 ส.ค.แน่นอน “ตอนนี้สถานการณ์การเมืองดั่งสงคราม ดังนั้น เราขอแสดงจุดยืนบอกพี่น้องเสื้อแดงว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นของกลุ่มกองทัพสนามม้าแม้แต่คนเดียว ให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของตำรวจเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการเผชิญหน้ากับกลุ่มเหล่านี้ที่จะใช้พวกเราเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อจะล้มกระดาน”
       
       ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงกรณีที่พันธมิตรฯ เคยประกาศว่า ถ้ามีการนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เข้าสภาเมื่อใด พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหว โดยยืนยันว่า ตนและแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นๆ จะไม่ออกมาชุมนุม เนื่องจากเคยถูกพรรคประชาธิปัตย์เอาเชือกมาแขวนคอไว้ เรื่องคดีสนามบิน ทำเนียบฯ และรัฐสภา หากออกมาชุมนุม ศาลอาญาก็จะเรียกพวกตนไปไต่สวนทันที หากเขาเห็นว่าผิดเงื่อนไขการประกัน ก็จะถอนประกัน แล้วคดีนี้ต้องสู้กัน 10 ปี แสดงว่าพวกตนต้องสู้คดีในคุก 10 ปีใช่หรือไม่
       
       ทั้งนี้ นายสนธิ ย้ำว่า ประเด็นที่พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยในการออกกฎหมายมี 2 ประเด็น คือ ให้คนทำผิดมาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพ้นโทษ และการแปรญัตติเพื่อให้ทักษิณพ้นผิด โดยประเด็นมาตรา 112 เป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อะไรสำคัญกว่า ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสนธิ เชื่อว่า ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแล้ว เพราะไม่มีความจริงใจต่อประชาชน ถ้าอยากแสดงให้เห็นว่าจริงใจ ต้องลุกขึ้นมาประกาศเลยว่าการเมืองแบบนี้ไม่เล่น และไถ่โทษด้วยการลาออกจาก ส.ส.ให้หมดทุกคน แล้วมาเล่นการเมืองภาคประชาชนไปเลย
       
       นายสนธิ ยังพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า วันนี้ บุญเก่าของทักษิณหมดแล้ว ต้องมารับกรรมเก่าของตัวเอง ทุกวันนี้ทักษิณพยายามสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ซึ่งช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดหนีกรรมพ้น “ผมเชื่อว่า พ้นวันเกิดเขาวันนี้(26 ก.ค.)แล้ว กรรมจะเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาแล้ว คอยดูจะมีอะไรที่ประหลาดๆ เกิดขึ้นกับทักษิณ ผมเชื่ออย่างมาก แล้วคนที่ร่วมหัวจมท้ายกับทักษิณ ข้าราชการที่ไปหาทักษิณ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการหลายคน รวมทั้ง ส.ส.ที่บินไปหาทักษิณ จะฉิบหายกันหมด”
       
       ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อัดคลิป “เปิดใจทักษิณ 64 ปี” ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดเมื่อวันที่ 26 ก.ค.โดยบอกว่า 7 ปีที่ต้องระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือได้รู้ได้เห็นเยอะ แต่ข้อเสียคือคิดถึงครอบครัว คิดถึงแผ่นดินไทย และว่า อยากเห็นประเทศกลับสู่ความปรองดอง ตนพร้อมเสียสละ “ผมจะกลับบ้านปีไหนไม่เป็นไร แต่ความปรองดองกลับสู่ประเทศไทยเมื่อไร จะถือเป็นความสุขที่สุดยอด เพราะผมคิดเอาชาติบ้านเมืองก่อน เรื่องตัวเองไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมถือว่าบ้านเมืองเป็นหลัก พี่น้องประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น ผมพร้อมเสียสละ”
       
       3. แบดไทยฉาวทั่วโลก อดีตคู่หูนรกแตก “อาร์ท-เอ” ไล่ชกกันนัวกลางสนามแข่งที่แคนาดา ด้านสหพันธ์แบดฯ โลก ตั้งข้อหาหนัก -ให้ทั้งคู่แจงภายใน 30 ก.ค.!

