ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-20 มิ.ย.2558  (อ่าน 958 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9787
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-20 มิ.ย.2558
« เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2015, 16:49:25 »
1. สนช.ประชุม 5 ชม.พิจารณาร่างแก้ไข รธน.ฉบับชั่วคราว 3 วาระรวด ก่อนมีมติเอกฉันท์เห็นชอบ 203 เสียง!

        เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธาน โดยเป็นการประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งร่างดังกล่าว มีการแก้ไขหลายประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เปิดทางให้คนที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองและพ้นโทษแล้ว ดำรงตำแหน่ง สนช.หรือรัฐมนตรีได้ , ให้ยุบสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ทันทีหลังลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ กมธ.ยกร่างฯ ส่งให้ เมื่อยุบ สปช.แล้ว ให้ตั้งสภาขับเคลื่อนปฏิรูปขึ้นมาแทน , ถ้า สปช.ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ให้นำร่างนั้นไปทำประชามติทันที โดยในการทำประชามติ สามารถตั้งคำถามได้หลายคำถาม ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ให้ตั้ง กมธ.ยกร่างฯ ชุดใหม่จำนวน 21 คน ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฯลฯ
      
       สำหรับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของที่ประชุม สนช.เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด ตั้งแต่ 1.วาระรับหลักการ 2.การพิจารณาเป็นรายมาตรา และ 3.การลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ทั้งนี้ ครม.และ คสช.ได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเป็นผู้นำเสนอหลักการและเหตุผล พร้อมชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิก สนช. ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ตอบข้อซักถามเรื่องการปลดล็อกให้ผู้ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่ง สนช.หรือ ครม.ได้ ว่า เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกลงโทษไปแล้ว และต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบรับหลักการในวาระ 1 ด้วยเสียงท่วมท้น 204 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เสียง
      
       แล้วจึงพิจารณาต่อในวาระ 2 โดยใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณาเรียงตามมาตรา โดยมีสมาชิก สนช.ซักถามถึงการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะต้องห้าม ที่ให้ผู้ที่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสามารถดำรงตำแหน่ง สนช.ได้ โดยสงสัยว่าเป็นการแก้ไขเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ซึ่งนายวิษณุ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนจุดยืน แต่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีหลายสาเหตุ จึงจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดกับผู้ที่ติดร่างแห สาเหตุที่ ครม.และ คสช.แก้ไข เพราะเมื่อคนเหล่านี้พ้นโทษแล้ว ก็ไม่ควรมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ซึ่งหลักการในการแก้ไข ต้องการห้ามเฉพาะผู้กระทำการเท่านั้น รวมทั้งต้องการส่งสัญญาณสร้างความปรองดอง
      
       ทั้งนี้ หลังจากพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวาระสองแล้วเสร็จ ที่ประชุมได้ลงมติในวาระ 3 โดยใช้วิธีขานชื่อลงคะแนนแบบเปิดเผยทีละคน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวด้วยเสียงท่วมท้น 203 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เสียง โดยการพิจารณาและลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ สนช.จะส่งร่างแก้ไขฉบับนี้ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป
      
       2. ไทย พบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายแรกแล้ว เป็นชาวต่างชาติ หลังเดินทางมาจากตะวันออกกลาง พร้อมเฝ้าระวังอีก 175 รายใกล้ชิดผู้ป่วย!

        เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดและไวรัสวิทยา ได้เปิดแถลงข่าวกรณีมีผู้ป่วยชายชาวต่างชาติเข้าข่ายต้องสงสัยป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส
      
        ศ.นพ.รัชตะ กล่าวว่า สธ.ได้รับผู้ป่วยชายชาวตะวันออกกลาง อายุ 75 ปี เข้ามารับการรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ซึ่งผู้ป่วยรายดังกล่าวเดินทางมาจากตะวันออกกลางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. โดยตั้งใจเข้ามารักษาโรคหัวใจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ระหว่างอยู่บนเครื่องบินยังไม่มีอาการป่วย แต่มีอาการหลังออกจากสนามบินมาแล้วคือ มีไข้ เหนื่อย หอบ และไอ จึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวทันที ซึ่งทางโรงพยาบาลมีการเตรียมความพร้อมอย่างดี โดยนำตัวผู้ป่วยเข้าห้องแยกโรคทันที ก่อนนำเสมหะส่งตรวจวิเคราะห์เชื้อ พบ เป็นบวก เมื่ออาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น จึงส่งตัวต่อมายังสถาบันบำราศนราดูร และรักษาตัวในห้องแยกโรค และตรวจวิเคราะห์เชื้อซ้ำ พบว่าเป็นบวกเช่นกัน จึงวินิจฉัยว่าชายดังกล่าวป่วยด้วยโรคเมอร์ส
      
        นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังผู้สัมผัสโรคอีก 59 ราย เป็นเวลา 14 วัน โดยเป็นญาติผู้ป่วยที่เดินทางมาพร้อมกัน 3 ราย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชน และผู้ที่เดินทางมาด้วยเที่ยวบินเดียวกัน โดยนั่งสองแถวหน้า และสองแถวหลังที่ติดกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ในโรงแรม และผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งภายหลัง มีการปรับตัวเลขผู้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็น 175 ราย ศ.นพ.รัชตะ ฝากประชาชนด้วยว่า “อย่าตื่นตระหนก ผู้ป่วยรายดังกล่าวถือเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ การพบโรคในครั้งนี้ เป็นเพราะการตรวจจับโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีการสัมผัสกับคนจำนวนมาก ซึ่งเคยเกิดเคสแบบเดียวกันนี้ ในประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ที่มีการตรวจจับโรคได้เร็วเช่นกัน ทำให้มีผู้ป่วยเพียงรายเดียว และสามารถหยุดโรคไม่ให้แพร่กระจายต่อได้”
      
        ขณะที่ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัด สธ. กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีการปิดข่าวผู้ติดเชื้อโรคเมอร์สรายแรกในไทยว่า ไม่มีการปิดข่าว แต่ต้องรอผลการยืนยันตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก และว่า สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ด้วยการทราบตนเอง เมื่อเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากเจ็บป่วยต้องแจ้ง และใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโรค
      
        เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เปิดแถลงข่าวด่วน หลังมีข่าวแพร่สะพัดว่า ผู้ป่วยด้วยโรคเมอร์สรายแรกในไทย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนส่งต่อไปที่สถาบันบำราศนราดูร จึงหวั่นเกรงว่าอาจมีผู้ติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มที่โรงพยาบาล โดยผู้บริหารโรงพยาบาล ยอมรับว่า ผู้ป่วยรายแรกในไทยที่ติดเชื้อเมอร์ส เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจริงเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ด้วยอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย โดยมาในลักษณะวอล์กอิน นั่งแท็กซี่มา เมื่อซักประวัติ พบว่า มาจากประเทศเสี่ยง จึงเจรจากับผู้ป่วยและญาติขอให้อยู่ในห้องแยก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เนื่องจากเกรงว่าจะติดเชื้อเมอร์ส จากนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขมาร่วมตรวจสอบ ขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลได้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการรวม 4 ครั้ง เมื่อผลทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อไวรัสเมอร์ส กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รับตัวผู้ป่วยดังกล่าวไปรักษาต่อที่สถาบันบำราศนราดูร ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.
      
        ทั้งนี้ ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตั้งแต่ตอนนำตัวผู้ป่วยลงจากรถแท็กซี่ โดยไม่มีผู้ป่วยรายอื่นอยู่ใกล้เคียงกับผู้ป่วยดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลได้แยกเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยรายดังกล่าวให้อยู่ในพื้นที่เฉพาะ เพื่อสังเกตอาการและดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 14 วัน
      
        ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้ชื่นชมไทยที่ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเมอร์สได้อย่างรวดเร็วหลังพบผู้ป่วยวัย 75 ปีจากโอมานที่เดินทางมากรุงเทพฯ
      
       3. “ไอเคโอ” ปัก “ธงแดง” ไทย ไม่ผ่านมาตรฐานการบิน ด้าน “ประจิน” รับสภาพสอบตก ลุ้น “เอียซ่า” ประกาศท่าที 25 มิ.ย.นี้!

        เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยถึงกรณีที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ) ปักธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยบนเว็บไซต์ของไอเคโอ ในหมวดการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน หลังจากก่อนหน้านี้ไอเคโอได้ตรวจสอบกรมการบินพลเรือน(บพ.) ของไทย แล้วพบข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย(เอสเอสซี) และให้เร่งแก้ไขภายใน 90 วัน ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. โดย พล.อ.อ.ประจิน ชี้ว่า การปักธงแดงดังกล่าวแสดงว่าสอบตก แต่สอบตกเฉพาะเรื่องการออกใบอนุญาตการบิน(เอโอซี) ซึ่งคงต้องรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้น และว่า หลังจากนี้ต้องเดินหน้าแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยจะนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ก่อนเปิดแถลงข่าวอีกครั้ง
      
        พล.อ.อ.ประจิน ยังพูดถึงกรณีที่ได้ระบุก่อนหน้านี้ว่า ไอเคโอจะไม่ประกาศผลต่อสาธารณะว่า ยอมรับว่าอาจเป็นการสื่อสารผิดพลาดระหว่างตนกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เป็นตัวแทนเดินทางไปพบหารือกับประธานไอเคโอ ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา และได้ส่งสรุปผลการหารือมาให้ตนรับทราบ โดยระบุว่า หลังครบกำหนด 90 วัน ไอเคโอจะไม่มีมาตรการอะไรเพิ่ม แต่ยังคงเอสเอสซีไว้เหมือนเดิมจนกว่าจะทำตามแผนแล้วเสร็จ ซึ่งหมายถึงว่า ทางไอเคโอจะไม่มีการประกาศต่อสาธารณะ แต่สาธารณะจะเห็นสถานะของเอสเอสซีเท่านั้น
      
        ผู้สื่อข่าวถามว่า การปักธงแดงจะมีผลกระทบต่อการสั่งห้ามบินเข้า-ออกประเทศใดหรือไม่ พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ถือเป็นอำนาจของรัฐเจ้าบ้านแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่คงดูแนวโน้มของไอเคโอ และว่า ในส่วนของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป(เอียซ่า) เองก็เคยแจ้งแล้วว่า จะประกาศท่าทีต่อประเทศไทยในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน ยืนยันว่า ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว “การเตรียมแผนสำรอง ได้จัดทำไว้แล้วอยู่ในแผนการแก้ไขข้อบกพร่อง และยังได้มอบหมายให้แต่ละสายการบินเตรียมจัดทำแผนสำรองของตัวเองด้วย”
      
        ส่วนการเดินสายทำความเข้าใจกับประเทศอื่นๆ นั้น พล.อ.อ.ประจิน บอกว่า ที่ผ่านมา ได้เดินสายทำความเข้าใจกับหลายประเทศแล้ว แต่จะให้ไปพูดคุยทั้ง 50 ประเทศภายใน 1 เดือน คงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูผลที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก่อน เพราะเมื่อไอเคโอประกาศออกมาแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเดินทางไปพูดคุยอีก โดยยืนยันว่า แม้จะปักธงแดง แต่ก็ยังต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้ต่อไป ไม่สามารถหมดกำลังใจได้
      
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. กระทรวงคมนาคมได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติโยกย้ายนายสมชาย พิพุธวัฒน์ อธิบดีกรมการบินพลเรือน ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง แล้วให้นางปาริชาต คชรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง มาเป็นอธิบดีกรมการบินพลเรือนแทน โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากนายสมชายแก้ปัญหาด้านการบินล่าช้า จึงต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการทำงาน ซึ่งนางปาริชาตเคยเป็นรองอธิบดีกรมการบินพลเรือนมาก่อน อย่างไรก็ตาม ทั้งนายสมชายและนางปาริชาตจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้
      
      

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9787
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-20 มิ.ย.2558(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2015, 16:49:43 »
4. “สมยศ” ส่อยื้อถอดยศ “ทักษิณ” อ้าง ต้องให้ สกพ.ประมวลอีกที แถมเบนเข็มชูประเด็นเปิดบ่อนถูกกฎหมายในไทย!

