เมื่อวันที่ 25 เมษายน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว. สาธารณสุข เข้าพบเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาว่า มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพราะขบวนการซูโดอีเฟดรีนเป็นขบวนการใหญ่ ถ้าเราสกัดสารตั้งได้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดจะง่ายขึ้น ขณะนี้ได้ประสานกับผู้ใหญ่ของประเทศจีน เพื่อรับการสนับสนุน ซึ่งเขากรุณาเป็นอย่างดี เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในภูมิภาค สามารถเจรจากับบางประเทศได้และมีน้ำหนัก ส่วนเราเจรจาได้ แต่ไม่มีน้ำหนัก ขบวนการซูโดฯเป็นขบวนการล้างผลาญชาติ สั่งเข้ามาแล้วสำแดงเท็จ บริษัทที่สั่งก็ไม่เกี่ยวกับการค้าขายยา เป็นการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า ขายรถยนต์และบริษัทหนึ่งเป็นเกาหลีถือหุ้น 3คน เป็นคนไทย 1คน อีกบริษัทเป็นสามีภรรยา มีการจดเป็นบริษัท แต่เป็นบ้านพักไม่ใหญ่มาก สั่งเข้ามาสำแดงเท็จ บอกว่าเป็นสินค้าอย่างอื่น 40ตัน ผลิตยาบ้าได้ 850ล้านเม็ด ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ เพราะประเทศเกาหลีให้ความร่วมเป็นอย่างดีและจะขออนุมัติเป็นคดีพิเศษ โดยตนได้สั่งให้ไปสอบสวน อย.เกาหลี สอบต้นทาง สอบชิปปิ้งสอบ อย่างเป็นระบบ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคีดพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับกรณีมีขบวนการลักลอบนำยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะดำเนินการครอบคลุมการนำเข้าทุกประเทศ ไม่เฉพาะที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีและจีน ทั้งนี้ ตนจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวเอง จากนี้จะนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันวางแผนการทำคดีรวมถึงกำหนดวันที่จะเดินทางไปตรวจสอบข้อมูลที่ประเทศเกาหลี
เบื้องต้นนอกจากสัญญาของบริษัท ยูแทค ไทย จำกัด ที่สั่งซื้อยาจากประเทศเกาหลีจำนวน 40ตัน หรือ850ล้านเม็ดแล้ว ยังพบเอกสารการสัญญาสั่งซื้อยาจากประเทศจีน ซึ่งเอกสารสัญญาระบุยอดสั่งซื้อยา10,000 ล้านเม็ด สัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ระบุการจัดส่งยาล็อตแรกเมื่อวันที่ 31ก.ค.2550 จำนวน 2 ล้านเม็ด ซึ่งตัวยาที่ส่งมาจากทั้ง 2 ประเทศมียี่ห้อเดียวกันคือ โคลโคลโค ( COLCOLCO) ทั้งนี้ดีเอสไอพบหลักฐานภาพถ่ายบุคคลที่เป็นผู้นำสินค้าออกจากคาร์โกแล้ว เบื้องต้นโดยหลักการถือว่า บริษัทชิปปิ้งต้องถูกดำเนินคดี ฐานมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและให้การสนับสนุน เนื่องจากการนำเข้าสินค้ามีการสำแดงเท็จว่า เป็นสินค้าอื่น เช่น ยาปฏิชีวนะและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่ต้นทางไม่ได้สำแดงเท็จเพราะยาดังกล่าวในเกาหลีไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย
ด้าน นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง กล่าวว่า วันที่ 26เมษายนนี้ จะหารือกับ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร ถึงกรณีพบเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรมีส่วนรู้เห็นลักลอบนำเข้ายาซูโดอีเฟดรีน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบข้าราชการคนใดเกี่ยวข้อง จะดำเนินคดีทันที
ขณะที่ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่หากพบเบาะแสว่า มีเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด? ทั้งนี้ในปี2554 มีการจับกุมการลักลอบนำเข้ายาซูโดอีเฟดรีนผ่านด่านศุลกากรสนามบินสุวรรณภูมิ 2ล้านเม็ดและทางกรมศุลกากรยังสั่งการเข้มงวดมากขึ้นในทุกด่าน โดยเฉพาะการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้ามาจากเกาหลี เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการตรวจพบนำเข้ายาซูโดฯจากประเทศดังกล่าว
