4. ไทย เป็นเจ้าภาพประชุม 17 ประเทศแก้ปัญหาผู้อพยพทางเรือ พร้อมเปิดทางสหรัฐฯ บินผ่านน่านฟ้าสำรวจโรฮีนจากลางทะเล!
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย หลังเกิดปัญหาผู้อพยพชาวโรฮีนจาลอยลำอยู่กลางทะเล โดยมีตัวแทนจากประเทศที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 17 ประเทศ เช่น บังกลาเทศ เมียนมา อินโดนีเซีย มาเลเซีย อัฟกานิสถาน ออสเตรเลีย กัมพูชา อินเดีย อิหร่าน ฯลฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิดการประชุมที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ว่า เวทีนี้ไม่ใช่เวทีที่จะมาพูดหรืออภิปราย แต่เป็นเวทีที่จะหารือเพื่อหาทางออกในการแก้ปัญหา ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว อย่างยั่งยืน และว่า เบื้องต้น ต้องให้ความช่วยเหลือพื้นฐานตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งไทยได้อนุมัติให้มีการจัดตั้งเรือช่วยชีวิต( Floating Platform) เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้อพยพ ก่อนส่งไปยังประเทศที่มีความพร้อมให้การช่วยเหลือต่อไป
นอกจากนี้ ไทยยังได้อนุมัติให้เครื่องบินสหรัฐฯ บินเข้าเขตน่านฟ้าของไทยตามที่สหรัฐฯ เคยแจ้งความประสงค์ไว้ว่า ต้องการลาดตระเวนเพื่อสำรวจผู้อพยพที่ลอยลำอยู่กลางทะเล โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้อนุมัติด้วยวาจาแล้ว ซึ่งจะสามารถปฏิบัติการได้ทันที โดยในทางปฏิบัติ ศูนย์ของสหรัฐฯ จะต้องประสานกับศูนย์อำนวยการลาดตระเวนและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย(ศอ.ยฐ.) ซึ่งมีกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
พล.อ.ธนะศักดิ์ ยังกล่าวย้ำต่อสื่อมวลชนด้วยว่า ผมยืนยันว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่ปาหี่ แต่แสดงถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา ทั้งปัญหาการค้ามนุษย์และช่วยเหลือผู้อพยพ เราได้พูดคุยกับพม่าและบังกลาเทศแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ว่าจะร่วมกันแก้ปัญหา และการประชุมครั้งนี้จะไม่พูดว่าใครเป็นต้นเหตุของปัญหา ถ้าพูด การประชุมจะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะการประชุมครั้งนี้มีจุดประสงค์ให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหา
ด้านนายทิต ลิน ผู้แทนพม่า กล่าวในการประชุมครั้งนี้ โดยปฏิเสธข้อเรียกร้องของสำนักงานเพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ที่ให้รัฐบาลพม่าให้สถานะพลเมืองแก่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจา ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่้ต้นตอ และลดการอพยพออกนอกประเทศของคนเหล่านี้ โดยนายทิต ลิน ชี้ว่า ความเห็นของ UNHCR ถือว่าเป็นการแทรกแซงปัญหาภายในของพม่า และ UNHCR ไม่ควรชี้เฉพาะเจาะจงให้พม่ารับผิดชอบปัญหาผู้ลี้ภัยลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายแต่เพียงประเทศเดียว และว่า ปัญหาผู้อพยพทางเรือ ทุกประเทศต้องร่วมกันแก้ปัญหา โดยพม่ายืนยันว่า ได้ให้ความร่วมมือกับทุกประเทศ รวมทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยขณะนี้ได้ให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศลาดตระเวนทางทะเลเพื่อช่วยคนเหล่านี้
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมดำเนินอยู่ นางชื่นสุข อาศัยธรรมกุล กรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมคณะเยาวชน ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกของเลขาธิการแอมเนสตี้ฯ ถึงผู้นำประเทศต่างๆ โดยเรียกร้องให้อาเซียน และออสเตรเลีย ประสานความร่วมมือในการค้นหาและช่วยชีวิตผู้ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก โดยอนุญาตให้เรือที่บรรทุกผู้อพยพเข้าฝั่งในประเทศที่ใกล้ที่สุดอย่างปลอดภัย และไม่ผลักดันเรือโดยการข่มขู่หรือคุกคาม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานด้วยการให้ที่พัก อาหาร น้ำ และยารักษาโรค นอกจากนี้แอมเนสตี้ยังเสนอให้มาเลเซียจัดประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นกรณีฉุกเฉินเพื่อแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ตามกฏบัตรอาเซียน และขอให้ประเทศพม่ายุติการเลือกปฏิบัติ และใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮีนจา รวมทั้งประกันการเข้าถึงรัฐยะไข่อย่างเสรี หากเขาเหล่านั้นต้องการเดินทางกลับ จะต้องไม่ถูกสกัดกั้น รวมทั้งต้องอำนวยความสะดวกให้หน่วยงานด้านมนุษยชนระหว่างประเทศสามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้
5. ศาลพิพากษา จำคุกอดีตแกนนำพันธมิตรฯ คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีบุกทำเนียบฯ ปี 51 ก่อนอนุญาตประกันตัวสู้คดี!
