ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดทำแท้ง! กล้าทับ กล้าร้อง กล้าท้อง ต้องกล้ารับ  (อ่าน 1225 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การทำแท้ง มันอยู่ที่การไม่ยอมรับของผู้ชาย สุดท้ายผู้หญิงที่หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้คืออะไรคะ ลองเข้าใจถึงคนที่ถูกประณามว่าท้องไม่มีพ่อ กลายเป็นผู้หญิงไม่ดีบ้าง ร่านบ้าง หมวยคิดว่าจุดจบก็คงเป็นชีวิต คงตายไปพร้อมกับลูกเพราะสังคมประณามและดูถูก หมวยขอให้เรื่องของหมวยเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆคน มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีและไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเองหรอกค่ะ”
       นี่คือความจริงในใจส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ขึ้นขาหยั่งสั่งลาลูกในไส้ของ “หมวย แม็กซิม” ที่เตือนให้สังคมหันกลับมามองวงจรปัญหาเดิมๆ ในมุมใหม่ๆ... เห็นใจ เข้าใจ และแก้ไขกันมากขึ้น
       
       กลายเป็นประวัติศาสตร์อันน่าสะเทือนใจหน้าใหม่แห่งวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง เมื่อ “หมวย-พิลาวรรณ อารีรอบ” หรือที่รู้จักกันในนาม “หมวย แม็กซิม” สาวเซ็กซี่เจ้าของตำแหน่งมิสแม็กซิมปี 2010 ออกมาแฉว่าอดีตแฟนหนุ่ม “ฮาเวิร์ด หวัง” เป็นคนบีบบังคับให้เอาเด็กในท้องออกโดยขับรถพาเธอไปทำแท้งด้วยตนเอง
       
       ถึงแม้ตอนหลังฝ่ายชายจะออกมาโต้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แค่ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งฝ่ายหญิง โดยไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียวว่ากำลังพาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไปส่งในเงื้อมมือยมทูต! ทั้งยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าทั้งสองคนจะได้รับโทษทางกฎหมายหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำในครั้งนี้จะส่งผลกระทบมากกว่าคนสองคน-สองครอบครัว เพราะมันได้กลายเป็นแรงกระเพื่อมลูกใหญ่ให้สังคมได้พูดถึงเรื่อง “แท้ง” ในมุมโจ่งแจ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     
       
       เลิกประณามกันเสียที!
       สำส่อน สมน้ำหน้า หน้าตัวเมีย... และอีกสารพัดคำด่าที่ชาวไซเบอร์จะคิดได้ ได้ถูกประดับเอาไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นที่แนบมากับข่าว “หมวย-ฮาเวิร์ด-แท้ง” เอาไว้อย่างครบถ้วน เพียงแค่เสิร์ชคำ 3 คำนี้พร้อมๆ กันก็จะรู้กระแสตอบรับของสังคมส่วนใหญ่ได้ทันที หากมองย้อนกลับไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คำด่าทอเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมา แต่ปรากฏการณ์ท้องไม่พร้อมจนต้องแก้ปัญหาด้วยการทำแท้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้หายขาดจริงๆ จังๆ สักครั้ง สิ่งที่พัฒนามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือคำด่า คำถามคือถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมจะเลิกมานั่งประณามกันด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
       
       “เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นในสังคม ทุกคนไม่ได้พูดถึงวิธีการแก้ปัญหาครับ เราเอาแต่ก่นด่า เอาแต่ประณามซ้ำเติม ทำให้ปัญหามันแย่ลงไปอีก ก็เหมือนกับปัญหาเรื่องอื่นๆ ในสังคมนั่นแหละ เราไม่ค่อยชอบพูดกันถึงวิธีแก้กันเท่าไหร่ แต่ชอบพูดว่าใครเลวกว่าใคร คนนั้นผิดคนนี้ถูก ทั้งๆ ที่มันไม่มีความจำเป็นเลย ในเมื่อปัญหามันเกิดขึ้นมาแล้ว มาหาทางว่าจะแก้ปัญหากันยังไงดีกว่า” ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีภานิชสกุล ประธานฝ่ายการแพทย์ สมาคมวางแผนครอบครัวของประเทศไทย ไม่ขออ้อมค้อมแต่มุ่งเข้าสู่ประเด็นทันที
       
       นิสัยดรามาของคนไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่แก้ไม่หาย เมื่อมีข่าววัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร สังคมก็เอาแต่ตื่นเต้นไปกับตัวเลข “สถิติวัยรุ่นไทยทำแท้งสูงที่สุดในโลก ปีละ 3 แสน หรือวันละราว 1,000 คน, ผู้หญิง 29.9% เคยทำแท้งตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี, 2.7% เคยทำแท้งขณะเป็นนักศึกษา, 70.% มีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 20 ปี, 5% มีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 15 (ต่ำสุด 11 ขวบ) และในกลุ่มอายุ 15-23 ปีมีพฤติกรรมแลกเปลี่ยนคู่นอนกันเพิ่มมากขึ้น” พอมีกรณีซากทารก 2002 ศพที่วัดไผ่เงิน ก็เฮโลกันไปบุกทำลายคลินิกเถื่อนอยู่พักหนึ่งแล้วก็เงียบหายไป กระทั่งมีข่าวดาราท้องไม่ระบุชื่อพ่อ ก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา จนลืมมองผู้ตกเป็นเหยื่อด้วยความเข้าใจในฐานะ “มนุษย์ที่ผิดและพลาดได้”
       
       “จริงๆ แล้วปัญหาท้องไม่พร้อมมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีเซ็กซ์นะ ผู้หญิงที่มีลูกมาแล้ว 2 คนก็ท้องไม่พร้อมได้เหมือนกันถ้าเลี้ยงไม่ไหว ในฐานะที่ทำงานด้านนี้มาตลอด พี่มักจะรู้สึกว่าเพศหญิงช่างน่าสังเวชเหลือเกิน ทำไมสังคมถึงไม่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้เรื่องเนื้อตัวร่างกายของเราเองมากกว่านี้ เรารู้ว่าสิวบนหน้าเรามีกี่เม็ด แต่เราไม่เคยรู้ว่าจิ๋มเราเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้องป้องกันแบบไหน แล้วเราก็ไปมีอะไรกับผู้ชาย สิ่งเหล่านี้เป็นโศกนาฏกรรมร่วมของเพศหญิง เป็นเรื่องน่าเห็นใจมากกว่าจะสมน้ำหน้าหรือถูกประณาม” ทัศนัย ขันตยาภรณ์ นักสาธารณสุข ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงท้องไม่พร้อม เปิดใจอย่างตรงไปตรงมา       
       
       ไม่ใช่เฉพาะเพศหญิงเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ ฝ่ายชายก็น่าเห็นใจไม่แพ้กัน ในกรณีของหมวยและฮาเวิร์ดนั้น คุณทัศนัยมองว่าที่เรื่องราวในตอนท้ายออกมาแบบนี้เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ถ้าสังคมไทยเปิดกว้างมากกว่านี้ เราอาจได้เห็นอะไรดีๆ ขึ้นอีกโข
       
       “ถ้าไม่นับเรื่องราวหลังจากมีคดีความเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วมีการเปลี่ยนคำพูด พี่มองว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ออกมารับผิดชอบ เป็นคนพาผู้หญิงไปเอง คนอื่นอาจจะประณามเขา แต่เทียบกับหลายๆ เคสต์ มีหลายครั้งมากที่พอผู้หญิงท้องไม่พร้อมแล้วผู้ชายหนีไปเลย ถ้าวิจารณ์กันแค่จุดนี้ ส่วนตัวคิดว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างในชีวิตแล้วมีคนอยู่เคียงข้างช่วยเหลือ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน หรือเป็นคนที่ทำเราท้อง มันดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว”
       
