สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานประชุมทางวิชาการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5ธันวาคม 2554 โดยเครือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด ( มหาชน) ประกอบด้วย 5 โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของเมืองไทย ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ผนึกกำลังจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านวิชาการอย่างต่อเนื่องในวงการแพทย์และบุคลากรทางด้านการแพทย์ทุกสาขาวิชา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการดูแลผู้ป่วยและส่งเสริมสุขอนามัยของประชาชนให้ดียิ่งๆขึ้นไป เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา ณ อาคารเฉลิมพระบารมี แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย
ภายในงาน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ได้ให้เกียรติมาแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข” เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้ทรงมีคุณูปการต่อวงการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงบำเพ็ญพระราชกิจเป็นอเนกประการ ทั้งในด้านการแพทย์ การสาธารณสุข และพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ที่เกื้อกูลส่งเสริมกิจการทั้งปวง อันเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพอนามัยประชาชน ซึ่งยังประโยชน์มหาศาลแก่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งนายแพทย์เกษมได้กล่าวโดยสรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันตั้งแต่ปี 2489 เมื่อเข้าสู่พระบรมราชาภิเษกเมื่อ 5 พฤษภาคม 2493 หลังจากนั้นทรงพระราชทานโครงการตามแนวพระราชดำรินับพันโครงการ ถ้าได้พิจารณาโครงการพระราชดำริเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ โดยดูคราวละ 10 ปี ที่พระองค์ท่านครองราชย์ จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สำคัญยิ่ง พระองค์ท่านจะค่อยๆ ทรงทำทีละขั้น
เรื่องแรกที่พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญคือ เรื่องโรคระบาด เช่น อหิวตกโรค โรคเรื้อน วัณโรค โปลิโอ ฯลฯ ทรงทุ่มเทและสนับสนุนอย่างมากเพื่อหาวิธีการป้องกันรักษาให้โรคเหล่านี้หายไปจากประเทศไทย เป็นต้นว่า โปรดเกล้าฯ ให้มีการแต่งตั้งหน่วยแพทย์เพื่อให้บริการรักษาประชาชนในถิ่นทุรกันดาร โดยมีทั้งหน่วยแพทย์พระราชทานทั่วไปและหน่วยแพทย์เฉพาะทาง และทรงรับคนไข้ที่ป่วยหนักไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานหนึ่งในวังสวนจิตรลดา เป็นผู้ให้การดูแลคนไข้เหล่านี้ทั้งประเทศ และขอพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการรักษาพยาบาล
สำหรับ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของบ้านเราเกิดขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จย่าของพระเจ้าอยู่หัว คือสมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า วังสระปทุม พระราชมารดาของสมเด็จพระบรมราชชนก เมื่อทรงพระประชวร หมอฝรั่งได้แนะนำให้พระองค์ท่านไปตากอากาศที่เกาะสีชัง รัชกาลที่ 5 จึงทรงไปสร้างพระตำหนักไว้ให้ ระหว่างที่ทรงประทับอยู่ที่นั่นทรงเห็นชาวบ้านแถวจังหวัดชลบุรีลำบากอย่างมากโดยเฉพาะเวลาเจ็บป่วย พระองค์ท่านจึงทรงให้จัดหมอนั่งเกวียนพร้อมด้วยเวชภัณฑ์ออกตระเวนไปตามหมู่บ้านเพื่อให้การรักษาชาวบ้าน จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นโมบาย ยูนิค ยุคแรกของเมืองไทย ภายหลังจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาลขึ้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ โรงพยาบาลสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชชนนี พระพันวัสสา ณ ศรีราชา” แต่เรามักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “ โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา” หลังจากนั้นสมเด็จย่าก็ได้ทรงก่อตั้งหน่วยแพทย์ พอ.สว. สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จฯไปทรงงานที่โรงพยาบาลแมคคอมิคเชียงใหม่ หากจะกล่าวโดยสรุปคือสายราชสกุลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องการแพทย์เพื่อพระราชทานแก่ราษฎรที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร นั่นเอง
นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านการค้นคว้าวิจัยทางด้านการแพทย์ โดยการตั้งมูลนิธิอนันทมหิดลขึ้นเมื่อปี 2498 อาจารย์หมอจรัส สุวรรณเวลา เป็นนักเรียนทุนพระราชทานคนแรก อาจารย์หมอประเวศ วสี เป็นคนที่ 2 แม้กระทั่งเครื่องมือทางด้านการแพทย์ที่ใช้สำหรับรักษาโรคเรื้อน วัณโรค โปลิโอ อหิวตกโรค การจัดตั้งมูลนิธิวิจัยโรคประสาทและอื่นๆ ล้วนตั้งขึ้นจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ นอกจากนี้ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ให้สภากาชาดสร้าง “อาคารมหิดลวงศานุสรณ์” เพื่อใช้สำหรับผลิตวัคซีน VCG ใช้ฉีดป้องกันวัณโรคตั้งแต่ ปี 2496 แล้วเด็กไทยรวมทั้งพวกเราทุกคน ก็ได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรคตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ยังมีโครงการอีกเป็นจำนวนมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานแก่พสกนิกรของพระองค์ เพื่อช่วยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างถูกวิธีโดยทั่วถึงกัน พระองค์ท่านจึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับหมอ พยาบาลอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการอุทิศชีวิตให้กับวงการแพทย์เพื่อเจริญรอยตามแนวพระราชดำริสืบต่อไปในอนาคต
แนวหน้า 28 กันยายน 2554