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง , นายสนธิ ลิ้มทองกุล , นายพิภพ ธงไชย , นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และอดีตผู้ประสานงาน กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก โดยร่วมกันทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362 และ 365
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 51 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ ต่อมาหลังจากนายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนและมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค. 51 ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 51 จำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบฯ ทุกด้าน พวกจำเลยได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบฯ รวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย ระหว่างวันที่ 26 ส.ค. 51 - 3 ธ.ค. 51 และระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบฯ ผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเลคโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แกนนำพันธมิตรฯ ได้จัดชุมนุมปราศรัยและบุกรุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ แม้ว่าบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปใช้สถานที่ดังกล่าว แต่ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ไม่ใช่จะเข้าออกตามอำเภอใจได้ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้ชุมนุมนั้น ศาลเห็นว่าเป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีเหตุให้รับฟังได้ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการเข้าไปในทำเนียบฯ เพื่อห้ามปรามผู้ชุมนุมไม่ให้ทำลายทรัพย์สิน ซึ่งแม้จะเป็นเจตนาที่ดี แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีการห้ามปรามผู้ชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 63 เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยพร้อมผู้ชุมนุมได้บุกรุกเข้าไปภายในทำเนียบฯ โดยปีนรั้ว ใช้คีมตัดโซ่คล้องประตู ซึ่งทำให้ทรัพย์สินของราชการเสียหาย และเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจกล่าวอ้างบทบัญญัติดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีคนใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจึงต้องเข้าไปหลบอยู่ในทำเนียบฯ นั้น แต่ในวันที่ 26 ส.ค. 51 ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น จึงไม่สามารถอ้างเพื่อยกเว้นไม่ให้ต้องรับโทษได้ แม้จำเลยจะมีเจตนาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ก็ถือว่ามีความผิด
การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงเป็นความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-6 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365 อนุมาตราสอง ,362 และ 83 การกระทำของจำเลยผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปี
หลังฟังคำพิพากษา นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพในวงเงินคนละ 2 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหก และเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีตามกฎหมายภายใน 30 วัน โดยจะนำคำพิพากษากรณีของนายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมกับพวกบุกรุกอาคารรัฐสภา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 เดือนให้รอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยศาลเห็นว่าจำเลยขาดเจตนา ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหก โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด
6. เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล ไม่จ่ายค่างวดทีวิดิจิตอล พร้อมขอคืนใบอนุญาต ไทยทีวี-โลก้า ด้าน กสทช.ชี้ แม้เลิกกิจการ ก็ต้องจ่ายค่าประมูล 1,600 ล้าน!