       “มีผลการวิจัยตัวหนึ่งของนักศึกษาปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์เมื่อหลายปีที่แล้ว ระบุพฤติกรรมของผู้ชายต่อการท้องไม่พร้อมของผู้หญิงไว้ว่า ผู้ชายทุกคนเข้าใจและเป็นสุภาพบุรุษดีเมื่อตอนคบและมีเพศสัมพันธ์กัน แต่เมื่อถึงจุดที่ผลออกมาว่าผู้หญิงท้องไม่พร้อม ผู้ชายจะเอาตัวออกห่างทันที เพราะเขารู้สึกว่าเมื่อท้องไม่พร้อมจะถูกประณามและถูกมองในแง่ไม่ดี ต้องหนีมาตั้งหลักก่อน เลยกลายเป็นประเด็นที่ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเดินหน้าจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเอง อันนี้ถ้ามองในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้ได้ ที่พลาดได้ ช็อกได้ ถ้าสังคมมองเรื่องเหล่านี้อย่างให้อภัย มองด้วยใจที่เปิดกว้างขึ้นได้ ผู้ชายก็อาจจะกล้ากระโดดเข้ามารับผิดชอบมากขึ้นก็ได้”
       
        เอาไว้หรือทำแท้ง?
       “ด้วยความที่อยากเรียนต่อโดยไม่ลังเล ดิฉันตัดสินใจทำแท้ง(ด้วยเงินที่จะนำไปลงทะเบียนเรียนที่เชียงใหม่ของอา) โดยการใช้ยาสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่งแฟนเป็นคนทำให้ ตลอดเวลาที่รอนั้น ดิฉันต้องนอนให้สะโพกชิดกับฝาผนังบ้านและยกขาขึ้นสูงไว้ตลอดเวลา ขณะนั้นดิฉันทรมานมาก ทั้งหนาวจนสั่น แต่หมอบอกเด็ดขาดว่าห้ามลุกไปไหนจนกว่าจะครบ 8 ชั่วโมง หลังจากครบกำหนด เขาก็หลุดออกมา (ซึ่งถ้าเขาไม่หลุดก็ตกลงกับแฟนไว้ว่าจะเอาเขาไว้)”       
       
       “ดิฉันก็ไม่อยากบังคับฝืนใจให้เขามาแต่งงานกับดิฉันเพราะลูก ไม่ใช่เพราะเขารักดิฉันเองจริงๆ ดิฉันคิดมาก นอนร้องไห้ทุกวัน อยากเอาลูกไว้ บางครั้งก็ไม่อยากเอาไว้เพราะสภาพจิตใจมันบอบช้ำเหลือเกิน คิดถึงเมื่อก่อนตอนที่ดิฉันช่วยอยู่ดูแลลูกเขายามเขาเดือดร้อนไม่มีใคร เวลานี้เขากับผู้หญิงคนอื่นกลับมาบีบบังคับดิฉันให้ฆ่าลูกตัวเอง ทำไมตอนนั้นฉันถึงนึกไม่ออกนะว่าจริงๆ เลิกกับเขาไปเลยก็ได้แล้วเลี้ยงลูกเองคนเดียว จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดบาปจนถึงทุกวันนี้”       
       
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนจากคำบอกเล่าบนอินเทอร์เน็ตของผู้หญิงที่กลายเป็นแม่โดยไม่ทันตั้งตัวและตัดสินใจทำแท้งในที่สุด สังเกตให้ดีจะเห็นว่าสิ่งที่พวกเธอมีเหมือนกันในวินาทีนั้นคือความรู้สึกสับสนไม่แน่ใจว่าจะเอาลูกไว้หรือทำแท้งดี แต่ส่วนใหญ่มักเลือกวิธียุติการตั้งครรภ์เพราะหวั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าจะไม่สามารถเลี้ยงลูกคนเดียวได้เมื่อไม่มีพ่อของเด็ก
       
       ที่ผลออกมาแบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมไทยยังไม่เข้มแข็งพอที่จะช่วยให้ผู้หญิงตัดสินใจเป็นซิงเกิลมัม เลี้ยงลูกคนเดียวโดยไม่มีพ่อได้อย่างสะดวกใจ “พอพาเขาไปฝากท้อง ภาพที่เห็นบ่อยมากคือหมอจะย้ำให้ผู้หญิงเอาสามีมาด้วย พอคลอดออกมาไปแจ้งเกิด เจ้าหน้าที่ก็มานั่งเซ้าซี้ถามว่าในใบเกิดจะให้ลงชื่อพ่อว่าเป็นใคร ไปโรงเรียนก็มีวันพ่อ ทุกคนถามหาพ่อของเด็กตลอด เทียบกับต่างประเทศ เขามีระบบรองรับซิงเกิลมัมที่ดีถึงขนาดมีอาสาสมัครผู้ชายพาลูกไปเที่ยว หรือแนะนำไปถึงว่าถ้าคุณแม่จะออกเดตครั้งใหม่จะต้องทำยังไง แต่ในบ้านเรามืดบอดมาก”
       