วันเดียวกัน คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) สาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลประชุมการสืบสวนกรณีการลักลอบนำยาซูโดฯออกจากโรงพยาบาล เพื่อนำไปใช้เป็นสารตั้งตั้นผลิตยาเสพติด โดย นายวิทยา แก้วภราดัย สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการสืบสวน เปิดเผยว่า ความคืบหน้าคดีดังกล่าวพบว่า มีการนำเข้ายาซูโดอีเฟดรีนจากประเทศเกาหลี 87ล้านเม็ด น้ำหนัก 40ตัน มีบริษัทของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง 5-6บริษัท มี 3บริษัทแจ้งว่าเป็นการนำเข้ายาปฏิชีวนะ ส่วนที่เหลือแจ้งว่าเป็นการนำเข้าอุปกรณ์ก่อสร้างต่อกรมศุลกากร
อย่างไรก็ดี การนำเข้าทั้งหมดได้ขนส่งผ่านเครื่องบิน 9 เที่ยว เมื่อพบว่า มีการนำเข้ายา กรมศุลกากรจะต้องแจ้งผ่านองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ แต่จากการสอบถามไปทาง อย.ปรากฎว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ซึ่งสัปดาห์หน้าจะเชิญสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)และเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับอีกกรณีที่พบข้อพิรุธ คือ การพบเอกสารที่ระบุการแบ่งเปอร์เซ็นให้กับคนใกล้ชิดของตนเมื่อสมัยดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ซึ่งได้เชิญบุคคลดังกล่าวเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมอนุกมธ.แล้ว โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์และนายอนุชา บูรพชัยศรี สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า เคยร่วมรับประธานอาหารกับ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข จึงคาดว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะมีการจัดทำขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น โดยจะรวบรวมเอกสารดังกล่าวยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อตรวจสอบเอกสารดังกล่าวว่า เป็นของจริงหรือไม่ต่อไป
ส่วนความคืบหน้ากรณีทลายเครือข่ายค้ายาเสพติดในเรือนจำนครศรีธรรมราช พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับคดีเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชโดยเฉพาะ โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เป็นหัวหน้าอำนวยการ และได้ตั้งชุดสืบสวนสอบสวนขึ้นมาอีก 2ชุด มี พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สส.บก.ภ.นครศรีธรรมรช เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน ส่วน พ.ต.อ.สุรสิทธิ์ ทิพรัตน์ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวน เพื่อทำการขยายผลในกรณีดังกล่าว ภายหลังยึดของกลางจากการตรวจค้นเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชหลายร้อยรายการมาทำการคัดแยก เพื่อเก็บข้อมูลจากหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวที่มีการโทรเข้าออกทั้งภายในและภายนอกเรือนจำ ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด การเก็บข้อมูลหาหลักฐานต่างๆ จะสามารถนำมาสู่การออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ กล่าวว่า การดำเนินการคัดแยกของกลางที่ตรวจยึดมาได้จากเรือนจำ เร่งดำเนินการใน 3ประเด็น คือ
1.สิ่งใดที่เป็นสิ่งของต้องห้ามและรู้ตัวเจ้าของ ได้ส่งดำเนินคดีกับเจ้าพนักงาน สภ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนจำ กรณีสิ่งของต้องห้ามที่รู้ตัวเจ้าของและส่งดำเนินคดีแล้วมี 72ราย ส่วนใหญ่เป็นนักโทษในแต่ละแดนของเรือนจำ
2.กรณียาเสพติดหากรู้ตัวเจ้าของจะแยกส่งดำเนินคดี โดยชุดพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นเอง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบเจ้าของยาเสพติดที่ยึดได้
3.กรณีตรวจปัสสาวะนักโทษในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรวจสอบมีทั้งหมด 477 คน ที่มีปัสสาวะสีม่วง ได้ส่งผลตรวจไปตรวจสอบอีกครั้งที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โดยตอนนี้ทราบผลยืนยันกลับมาว่า พบปัสสาวะมีสารเสพติด 380คน ซึ่งจะมีการดำเนินคดีเกี่ยวยาเสพติด ส่วนที่เหลือจะเป็นในส่วนของราชทัณฑ์จะส่งไปตรวจยืนยันที่ส่วนกลาง สำหรับอุปกรณ์ที่พบหากเป็นโทรศัพท์อย่างเดียวและทราบว่าเป็นของใคร จะดำเนินคดีผิด พรบ.ราชทัณฑ์ ส่วนที่มีเจ้าของหรือไม่มีเจ้าของจะต้องตรวจสอบว่า เชื่อมโยงกับใครบ้างต่อไป
แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2555