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลต้องจ่ายเงินค่าใบอนุญาตประมูลทีวีดิจิตอลงวดที่ 2 แก่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ซึ่งเหลือ 8 ช่องจาก 24 ช่องที่คาดว่าจะมาจ่ายในวันสุดท้าย แต่เมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการมายื่นจ่ายเงินแก่ กสทช. 22 ช่อง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 8,404.422 ล้านบาท ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ได้มาจ่าย คือ บริษัท ไทยทีวี จำกัด เจ้าของช่องไทยทีวี และช่องโลก้า วงเงินรวม 288.472 ล้านบาท
ด้านนายสมบัติ ลีลาพตะ รักษาการรองเลขาธิการ กสทช.เผย ว่า กสทช.จะส่งหนังสือแจ้งเตือนบริษัทไทยทีวีให้มาชำระเงินค่างวด พร้อมเสียค่าปรับร้อยละ 7.5 ต่อปี หากบริษัท ไทยทีวี ไม่จ่าย กสทช.จะฟ้องศาลแพ่งเพื่อเอาผิดและขอค่าชดเชยตามกฎหมาย
ทั้งนี้ วันต่อมา(26 พ.ค.) นางพันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย หรือ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี ได้ทำหนังสือแจ้ง กสทช.ว่า ขอเลิกใบอนุญาตและประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ หมวดหมู่ข่าวสารและสาระ ช่องรายการไทยทีวี และหมวดหมู่ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว ช่องรายการโลก้า โดยอ้างเหตุว่า ตั้งแต่บริษัทฯ ได้ใบอนุญาตจาก กสทช.เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2557 จนถึงปัจจุบัน กสทช.ไม่ควบคุมดูแลการเปลี่ยนผ่านระบบการรับชมสัญญาณโทรทัศน์ในระบบภาคพื้นดินไปสู่การรับส่งสัญญาณระบบดิจิตอลให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือแผนแม่บทที่ กสทช.ได้ประกาศและประชาสัมพันธ์ไว้ ทำให้ประชาชนทั้งประเทศไม่สามารถรับชมสัญญาณภาพและเสียงโทรทัศน์ในระบบทีวีดิจิตอลได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้ประกอบการอย่างร้ายแรง บริษัทฯ จึงขอบอกเลิกใบอนุญาตและเลิกการประกอบกิจการตามใบอนุญาต โดยขอให้มีผลภายใน 15 วันนับตั้งแต่ กสทช.ได้รับหนังสือฉบับนี้ โดยบริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ใช้บริการ เพราะผู้ใช้บริการที่รับชมทีวีดิจิตอลมีไม่มาก เนื่องจากความบกพร่องและล่าช้าของ กสทช.เอง โดยบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เผยว่า กสทช.ได้ประชุมกรณีบริษัท ไทยทีวีขอยกเลิกใบอนุญาตทีวีดิจิตอล และได้ข้อสรุปว่า ผู้ประกอบการสามารถขอยกเลิกใบอนุญาตได้ แต่ต้องเสนอแผนเยียวยาผู้ใช้บริการให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) พิจารณาก่อน ว่าจะอนุมัติแผนเยียวยาที่เสนอมาหรือไม่ และว่า ระหว่างนี้ ไทยทีวีไม่สามารถหยุดออกอากาศได้ หากหยุดออกอากาศจะมีความผิด และจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตจนติดแบล็กลิสต์ ซึ่งจะทำให้นางพันธุ์ทิพา ขาดคุณสมบัติในการเป็นเจ้าของช่องทีวีดาวเทียมในช่องมิสทรีที่นางพันธุ์ทิพามีใบอนุญาตทีวีดาวเทียมอยู่ ซึ่งอาจทำให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต รวมถึงไม่สามารถขอใบอนุญาตเปิดช่องทีวีดาวเทียมใหม่ได้อีกต่อไป
นายฐากร เผยด้วยว่า การยกเลิกใบอนุญาตตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของประกาศ กสทช. ระบุว่า ผู้ที่ยกเลิกใบอนุญาตจะต้องโดนยึดหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงิน หรือแบงก์การันตี ซึ่งทำไว้ตั้งแต่ได้รับใบอนุญาตหลังการประมูล ในอัตรา 100% ของเงินค่าประมูล ซึ่งแบงก์การันตีงวดแรก ผู้ประกอบการทุกรายได้จ่ายไปแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ค.57 ดังนั้นหากบริษัท ไทยทีวีจะยกเลิกใบอนุญาต ก็ต้องถูกยึดแบงก์การันตีส่วนที่เหลือในงวดที่ 2- งวดที่ 6 ของทีวีที่ประมูลมาทั้ง 2 ช่อง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,634.4 ล้านบาท โดย กสทช.จะยึดทีละงวดจนครบจำนวน นายฐากร ยังฝากถึงบริษัท ไทยทีวี ด้วยว่า ขอย้ำว่า ถึงแม้ท้ายที่สุด กสท.จะอนุมัติให้เลิกใบอนุญาต แต่ไทยทีวีก็ยังต้องจ่ายค่าประมูลใบอนุญาตที่ประมูลไป 2 ช่อง ขอให้ไทยทีวีคิดดีๆ ก่อนตัดสินใจไม่จ่าย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 2558