       คุณทัศนัย ผู้ก่อตั้งเครือข่ายฯ ผู้หญิงท้องไม่พร้อม ตีแผ่สังคมก่อนแนะให้เห็นว่าทางเลือกของคุณแม่จำเป็นไม่ได้มีแค่ “ท้อง” หรือ “แท้ง” อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น
             
       “ถ้าเลี้ยงเองไม่ไหว ยังมีทางเลือก ยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนที่อยากได้ หรือถ้าไม่อยากยกลูกให้แบบถาวร จะให้รับไปเลี้ยงจนกว่าแม่ของเด็กจะพร้อมก็ได้ พร้อมเมื่อไหร่ก็มารับลูกคืน ทุกวันนี้ผู้หญิงที่เข้ามาปรึกษาทางเครือข่าย 1 ใน 3 ตัดสินใจจะท้องต่อ ถึงจะเป็นจำนวนน้อย แต่ถ้าวัดจากงานวิจัยเดิมในตอนที่ยังไม่มีทางเลือก ผลออกมาว่าร้อยทั้งร้อยต้องไปทำแท้ง ถือว่าอย่างน้อยเครือข่ายก็ช่วยให้ผู้หญิงท้องไม่พร้อมได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้น” และสุดท้าย ถ้ามาปรึกษาแล้วยังยืนยันว่าอยากทำแท้ง ทางเครือข่ายก็พร้อมจะเคารพการตัดสินใจและสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ใครจะตราหน้าว่าสนับสนุนให้ทำบาปก็ยอม       
       
       “เราต้องเข้าใจว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีสิทธิจะตัดสินใจในชีวิตของตัวเอง ถ้าเขาไม่อยากเอาเด็กไว้ เราก็จะสนับสนุนให้เขายุติอย่างปลอดภัย เราเข้าใจว่าถ้าไม่เครียดหรือหมดทางเลือกจริงๆ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนพาตัวเองเข้าไปในสถานที่ซอมซ่อ ให้ใครก็ไม่รู้ใช้ของแข็งแทงให้ตัวเองตกเลือดหรอก แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางออกแล้ว ซึ่งคนที่จนตรอกแล้วนี่แหละค่ะคือคนที่มีปัญหาทางใจ ตีความตามกฎหมายแล้วคนที่มีปัญหาทางใจสามารถทำแท้งอย่างถูกกฎหมายได้ ดีกว่าปล่อยให้ต้องคิดวกวนอยู่คนเดียวจนต้องหันไปพึ่งคลินิกเถื่อน”
       
       ข้อมูลปี 2542 ระบุว่าผู้หญิงที่ตัดสินใจไปทำแท้งเถื่อนเอง 40 เปอร์เซ็นต์ติดเชื้อในกระแสเลือดจนต้องกลับมารักษาที่โรงพยาบาลต่อ เพื่อให้คุณค่าของผู้หญิงในฐานะสิ่งมีชีวิตที่สามารถผลิตสิ่งมีชีวิตออกมาได้ “สังคมมีหน้าที่สนับสนุนให้เขาสามารถท้องต่อได้อย่างมีคุณภาพ หรือถ้าเขาตัดสินใจจะยุติการตั้งครรภ์ ก็ต้องทำด้วยวิธีที่ถูกต้องปลอดภัยที่สุดค่ะ” นักสาธารณสุข ผู้ก่อตั้งเครือข่ายฯ ผู้หญิงท้องไม่พร้อมกล่าวปิดท้าย
       