       วงการแบดมินตันไทยเกิดเรื่องฉาวไปทั่วโลก เมื่ออดีตคู่หู บดินทร์ อิสระ หรือ อาร์ท และมณีพงศ์ จงจิตร หรือ เอ วิ่งไล่ต่อยกันในสนาม ระหว่างการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศชายคู่ “โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น” ที่ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 22 ก.ค.
       
       สำหรับการแข่งขันดังกล่าว เอ-มณีพงศ์ จับคู่กับนิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร หรือ ต้นน้ำ และอาร์ท-บดินทร์ จับคู่กับ ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ หรือ ท็อป โดยหลังจบเกมแรก คู่มณีพงศ์ชนะไปก่อน 21-12 แต่ระหว่างเกม เอ-มณีพงศ์ กับอาร์ท-บดินทร์ ยั่วโมโหกันตลอด จากนั้นระหว่างสลับแดนก่อนเริ่มเกมสอง อาร์ท-บดินทร์ ได้เปิดฉากต่อยเอ-มณีพงศ์ เมื่อเอวิ่งหนี อาร์ทก็วิ่งตาม ก่อนที่เอจะใช้แร็กเก็ตฟาดเข้ากกหูขวาของอาร์ท จนเลือดออก ส่งผลให้อาร์ทวิ่งไล่ตามด้วยความไม่พอใจ โดยช่วงหนึ่งอาร์ทได้หยิบเก้าอี้ทุ่มใส่เอ แต่ไม่ถูก ก่อนจะวิ่งไล่ต่อ กระทั่งวิ่งตามทันและยื้อยุดจนเอล้มลง จากนั้นอาร์ทได้ระดมต่อยและเตะเอ กระทั่งเจ้าหน้าที่ทีมไทยรีบเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน ด้านกรรมการตัดสินใจยกเลิกการแข่งขัน และให้คู่ของเอ-มณีพงศ์ ชนะฟาวล์ไป
       
       ทั้งนี้ ได้มีผู้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวสู่สายตาคนทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทย หลังเกิดเหตุ เอ-มณีพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์ข้ามประเทศว่า อาร์ท-บดินทร์ เป็นฝ่ายลงมือก่อน
       
       ด้านอาร์ท-บดินทร์ ได้ถ่ายคลิปเปิดใจขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ผมขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากโดนแร็กเก็ตฟาดหูจนเลือดออก หูฉีก ทำให้ขาดสติ ผมต้องขอโทษแฟนๆ ชาวไทยที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศชาติ ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ขอให้เรื่องจบลงแค่ตรงนี้”
       
       ขณะที่นางยาใจ อิสสระ มารดาของอาร์ท-บดินทร์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยน้ำเสียงสะอื้น หลังเดินทางจาก จ.อุตรดิตถ์ มารับลูกชายที่เดินทางกลับจากแคนาดาเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 24 ก.ค.ว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับว่า อาร์ทเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าผิดทั้งคู่ พร้อมวิงวอนให้สังคมให้อภัยและให้ความยุติธรรมกับลูกชาย
       
       ด้านสหพันธ์แบดมินตันโลก(BWF) ได้ลงมติต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.ค. โดยตั้งข้อหาทั้งอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์ สำหรับอาร์ทถูกตั้งข้อหา 5 ข้อ คือ 1. การแสดงออกไม่เหมาะสมหลายอย่าง 2. การด่าทอหรือการใช้วาจาไม่สุภาพ 3.การทำร้ายร่างกาย 4.การแสดงออกที่ไม่เหมาะสมกับวินัยนักกีฬา และ 5.การประพฤติตนเป็นการเสื่อมเสียต่อเกมแบดมินตัน ส่วนเอ-มณีพงศ์ ถูกตั้งข้อหา 3 ข้อ คือ 1.การแสดงออกไม่เหมาะสม 2.การด่าทอหรือการใช้วาจาไม่สุภาพ และ 3.การแสดงที่ไม่เหมาะสมกับวินัยนักกีฬา ทั้งนี้ ทางสหพันธ์ฯ ให้อาร์ทและเอส่งเอกสารชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อทางสหพันธ์ฯ ภายในวันที่ 30 ก.ค. จากนั้นสหพันธ์ฯ จะตัดสินโทษในวันที่ 2 ส.ค.
       
       ขณะที่คณะกรรมการบริหารสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ได้ประชุมพิจารณาโทษอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์แล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ค. โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เผยผลประชุมว่า “คณะกรรมการของสมาคมได้พิจารณาโทษดังต่อไปนี้คือ 1.บดินทร์ อิสระ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ซึ่งถือเป็นโทษที่ร้ายแรง โดนแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับแบดมินตันทั้งในและต่างประเทศตลอดชีวิต แต่เนื่องจากได้ทำผลงานให้ไทยมีชื่อเสียง และสารภาพ ทำให้โทษลดเหลือ 2 ปี ขณะที่มณีพงศ์ จงจิตร ที่ไม่ได้ทำร้าย แต่มีเจตนายั่วยุผู้อื่นให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท โดนแบนห้ามลงแข่งขันทั้งในและต่างประเทศเป็นเวลา 6 เดือน แต่เนื่องจากทำผลงานทำให้ไทยมีชื่อเสียง และยอมรับความผิด โดนลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 3 เดือน และโดนภาคทัณฑ์อีกด้วย"
       
       ทั้งนี้ นางรุ่งนภา พินทุวัฒน์ ผู้จัดการแบดมินตันทีมชาติไทย และนายศิริพงษ์ ศิริกูล โค้ชของสมาคมฯ ก็โดนลงโทษเช่นกัน โดยห้ามคุมทีมเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากไม่สามารถควบคุมนักกีฬาได้ ขณะที่นายเจน ปิยะทัต ประธานสโมสรแกรนนูลาร์ ต้นสังกัดของอาร์ท-บดินทร์ ก็โดนลงโทษเช่นกันแต่หนักกว่า เนื่องจากฝั่งแกรนนูลาร์เป็นฝ่ายเริ่มกระทำก่อน จึงโดนห้ามคุมนักกีฬาไปแข่งขันเป็นเวลา 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทุกคนที่โดนลงโทษสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่คณะกรรมการบริหารสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยจะประชุมพิจารณาโทษอาร์ท-บดินทร์ และเอ-มณีพงศ์ ได้มีการเชิญทั้งคู่มารับทราบข้อกล่าวหาของทางสหพันธ์แบดมินตันโลก จากนั้นอาร์ทและเอได้จับมือกันพร้อมกล่าวขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน โดยอาร์ท บอกว่า “ผมต้องขอโทษเออีกครั้ง ขอโทษนายกสมาคมฯ เลขาธิการฯ และคนไทยทุกคนที่ทำให้เสียชื่อเสียงของประเทศชาติ” ขณะที่เอ ก็ได้กล่าวทำนองเดียวกันว่า “ผมต้องขอโทษคนไทย คนในวงการแบดมินตันไทย แบดมินตันแคนาดา ที่ผมได้ทำเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อประเทศชาติ” พร้อมกันนี้ เอ ยังยอมรับด้วยว่า ได้มีการยั่วยุในเกมนัดชิงชนะเลิศจริง “ผมยอมรับว่าได้มีการยั่วยุในเกมดังกล่าวจริง และแจกกล้วยให้บดินทร์ ตามที่มีคนได้แจ้งมา เนื่องจากตนต้องการทำลายสมาธิคู่ต่อสู้ ก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายตามมา”
       