        ความคืบหน้าเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ หลัง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ว่า ได้รับรายงานมติถอดยศจากคณะกรรมการพิจารณาถอดยศชุด พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา(สบ10) ที่ส่งมาให้แล้ว(เป็นรอบที่สาม หลังถูก พล.ต.อ.สมยศ ตีกลับสองรอบ) โดย พล.ต.อ.สมยศ บอกในวันนั้นว่า เท่าที่ดูเบื้องต้น ประเด็นค่อนข้างครบถ้วนแล้ว แต่จะให้ฝ่ายกฎหมายดูอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หากสมบูรณ์ ตนจะให้ฝ่ายกฎหมายส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป พร้อมบอกว่า เรื่องนี้จะชัดเจนใน 1-2 วัน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงวันที่ 12 หรือ 13 มิ.ย. แต่กลับเงียบ
       
        กระทั่งวันที่ 15 มิ.ย. พล.ต.อ.สมยศ จึงออกมาพูดถึงเรื่องการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นการพูดที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยบอกว่า ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตัว หรือกระแสสังคมมากดดันการพิจารณา และว่า ตามระเบียบขั้นตอนแล้ว จะต้องส่งเรื่องให้ทางสำนักงานกำลังพล(สกพ.) นำเรื่องไปประมวลตรวจสอบรายละเอียดเรื่องที่คณะกรรมการชุด พล.ต.อ.ชัยยะ เสนอมา แล้วค่อยส่งให้ตนพิจารณาสั่งการอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าความคิดเห็นของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด คณะกรรมการชุด พล.ต.อ.ชัยยะ ที่ตนได้แต่งตั้งขึ้น เป็นแค่เครื่องมือชนิดหนึ่งเพื่อช่วยแสดงความคิดเห็นกลั่นกรองเรื่องนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ในยุคของท่านหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ ตนจะไม่เร่งรัดทำตามอารมณ์ความรู้สึก เพราะเรื่องนี้มีทั้งกลุ่มที่ต้องการเร่งรัดให้ถอดโดยเร็ว และกลุ่มที่บอกว่าไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อกฎหมาย ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตรงนี้จะเป็นการซื้อเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็แล้วแต่จะคิด ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด แต่สิทธิหรือสิ่งที่ตนพึงกระทำเป็นเรื่องของตน
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากวันดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศ ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ อีก แต่กลับเปลี่ยนมาพูดเรื่องการเปิดบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมายในไทยและหนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยแนวคิดเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมายนี้ ถูกจุดขึ้นมาโดยสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กลุ่มหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มรักชาติ” มีสมาชิกประมาณ 20 คน มี พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกลุ่ม ได้แถลงเสนอแนวคิดตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. พร้อมบอกว่า จะเสนอประธาน สปช. หากไม่เห็นด้วย จะเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เพื่อพิจารณาโดยตรง ซึ่งนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ส่งสัญญาณไม่รับลูก โดยบอกว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในแผนปฏิรูป อะไรก็ตามที่นอกเหนือจากแผน ไม่ควรเสนอ เพราะวาระการปฏิรูปพอดีกับกรอบเวลาแล้ว
       
       เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า หลัง สปช.กลุ่มดังกล่าวเสนอแนวคิดเปิดบ่อนถูกกฎหมายในไทย ปรากฏว่า พล.ต.อ.สมยศ รีบออกมาหนุนสุดตัว โดยบอก ถึงเวลาที่เมืองไทยควรจะมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายเสียที “เชื่อเถอะว่าการพนันอยู่ในสายเลือดของคนไทยอยู่แล้ว... ในเมื่อคนจะเล่น ก็จัดพื้นที่ให้เล่นแบบถูกกฎหมายไปเลย... ผมคือ ผบ.ตร.คนแรกที่กล้าพูดว่าเมืองไทยควรมีบ่อนเสียที อย่าหลอกตัวเองว่าเป็นเมืองพุทธเลย แม้แต่ประเทศที่ประชาชนเป็นชาวมุสลิมยังมีบ่อนกาสิโนเปิดทั่วประเทศ แม้กระทั่งในโรงแรม ผมเชื่อว่าวิธีคิดของผมสุดยอด หากรัฐบาลไม่ทำ ผมจะเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาชื่อ สมยศฟอร์กาสิโน เพื่อถามความเห็นประชาชนเลยว่าควรเปิดหรือไม่...” ผู้สื่อข่าวเมื่อถามว่า แนวคิดนี้อาจถูกสังคมและกลุ่มเอ็นจีโอต่อต้าน พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ตนไม่มีกลัวอยู่แล้ว ไม่ใช่พ่อตนนี่...
       พล.ต.อ.สมยศ ยังบอกด้วยว่า ตนจะเปิดเว็บไซต์ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เพื่อเสนอโมเดลเกี่ยวกับการมีบ่อนกาสิโนอย่างถูกต้องว่า มีรายละเอียดข้อดีข้อเสียอย่างไร พร้อมย้ำ การมีกาสิโนทำให้ประเทศมีรายได้ 4-5 แสนล้านบาทต่อปี พล.ต.อ.สมยศ ยังเผยเหตุที่ต้องลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ เพราะต้องการปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะที่ผ่านมาเรื่องการพนันเหมือนหนามยอกอกของตำรวจ เมื่อมีบ่อนการพนันเกิดขึ้นก็โทษตำรวจ พอไปจับกุม ก็หาว่าตำรวจอยู่เบื้องหลังบ่อน รับส่วย รับสินบน ถ้าตำรวจไม่จับก็โทษตำรวจอีก ซึ่งไม่อยากที่จะสั่งย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาช่วยราชการ เพราะถูกจับบ่อนทีละ 7-8 คน ในเมื่อคนอยากเล่นการพนันกันนัก ก็กั้นคอกให้เล่นเสียเลย
       
       ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเปิดบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมายในไทยอย่างกว้างขวาง โดยนายสิระ เจนจาคะ สปช.ด้านสังคม แถลงว่า ผบ.ตร.ควรรักษากฎหมายไม่ใช่นำสิ่งผิดกฎหมายมาพูด ไม่ใช่เอาของใต้ดินมาไว้บนดิน และว่า ที่ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า เงินจากการพนันไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านหมดนั้น ตนอยากถามว่า หากประเทศเพื่อนบ้านผลิตยาบ้า เราจำเป็นต้องผลิตยาบ้าตามและขายในประเทศด้วยหรือไม่ “ผบ.ตร.บอกว่าจะตั้งเพจและตั้งโต๊ะล่ารายชื่อสนับสนุนบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย หาก ผบ.ตร.ทำจริง ผมก็จะตั้งโต๊ะประจันหน้าคัดค้านอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบ ผมเห็นว่า ผบ.ตร.ควรทำได้เลย แต่ควรลาออกจากตำแหน่งก่อน เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากมีตำแหน่งอยู่จะไม่เหมาะสม และผมยืนยันว่า แม้ผมจะคิดต่างแต่ก็ไม่ได้เย้ยหยันคนที่ไม่เห็นด้วย หรือนำเรื่องศาสนามาอ้าง เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะผมก็เคยเล่นการพนันมา และต้องสูญเสียลูกเมียและทรัพย์สินจนหมดตัว จึงไม่อยากให้คนไทยติดการพนัน”
       
       ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแฉว่า แนวคิดเปิดบ่อนถูกกฎหมายในไทย มีกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่ผู้มีอำนาจเกรงใจ 2-3 กลุ่มแอบบงการอยู่เบื้องหลัง พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย สปช. ประธานกลุ่มรักชาติ ที่ออกมาชูแนวคิดดังกล่าว ทั้งที่ตอน พ.ต.อาณันย์ เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่เคยเห็นพูดอะไรสักคำ ส่วนที่ พล.ต.อ.สมยศ รีบสนองเรื่องนี้ นายวัชระ มองว่า เป็นเพราะ พล.ต.อ.สมยศ คิดว่าจะสามารถสร้างข่าวกลบเรื่องที่ตนเองละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีไม่ดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนเห็นว่า การกระทำนี้พอฟังได้ว่าครบองค์ประกอบความผิด ดังนั้นจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในสัปดาห์หน้า
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเปิดบ่อนถูกกฎหมายในไทย โดยบอกว่า การปฏิรูปประเทศขณะนี้เป็นความพยายามบอกกับสังคมว่า สังคมอยากจะหวนกลับไปหาเรื่องคุณธรรม แต่ถ้าเปิดบ่อนการพนัน ก็จะสวนทางโดยสิ้นเชิง ถ้าจะทำแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องไปฉีกค่านิยม 12 ประการทิ้ง
       
       ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.สมยศ หนุนแนวคิดตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทยว่า พล.ต.อ.สมยศ ยังทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย และกฎหมายบัญญัติให้การเล่นบ่อนการพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พล.ต.อ.สมยศ จึงไม่ควรมีท่าทีเช่นนี้ หากพูดหลังเกษียณในเดือน ต.ค.ก็เป็นอีกเรื่อง การพูดเช่นนี้จึงเท่ากับส่งเสริมให้ประชาชนไม่เคารพกฎหมาย หรือส่งสัญญาณให้ลูกน้องตำรวจหลิ่วตาเรื่องบ่อนการพนัน และว่า อย่านำบ่อนการพนันถูกกฎหมายที่สิงคโปร์และสวิสเซอร์แลนด์ว่าทำสำเร็จมาแล้ว มาเปรียบเทียบกับประเทศไทย เพราะไม่มีหลักประกันว่า สิ่งที่สำเร็จในต่างประเทศ แล้วจะทำสำเร็จในไทย และว่า หากมีการเปิดบ่อนในไทยจริง จะมีการวิ่งเต้นเล่นเส้นสายว่าเด็กของใครส่งเข้าไปคุม ในที่สุดก็เป็นคนของกลุ่มทุนใหญ่และผู้มีอำนาจ นายชูวิทย์ ย้ำด้วยว่า ที่ตนออกมาคัดค้านเรื่องเปิดบ่อนในไทย เพราะบ่อนจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมอื่นตามมา เช่น การอุ้มฆ่า ทวงหนี้ ขัดดอก และเป็นฐานในธุรกิจที่ต่อเนื่อง ตนยืนยันว่า ตนพบปะคนไทยมากมายทุกชนชั้น ส่วนใหญ่เป็นคนไม่ชอบเล่น ส่วนที่ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่าคนไทยชอบเล่น เพราะท่านเลือกคบคนที่ชอบเล่นด้วยกัน ก็ช่วยไม่ได้
       
       ขณะที่นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนในไทย โดยบอก สปช.ที่เสนอเรื่องนี้กำลังทำผิดหน้าที่ ประเทศต้องการการปฏิรูปเพื่อให้เกิดการพัฒนา แต่ สปช.เหล่านี้กลับมีข้อเสนอที่ทำให้สังคมผิดหวังและนำพาประเทศให้แย่ลง นายสมพงษ์ ยังเตือนสติ พล.ต.อ.สมยศ ด้วยว่า ที่บอกว่าการพนันอยู่ในสายเลือดของคนไทยนั้น เป็นการมองแบบผิวเผิน อยากให้ พล.ต.อ.สมยศ มองให้ลึกลงไปด้วยว่า หัวหน้าครอบครัวที่ติดการพนันจะกลับไปทำร้ายคนในครอบครัวและทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
       
       ทั้งนี้ นอกจากหลายภาคส่วนในสังคมจะคัดค้านแนวคิดเปิดบ่อนถูกกฎหมายในไทยแล้ว ยังมีเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน นำโดยนายณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว พร้อมนักศึกษาและนักเรียนกว่า 30 คน เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการตั้งบ่อนกาสิโนในไทยด้วยเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.
       
       ด้านกรุงเทพโพลล์ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,093 คน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เกี่ยวกับการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 58.5 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนในประเทศ โดยให้เหตุผลว่า ไม่ชอบการพนัน การพนันเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีล มอมเมาประชาชนให้ติดการพนันมากขึ้น ทำให้เกิดแหล่งมั่วสุม ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น อาชญากรรม หนี้นอกระบบ ฯลฯ
       
       5. ไทย เฮ คว้าเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ สมัยที่ 13 ด้านรัฐบาลเตรียมจัดเลี้ยงต้อนรับและมอบรางวัลนักกีฬา 24 มิ.ย.นี้!

        การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 สิงคโปร์ 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. โดยไทยครองเจ้าเหรียญทองได้เป็นสมัยที่ 13 ทำได้ 95 เหรียญทอง 83 เหรียญเงิน และ 69 เหรียญทองแดง ขณะที่สิงคโปร์ เจ้าภาพ ตามมาอันดับสอง ทำได้ 84 เหรียญทอง 73 เหรียญเงิน และ 102 เหรียญทองแดง ตามด้วยเวียดนาม ทำได้ 73 เหรียญทอง 53 เหรียญเงิน และ 60 เหรียญทองแดง ด้านมาเลเซีย ตามมาอันดับสี่ ทำได้ 62 เหรียญทอง 58 เหรียญเงิน 66 เหรียญทองแดง ขณะที่อินโดนีเซีย อันดับห้า ทำได้ 47 เหรียญทอง 61 เหรียญเงิน 74 เหรียญทองแดง
       
        ทั้งนี้ ในส่วนของไทย เหรียญทองที่นำความสุขให้คนไทยที่สุด ก็คือ ฟุตบอลทีมชาติไทย ภายใต้การนำของ โชคทวี พรหมรัตน์ หรือ โค้ชโชค กุนซือทีมฟุตบอลไทย ที่มาคุมงานแทน “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หลังชนะเมียนมาแบบสะใจ 3-0 นับเป็นแชมป์สมัยที่ 15 ของฟุตบอลไทยในซีเกมส์ พร้อมกันนี้ยังส่งผลให้โค้ชโชค เป็นคนที่ 4 ของวงการฟุตบอลไทยที่สามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้ในฐานะนักเตะและเฮดโค้ชต่อจากยรรยง ณ หนองคาย (ค.ศ.1975) , วิทยา เลาหกุล (ค.ศ.1997) และซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (ค.ศ.2013)
       
        สำหรับกีฬาที่ทำเหรียญทองให้ไทยได้มากที่สุด ก็คือ กรีฑา คว้ามาได้ 17 เหรียญทอง ขณะที่เหรียญทองที่ไทยได้มาแบบเซอร์ไพรส์ที่สุด ก็คือ โปโลน้ำหญิง หลังโปโลน้ำทีมชาติไทยปราบสิงคโปร์ เจ้าภาพไป 5-4 กลายเป็นเหรียญทองที่ยิ่งใหญ่และเซอร์ไพรส์ที่สุด เพราะได้เป็นสมัยแรก สำหรับนักกีฬาดาวเด่นที่สุดของไทยที่คว้าเหรียญทอง ก็คือ “น้องหญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร สาวน้อยวัย 21 ปี จาก จ.ระนอง ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเทเบิล เทนนิส หลังคว้าเหรียญทองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ด้วยการเอาชนะมาเลเซีย ชนิดลุ้นกันหืดขึ้นคอ ส่วนกีฬาที่ทำผลงานพลาดเป้า ก็คือ มวยสากลสมัครเล่น ที่ตอนแรกประกาศว่า จะนำเหรียญทองมาฝากพี่น้องชาวไทยถึง 6 เหรียญ แต่ทำได้จริงแค่ 2 เหรียญ
       
        ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แสดงความดีใจที่นักกีฬาทุกคนทำให้ไทยเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งนี้ พร้อมกล่าวถึงการให้รางวัลนักกีฬาที่ชนะการแข่งขันด้วยว่า รัฐบาลมีเงินรางวัลต่างๆ ที่กำหนดไว้ให้อยู่แล้ว มีตัวเลขและระเบียบไว้ทั้งหมด
       
       ด้านนายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) เผยหลังประชุมเตรียมความพร้อมพิธีเลี้ยงต้อนรับและมอบเงินรางวัลให้คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ที่ร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ว่า รัฐบาลจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยและมอบเงินรางวัลให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างความสุขให้กับประชาชน และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธาน โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ขบวนรถแห่ต้อนรับนักกีฬาอย่างยิ่งใหญ่ จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปยังทำเนียบรัฐบาล การกีฬาแห่งประเทศไทยจึงขอเชิญประชาชนทั่วไปร่วมให้กำลังใจนักกีฬาได้ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป


ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 มิถุนายน 2558