        หยุด! เซ็กซ์เหนือจริง
       จะเกาก็ต้องให้ถูกที่คัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมพึ่งแท้งเถื่อน ศ.นพ.สุรศักดิ์ คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่า “เรื่องคลินิกเถื่อน ต่อให้บุกทลายกันอีกกี่ร้อยกี่พันรอบ ตราบใดที่ยังมีการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น มันก็ต้องมีการให้บริการทำแท้งอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าเราตัดต้นตอของปัญหา แก้ไขไม่ให้เกิดการท้องไม่พร้อม เดี๋ยวคลินิกทำแท้งเถื่อนพวกนี้ก็หมดไปเอง จะดับไฟก็ต้องหาต้นเพลิงให้เจอ” ซึ่งต้นเพลิงที่ว่าก็คือการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้องนั่นเอง
       
       ในอเมริกา มีโครงการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องการให้เพศศึกษาในวัยรุ่น สอนให้รู้จักปกป้องตนเอง รับรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ตลอดจนการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ในปี 1990 หลังจากนั้นเป็นต้นมาผลปรากฏว่าพบการทำแท้งในวัยรุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัดและไม่มีการทำแท้งแบบไม่ปลอดภัยให้เห็นอีกเลย การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนาเองก็ลดน้อยลง       
       
       เทียบกับประเทศไทยแล้วกลับเป็นไปในทิศทางผกผันกัน คือบ้านเรามีปัญหาเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ผลการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขเมื่อ 5 ปีที่แล้วระบุว่า การทำแท้งในโรงพยาบาลทุกวันนี้อยู่ที่ 2-3 แสนครั้งต่อปี นี่ยังไม่รวมที่ทำในคลินิกทั้งถูกกฎหมายและแบบเถื่อนอีกนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งคะเนว่าน่าจะเป็นตัวเลขสูงกว่านี้อีกเท่าตัว ส่วนจำนวนผู้ตกเลือดจากการทำแท้งเถื่อนต่อปี ตอนนี้ครองอันดับอยู่ที่หลักหมื่น ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ นายแพทย์สุรศักดิ์ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นว่า “คงเพราะเราอายที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ในสังคมกันแหละครับ”
       
       เรื่องเซ็กซ์ที่พูดกันจนชินปากในสังคมไทยมักเป็นบทสนทนาในวงน้ำเมา เป็นมุกทะลึ่งเบาสมองระหว่างกลุ่มเพื่อนเสียส่วนใหญ่ “มันเลยไม่ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างแท้จริงไงคะ” คุณทัศนัย ผู้ดูแลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของผู้หญิงและวัยรุ่น วิเคราะห์ปัญหา “พอจะพูดจะสอนก็ถูกทางกระทรวงวัฒนธรรมหาว่าชี้โพรงให้กระรอก ผู้หญิงก็เลยไม่เคยได้เรียนรู้ให้ถูกต้อง ส่วนผู้ชายที่บอกว่ารู้เยอะ แต่รู้แบบเหนือจริง ศึกษาจากวิดีโอโป๊ที่สอนแต่เซ็กซ์แบบรุนแรง คิดถึงแต่เรื่องขนาดอยู่ตลอดแล้วก็มาเกทับกันว่าใครใหญ่กว่าใคร สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ปัญหามันก็เลยวนเวียนอยู่อย่างนี้”
       
       อีกหนึ่งเกร็ดสำคัญที่หญิงสาวควรรู้เพื่อให้อ่านเกมขาด จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อนอย่างที่เป็นอยู่คือ ต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย ในฐานะผู้คร่ำหวอดในการตอบคำถามเรื่องเซ็กซ์มาหลายปี ผศ.ดร.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์และวิทยากรชื่อดังประจำรายการ “ชูรักชูรส” อยากให้หญิงสาวทั้งหลายท่อง 3 ข้อนี้เอาไว้ให้จำขึ้นใจ
       
       “ผู้หญิงยอมผู้ชายเพราะ 1.คิดว่าเขารักเรา 2.คิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะเป็นของกันและกัน และตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ 3.บรรยากาศมันเป็นใจ อันนี้มีงานวิจัยออกมาเลยว่าถ้ามีแค่สองตัวแปรแรก ไม่มีตัวแปรที่สาม มันก็ไม่เกิดเรื่องหรอก เพราะฉะนั้นจงอย่าพาตัวเข้าไปในสถานการณ์แบบนั้น ผู้ชายไม่ว่าจะดีจะเลวต้องขอมีอะไรด้วยแน่นอน ด้วยนิสัยแล้ว ผู้หญิงเวลารักใครจะอยากอยู่ใกล้ แต่ผู้ชายเวลารักใครแล้วอยากจะสัมผัส ผู้หญิงเวลาคิดถึงความรัก จะคิดถึงแบบโรแมนติก แต่ผู้ชายเวลาคิดจะไปทางอีโรติก มันเป็นข้อที่คุณผู้หญิงทั้งหลายต้องรู้เอาไว้”
       