       อนึ่ง อาร์ท-บดินทร์ และ เอ-มณีพงศ์ เคยเป็นคู่หูนักแบดมินตันไทยประเภทชายคู่ และร่วมกันสร้างชื่อเสียงโด่งดังทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ฤดูร้อน 2012 “ลอนดอนเกมส์” เมื่อเดือน ส.ค.2555 ก่อนพ่ายให้กับอดีตคู่มือหนึ่งของโลกจากมาเลเซีย และด้วยสไตล์การเล่นของทั้งคู่ที่ดุดัน หนักหน่วง และรวดเร็ว ทำให้ได้รับฉายาจากแฟนกีฬาชาวไทยว่า “คู่หูนรกแตก” อย่างไรก็ตาม หลังจบโอลิมปิกเกมส์ 2012 มีข่าวว่าทั้งคู่แตกคอกันอย่างรุนแรง จนต่างประกาศแยกทางกัน เป็นอันปิดฉากคู่หูนรกแตกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
       4. อย. แนะ ซาวข้าวช่วยลดสารตกค้าง ด้านเครือข่ายต้านสารเคมี ยัน ไม่จริง เหตุสารซึมลึกถึงโมเลกุล ขณะที่สมาคมข้าวถุง ลั่น กินแล้วตาย จ่าย 20 ล้าน!

เครือข่ายต่อต้านสารเคมีฯ ยืนยัน การล้างข้าวหรือซาวข้าว ไม่สามารถขจัดสารตกค้างโบรไมด์ไอออนที่เมล็ดข้าวได้ตามที่ อย.ระบุ เพราะสารซึมลึกถึงระดับโมเลกุล

       เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่ เพื่อกำหนดค่าตกค้างของสารคมควัน 3 ชนิดในข้าวสารบรรจุถุง ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการกำหนดค่ามาตรฐานในข้าวสารมาก่อน โดยกำหนดให้สารไฮโดรเจน ฟอสไฟด์ มีปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดไม่เกิน 0.1 มิลลิกรัมของสารต่อ 1 กิโลกรัมของอาหาร(พีพีเอ็ม) ,สารเมทิล โบรไมด์ ไม่เกิน 0.01 พีพีเอ็ม และสารซัลเฟอริล ฟลูออไรด์ ไม่เกิน 0.1 พีพีเอ็ม พร้อมย้ำว่า ทั้งหมดนี้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ(CODEX)
       
        ภญ.ศรีนวล ยังยืนยันด้วยว่า การแนะนำให้ประชาชนล้างข้าวหรือซาวข้าว สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนได้แน่นอน ซึ่งจากการทดลองพบว่า ในการซาวข้าวครั้งแรก โบรไมด์ไอออนหายไปถึง 85% ยังไม่รวมการนำไปหุง ซึ่งจะละลายโบรไมด์ไอออนได้อีก
       
        อย่างไรก็ตาม น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานมูลนิธิชีววิถี เครือข่ายต่อต้านสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้ออกมาแย้งว่า การล้างข้าวหรือซาวข้าว ไม่สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนที่เมล็ดข้าวได้ “การแนะนำให้ประชาชนป้องกันตัวเองด้วยการล้างข้าวหรือซาวข้าวนั้น ไม่สามารถขจัดโบรไมด์ไอออนได้แน่ เพราะมันซึมลึกอยู่ในระดับโมเลกุล ซึ่งการตรวจสอบยังต้องเอาเมล็ดข้าวไปเผา เพื่อสกัดโบรไมด์ไอออนออกมา”
       
        น.ส.ปรกชล ยังบอกด้วยว่า การที่ อย.จะกำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด(MRL) สารเมทิล โบรไมด์ ให้ไม่เกิน 0.01 พีพีเอ็ม ถือว่าน้อยกว่าค่ามาตรฐานโลกมาก และอาจจะน้อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริง คงเป็นไปได้ยาก และไม่แน่ใจว่าประเทศไทยมีเทคโนโลยีรองรับการตรวจถึงระดับ 0.01 พีพีเอ็มแล้วหรือยัง
       
        ด้านนายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย พยายามเรียกความเชื่อมั่นให้กับการบริโภคข้าวถุงด้วยการประกาศว่า เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในข้าวบรรจุถุง สมาคมพร้อมจ่ายเงินให้ 20 ล้านบาท หากผู้ใดบริโภคข้าวสารบรรจุถุงของสมาชิกสมาคมและเสียชีวิตจากสารเมทิลโบรไมด์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 กรกฎาคม 2556