       “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม สุดท้ายคนที่จะเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะตั้งครรภ์ไหมก็คือผู้หญิง อันนี้ไม่ได้โทษนะ แต่ต้องพูดกันตรงๆ ว่าถ้าเราไม่ถ่างขา ถอดกางเกง ผู้ชายจะทำอะไรเราได้ไหมล่ะ ลองเอาก้อนหินก้อนเดียวให้ผู้หญิงหนีบไว้ระหว่างขาดูสิ แค่นี้ก็ไม่ท้องแล้ว แต่ที่ท้องท้องกันอยู่ก็เพราะอ้าให้เขาไม่ใช่เหรอ” นายแพทย์ย้ำให้คิดง่ายๆ ด้วยภาษาชาวบ้าน
       
        ยอมให้ทับ ต้อง “รับผิดชอบ”
       “ครั้งเดียวไม่น่าจะเป็นอะไร” คือความคิดมักง่ายที่มักผุดขึ้นมาในหัวนักรักขณะมีเพศสัมพันธ์กันจึงทำให้ไม่ได้ป้องกันจน “เป็นอะไรๆ” มาแล้วหลายคู่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร.พันธ์ศักดิ์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังยังคงแสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมาอย่างออกรส
       
       “สังคมบ้านเราทำเป็นหน้าบาง ไม่กล้าพูดกล้าสอนเรื่องนี้กัน แต่พอเป็นปัญหาขึ้นมา ฉันด่าฉันประณามเธออย่างเดียว ทำไมเราไม่ปลูกฝังให้ผู้หญิงท่องไว้เลยว่า “No condom No sex” ฝรั่งเขาทำกันทั้งนั้น เขาก็เลยไม่ท้อง แต่เราไปเลียนแบบวัฒนธรรมฝรั่ง ฟรีเซ็กซ์แบบเขาได้ แต่ทำแบบครึ่งๆ กลางๆ ทำแบบไม่ป้องกัน มันก็เลยท้อง จนตอนนี้ต่างชาติเขากลับมารักษาค่านิยมรักนวลสงวนตัวกันอีกรอบแล้ว ทำไมเราถึงไม่ทำตัวอินเทรนด์กลับไปทำตามเขาบ้างล่ะ”
               
       หลายคนหลายความคิดอาจจะพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาเรื่องท้องไม่พร้อมต่างกันออกไป แต่สำหรับนายแพทย์พันธ์ศักดิ์แล้ว แค่คำว่า “รับผิดชอบ” คำเดียว ถ้าทำได้ก็เอาอยู่!
       
       “แค่ Save Sex มันใช้ไม่ได้แล้ว เพราะผลมันออกมาแล้วว่าเซ็กซ์มันไม่ปลอดภัย ฉะนั้น เราต้องสอนเพศสัมพันธ์ให้เด็กแบบใหม่ สอนให้มีเซ็กซ์แบบรับผิดชอบ ผมว่าสังคมของเราไม่เคยสอนให้คนรับผิดชอบจริงๆ เอาแต่รับชอบกัน ไม่ยอมรับผิด ตอนทับก็ร้องแต่ตอนท้องดันไม่ยอมรับ ก็อยากจะฝากให้รู้จักรับผิดชอบกันหน่อยในทุกๆ เรื่อง ถ้ารับผิดรับชอบ เดี๋ยวปัญหามันก็หมดไปเอง”
               
       “แต่ทุกวันนี้ที่เป็นปัญหาก็เพราะยังทำกันไม่ได้ คนไทยมีนิสัยสร้างปัญหาแล้วชอบให้คนอื่นมาแก้ ท้องแล้วก็มาโวยวายว่าทำไมหมอไม่ทำแท้งให้ บอกว่าหมอไร้ศีลธรรม คุณนั่นแหละที่ไร้ศีลธรรม ฆ่าเด็กในท้องทั้งที่เขามีชีวิตแท้ๆ ผมสอนลูกเสมอว่าถ้าเอ็งไปทำผู้หญิงคนไหนท้อง จะเลิกกันไม่ว่า แต่เอาลูกมาให้พ่อเลี้ยง หลานคนเดียวพ่อเลี้ยงได้ ถึงแม้จะไม่ได้คบกันแล้ว แต่เด็กก็ต้องมีคนดูแล นี่คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่งในฐานะมนุษย์ แต่ที่เห็นที่ทำกันอยู่คือการกระทำของสิ่งมีชีวิตอีกประเภท” น้ำเสียงของนายแพทย์พันธ์ศักดิ์มีอารมณ์ร่วมอย่างเห็นได้ชัด
       
       ส่วนคนที่ก้าวพลาดไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าหนทางในชีวิตจะมืดบอดไปเลยเสียทีเดียว พวกเขายังสามารถร่วม “รับผิดชอบ” ในส่วนของตัวเองได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเด็กสาวอายุ 17 คนหนึ่งที่ผ่านการท้องและทำแท้งมาแล้ว หลังรอดจากอาการตกเลือดจนต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เธอก็ตระเวนเดินสายเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟัง ที่น่าประทับใจที่สุดคือคำพูดที่ว่า “หนูอยากบอกกับคุณครูทุกคนที่คิดว่าเด็กที่เจอแต่สิ่งที่ดีๆ เท่านั้นที่จะได้ดี ความจริงมันไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะจริงๆ แล้วเด็กที่เจอสิ่งที่ไม่ดี อย่างเช่นหนูเคยทำแท้งมาแล้ว ตอนนี้หนูก็ทำตัวเองให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน”
       
       ขอเพียงแค่สังคมให้โอกาส อย่ามัวแต่มองหาว่าใครผิดถูกชั่วดี เพราะปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อคู่กรณีหรือครอบครัวผู้เกี่ยวข้อง แต่นายแพทย์สุรศักดิ์ สมาคมวางแผนครอบครัวของประเทศไทยบอกว่า “มันเป็นปัญหาของคนทั้งประเทศเลยครับ เพราะไม่ว่าเด็กคนหนึ่งจะเกิดขึ้นมาหรือถูกทำลาย อย่างน้อยเขาก็คือสมาชิกคนหนึ่งในสังคม เราต้องช่วยกันดูแลและหาทางออกให้เขา จากบทเรียนครั้งนี้ถ้าเราหันมาฉีดวัคซีนให้แก่สังคม ทำให้ครอบครัวอบอุ่นเข้มแข็ง ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาที่ถูกต้อง ให้บริการด้านการวางแผนครอบครัวที่ครอบคลุมและทั่วถึง จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ได้” เพื่อนำประเทศไทยออกจากวังวนของสังคม “เกิดน้อยและด้อยคุณภาพ” อย่างทุกวันนี้เสียที
       
        ---ล้อมกรอบ---
       ท่าน ว.ขอร้อง
       ในเมื่อคุณแม่ขอร้องก็ไม่ฟัง สังคมร้องขอก็นิ่งดูดาย จึงขอนมัสการให้ท่านมหาวุฒิชัย วชิรเมธี มาช่วยอ้อนวอนสังคมให้กลับมาคิดทบทวนกันอีกรอบหนึ่ง
       
       “เรื่องนี้ตอบยาก เพราะในสถานการณ์ที่ล่อแหลม เราไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน อาตมาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายอาจเป็นเพราะการศึกษาอบรมในครอบครัวที่ไม่เน้นจริยธรรม การละเลยการสอนด้านจริยธรรมของสถาบันการศึกษา ค่านิยมเสรีทางเพศที่ไหลบ่ามาจากตะวันตก ตัวอย่างจากสื่อโทรทัศน์ หรือภาพยนต์ที่มีฉากอีโรติกเย้ายวนชวนใจ การขาดความยับยั้งชั่งใจ การมีค่านิยมที่ผิดว่าการมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นการท้าทายความเป็นชายหรือหญิงเก่ง
       
       ทางที่ดีเวลาเกิดความรู้สึกทางเพศ หากอยากออกจากสถานการณ์ ควรพาตัวเองออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ รดน้ำต้นไม้ ต้องไม่ลืมว่ากามารมณ์ เกิดจากความ “คิดปรุงแต่ง” เป็นสำคัญ หากไม่วิ่งตามความคิด ก็จะสามารถลดทอนความรู้สึกทางกามารมณ์ได้ทันที
       
       สำหรับฝ่ายหญิง ในวินาทีที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ไม่อยากให้วู่วาม จะทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด ขอให้ใช้สติ ค่อยๆ พิจารณา ส่วนฝ่ายชาย อย่าเก็บปัญหาไว้คนเดียว ควรกล้าเปิดใจปรึกษาคนรอบข้าง แล้วจะพบว่าหลายมุมมอง หลายหัว ทำให้มองเห็นทางสว่างได้ ส่วนความคิดเรื่องการทำแท้งนั้น ทางพุทธศาสนาถือว่าบาปเท่ากับการฆ่าคนคนหนึ่ง ในทางวินัยของพระท่านถือว่าการฆ่าคน (คนปกติ-การทำแท้ง) เป็นบาปมหันต์ ถ้าพระทำก็ขาดจากความเป็นพระ ในทางโลกก็ถือว่าเป็นบาปหนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน
       
       ถามว่าทำแท้งแล้วหนีไปบวชจะช่วยล้างบาปได้หรือไม่ การล้างบาปจะทำได้ก็ด้วยการทำความดี และความดีนั้นต้องมากกว่าความชั่วที่ตนทำหลายเท่าตัว ดังนั้นหากบวชแล้วมีการเจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วย จึงจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ถ้าบวชเฉยๆ แค่ทำพอเป็นพิธี ก็คงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก
       
       ที่สำคัญเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ขออย่าประณาม อย่าตำหนิกันเลย แต่ควรยอมรับความจริงว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องมองไปข้างหน้าว่า จะจัดการกับปัญหาอย่างไร เพราะคนที่เขาผิดพลาดอยู่แล้ว หากไปซ้ำเติมอีก ก็เท่ากับว่าทำให้เขาเจ็บปวดหนักขึ้นไปกว่าเดิมอีกมาก ดังนั้นต้องเปลี่ยนคำด่าเป็นคำแนะนำ เปลี่ยนความโกรธ เป็นความเข้าใจและความเมตตา ในฐานะที่เป็นปุถุชน เราทุกคนมีโอกาสพลาดกันได้ และก็ด้วยความเป็นปุถุชนนี่แหละ เราก็สามารถที่จะแก้ตัวได้เหมือนกัน
       
       การซ้ำเติมจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะผู้ทำผิดก็แสดงออกอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า เขายังอ่อนต่อโลก ยังไร้เดียงสา ยังอ่อนประสบการณ์และปัญญา สิ่งที่เขาต้องการคือการชี้แนะหนทางที่ถูกต้อง การให้โอกาส และกำลังใจ ดังนั้น การให้คำแนะนำที่ดี การให้กำลังใจ จึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด
       
       พ่อแม่ สังคม สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา ผู้นำทางจิตวิญญาณ ต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลงค่านิยมเสรีทางเพศให้เห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อมย่อมดีกว่าการมีเพศสัมพันธ์ตามใจฉัน เพราะนั่นคือต้นทางของปัญหามากมายในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันการศึกษาควรจัดให้มีการศึกษาเรื่องเพศสัมพันธ์ว่า เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตในอนาคตมากเพียงไร อยากจะย้ำว่า “แค่สอนเพศสัมพันธ์ไม่พอ ต้องสอนเรื่องเพศเป็นสิ่งสำคัญด้วย” เพราะความผิดพลาดทางเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียว อาจส่งผลถึงชะตากรรมของคนบางคนทั้งชีวิต เยาวชนจึงจะเกิดการตื่นตัว และพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาดังกล่าวเสียแต่ต้นมือ”
       
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ASTVผู้จัดการรายวัน    16 มีนาคม 2555